คัมภีร์วิถีเซียน 1608-1610
ตอนที่ 1608 เห็ดเซียน
หานลี่ยืนอยู่ด้านข้างเย่ว์จงสายตามองไปยังทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
เซียนเซียน เห็นสถานการณ์ตรงหน้า แววตาพลันฉายแววเร่าร้อน
จากนั้นทั้งสามก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี ตรงเข้าไปหาทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไปโดยมีเย่ว์จงเป็นผู้นำทาง
ทะเลหมอกที่ดูเหมือนใกล้ความจริงแล้วไกล ทั้งสามคนใช้ความเร็วไม่เชื่องช้า ก็ยังคงใช้เวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ถึงจะเข้าใกล้มันได้จริงๆ
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เดิมทีอยู่ไกลออกไปไม่ทันสังเกตยามนี้เข้าใกล้แล้วคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงอึกทึกมาจากทะเลหมอกสีเขียว ราวกับว่าด้านในกำลังมีเสียงฟ้าคำรนฝนคำราม ท่าทางน่าตกตะลึง
ฉับพลันนั้นเย่ว์จงที่กลายเป็นลำแสงสีโลหิตพลันหยุดชะงัก หยุดลงตรงหน้าหมอกสีเขียว และปรากฏกายขึ้น
มือหนึ่งพลิกฝ่ามือในมือมีแผ่นป้ายสีทองอีกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น ชูขึ้นลำแสงสีทองสายหนึ่งจมหายเข้าไปในหมอกหนาทึบอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วขณะนั้นหมอกหนาทึบที่เดิมทียื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าเมื่อลำแสงสีทองกวาดผ่านไปก็ทยอยกันเปิดทางออก กลายเป็นทางเดินตามธรรมชาติสายหนึ่ง
“สหายทั้งสองตามมาให้ดี อย่าออกจากเส้นทางเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะเป็นปัญหาไม่น้อย” เย่ว์จงกำชับ แล้วขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีตรงไปด้านหน้าอีกครั้ง
แม้จะไม่รู้ว่าหากบินออกจากเดินทาง เข้าไปในหมอกสีเขียวจริงๆ จะเปิดปัญหาอะไร แน่นอนว่าหานลี่ก็ไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุนี้ แค่ตามหลังเย่ว์จงไปอย่างเงียบๆ
กลับเป็นเซียนเซียน ที่แม้ว่าจะบินเข้ามาในทางเดินเช่นกัน แต่กลับทนไม่ไหวเอ่ยปากถามท่ามกลางลำแสงหลีกหนีว่า
“ก่อนหน้านี้หน้าหญิงเคยมาเทือกเขามารสีทองครั้งหนึ่ง หากจำไม่ผิดล่ะก็ พวกเราควรไปที่อื่นก่อนใช่หรือไม่”
“หากเป็นคนธรรมดาแน่นอนว่าย่อมต้องไปอีกที แต่ข้าน้อยมีชื่อเสียงในที่นี่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องยุ่งยากปานนั้น” เย่ว์จงกลับสั่นศีรษะขณะตอบกลับ
เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ เซียนเซียน ย่อมปิดปากเงียบไม่ปริปากใดๆ
ภายใต้การนำทางด้วยลำแสงสีทองอยู่ตรงหน้า ชั่วพริบตาทั้งสามคนก็บินเข้ามาในทะเลหมอกได้สิบลี้เศษ
ฉับพลันนั้นแววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ห่างออกไปด้านล่างสองสามลี้ มีสิ่งปลูกสร้างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ
เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้นนั้นก็มองเห็นอย่างชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นห้องหินน้อยใหญ่นับร้อยหลัง แบ่งออกเป็นสองฝั่งกลายเป็นเมืองแคบยาวเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ส่วนใจกลางของเมืองมีหอคอยยักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งอยู่หอหนึ่ง แบ่งออกเป็นห้าชั้น สร้างขึ้นจากศิลายักษ์สีเขียวเทา ดูแล้วสะดุดตามาก
บนถนนของหมู่บ้านดูเหมือนว่าจะคนกำลังสัญจรไปมา แต่จำนวนคนกลับไม่มากนัก
เย่ว์จงตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา แล้วพุ่งตรงไปยังหอคอยที่อยู่ตรงใจกลางของหมู่บ้าน
หานลี่และเซียนเซียน ย่อมไล่ตามไปติดๆ
เมื่อลำแสงหลีกหนีหม่นแสง ทั้งสามคนก็แทบจะมาปรากฏหน้าหอคอยยักษ์พร้อมกัน
ยามนี้หานลี่กวาดสายตาไป แล้วถึงได้มองเห็นอย่างชัดเจน
บนประตูยักษ์สูงสองสามจั้งของหอคอยมีแผ่นป้ายแขวนเอาไว้ ด้านบนเขียนตัวอักษรโบราณตวัดๆ เอาไว้ว่า ‘หอเมฆาอัสนี’
“สหายทั้งสองตามข้ามาเถิด ที่นี่คือที่รับแผ่นป้ายเขตต้องห้าม คิดดูแล้วท่านเซียนเซียนน่าจะเคยมาครั้งที่แล้วสินะ” เย่ว์จงฉีกยิ้มให้หญิงสาวเผ่าผลึกขณะเอ่ย
“ใช่แล้ว ทว่าตอนที่ข้ามาครั้งที่แล้ว ยังต้องไปซื้อ ‘แผ่นป้ายแยกเมฆา’ อีกที่ ถึงจะเข้ามาที่นี่ได้” เซียนเซียน พยักหน้า
“แผ่นป้ายแยกเมฆาที่ท่านเซียนได้ไป เป็นแค่ของชั่วคราว หากเกินหนึ่งเดือน ก็หมดประสิทธิภาพทันที เมื่อครู่สมบัติที่ข้าใช้แยกเมฆา กลับเป็นสมบัติที่ใช้ซ้ำได้ นี่เป็นสิ่งที่ท่านอาวุโสผู้ที่รับหน้าที่ดูแลที่นี่คนหนึ่งมอบให้ผู้แซ่เย่ว์ที่มักจะเข้าออกเทือกเขามารสีทองอยู่หลายครั้ง ทว่าหมอกชั้นนอกเหล่านั้น แม้จะยุ่งยากไปหน่อย แต่หากหลงเข้าไปก็ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต และยิ่งไปกว่านั้นขอแค่ติดอยู่ในนั้นเดือนสองเดือน แน่นอนว่าย่อมถูกคนของที่นี่นำตัวออกมา แต่ตอนนี้พวกกเราต้องเข้าไปเอา ‘ธงขจัดอัสนี’ ถึงจะสามารถเข้าไปในเทือกเขามารสีทองอย่างแท้จริงได้ เขตต้องห้ามอัสนีเทวะเหล่านั้นแม้แต่ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจบุกเข้าไปได้” เย่ว์จงอธิบายสองประโยค แล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปในหอคอย
เมื่อประตูหอคอยเปิดออกมาสู่ด้านนอก ชั้นหนึ่งดูแล้วว่างเปล่า ดูเหมือนว่าจะมีคนมาที่นี่น้อยมาก
หานลี่ได้ฟังคำพูดของเย่ว์จงจบก็พยักหน้า เดินเข้าไปเช่นกัน
เซียนเซียน เดินตามหลังหานลี่ไป
ชั่วพริบตาทั้งสามคนก็เดินเข้ามาในประตูใหญ่ของหอคอย
