คัมภีร์วิถีเซียน 1610-1612

ตอนที่ 1610 แรงกดขั้นที่เก้า

 

ท่ามกลางลำแสงสีเทาชนต่างเผ่าผมสีเขียวรู้สึกว่าลำแสงวิญญาณที่ปกป้องร่างแข็งตัว ชั่วขณะนั้นก็ไม่อาจขยับร่างกายได้ ยามนี้มือยักษ์สีเทาพลันกดลงมา


 


 


เห็นเพียงว่าเหนือศีรษะดำทะมึน บรรยากาศรอบๆ ตึงเครียด ชนต่างเผ่านี้ไม่แม้แต่จะหายใจได้ จากนั้นพลังมหาศาลที่ไร้การต้านทานก็กดลงมาที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขา


 


 


เสียง “ครืน” ดังขึ้น ชนต่างเผ่าผมสีเขียวไม่อาจต่อต้านพลังมหาศาลราวกับภูเขาไท่ซานกดลงมาได้ ขณะที่เส้นเอ็นต่างๆ อ่อนแรง หัวเข่าเป็นเหน็บชา ชั่วครู่ก็คุกเข่าลงไปกับพื้น


 


 


ขณะที่มือยักษ์สีเทาอยู่ห่างจากศีรษะของเขาไปครึ่งฉื่อ กดลงมาบนลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้แน่น ก็ทำให้เขาไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เลยสักกระผีกริ้น


 


 


ชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีสีหน้าซีดขาวในตอนแรก ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ


 


 


ไม่รู้ว่าเขาโคจรพลังยุทธ์มากเกินไป หรือว่าอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีกันแน่


 


 


ชั้นสามทั้งชั้นเงียบสงัด


 


 


ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรท้องที่ หรือว่าผู้ที่มาจากภายนอก ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


 


 


ชายชราแซ่เยี่ยนหนึ่งในนั้นเผยสีหน้ายินดีออกมาท่ามกลางความตกตะลึง


 


 


ชนต่างเผ่าแซ่กุยที่อยู่ไกลออกไปหางตากระตุก สายตาที่มองมายังหานลี่เปลี่ยนเป็นเย็นชาดุจน้ำแข็ง


 


 


เซียนเซียนหญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้กลับหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง


 


 


แม้ว่านางจะรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ของหานลี่นั้นสูงส่ง แต่แค่ลงมือก็กดคู่ต่อสู้ที่ระดับขั้นสูงกว่าตนสองขั้นได้ทันที และยังอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางเป็นอย่างมาก ทำให้นางรู้สึกสับสนในใจ


 


 


เย่ว์จงเองก็ตกตะลึงไม่น้อย มองหานลี่ด้วยความตกตะลึงไม่ได้ปริปากพูดอะไร


 


 


ส่วนหญิงสาวสวมชุดชาววังพร้อมพวกและคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง


 


 


หานลี่ทำเป็นมองไม่เห็นทุกอย่าง แค่มองไปยังพื้นดินฝั่งตรงข้าม กระดูกทั่วเรือนกายของชนต่างเผ่าผมสีเขียวเปล่งเสียง “กร๊อบแกร๊บ” ออกมา


 


 


เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลง!


 


 


หลังจากคนผู้นี้ถูกมือลำแสงยักษ์กดจนต้องคุกเข่า สายตาที่มองมาทางหานลี่นอกจากความอับอายแล้ว ยังเผยความโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่งออกมาด้วย ในเวลาเดียวกันลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างก็สั่นคลอนไปมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนอยากจะฝืนยืนขึ้น


 


 


หานลี่มุมปากกระตุก แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา


 


 


ฝ่ามือสีดำที่แต่เดิมยกขึ้น พลันพลิกฝ่ามือในทันที


 


 


ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีเทาที่เดิมกดอยู่บนร่างของชนต่างเผ่าผมสีเขียวพลันพลิกขยับนิ้วทั้งห้าในเวลาเดียวกัน


 


 


ภูเขาขนาดสองสามจั้งลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในทันที จากนั้นก็กดลงมาด้านล่าง


 


 


เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น!


 


 


ภูเขาลูกนี้เป็นสีดำสนิทท่าทางดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด แต่เมื่อสัมผัสกันไม่เพียงจะทำให้ลำแสงวิญญาณที่ปกคลุมร่างของชนต่างเผ่าผมสีเขียวสลายออก ยังทำให้ชนต่างเผ่าที่เดิมคุกเข่าอยู่กับพื้นล้มลงไปบนพื้น


 


 


จากนั้นภูเขาลูกน้อยพลันพลิ้วไหว ความสูงเพิ่มขึ้นจนมีขนาดสามสี่จั้ง เปล่งเสียงอึกทึกออกมาพลางกดชนต่างเผ่าผมสีเขียวเอาไว้ใต้ภูเขา แล้วเผยออกมาเพียงครึ่งหนึ่งของศีรษะ


 


 


และกระดานชั้นบนของตึกที่เดิมทีดูเหมือนธรรมดาๆ ก็สั่นคลอนอย่างรุนแรง จากนั้นพื้นดินและกำแพงทั้งสี่ก็มีลำแสงสีขาวปรากฏขึ้น อักขระประหลาดทะลักออกมาจากทั้งสี่ทิศแปดด้านในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


 


 


ชั่วพริบตากระดานชั้นบนของตึกก็กลับมาเป็นปกติ


 


 


คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะวางเขตอาคมขนาดยักษ์ที่มหัศจรรย์มากเอาไว้ มิเช่นนั้นการต่อสู้เมื่อครู่ แค่พลังมหาศาลที่ปะทะกัน ก็ทำลายทั้งหอคอยได้ตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว


 


 


“ตอนนี้ข้าน้อยมีตัวเลือกที่สามแล้วหรือยัง” หานลี่หดแขนกลับมา มองชนต่างเผ่าที่อยู่ใต้ภูเขาขนาดย่อมสีดำ แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


 


 


สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสูญคนหนึ่ง หากประมือกันข้างนอก ถ้าหานลี่ไม่ใช่เครื่องมือสังหารสองสามชนิด แม้ว่าจะโจมตีอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ได้แต่ก็ต้องออกแรงสักหน่อย


 


 


แต่ชนต่างเผ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ มั่นใจว่ามีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ในสถานที่ที่คับแคบเช่นนี้กลับต่อสู้กับเขาโดยไม่คิดหลบหลีก


 


 


เช่นนั้นภายใต้พลังมหาศาลของหานลี่ประกอบกับเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจโจมตีได้


 


 


เมื่อคนผู้นี้รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ยามที่คิดจะหนีหรือว่าอยากควบคุมสมบัติชิ้นอื่นนั้น แน่นอนว่าย่อมสายไปแล้ว ภายใต้แรงกดของหานลี่ประกอบกับลำแสงเทวะดูดปราณที่สำแดงออกมา ก็ทำได้เพียงรักษาชีวิตเอาไว้เท่านั้น ไหนเลยจะมีแรงทำเรื่องอื่น


