ลำนำบุปผาพิษ 1608-1611
บทที่ 1608 คนที่ผ่านทางมา 3
เพียงแต่หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายใจของปวงชนก็ตกต่ำลงไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าเขาก็แค่นี้ ไม่ได้ยิ่งใหญ่เลยสักนิด
….
ไม่อาจลงมือกับกับผู้ที่ยิ้มแย้มได้[1] ไม่ว่าอย่างไรทูตสวรรค์ทั้งสองก็มาเพื่อมอบของขวัญยินดี ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงยังคงเชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปนั่งในจวน
ด้วยเหตุนี้ทูตสวรรค์ทั้งสองจึงเข้าไปในจวน
คนที่ช่างสังเกตพบว่า ยามที่เข้าจวนไปท่าทีที่กู้ซีจิ่วปฏิบัติต่อทูตสวรรค์ทั้งสองต่างกันอยู่บ้าง สำหรับรถม้าคันนั้นของเทียนจี้เยวี่ย กู้ซีจิ่วจูงเพรียกวายุเข้าจวนไปด้วยตัวเอง ไม่ยอมปล่อยมือจากมัน
สำหรับเห็ดหลินจือดอกนั้นของตี้ฝูอี หลังจากเธอโยนให้หลัวจั่นอวี่แล้วก็ไม่เหลือบแลอีกเลย ส่วนหลัวจั่นอวี่ก็เฉียบขาดยิ่งนัก เขายัดใส่มือของเด็กรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง “เอา มอบให้เจ้า”
เด็กรับใช้คนนั้นก็ดูไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งนี้เช่นกัน หลังจากรับมาก็เพียงแค่อุ้มเอาไว้
เสียงของพวกเขาไม่เบาเลย หลายคนที่เดินอยู่ด้านหน้าย่อมได้ยินเสียง ฝีเท้าของตี้ฝูอีชะงักเล็กน้อย
ส่วนกู้ซีจิ่วแค่หันหน้าไปคุยกับเทียนจี้เยวี่ย ราวกับว่าไม่ได้ยิน และไม่ใส่ใจเลย
ฝูงชนที่เดิมทีรู้สึกคับข้องใจแทนกู้ซีจิ่ว เมื่อได้เห็นฉากนี้รู้สึกว่าในที่สุดก็ได้ระบายออกมาแล้ว
คนที่หักหน้าผู้อื่นย่อมต้องถูกหักหน้ากลับ!
ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของพวกเขาโต้กลับอย่างเงียบเชียบ! งดงามนัก!
ฝีเท้าของเทียนจี้เยวี่ยก็ชะงักไปเช่นกัน มองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ฝีเท้าตี้ฝูอีชะงักไปเพียงเล็กน้อย กลับสู่สภาพปกติในทันใด เขาเริ่มกวาดตามองทิวทัศน์ภายในจวนแล้ว “จวนของทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินไม่เลวเลย พาพวกเราไปเที่ยวชมรอบๆ หน่อยได้หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร หลัวจั่นอวี่ที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวขึ้นอย่างหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้มแล้ว “นี่ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ท่านทูตสวรรค์ของพวกเรายังมีภารกิจอีกมากที่ต้องสะสาง ไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”
แล้วหันไปเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่งมา “กุยเฉวียน เจ้าพาท่านทูตสวรรค์ไปเดินดูรอบๆ สิ”
“ขอรับ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เชิญทางนี้ขอรับ”
สายตาของตี้ฝูอีเบนไปที่ใบหน้าของกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย กุยเฉวียนคนนี้รู้จักสภาพภูมิศาสตร์ของจวนแห่งนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง สามารถบอกเล่าความเป็นมาของต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นได้ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะอยู่เป็นเพื่อนข้างกายท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเท่าเขาอีกแล้ว”
ไม่ว่าเขาจะมาโดยโอบอุ้มจุดประสงค์อันใดเอาไว้ กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะไปพัวพันกับเขาอีกแล้ว ยิ่งไม่อยากอยู่ข้างกายเขาให้หัวใจตนไม่เป็นสุขอีก
ในเมื่อตัดขาดแล้วก็ต้องตัดขาดอย่างสิ้นเชิง! หากว่าเป็นไปได้ เธอหวังเพียงว่าชั่วชีวิตนี้อย่าได้เกี่ยวข้องกับเขาอีกเลย! หนทางกว้างไกล ทางใครทางมันเถิด!
