ลำนำบุปผาพิษ 1612-1615
บทที่ 1612 ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้หันกลับมาเลย
สาวใช้อีกคนพยักหน้า “ดีเลย!” ก้มลงหมายจะหยิบปลาตัวนั้น
สายลมหอบหนึ่งพัดผ่านพื้นที่โล่งเตียน ซากปลาตัวนั้นหายวับไปจากที่เดิมทันที สาวใช้สองคนนั้นตกตะลึง เงยหน้ามอง พบว่าซากปลาตัวนั้นลอยไปถึงมือตี้ฝูอีแล้ว
น้ำเสียงตี้ฝูอีเย็นชา “ปลาตัวนี้สกปรกแล้ว ถ้าอยากบำรุงร่างกายของเจ้านาย ก็ไปตกตัวอื่นเถอะ!”
เขาพลันโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ปลาตัวนั้นก็หายไปเลย ไม่ทราบเช่นกันว่าถูกเขาทำลายไปแล้วหรือว่าเก็บเอาไว้ เขาหันหลังก้าวจากไป
กุยเฉวียนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จู้จี้เสียจริง!
ตกใหม่ก็ตกใหม่สิ! เขาได้เห็นวิธีตกปลาชนิดนี้แล้ว ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเขาหรอก! เขาจะต้องตกปลาที่ใหญ่กว่านี้สดใหม่กว่านี้ให้นายหญิงได้แน่…
….
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายขวาเทียนจี้เยวี่ยไม่ได้อยู่กินอาหารในจวนของกู้ซีจิ่ว หลังจากเขาสอนวิธีใช้รถม้าคันนี้ให้กู้ซีจิ่วแล้ว ก็ขอตัวอำลาไป
กู้ซีจิ่วไปส่งถึงหน้าประตูจวนมองส่งเขาจากไป เหม่อลอยไปชั่วขณะ ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่
จู่ๆ คล้ายว่าเธอจะจับสัมผัสได้ หันหลังกลับไปมอง เห็นตี้ฝูอีเยื้องย่างมา กุยเฉวียนวิ่งเหยาะๆ ตามอยู่ด้านหลัง
กู้ซีจิ่วถอยหลังไปเล็กน้อย ตี้ฝูอีอยู่ไม่ห่างจากเธอแล้ว
กุยเฉวียนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “ท่านทูตสวรรค์ขอรับ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่มีแผนการจะรั้งอยู่กินอาหาร เขาสั่งการให้บ่าวมากล่าวขอตัวลากับท่านขอรับ”
กู้ซีจิ่วมองไปทางตี้ฝูอีแวบหนึ่ง สายตาของตี้ฝูอีก็ร่อนลงบนดวงหน้าเธอเช่นกัน สายตาของทั้งสองประสานกัน
บนหน้าเขามีหน้ากากสวมไว้ กู้ซีจิ่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ส่วนแววตาของเขาก็ล้ำลึกเกินไป ลึกจนทำให้คนคาดเดาความรู้สึกเขาไม่ออก
และเธอก็คร้านจะเดาแล้วด้วย ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าให้เพียงเล็กน้อย ใบหน้าเฉิดฉันยิ้มคล้ายมิยิ้ม “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นผู้สูงศักดิ์มีงานยุ่ง ไม่รั้งอยู่กินอาหารก็เป็นเรื่องปกติ ขอให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเดินทางปลอดภัย ไม่ส่งแล้วกัน” พลันยกแขนเสื้อเป็นสัญญาณเชิญ แล้วหันหลังเข้าจวนไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้หันกลับมาเลย
ตี้ฝูอีเก็บสายตากลับมาจากร่างนาง หันหลังก้าวออกจากจวนไปเช่นกัน ด้านหลังมีเพียงกุยเฉวียนคนเดียวที่ออกมาส่ง ดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
นอกประตูจวนปวงชนบางส่วนยังคงยืนรอชมเรื่องครื้นเครงอยู่ การที่กู้ซีจิ่วออกมาส่งทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยด้วยตัวเองพวกเขาล้วนเห็นกันทั่ว อีกทั้งได้ตี้ฝูอีที่มีเพียงข้ารับใช้คนหนึ่งออกมาส่ง ปวงชนจึงอดไม่ได้ที่จะยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างเขา ยากนักที่จะได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เสียหน้า พวกเขาย่อมอยากมองให้มากหน่อย
