กระบี่จงมา 161.2-162.3
บทที่ 161.2 แม่น้ำและภูเขาย่อมมีวันต้องจากลา
โดย
ProjectZyphon
แสงจันทร์และแสงดาวอ่อนจาง ลมเย็นโชยพัดใบหน้า
บนใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของเด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วมีความกลัดกลุ้มจางๆ ผุดขึ้นมา เขายิ้มขื่นกล่าวว่า “หลังจากที่ข้าออกจากบ้านเกิดก็เดินทางรอนแรมไกลไปขอศึกษาต่ออย่างพวกเจ้าเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเดินทางไกลกว่าเจ้ามากนัก เนื่องด้วยปณิธานสูงและจิตใจที่หยิ่งทระนง ในที่สุดก็ยอมขายหน้าใครใหญ่ สุดท้ายด้วยความโมโหจึงกราบไหว้ขอเป็นศิษย์ในสำนักของซิ่วไฉเฒ่า ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่ายังมีชื่อเสียงไม่มาก ความรู้บางส่วนของเขาก็ถูกมองว่ามีแนวโน้มของความนอกรีต ดังนั้นข้าก็คือลูกศิษย์คนแรกของเขา”
“คนแซ่จั่ว ฉีจิ้งชุน คนเหล่านี้ต่างก็ทยอยกันเข้ามาเป็นลูกศิษย์ในสำนักของตาเฒ่า อันที่จริงลูกศิษย์เข้าสำนักนั้นมีไม่มาก ซิ่วไฉเฒ่าคือคนที่ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องอธิบายอย่างละเอียด ยามที่ถ่ายทอดความรู้ หลักการง่ายๆ ที่อธิบายไม่กี่คำก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน เขากลับสามารถพูดได้เป็นวันๆ จึงไม่มีกำลังเหลือให้รับลูกศิษย์ใกล้ชิดไว้ติดตามตัวได้มากเกินไปนัก ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อมีมากหน่อย ส่วนพวกคนที่ยอมเรียกตัวเองว่าเป็นสุนัขรับใช้ในสำนักของเหวินเซิ่งก็ยิ่งมีจำนวนมหาศาล เหมือนปลาในแม่น้ำที่มีมากจนนับไม่ถ้วน”
“ส่วนอาเหลียงนั้นก็ยิ่งรู้จักกับซิ่วไฉเฒ่าก่อนหน้าข้าเสียอีก แรกเริ่มอาเหลียงบุกมาเพื่อจะเล่นงานซิ่วไฉเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่าเป็นใครกันล่ะ ฝีปากนั้นของเขาร้ายกาจนักแล การโต้วาทีของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าที่จะจัดขึ้นทุกๆ หกสิบปีคือเรื่องอันตรายอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่มีที่สอง! มีชาวพุทธและเต๋ามากเท่าไหร่ที่ต้องพลัดตกลงสู่วิถีมาร กลายมาเป็นพวกนอกรีตที่น่าสงสารในระบบลัทธิของตัวเอง ความมีหน้ามีตาในกาลก่อน ความอเนจอนาถน่าสมเพชในกาลหลัง ช่างน่าเวทนาจนไม่อาจทนมอง ก่อนที่ข้าจะทรยศต่อสำนัก ได้เสนอความคิดเห็นข้อนั้นของตัวเองออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะช่วย…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ชายชาตรีไม่พูดถึงความกล้าหาญในอดีต ความจริงก็คือมีแต่ซิ่วไฉเฒ่าคนเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วมการโต้วาทีสองครั้งในประวัติศาสตร์ติดต่อกัน ประเด็นสำคัญก็คือเขายังเถียงชนะคนอื่นทั้งสองครั้ง ช่างเถอะๆ ตอนนี้อาจารย์ยังไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ จะอย่างไรซะซิ่วไฉเฒ่าในเวลานั้น จุ๊ๆ หากจะพูดว่าเขาเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในใต้หล้าก็ไม่เกินไปเลย ความเลิศล้ำเป็นเอกที่ถูกขนานนามว่า ‘การศึกษาหนึ่งสำนัก ดั่งจันทราเจิดจ้ากลางท้องนภา’ หากไม่ใช่บัณฑิตก็ไม่มีทางเข้าใจได้เด็ดขาด หาไม่แล้วท่านคิดว่าแค่ตำแหน่งซิ่วไฉที่น่าสงสารของตาเฒ่าจะถูกคนเชื้อเชิญไปบูชาในศาลเจ้าบุ๋นได้อย่างไร? แถมยังขยับตำแหน่งรุดหน้าไปเบื้องบนอย่างต่อเนื่อง? ภายหลังแคว้นเล็กที่ซิ่วไฉเฒ่าอยู่ยังถึงขั้นอยากจะอวยยศให้เขาเป็น ‘บรรพบุรุษจ้วงหยวน’ ด้วยซ้ำ แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่ต้องการ ต้องอัดอั้นตันใจแทบตาย ท่านคิดว่าเป็นเพราะเหตุใดล่ะ?”
“สรุปก็คือไปๆ มาๆ ตาเฒ่าก็พูดกล่อมซะจนอาเหลียงมึนงง ศัตรูสองคนกลับกลายมาเป็นสหายร่ำสุราที่สนิทกันมากที่สุด ตำแหน่งของซิ่วไฉเฒ่าขยับสูงมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่สองต่างได้รับผลประโยชน์ ความสัมพันธ์จึงดีมากมาโดยตลอด อาเหลียงสนิทกับข้า ฉีจิ้งชุนและเจ้าคนแซ่จั่วมากที่สุด อาเหลียงลำบากเพื่อพวกเราสามคนไม่น้อย โดยเฉพาะเพื่อฉีจิ้งชุนกับเจ้าคนแซ่จั่วที่ทำให้เขาต้องต่อสู้อย่างดุเดือดจนเรียกว่าพลิกฟ้าพลิกดิน ห้าวเหิมสาสมใจ!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยกยิ้มอย่างรู้ใจ “ทุกครั้งที่กลับมา อาเหลียงจะต้องมาโม้ให้พวกเราสามคนฟังเสมอ อย่างเช่นพูดว่า ‘ขนาดเช็ดก้นให้ลูกหมาสามตัวอย่างพวกเจ้ายังห้าวหาญขนาดนี้ ข้านี่ห้าวหาญจริงๆ’ หรือไม่ก็ ‘พวกเจ้าไม่รู้อะไร วันนี้ข้าบุกไปสังหารในสำนักแห่งนั้น เซียนแต่ละคนของที่นั่นเจ็บใจกันอย่างยิ่งที่ตบะของตัวเองไม่สูงมากพอ หาไม่แล้วจะต้องถลกหนังเขมือบหัวข้าอาเหลียงทั้งเป็นแน่นอน เฮ้อ บุรุษทนรับน้ำใจจากสาวงามไม่ได้มากที่สุด พวกเจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจหรอก’”
ชุยฉานดื่มเหล้าหนึ่งอึก “อาเหลียงมีนิสัยข้อหนึ่งที่ดีมาก เขาไม่เคยคุยโวโอ้อวด ไม่เหมือนบัณฑิตอย่างพวกเรา”
คราวนี้ชุยฉานพูดไปเสียตั้งมากมาย สุดท้ายเอ่ยกับเฉินผิงอันที่ตัวเองนั่งหันหลังให้ว่า “เอาล่ะ ก็เหมือนท่าน ข้าเองก็สบายใจขึ้นเยอะมาก”
เฉินผิงอันหลับตาฝึกท่าเจี้ยนหลูเงียบๆ อยู่กับตัวเองนานแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าทุกถ้อยคำ เด็กหนุ่มล้วนรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่พลาดไปแม้แต่คำเดียว
ชุยฉานสีหน้าเรียบเฉย “พูดคุยเปิดใจ ไม่กระทบต่อภายหลังที่ข้ายังคงเป็นคนเลว เจ้าก็ยังเป็นคนดีต่อไป”
เฉินผิงอันลืมตา “ข้าจะลงไปฝึกเดินนิ่งต่อ”
ชุยฉานยิ้มกว้าง “ได้เลย”
หลังกระโดดลงจากรถม้ามาแล้ว เฉินผิงอันก็ก้าวเร็วๆ ฝึกเดินนิ่งอย่างเงียบเชียบ
ชุยฉานค่อยๆ หุบยิ้ม มือข้างที่ว่างยกกาเหล้ามาดื่มเหล้าอึกสุดท้าย พึมพำอย่างเหม่อลอยซึ่งไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าไม่น่ากลัวงั้นหรือ?”