เธอไม่คิดจะสนใจตี้ฝูอี หันไปถามเทียนจี้เยวี่ยที่อยู่ข้างกายเสียเลย “ข้าเห็นว่าในรถคันนั้นมีกลไกอยู่มากมายนัก มีอยู่สองสามจุดที่ยังไม่เข้าใจ มิสู้ท่านมาสอนให้ข้าเสียหน่อยล่ะ?”
เทียนจี้เยวี่ยมองตี้ฝูอีอีกแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีสายสายตาผ่านร่างสองคนนั้นแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร หันหลังแล้วให้กุยเฉวียนนำทาง เขาไปชมทิวทัศน์แล้ว
เทียนจี้เยวี่ยสาธิตให้ดูรอบหนึ่งจากนั้นก็ให้เธอลองควบคุมดู “มาเถอะ เจ้ามาลองดูสักหน่อย”
“…ได้!” กู้ซีจิ่วก้าวเข้าไปควบคุม สิ่งนี้สำหรับกู้ซีจิ่วแล้วไม่นับว่ายากเย็นอะไร
แต่วันนี้เธอไม่อยู่ในสภาวะที่มั่นคงเท่าไหร่ ขณะที่ควบคุมกลไกอย่างที่สองอยู่ ไม่ทันระวังถูกใบมีดที่ดีดออกมาจากกลไกบาดข้อมือเข้า
เห็นได้ชัดว่าใบมีดนี้มิใช่ใบมีดธรรมดา คมกริบเป็นอย่างยิ่ง เส้นเอ็นตรงข้อมือกู้ซีจิ่วหวิดจะถูกตัดขาดแล้ว! โลหิตสดๆ ไหลรินออกมาทันที
เทียนจี้เยวี่ยสะดุ้งโหยง คว้าข้อมือเธอทันที “ให้ข้าดูหน่อย”
ทว่ากู้ซีจิ่วปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ชักข้อมือตนกลับมาทันที สกัดชีพจรบนข้อมือตนไว้ จากนั้นก็ใส่ยาอย่างว่องไวหาใดเทียม…
———————————————————————
บทที่ 1609 คนที่ผ่านทางมา 4
เธอเคลื่อนไหวปราดเปรียวว่องไว จัดการบาดแผลเสร็จเสร็จแทบจะในชั่วพริบตาเท่านั้น พรูลมหายใจเบาๆ และยิ้มแวบหนึ่ง “เลินเล่อไปชั่วขณะ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
เทียนจี้เยวี่ยมองนางแวบหนึ่ง เห็นดวงตานางหยีโค้งเล็กน้อย ริมฝีปากแดงเรื่อจิ้มลิ้มหยักขึ้นนิดๆ คล้ายว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ดวงหน้าเฉิดฉันกลับซีดเซียว น่าจะเจ็บจากการถูกบาด
เขาถอนหายใจ กลไกในรถคันนี้ว่ากันตามเหตุผลแล้วสมควรยิ่งที่จะออกไปด้านนอก ขอเพียงควบคุมให้ดี ต่อให้มีคนหลายสิบคนเข้ามาจู่โจมรถม้าคันนี้ในเวลาเดียวกัน ก็อาจถูกกลไกที่ซุกซ่อนอยู่ในรถม้าคันนี้ยิงใส่ร่างจนกลายเป็นเม่นได้!
