ท่านเทพมาแล้ว 161-164
บทที่ 161 ด้ายแดงคู่หนึ่ง
โดย
Ink Stone_Romance
“ข้าไม่มีความยุติธรรมให้ที่นี่! เจ้าอยากไปหาใครก็ไปหาคนนั้น!”
ราชินีมังกรดึงอ๋าวเจียงหันหลังให้นาง
อวิ๋นเฉี่ยนจะลงมืออีก ราชามังกรรีบดึงนางไว้ “อย่าผลีผลาม!” จากนั้นกัดฟันมองพวกราชินีมังกรแม่ลูก เอ่ยทั้งสีหน้าเย็นชา “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อ๋าวเจียงลักพาคนนั้นไม่ถูกต้อง เจ้าต้องส่งอวิ๋นซีกลับทิวเขาริ้วหยกด้วยตนเอง!”
ราชินีมังกรพลันหมุนกลับมา ต้องการพูดอะไร อ๋าวเชินกลับชิงพูดต่อหน้านางก่อน “วันนี้ไม่ว่าคนที่เขาลักพาตัวมาจะเป็นใคร เรื่องที่เขาทำด้วยตนเองก็ต้องแบกรับผลด้วยตนเอง! มิฉะนั้นต่อไปท่านพ่อสืบความขึ้นมา ข้าก็ปกป้องเขาไม่ได้!”
ราชินีมังกรยืนกรานอยู่นาน บางทีอาจทนคำพูดสุดท้ายของอ๋าวเชินไม่ได้ จึงปล่อยมืออย่างเงียบงัน
แต่ปล่อยแล้วนางกลับเหลือบมองมู่จิ่วคราหนึ่ง ก่อนพูด “หากต้องไป เช่นนั้นก็ต้องพาเด็กสาวคนนี้ไปด้วย!”
คนทั้งหมดต่างอึ้ง เพราะตอนนี้ไม่เข้าใจความตั้งใจของนาง
มู่จิ่วเห็นสีหน้าของขุนนางเต่ากลับพลันมีแสงพาดผ่านมา นางเป็นพลอารักขาของอ๋าวเจียง ตามเหตุผลแล้วไปได้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางเป็นเจ้าหน้าที่จากสวรรค์ รักษาความเป็นกลางในความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งมากที่สุด มีฐานะชั้นนี้คุ้มครอง และอยู่ข้างกายอ๋าวเจียง อ๋าวเชินกับตระกูลอวิ๋นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าทำร้ายชีวิตเขา
ที่จริงถึงแม้ตระกูลอวิ๋นไม่รู้ความร้ายกาจ อ๋าวเชินก็รู้ หากมู่จิ่วนำเรื่องการกระทำของเขาไปรายงานต่อสวรรค์ แบบนั้นพวกเขาก็รับความผิดฐานวางแผนสังหารบุตรชายมังกรไม่ไหว! ต่อให้ย้ายไปทะเลตะวันออก อ๋าวก่วงก็ละเว้นพวกเขาไม่ได้
ส่วนเรื่องทำร้ายตัวนางเอง ความเป็นไปได้ยิ่งต่ำ! ตอนอ๋าวเชินอยู่ต่อหน้าอวี้ตี้หวังหมู่ได้รับปากเองแล้วว่าจะไม่ประกาศความแค้นส่วนตัวออกไป
ราชินีมังกรสามารถคิดถึงขั้นนี้ได้ สามารถยืนยันได้ว่าสมองของนางไม่ใช่กระดาษเปล่า
แต่นางมีสมอง รู้ว่าต้องปกป้องลูกนาง กลับไม่คิดเลยว่ามู่จิ่วเห็นด้วยหรือไม่!
อวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินจ้องแต่จะล้างแค้นให้เฉินผิง ถึงแม้นางไปครั้งนี้ไม่ตาย แต่ตกอยู่ในมือคนชั่วอย่างพวกเขา หรือยังมีผลดีอีก?
นางไม่ไป!
นางรีบพูด “ตอบราชินี ข้าน้อยรับผิดชอบเพียงงานของวังมังกร ไม่รวมการออกไปข้างนอก ขอให้เหนียงเหนียงถอนคำสั่งคืนด้วย”
“เจ้าต้องไป!”
ทางนี้เพิ่งพูดจบ อ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนก็ชี้นางพลางพูดขึ้นมาพร้อมกัน หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนแลกสายตาที่เจือไปด้วยความตกใจระคนยินดี ราวกับมีความเห็นพ้องต้องกันบนตัวของมู่จิ่วอีกครั้งหนึ่งจึงตื่นเต้น…แต่นอกจากพวกเขาแล้ว คนที่พูดแบบนี้ยังมีอ๋าวเจียงอีกคน!
มู่จิ่วอยากกระอักเลือดออกมาจริงๆ เจ้าเด็กนี่เมื่อครู่ยังทำให้คนนึกชอบอยู่ ทำไมตอนสำคัญกลับทำเสียเรื่อง?!
“ข้า…”
“ตกลงแบบนี้แหละ!” อ๋าวเชินไพล่มือทั้งสองออกความเห็น ไม่รู้ว่าเพราะความเห็นตรงกับอวิ๋นเฉี่ยน หรือเพราะในที่สุดเรื่องนี้ก็มีบทสรุป เขาจึงเปลี่ยนมาแจ่มใสอีกครั้ง “พรุ่งนี้เช้าไปทิวเขาริ้วหยก กัวมู่จิ่วกับอ๋าวเจียงไปด้วยกัน! กัวมู่จิ่ว หากเจ้ากล้าเล่นตุกติก กลับมาข้าจะฟ้องโทษของเจ้ากับสวรรค์!”
ฟ้องฟ้อง ฟ้องย่ามันเถอะ!
มู่จิ่วยกมือขึ้นสับก้อนหินที่อยู่ด้านข้าง แล้วพุ่งไปยังเขา
“กัวมู่จิ่ว! เจ้าคิดจะเป็นกบฏหรือ?!”
