ยอดหญิงสกุลเสิ่น 161.2-163.1

ตอนที่ 161.2

 

 ว่าไง คุณชายใหญ่สวี ไม่เจอกันนานเลยนะ

 


 


 


 


เสิ่นเวยเดินไปหาจางเฮ่าหราน เพิ่งจะประสานมือทักทาย หูก็ได้ยินเสียงเรียกหนึ่ง “นี่ไม่ใช่คุณหนะ…อื้อ อื้อ” คล้ายกับถูกใครปิดปากอยู่ 


 


 


เสิ่นเวยเหลือบตาขึ้นมอง ชั่วขณะก็ตาค้างปากอ้า นั่น…คุณชายที่หล่อเหลาสีหน้าสุขุมผู้นั้นไม่ใช่ 


 


 


สวีโย่วเจ้าโรคจิตหรอกหรือ เขาไม่อยู่ที่เมืองหลวงแต่วิ่งมาก่อเรื่องอะไรที่ซีเหลียงนี่กัน 


 


 


“ว่าอย่างไร คุณชายใหญ่สวี ไม่เจอกันนานเลยนะ” เสิ่นเวยตกตะลึงเพียงแค่ชั่วพริบตา จากนั้นก็ยกยิ้มทักทายสวีโย่วทันที 


 


 


“น้องสี่เสิ่น” สวีโย่วเห็นเด็กหนุ่มที่ศีรษะเปื้อนหญ้าแห้งยิ้มเหมือนอันธพาลทั้งใบหน้าผู้นี้ก็รู้สึกปวดฟัน นี่ไหนเลยจะเป็นคุณชายสี่ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเสิ่นเวยเด็กที่ทำให้คนเป็นห่วงผู้นั้น ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถบอกกล่าวนางได้จึงรู้สึกผิด ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้วิ่งมาซีเจียงก่อนแล้ว ดูสิใบหน้าเล็กๆ ใบนั้นตากแดดมา ความคล่องแคล่วในการฆ่าคนเช่นนั้น ต้องไม่มีวันคืนที่สงบสุขเป็นแน่ 


 


 


“นั่นสิ ไม่เจอกันนานเลย” สวีโย่วใบหน้าขึงตึงกล่าวเว้นจังหวะ เขากำลังจะถูกความสามารถในการโกหกหน้าตายของเด็กคนนี้ยั่วโมโหแล้วจริงๆ ไม่เจอกันนานอะไร นานหรือ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันยังไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ 


 


 


เสิ่นเวยเองก็คิดถึงเรื่องนี้ ยิ้มเจื่อนกล่าว “คุณชายใหญ่สบายดีหรือไม่” ดวงตาของเสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่วตั้งแต่หัวจนเท้า อยากตบปากตัวเองทันที แค่ตาไม่บอดก็มองออกว่าตอนนี้สวีโย่วไม่สบายดีอย่างยิ่ง ปิ่นหยกที่รวบผมอยู่ยังหลุดออกมาครึ่งหนึ่งจะดีได้อย่างไร 


 


 


ขณะที่เสิ่นเวยอยากพูดอะไรต่อเพื่อกู้สถานการณ์ ก็ได้ยินแม่ทัพอู่เลี่ยเอ่ยปาก “คุณชายเสิ่นผู้นี้รู้จักคุณชายใหญ่ด้วยหรือ” 


 


 


“เอ๋ ท่านลุงจาง ท่านอย่าเรียกข้าเช่นนี้ คุณชายเสิ่นอะไรกัน ท่านเรียกข้าว่าเจ้าสี่ก็พอแล้ว ท่านปู่ข้าก็คือเสิ่นผิงยวน จงอู่โหวผู้ปกครองซีเจียง” เสิ่นเวยเชิดใบหน้าเล็กๆ ยิ้มอย่างเปล่งประกาย “ท่านน่ะ ไม่ต้องสุภาพกับข้า น้องสี่ในจวนก็มีความสัมพันธ์อันดีกับบุตรสาวของท่าน ท่านสุภาพกับข้า น้องสี่จะโกรธข้าเอาได้” 


 


 


“ที่แท้แล้วก็เป็นหลานรักของท่านเสิ่นโหวนี่เอง เป็นคนเก่งดั่งคาด” จางเฮ่าหรานกล่าวอย่างเข้าใจในทันที ตอนแรกภรรยายังมาปรึกษากับตน จะให้ลูกชายคนโตมาสู่ขอคุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหว ใครจะรู้ดันพลาดไม่สำเร็จ ต่อมาจักรพรรดิพระราชทานสมรสให้คุณหนูสี่กับคุณชายใหญ่สวี ภรรยายังท้อใจอยู่นาน มิน่าเล่าเขาจึงรู้จักกับคุณชายใหญ่ นี่คือพี่ชายว่าที่ภรรยาของคุณชายใหญ่นี่เอง 


 


 


อืม ดูจากอายุของคุณชายสี่ผู้นี้แล้วกลับพอๆ กับซินเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าเขาหมั้นหมายไว้แล้วหรือยัง หากยังไม่มีกลับเป็นคู่หมายที่ดีนัก จางเฮ่าหรานยิ่งมองเสิ่นเวยก็ยิ่งรู้สึกชอบใจ 


 


 


สายตานั้นร้อนแรงจนแม้แต่เสิ่นเวยที่หน้าหนามาโดยตลอดยังรู้สึกเคอะเขิน นางลูบคางกล่าว “ท่านลุงจาง พวกเรารีบกลับเมืองดีกว่า” จากที่นี่ไปเมืองชายแดนยังเหลืออีกหลายสิบลี้ อย่าได้เจอเหตุไม่คาดคิดใดๆ อีกจึงจะดีที่สุด 


 


 


จางเฮ่าหรานเองก็คิดเช่นนี้ เขาอยากจะบินไปให้ถึงเมืองชายแดนปลดหน้าที่ครั้งนี้ทันที เก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว ขุดหลุมใหญ่ฝังศพทหารที่ตาย คนที่ได้รับบาดเจ็บก็ทำแผลอย่างง่ายๆ แล้วแบกขึ้นรถเสบียง คนหนึ่งแถวคุ้มกันเสบียงมุ่งหน้าไปยังเมืองชายแดนต่อ 


 


 


“คุณชายสี่ คุณชายของพวกเราเชิญท่านไปหา” เจียงไป๋เข้ามาแจ้ง ดวงตาทั้งคู่จ้องมองดาบของเสิ่นเวย ตัวดาบเรียบง่าย แสงเย็นเยียบสาดส่องไปทั่วด้าน เมื่อครู่ตอนที่คุณหนูสี่ฆ่าคนเขาเห็นหมดแล้ว นี่เป็นดาบดีที่สุดแห่งยุค เจียงไป๋ใช้แรงมหาศาลจึงจะควบคุมไม่ให้ตัวเองยื่นมือไปจับได้ 


 


 


เสิ่นเวยไม่อยากไปอย่างยิ่ง แต่ภายใต้การจ้องมองจึงปฏิเสธไม่ลง ทำได้เพียงตามเจียงไป๋ไปที่รถของสวีโย่วอย่างไม่ยินดี 


 


 


“คุณชายใหญ่เรียกน้องสี่มามีเรื่องอะไรหรือ” เสิ่นเวยแกล้งถาม 


 


 


“ขึ้นรถ” ในรถมีเสียงที่เรียบเฉยของสวีโย่วดังออกมา 


 


 


คนผู้นี้จะเล่นลูกไม้อะไร ชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่รู้หรือไร เสิ่นเวยคิดจะถอยหลังตามจิตใต้สำนึก ใช้แรงอยู่มากจึงจะควบคุมเท้าของตัวเองไว้ได้ “เอ่อ ไม่ต้องก็ได้กระมัง หากมีธุระคุณชายใหญ่สั่งมาเลยก็ได้” นางไม่อยากขึ้นรถเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“ขึ้นมา” สวีโย่วพูดอีกครั้ง 


 


 


ทุกคนต่างก็จ้องมองอยู่ เสิ่นเวยเองก็ไม่ควรทะเลาะกับเขา ทำได้เพียงฝืนใจขึ้นรถม้า เมื่อเข้าไปก็สบสายตาที่สงบนิ่งคู่นั้นของสวีโย่ว ดวงตาคู่นั้นราวกับว่าสามารถมองทะลุนางได้ 


 


 


เสิ่นเวยกระแอมอย่างเคอะเขินหนึ่งครา เลื่อนสายตาออกด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ หลุบตาลงไม่พูดจา 


 


 


มองจากทิศทางของสวีโย่วจะสามารถเห็นลำคอช่วงหนึ่งที่เผยออกมาของเสิ่นเวยได้พอดี สีผิวนั้นขาวใสราวกับดอกบัวขาวในฤดูร้อน ต่างจากสีผิวบนใบหน้าและมือ 


 


 