มีดนี้ล้วนเป็นมีดเหล็กไหลทั้งสิ้น แถมบนมีดยังเคลือบตัวยาที่ทำให้คนเจ็บปวดไว้ด้วย นางถูกบาดเป็นแผลต้องเจ็บปวดยิ่งนักแน่นอน
หากว่านางขมวดคิ้วร้องว่าเจ็บเทียนจี้เยวี่ยคงไม่รู้สึกอะไร แต่การฝืนทำเป็นเข้มแข็งของนางกลับทำให้เขาปวดใจไปด้วย…
“เจ็บก็ร้องออกมาเถอะ ข้าไม่หัวเราะเจ้าหรอก” เทียนจี้เยวี่ยถอนหายใจ “เจ้าไม่จำเป็นต้องอดทนไว้”
ความสามารถในการอดทนของเด็กสาวผู้นี้เกินไปแล้ว! ส่วนมือน้อยๆ ของนางก็เย็นเฉียบอยู่ตลอดด้วย
ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเสียเลือดมากไปหรือเป็นเพราะจิตใจไม่สงบ มือเท้าถึงได้เย็นนัก
กู้ซีจิ่วกะพริบตาปริบๆ ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยโต้แย้งเท่านั้นยังยิ้มแวบหนึ่งด้วย “ไม่เป็นไรหรอก แผลเล็กแค่นี้เอง ไม่เจ็บเท่าไหร่”
ความเจ็บเล็กน้อยนี้เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่หัวใจแล้วไม่นับว่าเป็นอย่างไรเลยจริงๆ ความเจ็บปวดบนข้อมือที่เสียดแทงไปถึงหัวใจ กลับทำให้เธอมีสมาธิจดจ่อมากขึ้น
ยาสมานแผลที่เธอพกติดตัวในปัจจุบันนี้ล้วนเป็นยาที่มีประสิทธิภาพยิ่งนัก เมื่อป้ายลงไปเลือดก็หยุดไหลแทบทันที อีกอย่างเธอก็ถูกบาดเพียงผิวเนื้อเท่านั้น ไม่ได้ตัดถูกกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ดูอันตราย แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เธอสะบัดข้อมือ สูดหายใจเบาๆ ลองควบคุมต่อ
เทียนจี้เยวี่ยที่อยู่ด้านข้างเกรงว่าเธอจะถูกบาดอีก มองอย่างเป็นกังวลอยู่ตลอด
โชคดีที่ครั้งนี้กู้ซีจิ่วควบคุมอย่างเอาจริงเอาจังยิ่งนัก จับจุดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้รับบาดเจ็บอีกเลยสักครั้ง…
กู้ซีจิ่วควบคุมไปด้วยสนทนากับเทียนจี้เยวี่ยไปด้วย ขอให้เขาสอนหลักการติดตั้งกลไกต่างๆ และจุดสำคัญภายในรถม้าให้
เทียนจี้เยวี่ยเมื่อถูกถามก็เอ่ยตอบ ขอเพียงเกี่ยวข้องกับกลไกในรถม้าคันนี้ ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะถามอะไร เขาล้วนท่องออกมาได้เสมือท่องตำรามา
หลังจากกู้ซีจิ่วจับจุดสำคัญของกลไกในรถม้าคันนี้ได้สมบูรณ์แล้ว กู้ซีจิ่วก็ถามคำถามที่สามารถถามได้ออกได้หมดแล้ว
ในที่สุดเธอก็ได้ทราบแล้ว รถม้าคันนี้เทียนจี้เยวี่ยสร้างขึ้นด้วยตัวเอง และมิใช่ผู้อื่นยืมมือเขาให้นำมาส่งมอบแก่เธอ…
เธอยิ้มขื่นอยู่ในใจ นี่ตนกำลังคาดหวังอะไรอยู่หรือว่าอยากยืนยันอะไรกันแน่?