ด้านหลังรถม้ามีเสียงดังขึ้น “ข้าได้ยินนะ”
ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์หูดียิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ซึ่งร้อยปีพันปียากจะพานพบสักครั้ง วันหน้าใต้หล้าทั่วยุทธภพไร้ศัตรูต่อกร เตรียมนับวันรอได้เลย!”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะสวนกลับเขาไปหนึ่งประโยคอย่างไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก “ข้าต้องขอบใจเจ้าสินะ”
……
บนเส้นทางย้อนกลับไปยังบ้านเกิดยังคงต้องเดินผ่านภูเขา แล้วก็ต้องข้ามแม่น้ำเหมือนเดิม
รถม้าคันนั้นถูกขายไปพร้อมกับม้าแล้ว ชุยฉานขายได้ราคาสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง จากนั้นก็ซื้อหีบหนังสืองดงามใบหนึ่งให้กับตัวเองเพื่อยัดของมีค่าที่แต่เดิมมีอยู่ในห้องโดยสารเข้าไป
เมื่อเทียบกับตอนเดินทางไปศึกษาต่อก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันสามารถใช้เวลาว่างมากกว่าเดิมมาฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขา รวมไปถึงวิชาโคจรลมปราณสิบแปดหยุดอย่างลึกซึ้ง
ขอแค่ไม่มีฝนตกหนัก เขาจะฝึกวันละสองครั้งคือช่วงเช้าและช่วงเย็น การเดินนิ่งของเฉินผิงอันจะเนิบช้าอย่างมากราวกับว่ายังคงนำพาพวกหลี่เป่าผิงและหลี่ไหวฝึกหมัดมวยอยู่ด้วยกัน
ข้างกายเขามีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่ต่อยหมัดไปพร้อมๆ กัน ท่าทางของเขาคล่องแคล่วราบรื่นดุจเมฆาคล้อยดั่งวารีไหลรินยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
ทุกครั้งที่พบภูเขาสูงหรือแม่น้ำกว้างใหญ่ ชุยฉานจะต้องท่องคัมภีร์ของมหาปราชญ์เสียงดัง แม้เฉินผิงอันจะไม่ออกเสียง แต่ก็จะต้องท่องตามไปในใจเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว
คนทั้งสองไม่พูดคุยกันด้วยถ้อยคำจากหัวใจที่แท้จริงเหมือนตอนอยู่บนทางหลวงนอกเมืองหลวงต้าสุยคืนนั้นอีกแล้ว ช่วงเวลาส่วนใหญ่มักจะไม่พูดคุยกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บางครั้งที่ชุยฉานจะแอบหลบออกไปนอกการมองเห็นของเฉินผิงอัน ตอนกลับมาก็มีทั้งอารมณ์ดีและอารมณ์ไม่ดี เฉินผิงอันเองก็ไม่เคยซักไซ้
และท่ามกลางเสียงล้อรถบดถนนที่ไม่เร่งไม่ร้อนนี้ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนในนามก็เดินทางจากต้นฤดูใบไม้ร่วงจนเข้าหน้าหนาวอย่างเรียบง่ายไร้เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ
เส้นทางที่เลือกเดินไม่ค่อยเหมือนกับขามา ชุยฉานเป็นคนเลือก ซึ่งเฉินผิงอันไม่มีข้อโต้แย้ง
และคนทั้งสองก็ได้เจอเรื่องประหลาดพิสดารอยู่บ้างเล็กน้อย บางครั้งก็มองดูอยู่ไกลๆ หรือไม่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง ยังคงทำให้เฉินผิงอันที่เดินทางจากต้าหลีไปถึงต้าสุยรู้สึกอัศจรรย์ใจและเหลือเชื่อ
ขณะที่คนทั้งสองกำลังเร่งเดินทางยามค่ำคืน ภายใต้แสงจันทร์ พวกเขามองเห็นเทพเซียนกลุ่มหนึ่งขี่กระบี่อยู่แถวทะเลสาบผืนใหญ่ทางทิศตะวันออกของต้าสุย ในมือพวกเขาต่างก็ถือห่วงโซ่เหล็กขนาดมหึมาคนละหนึ่งห่วง สุดท้ายเมื่อน้ำในทะเลสาบสั่นกระเพื่อมก่อเกิดเป็นคลื่นลูกยักษ์ เหล่าเซียนทั้งหลายก็ดึงเอาหินยักษ์ก้อนหนึ่งมาจากก้นทะเลสาบ หินนั้นใหญ่ดุจขุนเขา แต่กลับถูกดึงออกมาจากในทะเลสายทั้งอย่างนี้ ก่อนจะถูกพวกเขาขยับเคลื่อนผ่านกลางอากาศไปยังสำนักของตัวเอง
ชุยฉานอธิบายว่าระหว่างภูเขาและแม่น้ำล้วนมีวัตถุชั้นยอดที่มีปราณวิญญาณมารวมตัวกันมากมาย หากกองกำลังตระกูลเซียนบนภูเขาค้นพบเข้าก็มักจะชอบใช้เวทอภินิหารมาเก็บเอาไป หรือไม่ก็ย้ายไปไว้ในสำนักพรรคของตัวเอง มองมันเป็นสมบัติส่วนตัว ใช้มันมาช่วยสยบโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำ ชุยฉานยังพูดยิ้มๆ ว่า กองกำลังตระกูลเซียนนั้นนับว่ามีมโนธรรมแล้ว ถึงได้เลือกลงมือยามค่ำคืน อีกทั้งยังยอมลงทุนซื้อโซ่เหล็กกล้าราคาสูง หากเป็นตระกูลเซียนทั่วไป ไหนเลยจะยังสนใจเรื่องพวกนี้ คงทำเพียงแค่ซื้อโซ่เหล็กราคาถูกจำนวนมากมาอย่างไม่ใส่ใจ ส่วนข้อที่ว่าระหว่างที่ภูเขาร่วงลงสู่พื้นดินจะมีชาวบ้านธรรมดาประสบภัยหรือไม่ ที่ว่าการท้องถิ่นหรือจะกล้าคิดเล็กคิดน้อยด้วย เว้นเสียแต่ว่าจะร่วงลงกลางเมืองใหญ่ ไม่อาจปิดบังได้จริงๆ สุดท้ายแล้วอย่างมากกองกำลังตระกูลเซียนพวกนั้นก็จะแค่จ่ายเงินค่าทำขวัญพอเป็นพิธี
ระหว่างเทือกเขาสูงตระหง่านอันเป็นจุดตัดของต้าสุยกับแคว้นหวงถิง เฉินผิงอันได้เห็นปลาฝูงใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายปลาตะเพียน พวกมันถึงขนาดพากันย้ายถิ่นฐานอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรโดยใช้เส้นทางเลียบทางภูเขา แม้ทั่วร่างจะเปรอะไปด้วยโคลนก็ไม่เป็นอุปสรรค
ชุยฉานบอกว่านั่นคือปลาตะเพียนข้ามภูเขา พวกมันสามารถออกจากน้ำมาได้นานครึ่งเดือนโดยที่ไม่ตาย ปลาตะเพียนข้ามภูเขามีข้อเรียกร้องต่อคุณภาพน้ำในทะเลสาบสูงมาก หากคุณภาพน้ำของที่พักพิงเดิมเลวร้ายลงก็จะไม่อาจพักอาศัยอยู่ต่อไปได้อีก จึงต้องรีบย้ายบ้านทันที หากเป็นต้นกำเนิดน้ำที่ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมมากเท่าไหร่ ปลาตะเพียนข้ามภูเขาก็แพร่พันธ์ได้ดีมากเท่านั้น อีกทั้งในบรรดาปลาหนึ่งหมื่นตัวจะต้องมีปลาวิเศษที่ทั่วร่างเป็นสีเหลืองทองถือกำเนิดหนึ่งตัว ด้วยเหตุนี้โดยทั่วไปแล้วกองกำลังบนภูเขาจึงมักจะเต็มใจเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้เอาไว้ ใช้พวกมันเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มของสถานการณ์ เพื่อตัดสินสถานการณ์ของปราณวิญญาณในสำนักอย่างแม่นยำ
จากนั้นก็เป็นในตลาดที่คึกคักของเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งในแคว้นหวงถิง มีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคนที่กำลังขี่กระบี่อยู่ห่างจากพื้นมาไม่ถึงครึ่งจั้ง บินทะยานไปมาท่ามกลางกลุ่มคน ราวกับกำลังแข่งกันว่าฝีมือการควบคุมกระบี่ของใครยอดเยี่ยมกว่า ไม่สนใจความโกลาหลดุจไก่บินหมากระโดดของผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนเลยแม้แต่น้อย ชาวบ้านบางคนที่หลบไม่ทันก็จะถูกกระบี่บินที่คมกริบแทงจนบาดเจ็บ ล้มไปกองกับพื้นแล้วร้องครวญครางไม่หยุด
ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่ขยับมาใกล้ๆ เฉินผิงอัน หญิงชราคนหนึ่งตกใจจนเซถอยหลัง หลบซ้ายหลบขวาไปสองครั้ง จึงไปชนเข้ากับผู้ฝึกกระบี่คนนั้นที่เบี่ยงเส้นทางมาพอดีเข้าอย่างจัง ผู้ฝึกกระบี่ที่อายุน้อยไม่ยินยอมจะแพ้ให้กับสหายที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะไล่ตามมาทัน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล จึงรีบเพิ่มความเร็วพุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยตรง
หากเฉินผิงอันไม่ได้ดึงหญิงชราผู้นั้นให้พ้นทางมา เกรงว่านางคงถูกกระบี่นั้นแทงตายคาที่
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจ กลับยังหันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันอย่างดุดันด้วย
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคนที่สูงศักดิ์เหนือผู้ใดจึงพุ่งทะยานไล่ตามกันไปทั้งอย่างนี้
แม้ว่าชาวบ้านในเมืองจะหวาดหวั่นกับเหตุการณ์นี้ แต่กลับไม่มีใครคิดจะสืบสาวราวเรื่องให้รู้แน่ชัด แม้แต่เสียงด่ายังต้องกดให้แผ่วเบา
ชุยฉานที่มองดูดายอยู่ด้านข้างเอ่ยประโยคหนึ่งที่แสนผ่อนคลายว่า หากเป็นผู้ฝึกลมปราณคนอื่นที่ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็ยังไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในเขตเมืองของแคว้นหนึ่งเช่นนี้ นี่ก็เพราะผู้ฝึกลมปราณในโลกมีผู้ฝึกกระบี่ที่สูงศักดิ์และหายากที่สุด
หลังจากหญิงชราผู้นั้นเอ่ยขอบคุณและจากไปอย่างลนลานแล้ว เฉินผิงอันก็หมุนตัวหันไปมองยังทิศทางที่ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองจากไปเป็นนานกว่าจะดึงสายตากลับคืน
ชุยฉานกล่าวอย่างเฉยชา “จัดการไม่ได้ อีกอย่างจะจัดการอย่างไร? ไล่ตามไปฆ่าผู้ฝึกกระบี่สองคนนั้น? พวกเขาไม่ได้ฆ่าใครสักหน่อย หรือจะอธิบายเหตุผลให้พวกเขาฟัง ตักเตือนพวกเขาด้วยความหวังดีว่าวันหน้าอย่าทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีก? ถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว หมัดของเจ้าแข็งมากพอ บังคับให้พวกเขาเอ่ยปากตอบรับเจ้าได้ รอจนเจ้าจากไปแล้ว วันหน้าเขาก็ยังทำตัวเหมือนเดิม เจ้าจะทำอย่างไร? อารมณ์เสียหรือไม่? ข้าว่าต้องอารมณ์เสียมากแน่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ามีความสามารถอยู่เท่านี้ ไม่คิดจะไล่ตามไปหรอก”
“แต่ข้ากลับหวังว่าอาจารย์จะเข้าร่วมเรื่องสนุกในครั้งนี้ ข้าที่เป็นลูกศิษย์เอาแต่กินกับนอนมาตลอดทาง ให้ละอายใจยิ่งนัก จะดีจะชั่วก็ควรให้ข้าช่วยแก้ปัญหาขจัดภัยให้แก่อาจารย์บ้าง”
เฉินผิงอันสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ออกเดินต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยว่ากัน”
ชุยฉานก้าวเร็วๆ เดินตามไป ยิ้มตาหยีซักถามต่อ “อาจารย์ วันนั้นคือวันไหนหรือ?”