ราชามังกรกระโดดขึ้นมา คิดจะตามนางไป ราชินีมังกรกับอ๋าวเจียงกลับขวางอยู่ด้านหน้า
ลู่ยาเฝ้าอยู่ที่ยอดวังจนเรื่องมีบทสรุปถึงกลับค่ายบัญชาการ
ถึงแม้พวกอ๋าวเชินกลับเห็นพ้องต้องกันให้มู่จิ่วไปทิวเขาริ้วหยกออกจะนอกเหนือความคาดหมายของเขา แต่เมื่อคิดดีๆ อวิ๋นเฉี่ยนช้าเร็วก็จำต้องเบนเป้ามา ถึงแม้ครั้งนี้ไปทิวเขาริ้วหยก แต่มีอ๋าวเจียงไปด้วย อย่างไรเรื่องก็คงไม่แย่ไปถึงไหน ยิ่งนำกระดองเต่ามาทำนายสองรอบ ก็ไม่ได้ผลออกมาว่ามู่จิ่วไปคราวนี้จะมีอะไรผิดปกติ จึงสงบใจลงได้
ส่วนทางวังเทียมบูรพา ถึงแม้มู่จิ่วอารมณ์ไม่ดี แต่กลับไม่ไปไม่ได้แล้ว
ข้อแรก พวกเขาไม่กล้ายืนกรานให้นางไปรับโทษด้วย เพียงแค่ให้นางร่วมทาง นี่คือเรื่องมีเหตุมีผล ทำให้นางปฏิเสธไม่ได้
ข้อสอง ราชินีมังกรยังอาศัยโอกาสยัดกระดาษม้วนหนึ่งเข้ามาในมือนาง บนนั้นเขียนอยู่สองประโยค ครั้งนี้ขอร้องนางให้ไปดูแลอ๋าวเจียง…ถึงขั้นนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว ชัดเจนว่าราชินีเห็นที่นางสังหารเฉินผิง ตอนนี้ถูกอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนคนชั่วคู่นั้นจำความแค้นไว้ จึงนำนางที่เป็นศัตรูของศัตรูมาเป็นคนของตนเอง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางไม่มีทางปฏิเสธ
หลังจากเรื่องราวจบลง อ๋าวเจียงไปวังราชินี ตอนนี้อ๋าวเชินปล่อยมู่จิ่วไปก่อน สั่งให้เช้าวันถัดไปพบเขาที่ตำหนักคลื่นหยก จากนั้นค่อยไปทิวเขาริ้วหยกด้วยกัน ก่อนไปอ๋าวเจียงเหลือบมองนางหลายครั้ง คิดไม่ถึงว่าจะเจือไปด้วยความรู้สึกผิด…นางต้องดูผิดแน่! เจ้านี่หากรู้สึกเจ็บเป็น ตอนใกล้ตายคงไม่ลากนางเข้ามาร่วมรับผิดด้วยหรอก!
อวิ๋นซีก็มีที่พักที่อื่นแล้ว ต่อจากนั้นอ๋าวเชินกำชับให้รักษาแผลเขาอย่างไรก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว
มู่จิ่วรู้สึกแต่แรกว่าก่อนหน้านี้ที่เขาปกป้องนางดูไร้ต้นสายปลายเหตุ อ๋าวเจียงปกป้องนางยังเข้าใจได้ อย่างน้อยตอนแรกนางก็พูดชัดเจนไว้แล้ว และอย่างน้อยนางยังให้ยารักษาแผลเขา ช่วยเขาปกปิดเรื่องเขาทะเลาะกับอวิ๋นซีจนได้รับบาดเจ็บ เขาแค่ตอบแทนนางเล็กน้อยก็เรียกว่าเป็นแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกัน แต่อวิ๋นซีนี่หมายถึงอะไร?
นางครุ่นคิดจนถึงค่ายบัญชาการ ลู่ยาอาบน้ำแล้ว เส้นผมทิ้งตัวอยู่ข้างหลัง เอนอยู่ตรงหน้าต่าง งดงามราวกับภาพวาด
มู่จิ่วห้ามใจไม่ได้จึงเดินเข้าไป นั่งบนตั่งวางเท้า เท้าคางเล่าเรื่องให้เขาฟัง แล้วถอนหายใจพูด “ข้ารู้สึกเหมือนเท้าเข้าไปในโคลน อ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนล้วนไม่ใช่คนดีอะไร ยังไม่รู้ตระกูลอวิ๋นคนอื่นเป็นคนอย่างไรบ้าง”
ลู่ยายกพัดพัดให้ มองดูผมที่ลอยตกลงบนใบหน้ากลัดกลุ้มของนาง “สามารถไปทิวเขาริ้วหยกไม่ใช่เรื่องไม่ดี เรื่องที่อ๋าวเจียงลักพาตัวอวิ๋นซีเจ้าสืบหาได้พอดี ยังมีอวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชิน ข้าดูแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่จริงแท้เสียเท่าไร ในภาพจำข้า ตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีเรื่องน่าเกลียดอะไร แต่อวิ๋นเฉี่ยนเป็นขนาดนี้ในทุกวันนี้ ตระกูลอวิ๋นยังยอมให้นางทำตามอำเภอใจ ไม่อาจพูดว่าไม่ทำให้คนเอือมระอา”
“เรื่องฟ้าฝนจะตก หญิงจะแต่งงาน บางทีคนตระกูลอวิ๋นอาจยุ่งกับนางมากขนาดนั้นไม่ได้? คนเผ่าหงส์เพลิงแต่เดิมก็มีไม่เยอะอยู่แล้ว หรือยังต้องสังหารนางเพราะเรื่องนี้อีก?” มู่จิ่วไม่เห็นด้วย “อีกอย่าง ไม่แน่ว่าแต่ก่อนพวกเขาไม่มีเรื่องฉาวโฉ่ อาจเป็นเพราะบ้านเจ้าหูตาไม่กว้างไกล จึงไม่ได้ยินพอดีก็เป็นไปได้”
ลู่ยาคิดๆ แล้ววางพัดลง หยิบด้ายแดงจากบนโต๊ะมาวางลงบนมือนาง ก่อนพูด “ครั้งนี้ข้าไม่ไปกับเจ้า ข้ารั้งอยู่ต่อเพราะมีเรื่องสำคัญ วิชาของเจ้าก็พัฒนาไปมาก สามารถจัดการเรื่องราวเองได้ แบบนี้สามารถลดเวลาการฝึกของเจ้าลงด้วย ใส่ด้ายแดงนี้ไว้กับมือ ข้าจะสามารถตามหาเจ้าเมื่อไรก็ได้ เจ้าห้ามทำหาย หากทำหายข้าก็หาเจ้าไม่พบแล้ว”