สมองบอกให้เธอถอดใจได้แล้ว แต่ว่าจิตใต้สำนักกลับต้องการพิสูจน์อะไรอยู่เสมอ ถึงแม้จะผิดหวังทุกครั้งที่พิสูจน์ก็ตาม…
เมื่อผิดหวังบ่อยครั้งเข้า เธอก็ไม่แยแสอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้เธอจงใจให้เด็กรับใช้ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนตี้ฝูอี ยังนึกอยู่ว่าด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของเขา คงสะบัดแขนเสื้อจากไปแน่ กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะไปเยี่ยมชมจวนของเธอจริงๆ
คนผู้นี้กระทำการใดล้วนไตร่ตรองมาก่อนแล้วเสมอ ดูเหมือนจะเดินเอ้อระเหยทว่าระมัดระวังทุกย่างก้าว วางแผนรอบคอบ ถ้าไม่ระวังแม้เพียงนิดก็จะตกหลุมพรางของเขา ถูกเขาเล่นงานจนเลือดอาบหน้า
เดิมทีเธอเดินอยู่บนทางสายเดียวกับเขา เมื่อเห็นเขาใช้กลอุบายกับผู้อื่นมักจะชมอย่างตื่นตะลึงอยู่เสมอ ยามนั้นยังรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับเขา แต่ตอนนี้…
เขามาเดินเล่นในจวนของเธอทำไมกัน? มีจุดประสงค์อะไร?
….
วันนี้ตี้ฝูอีคล้ายว่าจะสนอกสนใจยิ่งนัก เดินเล่นไปทั่วจวนทูตสวรรค์รอบหนึ่ง ภายใต้การนำทางของกุยเฉวียนผู้นั้น จะซอกหลืบมุมใดก็ล้วนไม่พลาดเลย ยามที่เดินจนเหนื่อยแล้วเขาก็เรียกม้านั่งตัวหนึ่งออกมาแล้วนั่งพักสักครู่ สนทนาสัพเพเหระกับกุยเฉวียน
ยามกุยเฉวียนจะมาได้ถูกหลัวจั่นอวี่ลอบสั่งการเอาไว้ ว่าให้เขาคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ระวังอีกฝ่ายเล่นเล่ห์ ดังนั้นกุยเฉวียนจึงตั้งท่าระวังอย่างยิ่งอยู่ตลอด ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนแล้ว
————————————————————————-
[1] ไม่อาจลงมือกับกับผู้ที่ยิ้มแย้มได้ อุปมาถึง เมื่อต้องการจะเอาผิดอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มแย้มไม่สะทกสะท้าน ก็ไม่ควรดึงดันจะเอาผิดให้ได้
บทที่ 1610 ข้าไม่ขโมยข้าวของในจวนเจ้าอีกหรอก
ยามที่ตี้ฝูอีถามเขา เขาหวั่นเกรงว่าตนจะพูดอะไรผิดไป ทุกประโยคที่กล่าวล้วนต้องใคร่ครวญก่อนครู่หนึ่ง
ตี้ฝูอีเคาะด้ามพัดลงบนฝ่ามือเป็นครั้งคราว หลังจากถามคำถามเขาต่อเนื่องกันหลายข้อ จู่ๆ ก็เอ่ยถามเขาอย่างหวังดี “เจ้าเบิกตากว้างถึงเพียงนี้ ไม่เหนื่อยหรือ?”
กุยเฉวียนไม่ตอบ
ตี้ฝูอีเคาะด้ามพัดลงบนศีรษะเขาทีหนึ่ง “ง่วงก็งีบหน่อยเถอะ อย่าฝืนเลย”
ด้วยเหตุนี้กุยเฉวียนจึงหลับไปจริงๆ หลับอยูบนหินภูเขาก้อนหนึ่ง
กุยเฉวียนก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนหลับไปนานแค่ไหน บางทีอาจจะนานมาก หรืออาจจะสั้นมาก เป็นระยะเวลาเพียงชั่วครู่
ยามที่เขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตี้ฝูอียังคงนั่งอยู่ริมทะเลสาบไม่ไกลออกไป กำลังหย่อนเบ็ดตกปลาอยู่ สายลมพัดอาภรณ์สีม่วงเข้มของเขาให้เผยอขึ้น ดั่งผีเสื้อโผบิน
กุยเฉวียนขยี้ตา งุนงงอยู่บ้าง เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าไม่นานเท่าไหร่ เขาหลับไปแค่งีบเดียวเท่านั้น
“ตื่นแล้วรึ?” ตี้ฝูอีประหนึ่งมีดวงตางอกอยู่ด้านหลัง “ปลาในจวนหลังนี้ไม่เลวเลย ข้าจะตกกลับไปตุ๋นกินสักสองสามตัว”
กุยเฉวียนพูดไม่ออกเลย
นี่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบเห็ดหลินจือให้ดอกเดียวยังรู้สึกว่าไม่คุ้มทุน คิดจะถอนทุนคืนอีกงั้นหรือ?