 


 


เมื่อเห็นว่าสหายร่วมวิถีของตนเองถูกหานลี่ควบคุมได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าของบุรุษแซ่กุยที่อยู่ไกลออกไปก็มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป กลับเป็นคิ้วทั้งสองที่เลิกขึ้น กลิ่นอายโลหิตวนล้อมรอบกายเขา ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นเข้มข้น


 


 


เขาหยัดกายยืนขึ้นอย่างแช่มช้า ดูเหมือนว่าจะอยากเดินมาทางหานลี่


 


 


หญิงสาวสวมชุดวางวังและพวกเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าตกตะลึงระคนดีใจก็เปลี่ยนเป็นฉงน


 


 


หลังจากที่เห็นหานลี่สำแดงอิทธิฤทธิ์เมื่อครู่ และยังมีท่าทีไม่แยแสเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องมีที่พึ่งพิงแน่นอน


 


 


ชายชราแซ่เยี่ยนมองบุรุษแซ่กุย สองตาหรี่ลงเล็กน้อย


 


 


กลับเป็นหานลี่ที่หันไปบอกมองคนผู้นั้น ใบหน้าไร้ซึ่งความประหลาดใจ


 


 


เมื่อเห็นบุรุษแซ่กุยก้าวเข้ามา บรรยากาศในหอคอยก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียด


 


 


คนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นพวกกับทั้งสองฝั่งอีกสิบกว่าคนพลันเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น มองฉากการปะทะที่ดุเดือดตรงหน้าด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ


 


 


“สหายเก็บสมบัติไปเถิด ที่นี่คือหอเมฆาอัสนี ไม่อนุญาตให้ลงมือสู้รบกัน หากสหายทั้งสองอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ก็ไปที่หอการประลองของหมู่บ้านจะดีกว่า มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะถูกยึดคุณสมบัติในการเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง” เสียงบุรุษแปลกหูคนหนึ่งดังมาจากหัวบันไดที่ใช้ขึ้นไปบนชั้นสี่ น้ำเสียงเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง


 


 


หานลี่ได้ฟังคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี บุรุษแซ่กุยที่อยู่ตรงข้ามเองก็หยุดฝีเท้า


 


 


“เป็น ‘ผู้ดูแลหมิ่น’ ที่มาใหม่ สหายหานหยุดก่อนเถิด” ชายชราแซ่เยี่ยนแววตาเปล่งประกาย รีบร้อนเอ่ยปากชักจูง


 


 


หานลี่เลิกคิ้วขึ้น มองไปยังชนต่างเผ่าผมสีเงินที่ภูเขากดเอาไว้แวบหนึ่ง หัวเราะต่ำๆ ออกมา แล้วกลับใช้มือหนึ่งตะปบไปที่ภูเขาขนาดเล็ก


 


 


เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้น ภูเขาขนาดเล็กสีดำเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางม่านลำแสงสีเทา แล้วสลายหายไปราวกับฟองอากาศ


 


 


ชนต่างเผ่าที่เดิมทีถูกกดอยู่กับพื้นพลันยืนขึ้น ใบหน้าเป็นสีแดงราวกับโลหิต คำรามด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา อ้าปากออก ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเหลืองพลันปรากฏขึ้นรางๆ หมายจะโจมตีไปหาหานลี่


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นไม่รอให้เขามีการเคลื่อนไหวใดๆ กลับหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชาออกมา


 


 


“หยุด! เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา กลับมาเถิด” บุรุษแซ่กุยเปล่งเสียงเย็นชา คาดไม่ถึงว่าจะใช้น้ำเสียงออกคำสั่งเอ่ยขึ้น


 


 


“เมื่อครู่เขาฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่ตั้งตัว ถึงได้ทำสำเร็จ! ข้าจะ…” ภายใต้ความโกรธแค้นของชนต่างเผ่าผมสีเขียว กลับมีท่าทีไม่ฟังอะไรทั้งนั้น


 


 


“อันใด เจ้าคิดว่าข้าพูดผิดไปงั้นหรือ?” บุรุษแซ่กุยเห็นเหตุการณ์นี้ พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยด้วยความเย็นเยียบ


 


 


น้ำเสียงไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้าโสตของชนต่างเผ่าผมสีเขียว กลับทำให้เขาสั่นสะท้าน เก็บสีหน้าโกรธแค้นกลับไป แล้วเอ่ยคำว่า “มิกล้า” ออกมาด้วยความหวาดกลัว


 


 


จากนั้นชนต่างเผ่าผมสีเขียวก็ถลึงตาใส่หานลี่แวบหนึ่ง แล้วเดินกลับที่เดิมจริงๆ และนั่งสมาธิลงบนฟูกด้วยสีหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง


 


 


“ในเมื่อสหายผู้นี้ตั้งมั่นว่าจะไม่ปล่อยสหายเย่ว์มา เช่นนั้นก็ช่างเถิด ฟังจากคำพูดของพวกเจ้าเมื่อครู่ เหล่าสหายไม่ได้มาที่นี่เพราะเห็ดเซียน เช่นนั้นก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับพวกเรา ข้าน้อยเองก็ไมอ่ยากลงมือกับผู้ใดให้เสียพลังลมปราณอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ครั้งหน้าหากนายท่านยังกล้าขวางทางข้า มันไม่จบง่ายๆ แน่!” บุรุษแซ่กุยเอ่ยอย่างเข้มงวด จากนั้นก็นั่งลงเช่นกัน


 


 


หานลี่ได้ฟังคำพูดข่มขู่ของอีกฝ่าย ก็แค่ลูบใต้คางไปมา ฉีกยิ้มไม่ปริปาก


 


 


ชายชราและพวกที่อยู่ด้านข้างได้ฟัง ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาจริงๆ


 


 


หญิงสาวสวมชุดชาวหวังฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่ ยามที่คิดจะเอ่ยปากอะไรนั้น ตรงบันไดก็มีเสียงของ ‘ผู้แลหมิ่น’ ดังมา


 


 


“นอกจากระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่แปดและเก้าแล้ว คนที่เหลือที่อยากเข้าไปในเทือกเขามารสีทองต้องผ่านการทดสอบ หากอยากเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง ตอนนี้ก็ขึ้นมาได้แล้ว ครั้งหนึ่งขึ้นมาได้เพียงสองคนเท่านั้น!”