พวกมู่เฟิงทั้งสี่ยังคงรออยู่บนเรือใหญ่ที่รั้งรออยู่นอกประตู ยามที่ตี้ฝูอีเพิ่งเข้าจวนไป เดิมทีพวกเขาสี่คนอยากตามไปด้วย แต่ถูกตี้ฝูอีสั่งการอย่างลับๆ ว่าให้รั้งอยู่ รอคอยอยู่ด้านนอกตลอด
เมื่อเห็นตี้ฝูอีออกมาอย่างเงียบเหงาเช่นนี้ พวกมู่เฟิงก็ลอบส่ายหัว
ทอดทิ้งผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยมแล้วยังวิ่งมามอบของขวัญให้อีก ซ้ำของขวัญที่นำมายังไม่ได้เรื่องอีกด้วย บนโลกคงมีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้เดียวที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้!
ยามที่มู่เฟิงต้องออกไปมอบของขวัญให้ก่อนหน้านี้ ล้วนรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าว
ยังคงเป็นแม่นางกู้ที่ใจกว้าง ไม่ได้ปาของขวัญชิ้นนั้นใส่หน้าเขาทันทีก็นับว่าไว้หน้าเขามากแล้ว ยังจะมองผู้อื่นด้วยสีหน้าดีงามได้อีกหรือ?
เมื่อเห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เสียหน้า ในใจของมู่เฟิงค่อนข้างมีความสุขอย่างไร้ความปรานีอยู่รางๆ
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าแสดงความสุขนี้ออกมาทางสีหน้า ยามที่เห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงยหน้ามองขึ้นมา เขาก็รีบลุกขึ้นทันที ค้อมกายคอยท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรือ
ครั้งนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะอารมณ์ไม่ดี เงยหน้าสั่งการอย่างเฉยเมย “โรยแถบแพรลงมา”
มู่เฟิงตะลึง
ในใจพวกมู่เฟิงรู้สึกฉงนจริงๆ
ปกติแล้วการโรยแถบแพรจะใช้ในเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น ในยามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการวางท่าต่อหน้าผู้คน ถึงจะให้โยนสิ่งนี้ลงไป แล้วยามนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะย่างเท้าลงบนแถบแพรห้าสีทีละก้าวยุรยาตรขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ
————————————————————————————-
บทที่ 1613 เมื่อกี้เขาตาฝาดงั้นหรือ?
ภายใต้สถานกาณณ์ปกติ ท่าทางนั้นจะสง่างามยิ่งนัก ดึงดูดคนยิ่งนัก และเป็นการสำแดงวิทยายุทธ์ที่ราวกับท่าเท้าทะยานคลื่นของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างชัดเจนยิ่งนัก
แต่ยามนี้ มู่เฟิงคิดเห็นเป็นการส่วนตัวว่าในยามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างเสียหน้าเช่นนี้ควรถ่อมตัวสักหน่อยจะดีกว่า สมควรเหาะทะยานขึ้นมาเสีย
สี่ทูตไม่กล้าโอ้เอ้ ต่างสะบัดแขนเสื้อพรึ่บ มีแถบแพรห้าสีลอยละลิ่วลงมาจากเรือ ยื่นไปถึงแทบเท้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เหยียบย่างลงบนแถบแพรห้าสีแล้วเหินกายขึ้นไป…
ยามที่ใกล้จะถึงกราบเรือแล้ว ร่างกายของตี้ฝูอีโงนเงนเล็กน้อย ทำให้หัวใจของสี่ทูตสั่นสะท้านตามไปด้วย
ในชั่วขณะนั้น มู่เฟิงรู้สึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนจะเสียหลักร่วงหล่นลงไปแล้ว!
