คัมภีร์วิถีเซียน 1605-1607

ตอนที่ 1605 เย่ว์จง

 

 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้น พลันเลิกคิ้ว มือหนึ่งร่ายอาคม กระตุ้นจิตสัมผัส


 


 


วิหคเพลิงกลืนวิญญาณเปล่งเสียงร้องไม่ยินยอมออกมา บินมาอยู่ใกล้กับของเหลวเพลิง กลับแค่บินวนล้อมรอบเขาเอาไว้


 


 


หากยังไม่มั่นใจว่าของเหลวเพลิงระดับผสานนี้มีประโยชน์อย่างไร แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางให้วิหคเพลิงวิญญาณกลืนอะไรลงไปมั่วซั่ว


 


 


สาเหตุที่ปล่อยเพลิงชนิดนี้ออกมา แค่อยากให้มันช่วยประสานกับเขา ทดสอบประสิทธิภาพของของเหลวเพลิงสวรรค์เท่านั้น


 


 


นิ้วทั้งสิบของหานลี่ร่ายไปมาอย่างรวดเร็ว ร่ายอาคมหลากสีสันเป็นสายๆ ไปทางของเหลวเพลิง


 


 


อาคมเหล่านี้บ้างก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ไม่ได้จมหายเข้าไปในของเหลวเพลิง บ้างกลับเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ แต่กลับถูกผิวของของเหลวดีดออก และยังมีบางส่วนที่สัมผัสกับอาคม ก็ระเบิดเป็นเสียงราวกับฟ้าผ่าออกมา


 


 


ปรากฏการณ์ประหลาดของอาคมต่างๆ ตรงหน้า ใบหน้าของหานลี่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน


 


 


เมื่ออาคมสีขาวสายสุดท้ายโจมตีไปยังของเหลวเพลิง หลังจากระเบิดหมอกสีขาวออกมาแล้ว นิ้วทั้งสิบของหานลี่พลันหยุดชะงัก หยุดการเคลื่อนไหว และลูบใต้คางไปมา เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


 


 


แต่หลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่ ฉับพลันนั้นเขาพลันพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ใจกลางฝ่ามือมีธงอาคมวิจิตรตระการตาชุดหนึ่งปรากฏขึ้น


 


 


มีขนาดเพียงสองสามชุ่น เล็กกระจิดริด


 


 


ชูมือขึ้น ธงอาคมกลายเป็นลำแสงสองสามสายพุ่งออกไป แต่ทันใดนั้นก็พลิ้วไหวแล้วหายวับไปกลางอากาศ


 


 


สิ่งที่มาแทนที่ก็คือเบื้องหน้าของหานลี่มีเขตอาคมลำแสงขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้น


 


 


เขตอาคมลำแสงนี้แบ่งออกเป็นห้าสี ด้านบนกว้างด้านล่างแคบ ราวกับกรวยกรอกน้ำขนาดยักษ์


 


 


และใกล้กับเขตอาคมลำแสงนี้ อักขระน้อยใหญ่ทยอยกันปรากฏขึ้น เผยความมหัศจรรย์ออกมา


 


 


หานลี่ตะโกนออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศทางของเหลวเพลิงแล้วปล่อยออก


 


 


ชั่วขณะนั้นของเหลวเพลิงสีแดงสดกลุ่มนั้นพลันถูกดูดไปหาเขตอาคมลำแสง


 


 


ในชั่วพริบตาที่ของเหลวเพลิงจมเข้าไปในเขตอาคมลำแสง เขตอาคมที่เดิมทีนิ่งสงบไม่ไหวติง ก็ส่งเสียงร้องกึกกักออกมา


 


 


จากนั้นผิวของมันพลันมีม่านลำแสงห้าสีปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ชั่วครู่ก็กลืนเขตอาคมลำแสงทั้งเขตเข้าไปข้างใน


 


 


หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง นิ้วทั้งสิบร่ายไทปางเขตอาคมลำแสงในเวลาเดียวกัน


 


 


เสียง “ฟิ้วๆ” แหวกอากาศดังขึ้น เส้นไหมผลึกบางๆ เป็นสายๆ พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในม่านลำแสงตรงหน้า


 


 


นิ้วทั้งสิบของหานลี่ขดงอเล็กน้อย


 


 


เส้นไหมผลึกกลายเป็นเส้นตรงอย่างน่าอัศจรรย์!