นางเองมีช่วงเวลาที่น่ารักเช่นนี้ด้วยหรือ สวีโย่วยกมุมปากเงียบๆ 


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับรู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง รู้สึกไม่มั่นใจอย่างไม่มีเหตุผล นางแอบวิจารณ์ด้วยความไม่พอใจ มีปัญหาหรือ เรียกข้าขึ้นมาแต่ไม่พูด หาเรื่องใช่ไหม นี่เป็นท่าทีที่มีต่อผู้มีพระคุณช่วยชีวิตหรือ 


 


 


เสิ่นเวยกำลังจะโมโห จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่นิ่งลึกของสวีโย่วดังขึ้น “น้องสี่เสิ่นใช่หรือไม่” 


 


 


ท่าทีของเสิ่นเวยอ่อนลงทันที “ก็ใช่น่ะสิ ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือ ข้าลำดับสี่ในจวน” นางตะโกนเสียงเล็ก น้องสี่เสิ่นชื่อนี้ดีมากไม่ใช่หรือ สนิทชิดเชื้อมากนัก 


 


 


จู่ๆ ก็ได้ยินสวีโย่วแค่นเสียงหนึ่งครา เสิ่นเวยไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไร จึงก้มหน้าหลุบตาแกล้งตายเสียเลย มีการสมรสพระราชทานแล้วไม่ใช่หรือ มีสิทธิ์ไม่พอใจนางมากเพียงนี้เลยหรือ 


 


 


“เจ้าวิ่งมาถึงเมืองชายแดนได้อย่างไร” เสียงของสวีโย่วดังขึ้นอีกครั้ง 


 


 


เสิ่นเวยตอบตามความจริง “ขนเสบียงมาให้ปู่ข้า” 


 


 


“ตระกูลเจ้าไม่มีคนแล้วหรือ” สวีโย่วกล่าวต่อ 


 


 


“มีสิ ตระกูลข้าคนเยอะ” เสิ่นเวยตอบอย่างไม่ได้คิด เมื่อเห็นสีหน้าประชดของสวีโย่วจึงได้สติกลับมา ลูบจมูกอย่างอดไม่ได้แล้วกล่าว “ไม่ใช่เพราะข้าเก่งหรือไร” เสิ่นเวยกลับไม่ได้พูดเท็จ พี่ชายในจวนรวมกันแล้วยังเก่งไม่เท่านางคนเดียวเลย ปู่นางยังออกปาก 


 


 


แม้ว่าเจตนาที่ปู่นางพูดเช่นนี้จะไม่ชัดเจนเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางฟังแล้วดีใจอย่างถึงที่สุด 


 


 


สวีโย่วจ้องมองนางปราดหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกประหลาด กล่าวอย่างมีเลศนัย “เก่งจริงๆ นั่นแหละ” 


 


 


เสิ่นเวยสับสนในชั่วขณะ เขา…เขาหมายความว่าอย่างไร คงไม่ใช่แบบที่นางคิดใช่ไหม คุณชายผู้มีคุณธรรมสูงส่งบริสุทธิ์มีความรู้เป็นเลิศผู้นี้คงไม่ได้แอบซ่อนนิสัยหื่นกามไว้ใช่หรือไม่ ให้ตายเถอะ จักรพรรดิพระราชทานสามีแบบไหนให้นางกันเนี่ย ใบหน้าของเสิ่นเวยร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ 


 


 


สวีโย่วเห็นใบหน้าด้านข้างที่แดงเล็กน้อยของเสิ่นเวย รอยยิ้มก็กะพริบวาบผ่านดวงตา กระตุกมุมปากอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงอ่อนโยน “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ พิงรถม้าพักผ่อนสักพักเถอะ” 


 


 


ตอนนี้สมองของเสิ่นเวยอยู่ในสภาวะว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่ายังรู้สึกว่าคำพูดของสวีโย่วมีเหตุผลจริงๆ นางเหนื่อยเล็กน้อย กว่าจะถึงเมืองชายแดนยังต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยสองชั่วยาม ถือโอกาสหลับสักตื่นก็ดีเหมือนกัน 


 


 


เสิ่นเวยขยับไหล่ พิงรถม้านอนหลับจริงๆ ไม่นานนักก็ส่งเสียงกรนสม่ำเสมอออกมา 


 


 


เสิ่นเวยที่นอนหลับอยู่มองไม่เห็นว่าสวีโย่วกำลังจ้องมองใบหน้าตอนนอนของนางด้วยสีหน้านิ่มนวล ความอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นหยาดเยิ้ม เขายื่นมือออกไปแตะแก้มของเสิ่นเวยเบาๆ สัมผัสนั้นราวกับแตะผ้าไหมชั้นดีที่สุด อ้อไม่สิ ไม่ได้เย็นเยียบไร้ชีวิตชีวาเหมือนผ้าไหมแบบนั้น 


 


 


เหมือนอะไรกัน สวีโย่วคิดอยู่เนิ่นนานก็รู้สึกว่าไม่สามารถใช้คำมาอธิบายถึงความรู้สึกที่ดีงามนั้นได้ เขายื่นมือไปลูบอีกอย่างอดไม่ได้ อาจจะแรงไป เสิ่นเวยจึงขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า 


 


 


สวีโย่วตกใจจนชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เห็นเสิ่นเวยเพียงแค่ขยับเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีจะตื่น เขาก็ยิ้มเจื่อนในใจอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย ตนเป็นอะไรไป เกิดความสนใจมากมายเช่นนี้ต่อเด็กน้อยที่เด็กว่าตนอย่างยิ่งผู้นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน 


 


 


หลังจากนั้นมาสวีโย่วกลับประพฤติตัวดีอย่างยิ่ง ไม่หยอกเย้าเสิ่นเวยอีก เขาหยิบผ้าข้างๆ มาคลุมตัวเสิ่นเวยเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับตาพักผ่อน แต่ตรงหน้ามักจะมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่งดงามดวงนั้นของเด็กน้อยปรากฎขึ้นมา สวีโย่วจึงลืมตาเสีย จ้องมองใบหน้าตอนนอนของเสิ่นเวยไปตลอดทาง 


 


 


เสิ่นเวยนอนหลับลึกอย่างยิ่ง กระทั่งเข้าไปในเมืองชายแดนแล้วลงมาจากรถม้านางก็ยังสะลึมสะลือ กระทั่งสบสายตาสุนัขจิ้งจอกที่เฉียบแหลมดั่งสายฟ้าคู่นั้นของปู่นาง นางถึงสะดุ้งโหยงได้สติกลับมา 


 


 


ตาย ตาย ตาย คาดไม่ถึงว่านางนอนหลับจนฟ้ามืดมัวดินต่อหน้าคุณชายใหญ่สวี ภาพลักษณ์ที่บริสุทธิ์และทรงเกียรติของนางพังทลายหมดแล้ว ตาย ตาย ตาย นางไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว 


 


 


ไม่เท่านั้น ความมั่นใจนางก็ไม่เหลือแล้ว นางยังไม่ได้แต่งงานก็หมดความมั่นใจแล้ว สวีโย่วมีสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนี้กับนาง ถอนหมั้น ตอนนี้กอดขาท่านปู่ร้องไห้ขอให้ถอนหมั้นจะได้หรือไม่ เสิ่นเวยอยากจะร้องไห้แล้วจริงๆ 


 


 


เสิ่นเวยรู้สึกว่านางกำลังจะตายเพราะความโง่ของตัวเองแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 162.1

 

 ถอนหมั้น?

 


 


 


ณ เมืองหลวง


 


 


นกพิราบสีเทาอ่อนที่ไม่ถูกคนสังเกตเห็นตัวหนึ่งบินมาถึงเรือนหลังเล็กแห่งหนึ่ง บินลงมาเกาะอยู่บนแขนของบัณฑิตวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน บัณฑิตวัยกลางคนดึงกระบอกไม้ไผ่เล็กบนขานกพิราบออก เดินออกจากประตูด้วยความเร่งรีบ


 


 


บัณฑิตวัยกลางคนเดินผ่านตรอกซอยหลายแห่ง จนมาถึงหน้าประตูข้างของเรือนหลังหนึ่ง แลซ้ายแลขวาไม่มีใครมองอยู่จึงยกมือเคาะประตู ไม่นานประตูข้างก็ถูกแง้มออกเล็กน้อย บัณฑิตวัยกลางคนแวบเข้าไป


 


 


“นายท่าน ซีเจียงส่งข่าวมาแล้วขอรับ” บัณฑิตวัยกลางคนยื่นกระบอกไม้ไผ่เล็กให้ด้วยความเคารพนบนอบ


 


 


นายท่านผู้นั้นรับมาเทจดหมายลับข้างในออก เปิดอ่านครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ส่งให้บัณฑิตวัยกลางคน


 


 


“นึกไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พวกเขาหนีรอดไปได้ ดวงดีจริงๆ!” ในน้ำเสียงของบัณฑิตวัยกลางคนเต็มไปด้วยความเสียดาย


 


 