กุยเฉวียนมองถังใส่ปลาข้างกายเขา ด้านในมีปลาว่ายอยู่สองตัวแล้ว ช่วงที่พูดคุยอยู่ ตี้ฝูอีก็ตกขึ้นมาได้อีกตัวแล้ว ปลาที่ตกได้ในครานี้คือปลาไนอ้วนพียาวกว่าหนึ่งฉื่อตัวหนึ่ง
ตี้ฝูอีใส่ปลาลงในถัง เก็บคันเบ็ดแล้วลุกขึ้นยืน
กุยเฉวียนค่อนข้างสงสัย “ไม่ตกแล้วหรือขอรับ?”
อันที่จริงเขายังหวังให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตกปลาอยู่ที่นี่ให้มากหน่อย เช่นนี้เขาจะได้ไม่เดินเพ่นพ่านไปทั่ว ตนก็ไม่ต้องคอยตามให้เหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเวลายังเช้าอยู่ เป็นโอกาสดีที่เขาจะตกปลาได้มากเป็นสองเท่ามิใช่หรือ?
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “พอแล้ว” เขายื่นนิ้วไปแหย่ปลาไนอวบอ้วนตัวนั้นเล่นครู่หนึ่ง ปลาไนตัวนั้นอ้าปากคิดจะงับเขา แต่ถูกเขาดีดมะกอกใส่ทีหนึ่งจนมึนงง กึ่งจมกึ่งลอยอยู่ในน้ำ
กุยเฉวียนอ้าปากนิดๆ มองปลาตัวนั้น ไม่น่าเชื่อว่าปลาตัวนั้นจะมีฟันคมอยู่เต็มปาก คมเหมือนเข็มหมุด นี่ถ้าถูกมันงับเข้าสักที เนื้อคงถูกกระชากออกไปชิ้นหนึ่ง!
นี่ใช่ปลาไนที่ไหนกัน? เป็นปลาสังหารคนชัดๆ!
เหตุใดในทะเลสาบแห่งนี้ถึงมีปลาเช่นนี้ได้?
โดยทั่วไปแล้วปลาที่ตระกูลมั่งคั่งเลี้ยงไว้ ล้วนแต่เลี้ยงปลาทองหรือปลาไนที่มีสีสันงดงามน่ามองอะไรทำนองนั้น ปลาที่เลี้ยงไว้ในทะเลสาบก็เป็นปลาจำพวกนี้เช่นกัน แต่ปลาไนที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด หากบังเอิญมีคนลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบแห่งนี้เข้า ต้องถูกกัดแทะจนเกลายเป็นโครงกระดูกแน่!
“นี่…นี่คือปลาอะไรหรือขอรับ? มีปลาชนิดมากหรือไม่?” กุยเฉวียนอดไม่ได้ที่จะถาม
ตี้ฝูอีตอบโดยไม่หันไป “เจ้าสามารถกระโจนลงไปดูได้”
กุยเฉวียนเงียบทันที
ไม่นึกเลยว่าในทะเลสาบจะมีปลาดุร้ายเช่นนี้อยู่ด้วย เขาต้องไปรายงานให้เบื้องบนทราบเสีย ให้มีมาตรการออกมา กันไม่ให้มีคนพลาดพลั้งบาดเจ็บเข้า
กุยเฉวียนมองตี้ฝูอีที่เดินอาภรณ์ปลิวไสวอยู่ด้านหน้า ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ดูเอ้อระเหยลอยชายยิ่งนัก เดินเตร่ในเรือนของผู้อื่นเสมือนเดินเตร่อยู่ในสวนหลังบ้านของเขาเองก็มิปาน ซ้ำยังตกปลาไปอีกสามตัวด้วย แล้วปลาเหล่านี้จะใช่ปลาล้ำค่าที่เจ้านายเลี้ยงดูไว้โดยเฉพาะหรือเปล่า?