 


 


คำพูดของผู้ดูแลหมิ่นผู้นี้ราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำให้ผู้ที่รวมตัวกันอยู่เกิดเสียงอื้ออึ้งอึ้ง


 


 


หลังจากที่ทุกคนมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็มีคนสองคนแย่งกันเดินไปที่บันไดตามลำดับ ชั่วพริบตาก็หายวับไปตรงหัวบันได


 


 


ทั้งสองคนคนหนึ่งอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลาง คนหนึ่งระดับสูญสุญตาขั้นต้น ล้วนไม่ได้เป็นพวกของชายชราและบุรุษแซ่กุย


 


 


คนที่เหลือไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ใบหน้าก็ฉายแววเสียใจในภายหลัง


 


 


ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ได้ร่มขจัดอัสนีมาก่อน แน่นอนว่าย่อมมีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสีย


 


 


ยามนี้คนที่เหลือก็ทำได้เพียงรออยู่ที่เดิมอย่างซื่อๆ บางคนจับจ้องการเคลื่อนไหวของชั้นบน หวังว่าจะได้ยินอะไรบ้าง


 


 


แต่ไม่รู้ว่าชั้นบนวางเขตอาคมเอาไว้ หรือว่าการทดสอบนั้นเงียบเชียบ ชั้นบนนั้นเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา


 


 


นี่จึงทำให้คนเหล่านี้รู้สึกหมดหวัง


 


 


เวลาของการทดสอบไม่นับว่ายาวนั้น แต่ก็ไม่สั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ถึงได้มีคนหนึ่งเดินลงมา


 


 


แววตาของทุกคนหดเล็กลง แล้วทั้งหมดพลันกวาดสายตาไป


 


 


เห็นเพียงเสื้อผ้าของคนผู้นั้นฉีกขาด ราวกับว่ามีร่องรอยโลหิตอยู่จางๆ สองสามจุด คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางเหมือนไปสู้กับอะไรสักอย่างมา


 


 


“สหายจู้ เจ้าทดสอบเป็นอย่างไร ได้ร่มขจัดอัสนีมาหรือไม่!” ผู้ที่มาจากภายนอกซึ่งสนิทสนมกับคนผู้นี้ทนไม่ไหวพลางหยัดกายลุกขึ้นซักถาม


 


 


“ผ่านมันก็ผ่าน! แต่การทดสอบเช่นนี้ ผู้ดูแลหมิ่นสั่งไว้ว่าห้ามแพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้นจะรีบร่วมขจัดอัสนี! และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ ปกติแล้วคนที่ผ่าน ก็ต้องออกไปจากที่นี่ทันที ข้าน้อยก็จะไม่พูดมาก ขอตัวก่อน “


 


 


บุรุษผู้นี้ดูแล้วมีท่าทีจนตรอก ปากกลับเอ่ยอย่างคลุมเครือออกมา แล้วลงบันไดไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


ผู้ถามได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น ก็ไม่สะดวกจะบีบเคล้นซักถามอะไรอีก จึงทำได้เพียงเผยสีหน้าโกรธแค้นออกมาแล้วนั่งลงอีกครั้ง


 


 


หลังจากรออีกหนึ่งมื้ออาหาร อีกคนหนึ่งก็เดินคอตกลงมาจากชั้นสี่


 


 


ไม่เหมือนกับคนก่อนหน้า คนผู้นี้มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าเรือนกายไร้ซึ่งการบาดเจ็บ แต่กลับมีสีหน้าโศกเศร้า


 


 


ทว่าคนผู้นี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ชั้นสาม แต่กลับเดินลงไปทันที


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ ยามนั้นกลับมีคนรีบร้อนจะขึ้นไป ล้วนใช้สายตาหยั่งเชิงมองพิจารณาคนอื่นๆ


 


 


เห็นได้ชัดว่าคิดเอาไว้แล้วว่าจะให้คนอื่นๆ ขึ้นไปทดสอบก่อน


 


 


“ขึ้นมาอีกสองคน!” บนบันไดมีเสียงเร่งเร้าของผู้ดูแลหมิ่นดังมา


 


 


หานลี่กวาดตาไปรอบๆ ด้าน เห็นว่ายังไม่มีคนยืนขึ้น ทันใดนั้นก็หยักมุมปากขึ้น ยืนขึ้นพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ แล้วตรงไปที่หัวบันได


 


 


ทว่าเมื่อเขาเดินออกมาได้สองสามก้าว ก็ได้เสียงฝีเท้าที่ด้านหลัง อีกคนเดินตามเข้ามา


 


 


“เหตุใดสหายถึงรีบร้อนถึงเพียงนี้ รออีกประเดี๋ยวค่อยขึ้นไปก็ไม่สาย” หานลี่ดูเหมือนว่าจะรู้ว่าผู้ที่อยู่ด้านหลังคือใคร จึงเอ่ยขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันหัวกลับมา


 


 


“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ! เรื่องของการทดสอบ ข้าเคยสอบถามมาแล้ว และยังเตรียมตัวมาบ้าง” ด้านหลังมีเสียงไพเราะดังขึ้น นั่นก็คือหญิงสาวเผ่าผลึกนามว่าเซียนเซียนผู้นี้

 

 

 


ตอนที่ 1611 เข้ามารสีทองตอนต้น

 

 


 


“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ดูแล้วก็คงมีแผนการอยู่แล้ว กลับเป็นผู้แซ่หานที่คิดมากไป” หานลี่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่คิดจะหยุดพักเลยสักนิด


 


 


เซียนเซียนเม้มปากฉีกยิ้ม เดินนวยนาดตามไปด้านหลัง


 


 


ตรงหัวบันไดชั้นสี่มีม่านลำแสงสีแดงอ่อนชั้นหนึ่งกั้นอยู่ตรงนั้น


 


 


หานลี่หัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา ร่างกายพลิ้วไหว ทะลวงผ่านม่านลำแสงไป


 


 


จากนั้นเบื้องหน้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ปรากฏขึ้นบนพื้นที่ที่มีท้องฟ้าสีฟ้า


 


 


ไม่ว่าเหนือศีรษะหรือกำแพงทั้งสี่ ล้วนเป็นสีสันแวววาว และมีลำแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นลางๆ


 


 


ใต้เท้ามีเขตอาคมยักษ์สีขาวแห่งหนึ่ง แทบจะปกคลุมพื้นที่ทั้งสิบในระยะยี่สิบกว่าจั้งเอาไว้ ตรงใจกลางของเขตอาคม คนคนหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น และพิจารณาหานลี่และพวกทั้งสอง


 


 


หานลี่แววตาเปล่งประกาย มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน


 


 


เป็นบุรุษสวมชุดนักปราชญ์ใบหน้าเข้มงวดคนหนึ่ง มือหนึ่งถือคัมภีร์สีเหลืองเอาไว้ อีกมือหนึ่งกลับถือจานอาคมสีทองอ่อนเอาไว้ พลังยุทธ์อยู่ในระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอด


 


 


“ที่แท้ก็สหายนี่เอง!” นักปราชญ์เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะเอ่ย


 


 


“อันใด สหายรู้จักข้าน้อยหรือ?” หานลี่ถามกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ


 


 


“ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่รู้จัก แต่สหายลงมือที่ด้านล่างนั้น ผู้แซ่หมิ่นจะไม่รู้จักได้อย่างไร สหายมีพลังกดขั้นที่เก้าได้ นับว่ามีอิทธิฤทธิ์มากนัก” นักปราชญ์เอ่ยพร้อมส่งเสียงจุ๊ๆ


 


 


“สหายชมเกินไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะทดสอบคุณสมบัติของข้าน้อยอย่างไร?” หานลี่เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ


 


 


“ทดสอบ? จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย ยังต้องทดสอบอะไรอีก แน่นอนว่าต้องผ่านอยู่แล้ว!” นักปราชญ์หัวเราะร่าออกมา


 


 


เมื่อได้ยินคำนี้ หานลี่และเซียนเซียนพลันตกตะลึง


 


 


“อันใดสหายคิดว่าข้าน้อยเป็นผู้ที่ไม่รู้จักพลิกแพลงหรือ? ในเมื่อระดับแปดและเก้าด้านล่างไม่ต้องทำการทดสอบ นายท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไร รับเอาไว้ นี่คือร่มขจัดอัสนีของสหาย!” นักปราชญ์เพิ่งจะเอ่ยจบ คัมภีร์ในมือก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ของสิ่งหนึ่งบินออกมาจากด้านบน ตรงมาหาหานลี่


 


 


หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ คว้าของที่บินมาไว้ในมือ แล้วรู้สึกเย็นยะเยือกเล็กน้อย


 


 


ก้มหน้าลงมองเป็นร่มคันเล็กสีเงินอ่อนคันหนึ่ง มีขนาดเพียงสองสามชุ่น แต่กลับวิจิตรงดงาม ผิวของมันมีอักขระสลักอยู่เต็มไปหมด


 


 


“ข้าจำต้องเตือนสหายสักหน่อย ร่มขจัดอัสนีต้องยอมรับเจ้าของต่อหน้าข้า เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นแย่งไป และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากร่มรับเป็นนายแล้ว ก็มีประสิทธิภาพเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อหมดเวลาก็จะหมดประสิทธิภาพไป นั่นหมายความว่าสหายต้องออกมาจากเทือกเขาภายในหนึ่งเดือน มิเช่นนั้นก็จะถูกไอมารด้านในกัดกิน กลายเป็นมารไปจริงๆ” ผู้ดูแลหมิ่นผู้นี้กลับรู้หน้าที่เป็นอย่างมาก เขาเอ่ยอย่างละเอียดรอบคอบ


 


 


“ขอบพระคุณสหายที่เตือน” หานลี่พยักหน้า โยนร่มคันเล็กในมือขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็อ้าปากออก


 


 


พ่นโลหิตบริสุทธิ์ที่กลายเป็นหมอกโลหิตออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มร่มคันเล็กสีเงินเอาไว้


 


 


จากนั้นหานลี่พลันบริกรรมคาถา สองมือพลันร่ายอาคม นิ้วทั้งสิบร่ายไปกลางอากาศไม่หยุด


 


 


อาคมหลากสีสันเป็นสายๆ ทะลักออกมา ทยอยกันจมหายเข้าไปในหมอกโลหิต


 


 


ร่มคันเล็กสีเงินขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาก็มีขนาดสามฉื่อ


 


 


ในเวลาเดียวกันท่ามกลางหมอกโลหิตก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น หมอกรวมตัวกันกลายเป็นอักขระสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน วนล้อมรอบร่มสีเงินไปมา แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายไป


 


 


พริบตานั้นผิวของร่มสีเงินพลันมีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้น แต่ทันใดนั้นก็สลายออกกลับเป็นดังเดิม


 


 


หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก ร่มสีเงินหดเล็กลง พุ่งเข้ามาหาแขนเสื้อของเขา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป


 


 


ขั้นตอนการรับเป็นนายสำเร็จในชั่วพริบตา


 


 


ผู้ดูแลเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงกับความไวในการรับเป็นนายของหานลี่เช่นกัน


 


 


ทว่าครู่ต่อมาเขาก็มีสีหน้าราบเรียบดุจปกติ และสายตาก็ตกอยู่บนร่างของเซียนเซียนขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยว่า


 


 


“เซียนผู้นี้คือคนของเผ่าผลึก และยิ่งไปกว่านั้นพลังยุทธ์ยังต่ำเกินไปหน่อย หากเข้าไปในเทือกเขามารสีทองก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำได้สูง ข้าว่าเซียนล้มเลิกความคิดเถิด มิเช่นนั้นอัตราการเพลี่ยงพล้ำจะสูงมาก”


 


 


“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ปรารถนาดี แต่ชนรุ่นหลังจะต้องเข้าไปในเทือกเขามารสีทองให้ได้ ท่านอาวุโสมีการทดสอบอย่างไร ก็เริ่มเถิด” เซียนเซียนคารวะผู้ดูแลหมิ่นอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยอย่างมุ่งมั่น


 


 


“ในเมื่อเซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หมิ่นก็จะไม่พูดอะไรมาก การทดสอบของข้าน้อยมีสองแบบ อย่างแรกคืออยู่ในภาพลวงตาที่ข้าน้อยวางไว้ครึ่งชั่วยาม อีกแบบหนึ่งคือสู้กับอสูรหุ่นเชิดสองตัวของข้าน้อย และทำให้พวกมันพ่ายแพ้ ในสองแบบนี้หากผ่านแบบใดแบบหนึ่ง ก็นับว่าเซียนผ่านการทดสอบ” ผู้ดูแลหมิ่นเอ่ยอย่างแช่มช้า


 


 


“ชนรุ่นหลังเลือกแบบแรก!” เซียนเซียนดูเหมือนว่าจะคาดเดาเอาไว้ตั้งนานแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


“เช่นนั้นสหายก็ก้าวมาข้างหน้าสามก้าว” ผู้ดูแลหมิ่นพยักหน้า


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกได้ยินคำนี้ ก็ก้าวขึ้นไปด้านหน้าสามก้าวตามคำพูด


 


 


หานลี่ที่อยู่ด้านข้างแววตาสว่างวาบ กลับพบว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังเดินไปยังเขตอาคมบนพื้นที่มีอักขระขนาดใหญ่อยู่ในนั้น


 


 


เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้คิดอะไรให้ละเอียด ผู้ดูแลหมิ่นกลับเอ่ยกับเขาอย่างกะทันหัน


 


 


“สหายลงไปได้แล้ว ข้าไม่อยากให้ใครเห็นเนื้อหาการทดสอบของข้าน้อย หวังว่าสหายจะไม่แพร่งพรายออกไป”


 


 


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ผู้แซ่หานก็ขอตัวลา” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วสาวเท้ายาวๆ ลงไป


 