มู่จิ่วเห็นเขาผูกด้ายแดงอย่างแน่นหนามาก คำพูดก็พูดอย่างจริงจัง ไหนเลยจะยังกล้าตามใจตนเอง จึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เห็นข้อมือภายใต้แขนเสื้อเขาเผยให้เห็นด้ายแดงออกมาเช่นกัน เทียบกับเสื้อสีเรียบแล้วสีแดงเด่นสะดุดตามาก ทั้งยังเหมือนด้ายของตนเอง ในใจเต้นระรัวราวกับมีกบกระโดดอยู่ ด้ายแดงนี้เป็นคู่กัน เขาทำท่าทางคลุมเครือแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
“อย่างมากไปแค่วันสองวัน ไม่สำคัญนักหรอก” นางหยุดใจที่เต้นไม่ได้ จึงรีบเปิดปากกลบเกลื่อน แต่ต่อให้กลบเกลื่อนอย่างดีสักแค่ไหน ก็ปิดใบหน้าที่แดงเถือกไม่ได้ ทำได้เพียงลุกขึ้นมาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ด้านข้าง ขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนตั่งอยู่หลังเขา พูดว่า “ผมเจ้าไม่แห้ง ข้าช่วยเจ้าเช็ดก็แล้วกัน”
บทที่ 162 ฉวัดเฉวียนเกินไป
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบรับ เขาเหลือบมองมู่จิ่ว เอนร่างไปทางนาง มองเงาของพวกเขาที่สะท้อนแสงจันทร์บนฉากกั้นลมแล้วพูดช้าๆ “ช่างยากที่เจ้าจะยินยอมดูแลข้าก่อน ทำเอาข้าตกใจที่ได้รับความรักแบบไม่คาดฝัน”
มู่จิ่วยิ้มอยู่หลังเขาเหมือนกับดอกหลีที่บานอย่างเงียบๆ
แสงจันทร์ส่องเข้ามา เช่นนี้กลับเป็นความสงบที่หาได้ยาก
เพียงแต่ก่อนนอนกลับพลิกไปมา
นางยังไม่เคยไปทิวเขาริ้วหยก ครั้งก่อนคำนินทาของเถ้าแก่หงส์ยังคงสะท้อนอยู่ในหัวนาง คำสอนที่เลอะเทอะของตระกูลอวิ๋นช่างทำให้เปิดโลก แต่พูดกันตามเหตุผลกลับไม่ใช่แบบนี้ ลู่ยาพูดถูก นางไปครั้งเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถคลี่คลายความสงสัยในใจ ลู่ยาก็ไม่อาจไปกับนางได้ หนทางเซียนนี้สุดท้ายยังต้องให้นางเดินด้วยตนเอง ฝึกฝนให้มาก ยังไงก็มีประโยชน์ไร้โทษ
ดังนั้นนอนไปสักครู่ ตื่นนอนตอนเช้านางก็จัดการเก็บกวาดแล้วไปยังตำหนักคลื่นหยก
ที่ตำหนักคลื่นหยก อ๋าวเชินตื่นแล้วเช่นกัน
อวิ๋นเฉี่ยนชัดเจนว่าเมื่อคืนพักแรมอยู่ที่นี่ ตอนมู่จิ่วมาถึงนางกำลังช่วยอ๋าวเชินจัดการเครื่องแต่งกายอยู่ที่หน้าต่าง อ๋าวเชินหันหน้ามองนางอย่างล้ำลึก เหมือนกับไม่ยินยอมห่างไปแม้แต่หนึ่งเค่อ…อา ชายชู้หญิงชั่วคู่นี้ นางอดไม่ได้แอบถุยน้ำลายใส่ คนที่ไร้ยางอายนางเห็นมามาก แต่ไร้ยางอายขนาดนี้นางเห็นไม่เยอะจริงๆ
หากนางเป็นราชินีมังกรคงพลิกวังมังกรกลับบ้านมารดาไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังสามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้ ช่างน่าเคารพยกย่อง!
แต่อ๋าวเชินหน้าตาน่าเกลียดนัก ไม่ใช่คนที่จะทำให้ผู้หญิงชอบได้ ราชินีอาลัยอาวรณ์อะไรเขา?
ยังมีอวิ๋นเฉี่ยนอีก ผู้ชายบนโลกสูญพันธุ์ไปหมดแล้วหรือ? นางหลับตาลากเอาคนที่เกี้ยวพาข้างตัวมาคนหนึ่ง เทียบกับคนแซ่อ๋าวแล้วยังดีกว่ากระมัง? กลับเลือกชายที่มีลูกชายลูกสาวเป็นฝูงแบบนี้ทำสามี! นางสงสัยว่าคนของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงกรรมพันธุ์ไม่ดีหรือไม่ สมองถึงมีปัญหา?
อ๋าวเชินก็ไม่รู้ว่าทำบุญมาเท่าไร ตนเองน่าเกลียดขนาดนี้ แต่ภรรยาหลักภรรยาน้อยยิ่งมายิ่งสวย บุตรที่ราชินีคลอดให้เขาแต่ละคนล้วนโดดเด่นขนาดนี้ ไม่มีใครเหมือนเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเหมือนที่นางเดาไว้ ราชินีสวมหมวกเขียว[1]ให้เขามากมาย ลูกชายลูกสาวเหล่านี้ไม่ใช่เลือดเนื้อของเขา ดังนั้นเขาจึงไปหาเอาข้างนอก?
“เมื่อวานทำไมเจ้าหนีไป?”
นางกำลังยืนบ่นอย่างออกรสอยู่ใต้ต้นซานหู ด้านหลังพลันมีเสียงเย็นชาลอยเข้ามา
เป็นอ๋าวเจียงเจ้าเด็กนั่น
มู่จิ่วรีบทำหน้าตึง “เจ้าทำอะไรลงไป!”
“ข้าทำไม?” ใบหน้าขาวของอ๋าวเจียงแดงแล้ว “ไม่ใช่ข้าคิดพาพวกเขามา และข้าก็ไม่ได้ซัดทอดเจ้าด้วย!”
“มีประโยชน์อะไร? มิใช่ข้ายังต้องไปทิวเขาริ้วหยกเป็นเพื่อนพวกเจ้ารับโทษหรือ?” มู่จิ่วไม่สบอารมณ์ เมื่อวานไม่มีโอกาสด่าเขา วันนี้นับว่ามันเข้ามาอยู่ในมือนางแล้ว ช่างเป็นคนรุ่นเยาว์ที่ทำอะไรไร้ประสบการณ์และพึ่งพาไม่ได้ เขารู้ว่าเรื่องแดงแล้วก็ไม่ส่งคนกลับมาเตือนนางก่อน? ดีร้ายนางก็สามารถย้ายที่ ไม่ให้มือที่สามแซ่อวิ๋นจับได้คาหนังคาเขา!
อ๋าวเจียงหายใจถี่รัวเหมือนกบที่พองลมเต็มที่ มู่จิ่วกลับสะบัดหัว เชิดหน้าใส่เขา
คนล้วนมารวมกันแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นอวิ๋นซี
นางแอบมองไปรอบด้าน เห็นเงาร่างสีดำเดินเข้ามาบนทางเดินอย่างช้าๆ
“ออกเดินทาง ออกจากวัง!”