เฉินผิงอันตอบกลับไปหนึ่งประโยค “เอาเป็นว่าไม่ใช่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ชุยฉานวิ่งตุปัดตุเป๋ตามไปด้านหลัง “หากเป็นวันมะรืนก็ดีสิ ศิษย์อย่างข้าจะได้มีหน้ามีตากับเขาสักที”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้า พลันนึกขึ้นได้ว่ารอจนตนกลับไปถึงบ้านเกิดก็คงเป็นช่วงปีใหม่พอดี จึงคิดว่าควรจะซื้อกลอนคู่วันปีใหม่ไว้ล่วงหน้าก่อนดีหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าเมืองหงจู๋ของต้าหลีพวกเขาจะมีของพวกนี้ไม่มาก
และเวลานี้เอง ชุยฉานเองก็เงยหน้าขึ้น เพียงแต่ว่าเขามองไปยังหอเรือนสูงแห่งหนึ่งแล้วร้องเอ๊ะ ก่อนจะยกมุมปากขึ้นสูง “แหม น่าสนใจนะเนี่ย”
มองตามสายตาของชุยฉานไป เฉินผิงอันมองเห็นหอเรือนสูงแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นอยู่ในตัวเมือง บริเวณใกล้เคียงมีก้อนเมฆดำทะมึนที่ลมพัดพามา ท่ามกลางเมฆดำขยับสูงขึ้นไปพอจะมองเห็นประกายสายฟ้าวูบวาบได้เลือนราง แตกต่างจากทัศนียภาพที่สว่างไสวของพื้นที่อื่น ราวกับว่ามีเพียงพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้เท่านั้นที่จะมีฝนตก
ชุยฉานหันกลับมายิ้มให้ “อาจารย์ เรื่องสนุกนี้พวกเราต้องเข้าร่วมให้ได้! ตกลงกันไว้ก่อนเลยนะ หากอาจารย์ไม่เต็มใจไป ข้าจะไปคนเดียว อาจารย์ไปรอข้าที่หน้าประตูเมืองก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันดิ่งไปทางประตูเมืองทันที เพียงทิ้งไว้ประโยคเดียวว่า “หากถึงช่วงห้ามเข้าออกยามวิกาลแล้วเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะเดินทางไปต่อไม่รอเจ้า”
สีหน้าชุยฉานขมขื่นยิ่ง “อาจารย์ช่างใจร้าย”
เฉินผิงอันหันหลังให้ชุยฉาน ชูมือขึ้นแล้วยกนิ้วกลาง
ชุยฉานหน้าเปลี่ยนสีทันใด รีบโบกมือบอกลากับเฉินผิงอัน “ยิ่งอยู่นานอาจารย์ก็ยิ่งมีอารมณ์ขัน นับเป็นคุณความชอบยิ่งใหญ่ของศิษย์!”
เฉินผิงอันหดนิ้วกลางเปลี่ยนมากำเป็นหมัด
ชุยฉานรีบยกมือคารวะ “อาจารย์ค่อยๆ เดิน!”
บทที่ 162.1 เหล่าเด็กๆ ที่ถูกต้าสุยรังแก
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันเดินออกไปนอกประตูเมืองแล้วยืนพักอยู่ข้างถนนทางหลวงที่มีคนเดินเท้าสัญจรไม่ขาดสาย ห่างออกไปไม่ไกลมีร้านน้ำชาอยู่ร้านหนึ่ง
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เดินไปซื้อน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วนั่งลงดื่ม
เด็กหนุ่มที่แทบจะไม่เคยเสียใจกับเรื่องใดเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองออกมาจากเมืองหลวงต้าสุยเร็วเกินไป
ก็เหมือนอย่างที่ชุยฉานพูด หากพวกเป่าผิงถูกคนรังแก แล้วเขาไม่ได้อยู่ข้างกาย พวกเขาจะทำอย่างไร?
โลกทัศน์ของเฉินผิงอันไม่กว้างไกลนัก แต่สำหรับความดีเลวของใจคน ใช่ว่าเขาจะมองไม่ออก เพราะนับตั้งแต่เด็กก็มีชีวิตที่ยากแค้น ในอดีตเขาก็แค่คิดอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ อายุน้อยๆ ก็มีกลยุทธ์เอาตัวรอดมากมาย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเข้าใจหลักการที่ว่าชีวิตคนไม่อาจสมปรารถนาไปได้ทุกเรื่อง รวมไปถึงด้านอัปลักษณ์ในใจคนได้ดียิ่งกว่าพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีสามคน
โดยเฉพาะครั้งนี้ที่ได้เดินทางร่วมกับชุยฉาน อาศัยการพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับนักเรียนที่ได้มาเปล่าๆ คนนี้ เฉินผิงอันก็ยิ่งเข้าใจเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ว่ายิ่งหมวกขุนนางใหญ่ คนก็ยิ่งฉลาด แล้วก็ไม่ใช่ว่าความรู้มาก คนก็จะยิ่งนิสัยดี
เฉินผิงอันดื่มชา มองไปทางกำแพงเมืองแล้วตัดสินใจกับตัวเองเงียบๆ
……
ภูเขาตงหัว สำนักศึกษาซานหยา ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่แขวนป้ายคำว่า “ซงเทา” คนในโลกมนุษย์มักจะชอบเรียกว่าเรือนพักนักปราชญ์หรือบ้านพักอาจารย์
ใต้เท้าเจ้ากรมพิธีการต้าสุยที่เป็นเจ้าขุนเขาในนามคนปัจจุบันกำลังดื่มชา นานๆ จะได้อู้งานสักที สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลาย ในบรรดาอาจารย์สอนหนังสือของสำนักศึกษาเจ็ดแปดคนที่นั่งอยู่ อายุของแต่ละคนต่างก็ไม่น้อยแล้ว รองเจ้าขุนเขาทั้งสามท่านต่างก็อยู่กันครบ ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมคนหนึ่งในนั้นทนมานาน ในที่สุดก็เปิดปากบ่นอย่างอดไม่ไหว “เด็กๆ พวกนี้เหลวไหลกันเกินไปแล้ว!”
ราวกับคำวิจารณ์ว่าเหลวไหลหลุดออกจากปากมาแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงไม่หายโมโห จึงไปอีกหนึ่งประโยคว่า “ดื้อรั้นเกเร!”
ต้องรู้ว่ารองเจ้าขุนเขาท่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้มากความรู้ที่รับผิดชอบบรรยายในการประชุมครั้งใหญ่ของสำนักศึกษาแห่งใหม่ อีกทั้งยังมีสถานะเป็น “วิญญูชน” ที่แท้จริง นามของผู้เฒ่าถูกบันทึกไว้ในโรงเรียนแห่งหนึ่งของลัทธิขงจื๊อนานแล้ว ดังคำนั้นคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาจึงมีน้ำหนักมากกว่าผู้มีชื่อเสียงในวงการวรรณกรรม หรือเจ้าสำนักซื่อหลิน (ในสมัยโบราณหมายถึงวงการวิทยาการ วงการแห่งความรู้) มากนัก
เจ้ากรมพิธีการคือผู้เฒ่าหน้าตาใจดีคนหนึ่งที่เรือนกายเล็กเตี้ย รูปโฉมไม่สะดุดตา หากไม่เป็นเพราะสวมใส่ชุดขุนนางที่ไม่ทันมีเวลาถอด ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านี่คือขุนนางระดับสูงขั้นสองชั้นเอกอันเป็นแกนกลางของราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นขุนนางผู้ดูแลด้านภาษาและวัฒนธรรมของต้าสุย เมื่อเทียบกับต้าหลีที่ยกตำแหน่งขุนนางฝ่ายโหราศาสตร์ให้เป็นตำแหน่งของเจ้ากรมขุนนางแล้ว ต้าสุยกลับยกให้แก่กรมพิธีการ
ผู้เฒ่าไม่รู้สึกว่าคำพูดของรองเจ้าขุนเขาทำให้เสียอารมณ์ ยังคงหัวเราะเฮอๆ “ไหนลองว่ามาสิ ว่าเกเรอย่างไร”
รองเจ้าขุนเขาพูดด้วยน้ำเสียงโมโหโทโส “หลินโส่วอีพรสวรรค์ดีเยี่ยม พื้นฐานความรู้ด้านคัมภีร์ก็ไม่เลว ปูมาได้แน่นหนา ทว่านิสัยนั้นของเขา เฮ้อ มักจะชอบหนีเรียนไปหาหนังสือเบ็ดเตล็ดอ่านที่หอหนังสือ อ่านไปอ่านมากลับไม่เคยพลิกเปิดคัมภีร์ขงจื๊อเลยแม้แต่ครึ่งเล่ม กลับกลายเป็นว่าอ่านคัมภีร์ลับลัทธิเต๋านอกรีตจำนวนมาก เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันนี้เขาก็อ่านไปมากถึงยี่สิบสามสิบเล่มแล้ว มีอย่างที่ไหนกัน ยังไม่ทันใช่ศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็อ่านตำราลัทธิเต๋าซะแล้ว เพียงแต่ว่าอายุยังน้อยแค่นี้ ไหนเลยจะมีคุณสมบัติให้พูดถึงเรื่องการได้ข้อคิดจากเหตุการณ์ประเภทเดียวกัน หากเดินไปทางผิด เราจะมีหน้าไปพบ…อดีตเจ้าขุนเขาได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยพยักหน้ารับเบาๆ ความเร็วในการดื่มชาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งพูดรองเจ้าขุนเขายิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด “ยังมีนังหนูหลี่เป่าผิงนั่นที่ยิ่งไร้ระเบียบไม่เกรงกลัวสวรรค์ ตอนเรียนนางมักจะนั่งเหม่อลอย ไม่รู้จักให้ความเคารพต่อครูบาอาจารย์เลยแม้แต่น้อย หากไม่เอาแต่อ่านบันทึกท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำก็วาดคนตัวน้อยลงบนหนังสือ หึ ดียิ่งนัก รูปนั่นยังเป็นคนฝึกยุทธ์ที่ทำท่าป่าเถื่อนด้วย!”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยข่มกลั้นเสียงหัวเราะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงก้มหน้าดื่มชาเงียบๆ
รองเจ้าขุนเขายังพูดต่อไป “หลี่ไหวที่อายุน้อยสุด…กลับว่าง่ายไม่น้อย ไม่โดดเรียน ไม่ก่อเรื่อง การบ้านที่อาจารย์มอบให้เขาก็ทำส่งทุกครั้ง แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่าสติปัญญาของเขานั้น…กลับเหมือนตะปมไม้แข็งทื่อที่ไม่ความฉลาดเฉลียวเอาซะเลย? เวลาเรียนมักจะสัปหงก เลอะๆ เลือนๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยคราบน้ำลาย ไหนเลยจะมีบุคลิกของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอดีตเจ้าขุนเขา เฮ้อ สร้างความกลัดกลุ้มให้ข้าผู้อาวุโสยิ่งนัก”
รองเจ้าขุนเขาท่านหนึ่งที่อายุค่อนข้างน้อยกล่าวเย้า “ใต้เท้าเจ้ากรม เจ้าขุนเขาหลิวของพวกเรากลัดกลุ้มจนหนวดร่วงไปหลายเส้นเลยนะ”
ผู้เฒ่าหน้าสี่เหลี่ยมโต้กลับด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่รองเจ้าขุนเขา!”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยหัวเราะเสียงดังกังวาน เบี่ยงตัววางถ้วยชาลงแล้วถามว่า “ไม่มีข่าวดีบ้างเลยหรือ? หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ครั้งหน้าข้าคงไม่กล้ามาแล้ว”
ผู้เฒ่าหน้าเหลี่ยมอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย พยักหน้ารับ “มี แปลกจริงๆ กลับเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวอย่างอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างหากที่โดดเด่นอย่างมาก เหมือนกับเมล็ดพันธ์บัณฑิตของลัทธิขงจื๊อเสียยิ่งกว่า พฤติกรรมทุกอย่างล้วนปกติ เวลาปกติก็นับว่าให้ความเคารพครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะเด็กหนุ่มอวี๋ลู่ที่อ่อนโยนและประหยัดมัธยัสถ์ และดูเหมือนว่าจะมีค่าแก่การอบรมปลูกฝังยิ่งกว่าลูกหลานที่มีความสามารถของตระกูลใหญ่โตอันดับต้นๆ ของต้าสุยเราเสียอีก”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยยังคงไม่รีบร้อนด่วนสรุป ยิ้มตาหยีมองไปยังผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งแอบงีบหลับอยู่ตลอดเวลา “เหมาเหล่า เจ้าว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดยาวสีแดงที่มีเอกลักษณ์ หลังจากถูกเรียกชื่อ เขาก็สะดุ้งโหยง ลืมตาขึ้นพูดอย่างมึนงง “อะไร? ใต้เท้าเจ้ากรมจะไปแล้วรึ? ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยเล่า?”