ชั้นหนึ่งนอกจากโต๊ะเก้าอี้สองสามตัวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก ดังนั้นทั้งสามจึงเดินไปขึ้นบันไดด้านข้างไป
ชั้นสองนั้นว่างเปล่า
ทั้งสามแทบจะตรงไปชั้นสามโดยไม่หยุดพักเลยสักนิด
ทางเข้าชั้นสามกลับมีม่านลำแสงสีขาวอ่อนชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่ตีนบันได
เยว์จงกลับดูเหมือนมองไม่เห็นม่านลำแสงนี้ ร่างกายพลิ้วไหว เดินผ่านไป
หานลี่เลิกคิ้วขึ้น จมหายเข้าไปในม่านลำแสงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นกัน
ม่านลำแสงนี้ไม่มีเจตนาขวางกั้นใดๆ ดังคาด
แต่เมื่อหานลี่มาปรากฏตัวที่อีกด้านของม่านลำแสง สีหน้ากลับเปลี่ยนสี
ด้านบนบันไดมีเสียงเอะอะดังขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยอยู่ที่ชั้นสาม
เย่ว์จงและเซียนเซียน ย่อมได้ยินเสียงนี้เช่นกัน ทั้งสองล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
ทว่าเย่ว์จงกลับมีสีหน้าผ่อนคลายดังเดิมในพริบตา และเดินขึ้นไปต่ออย่างเยือกเย็น
เสียงด้านบนหยุดชะงัก ดูแล้วคงพบการปรากฏตัวของเย่ว์จงแล้ว
และในยามนั้นหานลี่ถึงได้เดินมาถึงชั้นสามด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชั้นสามไม่นับว่ากว้างใหญ่นัก มีความกว้างแค่ยี่สิบจั้งเศษ ยามนี้กลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ชนต่างเผ่าสวมอาภรณ์หลากหลายสามสิบกว่าคนกำลังนั่งสมาธิอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่าของชั้นสาม
ชั้นนี้นอกจากโต๊ะหินทรงกลมตรงกลางแล้ว บนพื้นก็เป็นฟูกขาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันใต้ก้นของพวกเขา
หานลี่แลพวกทั้งสามมาปรากฏตัวที่ชั้นนี้ สายตาของคนเหล่านี้ย่อมมองมาเป็นตาเดียว
“เอ๋ พี่ใหญ่เย่ว์!”
“สหายเย่ว์ก็มาแล้ว”
“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่เย่ว์ไม่มีทางละทิ้งโอกาสเช่นนี้แน่”
……
ทั้งสามสิบกว่าคนนี้เห็นเย่ว์จงอย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นคนกว่าครึ่งก็ทักทายด้วยความกระตือรือร้น หนึ่งในนั้นมีผู้ที่พลังยุทธ์สูงกว่าเย่ว์จงเสียอีก
คนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักเย่ว์จง เมื่อได้ยินชื่อของเย่ว์จง คงจำนวนไม่น้อยก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที บางคนก็เปลี่ยนเป็นสายตาไม่เป็นมิตร
ดูแล้วแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเย่ว์จง แต่ชื่อเสียงของเย่ว์จงก็เป็นที่คุ้นหูในเทือกเขามารสีทอง
ทว่าชนต่างเผ่าที่ได้ยินชื่อเย่ว์จงแล้วยังมีท่าทีไม่สะทกสะท้าน ก็มีอยู่สี่ห้าคน
พวกเขาแค่พิจารณาหานลี่และพวกทั้งสามคนขึ้นลงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หานลี่กวาดจิตสัมผัสออกไป แล้วพึมพำอยู่ในใจ
ที่นี่คนส่วนใหญ่อยู่ในระดับเทพแปลงขึ้นไป หนึ่งในนั้นมีระดับสูญสุญตาอยู่มากกว่าครึ่ง ระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอดก็มีอยู่สามคน
และยังมีคนที่ถูกอะไรสักอย่างปิดบังพลังปราณเอาไว้ เขาจึงไม่อาจคาดเดาพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้
ไม่เหมือนกับหานลี่ เซียนเซียน เห็นเย่ว์จงมีชื่อเสียงที่นี่ขนาดนี้ ดวงตาสดใสก็กลอกไปมา
“อาวุโสเหยี่ยนก็อยู่ที่นี่? หรือว่าเทือกเขามารสีทองเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” เย่ว์จงคารวะให้กับผู้ที่รู้จักก่อน สุดท้ายสายตาก็ตกอยู่บนร่างชายชราร่างกายผ่ายผอมผมสีเทาขมุกขมัว กล่าวเข้าไปเอ่ยทักทายด้วยความเคารพทันที
ชายชราผู้นี้คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตระดับสูญสุญตาทั้งสามคน ใช้สายตาอ่อนโยนมองมาทางเย่ว์จง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับมีความสัมพันธ์อันดีกับเย่ว์จงมากกว่าผู้อื่น
“อันใด หลานเย่ว์ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้หรือ ไม่อยากเข้าไปในเทือกเขามารสีทองงั้นหรือ?” ชายชราผมสีเทาได้ยินคำถามของเย่ว์จง ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และถามย้อนกลับ
“ชนรุ่นหลังจะเข้าในเทือกเขามารสีทอง แต่กลับเพราะสาเหตุอื่น ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เทือกเขาพ่นไอมารออกมา เหตุใดถึงมีคนมารวมตัวกันจำนวนมากถึงเพียงนี้ หรือว่าล้วนอยากยื่นใบสมัคร คนของร่มขจัดอัสนี? นี่มันแปลกไปหน่อยแล้ว” สายตาของเย่ว์จงกวาดไปยังผู้ที่ไม่รู้จัก แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ใช่เพราะอยากเข้าไปในเทือกเข้า ผู้ใดจะมาที่นี่ ส่วนเหตุผลนั้นก็คงต้องเล่ายาว เอ๋ สหายทั้งสองคือ…” ชายชราผู้นั้นพลันถอนหายใจ แต่หลังจากกวาดสายตาไปที่ด้านหลังของเย่ว์จงมองเห็นหานลี่และหญิงสาวเผ่าผลึกสองแวบแล้ว ก็เอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านอาวุโสหานและท่านเซียนเซียนเป็นสหายที่จะร่วมเดินทางเข้าไปในเทือกเขามารสีทองกับข้าในครั้งนี้ ท่านอาวุโสเยี่ยนมีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย ตอนนี้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องนี้น่าจะมีแค่พวกเราสามคน” เย่ว์จงแนะนำสองประโยค แล้วเอ่ยต่อด้วยความกลัดกลุ้ม
“นั่นมันก็ใช่ ความจริงแล้วหากกล่าวสั้นๆ ก็นับว่าง่ายมาก สองสามวันก่อนมีคนเห็ดเซียนร่างมนุษย์บุกเข้ามาในหมู่บ้าน และโจมตีผู้บำเพ็ญเพียรไปคนหนึ่ง จากนั้นก็หนีเข้าไปในเทือกเขามารสีทองจากใต้ดิน” หลังจากที่ชายชราขบคิดเล็กน้อยแล้ว ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า
