พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1607-1612
บทที่ 1607 คำขอที่ไร้เหตุผล
กลับมาพักอยู่ที่ตลาดผีได้หนึ่งเดือนเศษๆ ทิ้งเชียนเอ๋อร์กับพวกหยางเจาชิงไว้ให้เฝ้าที่นี่ ส่วนตัวเองพาเหยียนซิว หยางชิ่งกับเยว่เหยากับพิภพเล็ก เดิมทีอวิ๋นจือชิวก็จะอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน แต่การกลับพิภพเล็กครั้งนี้จะต้องจัดการเรื่องงานแต่งงานของเยว่เหยาให้เรียบร้อย เรื่องนี้ขาดอวิ๋นจือชิวไปไม่ได้ ถ้าฮูหยินเอกไม่ยอมรับ ฐานะของเยว่เหยาก็จะน่าอึดอัด
ทีแรกอวิ๋นจือชิวไม่ยอมกลับ เพราะยังเหม็นขี้หน้าเหมียวอี้อยู่ บอกว่าเป็นการแต่งงานรับอนุภรรยาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องจัดให้อึกทึกครึกโครม แค่ทำพอเป็นพิธีก็พอแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่อยากปล่อยให้เยว่เหยาได้รับความไม่เป็นธรรม อยู่ทางนี้จะเคลื่อนไหวอะไรมากก็ไม่ได้ ทำได้เพียงหน้าด้านไปเสี่ยงให้อวิ๋นจือชิวซ้อมอีกยกหนึ่งถึงเกลี้ยกล่อมสำเร็จ
ออกจากพิภพเล็กมากี่ปีแล้ว เหมียวอี้ก็จำเวลาโดยละเอียดไม่ได้แล้ว ตอนอยู่ในทะเลดาวอันกว้างใหญ่แล้วได้เห็นดาวเคราะห์ที่สวยงามนั่นอีกครั้ง เหมียวอี้ก็รู้สึกถอนใจเป็นพิเศษ
ตอนที่คนขบวนนี้ฝ่าชั้นบรรยากาศมาถึงนภาอู๋เลี่ยง คนของพิภพเล็กก็ยังไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถึงอย่างไรตอนนี้พิภพเล็กกับพิภพใหญ่ก็ยังมีการติดต่อกันอยู่ ตอนออกจากตลาดผีก็ออกมาเงียบๆ ไม่อยากให้มีข่าวหลุดไป ไม่อย่างนั้นระหว่างทางอาจจะเจอคนที่เจตนาไม่ดีก็ได้
หยางชิ่งถึงขั้นแนะนำให้ปิดบังฉินเวยเวยด้วย กลัวว่าฉินเวยเวยจะดีใจจนแสดงออกทางสีหน้าให้คนมองออก เป็นเพราะตอนนี้มีคนอยากจะให้เหมียวอี้ตายเยอะเกินไป
พวกฉินซีที่อยู่นภาอู๋เลี่ยงได้ยินข่าวแล้วรีบมาต้อนรับ ช่างไม่บังเอิญจริงๆ ฉินเวยเวยไม่อยู่นภาอู๋เลี่ยง ออกไปลาดตระเวนแล้ว
ไม่เห็นหน้าประมุขปราชญ์มาหลายปี ทั้งข้างล่างข้างบนของนภาอู๋เลี่ยงทั้งตกใจทั้งดีใจ
ตอนบ่ายของวันนั้น ฉินเวยเวยหยุดลาดตระเวนกลางคัน รีบร้อนกลับมานภาอู๋เลี่ยง
ยังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะ นอกจากทรงผมที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนจากทรงผมสตรีโสดเป็นทรงผมของสตรีที่แต่งงานแล้ว อย่างอื่นก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป สีหน้าท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม เรือนร่างที่เคยลิ้มรสผู้ชายก็ยิ่งอวบอัดขึ้นเช่นกัน ทั้งยังมีลักษณะน่าเกรงขามของผู้ที่อยู่เหนือคนอื่น อย่างไรเสียในหลายปีมานี้นางก็คือผู้มีอำนาจสูงสุดของพิภพเล็ก
เมื่อรู้ว่าฉินเวยเวยกำลังรีบกลับมา เหมียวอี้ก็เดินมาอยู่ข้างกายหยางชิ่งล่วงหน้า ขณะกำลังพูดคุยหารือเรื่องพิภพเล็กกับหยางชิ่ง ฉินเวยเวยก็ยกกระโปรงเดินเข้ามาในโถงโดยไม่สนใจพิธีรีตองแล้ว พอเห็นเหมียวอี้แล้วก็หยุดฝีเท้าทันที ผู้ชายที่นางคนึงหาทั้งวันทั้งคืนก่อนหน้านี้ ในเวลานี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว หลังจากได้เห็นแล้วกลับมีทั้งอารมณ์เฝ้าคอยและหวาดกลัวปนกัน
ฟันขาวกัดริมฝีปากน่ารักเบาๆ นางเขินอายเล็กน้อย ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ แต่ในดวงตาก็ยังฉายแววคับแค้นใจนิดหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แยกกันแค่ปีสองปี แต่ไม่ได้เจอกันมาหลายพันปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะมีท่าทีต่อตนอย่างไร กลัวว่าถ้าตัวเองกระตือรือร้นเกินไปก็อาจจะโดนเมินได้
เหมียวอี้ หยางชิ่งและฉินซีที่นั่งอยู่ในโถงเอียงหน้ามองไป เมื่อเห็นลูกสาวยังสบายดี หยางชิ่งก็ยิ้มแย้มอย่างปลาบปลื้ม ส่วนฉินซีก็เม้มปากยิ้มพร้อมดูปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉย ในใจนางก็ตกใจทันที
แต่ไม่นานก็วางใจแล้ว เพราะเห็นเหมียวอี้ลุกขึ้นยืน บนใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยเรียก “เวยเวย!”
ฉินเวยเวยโยนความกระมิดกระเมี้ยนทิ้งทันที วิ่งเข้ามาโผใส่อ้อมกอดเหมียวอี้ราวกับลูกนกนางแอ่นบินเข้ามา นางกอดเหมียวอี้เอาไว้แน่น ไม่สนใจแล้วว่าบิดามารดาจะอยู่ตรงนั้นด้วยหรือไม่ นางกับเหมียวอี้คลอเคลียจอนผมกัน
หยางชิ่งและฮูหยินยืนขึ้นพร้อมกัน สบตากันแล้วยิ้ม ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ไม่ได้รบกวนพวกเขา
ผ่านไปพักใหญ่แต่เห็นฉินเวยเวยหลับตาโดยไม่มีท่าทีว่าจะคลายกอด “แค่กๆ!”ในที่สุดหยางชิ่งก็ไอแห้งๆ
ตอนนี้ฉินเวยเวยเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างกายยังมีคนอื่นอยู่ด้วย นางหน้าแดงทันที รีบผละออกจากอ้อมกอดเหมียวอี้ แล้วหันตัวมาทำความเคารพด้วยสีหน้าเขินอายสุดทน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ที่พิภพใหญ่สบายดีมั้ยคะ?”
“ฮึ!” หยางชิ่งแสร้งทำเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่พอใจ “ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้วจริงๆ ด้วย พอเข้ามาก็ไม่ชายตามองข้าเลย!”
คำพูดนี้ทำให้ฉินเวยเวยไม่สงบใจ นางรีบกล่าวขอโทษ ก่อนหน้านี้นางลืมตัวเกินไปแล้วจริงๆ
“พอแล้ว จงใจขู่ลูกสาวสนุกมากมั้ย?” ฉินซีดึงแขนเสื้อหยางชิ่งพร้อมบ่น
“ฮ่าๆ!” หยางชิ่งหัวเราะลั่นทันที โบกมือบอกใบ้ว่ากำลังล้อเล่น จากนั้นก็รีบเตือนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไปคำนับฮูหยินก่อนเถอะ”
ฉินเวยเวยตกใจทันที รีบเอ่ยรับแล้วออกไป แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่านรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา” ให้ความรู้สึกเหมือนเตือนเหมียวอี้ว่าอย่าเพิ่งไปไหน เมื่อเห็นเหมียวอี้พยักหน้า นางถึงได้วางใจและเดินออกไป
หลังจากเหมียวอี้นั่งลงอีกครั้ง ก็เริ่มทำสีหน้าจริงจังแล้ว “หยางชิ่ง ข้ามีเรื่องใหญ่ต้องปรึกษากับเจ้า”
เรื่องใหญ่เหรอ? หยางชิ่งทำสีหน้าตกใจทันที จากนั้นหันกลับมาส่งสายตาให้ฉินซีเล็กน้อย ฉินซีจึงย่อตัวคำนับเหมียวอี้ ถอยหลบออกไปชั่วคราว ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้กล่าวอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง”
เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าเตรียมจะให้เจ้าไปคุมลัทธิอู๋เลี่ยงที่แดนอเวจี พร้อมทั้งปรับปรุงจัดระเบียบอำนาจของหกลัทธิด้วย!”
“แดนอเวจี?” หยางชิ่งตกใจทันที “จะเริ่มพูดยังไงดี? หรือว่านายท่านจะให้ข้าน้อยไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจี?”
เหมียวอี้บอกว่า “แดนอเวจีข้าย่อมมีหนทางไปอยู่แล้ว ที่จริงพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็เข้าไปอยู่ในแดนอเวจีตั้งนานแล้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ของแดนอเวจีให้เขาฟังอย่างละเอียด
หยางชิ่งได้ยินแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว บางครั้งก็ทำสีหน้าตกตะลึง บางครั้งก็ขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่ฟังก็เดินไปเดินมาพลางครุ่นคิด
ส่วนทางอวิ๋นจือชิวก็รู้ว่าฉินเวยเวยกับเหมียวอี้ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว นางรู้ว่าการที่คู่รักไม่ได้เจอกันมานานก็เหมือนกับคู่แต่งงานใหม่ และรู้เช่นกันว่าถ้าครั้งนี้ไม่ให้ฉินเวยเวยครอบครองเหมียวอี้ไว้ก็อาจจะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย หลังจากยิ้มให้แล้วก็ตั้งใจจะช่วยให้สมปรารถนา ปล่อยฉินเวยเวยที่ใจร้อนจนทนรอไม่ไหวออกไปแล้ว
ใครจะคิดว่าพอกลับมาถึงลานบ้านทางฝั่งนั้นแล้ว ฉินเวยเวยก็ถูกฉินซีกันไว้อีก “พ่อเจ้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับนายท่านอยู่ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปรบกวน”
ฉินเวยเวยกระทืบเท้าเบาๆ แล้วบ่นว่า “ท่านพ่อนี่ก็จริงๆ เลย นายท่านเพิ่งจะกลับมานะ เท้ายังไม่ทันเหยียบพื้นก็คุยงานอะไรกันแล้ว”
ฉินซีรู้สึกอยากขำ รู้ว่าจริงๆ แล้วลูกสาวบ่นหยางชิ่งว่ามาทำลายเรื่องดีของนาง ทำได้เพียงปลอบใจ
ในห้องโถง หลังจากถามตอบกันพักหนึ่ง หยางชิ่งก็เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใจที่เหมียวอี้บอกความลับใหญ่สุดยอดขนาดนี้กับเขา ทั้งยังให้เขากุมอำนาจใหญ่ขนาดนี้ด้วย ตกใจที่ความกังวลของตัวเองเป็นความเข้าใจผิด หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา หยางชิ่งก็กุมหมัดคารวะ “ความปรานีที่สูงส่งจากนายท่าน ข้าน้อยไม่กล้าปฏิเสธ ควรจะพยายามสุดความสามารถ เพียงแต่ข้าน้อยกลัวว่าจะทำให้นายท่านผิดหวัง!”
เหมียวอี้บอกว่า “ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้มานานมาก รู้สึกว่าให้เจ้าไปเหมาะสมที่สุด ถึงแม้จะให้เจ้ารีบจัดระเบียบอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ไม่เร่งเวลาเจ้า ด้วยศักยภาพของพวกเราในตอนนี้ก็สามารถรอได้”
“ข้าน้อยเองมีศักยภาพอ่อนแอเกินไปแล้ว ปีศาจเฒ่าพวกนั้นมีชื่อเสียงมานาน…” หยางชิ่งกล่าว
เหมียวอี้รู้ว่าเขากังวลอะไร จึงยกมือพูดตัดบท “เจ้าไม่ต้องห่วง ยังไม่ถึงขั้นไปแล้วก็เกิดเรื่องเลยหรอก ทางลัทธิอู๋เลี่ยงน่ะ ข้าจะให้พวกประมุขขุนพลจินมานพยายามให้ความร่วมมือกับเจ้า ส่วนเรื่องศักยภาพของตัวเอง เดี๋ยวข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเจ้า ข้าจะปูพื้นฐานที่ดีให้เจ้าก่อน ส่วนเรื่องต่อๆ ไปก็ต้องดูเจ้าแสดงความสามารถแล้ว”
หยางชิ่งเงียบไป ไม่ได้รีบรับปาก หลังจากก้มหน้าเดินไปเดินมาช้าๆ ได้สักพัก จู่ๆ ก็หันตัวมาบอกว่า “นายท่าน ข้าน้อยยินดีจะไปลองสักครั้ง เพียงแต่ข้าน้อยมีคำขอที่ไร้เหตุผล หวังว่านายท่านจะตอบตกลง”
“อ้อ!” เหมียวอี้เชิดคาง “ไหนลองว่ามา”
หยางชิ่งกุมหมัดแน่น สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วก็กุมหมัดคารวะ “ขอบังอาจถามนายท่าน สะสมกำลังพลไว้ที่พิภพเล็กมากมายขนาดนี้ ทำไมนายท่านถึงไม่ใช้งาน?”
เหมียวอี้รู้ว่าเขาต้องมีความคิดอะไรแน่นอน จึงถามกลับ “จะใช้งานยังไงล่ะ?”
หยางชิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าน้อยคิดว่า ควรจะย้ายจำนวนมากของพิภพเล็กไปที่พิภพใหญ่ย้ายไปที่แดนอเวจี เหลือคนส่วนน้อยเอาไว้ดูแลเรื่องเก็บพลังปรารถนาเท่านั้น ส่งคนไปกวาดล้างแต่ละสำนักให้หมด กวาดล้างมารผีปีศาจให้หมด กำลังพลเดิมของหกปราชญ์ก็แบ่งให้ไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของหกลัทธิเลย”
เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะอยากเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ “หยางชิ่ง ย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ไปที่แดนอเวจี เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก แล้วเจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่าการเลี้ยงคนมากขนาดนั้นต้องใช้ทรัพยากรมากขนาดไหน เกรงว่าแดนอเวจีจะรับไม่ไหว ดีไม่ดีอาจจะวุ่นวายก็ได้”
หยางชิ่งอธิบายว่า “เพราะผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่แดนอเวจีกำลังกัดฟันทนสู้กับความยากลำบากแล้ว ถ้านำกำลังพลหลักร้อยล้านไปเติมให้พวกเขา ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาดีใจ จะเพิ่มขวัญกำลังใจทหารให้พวกเขาได้ถึงขีดสุด และในนั้นก็มีนักพรตไม่น้อยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เกรงว่าจะเหงาจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว ถ้ามีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมามากขึ้น ก็เรียกได้ว่าเป็นดินหน้าแล้งที่ได้เจอฝน ถ้าผู้นำของผู้เหลือรอดหกลัทธิกล้าปฏิเสธ ก็เกรงว่าจะต้องเกิดความวุ่นวาย ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง ผู้เหลือรอดของหกลัทธิส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนอเวจีล้วนต้องมีครอบครัว ถึงจะสงบใจลงได้ จะได้ปลอบโยนได้สะดวก และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หกลัทธิควบคุมดูแลกำลังพลที่เหลือมาหลายปี คงจะควบคุมอย่างเข้มงวดสุดๆ พวกเรามีกำลังอ่อนแอแต่กลับอยากจะควบคุมพวกเขา ถือว่าเพ้อฝันเกินไปจริงๆ ต่อให้ภายนอกพวกเขาจะยอมเชื่อฟัง แต่ในใจก็ไม่เชื่อฟังอยู่ดี จะทิ้งอันตรายแฝงเร้นเอาไว้ได้ง่ายมาก
ถ้ายัดกำลังพลหลักร้อยล้านไปให้พวกเขาในรวดเดียว ต่อให้พวกเขาอยากจะแยกตัวอีกแต่ก็ไม่ง่ายแล้ว ส่วนกำลังพลนับร้อยล้านนี้ พอไปในสถานที่แปลกใหม่แล้ว ช่วงแรกก็ยากที่จะสวามิภักดิ์ต่อหกลัทธิได้ อย่างน้อยภายในเวลาสั้นๆ นี้ก็ยังคิดว่าพวกเราพึ่งพาได้มากกว่า เมื่อนำปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มารวมกันก็ล้วนเป็นผลดีต่อพวกเราในการควบคุมหกลัทธิ ส่วนทรัพยากรฝึกตนของคนพวกนี้ นายท่านก็เป็นคนควบคุมช่องทางขนส่งทรัพยากรที่เข้าออกแดนอเวจีไว้แล้วไม่ใช่เหรอ? ผู้เหลือรอดของหกลัทธิควบคุมข้างนอกมานานขนาดนี้ จะต้องสะสมทรัพย์สินเอาไว้เยอะมากแน่นอน ควรจะถ่ายเทเข้าไปในแดนอเวจีแล้วเช่นกัน อาจจะเติมเต็มความต้องการให้คนนับร้อยล้านไม่ได้ แต่ก็เยอะกว่าทรัพยากรฝึกตนที่พวกเขาได้ตอนอยู่พิภพเล็กแน่นอน เพียงพอที่จะปลอบใจคนพวกนั้นได้ ถ้าสามารถช่วยเพิ่มวรยุทธ์ให้พวกเขาได้เร็ว ก็นำมาใช้งานได้ทุกเมื่อดีกว่าให้ทั้งหมดเบียดกันอยู่ที่พิภพเล็กแล้วสิ้นเปลืองทรัพยากรที่พิภพเล็กตั้งเยอะ แบบนี้จะช่วยให้นายท่านประหยัดทรัพยากรที่พิภพเล็กได้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ก็ควรจะสร้างการปะทะของหกลัทธิทั้งในและนอกแดนอเวจีสักหน่อย
ผู้เหลือรอดข้างนอกยึดครองและใช้งานทรัพยากรมหาศาลที่หกลัทธิเหลือไว้ในปีนั้นมานานแล้ว จู่ๆ ข้างในก็ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก จะต้องทำให้คนข้างนอกขัดสนแน่นอน ในช่วงแรกคนข้างนอกจะต้องไม่พอใจแน่นอน เนื่องจากพวกเขาถูกเบียดผลประโยชน์ไป ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปจะต้องเกิดความขัดแย้งแน่ แบบนี้สามารถสร้างโอกาสให้พวกเราควบคุมกำลังพลหกลัทธิข้างนอกได้ ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่า ต่อให้ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบ แต่ก็ต้องย้ายคนจำนวนมากของพิภพเล็กไปที่แดนอเวจีให้ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยไปแล้ว ช่วงแรกก็จะหาลูกน้องที่ออกแรงทำงานเต็มที่ได้ลำบาก เป็นเพราะพวกเราอ่อนแอเกินไปจริงๆ ยามเผชิญหน้ากับกำลังที่แข็งแกร่ง อุบายเล็กน้อยบางอย่างก็ไม่มีกำลังจะงัดข้ออะไรได้เลย จะให้พวกเขาฆ่ากันเองจนสิ้นเปลืองกำลังไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการเช่นกัน นายท่านจะไม่อยากเลี้ยงกำลังพลของตัวเองเอาไว้รอเวลาใช้งานเลยเชียวเหรอ?”
บทที่ 1608 เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว
“ค่อนข้างนึกไม่ถึง เหมียวอี้นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองมอบหมายภารกิจสำคัญให้หยางชิ่ง และหยางชิ่งก็สามารถวางแผนระยะยาวขนาดนี้ออกมาได้ สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงแล้ว ยัดกำลังพลนับร้อยล้านเข้าแดนอเวจี แค่คิดก็ตกใจแล้วไม่ใช่เหรอ?
เขาไม่กลัวหรอกว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไร เพราะว่ายัดคนเข้าแดนอเวจี ไม่ได้ยัดเข้าพิภพใหญ่ โดยส่วนใหญ่คนของพิภพเล็กก็ไม่รู้สถานการณ์ของพิภพใหญ่อยู่แล้ว ไม่กังวลด้วยว่าจะมีข่าวหลุดอะไรพัวพันไปถึงเขา ถ้าแดนอเวจีจะเผยแพร่ชื่อเหมียวอี้ก็ไม่เป็นอะไร เพราะอยู่ที่พิภพใหญ่เขาชื่อหนิวโหย่วเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ย่อมต้องรักษาความลับเพื่อคุมคนอยู่แล้ว ไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวเอง
เพียงแต่การโยนแผนการใหญ่โตขนาดนี้ออกมา ก็ทำให้เหมียวอี้แทบหายใจไม่ออก
ครุ่นคิดเล็กน้อย ใช้ดุลพินิจซ้ำไปซ้ำมาภายใต้สายตาที่จับจ้องสังเกตของหยางชิ่ง ก็พบว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ที่หยางชิ่งพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน สุดท้ายเหมียวอี้ก็พยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “ดี! จัดการตามที่เจ้าบอก เรื่องนี้ส่งต่อให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่งมอบอำนาจให้เจ้าจัดการทั้งหมด ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ เจ้าลองร่างวิธีการย้ายคนออกมาสักฉบับ”
หยางชิ่งยังนึกว่าเขาต้องใช้เวลาไตร่ตรองสักสองสามวัน นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ ความเชื่อใจนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ จึงกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยรับรองว่าจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้นายท่านผิดหวังแน่นอน!”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวมากล่าวเสียงต่ำอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง การมาครั้งนี้ ข้าเตรียมจะรับเยว่เหยา ลูกศิษย์คนเล็กของมู่ฝานจวินมาเป็นอนุภรรยา เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” รู้สึกอับอายที่จะเอ่ยปาก เมื่อมาถึงด่านนี้แล้ว จะไม่พูดก็ไม่ได้ ต่อไปก็ต้องรู้กันหมด
หยางชิ่งไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเลยสักนิด ตอบอย่างใจเย็นว่า “ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกข้าไว้แล้ว ข้าน้อยมีข้อมูลในใจแล้ว ข้าน้อยปลอบใจเวยเวยแล้ว”
“เขาเองก็ไม่อยากให้เหมียวอี้รับอนุภรรยาเข้าบ้านมาเป็นโขยงเหมือนกัน เพราะสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อลูกสาวของเขา แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม เมื่ออยู่ในระดับเหมียวอี้แล้ว จะมีผู้หญิงเยอะก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตอนแรกที่ลูกสาวดึงดันจะแต่งงานกับเหมียวอี้ให้ได้ เขาก็เตรียมใจกับด้านนี้ไว้นานแล้ว”
เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เหมียวอี้ถึงรับเยว่เหยาที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันมาเป็นอนุภรรยา เป็นเพราะความสวยเหรอ? เขารู้สึกว่าไร้สาระ ระดับเหมียวอี้ไม่ต้องกลัวว่าจะหาผู้หญิงสวยไม่ได้แล้ว คนที่เหมียวอี้ฝืนยัดมาให้เขาก็เป็นยอดหญิงงามเช่นกัน และตอนที่อวิ๋นจือชิวออกหน้ามาหาเขาเพื่อคุยเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้ชอบความสวยของเยว่เหยา ติดต่อกันมานานหลายปีขนาดนี้ ทำให้เขารู้จักอวิ๋นจือชิวดี เวลาจะปากจัดอารมณ์ร้ายขึ้นมาก็ไม่เกรงใจ เวลาที่ควรจะอ่อนก็ไม่พาลหาเรื่องเช่นกัน ลงน้ำหนักได้ดีมาก ดูแลทั้งคนในคนนอกของตระกูลเหมียวจนหมอบราบคาบแก้ว อย่างน้อยเวลาจะให้อนุภรรยาในบ้านทำอะไร ก็ไม่มีใครกล้าพูดพร่ำทำเพลง แม้แต่ลูกสาวของหยางชิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถ้าอวิ๋นจือชิวสั่งคำเดียวว่าให้ฉินเวยเวยไปวิ่งจนขาหัก เวยเวยก็ไม่กล้าบ่นเหมือนกัน ตามที่เขารู้มา แม้แต่คนที่บุ่มบ่ามง่ายอย่างเหมียวอี้ก็ยังกลัวเมียเลย ควบคุมอนุภรรยาที่มีภูมิหลังเหมือนกันให้สามัคคีปรองดองกันได้ ไม่เคยได้ยินว่ามีความขัดแย้งอะไรระหว่างกันเลย ว่ากันว่าถ้าในบ้านปรองดอง งานทุกอย่างก็สำเร็จราบรื่น ความสามารถที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้ ในความเป็นจริงกลับไม่มีผู้หญิงคนไหนชำนาญได้เท่านี้แล้ว เรื่องในบ้านอวิ๋นจือชิวเอาอยู่จริงๆ เป็นผู้หญิงที่ปกป้องบ้านได้ ไม่มีทางปล่อยให้เหมียวอี้ทำซี้ซั้วโดยไม่สนใจ ดังนั้นถ้าอวิ๋นจือชิวไม่อนุญาต ก็เป็นไปไม่ได้ที่เยว่เหยาจะได้แต่งงานเข้าบ้าน ในเมื่ออวิ๋นจือชิวออกหน้าจัดการด้วยตัวเองแล้ว แสดงว่าในนั้นก็จะต้องมีสาเหตุอะไรแน่นอน
อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอก เขาก็ไม่สะดวกจะถามมาก ที่อีกฝ่ายมาบอกก็ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว ถ้าไม่บอกเขา เขาก็ไม่สะดวกจะไปห้ามอยู่ดี
“ฮูหยินบอกเจ้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้งงงัน นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังอวิ๋นจือชิวจะช่วยเขาจัดการหยางชิ่งให้ เขายังกังวลอยู่เลยว่าจะยั่วให้หยางชิ่งไม่พอใจแล้วเสียงานใหญ่หรือเปล่า พอเป็นแบบนี้ก็ลดความยุ่งยากไม่ต้องให้ตนเปลืองคำพูดเยอะแล้ว
“ขอรับ!” หยางชิ่งพยักหน้า
พอเห็นทั้งสองออกจากห้องหลัก ก็เห็นฉินเวยเวยรออยู่ข้างนอกแล้ว หยางชิ่งส่งสายตาให้ฉินซี ฉินซีรู้อยู่แก่ใจ ว่าสองคนนี้ห่างกันไปนานก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ อย่าไปรบกวนเรื่องดีๆ ของทั้งคู่เลย หลังจากทำความเคารพเหมียวอี้แล้วก็รีบเดินออกไป
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ฉินเวยเวยก็หมดความกังวล โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเหมียวอี้ด้วยความดีใจ “นายท่าน ฮูหยินให้ข้ามาอยู่เพื่อนนายท่านให้ดีค่ะ”
รู้สึกได้ว่ายอดเขาสองลูกที่เบียดอยู่ตรงหน้าอกเหมือนจะบีบรัดยิ่งกว่าเมื่อก่อน เหมียวอี้รู้สึกเปรี้ยวปาก กอปรกับหญิงงามมีอารมณ์รักเข้มข้นยากจะปฏิเสธ ทำให้เขาโน้มตัวอุ้มฉินเวยเวยขึ้นมาและเดินก้าวยาวไปที่ตำหนักนอนอย่างไม่ลังเล “อ๋า!” ฉินเวยเวยที่อุทานตกใจใช้สองมือคล้องคอเขา เคยผ่านเรื่องนี้มาแล้ว ย่อมรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น อารมณ์รักลึกซึ้งแทบจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่เขินอาย นางมองเขาตาปริบๆ ปล่อยให้เขาทำตามใจแล้ว
เสื้อผ้าปลิวว่อน ปิ่นปักผมถูกดึงออก ผมยาวสยายตกลงประหัวไหล่ที่ขาวเกลี้ยงเกลา ตรงหว่างขาที่เป็นจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงทั่วไปล้วนมีกอหญ้า สองแขนกำลังปิดยอดเขาทั้งคู่ ทว่าบั้นท้ายที่แข็งแรงนั้นยากจะปิดบัง ใบหน้าเขินอายช่างมีเสน่ห์เย้ายวน ในขณะที่เหมียวอี้เดินวนมองสำรวจชื่นชมอย่างกำเริบเสิบสาน ฉินเวยเวยก็มีสีหน้าอับอายเกินทน ร่างงามที่อวบอัดยิ่งกว่าปีก่อนสั่นเทิ้มเล็กน้อย โดนมองจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็บ่นว่า “นายท่าน…”
ตอนที่ในห้องมีเสียงครวญครางที่ยากจะควบคุมไหวดังออกมา หงเหมียนกับลู่หลิวก็สบตากันแล้วกลั้นขำ ยิ่งเสียงดังมากเท่าไร สองสาวก็ยิ่งร้อนผ่าวใบหน้า รู้ว่าไม่ง่ายเลยกว่าเหมียวอี้จะกลับมาสักครั้ง วันหลังอย่างน้อยก็ต้องมาหาพวกนางสองคนบ้าง
ขณะกำลังคิดเพ้อฝัน พอเห็นลูกน้องกำลังเดินไปเดินมา ทั้งสองก็รีบไล่ไป