 


ชั่วพริบตาที่เข้าไปในหัวบันได เขตอาคมที่แผ่นหลังก็มีระลอกคลื่นส่งมา และมีเสียงร้องดังขึ้นแว่วๆ


 


 


หานลี่หันกลับไปมองแวบหนึ่งตามความรู้สึก


 


 


เห็นเพียงงยามนี้เขตอาคมบนแผ่นไม้กระดานชั้นบนถูกกระตุ้น ม่านลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ ปกคลุมหญิงสาวเผ่าผลึกด้านในรวมทั้งผู้ดูแลหมิ่นเอาไว้ และไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลยแม้แต่น้อย


 


 


หานลี่ชักสีหน้าแต่เท้าก็ไม่ได้หยุดเดินข้ามม่านลำแสงลงไปด้านล่างเลยแม้แต่น้อย


 


 


เมื่อมาปรากฏตัวที่ชั้นสาม ก็เห็นสายตาคนจำนวนมากจับจ้องมา


 


 


หานลี่ฉีกยิ้มไม่ได้คิดจะหยุดอยู่ที่ชั้นสาม แต่เดินลงไปด้านล่าง


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็มาปรากฏตัวด้านนอกวิหาร หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย ก็หันกายมองไปทางหอคอยแวบหนึ่ง


 


 


หอคอยนี้มีทั้งหมดห้าชั้น ในชั้นที่ห้ามีสิ่งใดอยู่กันนะ?


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจของหานลี่ถึงมีความคิดประหลาดๆ นี้ผุดขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะพลางฉีกยิ้มเบิกบาน คนก็เดินไปตามท้องถนน


 


 


เดาว่าหากรอให้เย่ว์จงทำการทดสอบเสร็จสิ้น คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เขาจะไปเดินเล่นในหมู่บ้านก่อนก็แล้ววัน


 


 


โชคดีที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก แค่ชั่วครู่ก็เห็นภาพรวมทั้งหมด


 


 


และยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกสนอกสนใจระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่เสนอรางวัลการจับเห็ดเซียนผู้นั้นอยู่หนึ่งส่วน แม้จะไม่ได้คิดจะคบค้ากับอีกฝ่าย แต่หากมองอยู่ๆ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร


 


 


เมื่อครุ่นคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ก็เดินไปตามท้องถนน


 


 


ร้านค้าทั้งสองฝั่งของท้องถนนมีไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นร้านขายวัตถุดิบมารอสูร ร้านค้าเหล่านี้ไม่ใหญ่โตนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเก่าและชำรุดทรุดโทรม เห็นได้ชัดว่าเปิดมานานหลายปีแล้ว


 


 


ทว่าโชคดีที่บนท้องถนนยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเดินสัญจรไปมาอยู่


 


 


บางครั้งพวกเขาก็เดินเข้าออกร้านค้าเหล่านั้น จึงพอจะประคับประคองธุรกิจไปได้


 


 


เมื่อหานลี่เดินมาได้ครึ่งทาง ยามที่ผ่านคฤหาสน์หลังใหญ่นั้น ฉับพลันนั้นพลันหรี่ตาลง เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาหลายส่วน


 


 


เมื่อครู่ยามที่เขากวาดจิตสัมผัสผ่านที่นี่นั้น กลับถูกเขตอาคมโบราณขวางเอาไว้ และเขตอาคมนี้ก็ชาญฉลาดมาก แม้ว่าเขาจะฝืนแทรกเข้าไป ก็ไม่อาจเข้าไปได้เลยแม้เพียงชั่วครู่


 


 


ดูแล้วที่นี่คงเป็นที่พักของระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นสินะ


 


 


หานลี่กำลังขบคิดในใจ และอดที่จะมองพิจารณาที่นี่สองสามแวบไม่ได้


 


 


น่าเสียดายประตูคฤหาสน์ปิดสนิท และยิ่งไปกว่านั้นยังวางเขตอาคมเอาไว้อย่างแน่นหนา ดูอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นอยู่ข้างในหรือไม่


 


 


หานลี่ไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่นานนัก แค่ดูเหมือนแววตาเปล่งประกายตอนผ่านประตูแวบหนึ่ง แล้วพลันเดินต่อ


 


 


หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม หานลี่ก็เดินเล่นในหมู่บ้านครบรอบหนึ่ง และกลับมายังหน้าหอคอยอีกครั้ง


 


 


ผลคือหลังจากที่เขามาถึงกลับพบเซียนเซียนเย่ว์จงยืนอยู่ตรงนั้น ใกล้กันกลับไม่มีผู้อื่นอยู่เลย


 


 


“อันใด พี่เย่ว์ไม่ต้องทดสอบก็ผ่านหรือ?” หานลี่เดาอะไรออก จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มมาแต่ไกล


 


 


“ท่านอาวุโสกล่าวไม่ผิด ตอนที่ข้าขึ้นไปท่านอาวุโสหมิ่นบอกว่าชื่อเสียงของข้ายิ่งใหญ่มาก ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไร มิเช่นนั้นแม้ว่าชนรุ่นหลังจะตามขึ้นไปติดๆ ก็ไม่อาจออกมาเร็วเช่นนี้ ชนรุ่นหลังยังไม่ได้ขอบคุณพระคุณของท่านอาวุโสเลยขอรับ!” เย่ว์จงค้อมตัว เผยท่าทางนอบน้อมต่อหานลี่ขึ้นมาสองสามส่วน


 


 


“ไม่เป็นไร การเดินทางครั้งนี้ขาดสหายไปไม่ได้ สหายเซียน เจ้าน่าจะเอาร่วมขจัดอัสนีมาได้สินะ” หานลี่โบกมือแล้วเอ่ยถามเซียนเซียน


 


 


“นั่นมันแน่นอยู่แล้ว แม้ว่าเขตอาคมลวงตานั่นจะร้ายกาจ แต่ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาลับชำระจิตสงบใจมาพอดี จึงยืนหยัดได้ระยะหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา” เซียนเซียนเอ่ยอย่างคลุมเครือ


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ออกเดินทางเถิด พวกเราไม่ได้มีเวลามากมายนัก” หานลี่กล่าวเช่นนี้ออกมา


 


 


“ชนรุ่นหลังก็คิดเช่นนั้น!” เซียนเซียนฉีกยิ้ม


 


 


เย่ว์จงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


 


 


ดังนั้นทั้งสามคนจึงไม่ลังเลอะไรอีก กลายเป็นลำแสงหลีกหนี ออกไปจากหมู่บ้าน แล้วตรงไปเบื้องหน้า


 


 


พวกเขาบินมาแค่สองสามลี้ ก็จมหายไปในหมอกสีเขียวอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ผลคือหลังจากที่บินมาได้ยี่สิบกว่าลี้ หมอกด้านหน้าก็ค่อยๆ เบาบางลง


 


 