 


 


ปากพลันบริกรรมคาถา ชั่วพริบตานั้นผิวของเส้นไหมผลึกพลันมีลำแสงประหลาดไหลวนโคจรไปมา ราวกับว่ากำลังมีอะไรสักอย่างส่งมาทางเขตอาคมลำแสง


 


 


หานลี่จ้องเขม็งไปยังเส้นไหมผลึกนั้นด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ


 


 


ตอนนี้สิ่งที่เขาสำแดงก็คือเคล็ดวิชาลับเฉพาะที่เทพขับเคลื่อนทิ้งเอาไว้ สามารถผนึกพลังของจิตสัมผัสและความชาญฉลาดของเขตอาคมเข้าด้วยกันได้


 


 


เคล็ดวิชาลับนี้นอกจากจะสามารถปล่อยพลังจิตสัมผัสไว้ในเขตอาคมได้จำนวนมาก ยังมีประสิทธิภาพที่น่าเหลือเชื่ออย่างการทดสอบประสิทธิภาพของสิ่งของในเขตอาคมด้วย


 


 


พลังจิตสัมผัสที่นิ้วทั้งสิบกลายเป็นเส้นไหมผลึก หานลี่กระตุ้นมันอย่างเงียบๆ ตอนแรกมันแค่สั่นเทาเล็กน้อย


 


 


ในเวลาเดียวกันผิวของเส้นไหมผลึกเหล่านี้ก็มีลำแสงประหลาดเปล่งแสงเรืองๆ


 


 


ยามนี้หากมีคนสามารถมองทะลุผ่านม่านลำแสงห้าสีในเขตอาคมได้ ก็จะมองเห็นมันอย่างชัดเจน


 


 


ตรงใจกลางของเขตอาคม ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์กำลังหมุนติ้วๆ อยู่อย่างรวดเร็ว


 


 


และใกล้กันนั้นอักขระน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลังพยายามโถมเข้าไปในของเหลวเพลิง และในเวลาเดียวกันก็มีอักขระอื่นๆ ทะลักออกมาจากของเหลวเพลิง


 


 


การเข้าและออกนี้ทำให้ผิวของของเหลวเพลิงมีลำแสงสีแดงไหลเวียนอยู่ ราวกับว่ากำลังเดือดปุดๆ อย่างไรอย่างนั้น


 


 


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าจะได้ผลลัพธ์อะไรบางอย่าง แต่หลังจากลังเลไปเล็กน้อย นิ้วทั้งสิบพลันสั่นเทา เส้นไหมผลึกสิบเส้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในเวลาเดียวกัน


 


 


จากนั้นหานลี่พลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม


 


 


เขตอาคมลำแสงเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา!


 


 


ม่านลำแสงห้าสีหมุนวนระลอกหนึ่ง ของเหลวเพลิงอีกกลุ่มที่มีขนาดเล็กกว่าเดิมเป็นอย่างมาก พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วบินออกมาจากม่านลำแสง


 


 


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม พลางชี้ไปทางของเหลวเพลิงกลุ่มนั้น!


 


 


วิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่แต่เดิมวนเวียนอยู่รอบๆ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาปรากฏใกล้กับของเหลวเพลิง และอ้าปากแล้วกลืนมันลงไปในท้อง


 


 


วิหคเพลิงเปล่งเสียงร้องด้วยความสุข หันกายบินมาหาหานลี่ จากนั้นก็กลายเป็นลูกบอลเพลิงกลุ่มหนึ่ง จมหายเข้าไปในร่างของหานลี่


 


 


หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง มือข้างหนึ่งสะบัดไปเบื้องหน้า


 


 


ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีเขียวพลันม้วนวนบินออกมา


 


 


หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น จุดที่ม่านลำแสงสีเขียวพุ่งผ่านไป ม่านลำแสงห้าสีพลันสลายออก เผยด้านในของเขตอาคมลำแสงออกมา


 


 


หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียกไปทางเขตอาคมลำแสงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


 


 


หลังจากที่เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ลำแสงวิญญาณสองสามสายก็พุ่งออกมาจากเขตอาคมลำแสง มาอยู่ตรงหน้าหานลี่ แล้วถึงหยุดชะงักอีกครั้งแล้วกลายเป็นธงเขตอาคมสองสามด้ามลอยพลิ้วลงมาด้านล่าง


 


 


สะบัดแขนเสื้อออกไป ธงอาคมเหล่านี้หายวับไปท่ามกลางลำแสงที่สว่างวาบ


 


 


เขตอาคมลำแสงที่อยู่ไกลออกไปหายวับไปอย่างเงียบเชียบด้วยความรวดเร็ว


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ที่เดิมที่เหลือเพียงของเหลวขนาดเท่ากำปั้นก็ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ


 


 


หานลี่กวักมือไปทางของเหลวเพลิง ขวดหยกสีขาวนวลเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่เหนือเขา


 


 


ปากของขวดหยกเทลง พ่นม่านลำแสงออกมา ดูดของเหลวเพลิงนั้นเข้าไปข้างใน


 


 


หลังจากที่เก็บขวดใบนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว หานลี่กลับหลับตาทั้งสองข้างลง นั่งสมาธิอยู่บนพื้นไม่ไหวติง


 


 


มองดูเขาในตอนนี้ที่ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมา ก็ดูเหมือนว่าจะคิดวิธีดีๆ ในการแก้ไขปัญหาออกแล้ว


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาถึงได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ และเอียงศีรษะยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป


 


 


เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ลูกบอลเพลิงสีเงินปรากฏขึ้น


 


 


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบในเปลวเพลิงสีเงิน เพลิงลูกไฟสีแดงขนาดเล็กปรากฏขึ้น


 


 


หลังจากมองลึกเข้าไปแวบหนึ่ง หานลี่พลันอ้าปากออก พ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา


 


 


ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น


 


 


ชั่วพริบตาที่เปลวเพลิงสีเงินที่เดิมมีขนาดเท่ากำปั้นสัมผัสกับลำแสงสีเขียวก็ระเบิด


 


 


จากนั้นก็หม่นแสงลง ลูกบอลเพลิงสีเงินที่ใหญ่กว่าเดิมสิบเท่าพลันปรากฏขึ้น


 


 


เมื่อเห็นฉากนี้หานลี่พลันพยักหน้าจากนั้นพลันอ้าปากออกสูดเข้าไป


 


 


ชั่วขณะนั้นลูกบอลเพลิงยักษ์พลันกลายเป็นเปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่ง ถูกดูดเข้าไปจนเกลี้ยง


 


 


“ดูแล้วคงไม่ได้หลอกลวง ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ยังมีประสิทธิภาพหลักอยู่จริงๆ ของมีตำหนิแต่ก็ยังมีทุกอย่างครบจริงๆ ปัญหาเดียวก็คือด้านในดูเหมือนจะผสมสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อะไรสักอย่างเอาไว้ และไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ จะทำให้คนผู้นั้นพอใจได้หรือไม่? แต่หากกลืนสิ่งนั้นลงไป เพลิงกลืนวิญญาณที่มีความสามารถในการอาศัยไอวิญญาณบริสุทธิ์เพิ่มพลังให้ตนเองได้ชั่วคราว ก็มีพลังพอแล้ว ตอนที่ต่อกรกับศัตรู ก็สามารถเพิ่มพลังขึ้นได้หลายเท่าในพริบตา” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตนเองสองสามประโยค


 


 


เวลาต่อมา หานลี่ก็นั่งสมาธิต่ออีกชั่วครู่ ขบคิดถึงเรื่องที่ได้เห็นและได้ฟังมาในงานประมูลสี่เผ่า รู้ว่าตนเองไม่ได้อะไรผิด แล้วถึงได้พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง


 


 


เขาควักขวดยาออกมาจากอกเสื้อ และเทยาลูกกลอนมังกรทะยานออกมากินเม็ดหนึ่ง


 


 


จากนั้นหานลี่ก็เริ่มนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียร!