ขณะที่เขากำลังจะยื่นมือไปช่วยพยุงตามสัญชาตญาณ เรือนกายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พลันไหววูบ เข้าไปในเรือแล้ว มู่เฟิงคว้าได้เพียงอากาศ
มู่เฟิงยื่นมือค้างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหดกลับมา มองตี้ฝูอีที่นั่งอยู่บนเรือแล้ว ฉงนอยู่บ้าง เมื่อกี้เขาตาฝาดงั้นหรือ?
มู่เฟิงค่อนข้างกังวล ก้าวเท้าเข้าไป “นายท่าน…”
ตี้ฝูอีไม่มีทีท่าผิดปกติ สั่งการเพียงประโยคเดียว “ออกเรือ!”
มู่เฟิงมองไม่เห็นสีหน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงวินิจฉัยไม่ได้ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ ทำพียงปฏิบัติตามคำสั่งเขา นำเรือออก เอ่ยถามระหว่างทาง “นายท่าน จะไปไหนหรือขอรับ?”
“จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย” ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียวก็นั่งสมาธิเลย ไม่พูดอะไรอีก
….
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถง กุยเฉวียนยืนอยู่ด้านล่างแล้วรายงานเบาะแสทั้งหมดของตี้ฝูอีที่มาเยือนจวนในครั้งนี้
จากนั้นกู้ซีจิ่วจึงพบว่า เขาเดินไปทั่วทุกซอกทุกมุมของจวนเธอแล้ว ไม่ได้สนใจสถานที่ไหนเป็นพิเศษ เสมือนเดินเที่ยวจริงๆ หากว่ากล่าวให้พิเศษหน่อย ก็คือเขาค่อนข้างสนใจทะเลสาบแห่งนั้น ตกปลาจากทะเลสาบมาสามตัวด้วย
แน่นอนว่ากุยเฉวียนได้เล่าเรื่องปลาชนิดพิเศษแก่กู้ซีจิ่วด้วยเช่นกัน กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง!
สถานที่แห่งนี้เมื่อก่อนเป็นที่พำนักขององค์ชายแปดหรงเช่อ แต่หรงเช่อกลับเป็นร่างอวตารของโม่เจ้า โม่เจ้าเป็นมารสวรรค์ เพื่อรักษาวิถีมารไว้มารต้องใช้แรงพยาบาทจากวิญญาณอาฆาต
ในจวนของหรงเช่อไม่มีวี่แววของวิถีมารมาหลายปีแล้ว และไม่มีข่าวลือไม่ดีอันใดแว่วออกมาเลย จะต้องเกี่ยวข้องกับทะเลสาบแห่งนี้แน่…
กู้ซีจิ่วสั่งการให้ระบายน้ำออกจากทะเลสาบแห่งนั้น!
ทั้งจวนสวรรค์วุ่นวายขึ้นมาทันที หลัวจั่นอวี่นำเหล่าข้ารับใช้ไปทำงานอยู่ริมทะเลสาบด้วยตัวเอง เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดจะตามมาช่วยด้วย ทว่าถูกหลัวจั่นอวี่เกลี้ยกล่อมให้กลับไป บอกว่าเธอเพิ่งจะบาดเจ็บมา ไม่ควรถูกน้ำ ต้องพักผ่อนให้ดีถึงจะถูก
หลัวซิงหลานก็ลงมือปรุงอาหารบำรุงโลหิตให้กู้ซีจิ่วด้วยตัวเองหลายอย่าง ส่งไปให้กู้ซีจิ่วที่ห้องหนังสือ
มีคนในครบครัวอยู่เคียงข้าง มีสัตว์เลี้ยงน่ารักน่าเอ็นดู มีข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์? จวนทูตสวรรค์คึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง
กู้ซีจิ่วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นคึกคัก ทว่ารู้สึกอ้างว้างอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะยามที่รัตติกาลมาเยือน
คืนนี้เป็นอีกคืนที่ยากจะข่มตานอนได้