อ๋าวเชินที่น่าเบื่อหน่ายอย่างมากตรงหน้าต่างและอวิ๋นเฉี่ยนเห็นอวิ๋นซีมาแล้ว จึงทำหน้านิ่งถลึงตาใส่พวกมู่จิ่วทั้งสอง จากนั้นลุกขึ้นมาออกคำสั่ง
คนมารวมกันแล้วจึงเริ่มออกเดินทางไปทิวเขาริ้วหยก
ตอนนี้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงแห่งทิวเขาริ้วหยกมีอวิ๋นชือฉางคนโตตระกูลอวิ๋นเป็นผู้นำ ไม่มีการยอมรับจากอวิ๋นชือฉาง แม้อ๋าวเจียงถูกอ๋าวเชินตีตายก็ไม่สามารถปิดคดีได้
ทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ทางเหนือ ทิวเขาริ้วหยกอยู่ทางใต้ ห่างกันไม่ใช่เพียงหนึ่งแสนแปดพันลี้ นี่ก็ทำให้มู่จิ่วยิ่งเข้าใจได้ยากถึงหนึ่งในเหตุผลที่อ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนสามารถมาพบกันได้
อวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินแต่ละคนมีราชรถ ขนาดใหญ่กำลังแรงไม่น้อย อ๋าวเจียงกับอวิ๋นซีมีพาหนะ มู่จิ่วเพียงขี่เมฆเท่านั้น
เดินทางไปได้หลายร้อยลี้ อ๋าวเจียงพลันลงจากนกจิงเว่ย[2]ตัวนั้นของเขามานั่งเมฆกับมู่จิ่ว
มู่จิ่วเหลือบตามองเขาหลายครั้ง ก่อนพูด “เจ้ามาทำไม?”
เขาทำหน้าตึงยื่นเข้ามา “แผลข้าเพิ่งหายดี เจ้านกนั่นบินฉวัดเฉวียนจนแผลข้าเจ็บ”
มู่จิ่วแค่นเสียงเยาะเย้ย ให้ลมพัดแก้ม ไม่สนใจเขา
อ๋าวเจียงพูดอีก “ดูจากพลังบำเพ็ญอันน้อยนิดของเจ้าแล้ว หากเจ้าเดินทางไกลไม่ไหว เห็นแก่เจ้าที่ช่วยข้า นกของข้าให้เจ้าขี่ก็ได้”
“ขอบใจ!” เก็บไว้เถอะ มู่จิ่วไม่อยากรับน้ำใจเขา ถึงแม้พลังบำเพ็ญนางจะไม่ล้ำลึก แต่พลังฤทธิ์มากพอ ลู่ยาให้ยาเพิ่มพลังแก่นางมามาก และชีพจรของนางก็ทะลวงผ่านแล้ว สามารถพูดโอ้อวดได้ว่า นางไม่ใช่หัวเสินน้อยที่แม้แต่พวกผู้เฒ่าหลายคนจากสำนักตะวันอำพรางยังสู้ไม่ได้อีกแล้ว
อ๋าวเจียงผิดหวังเล็กน้อย เงียบไปสักครู่ ก่อนถามนาง “เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ?”
สายตาไม่ดีหรือ? นางแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ยังถามว่านางโกรธหรือไม่ ดูแล้วไม่เพียงแต่สมองของเหล่าหงส์เพลิงไม่ดี สมองของเผ่ามังกรก็ไม่เท่าไร!
คราวนี้มู่จิ่วไม่มองสักนิด
อ๋าวเจียงเงียบไป สักครู่ก็พูดเสียงเบา “ที่จริงข้าไม่ได้ตั้งใจลากเจ้าเข้ามาลำบากด้วย เพียงแต่วันนั้นข้าต้องการลงมือพอดีแต่หาคนไม่ได้ จึงเรียกเจ้ามา อีกอย่างพวกเขาก็รู้หมดว่าข้ากับตระกูลอวิ๋นไม่ถูกกันนานแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเจ้ายุยงถึงได้…สรุปคือข้าขอโทษเจ้า ขอโทษก็แล้วกัน!”
ขอโทษก็แล้วกัน?
ช่างเป็นผักกาดขาวหัวใหญ่ที่น่าแทะจริง
สีหน้ามู่จิ่วยิ่งหนักอึ้งขึ้น ทำท่าทางจะเรียกเมฆอีกก้อน อ๋าวเจียงกลับยื่นมือดึงนางไว้ “ไม่ให้ไป!”
มู่จิ่วถลึงตาใส่เขา
เขาก็จ้องเขม็งกลับมา “เจ้าเป็นพลอารักขาของข้า แน่นอนว่าต้องติดตามข้า”
มู่จิ่วหรือจะกลัวเจ้าเด็กเหลือขอนี่? ไม่ไปก็ไม่ไป เขากินนางไม่ได้สักหน่อย? จึงจับกระบี่ยืนนิ่ง ก่อนพูด “ไม่ไปย่อมได้ แต่เจ้าต้องบอกข้า ทำไมเจ้าถึงลักพาตัวลำดับที่สี่แห่งตระกูลอวิ๋น หลังจากลักพามาแล้ว เจ้าจับเขาขังไว้ในวังทั้งวัน เจ้าพูดอะไรกับเขา? เจ้าต้องการอะไรจากเขา?”
อ๋าวเจียงอึ้งไปครู่ ปล่อยแขนทั้งสองลง ผ่านไปนานเขาค่อยพูด “ข้าต้องการเอากุญแจจันทรากลับมา”
กุญแจจันทรา?
มู่จิ่วไม่เคยได้ยินของชิ้นนี้ แต่ในเมื่อมีสิ่งนี้อยู่จริง นั่นแสดงว่าเมื่อวานอวิ๋นซีพูดจริง
แต่เขาพูดว่าเอากลับมา?
“กุญแจจันทรานี้แท้จริงเป็นของใคร?” นางยืดตัวเข้ามา เผชิญหน้ากับเขาโดยตรง
“แน่นอนว่าเป็นของตระกูลอ๋าวของข้า” สีหน้าอ๋าวเจียงเย็นชา “กุญแจจันทรานี้บรรพบุรุษข้าให้พ่อข้าไว้ เป็นมรดกตกทอด มีผลต่อการคุ้มครองวิญญาณ ทะเลสาบน้ำแข็งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลตะวันออก กุญแจจันทราคือวิญญาณแห่งทะเลสาบน้ำแข็งเปลี่ยนร่างมา หลังจากพ่อข้ามาที่วังมังกรแห่งนี้ ของชิ้นนี้ก็เป็นหนึ่งในสมบัติของวังเรา ไปเป็นของคนอื่นตอนไหน?”
มู่จิ่วเงียบ
แบบนี้แล้วคำพูดของอ๋าวเจียงกลับไม่เหมือนหลอกลวง หรืออวิ๋นซีโกหก?
“ทำไมอวิ๋นซีบอกว่าเจ้าลักพาตัวเขาเพราะว่าอยากได้ของของเขา? ของของพวกเจ้าวังมังกรทำไมไปอยู่ในมือของพวกเขาได้?”