 


 


เวลาที่แดนกว้างเย็นจะเปิดขึ้นนั้นไม่แน่นอน อาจจะยาวหน่อยก็ร้อยปี และอาจจะเกิดขึ้นในช่วงสองสามปีนี้


 


 


แน่นอนว่าเขาต้องรีบถือโอกาสฝึกฝนเอาไว้


 


 


ต่อให้เขาไม่อาศัยไอวิญญาณของแดนกว้างเย็นทะลวงจุดคอขวด การเพิ่มพลังยุทธ์ให้ได้ก่อนจะเข้าไปในแดนกว้างเย็นก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น


 


 


สามเดือนผ่านไป ยังคงอยู่ในห้องลับห้องเดิม ลายเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของหานลี่ สองมือพลางร่ายอาคมฝึกฝนอะไรสักอย่างอยู่


 


 


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ลำแสงสีทองที่ผิวหม่นแสง คิดไม่ถึงว่าจะเก็บวรยุทธ์ไป


 


 


เขาสะบัดแขนเสื้อ ของที่มีรูปทรงคล้ายแผ่นป้ายหยกพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ร่อนลงมาตรงใจกลางฝ่าของเขา


 


 


นั่นคือยันต์หมื่นลี้! ผิวของมันเปล่งแสงสว่างวาบ กำลังปรากฏตัวอักขระขนาดเท่ามดขึ้นหลายแถว


 


 


หานลี่คว้ามันไว้ตรงหน้า กวาดสายตาไปแวบหนึ่ง แววตาเปล่งประกาย


 


 


“คิดไม่ถึงว่าจะเปิดใช้งานแล้ว! ดูแล้วคงต้องไปดูสักหน่อย”


 


 


จากนั้นหานลี่ก็เก็บยันต์หมื่นลี้ ยืนขึ้นแล้วเดินออกจากห้องลับ


 


 


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่ก็ลงมาจากรถอสูรคันหนึ่ง ปรากฏตัวบนถนนที่เคยมาแล้วอีกครั้ง


 


 


เขากวาดสายตาไปเดินไปยังร้านค้าร้านหนึ่งทันที


 


 


ที่น่าแปลกก็คือคิดไม่ถึงว่าร้านค้าร้านนี้จะปิดประตูอยู่ ไม่ได้เปิดรับลูกค้า


 


 


หานลี่กลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด เดินไปถึงหน้าประตูก็ชูมือขึ้น อาคมสายหนึ่งทะลุผ่านประตูร้านเข้าไป


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ประตูร้านก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ


 


 


หานลี่สาวเท้าเข้าไปข้างใน


 


 


หลังจากเข้าประตูมาแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งก็ยืนหน้าตาน่ารักอยู่ตรงนั้น ตรงหว่างคิ้วมีผลึกศิลาเปล่งลำแสงสีขาวอ่อนออกมา


 


 


นั่นก็คือหญิงสาวเผ่าผลึกที่มีนามว่า ‘เซียนเซียน’


 


 


“คารวะท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังคิดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสจะมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้ จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับ หวังว่าท่านอาวุโสจะให้อภัย” เซียนเซียนที่เผชิญหน้ากับหานลี่คารวะตามพิธีด้วยรอยยิ้ม


 


 


“หึๆ ไปต้อนรับหรือไม่นั้นไม่สำคัญ! เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราถึงต้องมีพิธีรีตองมากขนาดนี้ ผู้แซ่หานได้รับข่าวจากสหาย ก็ออกมาในทันที” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมาขณะเอ่ย


 


 


“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมในการพูดคุย ไปคุยกับในห้องลับของชนรุ่นหลังเถิด ที่นั่นยังมีสหายอีกท่านรออยู่ ชนรุ่นหลังจะแนะนำให้ท่านอาวุโสได้รู้จัก” เซียนเซียนฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย


 


 


หานลี่ได้ฟังพลันชักสีหน้า แต่ก็พยักหน้าไม่ได้เอ่ยอะไร


 


 


จากนั้นก็เห็นหญิงสาวปิดประตูร้านลงอีกครั้ง มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ หว่างนิ้วทั้งห้ามีจานอาคมชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น