ข้อมือของเธอเจ็บปวดยิ่งนักอยู่ตลอดจริงๆ หลังจากเธอทายาสมานแผลนั้นแล้วสามารถทำให้แผลหายดีเร็วขึ้นได้ ทว่าไม่อาจขจัดความเจ็บปวดที่เสียดแทงไปถึงหัวใจนั้นอย่างหมดจด
เธอนึกว่าอาการปวดข้อมือนี้อย่างมากก็ปวดสักหนึ่งชั่วยามเท่านั้น กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะปวดอยู่กว่าสองชั่วยาม ซ้ำยังไม่มีแน้วโน้มว่าจะทุเลาลงเลยด้วย
ช่วงกลางวันเธอคึกคักยุ่งนู่นวุ่นนี่อยู่ตลอด เมื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปชั่วขณะก็สามารถอดทนไว้ได้ แต่พอตกกลางคืนหลังจากภายในห้องเหลือเธอเพียงผู้เดียว ความเจ็บปวดนั้นยิ่งชัดเจดมากขึ้น
เธอนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงหลับไม่ลง หันรีหันขวางเช่นนี้มาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ในเมื่อเธอนอนไม่ได้ จึงลุกออกไปดูรถม้าหยกขาวคันนั้นเสียเลย
มุดเข้าไปในรถ คิดจะศึกษาค้นคว้าโครงสร้างค่ายกลภายในรถดู นึกไม่ถึงเลยว่าเธอศึกษาดูอยู่ในรถคันนี้ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เสียงกระดิ่งหยกบนชายคารถที่ถูกสายลมพัดพาจนดังกรุ้งกริ้งก็แว่วเข้ามาในหู ราวกับเสียงเพลงขับกล่อม ทำให้เธอง่วงขึ้นมา
จึงนอนลงบนตั่งนุ่มภายในห้องโดยสารเสียเลย สะลึมสะลือแล้วหลับใหลไป
คงเป็นเพราะปวดข้อมือเกินไป ต่อให้เธอหลับอยู่ก็ไม่สงบมั่นคง มุ่นคิ้วน้อยๆ บางครั้งก็เสียงครางเบาๆ แว่วออกมาจากปาก ตรงขมับมีเหงื่อผุดซึม…
หลังจากเธอหลับไปไม่นาน ฉากกั้นด้านบนของรถม้าก็ค่อยๆ เลื่อนออก เผยให้เห็นป้ายหยกชิ้นหนึ่ง ป้ายหยกชิ้นนั้นมีแสงอ่อนโยนแผ่ออกมา ค่อยๆ โอบคลุมร่างเธอไว้
และคนชุดม่วงผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากแสงอันอ่อนโยนดุจภาพเงามายา ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเธอ
บทที่ 1614 เกาะแน่นประหนึ่งตัวซู่หล่านกอดต้นไม้ก็มิปาน
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีม่วง เป็นตี้ฝูอี เขากุมข้อมือผอมบางของนางทันที ถึงแม้จะระวัดระวังหลบเลี่ยงบาดแผลของนางยิ่งนักแล้ว นางก็ยังครางออกมาเบาๆ หัวคิ้วมุ่นแน่น บนหน้าผากมีเหงื่อมผุดพราย “เจ็บ…” นางพึมพำออกมาคำหนึ่ง
เขายื่นมือไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว เด็กดี…”
น้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับสะกดจิต
แปดปีที่ผ่านมาเธอติดนิสัยในการขอการปกป้องขอไออุ่นจากข้างกายเขา ตอนกลางวันถึงแม้เธอขีดเส้นแบ่งจากเขาอย่างชัดเจน ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา แต่เกรงว่าด้วยความเคยชินทำให้ในความฝันเธอลืมเลือนความบาดหมางไป และต้องการพึ่งพิงเขา โดยเฉพาะในยามที่เจ็บปวด
ดังนั้นเธอจึงเอนไปซบเขาตามสัญชาตญาณ ดวงหน้าน้อยๆ ซบอยู่บนตักเขา พึมพำออกมาอีกประโยคหนึ่ง “ฝูอี ข้าเจ็บ ข้าเจ็บจัง…”
หัวใจพลันอึดอัดปานจมน้ำ ตี้ฝูอียื่นมือออกไปหมายจะกอดนาง ทว่าอดกลั้นเอาไว้อีกครา ถอนหายใจเบาๆ ใช้ปลายนิ้วแกะผ้าพันแผลตรงข้อมือนางออก รอยแผลสีแดงปูดนูนสายหนึ่งพาดอยู่บนข้อมือขาวผ่องของนาง ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