“วันต่อมา ฮูเหยียนไท่เป่าออกจากแดนโพ้นสวรรค์มาต้อนรับเยว่เหยา หลังจากเหมียวอี้มาถึงพิภพเล็กแล้ว ถึงได้ติดต่อทางมู่ฝานจวินว่าต้องการจะจัดงานแต่งงานกับเยว่เหยาที่พิภพเล็ก ตอนนี้มู่ฝานจวินไม่อยู่ที่พิภพเล็ก ทำได้เพียงให้ลูกศิษย์คนโตสุดเป็นตัวแทนฝ่ายบ้านเจ้าสาวมารับตัวไปทำพิธี
หลังจากเจอกับฮูเหยียนไท่เป่าแล้ว เหมียวอี้ก็ตัวติดกับฉินเวยเวยอีก ไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติด้วยกัน เหมือนนกเป็ดน้ำที่อยู่เคียงคู่กันทุกที่ ราวกับต้องการจะชดเชยเวลาให้ ทำให้ฉินเวยเวยที่อยู่อย่างแห้งแล้งมานานได้ชุ่มฉ่ำสุดๆ ใบหน้าสดใสมีราศี เมื่อได้รับอนุญาตจากอวิ๋นจือชิวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าปล่อยตัวปล่อยใจ ด้วยการช่วยเหลือจากฉินเวยเวย หงเหมียนกับลู่หลิวก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย
หลังจากกลับมาที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว ตอนที่ใกล้จะถึงวันแต่งงาน เหมียวอี้ก็แอบพาเหยียนซิวไปที่ตำหนักดาวกลาง
จูเก๋อชิงที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวถูกกักบริเวณไว้อย่างโดดเดี่ยว ต่อให้ใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม แต่ก็ยากที่จะปิดบังความงามล่มเมืองของนางได้ เหมียวอี้เห็นแล้วแอบเสียดาย
เมื่อได้เจอเหมียวอี้อีกครั้ง จูเก๋อชิงก็ปลาบปลื้มดีใจจนน้ำตาคลอ สุดท้ายก็คุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจตรงหน้าเหมียวอี้ “ประมุขปราชญ์ ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ฮูหยินระงับโทสะด้วย! ขอประมุขปราชญ์สงสาร ช่วยพูดขอร้องให้ข้าด้วย…”
ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ทรัพยากรฝึกตนก็ให้นางไม่เคยขาด แต่นางก็ยังคิดหาทางออกไปจากที่นี้ ไปพูดคุยกับทหารยามอยู่เป็นระยะ หลังจากอวิ๋นจือชิวรู้ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวโมโหมาก เมื่อออกคำสั่งแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าคุยกับนางอีกเลย แม้แต่หญิงรับใช้ก็ถูกปลดไปแล้ว ทำให้ทั้งตำหนักดาวกลางไม่มีใครคุยกับนางสักคน ไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลยสักนิด สำหรับเจ้าสำนักที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในความสวยของตัวเอง การถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่เป็นรสชาติทรมานที่ยากจะรับไหว แทบจะทำให้คนสติแตกแล้ว
“ลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวข้าจะคุยกับฮูหยินเอง” เหมียวอี้ประคองนางให้ลุกขึ้นมา
“ขอบคุณประมุขปราชญ์!” จูเก๋อชิงกล่าวขอบคุณ แล้วกระโจนเข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกเหมียวอี้
สำหรับนางที่เคยควบคุมดูแลสำนักมาก่อน นางมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ รู้ว่าข้อได้เปรียบของตัวเองอยู่ตรงไหน และรู้ด้วยว่าต้องฝากความหวังเดียวที่จะรอดออกจากที่นี่เอาไว้ที่ใคร ด้วยความตั้งใจของนาง บวกกับเป็นคนสวยมาก จะไม่ให้เหมียวอี้อยากอยู่ที่นี่นานก็คงยาก ถึงแม้จูเก๋อชิงจะไม่ใช่โสเภณี แต่กลับมีความสามารถในการปรนนิบัติดีมาก ทำให้เหมียวอี้อดใจไม่ไหว
ทว่าสุดท้ายก็ยากที่จะเสพสุขกับหญิงงามได้ หลังจากสุขสำราญกับฝั่งนี้แล้ว หลังจากกลับไปที่นภาอู๋เลี่ยง เหมียวอี้ก้ทำได้เพีบงแข็งใจไปปรึกษากับอวิ๋นจือชิว หวังว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบตกลงที่จะคืนอิสระให้จูเก๋อชิง
เมื่อได้ฟังแบบนี้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังยิ้มอย่างเป็นกันเองก็สีหน้าจืดจางลงแล้ว “เรื่องนี้ไม่ได้หรอก! ข้าไม่ฆ่านางก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว อย่ากดดันข้า!”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วถามว่า “เจ้าขังนางไว้แบบนี้ตลอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “หรือว่านายท่านลืมคำสัญญาแล้ว ลืมไปแล้วเหรอว่าข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องผู้หญิงในบ้าน? จะปล่อยนางเมื่อไร ควรจะปล่อยนางไปหรือไม่ ข้าย่อมมีข้อมูลในใจอยู่แล้ว อีกไม่นานก็จะถึงงานมงคล นายท่านเอาความคิดไปใช้กับเจ้าสาวคนใหม่ดีกว่า เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากแล้ว”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “อวิ๋นจือชิว ขนาดเยว่เหยาเจ้ายังตอบตกลงเลย ทำไมเจ้าต้องกลั่นแกล้งนางด้วย?”
อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าหงุดหงิดใส่ “ข้าเป็นผู้หญิง เข้าใจผู้หญิงมากกว่าเจ้า ผู้หญิงแบบไหนที่ปล่อยให้เข้าบ้านได้ ผู้หญิงแบบไหนที่ให้เข้าบ้านไม่ได้ ข้าย่อมป้องกันอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากให้ต่อไปในบ้านวุ่นวาย ก็อย่าเอ่ยเรื่องนี้อีก”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “นางสำนึกผิดแล้ว ปล่อยนางออกมาแล้วจะทำไมล่ะ เจ้ากลัวนางรึไง? ในปีนั้นข้าทำผิดไปแล้ว เจ้าเองก็ขังนางไว้หลายปีแล้ว ยังไม่หายโมโหเชียวหรือ?”
อวิ๋นจือชิวหันตัวมาเผชิญหน้า จ้องตาเหมียวอี้พร้อมบอกอย่างชัดเจน “ถ้าเจ้าดึงดันจะปล่อยนางออกมา ข้าก็ขัดขวางเจ้าไม่ได้หรอก แต่ถ้าเจ้าผิดคำพูดแบบนี้ ข้าก็ไม่ทางดูแลบ้านนี้ได้อีกแล้ว! ถ้าจะจะปล่อยนางออกมา ก็เอาหนังสือหย่ามาให้ข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ ข้าจะขังนางจนกว่าจะรู้สึกอยากปล่อยนางออกมา”
“อวิ๋นจือชิว…”
“ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว ไม่มีทางเหลือให้เจ้าเจรจาหรอก! ขังนางไว้ที่นั่นต่อไป หรือจะไล่ข้าไป เจ้าก็เลือกเอาเอง ข้าไม่บังคับเจ้า!”
เมื่อเห็นนางแน่วแน่ขนาดนี้ ใบหน้าเหมียวอี้ก็เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาชี้หน้าอวิ๋นจือชิว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เชิดคางใส่ เผชิญหน้าด้วยสายตามีพลัง ไม่ยอมหลีกทางให้เลย!
เหมียวอี้กัดฟันแล้วสะบัดแขนเสื้อ หันตัวเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดเติมเชื้อไฟอีก “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ต่อไปนี้ถ้าข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ห้ามไปหานางอีก ข้าไม่ถือสาที่จะเอาร่างไร้วิญญาณที่ไม่ดับสลายไว้ให้เจ้าดูเป็นที่ระลึกที่ตำหนักดาวกลาง!”
เหมียวอี้ที่เดินมาถึงประตูระงับไฟโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว หันกลับมาด่าอย่างโมโหว่า “ไม่มีเหตุผล นางผู้หญิงอารมณ์ร้าย!”
“สารเลว! เจ้าด่าใคร? อย่าหนีนะ!” อวิ๋นจือชิวไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบถ้วยชาใบหนึ่งบนโต๊ะโยนเข้าไป ไม่เกรงใจเลยสักนิด
เหมียวอี้หัวหัวหลบ แล้วเดินก้าวยาวออกไป ข้างน้องมีเสียงดังเพล้ง ถ้วยชาแตกกระจายเต็มพื้น
ที่จริงเขาก็อยากให้อวิ๋นจือชิวซ้อมสักยก มีแต่ต้องยอมให้อวิ๋นจือชิวซ้อมเท่านั้น ตามหลักการแล้ว ก็ยังพอมีหวังจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ แต่ยามอวิ๋นจือชิวแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะคุยประเด็นสำคัญเท่านั้น แบบนี้กลับทำให้เขาปวดหัว ยิ่งเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งทำให้อวิ๋นจือชิวตอบตกลงไม่ได้
ด้วยท่าทีแบบนี้ของอวิ๋นจือชิว ถ้าจะให้เขาหย่ากับอวิ๋นจือชิวแล้วปล่อยจูเก๋อชิงออกมาก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องคิดมากเลยว่าอะไรสำคัญกว่า มีอวิ๋นจือชิวคุมอยู่แบบนี้ ทำให้แม้แต่ผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยก็เอาเข้าบ้านไม่ได้ ทำให้เขาปวดหัวมาก เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว
บทที่ 1609 หงเฉินเป็นผู้รับฟัง
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ดูละครฉากเด็ดอยู่ข้างๆ หลุบตาลง ทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วจู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ไป ให้หยางชิ่งมาพบข้าสักรอบ”
เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ผ่านไปครู่เดียวก่อนนำหยางชิ่งเดินเข้ามาแล้ว
ก่อนเข้าประตู หยางชิ่งเหล่ตามองถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่ด้านนอก โดยมีพวกบ่าวรับใช้กำลังเก็บกวาด “ฮูหยิน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร”
อวิ๋นจือชิวนั่งยกน้ำชาจิบอย่างเนิบเนิบอยู่บนตำแหน่งหลัก แล้วพูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อนว่า “นายท่านไปหาความสำราญที่ตำหนักดาวกลางมาแล้วรอบหนึ่ง เจ้าคิดว่ายังไง?”
หยางชิ่งพอจะเดาได้แล้วว่าถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่ข้างนอกเป็นฝีมือใคร เขาปวดประสาทเล็กน้อย เรื่องนี้จะให้เขาพูดอย่างไรดีล่ะ? จึงตอบอย่างขอไปทีว่า “นายท่านเป็นเห็นแก่ไมตรีเก่าๆ”
อวิ๋นจือชิวเหลือบตาขึ้น “พอนายท่านกลับมา ก็มาขอร้องให้นางตัวดีนั่นแล้ว เจ้าว่าข้าจะทำยังไงดี?”
“คาดว่าฮูหยินคงมีการผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่แล้ว” หยางชิ่งตอบ
อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะน้ำชา “ความเหงาเล็กน้อยแค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ? ยังกล้ามาเล่นอุบายกระจอกกับข้าอีก ถ้ากำจัดเจตนาแอบแฝงได้เมื่อไร ก็ค่อยเอ่ยเรื่องนี้อีก! หยางชิ่ง วันนี้ข้าจะแสดงท่าทีให้ชัดเจน ต่อไปถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ถ้านายท่านกล้าไปพบผู้หญิงคนอื่น เจ้าก็ให้เวยเวยกำจัดนางทิ้งได้เลย ข้าไม่อยากเห็นนาง เข้าใจมั้ย?”
“เอ่อ…” หยางชิ่งทำสีหน้าลังเล
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นยืน แล้วแสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? หรือว่าเจ้าอยากให้นางออกมา? จะให้ข้าเก็บนางไว้อยู่เป็นเพื่อนเวยเวยที่นภาอู๋เลี่ยงมั้ยล่ะ? หรือไม่อย่างนั้น รอให้วันไหนนางใจกล้าขึ้นมา แล้วให้เวยเวยไปดูแลนางล่ะ?”
เมื่อนางกล่าวแบบนี้ ก็ทำให้หยางชิ่งเซ็งจนเกินทน แค่ได้ยินเขาก็เข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอะไร ถ้าอวิ๋นจือชิวหลีกทางให้จูเก๋อชิงออกมา มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้นางเก็บจูเก๋อชิงไว้ที่นภาอู๋เลี่ยง ถ้าเวยเวยมีคนแบบนี้อยู่เป็นเพื่อน เวยเวยก็เล่นไม่ชนะเจ้าสำนักท่านนั้นแน่นอน ความสวยที่มีก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ด้วย และเพื่อที่จะหลุดรอดออกจากที่นั่น ถ้าเหมียวอี้ไปหานางอีกรอบ ก็ไม่แน่ว่าจูเก๋อชิงนั่นจะจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงแล้วให้กำเนิด ‘ทายาท’ หรือเปล่า ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าลงมือกำจัดทายาทของเหมียวอี้ไปพร้อมกันหรอก ตามหลักการ ‘มารดาได้ดีเพราะบุตรชาย’ เมื่อถึงเวลานั้นครอบครัวก็จะวุ่นวายแล้ว
หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ข้าเข้าใจเจตนาของฮูหยินแล้ว แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เกรงว่าจะทำให้นายท่านเดือดดาลมาก”
“เดือดดาลเหรอ? ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ถึงตอนนั้นให้เวยเวยบอกว่าเป็นประสงค์ของข้าก็พอ ให้นายท่านมาหาข้าก็สิ้นเรื่องแล้ว” อวิ๋นจือชิวกล่าว
หยางชิ่งพูดไม่ออก ถ้าเวยเวยถือวิสาสะฆ่าอีกฝ่าย จะไม่ซวยไปด้วยหรอกหรือ? แต่สุดท้ายเขาก็ยังถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางเวยเวยข้าจะบอกให้ได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องเตือนฮูหยินเอาไว้ อีกไม่นานพิภพเล็กก็จะไม่มียอดฝีมืออะไรแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยขาดทรัพยากรฝึกตน เกรงว่าพวกทหารยามที่ตำหนักดาวกลางอาจจะควบคุมนางไม่ไหว”
“เจ้าเองก็รู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์ของนายท่านเป็นยังไง สถานการณ์ภายนอกมีอันตรายเกิดขึ้นไม่หยุด ถ้าสถานการณ์ภายในไม่สงบอีก แล้วจะไปสู้กับข้างนอกได้ยังไง? ถ้าจิตใจไม่สงบ ปกป้องได้แล้วยังไงล่ะ? ให้โอกาสนางแล้วแต่นางไม่เอา งั้นก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว ถ้านางกล้าหนี ก็ให้เวยเวยกำจัดทิ้งได้เลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง!” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วเหล่ตามองหยางชิ่ง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “เวยเวยเป็นคนคุมพิภพเล็ก ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ สิ่งที่ควรจะแบกรับก็ยังไม่กล้าแบกรับ งั้นข้าก็คงต้องพิจารณาฐานะในบ้านให้นางใหม่แล้วมั้ง!”
หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ กุมหมัดคารวะทันที “หยางชิ่งเข้าใจแล้ว”
เหมียวอี้เอาไฟโกรธที่เกิดจากอวิ๋นจือชิวไประบายกับหงเฉินแล้ว กระทำชำเราหงเฉินที่หลบอยู่สงบๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย
หลังจากทำเรื่องพวกนั้นเสร็จ ร่างเปลือยของหงเฉินก็คลานลุกออกจากอ่างอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วหายตัวไปแล้ว รอจนกระทั่งเหมียวอี้ลุกจากเตียงแล้วไปหาหงเฉินอีกครั้ง ก็พบว่าหงเฉินกำลังหลบฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิ บนใบหน้ามองไม่เห็นร่องรอยหงเฉินที่สำราญหรรษาอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังคงไร้ความปรารถนาเหมือนเดิม
“นี่เจ้ากำลังหลบข้าเหรอ?” เหมียวอี้เดินมาหน้าเตียงแล้วถอนหายใจ “หรือว่าเจ้ารำคาญข้า?”
หงเฉินลืมตา ดวงตางามช่างสงบเยือกเย็น นางส่ายหน้าเบาๆ “เปล่า! นายท่านอยากได้อีกเหรอ?” ขณะที่พูดก็ยื่นมือปลดผ้าคาดเดียว เสื้อไหลลงจากหัวไหล่อย่างช้าๆ เผยให้เห็นไหล่ขาวเกลี้ยงเกลาและเสื้อชั้นในที่ห่อหุ้มหน้าอกอิ่มเอิบไว้
“ไม่ใช่ๆ!” เหมียวอี้รีบโบกมือ ช่วยนางใส่เสื้อผ้ากลับไปใหม่อีกรอบ เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่มีอารมณ์เลยสักนิด ทำเรื่องนี้อย่างกับเป็นสิ่งของอะไรไปได้ ราวกับว่าถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไป “ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะได้เจอกัน ไม่ต้องรีบฝึกตนขนาดนั้นหรอก อยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยแล้วกัน”
“ได้ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้า แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ให้อยู่เป็นเพื่อนด้วยยังไงคะ?”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วเอนตัวลงอาศัยต้นขาของนางเป็นหมอน ขณะดมกลิ่นกายหอมของสาวงาม เขาก็ถอนหายใจอย่างสงบนิ่ง “อยู่เป็นเพื่อนอย่างนี้แล้วกัน”
เมื่อเขาทำแบบนี้ หงเฉินก็ไม่มีทางฝึกตนได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะเอาสองมือวางตรงไหนดี สุดท้ายก็ทำได้เพียงวางมือข้างหนึ่งตรงหน้าอกของเขาอย่างลังเล เขาคว้ามือนางมาเล่น นางไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยตามใจเขาเงียบๆ
เมื่อผ่านไปพักใหญ่ เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอกัน เจ้าไม่ได้เตรียมอะไรไว้คุยกับข้าเลยเหรอ?”
หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ท่านพูดเถอะ”
“หลายปีมานี้ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ ข้าประสบเรื่องราวมาไม่น้อย เจ้าคงเคยได้ยินมาแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม
หงเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเลยค่ะ”
“…” เหมียวอี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย ให้มันได้อย่างนี้สิ ข้าต่อสู้เอาเป็นเอาตายอยู่ข้างนอกเพื่อเลี้ยงพวกเจ้า แต่เจ้ากลับไม่มีท่าทีสนใจเลยสักนิด เขาถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าคงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งว่าข้ากลับมาเมื่อไรหรอกใช่มั้ย?”
“ขอโทษค่ะ ถ้าท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องรู้ เดี๋ยวต่อไปข้าก็จะถาม” หงเฉินตอบอย่างลำบากใจนิดหน่อย
แม่งเอ๊ย! เหมียวอี้ยอมแพ้นางแล้วจริงๆ ถามนางว่า “แล้วตอนที่ข้ามาหาเจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าเหมือนไม่รู้สึกผิดคาดสักนิดเลยนะ หรือว่าเจ้ารู้ล่วงหน้าแล้ว?”
“นี่เป็นบ้านของท่าน ท่านอยากจะกลับมาเมื่อไรก็ได้ คงไม่ต้องรู้สึกผิดคาดหรอกมั้งคะ?” หงเฉินยิ้มบางๆ
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับนางแล้ว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมีนิสัยอย่างนี้ได้ เขาจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ข้ากลับมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว แต่ไปหาฉินเวยเวยก่อน นอนกับฉินเวยเวยตั้งหลายวัน ตอนหลังก็พาฉินเวยเวยออกไปชมธรรมชาติ นอนกับนางเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังนอนกับหญิงรับใช้ทั้งสองของนางด้วย จากนั้นก็ไปตำหนักดาวกลาง นอนกับจูเก๋อชิงที่โดนฮูหยินกักบริเวณไว้ เสร็จแล้วถึงได้มาหาเจ้า มานอนกับเจ้าแล้ว…” ขณะที่พูดก็ดูปฏิกิริยาของนางไปด้วย
หงเฉินที่ก้มหน้าเล็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด ดันถามหยั่งเชิงกลับว่า “ท่านคิดว่าข้าไม่น่าสนใจ เทียบกับพวกนางไม่ได้ ทำให้ท่านหมดอารมณ์เหรอ? ข้าให้สาวใช้สองคนมาปรนนิบัติท่านแทนได้มั้ย?” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมา
“…” เหมียวอี้คว้ามือของนางไว้ แล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเจื่อน บอกใบ้ว่าไม่ต้องทำอย่างนั้น เขาแค่อยากยั่วโมโหนางเท่านั้นเอง อยากจะเห็นนางมีปฏิกิริยาที่ต่างออกไป ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้อยู่บนเชือกเส้นเดียวกับเขาเลย “ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้สักหน่อย ข้ากำลังจะรับเยว่เหยาเป็นอนุภรรยาแล้ว อีกไม่กี่วัน เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
หงเฉินมีปฏิกิริยากับสิ่งนี้เล็กน้อย ถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านปฏิเสธมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าเจ้าอยากรู้สาเหตุจริงๆ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ แต่ห้ามให้อาจารย์ของเจ้ารู้เด็ดขาด”
“ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้า
“ที่พิภพใหญ่มีบุคคลโด่งดังอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าโจรราคะเจียงอีอี…” เหมียวอี้เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ แบบข้ามไปบ้าง
หลังจากได้ฟังแล้ว หงเฉินก็ขมวดคิ้ว ” เยว่เหยามีความสัมพันธ์กับเจียงอีอีแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “นางยอมรับเองแล้ว ทำไมเจ้าทำท่าเหมือนไม่เชื่อล่ะ?”
หงเฉินครุ่นคิดพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เยว่เหยาที่ข้ารู้จักน่ะ ถ้านางมีความสัมพันธ์กับเจียงอีอีแล้วจริงๆ เกรงว่าคงจะภักดีไม่เปลี่ยนใจต่อเจียงอีอี ไม่ว่าเจียงอีอีจะทำอะไรไว้ นางก็จะพยายามทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเจียงอีอี ถ้าไม่ถึงขั้นสุดท้ายก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ และไม่มีทางตอบตกลงแต่งงานกับนายท่านด้วย…บางทีอาจจะเป็นเพราะอยู่ห่างกันนานแล้ว คนเราคงนิสัยเปลี่ยนไปแล้วมั้ง ข้าไม่ได้คลุกคลีอยู่กับเยว่เหยานานแล้ว เลยไม่ค่อยเข้าใจ”
“ขนาดรู้แล้วว่าตัวเองโดนโจรราคะนั่นหลอก ยังจะภักดีไม่เปลี่ยนใจได้อีกเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
หงเฉินส่ายหน้าเบาๆ ไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว เหมือนไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรอีก
ขณะมองใบหน้างามที่สงบเยือกเย็นของนาง เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจ ยกมือขึ้นลูบแก้มนาง พร้อมบอกว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเจอเจ้าครั้งแรกที่เมืองโบราณฉางเฟิง ข้าตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สวยขนาดนี้อยู่ แต่ว่าเห็นจากที่ไกลๆ ไม่อาจสบประมาทได้ ตอนเป็นตอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะได้แต่งงานกับเจ้า สุดท้ายก็ได้สมปรารถนา เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเรื่องหนึ่งในชีวิตจริงๆ!”
“หงเฉินยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
“เจ้ารู้รึเปล่า ที่จริงหยางชิ่งก็เคยชอบเจ้ามาก่อน แต่สุดท้ายก็ยังโดนข้าแย่งมา ข้าบังคับให้หยางชิ่งแต่งงานกับเมียของเฟิงเป่ยเฉิน แต่กลับรับเจ้าเป็นอนุภรรยา เจ้าว่าข้าเลวรึเปล่า?”
หงเฉินยังคงยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
“สุดท้ายข้าก็ปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปจริงๆ จะบอกว่าชดเชยให้พวกเจ้าก็เหมือนจะไม่ใช่ อาจจะเก็บกดอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปีกระมัง ได้รับความกดดันมาตลอดแล้วไม่รู้จะไประบายที่ไหน ตึงเครียดอยู่ที่พิภพใหญ่ตลอด ขนาดเวลานอนยังกังวลว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องเลย กังวลที่ข้างกายมีสายลับ ข้างกายไม่เคยมีใครทำให้สงบใจได้เลย พอกลับมาที่พิภพเล็กก็ได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง เลยระบายอารมณ์อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าทนผ่านลมผ่านฝนมาหลายปีขนาดนี้ได้อย่างไร…”
“ก่อนหน้านี้ข้าถูกฮูหยินยั่วโมโหแล้วจริงๆ นางไม่ยอมปล่อยจูเก๋อชิงออกมาเลย ถ้าจะบอกว่ามีความผิด ก็ไม่ได้ผิดที่จูเก๋อชิงคนเดียว ขังจูเก๋อชิงไว้หลายปีขนาดนั้นแล้ว ยังคิดจะทำยังไงอีก…”
“พอพูดถึงจูเก๋อชิง ข้าต้องว่าเจ้าสักหน่อย พวกเจ้าสองคนแข่งกันได้ จูเก๋อชิงคิดจะหนีออกจากตำหนักดาวกลางตลอด แต่ฮูหยินกลับกักบริเวณนางไว้ไม่ยอมปล่อยไป ส่วนเจ้าน่ะ ฮูหยินขอให้เจ้าออกไปเดินเล่นบ้าง ไม่รู้ว่าบ่นอยู่ข้างหูเจ้าตั้งกี่รอบแล้ว นางบอกว่าเจ้าต่างหากที่เป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง เป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาดีมาก กลุ่มผู้หญิงในบ้านไม่มีใครเทียบเจ้าติดเลย ถ้าเจ้ายอมออกแรงช่วยเหลือ ก็จะสามารถแบ่งเบาภาระในบ้านได้ไม่น้อย ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่านางมองออกจากตรงไหน แต่ก็ดูเจ้าทำสิ ฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับไปไหน ในบ้านมีคนเยอะขนาดนั้น แต่ละคนโดนฮูหยินจัดการจนหมอบราบคาบแก้ว มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น ที่ฮูหยินไม่มีทางทำอะไรได้เลย ขนาดข้ายังเรียกเจ้าว่าท่านย่าแล้ว เหมือนว่าแม้แต่อาจารย์เจ้าก็ขี้คร้านจะโวยวายเจ้าแล้วเช่นกัน ถ้ากักบริเวณเจ้าไว้ที่ตำหนักดาวกลาง ข้าว่าเจ้าคงอยากให้เป็นแบบนั้นแน่ๆ เฮ้อ ถ้าสลับตัวเจ้ากับจูเก๋อชิงได้ก็คงดีนะ…”
“หลายปีมานี้ข้าผ่านเรื่องราวมาไม่น้อยเลย พอก้าวเข้าพิภพใหญ่ ก็ปลุกปั้นสร้างร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์…”
เหมียวอี้ที่หลบอยู่ในห้องสมาธิพร่ำบ่นไปเรื่อย วันนี้ค่อนข้างพูดมาก บ่นเป็นชุดเหมือนผู้หญิง
ส่วนหงเฉินก็เป็นผู้ฟังที่ดีมากจริงๆ ไม่ว่าพูดอะไรก็ตั้งใจฟัง ไม่พูดสอดแทรก และไม่ถามอะไรมาก ทั้งสวยทั้งไม่ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจ ตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์อย่างเลือกไม่ได้แท้ๆ แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นคนนอก ทำให้เจ้ารู้สึกได้ว่านางจะไม่เปิดเผยความลับใดๆ ทำให้เจ้าวางใจเล่าให้ฟังได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความยุ่งยากใจใดๆ…
บทที่ 1610 เข้ากันไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ที่จะมาขลุกอยู่กับหงเฉินในนี้โดยไม่ออกไปไหนเลย ตอนที่เหมียวอี้จะออกไปก็ค้นพบว่าตัวเองผ่อนคลายทั้งร่างกายทั้งจิตใจแล้ว บ่นอยู่ที่นี่สักรอบหนึ่ง ความยุ่งยากกลัดกลุ้มต่างๆ ที่สะสมอัดอั้นอยู่ในใจก็หายไปแล้วเช่นกัน ความโกรธที่เกิดจากอวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้วเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะมองหงเฉินผู้ใสสะอาดน่าประทับใจสองครั้ง
หงเฉินออกมาส่งเขาด้วยตัวเอง พอมาส่งเขาถึงประตูแล้ว ก็ย่อตัวคำนับ “นายท่านกลับดีๆ ค่ะ”
เหมียวอี้หัวเราะเยาะแล้วถามว่า “จะทำตัวเป็นน้ำเต้ากลัดกลุ้มไปทั้งชีวิตจริงๆ เหรอ?”
หงเฉินยิ้มอ่อน “ไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องอยู่ ไร้ทุกข์ไร้กังวล ไม่เบื่อค่ะ!”