 


 


นางร่ายอาคมด้วยมือมือหนึ่ง ปากเริ่มบริกรรมคาถา และชี้ไปทางจานอาคม


 


 


ชั่วขณะนั้นจานอาคมพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงห้าสีม้วนวนไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน


 


 


หญิงสาวผู้นี้และหานลี่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านลำแสงนี้ และหลังจากที่ม่านลำแสงหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นเขตอาคมลำแสงห้าสี


 


 


ครู่ต่อมาหานลี่ก็รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบด้านรางเลือน อยู่ในชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสีเทาขมุกขมัว


 


 


นั่นก็คือห้วงมิติเวลาที่หญิงสาวเผ่าผลึกเปิดใช้ขึ้นส่วนตัว


 


 


หานลี่กวาดสายตาไปมองเห็นเงาร่างคนยืนตัวตรงแน่วอยู่ใกล้ๆ ทันที


 


 


“คารวะท่านอาวุโสหาน” เงาร่างคนผู้นั้นประสานกำปั้นให้หานลี่อยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท


 


 


หานลี่ได้ฟัง สองตาพลันหรี่ลงพลางพิจารณา


 


 


เห็นเพียงคนผู้นั้นมีร่างกายกำยำ สวมชุดคลุมหนังสีดำ ใบหน้ามีรอยบากสีม่วงอ่อนสองสามสาย ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย ทั่วทั้งสรรพางค์กายเผยกลิ่นอายอาจหาญออกมา


 


 


หลังจากกวาดจิตสัมผัสออกไปแล้ว คนผู้นี้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลาง


 


 


“สหายมีนามเรียกขานว่าอย่างไร?” หานลี่เดินออกจากเขตอาคมส่งตัว แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


 


 


“ชนรุ่นหลังเย่ว์จง!” บุรุษหน้าบากตอบกลับ


 


 


“พี่เย่ว์เป็นนักล่ามารอสูรที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูเขามารสีทอง! การเข้าออกภูเขาลูกนั้นให้ราบรื่นในครั้งนี้ต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ของสหายเย่ว์แล้ว” เซียนเซียนที่ถูกส่งตัวมาเช่นกัน อธิบายให้หานลี่ฟัง

 

 

 


ตอนที่ 1606 กิเลน

 

 


 


“นักล่ามารอสูร? อันใด สหายผู้นี้มักจะเข้าไปในเทือกเขามารสีทองหรือ?” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี เอ่ยถามอย่างเชื่องช้า


 


 


“ชนรุ่นหลังเคยเข้าไปในเทือกเขามารสีทองทั้งหมดสามสิบเจ็ดครั้ง ในเจ็ดครั้งเคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา!” รอยบากบนใบหน้าของเย่ว์จงบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่กลับเอ่ยอย่างนอบน้อมออกมา


 


 


สามสิบเจ็ดครั้ง? หานลี่ได้ฟัง ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


 


 


ในเมื่อเขารับปากเซียนเซียนไว้ว่าจะเข้าไปในเทือกเขามารสีทองตั้งแต่แรก แน่นอนว่าต้องตรวจสอบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทือกเขาเหล่านี้มาก่อนแล้วรอบหนึ่ง


 


 


อันตรายในเทือกเขามารสีทองมากกว่าที่หญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้กล่าวไว้อย่างแน่ ตอนนี้ยังกล้าเข้าไปในเทือกเขาแห่งนี้อีก แน่นอนว่าต้องมีความกล้าหาญมาก และแม้แต่คนเหล่านี้ก็ไม่อาจเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาได้โดยง่าย แค่สังหารมารอสูรระดับต่ำอยู่ที่รอบนอกเท่านั้น แต่คนที่อยู่เบื้องหน้ากลับมีพลังยุทธ์แค่ระดับเทพแปลงขั้นกลาง คาดไม่ถึงว่าจะเคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทองมานับครั้งไม่ถ้วน


 


 


แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเขาเข้าไปลึกขนาดไหน แต่ก็คงเป็นเรื่องที่ทำให้คนฟังตกตะลึงแน่


 


 


เซียนเซียนเอ่ยอธิบายต่อว่า


 