เขาขมวดคิ้วนิดๆ นางจัดการบาดแผลได้สะเพร่าเกินไปแล้ว เพียงใช้ยาสมานแผลทาเข้าที่บาดแผลก็นับว่าจบเรื่องแล้ว ไม่ได้บีบโลหิตพิษด้านในออกมา มิน่าเล่านางถึงเจ็บปวดเช่นนี้…
แผลนี้ของนางมองเผินๆ เหมือนจะสมานดีแล้ว แต่พิษบนคมมีดยังถูกผนึกไว้ด้านใน ออกฤทธิ์อยู่ในเลือดเนื้อของนาง
นางเองก็เป็นหมอที่เก่งกาจผู้หนึ่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่น่าจะไม่ทราบถึงข้อนี้
นี่นางจงใจทรมานตัวเองหรือไง? หรือว่าจิตใจฟุ้งซ่านจึงไม่ได้สังเกตเลย?
ตี้ฝูอีมองบาดแผลบนข้อมือนางเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ต้องบีบโลหิตด้านในออกมา จากนั้นก็พันแผลไว้อีกครั้ง ถึงจะหายดี
แต่หากว่าเขากรีดเปิดปากแผลของนางอีกครั้ง ต้องทำให้นางสะดุ้งตื่นเป็นแน่ และจะทำให้นางได้รับความทรมานอีกครั้ง เขาหลับตาลงเล็กน้อย ยกมือขึ้นแตะบนบาดแผลของนาง ลำแสงสีรุ้งผุดออกมาจากฝ่ามือเขา เข้าครอบคลุมบาดแผลนาง
มีสีม่วงจางๆ ค่อยๆ ผุดออกมาจากปากแผลของนาง ปีนป่ายขึ้นมาตามแสงสีรุ้งของตี้ฝูอี มุดเข้าไปในฝ่ามือเขา…
ผ่านไปครู่หนึ่ง รอยแผลปูดนูนบนข้อมือกู้ซีจิ่วก็ค่อยๆ ราบแบนลงไป
แต่มือของตี้ฝูอีกลับบวมเป่งเล็กน้อย หลังจากเขาถอนพลังกลับไปแล้ว ทั้งฝ่ามือของเขาบวมแดงไปหมด เขามองตัวเองแวบหนึ่ง ไม่ใส่ใจอีก ก่อนหลุบตามองกู้ซีจิ่วอีกครั้ง คงเป็นเพราะความเจ็บปวดไม่เลือนหายเลย ใบหน้าน้อยๆ ของนางจึงซีดขาวอยู่ตลอด บัดนี้เลือดฝาดบนแก้มกลับคืนมาแล้ว หัวคิ้วที่มุ่นแน่นก็คลายออกแล้วเช่นกัน
นางนอนอยู่ตรงนั้น บนร่างสวมอาภรณ์ตัวบางไว้ นอนหลับอย่างไร้สิ่งขวางกั้น
ทันใดนั้นนางพลันพลิกกาย แขนข้างหนึ่งควานหาบางอย่างตามสัญชาตญาณ ทว่าควานพบเพียงอากาศ
ความปวดร้าวพาดผ่านนัยน์ตาของตี้ฝูอี
อยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาแปดปี เมื่อหลับใหลในยามราตรีนางหลับอยู่ในอ้อมแขนเขาจนคุ้นชินไปแล้ว แขนชอบโอวรอบเอวเขาไว้ เกาะแน่นประหนึ่งตัวซู่หล่าน (ตัวสลอธ) กอดต้นไม้ก็มิปาน
ยามนี้ถึงแม้นางกับเขาจะเลิกรากันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ความเคยชินของนางไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วขณะ ยามหลับใหลยังติดนิสัยที่อยากโอบเอวเขาไว้อยู่
เขานั่งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เห็นว่าหลังจากที่นางโอบได้เพียงความว่างเปล่าหัวคิ้วก็มุ่นนิดๆ อีกครั้ง ควานหาอีกครั้งอย่างไม่พอใจ ตี้ฝูอีจึงหยิบหมอนอิงใบหนึ่งที่อยู่ด้านข้างมายัดใส่อ้อมแขนนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงกอดหมอนอิงไว้แน่น ใบหน้าแนบอยู่บนหมอนอิง และไม่ทราบเช่นกันว่าในฝันกำลังฝันถึงอะไรอยู่ ขนตาของนางเปียกชุ่มขึ้นมา หยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากหางตา….