หากว่าใช่ เช่นนั้นอาจะถูกท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เอาเปรียบแล้วก็ได้!
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง รีบเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่งที่เดินผ่านด้านข้างเข้ามา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็ให้เด็กรับใช้คนนั้นรีบไปรายงานแก่หลัวจั่นอวี่ ดูว่าต้องการทวงปลาเหล่านี้คืนมาหรือไม่…
ส่วนเขาก็ตามตี้ฝูอีต่อไป ตี้ฝูอีมองเขาที่ติดสอยห้อยตามอยู่ข้างกายแวบหนึ่ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องคอยตามเช่นนี้ ข้าไม่ขโมยข้าวของในจวนเจ้าอีกหรอก”
กุยเฉวียนใช้รอยยิ้มเข้าสู้ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล้อเล่นแล้ว บ่าวเป็นคอยนำทางให้ท่านไงขอรับ”
————————————————————————————-
บทที่ 1611 ไม่ขโมยของในจวนข้างั้นหรือ?
กุยเฉวียนใช้รอยยิ้มเข้าสู้ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล้อเล่นแล้ว บ่าวเป็นคนคอยนำทางให้ท่านไงขอรับ” ทว่าดวงตากลับจ้องถังปลาในมือของตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ร้องเฮอะอยู่ในใจ
ไม่ขโมยของในจวนข้างั้นหรือ? แต่ท่านตกปลาในจวนข้าไปแล้วนี่!
“เนื้อปลาตาเดียวตัวนี้สดอร่อย ตุ๋นเป็นน้ำแกงได้ ปลากะพงหกเหงือกตัวนี้เอาไปนึ่งดีที่สุด…” ตี้ฝูอีอธิบายวิธีการทำปลา
กุยเฉวียนจ้องปลาที่มีฟันแหลมคมเต็มปากตัวนั้น “แล้วตัวนี้ล่ะขอรับ?”
“นี่คือปลาวิญญาณอาฆาต กินเลือดเนื้อเป็นอาหาร ถ้าถูกมันกัดเข้าจะเจ็บปวดมหันต์ คนที่ถูกมันกัดจนตาย จะก่อเป็นวิญญาณอาฆาตได้ง่ายๆ…”
กุยเฉวียนหนาวสะท้าน “ปลาเช่นนี้ก็กินได้หรือ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “เจ้าคิดว่าข้าจะจับมันไปปล่อยเอาบุญหรือไงล่ะ?”
กุยเฉวียนถูกตอกจนเงียบไปแล้ว จ้องปลาตัวนั้นอีกหลายแวบ ปลากินเนื้อล้วนมีรสชาติเลิศล้ำยิ่งนักทั้งสิ้น หรือว่าปลาตัวนี้ก็อร่อยมากด้วยเหมือนกัน? บางทีรอให้มีเวลาว่างพวกเขาค่อยไปลองตกมาชิมบ้างสักสองสามตัว
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสาวใช้สองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง
“รถหยกขาวคันนั้นงดงามจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าหนนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายขวาจะมือเติบถึงเพียงนี้”
“ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นรถม้าที่งดงามปานนี้มาก่อนเลย”
“รถม้าคันนั้นไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้น มันยังเป็นรถม้าที่มีกลไกอยู่ทั้งคันด้วยนะ! ด้านในมีกลไกอยู่นับไม่ถ้วน ควบคุมไม่ง่ายเลย ขนาดท่านทูตสวรรค์ของพวกเราปราดเปรื่องถึงเพียงนั้น ยามที่ควบคุมเมื่อครู่ยังถูกบาดข้อมือเอาได้ เลือดไหลออกมามากมาย…”