ทว่านายท่านผู้นั้นกลับไม่สนใจ “ช่างเถอะ เดิมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว” เขาเพียงแค่สั่งให้คนปล่อยข่าวออกไป เดิมก็ไม่ได้หวังว่าโจรภูเขาเหล่านั้นจะทำสำเร็จ แต่ว่าการเคลื่อนไหวของซีเหลียงกลับอยู่เหนือความคาดหมายเขา ยังดีที่กองกำลังหนุนเมืองชายแดนมาถึงทัน มิเช่นนั้นหากคุณชายใหญ่ผู้นั้นของจวนจิ้นอ๋องเป็นอะไรไป จักรพรรดิทรงพิโรธขึ้นมายังไม่เท่าไร แต่อาจจะเกิดปัญหาตามมามากมาย เขาไม่ได้กลัว แต่ยุ่งยากอย่างยิ่ง เวลานี้เพิ่มปัญหาไม่สู้ลดปัญหาลง


 


 


เสิ่นผิงยวนตาเฒ่าผู้นั้นเหมาะที่จะเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ บาดเจ็บนอนป่วยอยู่บนเตียงขยับไม่ได้แล้ว แต่ยังวางแผนการรบอยู่เบื้องหลังได้อีก คุ้มกันเมืองชายแดนซีเจียงได้อย่างแน่นหนา ศัตรูตัวฉกาจ ช่างเป็นศัตรูตัวฉกาจโดยแท้


 


 


ในจวนจงอู่โหว เหล่าไท่จวินตระกูลเสิ่นกับฮูหยินสวี่แม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้ก็กำลังรำพึงรำพันถึงเมืองชายแดนซีเจียงอยู่


 


 


“เชียนเกอเอ๋อร์ไปได้หลายวันแล้วใช่หรือไม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถึงซีเจียงแล้วหรือยัง เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยจากบ้านไปไกล ครั้งนี้ลำบากอย่างยิ่งแล้ว” เหล่าไท่จวินกล่าวด้วยความเป็นห่วง รักและสงสารเสิ่นเชียนหลานชายคนโตผู้นี้อย่างถึงที่สุด


 


 


ฮูหยินสวี่กล่าวโน้มน้าว “ท่านแม่วางใจ คนที่ร่วมทางไปด้วยยังมีทหารองครักษ์อีกห้าร้อยนาย เชียนเกอเอ๋อร์ไม่ลำบากหรอกเจ้าค่ะ เมื่อวานมีข่าวมาแล้วมิใช่หรือ บอกว่าท่านโหวฟื้นแล้ว อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้น มีท่านโหวคอยดูแล เชียนเกอเอ๋อร์จะต้องปลอดภัย ท่านวางใจเถิด” นางโน้มน้าวแม่สามีเช่นนี้ ทั้งยังพูดให้ตัวเองฟังด้วยเช่นกัน


 


 


สำหรับเรื่องที่ลูกชายเพียงคนเดียวเดินทางไกลไปสนามรบซีเจียงฮูหยินสวี่ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงไม่กังวล แต่ขณะที่นางเป็นห่วงก็มีสติรู้ดีว่า ลูกชายเป็นหลานคนโตในจวน นี่เป็นหน้าที่ที่เขาควรจะแบกรับ


 


 


“นั่นก็ถูก มีปู่เขาคอยปกป้องข้าเองก็วางใจลงได้เล็กน้อย” เหล่าไท่จวินเชื่อมั่นในความสามารถของสามีตนเองเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ชั่วพริบตาก็จะถึงวันที่ซวงเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือนแล้ว เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”


 


 


“ท่านแม่วางใจ ซวงเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของลูก ลูกจะเมินเฉยนางได้อย่างไร ทั่วทุกแห่งในจวนล้วนกำชับดีแล้ว ไม่อาจเกิดปัญหาขึ้นได้” ฮูหยินสวี่รีบกล่าว


 


 


เหล่าไท่จวินพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี แม้จะบอกว่าซีเจียงเกิดสงคราม แต่พวกเราเองก็ไม่อาจทำให้ซวงเจี่ยเอ๋อร์เดือดร้อนได้ เพียงแต่เชียนเกอเอ๋อร์ไม่อยู่ ไม่อาจส่งน้องสาวเขาออกจากเรือนด้วยตัวเองได้” เหล่าไท่จวินกล่าวอย่างทอดถอนใจ


 


 


“นี่เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้มิใช่หรือ มีซื่อจื่ออยู่ ฝั่งพี่ชายพี่สะใภ้ข้าก็ไม่อาจแสดงท่าทีไม่พอใจได้แล้ว”


 


 


เหล่าไท่จวินพยักหน้าอีกครั้ง “จวนราชเลขาเป็นตระกูลที่มีเหตุผลที่สุด ซวงเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วข้าก็วางใจอย่างยิ่ง” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้บอกหรือว่าจะกลับมาเมื่อไร พี่สาวจะออกเรือนอยู่แล้วนางจะไม่กลับมาส่งสักหน่อยหรือ” ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจ


 


 


ฮูหยินสวี่ได้ยินแล้วหนังตาก็กระตุก นึกถึงคุณชายสี่ที่มีที่มาไม่ชัดเจนในจดหมายของลูกชาย นึกถึงเรืองเฟิงฮวาที่ปิดประตูเรือนสนิทก็รีบเกลี้ยกล่อม “เวยเจี่ยเอ๋อร์อยากมา แต่นางไปวัดต้าเจวี๋ยเพื่อถือศีลขอพรให้ท่านโหว ไหนเลยจะล้มเลิกกลางคันได้ ซวงเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานอยู่ในเมืองหลวง พี่น้องสามารถพบหน้ากันได้บ่อยๆ อยู่แล้ว อย่างไรเสียขอพรก็ยังสำคัญกว่า”


 


 


ไม่ว่าคุณชายสี่ผู้นั้นที่เมืองชายแดนซีเจียงจะใช่เวยเจี่ยเอ๋อร์หรือไม่ นางก็ต้องช่วยปิดบังไว้ก่อน


 


 


“ช่างเถอะๆ ตามใจนางแล้วกัน อย่างไรเสียข้าก็ควบคุมนางไม่ได้” เหล่าไท่จวินโบกมือ ท่าทางไม่ได้สนใจ


 


 


เสิ่นเวยแค้นเคืองจนขังตัวเองไว้ในห้องไม่ยอมพบหน้าใครราวกับนกกระจอกเทศ แม่ทัพอู่เลี่ยจางเฮ่าหรานกลับชื่นชมเสิ่นเวยกับท่านเสิ่นโหวอย่างไม่ขาดปาก บ้างก็บอกว่าคุณชายสี่ตระกูลท่านมีอนาคตยิ่งนัก บ้างก็บอกว่าคุณชายสี่ตระกูลท่านวิทยายุทธ์ดีจริงๆ มีความสามารถไม่ธรรมดา บ้างก็บอกว่าท่านมีทายาทสืบทอดแล้ว ภายหลังก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้ว


 


 


ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรล้วนแต่สืบถามว่าเสิ่นเวยอายุเท่าไรแล้ว แต่งงานแล้วหรือยัง อีกทั้งยังเอ่ยว่าตระกูลตนมีบุตรสาวที่ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เจตนานั้นอย่าว่าแต่คนฉลาดเช่นท่านเสิ่นโหวและสวีโย่ว ต่อให้เป็นเถาฮวาที่โง่เขลาก็ยังรู้ว่าท่านลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่นฟ้าผู้นี้สนใจคุณชายของตน


 


 


กว่าจะส่งจางเฮ่าหรานไปได้ ในห้องก็เหลือเพียงท่านเสิ่นโหวกับสวีโย่วสองคน


 


 


ท่านเสิ่นโหวมองประเมิณชายหนุ่มที่แม้ว่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นก็ยังมีท่าทางทรงพลัง แววตามีความชื่นชมแวบผ่าน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ความสุขุมนี้ก็เหมาะสมกับเจ้าสี่แล้ว


 


 


“เจอเจ้าสี่แล้วหรือยัง” ท่านเสิ่นโหวเอ่ยปากก่อน ในน้ำเสียงมีการหยั่งเชิง ในมุมมองของเขาหลานสาวเขาดีอย่างถึงที่สุด แต่หลานสาวที่ดีอย่างถึงที่สุดของเขากลับไม่สอดคล้องกับรสนิยมความชอบของคนในยุคนี้ ตอนนี้ทุกคนต่างก็คิดว่าสตรีจะต้องเพียบพร้อมสุภาพเรียบร้อยช่วยแบ่งเบาภาระสามีสอนบุตร แม้ว่าจะมีการสมรสพระราชทาน แต่ใครจะรู้ว่ารสนิยมของคุณชายใหญ่ผู้นี้แห่งจวนจิ้นอ๋องจะเหมือนกับคนในยุคนี้หรือไม่ หากเขารังเกียจคุณหนูสี่จะทำอย่างไรเล่า


 


 


สวีโย่วฉลาดอย่างยิ่ง มองแวบเดียวก็รู้ความคิดของท่านเสิ่นโหวแล้ว เขาวางแก้วชาในมือลง กระตุกมุมปาก กล่าว “นางดียิ่งนัก” นี่คือสตรีที่ตรงใจเพียงผู้เดียวที่ได้พบเจอตลอดชีวิตยี่สิบสองปีของเขา จะไม่ดีได้อย่างไร