————————————————————————————-
บทที่ 1615 ครั้งนี้กลับปล่อยมืออย่างสิ้นเชิงแล้ว
ตี้ฝูอีละสายตาไปทันที หมุนกายคราหนึ่งหายลับไปในแสงสลัวที่แผ่ออกมาจากป้ายหยก
ต่อให้ความเคยชินจะหยั่งรากลึกสักเพียงใดก็สามารถค่อยๆ แก้ไขให้หายไปได้ ในไม่ช้านางจะเคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียว…
….
ณ จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ร่างกายของตี้ฝูอีที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นชมดาวปานพุทธองค์พลันสั่นสะท้าน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
เขายกมือขึ้นมา มองฝ่ามือที่บวมเป่ง โคจรพลังยุทธ์เงียบๆ ขับพิษที่ดูดมาออกจากร่างกาย หยาดโลหิตสีม่วงเข้มไหลรินออกมาทีละหยดๆ บนหน้าผากขาวกระจ่างปานหยกของเขามีหยาดเหงื่อผุดพราย เห็นได้ชัดว่าการขับพิษก็เจ็บปวดยิ่งนักเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยาดโลหิตที่ขับออกมากลายเป็นสีแดงสดแล้ว เขาก็เก็บพลังยุทธ์ ลุกขึ้นมา
เงยหน้าท้องนภาดาษดาราอยู่หนึ่งชั่วยามเต็ม ดาวดวงใหม่ส่องว่างขึ้นทุกที ดาวดวงเก่าหม่นแสงลง และที่มุมหนึ่งของฟากฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีดาวสีแดงดวงหนึ่งค่อยๆ เผยแสงออกมา…
ตี้ฝูอีจ้องดาวสีแดงหม่นดวงนั้นอยู่นานนัก บางครั้งก็จรดนิ้วคำนวณบางอย่าง ขมวดคิ้วนิดๆ
ดาวมารสวรรค์ฉายแสงขึ้นมาอีกครั้ง แสดงว่าโม่เจ้ากำลังจะคืนชีพ
จากการคาดการณ์แต่เดิมของตี้ฝูอี โม่เจ้าสมควรจะใช้เวลาสามสิบปีในการฟื้นคืนชีพ แต่บาปกรรมที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นก่อทำให้เกิดวิญญาณอาฆาตมหาศาล ไอพยาบาทท่วมท้นไปทั่วแผ่นดิน ไอพยาบาทนี้ทำให้โม่เจ้าฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้น ย่นระยะเวลาให้เขาได้มากมายถึงเพียงนี้…
เพียงแต่เขาฟื้นคืนชีพมาเร็วหน่อยก็ดี ตี้ฝูอีจะได้ฉวยโอกาสกำจัดเขาให้สิ้นซากเสีย! กำจัดหายนะใหญ่หลวงนี้
เขามองดวงดาวอีกครา ดาวมารสวรรค์ดวงนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ดูจากตำแหน่งที่ตั้งแล้วคล้ายจะเป็นพื้นที่ของเผ่าจิ้งจอกคราม…
ประหลาด เขาจับสัมผัสได้ว่าโม่เจ้าอยู่ในละแวกหลายร้อยลี้นี้ชัดๆ เหตุใดดวงดาวจึงแสดงพิกัดว่าเขาซ่อนตัวอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้เล่า?