…………………………………………
[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง นอกใจ
[2] ตามตำนานจีน จิงเว่ย เป็นธิดาของจักรพรรดิเหยียน กลายเป็นนกหลังจมน้ำตายในทะเลตะวันออก
บทที่ 163 ข้าคือคนผิด
โดย
Ink Stone_Romance
“เรื่องนั้นมีเหตุผล!” อ๋าวเจียงพูดอย่างเคียดแค้น “ปีนั้นอวิ๋นเฉี่ยนพาเฉินผิงมาวังมังกร อย่างไรก็เข้ากับท่านแม่ข้าไม่ได้ ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ ทว่าพ่อข้ากลับลังเล ถึงแม้อยากให้พวกเขาแม่ลูกรั้งอยู่ต่อ แต่ก็กลัวท่านแม่สังหารพวกเขาสองคน ดังนั้นจึงเกลี้ยกล่อมให้อวิ๋นเฉี่ยนออกไป เพียงให้เฉินผิงรั้งอยู่ต่อ ให้สัญญาว่าภายหลังเฉินผิงนิสัยอ่อนน้อมค่อยรับนางกลับมา”
“อวิ๋นเฉี่ยนไม่เชื่อ ต้องการให้พ่อข้ามอบกุญแจจันทราแก่นางเป็นหลักประกัน ด้วยเหตุนี้กุญแจจันทราจึงไปอยู่ที่ทิวเขาริ้วหยก”
มู่จิ่วย่อยข้อมูลเหล่านี้สักครู่ ก่อนถาม “แบบนั้นทำไมเจ้าต้องนำมันกลับมา?”
ในเมื่อเป็นตัวอ๋าวเชินรับปากให้นางไปเอง เขากดดันคนรุนแรงขนาดนี้ไม่เหมาะสมนัก นับได้ว่าอวิ๋นซีไม่ได้พูดโกหก
“เจ้าจะรู้อะไร?” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง “ที่กุญแจจันทรามีค่า เพราะมันมีความสามารถในการปกปักรักษาวิญญาณแรงกล้ามาก จิตต้นกำเนิดของใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นปีศาจ มาร หรือเซียนเทพผีคน เพียงมีจิตต้นกำเนิดสายหนึ่ง ใช้กุญแจจันทราปกปักเลี้ยงดูไว้ ส่วนที่ขาดหายไปสามารถเพาะเลี้ยงจนเต็มสมบูรณ์ ส่วนที่เสียหายกลับมาแข็งแรงได้ ตอนแรกกุญแจนี้แต่เดิมมอบให้อวิ๋นเฉี่ยนเพราะเฉินผิง ตอนนี้เขาตายแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องนำกลับมา!”
“หากจะเอาคืนก็ต้องให้พ่อเจ้าไปเอาคืน เจ้าเข้ายุ่งทำไม?” มู่จิ่วรู้สึกว่าเขาทำเรื่องไร้ประโยชน์จริงแท้ และยังมุ่งมั่นขนาดนี้ พบเห็นได้น้อยจริงๆ
“ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ?” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นางอีก “เฉินผิงยังไม่เข้าสู่ความเป็นเซียน ทำได้เพียงอาศัยครรภ์มนุษย์กลับไปเวียนว่ายตายเกิด หากข้านำกุญแจจันทรากลับมา อย่างน้อยก็สามารถปกปักรักษาวิญญาณเขา ทำให้เขากลับชาติมาเกิดเป็นสัตว์วิเศษ!”
มู่จิ่วอ้ำอึ้ง อ้อมไปอ้อมมา คิดไม่ถึงว่ากลับอ้อมมาตกลงบนหัวนางได้?
ทว่าเอาเถอะ ใครใช้ให้นางเป็นคนทำ ‘บาป’ นี้จริง
แต่เขาดีต่อเฉินผิงน้องชายต่างมารดาเกินไปหรือไม่? ไม่เห็นเขาปฏิบัติต่อพี่น้องตนเองดีขนาดไหนเลย!
นางทำได้เพียงพูด “เจ้ากับเฉินผิงที่แท้มีความรู้สึกอะไรพิเศษกัน?”
อ๋าวเจียงฟังถึงตรงนี้ เบ้าตาพลันแดงขึ้น เขามองเมฆที่อยู่ด้านล่างพลางกัดฟันพูด “ที่จริงข้าเป็นคนผิด”
มู่จิ่วอึ้งไป คนผิด? “เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หรือเขาก็ทำเรื่องผิดต่อคนอื่น?
อ๋าวเจียงเม้มปากมองไปข้างหน้า กลับไม่พูดอะไรต่อ
มู่จิ่วจึงไม่สะดวกจะถามอีก นางย้อนกลับไปคิดคำพูดเมื่อครู่ของเขา ก่อนพูด “ในเมื่อเจ้าคิดจะเอากุญแจจันทรากลับมาช่วยเฉินผิง เจ้าสามารถพูดกับพ่อเจ้าได้ เฉินผิงก็เป็นลูกของเขา เขามีเหตุผลอะไรไม่เห็นด้วย? ยังมีอวิ๋นเฉี่ยนอีก หรือนางไม่หวังให้ลูกชายของตนเองกลับชาติมาเกิดใช้ชีวิตอย่างดีหน่อย?”
“ข้าพูดแล้ว!” อ๋าวเจียงกระฟัดกระเฟียดเอ่ย “แต่เดิมข้าก็เข้าใจแบบนี้ แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย พ่อข้าเคยไปทิวเขาริ้วหยกเพื่อเอากุญแจจันทราแล้ว พวกเขาตระกูลอวิ๋นกลับไม่เห็นด้วย! ไม่เพียงตระกูลอวิ๋นไม่เห็นด้วย แม้แต่อวิ๋นเฉี่ยนก็เหมือนกัน! ในใจของผู้หญิงคนนั้นเฉินผิงไม่นับเป็นอะไร!”
เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด มู่จิ่วฟังแล้วตาเบิกกว้างปากอ้าค้าง
ตระกูลอวิ๋นไม่เห็นด้วย? เป็นเพราะอะไร? อวิ๋นเฉี่ยนอยู่กับอ๋าวเชินหลายปีขนาดนี้ จะไม่รักเฉินผิงได้อย่างไร?