“เห็ดเซียนร่างมนุษย์? ข้าฟังไม่ผิดสินะ!” เย่ว์จงได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่
หานลี่และหญิงสาวเผ่าผลึกได้ยินก็มองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
“ไม่ผิด เป็นเห็ดเซียนไม่ผิดแน่ ตอนที่มันหนีไปนั้น มีคนโจมตีโดนมัน จนได้โลหิตเซียนของมันมาสองสามหยด จึงนำมาแลกกับศิลาวิญญาณก้อนใหญ่ในหมู่บ้าน” ชายชราเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
“สมุนไพรวิญญาณแปลงกาย เดิมทีก็หายากมาแล้ว ไม่ใช่ว่าอายุยิ่งมาก ก็จะยิ่งแปลงกายได้ มันต้องอาศัยจังหวะที่หาได้ยาก ถึงจะมีโอกาสฝึกฝนจนแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ดูเหมือนว่าทั้งแดนวิญญาณก่อนหน้านี้จะไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน หากข่าวนี้แพร่ออกไป ที่อื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสะเทือนทั้งเมฆาสวรรค์แน่ เช่นนั้นคนอื่นๆ ถึงได้รีบมาที่นี่” เย่ว์จงถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
“พี่ใหญ่เย่ว์กล่าวผิดแล้ว บางทีอีกสักระยะหนึ่ง คนจากภายนอกที่มารวมตัวที่นี่อาจจะมากกว่านี้ แต่ผู้ที่อยู่ค่อนข้างไกลกลับไม่มีโอกาสแล้ว เห็นเซียนนั้นไม่เพียงเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนีธรณีและพฤกษา ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนอิทธิฤทธิ์หลีกลี้หนีไกลจากลำแสงแบ่งเงาด้วย” ชายหนุ่มหน้าขาวใสอีกคนหนึ่ง กลับเอ่ยปากแทรกขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
“ลำแสงแบ่งเงา! ในเมื่อเห็ดเซียนมีเคล็ดวิชาหลีกหนีในตำนาน เหล่าสหายจะเสี่ยงอันตรายเข้าไปในเทือกเขามารสีทองทำไมกัน? หากมีอิทธิฤทธิ์นี้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจจับมันได้” เซียนเซียน ฟังมาถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“เซียนผู้นี้ไม่รู้อะไร นับว่าเห็ดเซียนต้นนั้นโชคร้าย ผู้บำเพ็ญเพียรที่มันทำร้าย บังเอิญก็เป็นผู้ที่ฝึกฝนเขตอาคมลำแสงปราณแท้สีทองเข้าพอดี แม้ว่าจะถูกมันทำให้ได้รับบาดเจ็บหนักโดยไม่ทันตั้งแต่ แต่ก็โจมตีย้อนกลับไป เขตอาคมลำแสงเองก็โจมตีถูกเห็ดเซียนเช่นกัน ผลคือตอนที่หนีไป แม้ว่าตอนแรกจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ลำแสงแบ่งเงาออกมา แต่ก็สำแดงได้เพียงครึ่งหนึ่ง เขตอาคมลำแสงก็กำเริบ ถูกบีบให้สำแดงตัวออกมา ไม่รู้ว่ามันมีความสามารถอื่นอันใดอีก คาดไม่ถึงว่าจะไม่หวาดกลัวพลังแรงกดจากหมื่นอัสนีของเขตอาคมเมฆาอัสนี ทะลวงผ่านเขตอาคมเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง” ชายหนุ่มหน้าขาวเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก
ตอนที่ 1609 ยุยง
แต่ครู่ต่อมาชายหนุ่มก็เอ่ยต่ออย่างกระตือรือร้นว่า
“แต่ผู้ที่ถูกเห็ดทำร้ายกล่าวว่า เขตอาคมจิตวิญญาณสีทองของเขาสามารถกักลำแสงแบ่งเบาของเห็ดเซียนตัวนั้นได้นานสองเดือน และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะในร่างของเห็ดเซียนมีเขตอาคมนี้อยู่ เขาจึงสามารถหลอมจานอาคมที่สามารถแกะรอยเห็ดเซียนได้ ขอแค่เข้าใกล้เห็ดเซียนในระยะร้อยลี้ ก็จะสามารถพบร่องรอยของมันได้ทันที เคล็ดวิชาหลีกหนีและเคล็ดวิชาอำพรางกายของเห็ดเซียนตัวนี้น่าตกตะลึงนัก และยังมีความสามารถพิเศษอีก แต่วิธีการต่อสู้ของมันกลับไม่ค่อยล้ำเลิศนัก ประกอบกับได้รับบาดเจ็บอยู่ คิดดูแล้วคงไม่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทองแน่ คงทำได้เพียงแอบซ่อนตัวอยู่รอบนอก เช่นนั้นเดือนนี้จึงเป็นโอกาสดีในการไล่จับมัน ผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของพวกเราชั่วคราว เดิมทีคิดว่าจะไม่เข้าไปในเทือกเขาในช่วงที่พ่นไอออกมาร แต่ตอนนี้มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องอยากเข้าไปเสี่ยงดวงสักครั้ง ส่วนคนที่อยู่ไกลหน่อย แม้ว่าจะรีบมาก็พลาดช่วงเวลางามๆ ไปแล้ว” หานลี่และพวกทั้งสามได้ฟังรายละเอียดเช่นนี้ ถึงได้ถึงบางอ้อขึ้นมา
เย่ว์จงครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงเอ่ยอย่างระมัดระวังรอบคอบ
“แม้ว่าสมุนไพรวิญญาณร่างมนุษย์จะหายากมาก แต่สรรพคุณหลังจากกินเข้าไปแล้วผู้ใดก็ไม่เคยบันทึกเอาไว้ และไม่จำเป็นต้องไปเปรียบกับยาสมุนไพรระดับสุดยอด ทว่าสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้ เป็นสิ่งที่หายากในตำนานเท่านั้น เช่นนั้นล่ะก็ ไม่เท่ากับสามารถดึงดูดคนจำนวนมากให้ยอมเข้าไปในเทือกเขายามที่ไอมารพ่นออกมาในระยะเวลาสั้นๆ หรือ ถึงอย่างไรเสียการเข้าไปในช่วงเวลานี้ อันตรายก็มากกว่าปกติสองสามส่วน แม้ว่าจะแค่เคลื่อนไหวที่รอบนอก ก็มีโอกาสพบมารอสูรที่แข็งแกร่งมากได้”
“พี่เย่ว์ไม่รู้อะไร หลังจากที่เห็ดเซียนปรากฏตัว หมู่บ้านของเราก็มีอาวุโสระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น และยอมใช้ยาลูกกลอนมหัศจรรย์สามเม็ดและดอกบัวมรกตหมื่นปีสามต้น ประกอบกับศิลาวิญญาณจำนวนมาก แลกกับเห็ดเซียนต้นนี้ และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สนใจว่าเป็นหรือตาย ตอนนี้อาวุโสผู้นี้ก็พักอยู่ในหมู่บ้าน และกล่าวว่าจะรอจนกว่าการเปิดเทือกเขามารสีทองหนึ่งเดือนจบลง ถึงจะจากไป ใช่แล้ว โลหิตเห็ดเซียนสองสามหยดนั้นท่านอาวุโสผู้นี้ก็เป็นผู้ซื้อเอาไว้” หญิงสาวชาววังหน้าตาสะสวยอีกคนเอ่ยอธิบายขึ้น
“ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์?” ครั้งนี้กลับเป็นหานลี่ที่เอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
“ใช่แล้ว ท่านอาวุโสผู้นี้แซ่กู่ พลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา ดูแล้วไม่เหมือนกับคนของเมฆาสวรรค์ของพวกเรา” หญิงสาวสวมชุดชาววังมองหานลี่สองสามแวบ รู้สึกว่าไม่สะดุดตาเลยสักนิด ก็ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ดูแล้วความจริงแล้วคนที่นี่ทำก็เพื่อค่าตอบแทนที่สูงลิบของอาวุโสกู่ผู้นี้สินะ” เซียนเซียน ฟังมาจนถึงตอนนี้ก็ฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
“ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาที่นี่ ไม่ว่าพลังยุทธ์สูงต่ำส่วนใหญ่ล้วนลำบากใจ และขาดแคลนศิลาวิญญาณทั้งนั้น มิเช่นนั้นคงไม่ยอมเสี่ยงเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง ค่าตอบแทนที่สูงลิบเช่นนี้ หากพวกเราได้มา ก็ไม่ต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้อีกต่อไป และไม่ต้องเสี่ยงอันตรายไปไล่สังหารมารอสูรอะไรอีก” หญิงสาวสวมชุดชาววังแค่นเสียงหึ ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจกับคำพูดของเซียนเซียน เล็กน้อย
หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเม้มปากไม่ได้ปริปากใดๆ
“นีเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท สหายสองท่านลี้ล้วนเป็นสหายของหลานเย่ว์” ชายชราแซ่เยี่ยนดูเหมือนจะเป็นอาวุโสสายตรงของหญิงสาวสวมชุดชาววัง แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยตักเตือนหนึ่งประโยค
ใบหน้าของหญิงสาวสวมชุดชาววังดูไม่ค่อยดีใจนัก แต่ปากก็ยังตอบรับและไม่พูดอะไรอีก
“ในเมื่อเรื่องราวสองสามวันก่อนทำให้ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ หรือว่าตอนนี้ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลที่นี่ไม่ใช่ ‘ท่านอาวุโสเลี่ยว’ แล้ว” เย่ว์จงดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่ไม่เข้าใจนัก ทว่าหลังจากกวาดสายตาไปรอบด้าน ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอีกเรื่องหนึ่ง
“พี่เย่ว์เดาไม่ผิด ท่านอาวุโสเลี่ยวจากไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ได้เปลี่ยนผู้ดูแลแล้ว มันยุ่งยากมาก แม้กระทั่งฟื้นฟูการทดสอบในอดีตขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบ จะถูกปฏิเสธร่มขจัดอัสนี และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้คุยง่ายเหมือนท่านอาวุโสเลี่ยวในอดีต ไม่มีทางปล่อยร่มขจัดอัสนีออกมาก่อนแน่ พี่เย่ว์มาก็ดีแล้ว วันนี้เป็นวันเปิดการทดสอบวันแรกพอดี ดังนั้นถึงได้มีคนมากมายมารวมตัวกันที่นี่” ชายหนุ่มหน้าขาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างบ่นกระปอดกระแปด
“เอาล่ะ บางเรื่องก็อย่าพูดซี้ซั้ว ‘ผู้ดูแลหมิ่น’ ที่มาใหม่เปิดการทดสอบอีกครั้ง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กำลังคนที่มากเกินไปไปตายใต้เงื้อมมือของมารอสูร” ชายชรากลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“แต่การทดสอบชนิดนี้ มันเป็นกฎในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เป็นเพราะก่อนหน้านี้มีสหายร่วมวิถีไปเพลี่ยงพล้ำในเทือกเขามารสีทองมากเกินไป ถึงได้มีกฎเช่นนี้ออกมา ยามนี้ทุกปีมีคนที่ยอมเข้าไปในเทือกเขาแค่ปีละไม่กี่คน การจัดการทดสอบขึ้นมันยิ่งไม่เกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ!” ชายหนุ่มกลับเบะปากขณะเอ่ย ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีร่วมขจัดอัสนีก็ไม่อาจเข้าไปในเทือกเขาได้ ตอนนี้ผู้ที่รับหน้าที่การตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ใช่ท่านอาวุโสเลี่ยวแล้ว กฎย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป” ชายชราแซ่เยี่ยนเอ่ยอย่างมีเลศนัย
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ชายชราที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดในบรรดาพวกเขายังกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไระเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ
“ไม่ว่าพี่เย่ว์อยากจะเข้าไปทำอะไรในเทือกเขาครั้งนี้ แต่ในเมื่อมาได้โอกาสพอดี ก็คงไม่ยอมละทิ้งไปสินะ มิสู้ร่วมเดินทางกับพวกเรา มีพี่เย่ว์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นนักล่ามารอสูร ประกอบกับจานอาคมแกะรอย อัตราที่พวกเราจะจับเห็ดเซียนได้ ก็น่าจะมากกว่าคนอื่นแหลายส่วนแล้ว ถึงครานั้นหากจับเห็ดเซียนได้ พี่เย่ว์ก็จะได้ค่าตอบแทนไปส่วนหนึ่ง ที่เหลือพวกเราจะแบ่งกันอีกที พี่เย่ว์คิดเห็นอย่างไร?” หญิงสาวสวมชุดชาววังหัวเราะคิกคักขณะเอ่ยชักจูงเย่ว์จง
เย่ว์จงได้ยินคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี กลับไม่ได้ตอบอะไรกลับในทันใด
“พี่เย่ว์ เวลาของพวกเรามีไม่มากนัก จึงไม่อาจปลีกตัวไปได้ ส่วนค่าตอบแทนนั้น แต่อันหนึ่งได้แล้ว อีกอันยังไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ สหายก็น่าจะเลือกสิ่งที่ชาญฉลาดสินะ” หญิงสาวเผ่าผลึกกลับมองออกว่าเย่ว์จงกำลังรู้สึกสนใจ จึงเอ่ยเตือนอย่างราบเรียบ
“สหายเซียนโปรดวางใจ ในเมื่อข้าน้อยรับค่าตอบแทนมาส่วนหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่ ท่านอาวุโสเยี่ยน ชนรุ่นหลังมีธุระอื่น เกรงว่าคงไม่อาจร่วมเดินทางกับพวกเจ้าได้” เย่ว์จงมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจ
“ไม่เป็นไร ความจริงแล้ว การเข้าไปในเทือกเขามารสีทองในครั้งนี้ของพวกเราก็มีโอกาสไม่น้อย รอบนอกเทือกเขามารสีทองไม่นับว่ากว้างใหญ่นัก แต่หากอยากหาร่องรอยของเห็ดเซียนให้เจอในไอมาร ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้ผู้ใดก็พูดยาก ไม่แน่ว่ายิ่งไม่หวังจะเจอสิ่งนี้ อาจจะยิ่งเจอมันโดยบังเอิญก็ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นีเอ๋อร์ เจ้าเอารูปร่างของเห็ดเซียนและจานอาคมแกะรอยให้หลานเย่ว์ไปชุดหนึ่ง” ชายชราแซ่เยี่ยนออกคำสั่งอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวสวมชุดชาววังได้ยิน พลันควักแผ่นป้ายศิลาสีขาวและจานอาคมสีฟ้าออกมาจากกำไลเก็บของอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสเยี่ยน” เย่ว์จงลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธรับของทั้งสองชิ้นมา
“หึๆ นี่มันจะมีค่าอะไร ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ข้าและบิดาของเจ้าก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่หลายส่วน” ชายชราเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา
หานลี่ที่เอาสองมือไพล่หลังมองเห็นฉากนี้ มุมปากก็หยักขึ้นเล็กน้อย เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ข้างหูของหญิงสาวเผ่าผลึกก็มีเสียงถ่ายทอดเสียงของหานลี่ดังขึ้น
“ยามที่สหายออกเดินทาง มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกผู้แซ่หานสินะ อะไรคือ ‘ไอมารพ่นออกมา’ รอบนอกอาจจะพบกับมารอสูรที่แข็งแกร่ง?”
เซียนเซียน ได้ยินคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นริมฝีปากบางก็เผยอออกแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ ถ่ายทอดเสียงกลับมาอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นกัน
“คารวะท่านอาวุโสหาน! แม้ว่าไอมารที่พ่นออกมาจะมีผลกระทบต่อการเดินทางของพวกเราอยู่บ้าง แต่ขอแค่ไม่เข้าไปลึก ก็ไม่เป็นปัญหาอันใด เดิมชนรุ่นหลังคิดว่าหลังจากเข้าไปแล้ว ค่อยบอกเรื่องนี้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หลังจากที่จัดการมารอสูรระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว นอกจากโลหิตเที่ยงแท้และแก่นมารแล้ว ชนรุ่นหลังก็จะแบ่งวัตถุดิบให้อีกส่วนหนึ่ง? หวังว่าท่านอาวุโสหานจะไม่ถือสากับเรื่องนี้!”
เซียนเซียนผู้นี้นับว่าชาญฉลาดมาก เมื่อได้คำซักถามของหานลี่ ทันใดนั้นก็มีท่าทีนอบน้อม และเป็นฝ่ายเอ่ยเสนอค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นให้ก่อน
ยามนั้นข้างหูของหญิงสาวเผ่าผลึกเงียบไป แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็มีเสียงอันเย็นชาของหานลี่ดังขึ้นว่า
“ปกติแล้วข้าเกลียดผู้ที่จงใจหลอกลวงข้าที่สุด ครั้งนี้จะไม่ถือสา หากพบอีกครั้ง การร่วมมือของพวกเราจะสิ้นสุดลงในทันที แม้ว่าข้าจะอยากซ่อมแซมเกราะมารเหนือชั้น แต่ไม่มีทางอดทนให้ผู้อื่นปั่นหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เด็ดขาดของหานลี่ หญิงสาวเผ่าผลึกกลับรู้สึกผ่อนคลายลง รู้ว่าในที่สุดก็รอดแล้ว
และในยามนั้นเย่ว์จงและชายชราแซ่เยี่ยนและพวกก็เริ่มพูดคุยเรื่องเก่าๆ กันด้วยท่าทางมีความสุข
แต่ในยามนั้นเอง เรื่องหนึ่งพลันเกิดขึ้นซึ่งแม้แต่หานลี่ก็ไม่คาดคิดมาก่อน
ที่นี่นอกจากระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอดที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดสองคนแล้ว ไม่เพียงจะเป็นผู้ที่มาจากภายนอก และยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่งจะได้ยินว่าคนเหล่านั้นไม่สนใจชื่อเสียงของเย่ว์จง
ทว่าตอนนี้พวกเขาได้ฟังคนอื่นๆ ถ่ายทอดเสียงกันจบแล้ว ในที่สุดก็รู้ว่าชื่อเสียงของเย่ว์จงมาด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนแทบจะดวงตาเปล่งประกายในเวลาเดียวกัน
จากนั้นหลังจากที่ทั้งสองคนสนทนากันอย่างลับๆ สองสามประโยคแล้ว หนึ่งในนั้นชายวัยกลางคนที่ศีรษะเป็นสี่เหลี่ยม บนหัวมีผมสีเขียวยุ่งเหยิงก็หยัดกายลุกขึ้น ตรงไปยังเย่ว์จงและพวกอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก
“เจ้าคือนักล่ามารอสูรที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บ้าน จะต้องคุ้นเคยกับเทือกเขามารสีทองมากสินะ” คนผู้นี้เดินมาอยู่ห่างจากเย่ว์จงไปสองสามจั้ง ก็ใช้น้ำเสียงไม่เป็นมิตรเอ่ยถาม
“มีชื่อเสียงนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ข้าไม่ได้เข้าไปในเทือกเขามารสีทองมาร้อยกว่าปีแล้ว ตอนนี้ไม่นับว่าคุ้นเคยอะไร? ท่านอาวุโสมีอะไรหรือ?” แม้ว่าเย่ว์จงจะรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ก็ยังคงตอบกลับอย่างไม่ต้อยต่ำและไม่สูงส่ง
“ไม่ว่าเจ้าจะคุ้นเคยหรือเลอะเลือน พรุ่งนี้ข้าและสหายเยี่ยนจะเข้าไปหาเห็ดเซียนในเทือกเขามารสีทอง เจ้าไปกับพวกเราเถิด” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวผู้นั้นหรี่ตาทั้งสองข้างลง ปากก็เอ่ยสิ่งที่บ้าคลั่งออกมา
เมื่อได้ยินคำนี้ ไม่ใช่แค่เยว์จงและหญิงสาวสวมชุดชาววังและพวกที่หน้าเปลี่ยนสี เซียนเซียน และหานลี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน
ชายชราเซียนเยี่ยนกลับยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ได้ แต่ก็มองอีกฝ่าย พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร?”