เจ้ากรมพิธีการยังคงยิ้มตาหยี “ในเมื่อเหมาเหล่าอุตส่าห์รั้งไว้อย่างกระตือรือร้น ต้องการให้ข้าอยู่ต่ออีกสัก งั้นข้าก็จะอยู่ต่อ?”
ในเรือนพักของอาจารย์พลันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยเล่าคำบ่นเมื่อครู่นี้ของรองเจ้าขุนเขาง่ายๆ อีกรอบอย่างอดทน ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่แซ่เหมาฟังจบแล้วก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีเรื่องให้ต้องพูดอยู่บ้างเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยหยอกเย้า “ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”
ผู้เฒ่าตัวสูงใหญ่ยืดตัวนั่งตรง เอ่ยถามว่า “ความรู้ของฉีจิ้งชุนมีมาก หรือความรู้ของทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ที่มากกว่า?”
เงียบกริบไร้เสียงตอบรับ
นี่มันคำพูดไร้สาระอันใด?
ผู้เฒ่าสูงใหญ่ถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเป็นฉีจิ้งชุนที่สายตาดี หรือเป็นพวกท่านที่สายตาดี?”
นั่นไง ยังเป็นคำพูดไร้สาระอยู่ดี
รองเจ้าขุนเขาใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก็ไม่ได้โต้กลับในทันที แต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วต่ำลงจากเดิม “เหมาเหล่า ถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งอยู่ในอำเภอหลงเฉวียนของต้าหลีมีขนาดใหญ่แค่นั้น ว่ากันว่ามีคนอยู่ทั้งหมดแค่ห้าหกพันคน เด็กนักเรียนที่เหมาะให้เรียนชั้นประถมย่อมมีไม่มาก อยู่ที่นั่นอาจารย์ฉีจึงไม่มีโอกาสให้เลือกหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ก็คือเหมาเสี่ยวคงแห่งสำนักศึกษา เมื่อครั้งที่สำนักศึกษาซานหยาเพิ่งเริ่มก่อสร้างที่ต้าหลีก็เป็นคนผู้นี้ที่คอยให้ความช่วยเหลือฉีจิ้งชุนทีละเล็กทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็นตบะ วัยวุฒิหรือความรู้ก็ล้วนสมกับเป็นอันดับหนึ่งของสำนักศึกษา ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ซึ่งรวมถึงตัวเจ้ากรมพิธีการเองด้วยก็ยังยินดีเรียกเขาอย่างให้เกียรติว่าเหมาเหล่า (เหล่าแปลว่าแก่ ชรา ในที่นี้จึงแทนความหมายว่าผู้อาวุโส)
เหมาเสี่ยวตงได้ยินคำถามของรองเจ้าขุนเขาแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ “แน่นอนว่าอาจจะเป็นไปได้ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คำว่า ‘อาจ’ เท่านั้น เพราะมันคือเรื่องจริงแท้แน่นอน!”
ทุกคนอึ้งตะลึงกันไปหมด
เหมาเสี่ยวตงกวาดตามองไปรอบด้าน “เป็นต้าสุยของพวกเจ้าที่ต้องการเด็กเหล่านี้ ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกเขาทุกคนเป็นอัจฉริยะบุคคล ปลดปล่อยรัศมีเจิดจำรัส และเมื่อพวกเขาเติบใหญ่ขึ้นก็จะพยายามทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายเลือกที่จะอยู่ในราชสำนักของต้าสุย จะได้ถือโอกาสช่วยพวกเจ้าตบหน้าต้าหลี แต่ข้ากลับไม่มีความคิดที่น่าเบื่อหน่ายเหล่านี้…”
เจ้ากรมพิธีการรีบกระแอมเบาๆ สองที จากนั้นจึงถือโอกาสยกถ้วยชาขึ้นมา แล้วก้มหน้าจิบแก้เก้อ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ยังคงพูดต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า จะปล่อยให้พวกเด็กน้อยที่ฉีจิ้งชุนสอนมาเองกับมือเหล่านั้นกินในสิ่งที่ควรกิน ดื่มในสิ่งที่ต้องดื่ม พวกเขาเต็มใจอยากเรียนก็เรียน อยากจะแอบขี้เกียจก็ขี้เกียจไป วันหน้าพวกเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ข้าคร้านจะสนใจ ในฐานะที่ข้าเป็นรองเจ้าขุนเขาผู้ดูแลกิจธุระในสำนักศึกษา มีลูกศิษย์ที่ต้องดูแลมากมาย ภายหน้าก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ไหนเลยจะมีเวลาและเรี่ยวแรงให้มาฟังพวกเจ้าบ่นเรื่องเด็กๆ พวกนี้ปีนต้นไม้ โดดเรียน วาดภาพคนตัวจิ๋ว?”
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงหันมามองหน้ากัน
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานยังคงดื่มชาอย่างสำรวม ซึ่งในความเป็นจริงชาในถ้วยหมดเกลี้ยงไปแล้ว
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนยิ้มๆ “ข้าจะไปดูงานพิมพ์หนังสือที่หอฉงเหวินสักหน่อย นี่เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ต้องจับตามองให้ดี คงไม่อยู่ดื่มชาเป็นเพื่อนใต้เท้าเจ้ากรมแล้ว”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยถือโอกาสลุกขึ้นด้วย เขากล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนเวลาสอนหนังสือของอาจารย์ทุกท่านแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงบ่น “ใต้เท้าเจ้ากรม ดื่มชาให้หมดก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย…”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ตาเหลือบมองไปยังถ้วยชา “อั๊ยหยา ดื่มหมดแล้วนี่นา ใต้เท้าท่านนี่ก็จริงๆ แล้ว ดื่มอีกสักถ้วยๆ ให้หน้าสำนักศึกษาของพวกเราหน่อย ได้หรือไม่? หากลือออกไปข้างนอกจะนึกว่าพวกเราไม่ตั้งใจรับรองใต้เท้า แบบนั้นคงไม่ดีแน่ หากกรมการคลังคิดทวงความยุติธรรมแทนใต้เท้า จงใจหักเงินที่ต้องใช้ในการพิมพ์หนังสือของหอฉงเหวินสำนักศึกษาเรา แล้วข้าจะไปขอความเป็นธรรมได้จากใคร?”
ใต้เท้าเจ้ากรมพิธีการที่เตี้ยกว่าเหมาเสี่ยวตงเกือบหนึ่งช่วงศีรษะกุมมือคารวะสีหน้าจืดเจื่อน “เหมาเหล่า ปล่อยข้าไปเถอะ คิดซะว่าเจ้าคือเจ้าขุนเขา ส่วนข้าคือรองเจ้าขุนเขา ได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” เหมาเสี่ยวตงหมุนกายจากไปพร้อมหัวเราะดังลั่น
รอจนผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่จากไปแล้ว ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยจึงทำสีหน้าหน่ายใจ แข้นเสียงขุ่น “เดิมทีกะจะมาหาที่สงบพักผ่อน ทีนี้ดีนักนะ กลับกลายเป็นว่าต้องมาโดนสั่งสอน แถมยังเป็นคนกันเองอีก วันหน้าคงไม่กล้ามาอีกแล้ว”
เสียงหัวเราะดังครืนอยู่ในห้องโถง แม้แต่รองเจ้าขุนเขาหน้าเหลี่ยมก็ยังหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้
บรรยากาศพลันผ่อนคลาย
—–
บทที่ 162.2 เหล่าเด็กๆ ที่ถูกต้าสุยรังแก
โดย
ProjectZyphon
ภูเขาตงหัวในเมืองหลวงต้าสุย เมื่อเทียบกับห้าขุนเขาแล้ว อันที่จริงมันไม่ถือว่าเป็นภูเขาสูงตระหง่านได้เลย เพียงแต่ว่ามันสูงชะลูดอยู่ท่ามกลางภูเขาที่เตี้ยกว่าถึงได้ดูงดงามโดดเด่น
บนยอดเขามีต้นอิ๋นซิ่งพันปีต้นหนึ่ง แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งที่หลังจากนั่งเหม่อลอยเสร็จแล้วก็กอดลำต้นแล้วไถลตัวลงมาอย่างคุ้นเคย
ผลกลับกลายเป็นว่ามองเห็นผู้เฒ่ามากความรู้คนหนึ่งเฝ้ารออยู่ใต้ต้นไม้ ร่างของเขาสูงใหญ่จริงๆ แถมยังกำลังหัวเราะชั่วร้าย มองแล้วรู้สึกว่าผู้เฒ่าไม่ใช่คนดี
ผู้เฒ่าสูงใหญ่เอ่ยถาม “เวลานี้ แสดงว่าหนีเรียนมาอีกแล้ว?”