“ฮูหยินหวังให้เจ้าแบ่งเบางานจากนางมาตลอด ข้ามาขอร้องเจ้าแทนฮูหยิน เจ้าก็ไม่ตอบตกลงงั้นเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
หงเฉินย่อตัวเบาๆ แสดงการขอโทษ “ข้าทำอะไรไม่ไหวจริงๆ ค่ะ”
ประโยคเดียวก็ทำให้เหมียวอี้มุมปากกระตุกแล้ว เคยได้ยินอวิ๋นจือชิวพูดถึงมาก่อน เหมือนไม่ว่าอวิ๋นจือชิวบอกให้นางทำอะไร นางก็จะตอบด้วยประโยคนี้ ในเมื่อนางยืนยันว่าตัวเองทำไม่ไหว แล้วเจ้าจะทำอะไรนางได้? อวิ๋นจือชิวเคยตัดขาดทรัพยากรฝึกตนของนาง เคยตัดข้าวตัดน้ำนางด้วย ถึงขั้นย้ายสาวใช้ทั้งสองของนางออกไปเพื่อกดดัน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เป็นอะไรเลย เมื่อไม่มีทรัพยากรฝึกตนก็ไม่ใช้ เมื่อไม่มีอาหารก็ไม่กิน ไม่มีคนปรนนิบัติรับใช้ก็ไม่ต้องให้ใครรับใช้ นางไม่ฟ้องอะไรใครด้วย และไม่แย่งชิงสิ่งใด อวิ๋นจือชิวจะทำอะไรก็ตามใจ สุดท้ายก็กดดันจนอวิ๋นจือชิวหมดหนทางแล้ว อีกฝ่ายไม่มีความแค้นต่อเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสุภาพเกรงใจ ไม่แย่งชิงความรัก ทั้งยังไม่ล่วงเกินใคร ถ้าอนุภรรยาคนหนึ่งทำได้ขนาดนี้แล้วยังถูกกดดันให้ตาย ถ้าทำเกินไปอวิ๋นจือชิวก็จะหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงปฏิบัติตามเดิมทุกอย่าง สิ่งที่ควรให้ก็ยังต้องให้ ในเมื่อนางไม่อยากออกมาทำงาน อวิ๋นจือชิวก็ไม่อาจเอากระบองไล่ตีให้ออกมาทำงาน แค่ตีไล่ออกมาก็จะทำให้นางจัดการธุระได้แล้วเหรอ? นับว่าทำให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ไร้ความโลภจึงแข็งแกร่ง!’
เหมียวอี้ยังเกาะแกะไม่เลิก กัดฟันใช้บทโหด “ข้าไม่ใช่ฮูหยินนะ จะต้องให้ข้ากดดันเจ้าใช่มั้ย?”
“ไม่ต้องกดดันค่ะ ถ้านายท่านแต่งตั้งให้ข้าเป็นนายหญิง ข้าก็ย่อมทำสิ่งที่นายหญิงควรทำ!” หงเฉินตอบ
แต่งตั้งเจ้าเป็นฮูหยินเอกเหรอ? เหมียวอี้กลอกตามองบน แค่พูดประโยคเดียวก็โดนผู้หญิงคนนี้เถียงจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
เหมียวอี้เอามือไขว้หลัง แล้วหันตัวเดินออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะอวิ๋นจือชิวถึงทำอะไรผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ สิ่งที่ใช้รับมืออวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไม้อ่อน คาดว่าคงไม่เคยใช้ไม้แข็งแบบนี้กับอวิ๋นจือชิว เขารู้อยู่แก่ใจว่าถ้าให้อวิ๋นจือชิวได้ยินประโยคนี้ ก็จะถูกสงสัยว่ายังมีความทะเยอทะยานนี้ด้วยเหรอ? เกรงว่าอวิ๋นจือชิวคงจะเป็นคนแรกที่สั่งให้นางอยู่อย่างซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่าย ต่อไปจะไม่รบกวนผู้หญิงคนนี้อีกเด็ดขาด
“นายท่านกลับดีๆ ค่ะ!” หงเฉินย่อกายส่งอีกครั้ง
และปัญหายุ่งยากก็มาไม่ขาดสาย ตรงนี้เพิ่งได้ความสงบร่มเย็นจากหงเฉิน พอออกมาก็เจอคนที่ทำให้ปวดหัวทันที อวิ๋นรั่วซวงได้ข่าวแล้วถ่อมาจากนภาจอมมาร มาเกาะแกะเขาไม่เลิก โผล่มาทางซ้ายเรียกพี่เขย โผล่มาทางขวาเรียกพี่เขย บ่นว่าอยากไปพิภพใหญ่ เรียกได้ว่าใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง
ข้างหลังอวิ๋นรั่วซวงยังมีหางเล็กๆ ตามมาด้วย จิ้งจอกพันหน้าเฝิ่นเอ๋อร์ กำลังจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าคับแค้นไม่เลิก
ตอนเกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เหมียวอี้ก็ให้เหยียนซิวส่งจิ้งจอกพันหน้ามาที่พิภพเล็ก เมื่อเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งคืนให้ปี้เยว่ฮูหยินอีก ปี้เยว่ฮูหยินด่าเขาว่าพูดจาไม่เป็นคำพูด เหมียวอี้เบี้ยวนางและบอกว่ากลับไปจะชดเชยให้ นางเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน และสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ จิ้งจอกพันหน้ากับอวิ๋นรั่วซวงจะไปเล่นด้วยกันแล้ว
และจิ้งจอกพันหน้าก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเหมียวอี้จะคืนอิสระให้นางด้วยวิธีการนี้ เขาริบสิ่งของทุกอย่างที่ใช้ติดต่อกับภายนอกออกไปหมด แล้วทิ้งนางไว้ที่พิภพเล็ก โดยตามใจว่าจะไปไหนก็เรื่องของเจ้า แต่นางจะไปไหนได้ล่ะ? หาทางออกในดาราจักรไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ แทบจะหลงทางแล้ว ทำได้เพียงอยู่ที่พิภพเล็กแต่โดยดี
แต่จะว่าไปแล้ว แบบนี้ก็ดีกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในอ้อมอกปี้เยว่หรือทำเรื่องแบบนั้นเสียอีก นางกับอวิ๋นรั่วซวงเหมือนฝนตกขี้หมูไหล กลายเป็นเพื่อนสาวของกันและกันแล้ว
เมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดถึงเรื่องน่าสนุกมากมายเกี่ยวกับพิภพใหญ่ นางมารน้อยอย่างอวิ๋นรั่วซวงจะทนไหวได้อย่างไร ขอร้องเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งว่าให้พานางไปที่พิภพใหญ่
เมื่อโดนอวิ๋นรั่วซวงเกาะแกะจนทำอะไรไม่ได้ เหมียวอี้ก็ทพได้เพียงเรียกอวิ๋นจือชิวกลับมาจากสำนักงามวิจิตร ให้นางลากตัวนางหนูคนนี้กลับไป
ในที่สุดวันมงคลก็มาถึงแล้ว แขกผู้มีเกียรติมาจากทั่วสารทิศ นภาอู๋เลี่ยงจัดงานฉลองไม่ธรรมดา
ความมีหน้ามีตาก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว การเข้าห้องหอก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนเฝ้าคอย คนที่เฝ้าคอยก็คือเยว่เหยาที่สวมมงกุฎหงส์ นางกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างตื่นเต้นกังวล
เทียนสีแดงส่องสว่าง เปิดผ้าคลุมหน้า คล้องแขนดื่มสุรามงคล แล้วเยว่เหยาก็เรียกอย่างเขินอายว่า “ท่านสามี” อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย แม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกแปลก สุดท้ายเหมียวอี้ก็แนะนำว่า ให้ทั้งสองเรียกกันว่า “พี่ใหญ่ เจ้าสาม” ต่อไป
เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน เยว่เหยาที่ถอดชุดตัวนอกนอนอยู่บนเตียงกลับไม่เจอเรื่องน่าตื่นเต้นที่ตัวเองเฝ้าคอย เหมียวอี้บอกให้นางรีบพักผ่อน ส่วนเขาก็นั่งขัดสมาธิฝึกตนอยู่บนเตียง เรื่องบางเรื่องฝืนกันไม่ได้ เขาไม่มีความรู้สึกด้านชายหญิงกับเยว่เหยาเลยจริงๆ ต่อให้วันนี้เยว่เหยาจะแต่งตัวสวยขนาดไหน แต่ในสายตาเขานางก็ยังเป็นเด็กน้อยน้ำมูกไหลคนนั้นเหมือนเดิม
ได้! สุดท้ายเยว่เหยาก็หัวเราะคิกคักแล้วลุกขึ้นมา นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเขา เริ่มฝึกวิชาแล้วเหมือนกัน นางไม่ได้หน้าด้านถึงขั้นเร่งให้เหมียวอี้ทำเรื่องอย่างนั้นกับนาง ถึงแม้นางจะรู้ว่าในคืนเข้าห้องหอจะต้องทำอะไรก็ตาม และนางก็ค่อนข้างเฝ้าคอยด้วย
เพียงแต่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จิตใจของเยว่เหยาก็เปลี่ยนไปแล้ว นางรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนฐานะกลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ นั่นคือความรู้สึกอันแสนงดงามที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะนี่คือเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนเฝ้าคอย นางรู้ว่าสาเหตุที่เหมียวอี้แต่งงานกับนาง ไม่ได้มีความรู้สึกจอมปลอมใดๆ มาปะปน แต่เพราะอยากดูแลนางไปตลอดชีวิตจากใจจริง ดังนั้นในใจจึงรู้สึกหวานชื่นไปอีกแบบ ถึงไม่ถึงว่าคำพูดแสดงเค้าลางในวัยเด็ก จะทำให้นางเดินมาถึงวันนี้แล้วจริงๆ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าเป็นความฝันอยู่เลย
ส่วนเจียงอีอีนั่น นางโยนทิ้งไปหมดสิ้นแล้ว ถ้าจะให้นางเปลี่ยนความคิดดูสักหน่อย ก็จะพบว่านั่นเป็นเพียงรักของสาววัยแรกแย้มเพียงชั่วขณะเท่านั้น จะบอกว่าเป็นรักข้างเดียวก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ที่จริงระหว่างทั้งสองไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น แม้แต่คำพูดที่อบอุ่นอย่างแท้จริงก็ไม่เคยได้พูดเลยด้วยซ้ำ บางทีในอนาคตก็อาจจะเผลอคิดถึงขึ้นมาบ้าง นางอาจจะยิ้มอย่างเข้าใจหรือไม่ก็ถอนหายใจเบาๆ ให้กับความรักที่โง่เขลานั้น เดิมทีผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่เคยได้ร่างกายนาง ก็จะไม่สามารถได้ครองหัวใจของนางจริงๆ บางทีอาจจะโหดร้ายกับเจียงอีอีสักหน่อย แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เขากลายเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ กลายเป็นคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในชีวิตเยว่เหยา อย่างมากก็ทิ้งความทรงจำอันงดงามเอาไว้ให้เยว่เหยานิดหน่อย แต่กลัวไม่ได้ควรค่าแก่การอาลัยอาวรณ์อย่างแท้จริง
ในคืนนี้ ทั้งสองนับว่ารับมือกับค่ำคืนเพื่อแสดงให้คนนอกเห็น
เช้าตรู่วันต่อมา ทั้งสองหยุดใช้วิชาและก้าวลงจากเตียง บทบาทของเยว่เหยาเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เป็นฝ่ายปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ราวกับเป็นภรรยาตัวน้อย เหมียวอี้ก็ทำตัวสบายๆ เช่นกัน เพราะคิดว่าเยว่เหยากลายเป็นอนุภรรยาของเขาแล้ว แต่สภาพจิตใจเขายังไม่เปลี่ยนไป ยังคิดว่าการที่น้องสาวปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้ตนสักตัวนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับว่า “เจ้าสาม ตอนนี้เจ้ากลายเป็นอนุภรรยาของข้าแล้ว พี่ใหญ่เองก็มีงานไม่น้อย เจ้ายังต้องเคารพกฎในครอบครัวนะ ไม่อย่างนั้นจะเสียระเบียบ สิ่งที่ควรเคารพพี่สะใภ้ก็ยังต้องเคารพพี่สะใภ้ อย่าทำให้ข้าลำบากใจ แน่นอนว่าพี่สะใภ้ก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากเหมือนกัน”
เยว่เหยาที่กำลังนั่งยองๆ ใส่รองเท้าให้เขาหลุดขำออกมา นางหัวเราะจนไหล่สั่น
เหมียวอี้ถลึงตาสองข้าง ใช้มือเคาะหน้าผากนางหนึ่งที “หัวเราะอะไรของเจ้า ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ”
เยว่เหยาเอามือนวดหน้าผาก แล้วโบกมือพลางหัวเราไม่หยุด “พี่ใหญ่ ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านจะเอ่ยปากหุบปากก็เรียกแต่พี่สะใภ้ จะให้ข้าออกไปเรียกนางว่าพี่สะใภ้ด้วยมั้ย? ถึงแม้ข้าจะกลายเป็นอนุภรรยาของท่านแล้ว อยู่ต่อหน้าคนนอกแล้วเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรียกว่าพี่สะใภ้ เกรงว่าจะทำให้คนตกใจแล้ว!”
“เอ่อ…” เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผาก “เป็นข้าเองที่เลอะเลือน ช่วงแรกยังปรับตัวไม่ทัน เอาเป็นว่าเจ้าจำไว้ก็พอ รออีกประเดี๋ยวต้องคารวะน้ำชา ถ้าเจ้าทำให้นางโมโหจนไม่รับน้ำชาของเจ้า ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะหาทางลงไม่ได้แล้ว” นิสัยเจ้าอารมณ์ของอวิ๋นจือชิว เขาเองเข้าใจอย่างลึกซึ้แล้ว ตำแหน่งนายหญิงของบ้านไม่ยอมให้ใครมาท้าทายได้ง่ายๆ นางทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ
เยว่เหยาช่วยเขาใส่รองเท้า แล้วเบะปากบอกว่า “ก็ต้องโทษท่านนั่นแหละ ถ้าไม่รอจนถึงตอนนี้ ท่านตอบตกลงแต่งงานกับข้าตั้งแต่แรก นางจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องเสียที่ไหนกัน ยังไม่รู้เลยว่าใครจะได้คารวะน้ำชาให้ใคร!”
เหมียวอี้บิดหูนางแล้วดึงนางขึ้นมา “เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ”
“ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า โอ๊ยเจ็บ! ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว” เยว่เหยาร้องพลางใช้มือตี หลังจากเขาปล่อยมือแล้ว นางก็บ่นว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจให้ชัดเจนหน่อยว่าตอนนี้ข้ากับท่านอยู่ในสถานะอะไร มีใครเขาทำกับอนุภรรยาอย่างนี้บ้าง?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็โบกมือบอกว่า “รีบแต่งตัว อย่าปล่อยให้พี่สะ…อย่าปล่อยให้ฮูหยินรอนาน” คำพูดไม่ค่อยเข้ากันไปหน่อย
“ฮ่าๆ…” เยว่เหยาเอามือลูบหูพลางหัวเราะจนตัวโยนอีกครั้ง
เหมียวอี้เอามือเกาศีรษะ อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างงดงาม แต่เมื่อเห็นเจ้าสามมีความสุข เขาก็มีความสุขเช่นกัน ก่อนหน้านี้กลัวว่าเรื่องของเจียงอีอีจะส่งผลกระทบใหญ่หล่วงกับนาง สามารถกลับตัวได้ก็ดีแล้ว เขาหันกลับมาตะโกนเรียกอีกว่า “สาวใช้!”