“อะไรหมายความว่าอย่างไร แน่นอนว่าอยากยืมแรงสหายสักหน่อย อันใด สหายรู้สึกไม่เหมาะสมหรือ?” และไม่รู้ว่าชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีที่พึ่งอันใด คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตัวเอง จะเอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
ตอนที่ 1610 ลงมือ
ชายชราแซ่เยี่ยนไม่ได้เอ่ยอะไรกับอีกฝ่ายตรงๆ แต่หันหน้าไปมองไปอีกทางแวบหนึ่ง
ด้านนั้นนอกจากชนต่างเผ่าระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอดอีกคนหนึ่งที่มองมาทางนี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้ว ก็ประสานสายตากับชายชราเข้าพอดี
รูม่านตาของชายชราพลันหดเล็กลง!
ชนต่างเผ่าผู้นี้นอกจากมีผิวหนังหยาบกร้านแล้ว ก็มีริ้วรอยสีเขียวเป็นสายๆ รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเผ่ามนุษย์เป็นอย่างมาก สวมชุดเกราะสงครามสีเงินชิ้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยหนามสีแดงสด แผ่กลิ่นอายโลหิตกลุ่มหนึ่งออกมาจางๆ
ส่วนสายตาของชนต่างเผ่านี้ก็แข็งทื่ออย่างสุดๆ มองมาทางพวกเขาราวกับเห็นซากศพกองหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าชายชราสัมผัสกับสายตาคู่นี้ ก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านจนสะดุ้งโหยง
ชายชราแซ่เยี่ยนรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
จากประสบการณ์ของเขาวย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นเขาที่อยู่ในระดับเดียวกกันกับเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้
ชายชรามีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เลื่อนสายตากวาดไปยังใกล้กับชนต่างเผ่าผู้นั้นแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แม้ผู้ที่มาจากภายนอกทุกคนจะไม่ได้มาร่วมมือกัน แต่ในยี่สิบกว่าคนก็มีคนที่ยอมติดตามคนผู้นั้นสิบกว่าคนแล้ว
หลังจากที่ชายชรากวาดสายตาไปทางพวกตนเองเจ็ดแปดคนและหานลี่เย่ว์จงแล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
ในความคิดของเขา แม้จะนับเย่ว์จงและหานลี่เข้าไปแล้วจำนวนคนก็มีเท่ากับอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายนั้นนอกจากระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้าสองคนแล้ว ผู้ที่อยู่ในระดับสูงก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดและแปดของอีกฝ่ายก็มีอยู่สี่คน
ส่วนทางเขานั้นนอกจากตนเองแล้ว ขั้นที่เจ็ดขึ้นไปก็มีแค่ชายร่างใหญ่หัวล้านที่ไม่ปริปากพูดใดๆ เลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ชายชราถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้การรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ดังนั้นถึงได้แสดงท่าทางไม่หวั่นเกรงสิ่งใดเช่นนี้ออกมา
“หลานเย่ว์และข้ามีต้นกำเนิดเดียวกัน ตาเฒ่าไม่มีทางมองพวกเจ้าพาเขาไปแน่ และยิ่งไปกว่านั้นข้าขอเตือนสหายเรื่องหนึ่ง ที่นี่คือหมู่บ้านเมฆาอัสนี และไม่ใช่ที่ที่จะสามารถแสดงความโอหังได้ แม้ว่าสหายจะอยากก่อเรื่อง ก็ต้องเคารพกฎของหมู่บ้านแห่งนี้” ในที่สุดชายชราก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา
“กฎ! กฎอะไร?” คำพูดของชายชราแซ่เยี่ยนอยู่นอกเหนือความคาดหมายของชนต่างเผ่าผมสีเขียวไปหน่อย แต่ก็เอ่ยถามด้วยดวงตาที่ฉายแววโหดเ**้ยม
“หากมีคนต่อสู้กันในหมู่บ้านเราล่ะก็ จำต้องทำในสนามประลองของหมู่บ้านเท่านั้น ผู้ใดชนะ ก็ทำตามกฎเกณฑ์ของผู้นั้น” ชายชราเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ฮ่าๆ หรือว่าเจ้ายอากให้เจ้าเด็กนั้นสู้กับข้าหรือ?” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวได้ฟังพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเป็นหลานเย่ว์และข้าน้อย ลืมเตือนสหายไป ตามกฎของหมู่บ้าน การต่อสู้เช่นนี้มีเพียงต้องทำกับผู้ที่มีพลังยุทธ์ไม่ต่างกันมากนัก หากเจ้ายังยืนกรานว่าจะพาหลานเย่ว์ไปกับเจ้า หากไม่หาผู้ที่มีพลังยุทธ์เท่ากับหลานเย่ว์ ก็ต้องให้ตาเฒ่าออกศึกแทนเขา” ชายชราแซ่เยี่ยนเอ่ยอย่างราบเรียบ
“พลังยุทธ์ไม่ต่างกัน? นั่นมันกฎอันใดกัน หากข้าไม่ตกลงล่ะ!” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยพร้อมเผยท่าทีโหดเ**้ยมออกมา
“หากไม่ตอบตกลง เช่นนั้นก็ถือว่ามาก่อความวุ่นวายในเมืองเมฆาอัสนี แน่นอนว่าต้องถูกอาวุโสผู้ดูแลหมู่บ้านยึดคุณสมบัติในการเข้าไปในเทือกเขามารสีทองออกไป และยิ่งไปกว่านั้นต้องถูกไล่ออกจากหมู่บ้านของเรา สหายอยากติดต่อกับท่านอาวุโสโดยตรงหรือไม่?” แววตาของชายชราแซ่เยี่ยนเปล่งประกาย เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อาวุโส?” หลังจากที่ชนต่างเผ่าผมสีเขียวลังเลเล็กน้อย ก็อดจะหันไปมองชนต่างเผ่าสวมชุดเกราะสงครามผู้นั้นไม่ได้
ส่วนคนผู้นั้นพลันขมวดคิ้ว ฉับพลันนั้นพลันหันไป เอ่ยถามผู้ที่อยู่ด้านหลัง “เขาพูดจริงหรือไม่ หมู่บ้านเมฆาอัสนีมีกฎเช่นนี้จริงๆ หรือ!”