 


 


ท่านเสิ่นโหวหน้าหนายิ่งนัก ถูกชนรุ่นหลังอ่านความคิดออกสีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว เขาชายตามองสวีโย่วปราดหนึ่ง ยุแหย่ขึ้นมา “ฟังว่าร่างกายเจ้าไม่ดีหรือ” เมื่อได้ยินว่าสวีโย่วไม่มีความคิดรังเกียจหลานสาวเขา ท่านเสิ่นโหวกลับยิ่งไม่ชอบหน้าเขา


 


 


ร่างกายไม่ดีไม่แน่ว่าชะตาชีวิตสั้น เจ้าสี่แต่งเข้าไปแล้วใช่จะต้องเป็นหม้ายหรือไม่ หลานสาวที่แสนดีของเขาแต่งงานกับคนไม่ได้ความ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ


 


 


“ท่านโหววางใจ แม้ร่างกายข้าน้อยจะไม่ดี แต่อยู่ต่ออีกห้าสิบหกสิบปีก็ไม่มีปัญหา” สวีโย่วกล่าว


 


 


อย่างเบาสบาย ตั้งแต่ที่ตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับเด็กคนนั้น เขาก็ไม่เพียงแต่ไม่ดูถูกตัวเองอีก ซ้ำยังให้ความร่วมมือกับแผนการรักษาของหมอเทวดาหลี่ด้วยความกระตือรือร้น เพียงแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อให้นานอีกหน่อย อยู่กับเด็กคนนั้นไปอีกหลายๆ ปี อย่างดีที่สุดก็สามารถมีทายาทให้เด็กน้อยได้


 


 


นิสัยของเด็กน้อยเขาทราบดี นางเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก ไม่แน่ว่าหากเขาเข้าโลงก่อน หลังจากนั้นนางก็จะหอบข้าวหอบของหนีไปมีชีวิตใหม่ หากบนเส้นทางชีวิตใหม่มีผู้ชายที่ดูดีเหมือนเขา เช่นนั้นผลลัพธ์เขาเองก็ไม่กล้าคิด


 


 


ดังนั้นต้องมีทายาท ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขัดขานางไว้ สิ่งที่ทำให้เขาพอใจก็คือ หมอเทวดาหลี่บอกแล้วว่า ขอเพียงแค่เขาให้ความร่วมมือ ไม่ดูถูกร่างกายตัวเอง การมีทายาทก็ยังมีหวังอย่างยิ่ง ไม่เห็นหรือว่าภายใต้สถานการณ์อันตรายเช่นการพบทหารซีเหลียงครั้งนี้เขาไม่ได้บุ่มบ่ามใช้กำลังภายในเลย


 


 


แต่ว่าทางที่ดีที่สุดก็คือมีชีวิตให้นานอีกหน่อย ผูกมัดเด็กน้อยคนนั้นไว้แน่นๆ ข้างกายตน


 


 


ท่านเสิ่นโหวถูกดักเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ชอบหน้าสวีโย่วแล้ว เห็นเป็นคุณชายอ่อนแอคนหนึ่ง อันที่จริงแล้วก็แค่แกล้งซื่อเป็นแมวนอนหวด ความจริงแล้วเป็นลูกหมาป่าต่างหาก


 


 


ถูกต้อง ตอนนี้สวีโย่วในใจของท่านเสิ่นโหวเป็นลูกหมาป่าตัวหนึ่ง ลูกหมาป่าที่คิดจะคาบหลานสาวสุดที่รักของเขาไป


 


 


ชั่วขณะท่านเสินโหวก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยต่อแล้ว ไปเถอะๆ รีบไปเถอะ อย่ามาขวางหูขวาตาข้าที่นี่ หลานสาวที่มากความสามารถของข้า น่าเจ็บใจ น่าผิดหวังนัก ท่านเสิ่นโหวปวดใจจริงๆ


 


 


ท่านเสิ่นโหวปวดใจ ข้าวเย็นก็กินไปได้แค่ครึ่งถ้วย คิดไปคิดมาก็ลากหลานสาวผู้มากความสามารถของเขาเข้ามา


 


 


“เจ้าสี่ พวกเราถอนหมั้นดีหรือไม่” ท่านเสิ่นโหวทอดถอนใจอยู่นาน จู่ๆ ก็พูดประโยคนี้ออกมา


 


 


เสิ่นเวยตกใจ มองปู่นางแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรไปท่านปู่” ตอนที่นางไม่อยู่สวีโย่วเจ้าโรคจิตผู้นั้นพูดอะไรกับท่านปู่ หรือว่าไม่พอใจนางงั้นหรือ การสมรสครั้งนี้ไม่ใช่เขาเป็นคนขอเองหรอกหรือ


 


 


ท่านเสิ่นโหวมองหลานสาวตัวน้อยของเขา อยากพูดแต่ก็ไม่พูด


 


 


เสิ่นเวยก็ยิ่งสงสัย “ท่านปู่ จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ยังถอนหมั้นได้อีกหรือ” หากเจ้าโรคจิตคนนั้นเสียใจไม่พอใจการแต่งงานครั้งนี้จริงๆ นางจะต้องยินดีถอนหมั้นอย่างแน่นอน นางยังไม่ทันได้รังเกียจสภาพเลวร้ายในจวนจิ้นอ๋องของเขาเลย


 


 


แต่ไม่ใช่บอกไว้หรือว่าการสมรสพระราชทานยกเลิกไม่ได้ ไม่เพียงแต่ยกเลิกไม่ได้ ยังไม่อนุญาตให้หย่าร้างอีกด้วย นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นการทำร้ายสตรีที่ไร้ความผิดไปมากน้อยเพียงใดแล้ว


 


 


ท่านเสิ่นโหวเห็นหลานสาวของเขาไม่ได้มีท่าทีว่าจะต้องแต่งงานกับคุณชายใหญ่สวีให้ได้ ในใจก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าการสมรสพระราชทานกลับเป็นเรื่องที่จะจัดการได้ยากจริงๆ เขาคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “หากครั้งนี้พวกเราปกป้องซีเจียงไว้ได้ ปราบซีเหลียงแพ้ราบคาบ ก็อาศัยคุณงามความดีนี้ บวกกับเกียรติยศของปู่ จักรพรรดิจะต้องไว้หน้าอยู่บ้างแน่”


 


 


เสิ่นเวยขมวดคิ้วคิดถึงความเป็นไปได้นี้รอบหนึ่ง เหลือบตาขึ้นก็เห็นความเจ้าเล่ห์แวบผ่านในแววตาของท่านปู่ นึกโมโหทันที “นี่ท่านปู่ ท่านล้อข้าเล่นหรือไร”


 


 


จะถอนหมั้น พระราชโองการเป็นสิ่งที่ยกเลิกได้ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ พระพักตร์จักรพรรดิตบง่ายเพียงนั้นเลยหรือ ต่อให้ท่านปู่จะอาศัยเกียรติและคุณูปการในการรบมาถอนหมั้น แต่จักรพรรดิจะสบายพระทัยได้หรือ คนที่ควรถือหางให้ท้ายที่สุดในใต้หล้าก็คือจักรพรรดิ เจ้าทำให้เขาไม่สบายใจเขาก็สามารถทำให้เจ้าลำบากไปตลอดชีวิตได้


 


 


เช่นนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงเช่นนางก็อย่าได้คิดว่าจะได้แต่งออกเรือนเลย ไม่เป็นยายแก่อยู่ในบ้านไปตลอดชีวิต ต้องอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดกาล แม้ว่านางจะไม่สนใจเรื่องแต่งงาน แต่ก็ไม่อยากแต่งงานไม่ได้อีกเลยนะ


 


 


ยังมีจวนจงอู่โหว นับแต่นี้ไปจะต้องถูกจักรพรรดิตัดออกจากศูนย์กลางอำนาจ น้องชายที่นางเลี้ยงดูอย่างยากลำบากก็อย่าได้คิดจะเชิดหน้าชูตาอีกเลย


 


 


ผลที่ตามเหล่านี้ท่านปู่จะไม่รู้ได้อย่างไร เขาจะโง่แลกอนาคตทั้งหมดของจวนโหวเพื่อหลานสาวเพียงคนเดียวงั้นหรือ ไม่ใช่ว่านางดูถูกตัวเอง แต่นางยังไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้นจริงๆ


 


 


“ว่ามาๆ คุณชายใหญ่สวีทำอะไรให้ท่าน หรือจะพูดว่าท่านไม่พอใจเขาตรงไหน” เสิ่นเวยกล่าว


 


 


อย่างอารมณ์ไม่ดี


 


 


ไม่ผิดที่นางคิดเช่นนี้ บางครั้งสวีโย่วเจ้าโรคจิตผู้นั้นก็ชอบยั่วโมโหคนจริงๆ แต่ยั่วโมโหก็ยั่วโมโหเถอะ หนุ่มรูปงามแซ่สวีก็ยังคงพาออกงานได้ ปู่นางไม่ชอบเขาตรงไหนกัน