ผ่านไปครู่เดียว ประตูก็ถูกผลักเปิด เสวี่ยเอ๋อร์เดินนำเข้ามา ข้างหลังยังมีหญิงรับใช้ตามมาอีกสองคน ส่วนสาวใช้ที่แดนโพ้นสวรรค์เตรียมไว้ให้ติดตามแต่งงานนั้นถูกเยว่เหยาปฏิเสธไปแล้ว นางไม่อยากได้สาวใช้ติดตามร่วมห้องอะไรทั้งนั้น ข้างกายพี่ใหญ่ยังมีผู้หญิงไม่เยอะพออีกเหรอ? แม้แต่สาวใช้ที่เคยรับใช้นางในปีนั้นก็ไม่เอา ใช้สาวใช้สองคนของหงเฉินก่อนชั่วคราว
เมื่อเห็นเสวี่ยเอ๋อร์มาแล้ว เหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้ามาได้ยังไง”
เสวี่ยเอ๋อร์นำสาวใช้สองคนมาคำนับทั้งสอง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินให้ข้ามาดูว่ามีอะไรจำเป็นต้องใช้หรือเปล่าค่ะ” จากนั้นก็หันกลับไปโบกมือ ใช้สาวใช้ทั้งสองไปปรนนิบัติรับใช้เยว่เหยาแล้ว ส่วนนางก็ไปชั่วจัดระเบียบข้างเตียง แต่สายตาของนางมองสำรวจบนผ้าปูเตียงอย่างละเอียด
จากนั้นนางก็ขอตัวออกไปก่อน พอออกจากลานบ้านแล้วก็รีบออกไปหาอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวกำลังรอนางอยู่ พอเห็นหน้าก็ถามเสียงต่ำทันที “เป็นยังไงบ้าง?”
เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีค่ะ! ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีเลือดพรหมจรรย์ค่ะ”
“เฮ้อ! สงสัยจะเป็นจริง…” อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ นางไม่อยากให้ในบ้านเกิดเรื่องน่ารังเกียจอะไรทั้งนั้น ตอนอยู่คุกใต้ดินที่จวนแม่ทัพภาคนางก็สังเกตคำพูดของเยว่เหยาซ้ำแล้วซ้ำอีก นางก็เลยยังมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าเยว่เหยาจะพูดไปเพราะอารมณ์โกรธเท่านั้น ใครจะคิดว่านางหนูคนนี้จะถูกเจียงอีอีล่วงล้ำร่างกายแล้วจริงๆ จบกัน ปล่อยให้เหมียวอี้เก็บรองเท้ามือสองกลับมาแล้วจริงๆ
สิ่งนี้ทำให้นางต้องช่างน้ำหนัก ว่าควรจะมีท่าทีต่อเยว่เหยาอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้เยว่เหยากับเหมียวอี้คิดว่านางเอาเรื่องเจียงอีอีมายั่วโมโหเยว่เหยา
พอไตร่ตรองได้สักพัก นางก็กำชับว่า “จำไว้นะ ห้ามให้ใครรู้เรื่องของนางกับเจียงอีอีเด็ดขาด ต่อให้เวลาเถียงกันทะเลาะกัน ก็อย่าตีวัวกระทบคราดอะไรทั้งนั้น”
“บ่าวเข้าใจแล้วค่ะ” เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า
บทที่ 1611 หยางชิ่งซาบซึ้ง
ในโถงหลัก เชิญกลุ่มพยานมาอยู่ในโถงแล้ว ขนาดคนที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะถูกเชิญมาก็ยังเสนอหน้ามาด้วยเลย ยกตัวอย่างเช่นจิ้งจอกพันหน้าที่ตามอวิ๋นรั่วซวงเข้ามา
หยางชิ่งกับฮูหยินก็ขาดไม่ได้ยู่แล้ว ฉินเวยเวยไม่สะดวกจะหลบเลี่ยง แม้แต่หงเฉินก็จำเป็นต้องโผล่หน้าออกมาเช่นกัน พวกจีเหม่ยลี่ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาร่วมงานนี้ด้วยเหมือนกัน
อวิ๋นจือชิวนั่งอยู่บนตำแหน่งนายหญิง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย อวิ๋นเสียอาสามของนางและตาเฒ่าเฉียวที่ยืนอยู่อีกด้านกำลังชำเลืองมองนาง ไม่รู้เหมือนกันวาความรู้สึกที่แท้จริงในใจนางเป็นอย่างไร คาดว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถยิ้มออกมาจากใจจริงได้
ฮูเหยียนไท่เป่าที่อยู่ในฐานะเจ้าสาวก็แต่งตัวค่อนข้างเข้ากับงานฉลอง บนใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ในใจเขาค่อนข้างเซ็ง ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์น้องอันแต่งงานเร็วไปหน่อย เจ้าเวรเหมียวอี้มันจะเอาศิษย์น้องอันไปแต่งงานด้วยกันเลยรึเปล่า?
แต่ลูกสาวทั้งคู่ของอันหรูอวี้ก็ดันเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ไปแล้ว เขาสงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงของทั้งแดนโพ้นสวรรค์มีไว้เตรียมให้เหมียวอี้คนเดียวหรือเปล่า โดยเฉพาะลำดับอาวุโสแบบนั้น ทำให้เขาเซ็งอย่างบอกไม่ถูก เขายังไม่รู้เลยว่าหลางหลางกับหวนหวนจะเรียกหงเฉินว่าอย่างไร
เอาเป็นว่าบุคคลระดับสูงของห้าปราชญ์มากันหมดแล้ว คนอื่นๆ ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรมากนัก สาเหตุแรกคือมาแสดงความยินดี สาเหตุรองก็คือนภาอู๋เลี่ยงเรียกรวมพวกเขามาปรึกษาหารือเรื่องสำคัญ
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็นำเยว่เหยาเข้ามาแล้ว เยว่เหยาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและทรงผมเป็นแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว ตอนแรกก็ยังไม่เป็นอะไร แต่พอก้าวเข้ามาในโถงหลัก ก็เห็นคนมากมายมองดูนางพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง ทำให้นางกดดันทันที ใบหน้าแดงเรื่อในชั่วพริบตาเดียว
เหมียวอี้ทิ้งนางไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเดินก้าวยาวไปตรงตำแหน่งหลัก เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน อวิ๋นจือชิวก็ไว้หน้าเขาเต็มที่ ลุกขึ้นย่อเข่าคำนับต้อนรับ จากนั้นนั่งลงพร้อมกัน
เยว่เหยาที่เขินอายจนเกินทนยืนรับสายตาของทุกคนอยู่กลางโถงเพียงลำพัง เสวี่ยเอ๋อร์ยกถ้วยน้ำชาเข้ามายื่นให้นาง และแนะนำเล็กน้อย
เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าอวิ๋นจือชิว ก็เป็นครั้งแรกที่เยว่เหยารู้สึกว่าตัวเองไม่กล้ามองนายหญิงคนนี้ เพราะเมื่อก่อนล่วงเกินอีกฝ่ายไว้แรงมาก นางก้มหน้าย่อเข่าอย่างเขินอาย ใช้สองมือประคองน้ำชายื่นไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นกังวลนิดหน่อยว่า “ฮูหยินได้โปรดดื่มน้ำชา”
อวิ๋นจือชิวมองนางพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่กลับไม่ยื่นมือไปรับน้ำชา เหมียวอี้เหล่ตามองอวิ๋นจือชิวที่ยังนิ่งเฉย เขาหัวใจกระตุกเล็กน้อย ค่อนข้างเครียดแล้ว
การแสดงอำนาจบารมีนี้ ทำให้ทุกสายตาจับจ้องแล้ว ต่างก็แอบแปลกใจเล็กน้อย หรือว่าก่อนที่เหมียวอี้จะรับอนุภรรยา ยังไม่ได้คุยกับฮูหยินของตัวเองให้เรียบร้อย? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ หลังบ้านก็วุ่นวายแล้ว
ฮูเหยียนไท่เป่าเม้มริมฝีปากแน่น
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเสียที สองมือที่เยว่เหยาประคองถ้วยน้ำชาก็สั่นเล็กน้อย ประหม่าแล้วจริงๆ ถ้าวันนี้อวิ๋นจือชิวไม่ยอมรับน้ำชาถ้วยนี้ นางก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะแน่นอน ตอนนี้นางนับว่าตระหนักได้อย่างแท้จริงแล้วว่านายหญิงของบ้านนี้คือใคร ต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวนางต้องได้รับแรงกดดันมากแน่ๆ กดดันจนนางใกล้จะสติแตก
แม้แต่หงเฉินที่สงบนิ่งมานานก็ยังขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกกังวลแทนเยว่เหยา เวลาอวิ๋นจือชิวทำตัวเจ้าอารมณ์ขึ้นมานั้นร้ายกาจขนาดไหน นางก็เคยสัมผัสมาแล้ว
โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ได้กลั่นแกล้งนางนานเกินไป เพียงยิ้มพร้อมถามว่า “น้องสาว หลังจากเมื่อคืนนี้เป็นต้นมา เจ้าคือคนของตระกูลไหน?”
เยว่เหยาพยายามควบคุมเสียงที่ใกล้จะสั่นของตัวเอง ตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “คนของตระกูลเหมียว”
“หวังว่าเจ้าจะจำคำพูดในวันนี้ของเจ้าเอาไว้” อวิ๋นจือชิวตอบกลับอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง เสร็จแล้วถึงได้รับน้ำชามาจากมือนาง เปิดฝาถ้วยน้ำชาจิบช้าๆ จากนั้นก็ยื่นให้เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ “เอาล่ะ น้องสาวไม่ต้องมากพิธี ตั้งแต่นี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” นางลุกขึ้นประคองแขนเยว่เหยาที่กำลังย่อเข่าคำนับ
ตอนนี้ทุกคนถึงได้โล่งใจ เหมียวอี้ที่รอจนกังวลก็ได้ยกก้อนหินออกจากอกแล้วเช่นกัน เมื่อครู่นี้ท่านขุนนางเหมียวแทบจะถ่ายทอดเสียงขอร้องอวิ๋นจือชิวแล้ว ตกใจแทบแย่
จากนั้นเหมียวอี้ก็นำเยว่เหยามาคำนับผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดี ในงานมีเสียงแสดงความยินดีไม่ขาดสาย แต่เขาเห็นในดวงตาของฉินเวยเวยฉายแววคับแค้นเล็กน้อย
ไม่คับแค้นคงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เดิมทีนึกว่าช่วงเวลานี้เหมียวอี้จะเป็นของนางคนเดียว ตอนนี้นางไม่สะดวกจะไปแย่งเวลากับคนใหม่แล้ว เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เวลาของเหมียวอี้ในช่วงนี้เป็นของเยว่เหยาคนเดียว
“พี่เขย ยินดีด้วยนะ” อวิ๋นรั่วซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม ดูถูกที่เหมียวอี้โลภจนมีเมียเยอะขนาดนี้ โชคดีที่อวิ๋นเสียกลั่วว่านางจะทำซี้ซั้ว จึงดึงนางไปไว้ข้างหลังแล้ว
จิ้งจอกพันหน้าที่ตามอวิ๋นรั่วซวงมาก็เรียกได้ว่ามองเหมียวอี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม นางได้ยินอวิ๋นรั่วซวงเล่าแล้ว ว่าท่านที่อยู่ตรงหน้านี้รับอนุภรรยาไว้แล้วหลายคน ภูตผีมารปีศาจอะไรก็มีครบหมด ขนาดคนออกบวชยังเอาเลย ได้ลิ้มลองรสชาติที่หลากหลายมาทั่วแล้ว ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ นางยังนึกว่าเหมียวอี้รักตัวเองมาก ไม่ค่อยยุ่งกับผู้หญิงสักเท่าไร นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะสกปรกโสมมน่าไม่อายขนาดนี้
หลังจากกล่าวทักทายปราศัยกันตามมารยาทแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จูงมือเยว่เหยา พร้อมพาหงเฉินและฉินเวยเวยออกไป ระหว่างพวกนางยังมีอะไรต้องคุยกันอีก พอแขกแยกย้ายกลับไปแล้ว เหมียวอี้กับหยางชิ่งก็ยื้อบุคคลระดับสูงของห้าแดนเอาไว้ เพราะมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งต้องปรึกษาหารือ
ไม่ได้จะปรึกษาหารือเรื่องอื่นใดหรอก จะปรึกษาว่าจะนำคนไปที่พิภพใหญ่อย่างไร จำเป็นต้องให้แต่ละแดนมาช่วยจัดกลุ่ม ในใต้หล้ามีนักพรตเยอะขนาดนั้น อาศัยแรงของแดนอู๋เลี่ยงฝ่ายเดียวก็สิ้นเปลืองเวลาเกินไป
ข่าวนี้แพร่ไปทั้งแดนฝึกตนของพิภพเล็กแล้ว แดนฝึกตนฮือฮา จะได้ไปพิภพใหญ่ที่ใฝ่ฝันมาแสนนาน ทั้งยังไม่เกี่ยงว่าวรยุทธ์จะสูงหรือต่ำด้วย ขอแค่เป็นนักพรตก็พอแล้ว จะไม่ให้ทุกคนดีใจได้อย่างไร
แต่ปัญหายุ่งยากในตอนนี้ก็คือ นักพรตสังกัดทางการของทั้งพิภพเล็กบวกกับสำนักต่างๆ รวมทั้งนักพรตอิสระ พอบวกรวมกันแล้วเกรงว่าจะได้นักพรตหนึ่งร้อยสามสิบล้านคน เจตนาของเหมียวอี้ก็คือเหลือนักพรตไว้ที่พิภพเล็กสักร้อยกว่าคนเพื่อเก็บลูกแก้วพลังปรารถนาก็พอแล้ว แบบนี้เท่ากับจะย้ายนักพรตเกือบหนึ่งร้อยสามสิบล้านคนไปที่แดนอเวจี แน่นอน ฝั่งเหมียวอี้ไม่ได้เปิดเผยว่าจะไปแดนอเวจี แค่บอกรวมๆ ว่าจะไปพิภพใหญ่
ส่วนหกปราชญ์หลังจากได้ฟังข่าวอันน่าตกตะลึงและฟังส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้เช่นกัน เห็นด้วยที่จะรักษาความลับ ถึงแม้ความสามารถของพวกเขาจะถูกยอมรับจากหกลัทธิ แต่ศักยภาพในตัวเองก็ยังมีจุดด้อยที่ใหญ่มาก ถ้านำทรายพวกนี้มาปะปนด้วยก็จะทำให้พวกเขาควบคุมหกลัทธิได้สะดวก แต่นี่ไม่ใช่เม็ดทรายเม็ดข้าวสารแล้ว มีทรายเข้ามาปะปนในหกลัทธิมากขนาดนี้ คาดว่าคงเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ ดีมากเลย ตั้งตาคอยแล้ว
นักพรตหนึ่งร้อยล้านกว่าคน การขนส่งกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้ว ประเด็นสำคัญก็คือเหมียวอี้ไม่อยากเปิดเผยเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่
ความจุของกระเป๋าสัตว์ก็มีจำกัด สามารถจุได้สองครั้งเท่านั้น ไม่สามารถจุเป็นครั้งที่สามได้ ถ้าเกินกว่านี้ความสามารถในการจุของกระเป๋าสัตว์ก็จะพัง