เป็นเขาสูญเสียพลังวิญญาณมากไป ดังนั้นสัมผัสรับรู้จึงมีปัญหางั้นหรือ?
เขาเงยหน้ามองดาวสีแดงหม่นดวงนั้นอีกครั้ง ดูท่าว่าภายในครึ่งปีนี้เขาคงก่อเรื่องอะไรยังไม่ได้ ส่วนตัวเขาก็ต้องฟื้นฟูให้กลับเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ภายในครึ่งปีนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับพายุฝนที่หนักหนากว่าเดิม
เขาออกมาจากแท่นชมดาว หน้ากากสวมลงบนหน้าด้วยตัวเอง ถีบปลุกมู่เฟิงที่สัปหงกอยู่ตรงหน้าประตูทีหนึ่ง “เตรียมตัวเสีย พวกเราจะกลับวังมรกตกัน”
มู่เฟิงงุนงงอยู่บ้าง “ยะ…ยามไหนขอรับ?”
“เดี๋ยวนี้”
มู่เฟิงทึ่มทื่อไป
เขาขยี้ตา ทำให้ตนแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย “ข้าน้อยจะเรียกทูตทั้งสามมาเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
“เจ้าตามเปิ่นจุนกลับไป มู่เหล่ยให้จับตามองความเคลื่อนไหวในวังหลวงต่อ มู่อวิ๋นไปจับตามเผ่าจิ้งจอกคราม มู่เตี่ยนรักษาการณ์อยู่ที่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ถ้ามีความผิดปกติให้รีบรายงานทันที”
“…ขอรับ!” มู่เฟิงทำใจกล้าถามออกไปอีกประโยคหนึ่ง “นายท่าน ทางด้านแม่นางกู้ต้องส่งคนไปดูแลด้วยไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีหันหลังก้าวเดินไป “ไม่ต้อง”
มู่เฟิงที่อยู่ด้านหลังเบ้ปากทีหนึ่ง
เมื่อก่อนไม่ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไปไหน จะต้องส่งคนไปลอบอารักขาแม่นางกู้เสมอ ไม่เคยลืมเลือนเลย ครั้งนี้กลับปล่อยมืออย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ชักจะใจดำอย่างที่หาผู้ใดมิได้ขึ้นทุกทีแล้วจริงๆ…
มู่เฟิ่งรีบไปจัดการเรื่องเหล่านั้นตามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาก็แอบสั่งการมู่เตี่ยนไว้เล็กน้อยเช่นกัน ให้เขาสังเกตความเคลื่อนไหวของจวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินให้มากหน่อย เมื่อถึงคราวจำเป็นให้ช่วยสะสางปัญหาให้กู้ซีจิ่วด้วย มู่เตี่ยนย่อมตกปากรับคำอยู่แล้ว
….
กู้ซีจิ่วนอนหลับสนิทอีกครั้ง ยามที่ตื่นขึ้นมาดวงตะวันด้านนอกลอยขึ้นสูงมากแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง พบว่าตัวเองกอดหมอนอิงใบหนึ่งหลับอยู่ หมอนอิงใบนั้นรูปทรงยาว กอดไว้ในอ้อมแขนแล้วสบายยิ่งนัก
เธอมองหมอนอิงใบนั้นอย่างงุนงง เธอจำได้ว่าตอนเธอหลับไปหมอนอิงใบนี้อยู่ในหีบใบหนึ่ง แล้วเธอไปเอามันออกมากอดตอนไหนกัน?
หรือว่าเธอติดนิสัยที่ยามนอนต้องกอดข้าวของเอาไว้ ดังนั้นพอหลับไปก็ละเมอไปเปิดหาในหีบ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น