 


 


ท่านเสิ่นโหวถูกหลานสาวพูดตรงใจ กลับยิ่งมีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดมากขึ้น “เขาร่างกายไม่ดี” ราวกับไก่อ่อน ไหนเลยจะคู่ควรกับหลานสาวที่ดีเลิศของเขาได้


 


 


“เขาร่างกายไม่ดีหรือ” เสิ่นเวยร้องประหลาดใจหนึ่งครา “ท่านไปได้ยินมาจากไหนว่าเขาร่างกายไม่ดี” กำลังภายในชายผู้นั้นฝึกฝนจนยอดเยี่ยม แม้แต่ปราณก็ยังเก็บงำไว้ได้ราวกับคนธรรมดา ร่างกายจะไม่ดีได้อย่างไร


 


 


“ไม่ใช่พูดกันหรือว่าเขาร่างกายไม่ดี หนึ่งปีพักรักษาตัวอยู่บนเขาเกินครึ่งปี” ท่านเสิ่นโหวยังคงถกเถียงอย่างมั่นใจ


 


 


เสิ่นเวยกลอกตากล่าวว่า “ไม่ใช่ว่ามีคนบอกว่าหลานร่างกายอ่อนแอจนต้องกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านเก่าในชนบทด้วยเหมือนกันหรือ ท่านปู่ คนฉลาดไม่เชื่อข่าวลือนะ”


 


 


ท่านเสิ่นโหวถลึงตา “ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น เรื่องราวต้องมีเหตุมีผลเสมอ เจ้ายังเล็ก อย่าได้ถูกเขาหลอกลวงเอาได้”


 


 


เห็นท่าทางที่แค้นเคืองเช่นนั้นของท่านปู่ ในที่สุดเสิ่นเวยก็เข้าใจแล้วว่าเขาเป็นอะไร “ท่านปู่วางใจเถอะ หลานท่านฉลาด ไม่ถูกหลอกหรอก ไม่ใช่ว่าหลานท่านเชื่อมั่นในตัวเองอย่างยิ่งหรือ คุณชายใหญ่สวีเองก็ชอบหลานท่านยิ่งนัก” ไม่ต้องถามว่าเสิ่นเวยเอาความมั่นใจมาจากไหน นางมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ คุณชายใหญ่สวีเป็นใครกัน ไม่ชอบนางแล้วจะปีนกำแพงมาหานางตอนกลางดึกยามสามหรือ


 


 


ท่านเสิ่นโหวมองท่าทางปลื้มอกปลื้มใจของหลานสาวเขา ชั่วขณะก็โมโหสุดขีด ดูเอาเถิด ดูเอาเถิด ต่อให้เป็นสตรีที่มากความสามารถก็ผ่านด่านรักไปไม่ได้ นี่ขนาดยังไม่แต่ง นางก็ช่วยเขาพูดแล้ว


 


 


“เจ้า เจ้านี่มัน เหอะ เจ้าวัวลืมตีน!” ท่านเสิ่นโหวยื่นมือชี้เสิ่นเวย ถอนหายใจ


 


 


เสิ่นเวยยื่นมือปัดนิ้วของปู่นางลงทันที โมโหกล่าว “วัวลืมตีนอะไรเล่า! หากข้าเป็นวัวลืมตีนก็คงอยู่เสวยสุขในเมืองหลวงไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังออกเงินออกแรงววิ่งมาลำบากถึงซีเจียง ท่านน่ะ รีบไปล้างหน้าล้างตานอนเสีย คิดมากไปไม่ดีต่อร่างกาย เรื่องคุณชายใหญ่สวีท่านก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้วก็แค่พูดจาดีๆ ให้ท่านฟังไม่ใช่หรือ พอแล้วๆ กลับไปข้าจะไปพูดกับเขา ให้เขารินน้ำชาขอขมาท่านพอใจหรือยัง”


 


 


จริงๆ เลย ศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ละคนก็ชอบหาเรื่องอยู่นั่น


ตอนที่ 162.2

 

ถอนหมั้น?

 


 


 


สวีโย่วรู้สึกขำขันเล็กน้อย เด็กคนนั้นคล้ายกำลังหลบหน้าเขาอยู่ ตั้งแต่ที่เข้าจวนโหวเมืองชายแดนมาเขาก็ไม่เห็นนางเลยสักครั้ง ไม่พาคนออกจากเมืองก็กำลังพักผ่อนอยู่ มักจะมีเหตุผลเช่นนั้นเช่นนี้เสมอ


 


 


สวีโย่วเองก็ไม่โกรธ ทุกวันยังคงเดินเอ้อระเหยมาดักรอคน เขาไม่เชื่อว่าจะดักเจอนางไม่ได้เลยสักครั้ง


 


 


ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เช้าวันนี้สวีโย่วเดินมาเจอหน้าเสิ่นเวยที่กำลังเตรียมตัวจะออกไป การตอบสนองแรกของเสิ่นเวยก็คือแกล้งลืมหยิบของบางอย่างมาจึงหมุนตัวเดินกลับไป


 


 


ยังเดินไปไม่ถึงหนึ่งก้าวก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของสวีโย่วดังขึ้นข้างหลัง “น้องสี่เสิ่น เจ้ากลัวข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ”


 


 


เสิ่นเวยกลอกตาขึ้นฟ้า หันหลังกลับแสดงสีหน้าประหลาดใจ “อ้าว คุณชายใหญ่ บังเอิญจริงๆ” ใครกลัวเจ้ากัน เพียงแค่รู้สึกอัดอัดก็เท่านั้นเอง


 


 


สวีโย่วมองสีหน้าเสแสร้งบนใบหน้าเสิ่นเวยก็ไม่ได้เปิดโปง เพียงแต่เสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม “ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ น้องสี่กำลังจะออกไปหรือ ช่วงนี้ยุ่งหรือ” ยุ่งจนไม่ได้เห็นหน้านางเลย


 


 


“ใช่แล้ว ศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว ท่านปู่ยังบาดเจ็บอยู่เลย ข้าจะไม่ยุ่งได้อย่างไร” เสิ่นเวยกล่าวด้วยเหตุผลถูกต้องและเป็นสัจธรรม อันที่จริงนางเองก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น เพียงแค่ไม่อยากเจอเขา ให้คนบอกว่าไม่อยู่ก็พอแล้ว


 


 


“เช่นนั้นน้องสี่ว่าข้าจะช่วยได้บ้างหรือไม่” สวีโย่วกล่าวอย่างอารมณ์ดี


 


 


“ด้วยความยินดี แต่ว่าท่านต้องไปถามท่านปู่ข้าก่อน กิจธุระของซีเจียงปู่ข้าเป็นผู้ดูแลโดยรวม ท่านลองไปปรึกษาท่านปู่ข้าดูสิ” เสิ่นเวยกะพริบตา เสนอความคิดเห็นด้วยเจตนาร้าย


 


 


สวีโย่วมองเสิ่นเวย สายตามีเลศนัยอย่างยิ่ง “ไปปรึกษาท่านเสิ่นโหวหรือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านเสิ่นโหวมีอคติกับข้าเล็กน้อยเล่า”


 


 


เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่ง อคติเล็กน้อยที่ไหนกัน อคติมากๆ ต่างหากเล่า มิเช่นนั้นท่านปู่จะพูดแม้แต่เรื่องถอนหมั้นได้อย่างไร


 


 


“ท่านก็รู้ตัวนี่ บอกมา ท่านไปยั่วยุปู่ข้าได้อย่างไร เขาวางแผนแม้กระทั่งจะใช้คุณงามความดีจากกองทัพไปถอนหมั้นแล้ว” เสิ่นเวยกอดอกเอ่ยแขวะ จริงๆ เลยเหตุใดถึงได้หาเรื่องเช่นนั้น


 


 


“ไม่ใช่ว่าข้าว่าท่านนะ อายุตั้งเท่าไรแล้ว ท่านจะสุภาพนอบน้อมพูดจาดีๆ กับปู่ข้าไม่ได้หรือ คนแก่ต้องเอาใจไม่รู้หรือ จักรพรรดิไม่ใช่ถูกท่านเอาใจจนตามใจอย่างยิ่งหรือไร” ทั้งใบหน้าเสิ่นเวยเหยียดหยาม


 


 


ถูกเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตนเจ็ดแปดปีสั่งสอน สวีโย่วก็รู้สึกไม่ดีเล็กน้อยจริงๆ แต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้กลับแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เห็นใบหน้าที่มีชีวิตชีวาใบนั้นของเด็กน้อยแล้ว อารมณ์ของสวีโย่วก็เบิกบานขึ้นมาทันที


 


 


“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีประสบการณ์หรือ นิสัยท่านเสิ่นโหวกับจักรพรรดิก็ไม่เหมือนกัน มิฉะนั้น เจ้าช่วยข้าพูดหน่อยได้หรือไม่” สวีโย่วเองก็หน้าด้านหน้าทนจริงๆ


 


 