แต่ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมีเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังกึกก้องสั่นโสตประสาทไม่หยุด


 


 


เมื่อลำแสงหลีกหนีสามสายพุ่งออกมาจากม่านหมอก หลังจากที่หานลี่มองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปไม่ได้


 


 


เห็นเพียงตรงหน้าห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง กลางอากาศล้วนมีสายฟ้าสีเขียวแล่นแปล๊บๆ ในเวลาเดียวกันเสียงอัสนีฟ้าฟาดก็ดังขึ้นจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน ราวกับว่าไม่รู้จักจบสิ้นอย่างไรอย่างนั้น


 


 


สิ่งที่พวกเขาต้องเข้าไปคือแดนที่นอกจากอัสนีฟ้าฟาดแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่น


 


 


“ไป”


 


 


เย่ว์จงเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ อ้าปากออกอีกครั้ง พ่นร่วมสีเงินคันเล็กออก มันพลิ้วไหวแล้วกลายเป็นลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้ข้างใน


 


 


เขาบินเข้าไปทางบรรยากาศที่หมุนวนทั้งอย่างนั้น


 


 


หานลี่และเซียนเซียนเองก็ทำเช่นกัน ปล่อยร่วมขจัดอัสนีของตนออกมา แล้วตามหลังไปติดๆ


 


 


……


 


 


ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อลำแสงสีเงินทั้งสามพุ่งออกมาจากอีกด้านของแดนอัสนีแล้ว ก็มาปรากฏเหนือภูเขาสูงใหญ่สีดำสนิท


 


 


หลังจากลำแสงหม่นลง หานลี่ก็ปรากฏตัว ลอยอยู่กลางอากาศ


 


 


“นี่ก็คือเทือกเขามารสีทอง!” หานลี่กวาดสายตาไปรอบด้าน แล้วเอ่ยพึมพำ

 

 

 


ตอนที่ 1612 อีกามารปรากฏ

 

 


 


 


เป็นทัศนียภาพที่พิลึกเป็นอย่างยิ่ง! 


 


 


บนพื้นดินในรัศมีสามสี่ร้อยจั้ง ล้วนเป็นสีดำสนิท ถูกหมอกสีดำสนิทปกคลุมไว้ 


 


 


ส่วนเหนือพื้นราบขึ้นไปสามสี่ร้อยจั้งเป็นสีเทา ทุกแห่งล้วนมีไอมารสีเทาอ่อนลอยพลิ้วไหวอยู่ 


 


 


ทั้งสองแบ่งตัวออกจากกันอย่างชัดเจนราวกับแสงอาทิตย์และแสงจันทราอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


หานลี่ชักสีหน้าก้มหน้าลงมองด้านล่างตนเอง 


 


 


เห็นเพียงภูเขายักษ์ด้านล่างโผล่ออกมาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น กว่าครึ่งล้วนยื่นไปในทะเลหมอก มองเห็นได้เพียงในรัศมีสี่บสิบจั้งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นต้นไม้ภูเขาภูผาต่างๆ ยังรางเลือน ลึกลงไปกว่านั้นก็มีเสียงดำสนิท 


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้หานลี่พลันขบคิดเล็กน้อย รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สำแดงอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณวารีกระจ่างออกมา 


 


 


ชั่วขณะนั้นทะเลหมอกสีดำในระยะสองสามร้อยจั้งพลันชัดเจนขึ้น 


 


 


ทว่าคิ้วของหานลี่ก็ยังขมวดมุ่น! 


 


 


ส่วนที่ต่ำที่สุดลึกลงไปร้อยจั้งเศษ ยังคงเป็นหมอกหนาๆ เนตรวิญญาณไม่อาจมองทะลุผ่านได้ 


 


 


ส่วนเมื่อแผ่จิตสัมผัสลงไปด้านล่าง เมื่อแผ่ลึกลงไปสักยี่สิบสามสิบจั้งก็ถูกขับไล่ออกมา 


 


 


แม้กระทั่งเขาที่อยู่กลางอากาศ เมื่อถูกไอมารสีเทาขัดขวางไว้ จิตสัมผัสที่แผ่ไปรอบด้านก็แผ่ออกไปได้แค่สองสามลี้เท่านั้น 


 


 


อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณไม่ได้มีประโยชน์อันใด!  


 


 


เช่นนั้นก็ยุ่งยากหน่อยแล้ว! 


 


 


หากไปพบกับมารอสูรระดับสูงที่เชี่ยวชาญการอำพรางกาย แม้ว่าเขาก็อาจจะหามันไม่พบในทันที  


 


 


หานลี่ขบคิดกับตัวเองเงียบๆ 


 


 


“ท่านเซียนเซียน บอกที่ที่จะไปกับข้าน้อยได้แล้วสินะ” ยามนี้เย่ว์จงหันหน้าไปเอ่ยถามหญิงสาวเผ่าผลึกอย่างเคร่งขรึม 


 


 


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่บอกสหาย น้องหญิงจะจ้างพี่เย่ว์มานำทางทำไมกัน!” หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้ม 


 


 


ทันใดนั้นพลันพลิกฝ่ามือ แผ่นหินที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้วบินไปหาเย่ว์จง  


 


 


เย่ว์จงใช้มือหนึ่งตะปบเอาไว้ แล้วดูดสิ่งนั้นเข้ามาในมือ แปะลงบนหน้าผาก หลับตาทั้งสองข้างลง แล้วแทรกจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน 


 


 


หานลี่มั่นใจแล้วว่ารอบๆ ไม่มีมารอสูรอะไร ก็ชักสายตากลับมา มองการเคลื่อนไหวของเย่ว์จงอยู่ด้านข้างอย่างราบเรียบ 


 


 


“คิดไม่ถึงว่าจะอยากไปที่นี่ ที่นั่นเป็นส่วนที่ลึกที่สุดในรอบนอกของเทือกเขา” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เย่ว์จงก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมาก 


 


 


“พี่เย่ว์เคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขามาแล้วหลายครั้ง น่าจะพาพวกเราไปที่นั่นได้อย่างไม่มีปัญหา” เมื่อได้ฟังเซียนเซียนกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ 


 


 


“หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่ไอมารถูกพ่นออกมา แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา ตอนนี้หรือ เข้าไปในส่วนที่ลึกขนาดนั้นมันเสี่ยงอันตรายมาก และยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังอยู่ไกลจากทางเข้ามาก ระหว่างทางย่อมไม่ค่อยปลอดภัยนัก” เย่ว์จงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย 


 


 


“แค่อาจจะเสี่ยง แต่ไม่ได้ต้องเจอมารอสูรระดับสูงแน่ๆ สักหน่อย ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่อาจล้มเลิกกลางคันได้ สหายคุ้นเคยกับเทือกเขามารสีทอง จะผ่านไปอย่างไรรวมทั้งไปเส้นทางไหน ก็มอบให้พี่เย่ว์จัดการแล้ว น้องหญิงขอแค่ไปถึงที่นั่นได้ในเวลาประมาณสิบวันก็พอ” เซียนเซียนหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย 