‘ตุบ!’ ถังปลาในมือตี้ฝูอีตกลงพื้น น้ำสาดกระจาย ทำให้สาวใช้ทั้งสองที่กำลังซุบซิบกันอยู่สะดุ้งโหยง
กุยเฉวียนก็สะดุ้งเช่นกัน ดวงตาสามคู่มองมาทางตี้ฝูอี
“หลุดมือน่ะ” ตี้ฝูอีหลุบตามองปลาที่ดีดดิ้นอยู่บนพื้นไม่หยุดร่วมถึงถังใส่ปลาที่เอียงกะเทเร่ โบกแขนเสื้อเบาๆ คราหนึ่ง ถังใส่ปลาตั้งตรงขึ้นมาอีกครั้ง ในถังมีน้ำอยู่เต็มเปี่ยมด้วยตัวเอง มีปลาสองตัวที่กระโดดกลับเข้าไปในถังด้วยตัวเองเสมือนจดจำบ้านได้ มีเพียงปลาไนอวบอ้วนตัวนั้นที่ไม่ยินยอม หาโอกาสดิ้นรนกระโจนไปทางริมทะเลสาบ
ปลาตัวนี้ไม่ทันระวังถูกศิลาเขียวก้อนหนึ่งขวางทางไว้ มันถอยหลังไป อ้าปากกว้างแล้วงับหินก้อนนั้นทันที…
ไม่น่าเชื่อว่าในชั่วพริบตาเดียวศิลาเขียวก้อนใหญ่จะถูกมันกัดจนแหลกเป็นชิ้นๆ ได้ราวกัดกับเต้าหู้ก็มิปาน ปลาตัวนี้ดีดตัวไปด้านหน้าต่อไป
พวกกุยเฉวียนทั้งสามเริ่มแรกตกตะลึงกับความสามารถที่ดั่งเล่นกลของตี้ฝูอี จากนั้นก็ถูก ‘ดุร้าย’ ของปลาตัวนี้ทำให้ตระหนกตกใจอีกครั้ง
ตี้ฝูอีสั่งการกุยเฉวียน “ฆ่ามันซะ!”
ฆ่าปลาหรือ? เรื่องนี้เขาถนัด! กุยเฉวียนถลกแขนเสื้อก้าวเข้าไปทันที ย่างสามขุมไล่ตามไป ขณะที่กำลังลงมือจับ เสียงของตี้ฝูอีก็แว่วเข้ามา “เกล็ดบนร่างมันดั่งใบมีด สัมผัสแล้วจะถูกบาดเอา”
กุยเฉวียนตกใจรีบชักมือกลับทันที เปลี่ยนไปหยิบกระบี่ตรงเอวมาฟัน!
เกิดเสียงดัง ‘เคร้ง!’ สะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนแลบออกมา กระบี่เขาไม่ได้ฟันหัวปลาขาด กลับเป็นกระบี่ในมือที่ถูกดีดสะท้อนจนหัก หวิดจะบาดมือถูกตนแล้ว
กุยเฉวียนตะลึงงัน ตี้ฝูอีกล่าวขึ้นว่า “ต้องสังหารมันด้วยไฟ”
กุยเฉวียนแทบไม่คิดเลย รีบล้วงกลักไฟออกมาจากร่างตนอีกครั้ง หลังจากจุดไฟได้ก็เผาปลาตัวนั้น
ไฟเป็นดาวนำเคราะห์ของปลาตัวนั้นจริงๆ เมื่อปลาตัวนั้นถูกเผาก็กรีดร้องเสียงแหลมเสียดหูทันที ร่างเหยียดตรง ตาถลน แน่นิ่งไปแล้ว
กุยเฉวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก ปลาตัวนั้นเดิมทีเป็นสีทองอ่อนๆ เมื่อถูกไฟเผาไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นสีแดงสด
กุยเฉวียนปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองไปทางตี้ฝูอี คล้ายกำลังถามว่าจะจัดการซากปลาตัวนี้อย่างไรต่อ
“ปลานี้อุดมสารอาหาร บำรุงเลือดลมได้ ปลาตายแล้วสามารถปรุงอาหารได้ตามปกติ” ตี้ฝูอีกล่าว
ดวงตาของสาวใช้นางหนึ่งพลันเปล่งประกาย “นายหญิงของพวกเราเพิ่งเสียเลือดไป มิสู้นำปลาตัวนี้มาตุ๋นน้ำแกงให้นายหญิงกิน บำรุงให้ดี”
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น