“รายงานท่านอาวุโสกุย ที่นี่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้จริง ทว่ากฎนี้ถูกสร้างขึ้นตอนที่เริ่มก่อสร้างหมู่บ้านนี้ ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้วก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้” ผู้พูดคือผู้ที่สวมอาภรณ์และผ้าคลุมสีดำปกคลุมทั่วทั้งเรือนร่างเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับหมู่บ้านเมฆาอัสนีนี้เป็นอย่างมาก ตอบกลับอย่างนอบน้อม
หญิงสาวสวมชุดชาววังและพวกมองไปทางคนผู้นี้แล้วเผยสีหน้าฉงนออกมา
คนผู้นี้แต่งตัวประหลาดๆ เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนนอกหมู่บ้าน ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะผิดปกติไปหน่อย
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ข้าแค่อยากรู้ว่า หากลงมือที่นี่ อาวุโสผู้นั้นจะออกหน้าจัดการหรือไม่?” ชนต่างเผ่าแซ่กุยเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เรื่องนี้นั้นพูดยาก อาจจะมาจัดการ และอาจจะทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทว่าได้ยินว่าผู้ดูแลคนใหม่นี้เป็นผู้เข้มงวดมาก เกรงว่าคงมีโอกาสออกหน้าอยู่กระมัง” ผู้สวมชุดคลุมสีดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เช่นนั้นก็ไม่อาจลงมือที่นี่ได้ เยี่ยม ทำตามกฎของพวกเจ้า รอพวกเราได้รับร่มขจัดอัสนีก่อน ข้าจะมาขอแลกเปลี่ยนกับสหายด้วยตนเอง หากข้าชนะสหายเย่ว์จะต้องไปกับพวกเรา หากแพ้ล่ะก็ พวกเราจะปล่อยเขาไป?” ชนต่างเผ่าแซ่กุยเอ่ยเช่นนี้ออกมา
ชายชราได้ยินคำนี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้า จากนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยกับเย่ว์จงที่มีสีหน้าเขียวคล้ำอยู่ด้านข้าง
“หลานเย่ว์ ให้ตาเฒ่าเป็นตัวแทนต่อสู้แทนเจ้าสักตั้ง เจ้ายินยอมหรือไม่?”
“ท่านอาวุโสเยี่ยน อีกฝ่ายมาหาข้า จะโยงไปหาเจ้าได้อย่างไร ให้ข้าจัดการเองเถิด ให้อีกฝ่ายเปลี่ยนคนจะดีกว่า!” เย่ว์จงสั่นศีรษะรัวๆ
“เปลี่ยนคน? เจ้าคิดว่าพวกเราสมองเลอะเลือนหรือ? ไม่ให้เขาสู้แทนเจ้า ก็ให้ข้ากับเจ้าแลกเปลี่ยนกัน มีสองแบบ ไม่มีตัวเลือกที่สาม” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวพลันหัวเราะเยาะก่อน จากนั้นก็เอ่ยอย่างหยาบคาย
เย่ว์จงได้ยินพลันไม่ปริปาก แต่สีหน้าพลันดูไม่ได้
“ท่านอาวุโสหาน ไม่อาจให้พวกเขาพาสหายเย่ว์ไป หากพวกเราไม่มีพี่เย่ว์นำทาง ในช่วงที่ไอมารพ่นออกมาเช่นนี้ก็อาจจะไปถึงที่ซ่อนตัวของมารอสูรระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นไม่ทัน” หานลี่ที่มองทุกอย่างอยู่อย่างเย็นชาด้านข้าง ข้างหูมีเสียงร้อนรนของเซียนเซียนดังขึ้น
หานลี่มองไปทางหญิงสาวแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เห็นเพียงหญิงสาวผู้นี้กำลังมองมาทางเขา ใบหน้าฉายแววกังวลใจอยู่ลึกๆ
“สหายอาจจะมองข้าสูงไป ข้าเป็นแค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดเท่านั้น จะขัดขวางเรื่องนี้ได้อย่างไร” หานลี่หันกลับมาริมฝีปากขยับเล็กน้อย แล้วถ่ายทอดเสียงกลับมา
“เหตุใดท่านอาวุโสหานต้องปิดบังข้าด้วย แม้ว่าชนรุ่นหลังจะพลังยุทธ์ต่ำต้อย แต่ก็มั่นใจว่าล่วงรู้ข่าวสารเป็นอย่างดี ท่านอาวุโสเคยช่วยท่านอาวุโสเจี่ยมาจากเงื้อมมือของเผ่าหมื่นโบราณด้วยตัวคนเดียว สังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันสองสามคนได้ในพริบตา อิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เกรงว่าคงเหนือกว่าระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า” หญิงสาวเผ่าผลึกกัดฟัน ฉับพลันนั้นก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงออกมา
แววตาของหานลี่ฉายแววฉงน เงียบขรึมอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้ถ่ายทอดเสียงมาอย่างราบเรียบ
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะตรวจสอบข้ามาอย่างละเอียด แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังรู้ เอาล่ะ เห็นแก่เกราะมารเหนือชั้น ข้าจะช่วยเจ้าอีกสักครั้ง”
“ขอบพระคุณท่านอาวุโส!” เซียนเซียนได้ยิน ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ
ครู่ต่อมาหานลี่พลันเอ่ยปากด้วยสีหน้าราบเรียบ
“มีแค่สองวิธีจริงๆ หรือ? ผู้แซ่หานคิดว่าเลือกตัวเลือกที่สามจะดีกว่า สหายเย่ว์และพวกเรามีนัดกันก่อนแล้ว คงไม่มีทางไปกับพวกเจ้า”
ระหว่างที่พูดหานลี่ก็สาวเท้าเข้าไปข้างหน้า เดินไปตรงหน้าเย่ว์จง
เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ หญิงสาวสวมชุดชาววังและชายหนุ่มหน้าขาวพลันอดที่จะมองสบตากันไม่ได้
ส่วนเย่ว์จงก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