แม่นางน้อยกลับซื่อสัตย์ยิ่ง “อืม ข้ารู้ว่าสำนักศึกษามากฎอยู่ ข้ายอมรับการลงโทษ”
ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “ทำไม ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉีจิ้งชุนสอนพวกเจ้า ถ้าโดดเรียนต้องโดนตีรึ?”
แม่นางน้อยส่ายหน้า “โดดเรียนไม่โดนตี ท่านอาจารย์ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่หากพวกเราจำสิ่งที่อาจารย์เคยสอนไปในห้องเรียนผิด ครั้งแรกจะตักเตือน ครั้งที่สองจะตี”
ผู้เฒ่าร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วถามด้วยความสงสัย “ไปดูอะไรอยู่ข้างบนนั้นน่ะ?”
แม่นางน้อยอึ้งตะลึง เห็นแก่ที่อีกฝ่ายอายุมากจึงยอมเอ่ยตอบ “ทิวทัศน์ไงล่ะ”
ผู้เฒ่ายิ่งรู้สึกสนใจ “มีทิวทัศน์อะไรน่าดูถึงเพียงนั้น ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้”
แม่นางน้อยกะพริบตาปริบๆ “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านก็ลองปีนขึ้นไปดูเองสิ”
“บัณฑิตปีนต้นไม้ ขัดต่อความสุภาพสำรวม”
ผู้เฒ่าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันก่อน แต่แล้วก็กระจ่างแจ้งได้ทันใด “โอ้ นี่คิดจะให้พวกเราทำผิดกฎด้วยกัน จากนั้นข้าก็จะได้ไม่เอาเรื่องเจ้าไปฟ้องสินะ? แม่นางน้อย เจ้าฉลาดนัก”
แม่นางน้อยหัวเราะคิกคัก แต่แล้วก็ส่ายหน้า
ผู้เฒ่าเข้าใจความคิดของแม่นางน้อยจึงเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ ข้าพูดว่าขัดต่อความสุภาพสำรวม ไม่ถูกต้องงั้นหรือ?”
แม่นางน้อยปัดเสื้อผ้าตัวเอง พลางอธิบายว่า “เมื่อก่อนตอนที่ข้าทำว่าวไปตกอยู่บนต้นไม้ อาจารย์ยังปีนต้นไม้ช่วยไปเก็บให้ข้า และยังมีครั้งหนึ่งที่ข้าโยนกางเกงหลี่ไหวขึ้นไป จากนั้นข้าก็วิ่งกลับบ้านตัวเอง ภายหลังได้ยินมาว่ายังคงเป็นอาจารย์ที่ปีนไปเก็บลงมา แล้วเหตุใดบัณฑิตในสำนักศึกษาของพวกท่านถึงมักจะพิถีพิถันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้…”
ผู้เฒ่ารีบแก้ไข “ไม่ใช่ ‘สำนักศึกษาของพวกท่าน’ แต่เป็น ‘สำนักศึกษาของพวกเรา’”
สองมือของผู้เฒ่าไพล่หลัง ค้อมตัวลงยิ้มมองแม่นางน้อย “รู้สึกใช่หรือไม่ว่าอาจารย์ของเจ้า เจ้าคนที่ชื่อฉีจิ้งชุนผู้นั้นน่ะ ดีกว่าอาจารย์ที่นี่?”
แม่นางน้อยถอนหายใจ
ในใจคิดว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ก็ตัวสูง เหตุใดถึงคิดแต่ปัญหาที่ต่ำเตี้ยนักนะ?
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยความหวังดี “แม่นางน้อยข้าจะบอกเจ้าให้นะ กฎระเบียบของพวกเรามีเยอะ นอกจากความรู้ที่มีไม่มากเท่าอาจารย์ของเจ้าแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์ไปซะหมด เราเองก็มีความลำบากใจเช่นกัน เจ้าคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ทำตามใจปรารถนา ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์’ กระมัง? ประโยคหน้านั้นคืออะไร รู้หรือไม่?”
แม่นางน้อยพยักหน้า “คือ ‘ส่วนสิบเจ็ด’ ส่วนประโยคก่อนหน้านั้นอีกก็คือ ‘สิบหกฟังแจ่มแจ้งไม่หวั่นไหว’” (มาจากถ้อยคำของขงจื๊อซึ่งประโยคดั้งเดิมคืออายุหกสิบฟังแจ่มแจ้งไม่หวั่นไหว ส่วนเจ็ดสิบทำตามใจปรารถนา ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์)
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่อึ้งตะลึงไปนาน ถึงกับพูดไม่ออก
ความรู้ของผู้เฒ่านั้นสูงเกินจะจินตนาการได้ถึง ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความหมายของนาง เพียงแต่คิดไม่ตกว่าในสมองเล็กๆ ของแม่นางน้อยมีคำตอบประหลาดอย่างนี้ผุดออกมาได้อย่างไร
แม่นางน้อยโบกมือเตรียมจะเผ่นหนี “อาจารย์ผู้เฒ่า ข้าชื่อหลี่เป่าผิง เป็นนักเรียนที่เพิ่งเข้าเรียนมาได้ไม่นาน ข้าไม่มีทางหลบเลี่ยงการลงโทษแน่นอน ข้าได้อ่านกฎระเบียบทั้งหมดมาล่วงหน้าก่อนแล้วรอบหนึ่ง รู้ว่าภายในสามวันต้องคัดลอกบทความหนึ่งฉบับ คืนนี้ข้าจะไปเขียนให้เสร็จ หลังจากนั้นจะนำไปส่งให้กับอาจารย์หงด้วยตัวเอง หากท่านไม่เชื่อ สามารถไปถามอาจารย์หงเองได้”
หลี่เป่าผิงตบอกตัวเอง “วางใจเถอะ ข้าเขียนตัวอักษรได้ไวกว่าตอนวิ่งซะอีก!”
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รีบตะโกนเรียกแม่นางน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญองอาจเอาไว้ “ยังพูดหลักการกันไม่จบเลยนะ เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ฟังหลักการของข้าจบแล้วก็จะถือว่าเจ้าได้รับโทษแล้ว”
มือสองข้างของหลี่เป่าผิงอยู่ในท่าเตรียมออกวิ่งแล้ว พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็จำต้องหยุดชะงัก เบิกตากว้าง “อาจารย์ผู้เฒ่าเชิญท่านพูดได้เลย แต่หากหลักการที่ท่านพูดยังไม่ดีพอ ข้าคงต้องกลับไปคัดลอกตำราต่อแล้วล่ะ”
คำพูดของแม่นางน้อยทำเอาผู้เฒ่าสะอึกอึ้ง “เจ้าลองคิดดูนะ ปรมาจารย์มหาปราชญ์อายุปูนนั้นแล้วถึงได้กล้าทำอย่างนี้ หากคนทั่วไปทำอะไรตามแต่ใจของตัวเองโดยไม่สนกฎเกณฑ์ใดๆ แบบนั้นก็ไม่ค่อยดีหรือเปล่า?”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับ “ย่อมไม่ดีอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้มกว้างดีใจ “นั่นไง เอาล่ะข้าอธิบายหลักการจบแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องคัดหนังสือแล้ว”
คราวนี้เป็นหลี่เป่าผิงบ้างที่ต้องอึ้งตะลึง “แค่นี้เอง?”
แม่นางน้อยถอนหายใจหนักๆ มองอาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่ง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายกุมมือคารวะ เตรียมจะวิ่งตะบึงลงจากภูเขาไป
ผู้เฒ่าโมโหจนขำ “แม่นางน้อย สายตาเมื่อครู่นี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร รู้สึกว่าข้าอายุมากกว่าฉีจิ้งชุนอาจารย์ของเจ้า แต่กลับเข้าใจหลักการไม่มากเท่าเขา ใช่หรือไม่?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับช้าๆ ยืนกรานว่าจะไม่โกหกใคร ในเมื่อถูกอาจารย์ผู้เฒ่าจับได้แล้ว นางก็ย่อมไม่ปฏิเสธ
ผู้เฒ่าหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ ข้าก็แค่ดูแก่กว่าอายุ ส่วนฉีจิ้งชุนนั้นก็แค่ดูหนุ่มกว่าอายุจริง อันที่จริงเขาแก่กว่าข้าเสียอีก! ดังนั้นความรู้เขาจะมากกว่าข้าเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ใบหน้าหลี่เป่าผิงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ
ผู้เฒ่าคล้ายจะอับอายจนพานเป็นโกรธ “จะโกหกแม่นางน้อยอย่างเจ้าไปไย!”
หลี่เป่าผิงไม่รีบร้อนลงจากภูเขาอีก นางยกมือสองข้างขึ้นกอดอก เดินไปทางซ้ายสองสามก้าว แล้วก็ขยับเดินมาทางขวาอีกสองสามก้าว เชิดศีรษะมองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่แล้วถามคำถามประหลาด “ต่อให้อายุของท่านน้อยกว่าอาจารย์ของข้า ความรู้เลยน้อยกว่า แต่ทำไมอาจารย์อาน้อยของข้าอายุน้อยกว่าท่าน แต่มีความรู้มากกว่าท่านล่ะ?”