ที่สำคัญก็คือ การใส่นักพรตที่บนตัวมีกระเป๋าสัตว์เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ก็ไม่มีปัญหา บนตัวของนักพรตที่ถูกใส่เข้าไปมีพื้นที่ว่างสักห้องก็ได้ แต่ถ้าใส่เข้าไปซ้อนกันอีก กระเป๋าสัตว์ก็จะไม่สามารถกลืนเข้าช่องว่างที่ซ้อนติดกันสามชั้นได้ ปัญหานี้ที่พิภพเล็กยังแก้ไขไม่ได้ ที่พิภพใหญ่ก็แก้ไขไม่ได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้ากระเป๋าสัตว์ใบเดียวสามารถใส่คนเข้าไปได้หลายคนโดยไร้ขีดจำกัด นั่นก็หมายความว่า ต่อให้จะใส่กระเป๋าสัตว์ซ้อนกัน แต่ต่อให้กระเป๋าแตกก็ยังใส่คนได้แค่ไม่กี่ร้อยคนอยู่ดี
ต่อให้คนที่รู้เส้นทางอย่างเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิว เสวี่ยเอ๋อร์และเหยียนซิวจะต่างคนต่างพกกระเป๋าสัตว์ไว้เป็นกอง แต่การนำคนไปจำนวนหนึ่งแสนคนในรวดเดียวแล้วจะได้อะไรล่ะ? การจะขนส่งคนหนึ่งร้อยล้านคนจะต้องถ่อไปถ่อมาตั้งกี่รอบ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไปถึงพิภพใหญ่แล้วยังต้องข้ามประตูดวงดาวอีกหลายครั้ง ถ้าใครมาพบว่าเจ้าแบกกระเป๋าสัตว์เป็นกอง ถึงตอนนั้นถ้าไม่อยากโดนสงสัยก็คงยาก
แต่ปัญหานี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ กำไลเก็บสมบัติสามารถทนรับแรงกดดันของช่องวางได้สามครั้ง นี่คือขีดจำกัดของการบรรจุสัมภาระที่รู้ในปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถตระหนักรู้เรื่องช่องว่างในขั้นสูงกว่านี้ได้ กอปรกับช่องว่างใหญ่กว่าแหวนเก็บสมบัติกับกระเป๋าสัตว์เยอะมาก การยัดหนึ่งหมื่นคนเข้าไปโดยตรงโดยไม่นับช่องว่างทับซ้อน ก็หมายถึงช่องว่างที่เบียดกันได้หนึ่งหมื่นคน ไม่ใช่ช่องว่างสำหรับให้หนึ่งหมื่นคนอยู่ด้วยกันแบบกระจาย เพราะข้างในเป็นสุญญากาศ ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย จะทำให้มีคนเก็บกดตาย ถึงแม้นักพรตตจะสามารถทนได้นาน แต่หนทางไปแดนอเวจีก็ไกลและยาวนาน อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือน
แน่นอน ปัญหานี้ก็มีวิธีแก้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รั้งให้คนพวกนี้มาปรึกษากัน สามารถให้นักพรตแต่ละคนเตรียมอัดอากาศเอาไว้ให้เพียงพอ แล้วก็เก็บนักพรตเข้าไว้ในกำไลเก็บสมบัติอีกที กำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงใส่ได้หนึ่งหมื่นคน หนึ่งหมื่นคนนั้นก็ต่างคนต่างจุไว้อีกหนึ่งหมื่นคน ส่วนที่เหลือก็ให้คนที่ยังมีช่องว่างต่างคนต่างอัดอากาศเตรียมไว้ แบบนี้กำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงก็จะสามารถพาคนไปได้ในรวดเดียวหนึ่งร้อยล้านคน และไม่ทำให้ทุกคนเบียดกันด้วย ถ้าในมือทุกคนมีกำไลเก็บสมบัติหลายวง ก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ กลัวก็แต่จะมีคนนำสัมภาระส่วนตัวไปด้วย นำกำไลเก็บสมบัติมาหลายๆ ชุดก่อน ปัญหารองลงมาก็คือเรื่องความเชื่อใจ อยู่ดีๆ ก็จะถูกจับเข้าไปในช่องว่างที่ปิดผนึกไว้ แบบนี้จะต่างอะไรกับการถูกจับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์ล่ะ? ถ้ามีใครเกิดเจตนาร้ายขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตายอย่างไร มิหนำซ้ำใครจะไปรู้ว่าพิภพใหญ่อะไรนั่นจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? คนมากมายขนาดนั้นถ้าอยากจะจับไปก็ไม่สำเร็จหรอก หมูหนึ่งร้อยล้านตัวที่วิ่งพล่านไปทั่วเจ้ายังพอจับไว้ แต่อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็เป็นนักพรตนะ
เพียงแต่หยางชิ่งร่างวิธีการแก้ปัญหาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน นั่นก็คือให้นักพรตแต่ละแดนจับกลุ่มคนที่เชื่อใจกันไปก่อน เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วมั่นใจว่าไม่เป็นอะไร ก็ค่อยกลับมาบอกข่าวอีกครั้ง
เหมียวอี้เองก็เตรียมตัวไว้แล้วว่าต้องเดินทางสองรอบ
ส่วนนักพรตทางการของหกแดน ก็จำเป็นต้องพาไปสองชุดเช่นกัน พาไปชุดหนึ่งก่อนเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนหนึ่งชุดที่เหลือก็ต้องรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยฝั่งนี้เช่นกัน
ดังนั้นจึงต้องให้แต่ละแดนกลับไปจัดเตรียม และต้องจัดเตรียมแข่งกับเวลาด้วย เหมียวอี้ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ตลอดได้
ฝั่งแดนอู๋เลี่ยงก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทางห้าปราชญ์สั่งมาแล้วว่าขอความร่วมมือ ด้วยเหตุนี้บุคคลระดับสูงของห้าแดนเข้าใจเรื่องที่ต้องทำแล้วจึงไม่มีอะไรชักช้าเสียเวลา รีบกลับไปเตรียมการทันที พวกเขารอคอยที่จะไปพิภพใหญ่มานานแล้ว เพราะพวกเขามั่นใจว่าพิภพใหญ่มีอยู่จริง อาจารย์ของตัวเองปักหลักอยู่ทางนั้นได้แล้ว พอไปถึงก็สามารถขอพึ่งพาได้เลย ไม่เหมือนนักพรตระดับล่างที่ฟังจากปากเปล่าจึงไม่อาจเชื่อง่ายๆ
ตอนแรกหยางชิ่งปล่อยข่าวออกไปก่อน ต้องให้เวลานักพรตในใต้หล้าเตรียมใจเอาไว้
เมื่อแก้ปัญหาสำคัญได้แล้ว หยางชิ่งก็โล่งอก กุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้ “นายท่าน ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับแล้ว ข้าขอไปเตรียมงานเรื่องย้ายคนของแดนอู๋เลี่ยงก่อน”
“ช้าก่อน!” เหมียวอี้เรียกให้เขาหยุด ลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “เรื่องพวกนี้ซับซ้อน ข้าเองก็ไม่ได้จัดการอะไรสักเท่าไร ช่วงนี้ลำบากเจ้าแล้ว ว่ากันตามหลักการ ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้กลับมาสักครั้ง ควรจะไปพบฉินซีบ่อยๆ หน่อย แต่ความเป็นจริงก็เห็นๆ กันอยู่ ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”
หยางชิ่งกล่าวตามมารยาทว่า “ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ รอให้ข้าน้อยลงหลักปักฐานที่นั่นได้ก่อน ต่อไปจะย้ายฉินซีไปอยู่ทางนั้นก็ได้ มีเวลาให้เจอกันอยู่แล้วขอรับ”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรตามมารยาทอีก พลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา “นี่คือเคล็ดวิชาฝึกตน ชื่อว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เจ้าเอาไปฝึกเถอะ!”
จะให้ม้าวิ่งอย่างเดียวโดยไม่ป้อนหญ้าไม่ได้ กอปรกับการที่เขาแต่งงานรับอนุภรรยาเพิ่มอีกคนส่งผลกระทบต่อลูกสาวหยางชิ่ง มอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้หยางชิ่งแล้ว คงไม่ดีถ้าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ถือว่าเป็นการปลอบใจก็แล้วกัน
“มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?” หยางชิ่งตกตะลึงมาก อุทานถามว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่เฟิงเป่ยเฉินฝึก?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ที่จริงมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบ่งเป็นภาคฟ้า ดิน คน มีทั้งหมดสามภาค เฟิงเป่ยเฉินฝึกแค่ภาคคน ส่วนภาคฟ้ากับภาคดินล้วนอยู่ที่พิภพใหญ่ ตอนนี้ข้าหาเจอแค่ภาคดิน ตอนนี้ส่งทั้งภาคดินและภาคคนให้เจ้าแล้ว หวังว่าจะเสริมจุดด้อยให้เจ้าได้ ให้เจ้าได้แสดงบทบาทต่อหกลัทธิ หยางชิ่ง ข้าฝากความหวังมากมายไว้กับเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!”
หยางชิ่งอยู่ที่พิภพใหญ่มานานขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงหมายถึงอะไร ให้เขากุมอำนาจมหาศาลขนาดนี้เอาไว้ ทั้งยังมอบเคล็ดวิชาฝึกตนที่เขาไม่กล้าฝันถึงให้ ได้สองอย่างนี้มาแล้วหมายความว่าอย่างไรล่ะ? ก็หมายความว่าตัวเองมีโอกาสก้าวขึ้นไปอยู่ระดับบนสุดของพิภพใหญ่น่ะสิ!
ความเชื่อใจขนาดนี้สร้างแรงกดดันมากจริงๆ ครั้งนี้เขาถูกทำให้ตื้นตันใจแล้วจริงๆ เขาค้อมกายกุมหมัดคารวะอย่างซาบซึ้ง “ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!”
บทที่ 1612 ขั้นตอนแรกของการย้าย
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วก้าวขึ้นมาประคองแขนเขาให้ลุกขึ้น “ทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่นั้นไม่ต้องหรอก ไม่อย่างนั้นข้าจะแก้ตัวกับเวยเวยไม่ได้นะ”
หยางชิ่งสงบสติอารมณ์ได้ยากยิ่ง ดวงตาที่มองอีกฝ่ายฉายแววซับซ้อนสับสน ก่อนหน้านี้มีหลายสิ่งที่ไม่ได้พูด ตอนนี้รู้สึกเหมือนต้นร้ายปลายดีจริงๆ สมองคิดอะไรบางอย่างได้ ลองถามหยั่งเชิงว่า “แล้วเคล็ดวิชานี้ เวยเวย…”
เหมียวอี้พยักหน้า “ยอมไม่ขาดของนางอยู่แล้ว ข้าจะให้นางด้วยตัวเอง ข้าเพิ่งจะแต่งงานรับคนใหม่มา ถ้าไม่ปลอบใจนางให้ดีๆ ข้ากลัวนางจะอารมณ์เสียใส่น่ะสิ!” ขณะที่พูดก็ยิ้มเจื่อน
หยางชิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้านางไร้เหตุผลจริงๆ ข้าน้อยจะต้องตำหนินางสักหน่อยแล้ว คนที่อยู่ระดับนายท่านแล้ว การรับอนุภรรยาไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องได้ใหม่ลืมเก่าแล้ว ทุกสิ่งล้วนทำไปเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน”
เหมียวอี้ยิ้มแห้ง ถึงแม้ปากจะไม่สะดวกพูดอะไร แต่ในใจกลับพึมพำว่า ‘หวังว่าเจ้าจะคิดอย่างนี้จริงๆ นะ ผู้หญิงคนนั้นถูกเจ้าปฏิบัติราวกับสมบัติล้ำค่า’
หยางชิ่งอยากจะขอตัวลา แต่เหมียวอี้กลับเชิญให้เขาอยู่ต่ออีก แล้วสั่งให้คนไปเรียกพวกจ้าวเฟยมาหา
จ้าวเฟย อูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลีมาแสดงความยินดี ไม่เคยได้พบกันเป็นการส่วนตัวเลย ต้องเจอกันสักหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหยางชิ่ง เหมียวอี้อธิบายสถานการณ์ของพิภพใหญ่ที่กำลังจะไปให้ฟัง หลังจากเตรียมคนไปที่พิภพใหญ่แล้ว ก็ให้ทำงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหยางชิ่ง มอบอำนาจให้หยางชิ่งแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ควบคุมงานอะไรเลย
เดิมที่ทั้งสี่ก็ไม่มีความมั่นใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ตั้งใจจะขอคำชี้แนะ นึกไม่ถึงว่าจะเตรียมการไว้แล้ว ย่อมเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะดูแล จึงปลาบปลื้มมาก มาคารวะหยางชิ่งอย่างจริงจังเพื่อทำความรู้จักนายท่านเอาไว้ หยางชิ่งเองก็ไม่อิดออด สั่งให้ทั้งสี่กลับไปเตรียมเรื่องย้ายคนให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องระหว่างบุคคล เมื่อไปถึงพิภพใหญ่แล้วเขาจะเตรียมการให้เอง
ทั้งสี่เอ่ยรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปพร้อมหยางชิ่ง
เหมียวอี้ยืนส่งอยู่ตรงประตู แอบรู้สึกทอดถอนใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าการส่งสี่คนนี้ไปพิภพใหญ่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย อนาคตนั้นยากจะคาดเดา ตอนที่ได้ยินว่าสี่คนนี้มาแล้ว เขาก็ไตร่ตรองว่าควรจะให้สี่คนนี้อยู่ที่พิภพเล็กต่อหรือไม่ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ให้สิทธิพิเศษ มีคนไม่น้อยรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับสี่คนนี้ ถ้าทั้งสี่ไม่ไปก็เกรงว่าจะเกิดผลกระทบใหญ่โต ทำได้เพียงเตรียมการแบบนี้
“พี่ใหญ่ ใกล้เสร็จรึยังคะ?” เยว่เหยาเดินเนิบนาบเข้ามาเรียกอยู่ข้างหลังเขา
ตอนที่เหมียวอี้หันกลับมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือหญิงงามชดช้อยดุจภาพวาด ปิ่นระย้าที่ปักบนมวยผมสั่นไหวเป็นประกาย ช่างยั่วยวนชวนหิวจริงๆ
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยเห็นเยว่เหยาแต่งกายชุดสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่พอกลับมาเห็นอีกก็ยังเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย ทำไมถึงเดินมาถึงขั้นนี้ได้นะ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องตนไม่ละสายตาแบบนี้ เยว่เหยาก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ใบหน้าแดงเรื่อทันที กล่าวอย่างเขินอายว่า “ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”
“เหอะๆ…” เหมียวอี้ส่ายหน้าหัวเราะเจื่อน แล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้อยู่กับฮูหยินหรอกเหรอ?”