มีเพียงชายชราแซ่เยี่ยนที่ตกตะลึงในตอนแรก ทันใดนั้นก็พิจารณาหานลี่อีกสองครั้ง แล้วกลับฉงนสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าคือใคร? รนหาที่ตายนัก! หรือว่าเจ้าคิดจะแลกเปลี่ยนกับข้าแทนเขา?” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวได้ยินพลันตกตะลึง แต่ครู่ต่อมาก็ถลึงตาใส่หานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างโหดเ**้ยม
จากนั้นคนผู้นี้ก็ไม่รอให้หานลี่ได้พูดอะไรอีก ฉับพลันนั้นพลันก้าวมาข้างหน้า ขยับสองแขน ฝ่ามือสีเขียวข้างหนึ่งตะปบมาทางหานลี่
และไม่รู้ว่าคนผู้นี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไร
เมื่อตะปบฝ่ามือข้างนี้ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะสร้างภาพลวงตาขนาดเท่าพัดใบลาน นิ้วทั้งห้าแยกออกปกคลุมร่างกายทั้งร่างของหานลี่เอาไว้
ในเวลาเดียวกันหว่างนิ้วทั้งห้าพลันมีลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งกดลงมาหาหานลี่
“สหายหานโปรดระวังด้วย!” ชายชราแซ่เยี่ยนพลันตกตะลึง ร้องเตือนออกไปอย่างไม่ต้องขบคิด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดร่างกายกลับเชื่องช้าลง
นิ้วทั้งห้าของชนต่างเผ่าผมสีเขียวกลับตะปบลงมาแล้ว
หากเป็นระดับสูญสุญตาขั้นต้นธรรมดาๆ ถูกชนต่างเผ่าผมสีเขียวตะปบลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ภายใต้พลังมหาศาลนี้ร่างกายคงไม่อาจขยับตัวได้เลยสักกระผีก
แต่หานลี่มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งจนอยู่ในขั้นที่น่าเหลือเชื่อตั้งนานแล้ว จะถูกเคล็ดวิชานี้กักเอาไว้ได้ได้อย่างไร
ต่อให้พลังมหาศาลกดลงมาบนร่างมากกว่านี้สองสามเท่า สำหรับเขามันก็ไม่มีค่าอะไร
เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของอีกฝ่ายมีเสียงอึกทึกดังออกมา และมีวายุประหลาดกลุ่มหนึ่งกดลงมา
มุมปากของหานลี่ก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
ฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก และตะปบมือขึ้นไปด้านบน
ม่านลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นพลันรวมตัวกัน!
มือลำแสงยักษ์สีเทาขมุกขมัวข้างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหานลี่ รองฝ่ามือยักษ์สีเหลืองเอาไว้แล้วตะปบกลับไป
“เด็กเอ๋ย ไม่รู้จักกำลังตนเอง คุกเข่าเดี๋ยวนี้!” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าเ**้ยมโหด ปากก็ร้องตะโกนออกมา
เดิมทีเขากระตุ้นพลังปราณแค่เจ็ดส่วน ยามนี้พลังปราณในร่างโคจรไปมาอย่างรวดเร็ว รวบรวมลมปราณสิบส่วนไปที่ฝ่ามืออย่างไม่มีเก็บออมเอาไว้อีก คิดจะอาศัยการคุกคามนี้ กดหานลี่ให้ล้มลงไปกับพื้นในพริบตา
ฝ่ามือสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นสองส่วน ปะทะกับลำแสงสีเทาบนฝ่ามือด้านล่าง
ส่วนฝ่ามือลำแสงสีเทาในยามนั้นก็ประกบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน!
ฉากที่น่าเหลือเชื่อสำหรับทุกคนพลันปรากฏขึ้น!
ทั้งสองปะทะกันแต่ไม่ได้เปล่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา กลับมีเสียง “ปัง” ดังขึ้นเบาๆ ฝ่ามือสีเหลืองที่ถูกฝ่ามือลำแสงสีเทาบีบเอาไว้ สลายหายไปในทันที
จากนั้นฝ่ามือลำแสงพลันพลิ้วไหว ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชนต่างเผ่าผมสีเขียว แล้วตะปบลงมาอย่างเงียบเชียบเช่นกัน
ฝ่ามือลำแสงไม่ทันตกลงมา ลำแสงเทวะดูดปราณที่กลายเป็นหมอกลำแสงสีเทาม้วนวน
“เป็นไปไม่ได้!”
ชนต่างเผ่าผมสีเขียวร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่กล้าเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะทำลายอิทธิฤทธิ์ที่เขาพอใจได้ และยังใช้วิธีของเขาย้อนกลับมาหาเขา
ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว เขากำหมัดทั้งสองอย่างไม่ต้องขบคิด กำปั้นทั้งสองโจมตีไปยังลำแสงสีเทาที่ม้วนวนกลางอากาศเต็มกำลังเกิดเป็นเสียงดัง “ฟึ่บๆ”
เงากำปั้นสีทองสองกำปั้นพุ่งออกมาจากร่างเกิดเป็นเสียงดัง โจมตีไปยังหมอกสีเทา
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เงากำปั้นสีเหลืองทั้งสองสัมผัสกับลำแสงสีเทา กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร
ใบหน้าของชนต่างเผ่าผมสีเขียวเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา คาดไม่ถึงว่าจะร้องว่า “แย่แล้ว” ออกมาแล้วคิดจะสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีในทันที
แต่ม่านลำแสงสีเทาที่แต่เดิมหมุนขดอยู่แค่เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วก็มาประชิดตรงหน้าของเขาอย่างหน้าเหลือเชื่อ
ลำแสงสีเทาหมุนวน ม้วนเอาร่างของเขาเข้าไปข้างใน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น