ผู้เฒ่าจุ๊ปาก “ความรู้มากกว่าข้า? ข้าไม่เชื่อหรอก”
หลี่เป่าผิงร้อนใจเล็กน้อย รีบคิดอย่างจริงจัง หลังจากกวาดตามองไปรอบด้านอย่างระมัดระวังแล้วก็ยื่นฝ่ามือเล็กๆ ข้างหนึ่งมาป้องปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจะบอกท่าน แต่ท่านอย่าเอาไปบอกใครนะ”
จากนั้นนางก็ยื่นมือมาทำท่าทางประกอบเหนือศีรษะของตัวเอง “หากความรู้ของอาจารย์ข้าสูงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยความรู้ของอาจารย์อาข้าก็ต้องสูงเท่านี้”
หลี่เป่าผิงยื่นมือออกมาวาดระดับตรงไหล่ของตัวเอง จากนั้นก็ย้ายไปที่ข้างหู “รอจนอาจารย์อาน้อยของข้ารู้จักตัวอักษรเพิ่มมากขึ้นระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน ความรู้ก็จะต้องสูงขึ้นมาขนาดนี้!”
ผู้เฒ่าอ้าปากค้าง สุดท้ายได้แต่พูดเออออตาม “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์อาน้อยของเจ้าก็สุดยอดมาก สุดยอดมาก!”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับแรงๆ “ก็ใช่น่ะสิ! อาจารย์อาน้อยของข้าสุดยอด ร้ายกาจมากที่สุด!”
ผู้เฒ่าพลันทอดถอนใจ “ร้ายกาจสิดี ร้ายกาจสิดี เมื่อร้ายกาจแล้ว อนาคตจะได้สามารถปกป้องเป่าผิงน้อยของพวกเราได้”
สีหน้าของหลี่เป่าผิงหม่นหมองเล็กน้อย ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา เสียงฟิ้วดังหนึ่งครั้งร่างของนางก็พุ่งออกห่างจากผู้เฒ่าไปไกล วิ่งพลางหันมาโบกมือลาอีกฝ่าย “ข้าไปแล้วนะ อันที่จริงข้ารู้สึกว่าความรู้ของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็ไม่เลวเลย สูงถึงขนาดนี้…”
แม่นางน้อยอยากจะยื่นมือออกมาทำท่าประกอบ แต่เพราะวิ่งเร็วเกินไป ทรงตัวไม่อยู่จึงลมกระแทกกับพื้นอย่างจัง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวดุจฟ้าร้องกะทันหันจนคนไม่ทันป้องหู แล้วจึงวิ่งลงเขาไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ตบเอวตัวเอง ไม้บรรทัด “กฎระเบียบ” จึงกลับคืนสู่รูปเดิมในทันที เขามองตามแผ่นหลังสีแดงที่ยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ แล้วถอนหายใจ “จิ้งชุน หากรู้แต่แรกควรจะพบหน้าเด็กหนุ่มผู้นั้นสักหน่อย”
……
ภูเขาตงหัวมีทะเลสาบขนาดเล็กอยู่ห่างหนึ่ง น้ำในทะเลสาบใสจนเห็นเบื้องล่าง ปลูกดอกบัวไว้จนเต็มแน่น เพียงแต่ว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ดอกบัวจึงแห้งเหี่ยวเหลืองกรอบไปนานแล้ว แสดงให้เห็นถึงความเปล่าเปลี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
มีเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่ในมือถือเบ็ดตกปลาไม้ไผ่เขียว นั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง บางครั้งก็มีคนคอยชี้ไม้ชี้มือมาที่เขา แต่กลับไม่มีใครคิดจะขยับเข้ามาใกล้เพื่อพูดคุยด้วย
ในที่สุดก็มีเด็กสาวผิวดำหน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม “ตกปลาน่าสนใจนักหรือ?”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับยิ้มๆ “น่าสนใจสิ”
เซี่ยเซี่ยถาม “น่าสนใจตรงไหน?”
อวี๋ลู่ยังคงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เวลาตกปลาจะทำให้อารมณ์ดี ต่อให้สุดท้ายปลาจะหนีไปก็ยังอารมณ์ดีได้อยู่ดี”
เซี่ยเซี่ยเริ่มโมโหเล็กน้อย
อวี๋ลู่จ้องนิ่งไปบนพื้นผิวทะเลสาบ ข่มกลั้นรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยความลับออกมาด้วยประโยคเดียว “ได้ๆๆ ข้าจะพูดตามความจริง ข้ากำลังฝึกวรยุทธ์”
อวี๋ลู่อธิบายเนิบช้า “ยังไม่ต้องพูดถึงการถือคันเบ็ด พูดแค่ท่านั่งนี้ของข้าก็มีความพิถีพิถันแล้ว ต้องนิ่งสงบดุจขุนเขา ไหลรินดุจแม่น้ำ และวินาทีที่ปลาติดเบ็ดอย่างแท้จริง การสับเปลี่ยนระหว่างความหยุดนิ่งและการเคลื่อนไหวของทั้งร่างข้าจะเกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาที สอดคล้องกับโอกาสในชั่วเส้นกั้นบางๆ ของการพลิกกลับหยินหยางแห่งลัทธิเต๋า ในตำราลับการฝึกวรยุทธ์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า หนึ่งนิ่งกลับไม่มีสิ่งใดไม่นิ่ง หนึ่งขยับร้อยกระดูกล้วนเคลื่อนตาม ดังนั้นข้าตกปลาอย่างนี้จึงสามารถชำระล้างเส้นเอ็นและกระดูก เพิ่มพลังต้นกำเนิดให้เต็มเปี่ยม”
เซี่ยเซี่ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้อวี๋ลู่ก็ยังไม่ได้หันมามองเด็กสาว “หากเจ้าจะบอกว่าข้าไม่เคยได้ฝึกวรยุทธ์ ก็ไม่ผิด ข้าไม่เคยฝึกวิชาหมัดมาก่อน แต่หากเจ้าจะบอกว่าข้าฝึกวรยุทธ์อยู่ตลอดเวลาก็ไม่ผิดเช่นกัน เวลาที่ข้ากินข้าว นอน เดิน และตอนตกปลาก็ล้วนนึกถึงสิ่งที่อยู่ในตำราลับของการฝึกวรยุทธ์เหล่านั้น ชาติกำเนิดดีก็มีข้อดีอยู่ที่มีตำราลับอยู่ในบ้าน แม้ว่าระดับจะไม่สูงมากนัก แต่จุดที่ผิดพลาดย่อมมีไม่มากแน่นอน อีกอย่างหลายจุดที่มองดูเหมือนขัดแย้งกันในตำราหมัด คัมภีร์กระบี่มากมาย แท้จริงแล้วกลับเป็นความรู้สูงสุด ทำให้คนหลงใหลมากเป็นพิเศษ”
เซี่ยเซี่ยนั่งลงบนพื้น ชันขากอดเขา มองไปยังคันเบ็ดตกปลาที่เรียวยาว “เจ้าไม่ขึ้นไปฝึกตนบนภูเขา ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
อวี๋ลู่กล่าวอย่างคนได้รับความอยุติธรรม “เฮ้ๆๆ แม่นางเซี่ย ไม่มีใครเขาแหวกบาดแผลคนอื่นแบบเจ้าหรอกนะ”
เซี่ยเซี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “ในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่สงบสุขแล้ว แต่ในใจกลับไม่เป็นมั่นคงเลย เจ้าล่ะ?”
เด็กสาวถามเองตอบเอง “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เจ้าอวี๋ลู่ก็คงจะไม่ทุกข์ร้อน ข้อนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ”
อวี๋ลู่หันหน้ามาอย่างกะทันหัน เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าชอบเวลาที่นั่งเฝ้ายามอยู่หน้ากองไฟคนเดียว”
เซี่ยเซี่ยสงสัย “ทำไมล่ะ?”
อวี๋ลู่หันหน้ากลับไปจ้องผิวทะเลสาบดังเดิม “ไม่รู้สิ ชอบก็คือชอบ”
เซี่ยเซี่ยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบนางหรือไม่ สตรีที่เกือบจะได้เป็นชายารัชทายาทของเจ้าคนนั้นน่ะ?”
อวี๋ลู่สีหน้าไร้อารมณ์ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่นานก็ฉีกยิ้มกว้าง ตอบไม่ตรงคำถาม “แม่นางเซี่ย อยู่ที่นี่ พวกเราต้องระวังการกระทำ ระวังวาจา”
เซี่ยเซี่ยหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้หลี่ไหวมาหาข้าเพื่อโอ้อวดปิ่นหยกชิ้นนั้นของเขา แต่เจ้ากลับไม่มีรึ?”
อวี๋ลู่ยิ้มบาง “เจ้าเองก็ไม่มีเหมือนกันไม่ใช่หรือ ข้าไม่มีก็ไม่เห็นแปลก แต่เจ้าไม่มีนี่สิถึงไม่ถูก เป็นสาวงามขนาดนี้ เฮ้อ”
เซี่ยเซี่ยหน้าดำทะมึน “ระวังวาจา!”
อวี๋ลู่พลันขยับข้อมือ คันเบ็ดวาดวงโค้งงดงามสุดขีด เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะร่า “ติดเบ็ด!”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีไป “ผู้ชายไม่มีใครดีสักคน!”
อวี๋ลู่ดึงใช้คันเบ็ดเลี้ยงปลาไว้อย่างระมัดระวังพลางหันมองแผ่นหลังของเด็กสาว “ข้าจะใช่คนดีหรือไม่ คงบอกได้ยาก แต่คนบางคนนั้นดีมากจริงๆ อืม อาจจะลำเอียงไปสักหน่อย หีบหนังสือไม่มี ปิ่นไม่มี มีเพียงรองเท้าสานที่ไม่ว่าใครก็ได้รับ เฮ้อ ช่างทำให้คนผิดหวังซะจริง”
เซี่ยเซี่ยหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆ เข้าหาอวี๋ลู่
อวี๋ลู่รีบพูดเสริมเหมือนคนทำวัวหายแล้วล้อมคอก “ข้าไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น พวกเราต่างก็เหมือนกันที่ไม่กลัวว่าจะได้ส่วนแบ่งน้อย แต่กลัวว่าจะได้ส่วนแบ่งไม่เท่ากันมากกว่า เจ้าอย่าเข้าใจผิด…”
เด็กสาวไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเท้า อวี๋ลู่โยนคันเบ็ดทิ้ง แม้แต่ปลาที่ติดเบ็ดก็ไม่เอาแล้ว ชักขาได้ก็ออกวิ่งทันที
เซี่ยเซี่ยหยิบคันเบ็ดที่วางไว้บนชายฝั่งซึ่งยังไม่ถูกปลาลากไปไกล โยนไปยังใจกลางของทะเลสาบอย่างแรง ครั้นจึงปัดมือเดินจากไป
อวี๋ลู่ปากอ้าตาค้าง คราวนี้ไฟโทสะของเขาผุดขึ้นเหนือหัวสามจั้งจริงๆ จึงคำรามต่ำเสียงขุ่น “หากเปลี่ยนเป็นคันเบ็ดของเฉินผิงอันดูสิ เจ้ายังจะกล้าอารมณ์ร้ายแบบนี้หรือ? หากเจ้ากล้า ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ของเจ้าเลย!”