“ไม่ได้!” เสิ่นเวยปฏิเสธทันที “ข้าไปขอร้องก็จะยิ่งไม่จริงใจ” ที่สำคัญก็คือนางยิ่งขอร้องท่านปู่ก็ยิ่งโกรธ ไม่ได้ยินเขาพูดหรือว่านางเป็นวัวลืมตีน


 


 


“ข้าจะไม่ให้เจ้าเสียแรงเปล่า เจ้าชอบลาดตระเวนชายแดนมิใช่หรือ ไม่อยากตัดฟืนในเขตแดน


 


 


ซีเหลียงหน่อยหรือ ข้ามทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงไปก็มีโจรลักม้าอยู่ไม่น้อย ฐานะของพวกเขาเฟื่องฟูกว่าโจรเขาเอ้อร์หลง ข้าบังเอิญมีแผนที่เส้นทางอยู่ที่นี่พอดี สามารถหาผู้นำทางให้เจ้าได้” สวีโย่วโยนเหยื่อล่อชิ้นใหญ่


 


 


หลายวันมานี้เขาไม่ว่างแม้แต่นิดเดียว เคลื่อนพลทหารคนสนิททหารลับของตนทั้งหมด เพื่อที่จะเอาใจหญิงงามให้ได้ เขารู้ว่าเด็กคนนี้ของเขาชอบออกรบและชอบเงินทอง


 


 


เสิ่นเวยสนใจดั่งคาด “จริงหรือ!” หากกวาดล้างโจรลักม้าได้ ทหารและประชาชนเมืองชายแดนก็จะสบายขึ้นมาก อีกทั้งยังประหยัดเงินของนางได้ด้วย อืม เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย


 


 


“แน่นอนว่าจริง พวกเราสองคนเป็นอะไรกัน ของข้าก็คือของเจ้ามิใช่หรือ” สวีโย่วพูดจาหวานซึ้งขึ้นมาโดยไม่กดดันเลยแม้แต่นิดเดียว ประโยคแรกไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย แต่พูดไปพูดมาก็คล่องขึ้นแล้ว


 


 


เสิ่นเวยคิดๆ ดูก็ถูก จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้แล้ว สวีโย่วก็เป็นของนางแล้ว นับประสาอะไรกับของของเขาเล่า “ได้ ตกลง!” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีความสุข เหลือบซ้ายแลขวา เห็นว่าไม่มีคน เขย่งปลายเท้าหอมแก้มเขาด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้นก็วิ่งออกไปราวกับปลาตัวน้อยหนึ่งตัว “รอก่อนนะ ข้าจะไปช่วยท่านพูดเอง”


 


 


สวีโย่วตะลึงงันไปทั้งร่าง เด็กน้อยจูบเขา ค…คาดไม่ถึงว่าเขาถูกเด็กน้อยแต๊ะอั๋ง เขายื่นมือไปลูบตำแหน่งที่ถูกจูบ เหลือเชื่อเล็กน้อย มีความรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า


 


 


หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะ ดวงตาที่แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะอึมครึมพลันอ่อนโยนขึ้น เป็นเด็กโง่จริงๆ แม้แต่จูบคนยังทำไม่เป็น ต้องจูบที่ปากสิ มีที่ไหนกันจูบบนหน้า แต่ว่าไม่เป็นไร เด็กน้อยของเขา เขาจะต้องสอนเป็นอย่างดีแน่


 


 


ทันใดนั้นเขาก็เสียดายเล็กน้อย เหตุใดเขาถึงปล่อยให้เด็กคนนั้นวิ่งหนีไปเล่า เขาเองก็ควรจะจูบกลับสิ รสชาติบนริมฝีปากของเด็กน้อยคนนั้นจะต้องดีอย่างยิ่งแน่นอน


 


 


สวี่โย่วยิ้มครู่หนึ่ง เสียใจครู่หนึ่ง ท่าทางสับสนอย่างถึงที่สุด


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเสิ่นเวยที่วิ่งหนีไปกว้างขึ้นเรื่อยๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ ท่าทางงุนงงเช่นนั้นของคุณชายใหญ่สวีหลังถูกนางซุ่มโจมตีทำให้นางมีความสุขอย่างยิ่ง


 


 


กระทั่งเข้าไปในห้องท่านปู่นางเสิ่นเวยก็ยังยิ้มอยู่ นางพูดกับท่านปู่เช่นนี้ “ท่านปู่ เมื่อครู่คุณชายใหญ่สวีบอกว่าจะช่วยพวกเรากวาดล้างโจรลักม้ากับชาวซีเหลียงที่ทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงฝั่งนั้น เห็นแก่เงินและเสบียงท่านก็อย่าได้ถกเถียงกับเขาเลย”


 


 


ไม่สนว่าปู่นางจะเห็นด้วยหรือไม่ นางก็หันหลังกลับเดินออกไปแล้ว หึๆ ตอนนี้นางคันไม้คันมือยิ่งนัก ฆ่าคนปล้นทรัพย์กิจกรรมนี้นางชอบที่สุดเลย


 


 


อ้อ กลุ่มโจรลักม้าที่รัก รอก่อนเถอะ คุณชายเช่นข้า อ้อไม่สิ คุณหนูเช่นข้ามาแล้ว!


 


 


สถานที่ที่มีแหล่งน้ำกลางทุ่งกว้างถูกเรียกว่าโอเอซิส และทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงก็คือโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดท่ามกลางที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ บริเวณร้อยลี้รอบริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงมีกลุ่มโจรลักม้าเล็กๆ ใหญ่ๆ ไม่น้อยเคลื่อนไหวอยู่ พวกเขาใช้ม้าเร็ว คุ้นเคยกับทุ่งหญ้าเป็นอย่างดี ปล้นกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางไปมา กระทั่งคนกลุ่มเดียวกัน สุดท้ายกลุ่มที่มีชีวิตอยู่รอดล้วนเป็นกลุ่มที่โหดเ**้ยมมีกำลังแข็งแกร่ง คนที่อ่อนแอไม่ถูกรวมเข้าเป็นพรรคพวก ก็ต้องไปร้องขอชีวิตอยู่ที่ชายขอบซึ่งห่างไกลจากทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง


 


 


ช่วงนี้ทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงมีโจรลักม้าที่ห้าวหาญมากเป็นพิเศษกลุ่มหนึ่ง มีประมาณสองร้อยคน หัวหน้าเป็นคุณชายวัยหนุ่มสองคน คนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบปี คนเรียกว่าคุณชายใหญ่ อีกคนหนึ่งท่าทางเพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกปี คนเรียกว่าคุณชายสี่ รูปร่างคนทั้งสองผอมบางเป็นเป็นพิเศษ ราวกับบัณฑิตขี้โรค แต่คนทั้งสองที่เหมือนบัณฑิตขี้โรคนี้กลับทำให้โจรลักม้าทั้งหมดปวดหัวอย่างถึงที่สุด


 


 


โจรลักม้ากลุ่มนี้เพิ่งจะมาได้เพียงแค่ไม่กี่วันก็โจมตีกลุ่มโจรลักม้าไปแล้วสามกลุ่ม ไม่รับเข้าเป็นพวก ไม่เหลือพยานไว้แม้แต่คนเดียว ฝีมือโหดเ**้ยมจนทำให้คนเดือดดาล


 


 


กล่าวกันว่าคุณชายสี่ผู้นั้นใช้ดาบยาวที่แปลกประหลาดหนึ่งเล่ม ดาบฟันเข้ามาศีรษะคนก็หล่น แหลมคมยิ่งนัก คุณชายใหญ่ผู้นั้นกลับไม่ลงมือ เพียงแค่ยืนชี้อยู่ตรงนั้น ผ่านการชี้ของเขา ดาบยาวของคุณชายสี่ก็ตวัดสังหารรวดเร็วยิ่งขึ้น


 


 


ด้วยเหตุนี้ กลุ่มโจรลักม้าสองกลุ่มที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในละแวกใกล้เคียงทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงจึงตัดสินใจจะร่วมมือกัน แม้ว่าพวกเขาแต่ละกลุ่มจะมีถึงสามร้อยกว่าคนแล้ว เดิมก็ไม่ได้เห็นโจรลักม้าสองร้อยคนนี้ที่มาใหม่อยู่ในสายตา รู้สึกว่าข่าวลือต่างๆ ก็เป็นเพียงข่าวที่แสร้งปล่อยเพื่อเขย่าขวัญเท่านั้น


 


 


ทว่าเมื่อคืน โจรลักม้าสองร้อยคนที่พวกเขาไม่ได้ใส่ใจกลุ่มนี้กลับกวาดล้างกลุ่มโจรลักม้าเกือบสี่ร้อยคนกลุ่มหนึ่ง ใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม จะไม่ให้โจรลักม้าทั้งหมดอกสั่นขวัญหายได้อย่างไร ถูกสังหารจนกลัวแล้วจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 163-1

 

ณ ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง


 


 


เสิ่นเวยนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาเบาๆ ผมที่งดงามของนางพลิ้วไหวอยู่ในสายลม


 


 