“เจ้าอย่าพูดมั่วซั่ว ไหนเลยจะมีแม่ที่ไม่รักลูกชาย?”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าประสบการณ์น้อย ไม่เคยเจอแม่ที่ไม่รับผิดชอบ! ไม่เพียงมีแม่ที่ไม่รับผิดชอบ ยังมีพ่อไร้คุณธรรมแล้งน้ำใจ! เช่นพ่อข้า!” เห็นชัดเจนว่าอ๋าวเจียงพูดถึงสองคนนั้นด้วยความโกรธ แต่สำหรับมู่จิ่วที่เป็นคนนอกซึ่งไม่คุ้นเคย คงไม่ดีหากจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมด จึงอดกลั้นคำพูดไว้ที่ลำคอ กลั้นจนหน้าเขียวแล้ว
หากเขายืนกรานจะเข้าใจแบบนี้ละก็ มู่จิ่วก็ไม่คัดค้าน
ที่จริงเรื่องแปลกประหลาดบนโลกนี้มีมาก พ่อแม่ที่ไม่รักเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่ใช่ไม่มี
แต่นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ยังชินกับไม้ไผ่ลำเดียวพลิกเรือคว่ำ[1] เพียงเพราะตระกูลอวิ๋นไม่คืนของมีค่าของตระกูลพวกเขาก็ก่อเรื่องแบบนี้ให้ จุดสำคัญคือของชิ้นนั้นมอบแก่ตระกูลอวิ๋นภายใต้สถานการณ์แบบนั้น นั่นเท่ากับเป็นสิ่งของค้ำประกันคำสัญญา! ความสัมพันธ์ของอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนมีหรือไม่มีคุณธรรมละไว้ไม่พูดถึง อย่างไรเสียคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือย่อมไม่สำเร็จ ให้แล้วจะเรียกเอากลับคืน นี่ไร้เกียรติเกินไปแล้ว
ราชรถมังกรด้านหน้าเลิกม่านทั้งสี่ด้านขึ้นหมด จึงสามารถมองเห็นอวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินศีรษะชิดไหล่ชน กระซิบกันอยู่บ่อยๆ
ทั้งสองคนนั้นที่จริงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว กลับใกล้ชิดกันเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุสิบแปด ช่างเหมือนกับคำพูดที่ว่าคนแก่ตัณหากลับ เห็นได้ว่าเมื่อก่อนที่เขาทำตัวเหลวไหลต่อหน้าราชินีมังกรไม่ใช่การพูดส่งเดช เรื่องอื่นไม่เอ่ยถึง เพียงพูดว่าตอนนี้มีลูกชายของภรรยาหลักของอ๋าวเชินอยู่ที่นี่ ยังไม่คิดเก็บอาการบ้าง มู่จิ่วเห็นแบบนี้ มากน้อยก็เข้าใจความรู้สึกของอ๋าวเจียงหลายส่วน
พวกเขาพูดมาถึงตรงนี้ก็เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว ต้นไม้เนินเขาตรงหน้าค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมฆหมอกบดบัง เทียบกับทะเลสาบน้ำแข็งที่มีหิมะปกคลุมตลอดปีแล้ว ทิวทัศน์นี้งดงามราวกับเปิดม้วนภาพออกมากะทันกัน
เดินทางไปอีกครึ่งชั่วยาม เห็นทิวเขาสูงใหญ่เรียงตัวกันไปด้านหน้าอยู่รางๆ พื้นที่ทั้งผืนล้วนเป็นป่า ทิวเขาสูงต่ำ ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ท่ามกลางผืนป่าพลันปรากฎทะเลสาบสีเขียวเข้ม เรียบเหมือนแผ่นกระจก สัตว์วิเศษในป่าเขาบินร่อนไปมา มีเมฆมงคลลอยอยู่ไม่ขาดสาย
อวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชินมาถึงเขตในผืนป่า ทุกที่ที่ผ่านเต็มไปด้วยนกร้อง ค่อยๆ เข้ามาล้อมรอบอวิ๋นเฉี่ยน หงส์ยังเป็นราชาแห่งสัตว์ปีก อวิ๋นเฉี่ยนเป็นองค์หญิงของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง เป็นธรรมดาที่แรงกดดันจะกระตุ้นสัตว์ปีกเหล่านี้
ผู้บังคับราชรถมังกรด้านหน้าสองคนพลันเร่งความเร็วขึ้น ขี่ม้าบินมุ่งไปยังยอดเขาที่สูงที่สุด
คิดดูแล้วนี่คงเป็นทิวเขาริ้วหยก
กลุ่มคนทั้งหมดมุ่งไปยังเขานั้น ใต้เขามีทะเลสาบน้ำสีเขียวกระจ่าง ล้อมรอบภูเขาทั้งสี่ด้าน ใต้ไผ่เขียวที่บดบังเลียบทะเลสาบมีวังงดงามละเอียดอ่อน ทับซ้อนเป็นชั้นๆ เข้าไปในใจกลางภูเขา! สถานที่ซ่อนอยู่แบบนี้ หากไม่ตั้งใจมาหาต้องหาไม่เจอแน่!
“เจ้าบอกว่าเจ้าหลอกอวิ๋นซีออกมา ที่แบบนี้เจ้าหาเจอได้อย่างไร?” มู่จิ่วอดสงสัยไม่ได้ หันหน้าไปมองอ๋าวเจียง
“ข้าเคยมา” อ๋าวเจียงกดหัวเมฆลง ยังคงเกร็งคางไว้ “ตอนที่อวิ๋นเฉี่ยนเพิ่งทิ้งเฉินผิงไป ข้าเคยแอบมาหานางเป็นเพื่อนเขา”
มู่จิ่วถอนหายใจ พี่ชายต่างมารดาอย่างเขายังทำถึงขนาดนี้
ตอนพูดคุยกันพวกเขาหยุดลงบนแท่นที่ยื่นออกมาจากทะเลสาบ แท่นเป็นแท่นหยก ด้านล่างเป็นชั้นหิน เส้นทางสามเส้นบีบให้มุ่งไปยังประตูวังที่อยู่ชิดภูเขา ประตูมีพลอารักขาอยู่สองแถว ตรงหน้าสุดคือผู้ติดตามที่สวมเสื้อระยิบระยับ บนศีรษะครอบมงกุฎหางนกยูง แสดงให้เห็นถึงร่างเดิมที่เป็นปีศาจนกยูง
ไม่รู้ว่าราชามังกรพูดอะไรกับปีศาจนกยูง กลุ่มคนทางนี้จึงเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ที่จริงอ๋าวเชินเป็นราชามังกร และยังเป็นเขยของตระกูลหงส์เพลิงด้วย
มู่จิ่วไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เดินทางมาเป็นเพื่อนกับกลุ่มคนแปลกประหลาดแบบนี้ เข้าไปในที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ตลอดทางไร้คำพูด ดีที่วังนี้อาศัยภูเขาสร้างได้งดงามเฉพาะตัว เข้าประตูวังไป สิ่งก่อสร้างอะไรล้วนมี น้ำพุไหลเข้ามาจากบนเขา แต่ละชั้นของภูเขากลายเป็นน้ำตกเล็กๆ ในลานทั้งสี่ด้านล้วนเป็นต้นอู๋ถงหอมหมื่นลี้ ทิวทัศน์ไม่เลวเลย
ขึ้นไปขั้นบันไดประมาณสามขั้น พื้นก็สูงขึ้นมา ที่แท้สิ่งก่อสร้างของวังหลังชนกับทิวเขาริ้วหยก หน้าหันเข้าทะเลสาบที่สร้างอยู่ช่วงกลางเขา
ตำหนักใหญ่ชื่อตำหนักสุริยัน อ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนมุ่งตรงเข้าไป ถึงประตูจึงหยุดลง จากนั้นทำหน้านิ่งหันไปมองอ๋าวเจียงและมู่จิ่ว “ยังไม่เข้าไปอีก!”