ใบหน้างามของเยว่เหยายิ่งแสดงอาการเขินอายหนักกว่าเดิม “ฮูหยินมีธุระค่ะ” ที่จริงหลังจากคุยกับพวกอวิ๋นจือชิวไปสักพักแล้ว อวิ๋นจือชิวก็บอกว่านางคือคนใหม่ เป็นช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามัน ให้นางมาปรนนิบัตินายท่าน ต่อไปถ้ากลับพิภพใหญ่ก็หาโอกาสดีๆ แบบนี้ได้ยากแล้ว
เหมียวอี้ร้องอ๋อ แล้วถามอีกว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
เยว่เหยาบอกว่า “น้องสาวของฮูหยินงอแงจะไปพิภพใหญ่ ฮูหยินกำลังด่านาง”
เหมียวอี้จินตนาการได้ว่าอวิ๋นรั่วซวงมีนิสัยอย่างไร ในขณะนี้เอง หลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวก็มาด้วยกันแล้ว เขาทำได้เพียงบอกเยว่เหยาว่า “เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย”
เยว่เหยาพยักหน้า “งั้นข้ากลับไปรอท่านนะ” เสียงพูดอ่อนโยนขึ้นเยอะเลย ทั้งยังย่อตัวคำนับก่อนถอยออกไปด้วย
เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ใช้เจ้าสามคนที่อยู่ต่อหน้าคนแล้วปากไม่มีหูรูดเสียที่ไหนกัน ปรับตัวกับฐานะได้เร็วมาก กลับเป็นเขาที่ยิ่งนานไปยิ่งปรับตัวได้ยาก
“ท่านปราชญ์!” หลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวคำนับพร้อมกัน คนแรกยังคงแต่งตัวดีมีสง่าราศี ส่วนคนหลังก็ยังแต่งกายไม่มิดชิดเหมือนเดิม
เหมียวอี้นำทั้งสองคนเข้าไปคุยกัน คุยเรื่องการเตรียมการพิเศษสำหรับทั้งสองหลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ให้ทั้งสองเตรียมตัวไว้ให้เรียบร้อย
หลังจากคุยเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ชี้ไปบนตัวจางเทียนเซี่ยว “เจ้าแต่งตัวสะดุดตาเกินไปแล้ว พอไปที่พิภพใหญ่ก็ต้องมิดชิดหน่อย ไม่อย่างนั้นจะสร้างปัญหาให้ทุกคนได้ หลังจากไปที่นั่นแล้ว ฮูหยินจะบอกพวกเจ้าเองว่าต้องทำยังไง”
“รับทราบค่ะ!” จางเทียนเซี่ยวที่แต่งตัวแบบนี้จนชินแล้วเอ่ยรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก
หลังจากทยอยพบคนพวกนี้แล้ว ตอนนี้ฟ้าใกล้จะมืด ขณะที่เหมียวอี้กำลังเตรียมตัวจะออกไป จู่ๆ ข้างนอกก็มีคนมารายงาน บอกว่าน้องสาวของเขามาหาแล้ว
น้องสาวเหรอ? เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที นึกออกแล้วว่าเป็นใคร จึงโบกมือให้คนพาเข้ามา
เป็นอย่างที่คาดไว้ ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เหวินฟางที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูเดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว เป็นน้องสาวจอมเอาเปรียบของเขาเช่นกัน พอเห็นเหวินฟาง เหมียวอี้ก็อดยิ้มไม่ได้ บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้สดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ แต่ความอ่อนเยาว์ของสาววัยแรกแย้มหายไปแล้ว เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย สง่างามละเมียดละไมเหมือนผู้หญิงมากขึ้น
“พี่ใหญ่!” เหวินฟางที่มาตีสนิทตะโกนเรียกอย่างสนิทสนมมาตั้งแต่ไกลๆ ทำให้บ่าวไพร่ที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านหันมอง
เหมียวอี้ไม่ได้รักษามารยาทกับนาง เขาเดินลงบันได แล้วโบกมือบอกใบ้ให้ไปเดินเล่นในสวนด้วยกัน หลังจากได้ยินนางกล่าวแสดงความยินดีแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานแล้วเหรอ?”
เรื่องนี้เขาก็เพิ่งได้ยินจากปากอวิ๋นจือชิวในตอนหลังเช่นกัน ตอนนั้นเขาถูกขังอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ อวิ๋นจือชิวให้ฉินเวยเวยไปร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเอง นางไม่ได้แต่งงานกับใครที่ไหน เป็นคนคุ้นเคยของเหมียวอี้เช่นกัน หลัวผิง คนของสมาคมร้านค้าแดนเซียนในปีนั้น เหมียวอี้เคยทำธุรกรรมกับเขาหลายครั้งแล้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้คาดไม่ถึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายเหวินฟางจะได้ลงเอยกับหลัวผิง
“น้องสาวแต่งงานแล้วค่ะ พี่ใหญ่ไม่มาส่งข้าแต่งงานเลย มีพี่ใหญ่แบบนี้เสียที่ไหนกัน?” เหวินฟางบ่นเขา
เหมียวอี้ตอบอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ขอโทษนะ ตอนนั้นข้ามีธุระปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ” เขาไม่อยากจะพูดเรื่องที่ตัวเองโดนขังในแดนมรณะดึกดำบรรพ์
แต่ใครจะคิดว่าเหวินฟางจะหลุดขำออกมา “ล้อเล่นน่า ใช่ค่ะ เป็นเรื่องเมื่อสามร้อยปีก่อน”
“หลัวผิงยังดีกับเจ้าอยู่มั้ย?” เหมียวอี้ถามอย่างเป็นห่วง
เหวินฟางตอบว่า “ก็ยังพอไหวมั้ง แต่ก็หลีกเลี่ยงสันดานผู้ชายไม่ได้อยู่แล้ว เขาเริ่มมีความคิดจะรับอนุภรรยาแล้วล่ะ แต่อาศัยรัศมีระดับพี่ใหญ่ ก็ทำให้น้องสาวได้เป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือได้บ้าง ข้ายืนหยัดไม่อนุญาตให้หลัวผิงรับอนุภรรยา เอาเป็นว่าเขาก็ยังดีกับข้าอยู่ ในปีนั้นน้องสาวไม่ได้เลือกคนผิด ส่วนเรื่องที่เขาแอบออกไปลักกินขโมยกินนิดหน่อย ตราบใดที่ยังไม่ล้ำเส้นที่ข้าขีดไว้ ข้าก็จะปิดตาข้างเดียวแล้วกัน เรื่องแบบนี้ต่อให้อยากจะคุม แต่ก็คุมไม่อยู่หรอก เขาไม่ไปหาใครก่อน มีแต่นางจิ้งจอกที่ชอบเป็นฝ่ายมายั่วเขาเอง ข้าว่าผู้ชายทุกคนก็คงอดใจไม่ไหวทั้งนั้น พี่ใหญ่ว่ามั้ยล่ะ?” นางพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง อาศัยเส้นสายระดับเหมียวอี้ ชีวิตคู่ของเหวินฟางก็ย่อมไม่แย่อยู่แล้ว หลัวผิงมีเงื่อนไขปัจจัยอย่างนั้น ย่อมดึงดูดผู้หญิงมากมายอยู่แล้ว
ผู้ชายของเจ้าไปหาเศษหาเลยแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า มาถามข้าทำไมเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ เอามือลูบจมูกอย่างกินปูนร้อนท้อง แล้วพยักหน้ายิ้มบ้างๆ “งั้นก็ดี”
จู่ๆ เหวินฟางก็หัวเราะคิกคัก “ตอนนี้เขาก็ยังดีกับข้า แต่อนาคตก็บอกอะไรชัดเจนไม่ได้ เรื่องพิภพใหญ่อือฮาแล้ว ทั้งครอบครัวหวังว่าจะได้พึ่งพาเส้นสายของพี่ใหญ่เพื่อเสาะหาเส้นทางใหม่ ถ้าทำให้พวกเขาผิดหวัง ในภายหลังเกรงว่าน้องสาวจะไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ แล้ว พี่ใหญ่คงไม่ทิ้งน้องสาวเอาไว้โดยไม่ได้สนใจหรอกใช่มั้ย? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ น้องสาวก็จะอาศัยพี่ใหญ่ไปทั้งชีวิตแล้ว ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ไป”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ คาดว่าพอมีเส้นสายของเขาอยู่ คนของตระกูลหลัวก็ไม่กล้าทำให้นางลำบากเหมือนกัน คงจะต้องเกรงใจนาง เพียงแต่ปากก็พูดไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง “ทางพิภพใหญ่ยังคงเป็นหยางชิ่งที่ดูแลงาน เดี๋ยวต่อไปเจ้าไปหาหยางชิ่งแล้วกัน ดูว่าเขาจะเตรียมการยังไง เจ้าแค่บอกไปว่าเป็นประสงค์ของข้า”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ก็จัดการง่ายแล้ว เหวินฟางยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “ยังเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูน้องสาว!” นางดึงแขนเสื้อเหมียวอี้กระโดดโลดเต้น ร้องอุทานอย่างดีใจ ทำเหมือนทั้งสองเป็นพี่น้องกันแท้ๆ
เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน รู้สึกอบอุ่นในหัวใจเล็กน้อย ตามใจนางแล้ว
สำหรับผู้หญิงคนนี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ เอาเป็นว่าเหมียวอี้ค่อนข้างชื่นชม พยายามยืนด้วยลำแข็งตัวเองมาก เขาเองก็เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะอาศัยเส้นสายกับเขา แต่เขาก็รู้ว่านางรู้จักทำอะไรแบบพอดี ดังนั้นจึงไม่ถือสาในการกระทำของนาง และเฝ้ารอจะเห็นนางได้ในสิ่งที่ต้องการเช่นกัน ถึงอย่างไรทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘พี่ชาย’ น้องสาวจริงๆ ถึงแม้ตอนแรกเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าผู้หญิงคนนี้คว้าโอกาสได้แล้ว ไม่ได้อยากได้ทางลัด แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้พยายามช่วงชิงมาจริงๆ จึงได้รับมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ได้ใช้วิธีการนอกลู่นอกทาง ได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง จุดแข็งนี้ทำให้เหมียวอี้ชื่นชม ผู้หญิงคนหนึ่งทำได้ถึงจุดนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายเลย
“เออใช่ ในเมื่อหลัวผิงแต่งงานกับเจ้าแล้ว แต่ทำไมเขาไม่อยู่กับเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้นึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม
พอพูดถึงตรงนี้ เหวินฟางก็ยิ้มเจื่อนส่ายหน้า “ข้าก็ดึงเขามาด้วยกันแล้ว แต่เขารู้สึกว่าเหมือนกำลังเกาะขาคนมีอำนาจมากเกินไป ทนเสียหน้าไม่ไหว บางทีอาจจะเป็นเพราะฐานะของพี่ใหญ่ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกกดดันมาก ข้ายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่สมาคมร้านค้าหลายปีขนาดนั้นแล้วได้ขัดเกลานิสัยยังไงบ้าง ขนาดเสียหน้าเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่ได้ ช่างเถอะ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีบ้างนิดหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยก็ถือเป็นเส้นตายเส้นหนึ่ง ไม่ให้อนาคตเขาทำอะไรกับข้ามากเกินไป”
“เหอะๆ เจ้าก็มองโลกอย่างเข้าใจ!” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม พบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่อยู่กับความเป็นจริง ไม่เหมือนเขาที่พุ่งเข้าใส่อันตรายต่างๆ นาๆ
ทั้งสองเดินเล่นไปพลางคุยไปพลาง บางครั้งเหวินฟางก็แอบมองเขาเงียบๆ ในใจเรียกได้ว่าปลงอนิจจังไม่หยุด ตัวละครเล็กๆ ในปีนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ว่ากันตามจริง ใช่ว่านางจะไม่เคยหวั่นไหวกับเหมียวอี้เลย เพียงแต่ยิ่งฐานะของทั้งสองต่างกัน แล้วก็เห็นท่าทีของเหมียวอี้ว่าไม่ได้คิดอะไรกับนาง นางก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกัน จึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง ยอมรับคนที่ชอบนาง เป็นหลัวผิงที่ทำให้นางมั่นใจได้ ดีกว่าไปรักคนที่เขาไม่รักเราตั้งเยอะ คนบางคนทั้งชีวิตนี้อาจจะทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ
จนกระทั่งฟ้ามืด เหวินฟางถึงได้เป็นฝ่ายขอตัวก่อน ไม่สะดวกจะค้างแรมที่นภาอู๋เลี่ยงเช่นกัน ถึงอย่างไรนางก็แต่งงานแล้ว ต้องระวังผลกระทบด้วย
วันต่อๆ มา ภายใต้การวางแผนของหยางชิ่ง แดนฝึกตนของทั้งพิภพเล็กก็คึกคักไม่ธรรมดา นักพรตจำนวนมากไปรวมตัวกันตามจุดที่กำหนดไว้ของแต่ละแดน มีการสอบถามสถานการณ์ ท่านทูตของแต่ละสายเตรียมติดประกาศแล้ว อธิบายซ้ำไปซ้ำมา เป็นภาพที่เห็นได้ยาก
กำลังพลของทางการ ลูกศิษย์ของสำนักและนักพรตอิสระที่แน่ใจแล้วว่าจะออกเดินทางรีบกลับไปแล้ว กลับไปเตรียมรวบรวมทรัพยากร ต้องการจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองไปด้วย
ผ่านไปไม่นาน ตามขั้นตอนในแผนการของหยางชิ่ง นักพรตพรตจากแต่ละที่ของพิภพเล็กก็ถูกกำลังพลของทางการควบคุมตัวมาส่ง แบ่งกลุ่มรวมตัวกันอยู่ตรงตีนเขารอบๆ นภาอู๋เลี่ยง เป็นฉากที่อลังการงานสร้างจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนกลางคืน เปลวไฟส่องสว่างทอดยาวเหยียด เมื่อทอดสายตามองไปก็เห็นเป็นเหมือนดวงดาวเต็มท้องฟ้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น