เจียงไป๋กับเจียงเฮยก่อไฟด้วยความชำนาญ ปลาที่ย่างอยู่บนตะแกรงส่งกลิ่นเผาหอมยั่วน้ำลายออกมา เจียงไป๋ถือปลาหนึ่งไม้ที่ย่างเสร็จแล้วส่งให้คุณชายของเขา “คุณชาย ท่านลองชิมดู”


 


 


เจียงเฮยเห็นท่าทีก็อยากลากน้องชายแสนโง่ผู้นี้กลับมาจริงๆ เจ้าจะนำไปให้อย่างไรก็ต้องให้สองไม้มิใช่หรือ ให้เพียงแค่ไม้เดียวหมายความว่าอย่างไร จะถึงปากคุณชายได้อย่างไร รอย่างไม้ที่สองเสร็จก่อนแล้วค่อยนำไปให้พร้อมกันไม่ได้หรือ ปกติเขาก็รู้ว่าน้องชายใจร้อนจึงไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ความร้ายแรงของปัญหาปรากฏออกมาแล้วสินะ


 


 


เป็นดังคาด สวีโย่วรับปลาย่างมาไม่มีแม้แต่ความคิดจะอ้าปาก ส่งให้เสิ่นเวยทันที “ย่างเสร็จแล้ว รีบกินเถอะ”


 


 


เสิ่นเวยหิวแล้วจริงๆ นางเองก็ไม่เกรงใจเขา รับปลาย่างเข้ามาแล้วก็กัดทันที เพียงชั่วครู่ปลาย่างหนึ่งตัวก็เหลือเพียงแต่ก้างปลาตรงกลาง เสิ่นเวยพึมพำอยากกินอีกไปพลางกล่าวอย่างจับผิดไปพลาง “ฝีมืองั้นๆ ห่างชั้นกับเสี่ยวตี๋ของข้า เสี่ยวเฮยยังต้องพยายามให้มากกว่านี้นะ”


 


 


เจียงไป๋ที่กำลังจะถือปลาย่างเดินเข้ามาได้ยินเข้าก็แทบจะสะดุดล้ม แย่งปลาย่างของคุณชายแล้วยังพูดจาเช่นนี้อีก คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นช่าง ช่าง…เขาสรรหาคำพูดไม่ได้จริงๆ


 


 


เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่งกล่าวอย่างไม่สบายใจ “เสี่ยวไป๋ ไม่ใช่ว่าข้าว่าเจ้า แต่เจ้าก็ลำเอียงเกินไปแล้ว เหตุใดถึงเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้เล่า ข้านั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้แต่เจ้าเห็นแค่คุณชายของเจ้างั้นหรือ” ไม่รู้จักคำว่าเลดี้เฟิร์สหรือ มิน่าเล่าอายุเท่านี้แล้วยังหาภรรยาไม่ได้


 


 


“นี่ เอามาสิ ขอบคุณนะ” เสิ่นเวยยื่นมือแย่งปลาย่างในมือเขามาอีกครั้ง จรดไว้ใต้จมูกดมครู่หนึ่ง ทำท่าทางหลงใหลอย่างยิ่งออกมา


 


 


เจียงไป๋กำลังจะบอกว่านี่เป็นของคุณชายก็เห็นคุณชายของตนกวาดสายตามองเขานิ่งๆ เขาปิดปากไม่กล้าส่งเสียงทันที


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “นี่ บ่าวภักดีของท่านตั้งใจเอามาให้ท่าน มา ท่านชิมสักคำสิ” เสิ่นเวยยื่นปลาย่างเข้าไปใกล้มุมปากสวีโย่ว ตอนที่พูดคำว่าบ่าวภักดีก็เอ่ยเสียงหนัก


 


 


สวีโย่วยิ้มแต่ยังก้มหน้าลงไปกัดปลาในมือเสิ่นเวยไปหนึ่งคำจริงๆ เคี้ยวพลางพยักหน้า “ไม่เลว เจ้ารีบกินตอนร้อนๆ เถอะ”


 


 


คำเดียวจริงๆ ปลาย่างที่เหลืออยู่ลงไปในท้องของเสิ่นเวยอีกครั้ง นางลูบท้องพลางเรอออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าไม่พอใจของเจียงไป๋ นางปัดมือลุกขึ้นยืนกล่าวต่อว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าอย่าเพิ่งขุ่นเคือง ระดับของเสี่ยวเฮยนั้นข้าก็แค่ไม่เรื่องมากยอมกินๆ ไป มาๆ เดี๋ยวจะให้เจ้าได้ลองชิมว่าอะไรคือปลาย่างต้นตำรับ เถาฮวา เอาวัตถุดิบของพวกเราออกมา”


 


 


เถาฮวาที่นั่งกินปลาย่างอยู่ข้างๆ เจียงเฮยโยนปลาย่างในมือทิ้งและวิ่งออกไปทันที ไอ๊หยา คุณชายจะลงมือทำเอง ใครจะทนกินปลาที่ไร้รสชาตินี้ได้อยู่อีก ต้องเหลือท้องไว้กินมื้อใหญ่แล้ว


 


 


เสี่ยวเฮยก็แอบไว้อาลัยให้น้องชายอย่างอดไม่ได้     เจ้านายเล่นลูกไม้ บ่าวเช่นเจ้าก็คิดจะเล่นด้วยหรือไร


 


 


เสิ่นเวยออกเดินทางทีไรมักจะเตรียมตัวพร้อมเสมอ เพื่อให้ตัวเองสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้นางถือแปรงเล็กกำลังทาน้ำผึ้งลงบนตัวปลา เมื่อปลาถูกเปลวไฟเผาก็ส่งเสียงดังซู่ๆ เสิ่นเวยตั้งใจโรยเครื่องปรุงรสต่างๆ แล้วพลิกไม้ไปมา เส้นผมงามบนหน้าผากร่วงลงมานางก็ยังไม่รู้ตัว


 


 


สวีโย่วจ้องมองเสิ่นเวยอย่างไม่อาจละสายตาได้ เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองจึงจะไม่ยื่นมือไปลูบใบหน้ารูปไข่ที่แดงก่ำเพราะไอร้อนของนาง เถาฮวาเองก็มองไม่ละสายตา เพียงแต่เป้าหมายอยู่ที่ตัวปลาที่ย่างอยู่บนไฟ


 


 


กลิ่นหอมฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เถาฮวารอไม่ไหวแล้ว เร่งถามไม่หยุด “คุณชาย เสร็จแล้วหรือยัง” แม้แต่เจียงเฮยกับเจียงไป๋ก็กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้เช่นกัน


 


 


“เอ้า ลองชิมสิ” เสิ่นเวยส่งปลาที่ย่างเสร็จแล้วให้สวีโย่วกับเถาฮวา จากนั้นก็วางปลาสองตัวลงไปบนตะแกรงด้วยความคล่องแคล่วอีกครั้ง น่าเสียดายที่ครั้งนี้เจียงไป๋กับเจียงเฮยยังไม่ทันได้กินก็ถูกสวีโย่วกับเถาฮวาจอมตะกละคว้าไปอีกครั้ง กระทั่งสองคนนี้กินอิ่ม เจียงเฮยกับเจียงไป๋ถึงจะได้กินปลาเล็กสองตัวสุดท้ายลงท้องอย่างเสียไม่ได้ ระดับความอร่อยนั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะชวนให้คนกลืนลิ้นลงไปในท้องพร้อมกันได้เลยทีเดียว


 


 


ปลาเล็กสองตัวยังไม่พอให้พวกเขาทั้งสองอิ่มได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นปลาสองตัวสุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงทำได้เพียงเคี้ยวเสบียงแห้งด้วยความขมขื่น ต่อมรับรสชาติที่ได้รับรสปลาอร่อยมาแล้วจะกลืนเสบียงแห้งกรังไร้รสชาติลงได้อย่างไร


 


 


เจียงเฮยนั้นยังดี แต่เจียงไป๋ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังเคือง คุณหนูสี่ตั้งใจทำให้พวกเขาลำบากใช่หรือไม่ ดวงตาทั้งคู่ของเจ้านายที่เดิมทีควรจะดูแลเขากลับติดอยู่บนร่างคุณหนูสี่ ไหนเลยจะยังเห็นเขา เจียงไป๋กลุ้มใจแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่านายท่านแต่งภรรยาก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป


 


 


ห่างจากเสิ่นเวยและคนอื่นๆ ไปอีกสิบก้าวมีคนหนึ่งกลุ่มกำลังพักเท้าอยู่ พวกเขาเอาเนื้อวัวแห้งออกมาเคี้ยวคำใหญ่ๆ แต่กลับถูกกลิ่นหอมของปลาที่ลอยเข้ามาจากฝั่งเสิ่นเวยทำให้จิตใจว้าวุ่น เนื้อวัวแห้งที่เมื่อก่อนยังนับว่าอร่อยก็ยิ่งดูไร้รสชาติเหมือนอย่างเดิม


 


 