………………………………………………………………
[1] อุปมาถึง การเหมารวมว่าทุกอย่างหรือทุกคนเป็นเหมือนกันหมด
บทที่ 164 ข้าติดค้างเขา
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วไม่กลัวอะไร หากพวกเขากล้ารังแกนาง นางได้เตรียมก่อเรื่องอย่างใหญ่โตไว้แล้ว แต่อ๋าวเจียงกลับดูลังเล นางส่งสายตาให้เขา ก่อนเชิดหน้าก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
ในตำหนักกว้างขวางมาก ไม่หรูหรา แต่ต้นไม้สองฝั่งกับธารน้ำที่ไหลเข้ามาข้างในอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นถึงความงดงามเงียบสงบหลายส่วน ไม่เหมือนกับวังราชาตามแบบทั่วไปที่มีกลิ่นอายของความไม่เป็นระเบียบ
อ๋าวเชินถูกนำมาถึงที่นั่ง ทักทายกับคนที่อยู่บนบัลลังก์ ไม่จำเป็นต้องพูดก็ทราบว่าคนนี้ต้องเป็นอวิ๋นชือฉางราชาของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
อวิ๋นชือฉางใส่เสื้อสีเขียวธรรมดา ผมยาวก็เพียงหวีไว้ด้านหลังธรรมดา ทั้งร่างนอกจากหยกโบราณที่ข้างเอวแล้วนอกจากนั้นไม่มีเครื่องประดับอื่น
“พวกเจ้าทั้งสอง คุกเข่าลงรับโทษกับราชาหงส์เพลิง!”
มู่จิ่วแค่นเสียงเยาะเย้ย ค้อมเอวประสานมือทำความเคารพ นางไม่ใช่คนกระทำผิด ถึงแม้อ๋าวเชินใช้โอกาสนี้จัดการนาง แต่เขาจะกล้ารังแกนางจริงหรือ? ทางอ๋าวเจียงเห็นนางไม่คุกเข่า จึงเห็นพ้องไม่ยอมอ่อนข้อให้ แต่มู่จิ่วเพิ่งผ่อนคลายได้ ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับพลันเปิดปากพูดกับอวิ๋นชือฉาง “ขอท่านโปรดนำกุญแจจันทราออกมา!”
เขาลากนางไปช่วยลักพาตัวอะไร มู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้จึงทำไป ตอนนี้เขาคิดก่อเรื่องนางไม่อาจเกี่ยวข้องได้! กำลังจะดึงแขนเสื้อเขา เขาพลันสะบัดนางมุ่งไปทางอวิ๋นชือฉาง!
“อ๋าวเจียง!”
อ๋าวเชินโกรธจนหน้าเขียว รีบกระโดดเข้าไปขวางไว้ ไหนเลยจะรู้ว่าอวิ๋นชือฉางกลับลงมือเร็วกว่า แขนเสื้อกว้างๆ สะบัดมา อ๋าวเจียงหมุนอยู่กลางอากาศก่อนร่วงลงไปกับพื้น
มู่จิ่วเห็นเขาร่วงลงพื้นด้านที่บาดเจ็บวันนั้นพอดี จึงร้อนรนเข้าไปพยุงเขา “เจ้าบ้าไปแล้ว!”
มุมปากอ๋าวเจียงมีเลือดไหลออกมา ยังไม่ได้พูด อวิ๋นเฉี่ยนก็เอ่ยแล้ว “นำองค์ชายสามกับกัวมู่จิ่วไปตำหนักหอมกำจาย!”
อ๋าวเจียงโดนลากออกไปราวกับลากคนไร้ค่า
มู่จิ่วเห็นเช่นนี้ก็ทนไม่ได้อย่างแท้จริง ยืดตัวขึ้นมาถลึงตาใส่อ๋าวเชิน!
ถึงแม้อ๋าวเจียงไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้นแต่ก็เป็นลูกชายของเขา! อ๋าวเจียงจะเอากุญแจจันทราไปก็เพื่อเฉินผิง เขาเป็นพ่อของเฉินผิง ไม่ออกหน้าอธิบายไม่ว่า กลับปล่อยให้พี่น้องตระกูลอวิ๋นปฏิบัติต่อลูกแท้ๆ ของตนเองแบบนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังมิสู้!
“ข้าหวังเพียงว่าวันหน้าราชามังกรจะไม่เสียใจภายหลัง!”
นางพูดประโยคนี้ก่อนเดินตามอ๋าวเจียงไป
ตลอดทางเลี้ยวไปมาจนถึงตำหนักหอมกำจาย เหล่าผู้อารักขาผลักทั้งสองเข้าไปแล้วปิดประตูลง
มู่จิ่วไปประคองอ๋าวเจียง จับชีพจรเขา อดไม่ได้ขมวดคิ้ว “พลังฤทธิ์เหมือนไม่ค่อยมั่นคง เจ้ารนหาที่ตายหรือ?” นางประคองเขาไปนั่งเก้าอี้ พลางหยิบยาออกมาให้เขากิน อวิ๋นชือฉางผู้นั้นถึงแม้ท่าทางอ่อนน้อม แต่กลับลงมือไม่ไว้หน้า ยิ่งก่อนหน้านี้อ๋าวเจียงได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่แปลกที่จะยิ่งหนักขึ้น
รอจนสีหน้าเขาค่อยๆ เป็นปกติ นางค่อยทำหน้าตึงถอยไปนั่งเก้าอี้ลายวิจิตรด้านหลัง
อ๋าวเจียงส่ายหัว ยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนพูด “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ข้าต้องนำกุญแจจันทรากลับมาได้แน่”
มู่จิ่วยิ้มเยาะเย้ย นิ่งไปครู่หนึ่งโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แล้วเอ่ยว่า “หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นพ่อเจ้ากับอวิ๋นเฉี่ยนรักกันดูดดื่มขนาดนั้น ไม่แน่อาจเข้าใจว่าเจ้าเป็นพ่อของเฉินผิง เจ้าช่างเป็นกษัตริย์ไม่ร้อนใจขันทีร้อนใจ[1]เสียจริง เขาทั้งสองคนหนึ่งเป็นพ่ออีกคนเป็นแม่ล้วนไม่กังวลใจเรื่องนี้ กลับเป็นเจ้าที่พุ่งเข้าไปไม่เสียดายชีวิต เจ้าวางแผนอะไรไว้?”