 


 


“ท่านเซียนวางใจข้าเกินไปแล้ว!” เย่ว์จงได้ฟังแล้วพลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา จากนั้นก็มองมาทางหานลี่แวบหนึ่งตามความรู้สึก 


 


 


ในบรรดาทั้งสามคนผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงสุดก็คือหานลี่ ประกอบกับอิทธิฤทธิ์อันน่าตกตะลึงที่สำแดงออกมาเมื่อครู่ ทำให้นักล่ามารอสูรที่มีชื่อเสียงที่สุดในเทือกเขามารสีทองผู้นี้เคารพยำเกรงเป็นอย่างมาก และต้องซักถามความเห็นของหานลี่ก่อน  


 


 


“ข้าเองก็ไม่มีข้อคิดเห็นอื่นใด สหายเย่ว์ตัดสินใจเถิด” แน่นอนว่าหานลี่ย่อมรู้เจตนาของอีกฝ่าย จึงเอ่ยพร้อมกับยิ้มน้อยๆ  


 


 


“ท่านอาวุโสหานกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็จะไม่เกรงใจแล้ว หากไปทางนั้นด้วยทางตรง แน่นอนว่าย่อมอันตรายมาก แต่หากลัดภูเขาที่อยู่รอบนอกสุดไป แม้ว่าจะปลอดภัยมาก แต่ก็อาจจะไม่ทันเวลา ไม่อาจไปถึงได้ในเวลาสิบวัน เช่นนั้นล่ะก็ พวกเราก็ทำได้เพียงเลือกเส้นทางตรงกลางแล้ว เช่นนั้นความเสี่ยงก็จะลดลง และจะบรรลุตามคำขอได้” หลังจากที่เย่ว์จงขบคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา 


 


 


“เยี่ยม ตามที่พี่เย่ว์กล่าว” เซียนเซียนเห็นด้วย 


 


 


หานลี่ไม่ได้เอ่ยปากแต่พยักหน้าแทน 


 


 


ดังนั้นเย่ว์และอีกสองคนก็ปรึกษารายละเอียดันเล็กน้อย และกำชับเรื่องที่ต้องระวังสองสามเรื่องในเทือกเขา ลำแสงหลีกหนีของทั้งสามพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า 


 


 


แค่พวกเขาจากไปหนึ่งชั่วยาม อีกด้านหนึ่งใกล้กันนั้นก็มีคนสี่คนพุ่งออกมาจากแดนอัสนี 


 


 


ทั้งสี่คนพิจารณารอบๆ ก่อนด้วยความระมัดระวัง แล้วมารวมตัวกันพร้อมกับเอ่ยซุบซิบอะไรสักอย่าง  


 


 


ให้ชายร่างใหญ่หน้าดำระดับสูญสุญตาขั้นกลางที่มีร่างกายหนาใหญ่คนหนึ่งโบกสะบัดฝ่ามือใหญ่ๆ ทั้งสี่คนควักจานอาคมออกมา แล้วบินไปอีกทางหนึ่ง  


 


 


เช่นนั้นในเวลาต่อมาทุกๆ หนึ่งถึงสองชั่วยาม ก็จะมีคนบุกเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง 


 


 


พวกเขาบ้างก็ตัวคนเดียว บ้างก็ร่วมเดินทางกันสองสามคน 


 


 


หนึ่งในนั้นที่มีจำนวนมากที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่มาจากภายนอกซึ่งมีบุรุษแซ่กุยเป็นผู้นำ อันดับสองก็คือชายชราแซ่เยี่ยนและกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรท้องที่ของหมู่บ้านเมฆาอัสนี 


 


 


ทว่าหลังจากที่ทั้งสองกลุ่มเข้าไปในเทือกเขาแล้ว กลับกระจายตัวกันออก ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน 


 


 


…… 


 


 


สามวันต่อมากลางอากาศต่ำๆ แห่งหนึ่งในเทือกเขามารสีทอง เสียงระเบิดทุ้มต่ำดังขึ้น 


 


 


เห็นเพียงลำแสงสีขาวขนาดเท่าล้อรถสองสามกลุ่มระเบิดออกพร้อมกัน กลายเป็นพายุหมุนสีขาว เสียงกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางวายุ มีดวายุจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาท่ามกลางเสียงกรีดร้อง 


 


 


ครู่ต่อมาเสียงกรีดร้องสองสามเสียงก็ดังขึ้นท่ามกลางพายุ ทันใดนั้นซากศพที่มีขนปุกปุยยี่สิบกว่าตัวก็ตกลงมาจากกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็จมหายไปท่ามกลางทะเลหมอกอย่างไร้ร่องรอย 


 


 


เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น พายุหมุนสลายตัวออกราวกับฟองอากาศ 


 


 


กลางอากาศมีเงาร่างคนปรากฏขึ้นสามร่าง 


 


 


หนึ่งในนั้นถือไข่มุกกลมสีขาวเม็ดหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม นั่นก็คือเย่ว์จงผู้นี้ 


 


 


หานลี่ที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าราบเรียบ สองมือกอดอกลอยอยู่กลางอากาศ 


 


 


ส่วนร่างของสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นี้กลับมีเกราะสงครามสีแดงอ่อนเพิ่มขึ้นมา บนหัวไหล่มีวิหคประหลาดดวงตาสีทองเรืองรอง เรือนกายเป็นสีดำสนิท แต่ปากเป็นสีแดงสดปรากฏขึ้นตัวหนึ่ง 


 


 


ถอนหายใจออกมาเบาๆ เย่ว์จงเก็บไข่มุกกลมในมือ 


 


 


รอบๆ ยังมีพายุหมุนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แล้วสลายหายไป 


 


 


“นี่มันผิดปกติ!” เย่ว์จงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม 


 


 


“ผิดปกติ! นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ก่อนหน้านี้ไม่นานก็พบมารอสูรระดับต่ำสองสามตัวมิใช่หรือ? สองสามวันก่อนพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยสังหารวิหคมารระดับต่ำชนิดอื่นไป” เซียนเซียนถามย้อนกลับด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“หากเป็นมารอสูรระดับต่ำธรรมดา แน่นอนว่าย่อมไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งสำคัญคืออีกามารฝูงนั้นไม่เคยปรากฏตัวที่รอบนอกมาก่อน แต่ไหนแต่ไรมามักอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา มารอสูรบินและมารอสูรระดับสูงสามหัวเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่คู่กัน หลังจากชนิดหนึ่งปรากฏตัว อีกชนิดหนึ่งก็ต้องปรากฏตัวเช่นกัน ดังนั้นเมื่อครู่ข้าถึงไม่ได้ให้สหายทั้งสองลงมือ และยิ่งไปกว่านั้นยังให้ระวังตัว” เย่ว์จงอธิบาย 