บทที่ 162.3 เหล่าเด็กๆ ที่ถูกต้าสุยรังแก
โดย
ProjectZyphon
บนมวยผมของหลินโส่วอีปักปิ่นสีเหลืองคุณภาพธรรมดาชิ้นนี้ ผิวของเด็กหนุ่มคล้ำลงเล็กน้อย แต่ยากจะปกปิดใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเอาไว้ได้ แม้ว่าภาพลักษณ์ที่เขามีต่อผู้คนของสำนักศึกษาซานหยาจะเป็นความเย็นชา สุขุมไม่ชอบยิ้มแย้ม แต่หลินโส่วอีกลับยังคงได้รับความนิยมจากสตรีมากมาย แม้ว่าสตรีของต้าสุยจะไม่สามารถเข้าสอบเพื่อชิงยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ก็ไม่ส่งห้ามการขอเข้าเรียนอย่างเปิดเผยของพวกนาง ก่อนหน้าที่จะแต่งงานล้วนสามารถมาอยู่ในสำนักศึกษาของแต่ละพื้นที่ได้
หลินโส่วอียังคงเป็นเหมือนในอดีต หากเป็นคาบที่ตัวเองไม่ชอบ เขาก็จะไปอ่านหนังสือที่หอเก็บตำรา
ตลอดทางที่เขาเดินไป โดดเด่นสะดุดตาอย่างถึงที่สุด
ในบรรดานักเรียนกลุ่มแรกของสำนักศึกษาซานหยา นักเรียนที่เกิดและโตในต้าสุย หากไม่มาจากตระกูลเศรษฐีก็เป็นชนชั้นสูง หากไม่เป็นพวกตระกูลที่มีหน้ามีตาของเมืองหลวงก็เป็นตระกูลใหญ่ที่ฝังรากลึกล้ำอยู่ในท้องที่ ไม่มีใครที่ไม่ใช่บุตรชายบุตรสาวที่มีชื่อของตระกูลที่ร่ำรวยเงินทอง หรือคนในตระกูลเป็นขุนนางกันมาทุกยุคทุกสมัย
การปรากฏตัวของหลินโส่วอีราวกับน้ำพุใสสะอาดที่หลั่งรินอยู่บนภูเขา ทำให้สตรีหลายคนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
นิสัยห่างเหินปฏิเสธให้คนอื่นห่างไกลไปพันลี้ของหลินโส่วอียิ่งกระตุ้นความห้าวเหิมของสตรีจากตระกูลใหญ่เหล่านั้น ไม่ว่าหลินโส่วอีทำอะไรก็ล้วนเห็นว่ามีเอกลักษณ์แปลกใหม่ ยกตัวอย่างเช่นเด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าธรรมดา การกินการอยู่ก็เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด เมื่อเทียบกับลูกหลานชนชั้นสูงที่อยู่ข้างกายแล้วก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว และนี่ก็คือท่วงทำนองของผู้มีความรู้ลัทธิขงจื๊อของหลินโส่วอี
หากจะบอกว่าการใกล้ชิดหลินโส่วอีด้วยสาเหตุเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความรู้ที่ตื้นเขิน ถ้าอย่างนั้นรายละเอียดบางอย่างที่คล้ายจะไม่มีใครให้ความสนใจก็คือแรงผลักดันมหาศาลที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอันดีนี้
ยกตัวอย่างเช่นการที่หลินโส่วอีได้รับความสำคัญจากต่งจิ้งผู้มากความรู้แห่งลัทธิขงจีอ ผู้เฒ่าท่านนี้มีชื่อเสียงดีงามอยู่ในราชสำนักต้าสุย ได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญความรู้ของทั้งขงจื๊อและเต๋า ต่งขิ้งมักจะเรียกหลินโส่วไปยังกระท่อมที่เรียบง่ายของตัวเองบ่อยๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับเขาเป็นการส่วนตัว
ทุกครั้งที่มีฝนตกฟ้าร้องจะพาหลินโส่วอีภูเขาเถี่ยซู่ (ต้นไม้เหล็ก) ที่สูงที่สุดในเมืองหลวงของต้าสุย ส่วนสาเหตุนั้น คนนอกสำนักศึกษานอกจากจะมองดูเพื่อความบันเทิงแล้ว ยังพยายามมองไม่เห็นถึงความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ด้วย ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่ลอดผ่าน ต่งจิ้งเองก็มีสหายที่สนิทสนม อีกทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้เมา เพียงแค่ดื่มเหล้าไปไม่กี่จอกก็หลุดเปิดเผยเบาะแส นั่นคือหลินโส่วอีคืออัจฉริยะแห่งการฝึกตนที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง หากบ่มเพาะปราณแห่งความเที่ยงธรรมและยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ นำมาช่วยเสริมวิชาห้าอสนีย่อมต้องกลายเป็นเทพเซียนที่มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ห้าขอบเขตกลางแน่นอน อีกทั้งยังมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตหกก่อนจะอายุยี่สิบห้าปี
หากจะพูดให้ง่ายหน่อย นี่หมายความว่าอัจฉริยะในการฝึกตนอย่างหลินโส่วอีมีคุณสมบัติที่จะฝ่าสู่ขอบเขตสิบ และนี่ก็อยู่เหนือขอบเขตของอัจฉริยะทั่วไปอยู่มาก
จู่ๆ ก็มีเด็กคนหนึ่งที่กำลังโกรธเกรี้ยววิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินโส่วอี เขาคือหลี่ไหว พอเห็นหลินโส่วอีก็ร้องไห้ปานจะขาดใจ พูดสะอึกสะอื้น “หลินโส่วอี หุ่นไม้หลากสีของข้าหายไปแล้ว มีคนขโมยมันไป!”
หลินโส่วอีถาม “เจ้าทำมันหายเองหรือเปล่า?”
หลี่ไหวส่ายหน้าสุดชีวิต “ไม่มีทาง!”
“ที่หอพักของเจ้ามีคนอยู่กี่คน?”
“รวมข้าด้วยก็เป็นสี่คน”
“มีใครที่น่าสงสัยหรือไม่?”
หลี่ไหวยังคงส่ายหน้า
หลินโส่วอีขมวดคิ้วเป็นปม สุดท้ายเขาพาหลี่ไหวกลับไปที่หอพักของตัวเอง หยิบเอาตั๋วเงินหลายใบที่อยู่ใต้หีบหนังสือออกมาส่งให้หลี่ไหว เงินเหล่านี้ที่บ้านของเขาส่งมาให้ตอนอยู่จุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ สีหน้าตอนหลินโส่วอีได้รับจดหมายในวันนั้นไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด
หลี่ไหวตระหนกลน “อะไร? ข้าต้องการแค่หุ่นไม้หลากสีเท่านั้น ข้าไม่ต้องการเงิน!”
หลินโส่วอีกล่าว “หลังจากเจ้ากลับไปที่พอพักแล้วก็บอกกับเพื่อนร่วมหอว่า เจ้าทำหุ่นไม้หลากสีหายไปที่…สรุปคือเจ้าเลือกสถานที่ใดมาก็ได้ และหากใครช่วยเจ้าตามหาจนเจอ เจ้าจะให้เงินเหล่านี้แก่เขา”
หลี่ไหวมึนงง “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
หลินโส่วอีกล่าวอย่างจนใจ “ลองทำแบบนี้ดูก่อน”
วันที่สอง หลี่ไหวมาหาหลินโส่วอีด้วยความอารมณ์ดี “วิธีนั้นใช้ได้จริงๆ ด้วย!”
หลินโส่วอีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “วันหน้าใส่กุญแจลังของตัวเองให้ดี แล้วก็อย่าเอาของเล่นผุพังพวกนั้นของเจ้าออกมาอวดคนอื่น”
หลี่ไหวโกรธเคือง “ขอบคุณก็ส่วนขอบคุณ วันหน้าข้ายังต้องคืนเงินให้กับเจ้า แต่ห้ามเจ้าพูดถึงพวกมันแบบนี้!”
หลินโส่วอียื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปตบศีรษะเจ้าลูกหมาน้อยคนนี้ “อย่ามากวนข้าบ่อยนัก ข้าจะไปหอหนังสือ”
“ระวังจะกลายเป็นหนอนหนังสือเข้าสักวัน!” หลี่ไหวทำหน้าทะเล้นใส่หลินโส่วอีแล้ววิ่งแผล็วหนีไป
ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน หลี่ไหวก็ไหลลู่คอตกมาหาหลินโส่วอีอีกครั้ง คราวนี้เขาทำท่าทางขลาดกลัวไม่กล้าพูด
หลินโส่วอีที่ถูกคนมาดักรอหน้าหอหนังสือถอนหายใจ “มีเรื่องอะไร? หุ่นไม้หลากสีหายไปอีกแล้วรึ?”
เด็กชายตอบหน้าสลด “เปล่า คราวนี้เป็นหุ่นคนจิ๋วชุดนั้น…”
“ใส่กุญแจลังดีแล้วหรือ?”