นางอยู่มานานเห็นมาเยอะ เพียงไม่เคยเห็นพ่อที่เลวขนาดอ๋าวเชิน หากนางเป็นราชินี…ไม่ หากนางเป็นแม่ของอ๋าวเจียง ตั้งแต่เขาเริ่มคบหากับอวิ๋นเฉี่ยน นางจะพาลูกชายลูกสาวแยกออกไป! ชายเลวแบบนี้ ไม่พูดว่าเป็นสามีภรรยากับเขา เพียงแค่ชื่อของเขานางยังไม่อยากได้ยิน ลูกที่นางคลอดเขาก็อย่าได้หวัง!
ราชินีมังกรนั่นดูไม่ออกว่าสงบเสงี่ยมอย่างไร ทำไมถึงได้ขี้ขลาดขนาดนั้น? ยังมีเหล่าลูกมังกรชายหญิงอีก ช่างเป็นแม่ที่มีอิทธิพลต่อลูกมากจริงๆ
“เพราะข้าติดค้างเฉินผิง!”
อ๋าวเจียงอาจอดกลั้นไม่อยู่แล้ว จึงหลุดปากออกมาอย่างเคียดแค้น พูดจบก็เหมือนเสียใจภายหลัง สายตาสับสนมองนางอยู่ชั่วครู่ แล้วก้มหน้าลงอย่างหดหู่
มู่จิ่วดูออก เหลือบมองเขาก่อนพูด “ติดค้างเขา? ติดค้างอย่างไร?”
อ๋าวเจียงกัดฟัน กำปั้นอยู่บนเข่าคลายแล้วบีบ บีบแล้วคลาย “ตอนเฉินผิงยังเล็กไม่ดุร้าย แถมนับได้ว่าน่ารัก แต่ตอนนั้นข้าไม่ชอบเขาเพราะแม่ของเขา ครั้งนั้นวันเกิดข้า เขาทำว่าวกระดาษให้ข้าด้วยตนเอง ข้าชอบมาก แต่พอดีแม่ข้ามา ข้ากลัวนางเห็นแล้วจะโกรธ จึงปล่อยเฉินผิงกับว่าวข้ามกำแพงไป”
“ข้าไม่คิดว่าศีรษะเฉินผิงจะกระแทกลงบนหิน กระทบต่อสติปัญญา ตั้งแต่นั้นมานิสัยเปลี่ยนไปมาก ตอนบ้าขึ้นมาแม้แต่พ่อข้ายังตี และข้าก็เผชิญกับความโหดร้ายของเขาหลายครั้ง ภายหลังพวกเขาหมดหนทาง ทำได้เพียงส่งเฉินผิงไปเป่ยอี๋ หากข้าไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ สติปัญญาเขาคงไม่เลอะเลือนไป คงไม่ถูกเจ้าสังหารที่เป่ยอี๋ ดังนั้นข้าจึงจะเป็นคนที่มีความผิดหนักหนาคนนั้น”
มู่จิ่วอ้าปากอยู่นานจึงค่อยปิดลง ที่แท้เฉินผิงไม่ได้เกิดมาดุร้าย?
“เรื่องนี้มีคนรู้มากแค่ไหน?”
“ไม่มีคนรู้นอกจากเจ้า” อ๋าวเจียงเหลือบมองนาง ริมฝีปากเม้มแน่น
มู่จิ่วละสายตากลับมา ปรับลมหายใจ
มาครั้งนี้ช่างได้รู้อะไรมาก ที่แท้เฉินผิงไม่ได้เกิดมาดุร้าย แต่เป็นผลจากการถูกอ๋าวเจียงทำให้บาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงดูแลเฉินผิงต่างๆ นานาเพราะรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย
ทั้งหมดนี้พวกอ๋าวเชินล้วนไม่รู้ จึงส่งนางมาวังเทียมบูรพาให้อ๋าวเจียงรังแก ผลคืออ๋าวเจียงยังคงคิดอยู่ตลอดว่าจะทำเรื่องบางอย่างให้เฉินผิง ดังนั้นจึงจับจ้องแต่กุญแจจันทรา ทว่าของที่ตระกูลอวิ๋นกินไปแล้วไม่ยอมคายออกมา ถึงแม้เขาทำเพื่อหลานของตนเอง อวิ๋นชือฉางก็ยังคงตีอ๋าวเจียงอยู่ดี
เรื่องราวคร่าวๆ ก็เป็นแบบนี้
แต่ความคิดของอวิ๋นชือฉางเข้าใจได้ เพราะที่จริงกุญแจจันทราเป็นสมบัติล้ำค่า ทว่าทำไมอวิ๋นเฉี่ยนกลับไม่ยินยอมช่วยเฉินผิงล่ะ? ทุกวันนี้ใบหน้านางดูไม่ออกว่าอาลัยกับการจากไปของเฉินผิงขนาดนั้น กลับติดหนึบอยู่กับอ๋าวเชินอย่างชัดเจน เปรียบกับอ๋าวเชินที่โกรธแล้วไปฟ้องมู่จิ่วบนสวรรค์ ท่าทางของอวิ๋นเฉี่ยนดูไปแล้วเหมือนกับแม่ที่ลูกเพิ่งตายไปไม่นานหรือ?
และอ๋าวเชินก็พูดตลอดว่าเฉินผิงคือลูกที่เขารักที่สุด แต่นอกจากตามหานางคนที่สังหารเขามาระบายความแค้นแล้ว เขายังทำอะไรอีก?
พวกเขาล้วนรู้ชัดเจนว่ากุญแจจันทราสามารถช่วยให้เฉินผิงเกิดเป็นสัตว์วิเศษ แต่ละคนกลับทำเหมือนไม่รู้ไม่สนใจ แม้แต่อ๋าวเจียงพี่ชายต่างมารดาพวกเขายังเทียบไม่ได้ ช่างน่าชื่นชมเสียจริง
แต่อ๋าวเชินไม่บังคับเอากุญแจจันทราจากตระกูลอวิ๋น นางพอเดาได้สองส่วน อ๋าวเชินเพียงกลัวว่าจะล่วงเกินตระกูลอวิ๋นจนแม้แต่อวิ๋นเฉี่ยนก็สะบัดเขาทิ้ง แต่อวิ๋นเฉี่ยนจิตใจเป็นอย่างไรเล่า? สำหรับนางกุญแจจันทรายังสำคัญกว่าลูกชาย? ถึงแม้นางเป็นผู้หญิงที่ในโลกมนุษย์เรียกว่าสะใภ้ที่ชอบเอาเงินกลับบ้านแม่ การทำแบบนี้ก็ไม่มีเหตุผล!
แต่ก่อนมู่จิ่วไม่รู้สึกอะไรกับเฉินผิง ตอนนี้เรื่องดำเนินมาเช่นนี้ คิดว่าเขามีพ่อแม่แบบนั้น ก็อดรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้
………………………………………………………
[1] กษัตริย์ไม่ร้อนใจขันทีร้อนใจ หมายถึง คนตัวต้นเรื่องไม่กังวลอะไร คนรอบข้างกลับเป็นฝ่ายร้อนใจแทน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น