หัวหน้าที่ผูกผ้าแดงไว้บนคอผู้นั้น ท่าทางอายุประมาณสามสิบปี กล้ามแขนเป็นมัดๆ ล้วนแต่เป็นกล้ามเนื้อเส้นเอ็น เขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรลักม้าที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดกลุ่มนี้ คนเรียกว่าลูกพี่หู


 


 


เขาเคยเป็นนักโทษหลบหนีที่ลี้ภัยไปทั่วทุกหนแห่ง ต้องคดีใหญ่ที่เจียงหนาน ฆ่าคนทุกระดับชั้นในครอบครัวภรรยาไปหลายสิบคน แม้แต่เด็กทารกเพียงไม่กี่เดือนก็ไม่เว้น ถูกประกาศจับ ไม่มีที่หลบหนีแล้วจริงๆ จึงหนีมาเป็นโจรลักม้าที่ชายแดนซีเจียง


 


 


ตอนที่เขาเข้ามาในกลุ่มโจรลักม้ากลุ่มนี้ โจรลักม้ากลุ่มนี้ยังไม่ได้มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด หลังเขามาได้สองเดือนก็ฆ่าลูกพี่คนก่อนทิ้ง ใช้วิธีโหดเ**้ยมขู่โจรลักม้าทั้งหมดให้ยกเขาขึ้นเป็นหัวหน้า เขาเองก็มีฝีมือและความสามารถจริงๆ กล้าฆ่ากล้าสู้ ค่อยๆ พาโจรม้ากลุ่มนี้เดินมาถึงยุคที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุด


 


 


ลูกพี่หูเผด็จการจนเคยชินแล้ว ไหนเลยจะทนความอัดอั้นนี้ได้ เขาโยนเนื้อวัวแห้งในมือทิ้งแล้วจึงเดินไปหาเสิ่นเวย เพิ่งจะเดินไปได้ก้าวเดียวก็ถูกลูกน้องคนสนิทของเขารั้งไว้ “พี่ใหญ่ ช้าก่อน”


 


 


ลูกพี่หูใช้สายตาไต่ถาม ลูกน้องคนสนิทเหลือบมองไปทางเสิ่นเวยปราดหนึ่งกล่าวอะไรบางอย่างเบาๆ


 


 


ลูกพี่หูตกใจ จากนั้นก็หันหลังกลับมานั่งกล่าวถามเสียงต่ำ “มั่นใจหรือว่าเป็นพวกเขา”


 


 


ลูกน้องคนสนิทขมวดคิ้ว ส่ายหน้า “เหมือนยิ่งนัก แต่ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่พวกเขาหรือไม่” เขามองคนไม่กี่คนที่ดูเหมือนกำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่ จากนั้นจึงกล่าว “ฝั่งนั้นเป็นคุณชายสองคนจริงๆ อีกทั้งยังอ่อนแออย่างยิ่ง แต่อาวุธกลับต่างออกไป เมื่อครู่ข้าตั้งใจดู บนม้าพวกเขาเป็นกระบี่ยาวเสียส่วนใหญ่ ไม่มีดาบ อีกทั้งฝั่งพวกเขายังมีเด็ก บนร่างก็ไม่มีไอสังหาร”


 


 


ลูกพี่หูสีหน้าเคร่งขรึมเหลือบมองไปทางฝั่งนั้น พบว่าเป็นอย่างที่ลูกน้องพูดจริงๆ ดวงตาที่ดุร้ายของเขากะพริบวาบ กล่าว “พวกเราปะทะพวกเขามีความเป็นไปได้ในการชนะเท่าไร”


 


 


เดิมลูกพี่หูยังไม่ได้สนใจอะไร แต่ว่าอยากเข้าไปหาเรื่องพวกเขา ตอนนี้รู้สึกว่าคนไม่กี่คนนี้อาจจะเป็นคุณชายสองท่านที่มาใหม่ ลูกพี่หูก็สนใจขึ้นมา ตามหลักการยอมสังหารพลาดแต่จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดรอดไป อยากจะฆ่าล้างพวกเขาเสียที่ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงแห่งนี้จริงๆ


 


 


หากไม่ใช่ สำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่หากใช่เล่า เขาไม่เชื่อว่าพวกเขายี่สิบกว่าคนนี้จะสู้ผู้ใหญ่สี่คนกับเด็กอีกหนึ่งคนไม่ได้ ลูกพี่หูเชื่อมั่นในตัวคนที่ตนพามาอย่างถึงที่สุด


 


 


คิดถึงตรงนี้ ลูกพี่หูก็สบตากับลูกน้องปราดหนึ่ง ทั้งสองกล่าวเสียงต่ำสองสามประโยค ลูกน้องผู้นั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเสิ่นเวย


 


 


“คารวะสหายทั้งหลาย ลูกพี่ของพวกข้าถูกใจฝีมือของสหายทั้งหลาย ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติไปช่วยสักหน่อยได้หรือไม่” โจรลักม้าที่เข้ามากล่าวด้วยความหยิ่งยโสอย่างถึงที่สุด


 


 


เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ตกใจ หลังจากนั้นจึงเข้าใจเจตนาของโจรลักม้ากลุ่มนี้ อดก่ายหน้าผากพร้อมกันอย่างอดไม่ได้ พวกตาไม่มีแววจากไหนกัน เข้ามารนหาที่ตายหรือ


 


 


แววตาเสิ่นเวยมีความเจ้าเล่ห์แวบผ่าน กระทุ้งแขนสวีโย่ว “นี่ เสี่ยวโย่วโย่ว เขามาให้ท่านไปช่วยน่ะ” ช่วยอะไร ไม่ใช่ไปรับใช้คนหรอกหรือ


 


 


สวีโย่วมองเสิ่นเวยอย่างเฉยเมยปราดหนึ่ง “เขามาหาเจ้ามิใช่หรือ เสี่ยวเวยเวย” เด็กคนนี้นับวันยิ่งเหยียบจมูกขึ้นหน้า[1] จะจัดการนางอย่างไรดี หรือว่าจะกดนางไว้ในพงหญ้าแล้วจูบแรงๆ สักรอบหนึ่งดี สวีโย่วมองปากเล็กๆ ที่ชุ่มชื้นของเสิ่นเวย รู้สึกว่าความคิดนี้ดีจริงๆ


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา กล่าวอย่างดูถูก “มาหาข้าก็เท่ากับหาท่านไม่ใช่หรือ ท่านคิดว่าท่านมีหน้ามากไม่ใช่หรือ” เรื่องบางเรื่องย่อมต้องผลักคุณชายใหญ่ออกไปข้างหน้า ใครให้เขามีชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของนางเล่า


 


 


สวีโย่วเอียงหน้าแสร้งทำเป็นคิดครู่หนึ่งจริงๆ “มีเหตุผล หากเจ้าไป ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ผู้หญิงของเขาสูงส่งล้ำค่า อย่าว่าแต่โจรลักม้าเล็กๆ ต่อให้เป็นพระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่มีเกียรติมากพอที่จะสั่งให้นางรับใช้ได้


 


 


คนทั้งสองพูดจาไม่เกรงกลัวใครเช่นนี้ ไม่สนใจโจรลักม้าผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง โจรลักม้าจึงโมโห “พูดดีๆ ไม่ฟัง ต้องใช้กำลังบังคับใช่หรือไม่ ไว้หน้าแล้วไม่สนใจใช่หรือไม่ พี่น้องมาตรงนี้ มาสร้างสีสันให้พวกเขาดูเสียหน่อย” โจรลักม้าหันหน้ากลับตะโกน ลูกพี่หูนำโจรลักม้าทั้งหมดถืออาวุธล้อมเข้ามาด้วยท่าทางโหดเ**้ยมดุร้าย


 


 


ดวงตาของเสิ่นเวยเปล่งประกายแล้ว ท่าทางเมินเฉยเป็นอันธพาล ตะโกนกล่าว “เฮ้อ อยากตีก็พูดมาตรงๆ สิ จะหาข้ออ้างทำไม เถาฮวา จัดการพวกเขา”


 


 


ปากพูดอยู่มือก็กดลงบนเอว ตัวคนเองก็พุ่งออกไปแล้ว ฟันลูกพี่หูอะไรนั่นหนึ่งคราทันที ลงมือก่อนได้เปรียบ เสิ่นเวยเข้าใจสัจธรรมในคำพูดนี้อย่างถึงที่สุด


 


 


ลูกพี่หูไม่คิดว่าเด็กหนุ่มที่ราวกับไก่อ่อนผู้นี้จะไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ชักกระบี่แล้ว เขาโมโหเดือดดาลเช่นกัน หลบกระบี่นี้ไปได้ ยกดาบหัวกะโหลกขึ้นโจมตีมาที่เสิ่นเวย


 


 


โจรลักม้าทั้งหมดเห็นลูกพี่ลงมือแล้ว ยังจะรออะไรอีก โจมตีสิ ชั่วขณะ คนห้าคนฝั่งเสิ่นเวยก็สู้รบกับโจรลักม้ายี่สิบกว่าคน


 


 


 


 


 


 


[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า ฝ่ายหนึ่งให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะสนใจ กลับวางท่าได้ใจยิ่งขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)