“ใส่ดีแล้ว ข้ารับรอง! ตั้งสองชั้นแน่ะ! แล้วข้าก็เก็บลูกกุญแจไว้กับตัวตลอดเวลาเลยด้วย”
หลินโส่วอีปวดหัวแปล๊บ จึงยื่นมือออกมานวดคลึงกลางหว่างคิ้ว “ข้าจะไปหาอาจารย์ต่ง ดูว่าเขามีวิธีหรือไม่ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง”
หลี่ไหวพลันเงยหน้า ฝืนใจยิ้ม “ช่างเถอะ ข้าหาวิธีเอาเองดีกว่า ไม่แน่ว่าพวกมันอาจวิ่งกลับมาเองก็ได้”
ไม่รอให้หลินโส่วอีรั้งตัว หลี่ไหวก็วิ่งออกไปแล้ว ตะโกนเรียกอย่างไรเด็กชายก็ไม่ยอมหยุด
……
วันนี้หลี่ไหวเข้าเรียนร่วมกับหลี่เป่าผิงพอดี หลังเลิกเรียนหลี่เป่าผิงจึงไปหาหลี่ไหวที่จงใจหลบหน้านาง ค้นพบว่ามุมปากของหลี่ไหวบวมแดงก็อดถามไม่ได้ “ไปโดนอะไรมา?”
หลี่ไหวย่นคอ “สะดุดหกล้มน่ะ”
หลี่เป่าผิงถลึงตาใส่ “พูด!”
หลี่ไหวเบะปากเตรียมจะร้องไห้ แต่ก็พยายามข่มกลั้นไว้สุดฤทธิ์ ทำให้ดูน่าสงสารยิ่งกว่าเดิม “ทะเลาะกับคนอื่น ข้าสู้เขาไม่ได้”
“ใคร!”
“เพื่อนร่วมหอพักของข้า…แต่ข้าคนเดียวต่อยกับคนสามคน ไม่ได้ทำให้พวกเจ้าขายหน้าหรอกนะ!”
“ไป!”
แม้นางน้อยเป็นคนเฉียบขาดว่องไว ประโยคหนึ่งพูดมากสุดก็แค่สองคำเท่านั้น
นางหันมาออกคำสั่งกับหลี่ไหว “เจ้าไปรอข้าที่หอพักตัวเอง รีบเข้าล่ะ! อีกเดี๋ยวข้าก็ตามไปถึง!”
หลี่ไหวกลับหอพักด้วยความกระวนกระวาย เพื่อนร่วมหอพักสามคนที่อายุมากกว่าเขาเล็กน้อยกำลังนั่งล้อมวงคุยเล่นกัน ไม่มีใครสนใจเขาสักคน เพียงแต่ว่าในแววตาที่เหลือบมองมาทางหลี่ไหวกลับเต็มไปด้วยความดูแคลน เจ้าตะพาบน้อยที่มาจากต้าหลีผู้นี้เรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง วาจาและการกระทำหยาบกระด้าง ทั่วร่างมีแต่กลิ่นอายของความบ้านนอกคอกนา หีบหนังสือเน่าๆ ยังมองเป็นสมบัติล้ำค่า ประเด็นสำคัญคือในหีบหนังสือยังซ่อนรองเท้าแตะไว้ด้วย แถมไม่ใช่แค่คู่เดียว!
หลี่ไหวเดินไปหยุดอยู่นอกธรณีประตูของห้องพักตัวเองเงียบๆ นั่งยองวาดวงกลมบนพื้นอยู่ตรงนั้น ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ หลี่ไหวก็เห็นหลี่เป่าผิงที่บุกมาถึงด้วยท่าทางดุดันเอาเรื่อง ในมือถือดาบที่ชื่อว่ายันต์มงคลเล่มนั้น…
หลี่ไหวตกใจจนเกือบลุกขึ้นยืนไม่ไหว กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แข้งขาของเขาอ่อนยวบ กลืนน้ำลายลงคอแล้วถามเบาๆ ว่า “เป่าผิง พวกเราสู้กับคนอื่นจำเป็นต้องพกดาบมาด้วยหรือ?”
หลี่เป่าผิงถลึงตาเดือดดาลกลับคืน ผลักหลี่ไหวออกให้พ้นทาง ส่วนตัวเองเดินก้าวยาวๆ บุกเข้าไปในห้องพักเพียงลำพัง “ต่อสู้ไม่จำเป็น หรือว่าจำเป็นต้องโดนอัด? หลีกไป!”
แม้ว่าหลี่ไหวจะตกใจจนเหงื่อท่วมตัว แต่ก็ยังกัดฟัน เดินเร็วๆ ตามนางไป พลางตะโกนเรียก “เป่าผิง เจ้ารอข้าด้วยสิ!”
หลี่เป่าผิงเห็นเจ้าสามคนนั้นก็ชูดาบยันต์มงคลขึ้นสูง เอ่ยเสียงเย็น “ใครขโมยรูปปั้นคนจิ๋วของหลี่ไหวไป เอาคืนมา!”
คนทั้งสามอึ้งงันไปก่อน แต่จากนั้นก็หัวเราะครืน
หลี่เป่าผิงยิ่งมีโทสะมากกว่าเดิม “ใครต่อยหลี่ไหว เดินออกมา!”
คนทั้งสามหันมามองหน้ากันยิ้มๆ จากนั้นก็กลอกตามองสูงพร้อมกัน
หลี่เป่าผิงถือดาบยันต์มงคลฟาดใส่เจ้าเต่าน้อยสามตัวนั่นจนสาแก่ใจ
อย่าเห็นว่าตัวของหลี่เป่าผิงไม่สูงมาก แต่กำลังของนางนั้นสั่งสมมาตั้งแต่ยังเด็ก บวกกับที่จะอย่างไรซะก็เคยฝึกหมัดกับเฉินผิงอัน ร่วมเดินขึ้นเขาลงห้วยมาตลอดการเดินทาง ให้จัดการกับคนวัยเดียวกันที่สู้หมอนปักลายดอกไม้ก็ยังไม่ได้ก็ง่ายดายยิ่งนัก บวกกับที่พลังอำนาจน่าเกรงขามเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับสองกองกำลัง กระบวนท่าแรกของหลี่เป่าผิงก็สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับอีกฝ่ายได้มากพอแล้ว นางลงมือรวดเร็วอย่างถึงที่สุด ฝักดาบกวาดออกไปในแนวขวาง กระแทกเข้าซีกแก้มของเด็กชายอายุประมาณสิบขวบคนหนึ่งอย่างรุนแรง ทำเอาร่างของเขาหมุนคว้าง จากนั้นฝักดาบก็ฟันเข้าแสกหน้าใส่คนถัดไป เด็กชายที่น่าสงสารคนที่สองร้องไห้จ้า คนที่สามไหนเลยจะกล้าตอบโต้ เขารีบวิ่งหนีไป แต่หลี่เป่าผิงกลับยังไล่ตามไป ครั้นจึงกระโดดลอยตัว ถีบเข้าไปยังหัวใจด้านหลังของอีกฝ่าย ร่างทั้งร่างของคนผู้นั้นหน้าทิ่มลงไปบนเตียง ทั้งเจ็บทั้งกลัวจึงแสร้งนอนตายอยู่ตรงนั้นมันเสียเลย
หลี่เป่าผิงกวาดสายตามองไป ใช้ปลายฝักดาบชี้พวกเขาเรียงตัว “วันนี้จงมอบรูปปั้นคนจิ๋วพวกนั้นคืนนี้มาแต่โดยดี เอาคืนหลี่ไหวไปซะ! วันหน้าใครยังกล้ารังแกหลี่ไหวอีก ข้าก็จะซ้อมให้มันผู้นั้นจำพ่อแม่ตัวเองไม่ได้เลย! ข้าหลี่เป่าผิงพูดคำไหนคำนั้น!”
หลี่เป่าผิงเห็นคนผู้หนึ่งแอบเงยหน้ามองมายังตน นางจึงชูมือขึ้นทำท่าฟาดฝักดาบลงไป ทำเอาไอ้หมอนั่นตกใจจนรีบถอยกรูดออกห่าง
หลี่เป่าผิงหัวเราะเสียงเย็นติดต่อกันหลายครั้ง แล้วจึงหมุนกายจากไปอย่างมีโทสะ ผลกลับกลายเป็นว่าหันไปเห็นหลี่ไหวที่ยืนอยู่ในธรณีประตู ความโมโหก็พุ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับ “หลี่ไหว! เจ้ามันคนขี้ขลาด! วันหน้าอย่ามาเรียกอาจารย์อาน้อยของข้าอีก! เจ้ากล้าเรียกหนึ่งครั้ง ข้าก็จะตีเจ้าหนึ่งครั้ง!”
เหมือนถูกแทงเข้าที่แผลกลางใจ หลี่ไหวนั่งยองลงบนพื้น กุมหัวสะอื้นไห้
ปรายตามองหลี่ไหว ดูเหมือนหลี่เป่าผิงจะโมโหยิ่งกว่าเดิม จึงจากไปอย่างขุ่นเคืองพร้อมดาบยันต์มงคลที่อยู่ในมือ
ในห้อง เด็กชายคนหนึ่งที่ศีรษะปูดโนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ “เรื่องนี้ยังไม่จบ! ข้าจะทำให้นังเด็กแสบผู้นี้รู้ว่านางตีใครไป!”
……
สองวันผ่านไป
ในเรือนพักอาจารย์ รองเจ้าขุนเขาหน้าเหลี่ยมตบที่เท้าแขนเก้าอี้ “ไร้ระเบียบวินัย! มีอย่างที่ไหน! ภายใต้สายตาของคนทั่วห้องเรียน ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนเด็กโตกลับกล้าตีกันอย่างเปิดเผย! แต่ละคนไม่มีใครยอมใคร! เรื่องนี้ใครก็ห้ามยื่นมือเข้ามาสอดทั้งนั้น ข้าอยากจะรู้นักว่าเมล็ดพันธ์ปัญญาชนที่เป็นความหวังของต้าสุยในสำนักศึกษาซานหยาที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราจะย่ำแย่กันได้ถึงขั้นไหน!”
คนอื่นๆ ต่างหันไปมองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ไม่ได้หลับตางีบหลับอย่างหาได้อย่าง ผู้เฒ่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับ “งั้นก็เอาตามนี้”
มีคนผู้หนึ่งปลุกความกล้าถามขึ้นมาเบาๆ “เหมาเหล่า แล้วคือเอาตามไหนล่ะ?”
สีหน้าผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เฉยชา พูดเหมือนเล่นทายคำปริศนา “ก็ตามนี้ไงล่ะ”
เขาแสดงท่าทีแบบนี้ ต่อให้เป็นชาวลัทธิขงจื๊อหน้าเหลี่ยมที่มีสถานะเป็นวิญญูชนก็ยังรู้สึกเย็นวาบตรงลำคอ
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น