 


 


“หรือว่าเดิมทีวิหคมารฝูงนั้นก็เคลื่อนไหวอยู่เพียงลำพัง แค่พี่เย่ว์เพิ่งเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแล้ว” เซียนเซียนเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง 


 


 


“เป็นไปไม่ได้แน่ อีกามารเป็นวิหคมารที่พบเห็นได้มากที่สุดในส่วนลึกของเทือกเขา ไม่ใช่แค่ข้าวิถีชีวิตของอีกามาร ผู้ที่เข้าออกเทือกเขาจำนวนนับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ล้วนรู้ดี” เย่ว์จงสั่นศีรษะเป็นพัลวัน 


 


 


“ต่อให้ปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ แล้วมันหมายความว่าอย่างไร” หานลี่แววตาเปล่งประกาย เอ่ยถามขึ้น 


 


 


“นั่นหมายความว่า ไม่อสูรสามหัวที่อยู่กับอีกามารถูกสังหารและไม่อาจหาอสูรสามหัวตนอื่นได้ทัน พวกมันก็ไม่อาจอาศัยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาได้ ถึงได้ถูกบีบให้มาที่นี่ ไม่ก็อีกามารฝูงนี้ถูกมารอสูรที่แข็งแกร่งกว่าสามหัวควบคุมอยู่ ถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่อย่างผิดวิสัย” เย่ว์จงขบคิด แล้วถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า 


 


 


“อ๋อ แล้วสหายเย่ว์คิดว่าเป็นแบบไหน!” หานลี่หัวเราะออกมา เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ 


 


 


“แบบแรกความเป็นไปได้น้อยมาก ถึงอย่างไรเสียในบรรดามารอสูรระดับต่ำนั้น อีกามารนอกจากบินได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก หากไม่มีการคุ้มครองจากสามหัว พวกมันก็ไม่น่าจะออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขา มารอสูรชนิดอื่นในเทือกเขาไม่ใช่พวกกินมังสวิรัติ” เย่ว์จงเอ่ยอย่างมั่นใจ 


 


 


“เช่นนั้นอีกามารเหล่านี้ก็ถูกมารอสูรที่แข็งแกร่งชนิดอื่นควบคุมให้มาที่นี่ และพวกเราก็ถูกมารอสูรตัวนี้จับตาดูอยู่แล้ว” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แววตาฉายแววเย็นยะเยือก 


 


 


“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้นสติปัญญาของมารอสูรตัวนี้น่าจะไม่ต่ำต้อยเลย” เย่ว์จงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม 


 


 


“เช่นนั้นสหายคิดว่าจากนี้พวกเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?” เซียนเซียนขมวดคิ้วดำขลับมุ่น 


 


 


“พวกเราจะเร่งความเร็วดูก่อนว่าจะสลัดมารอสูรนี้ได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเสียอสูรตัวนี้ก็มีสติปัญญาแล้ว มาปรากฏตัวที่นี่น่าจะมีเหตุผลอะไรสักอย่าง หากไม่ได้จริงๆ ไม่อาจสลัดได้ ก็สังหารอสูรตัวนี้ซะ มิเช่นนั้นหากอสูรตัวนี้ไปเรียกมารอสูรอื่นมา หรือเอาแต่ประกบอยู่ด้านหลัง ล้วนจะเป็นภัยใหญ่หลวง หึๆ นี่เป็นเพราะมีท่านอาวุโสหานอยู่ที่นี่ ชนรุ่นหลังถึงได้แนะนำเช่นนี้ หากชนรุ่นหลังอยู่คนเดียว ก็ทำได้เพียงใช้อีกแผน ทว่าวิธีเช่นนั้นมันเสียเวลาไปหน่อย ไม่เหมาะกับสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้” เย่ว์จงหัวเราะ แล้วประจบหานลี่ประโยคหนึ่ง 


 


 


หานลี่ได้ฟังกลับเผยท่าทีอมยิ้มออกมา ไม่ได้เอ่ยปากอะไร แต่หันหน้าไปเอ่ยถามเซียนเซียนที่อยู่ด้านข้าง 


 


 


“ท่านเซียนเซียน ท่านคิดว่าสหายเย่ว์แนะนำเป็นอย่างไร?” 


 


 


“พี่เย่ว์ย่อมรู้จักมารอสูรของที่นี่มากกว่าเจ้าและข้าแน่นอน และจากอิทธิฤทธิ์ของพี่หาน ขอแค่ไม่ใช่มารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ ก็น่าจะไม่ต้องหวาดกลัว” เซียนเซียนฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย 


 


 


“หากสหายทั้งสองคิดเช่นนั้น ผู้แซ่หานก็ไม่มีข้อคิดเห็นอันใด” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยสนับสนุน 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ลงมือเถิด น่าเสียดายตอนที่เราบินไม่อาจบินเร็วเกินไปนัก เพื่อไม่ดึงดูดความสนใจของมารอสูรอื่นๆ ไม่เช่นนั้นหากบินเต็มกำลังขอแค่ไม่ใช่มารอสูรที่เชี่ยวชาญการบิน ก็น่าจะสลัดได้หมด” เย่ว์จงเอ่ยอย่างเสียดายเล็กๆ 


 


 


คำพูดของเขาไม่ผิดพลาด 


 


 


หานลี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงจะรวดเร็วมาก และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงหลีกหนีสีเขียวยังเงียบเชียบ ท่าทางมีพละกำลังมาก 


 


 


ใต้ฝ่าเท้าของเย่ว์จงมีกรงล้อสีขาวเพิ่มขึ้นมาคู่หนึ่ง มันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ความเร็วของมันไม่ด้อยไปกว่าระดับสูญสุญตาเลยสักนิด 


 


 


ส่วนหญิงสาวนามว่าเซียนเซียน ผู้นี้ในมือมีธงสีทองปรากฏขึ้นด้ามหนึ่ง นางกลายเป็นสายรุ้งสีทองที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นท่ามกลางลำแสงวิญญาณ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วไปปรากฏตัวห่างออกไปสิบกว่าจั้ง 


 


 


ความเร็วของมันคาดไม่ถึงว่าจะไล่ตามหานลี่ไป  


 


 


ภายใต้ลำแสงหลีกหนีสามสายที่พุ่งผ่านอากาศไป ชั่วพริบตาก็หายไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย 


 


 


และแทบจะในเวลาเดียวกัน บนภูเขาด้านล่างห่างออกไปสิบกว่าลี้ ในส่วนลึกของทะเลหมอกสีดำ เดิมทีเป็นสีดำสนิท ฉับพลันนั้นพลันมีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ ดวงตาปีศาจสีแดงก่ำดุจโลหิตสิบกว่าดวงเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)