 


“แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้ชนรุ่นหลังและท่านอาวุโสจะไม่ต้องเข้าไปลึก แต่จุดที่ต้องไปนั้นอยู่ห่างจากทางเข้าเทือกเขาไปค่อนข้างไกล หากพบกับมารอสูรที่แข็งแกร่งรอบนอก ก็จะแย่หน่อย ดังนั้นเพื่อเป็นการรับประกัน ข้าจึงยอมจ้างพี่เย่ว์ให้มารับหน้าที่นำทาง หากเป็นเช่นนั้น ก็จะได้ไม่ผิดพลาด พี่เย่ว์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้ตำแหน่งของมารอสูรที่แข็งแกร่งได้ล่วงหน้า แม้จะมีไอมารรบกวนอยู่ในบรรดาไม่กี่คน”


 


 


“ท่านเซียนเซียนชมเกินไปแล้ว! หากผิดพลาดก็มิกล้ารับไหว อีกอย่างผู้แซ่เย่ว์ไม่ได้เข้าไปในเทือกเขามารสีทองมานานแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายในนั้นมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในระยะนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรเสียครั้งที่แล้วที่เข้าไปในเทือกเขา ก็เป็นเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีก่อน” เย่ว์จงกลับเผยความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมา


 


 


“เพิ่งร้อยกว่าปี จะมีอะไรแตกต่างได้ ตอนนั้นพี่เย่ว์มีชื่อเสียงขนาดนี้ ครั้งนี้แค่ไปที่รอบนอกก็น่าจะปลอดภัยสินะ” เซียนเซียนกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา


 


 


“ท่านเซียนเซียนไม่รู้อะไร ความน่ากลัวของเทือกเขามารสีทองไม่ได้อยู่ที่มารอสูรที่น่ากลัวเหล่านั้น แต่เป็นเพราะสภาพภูมิประเทศที่แทบจะเปลี่ยนแปลงในทุกวัน และไอมารที่สะสมอยู่เป็นเวลานาน ภายใต้ผลกระทบจากไอมารเหล่านี้ สองสามวันก่อนอาจจะยังว่างเปล่า เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสูง วันที่สองอาจจะมีภูเขายักษ์ปรากฏขึ้น และกลายเป็นรังของมารอสูรชนิดใดก็ได้ สำหรับมารอสูรเหล่านี้การพลิกภูเขายักษ์ กระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นไม้ธรรมดาๆ และปล่อยออกมาอีกครั้งเป็นเรื่องที่ง่ายดังปอกกล้วย ครั้งนี้หากไม่กล่าวว่าจะไม่เข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา ช่วงนี้ข้าน้อยเองก็ต้องการของเหลววิญญาณมรกตหมื่นปีสักขวด ต่อให้ท่านเซียนเซียนเสนอราคาที่สูงกว่านี้ ผู้แซ่เย่ว์ก็ไม่มีทางยอมเสี่ยงแน่” เย่ว์จงเอ่ยด้วยสีหน้าซื่อตรง


 


 


“สหายเย่ว์โปรดวางใจ การเดินทางนี้จะอยู่แค่รอบนอก ไม่มีเจตนาจะเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาอย่างแน่นอน พลังยุทธ์ของน้องหญิงเทียบพี่เย่ว์ไม่ได้ ไม่มีความกล้าขนาดนั้น” เซียนเซียนได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงความน่ากลัวของเทือกเขามารสีทองอย่างละเอียด ก็หน้าเปลี่ยนสี แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มอ่อนโยนขณะเอ่ย


 


 


“เช่นนั้นก็ได้ และยิ่งไปกว่านั้นตามที่กล่าวกันไว้ นอกจากบังเอิญพบมารอสูรระหว่างทางแล้ว ข้าน้อยจะไม่เข้าร่วมภารกิจใดๆ ของสหายและท่านอาวุโสหาน แค่รับหน้าที่นำทางเท่านั้น ท่านเซียนเซียนน่าจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ” เย่ว์จงมีสีหน้าผ่อนคลายลง หลังจากขบคิดแล้วก็เอ่ยขึ้น


 


 


“ไม่มีปัญหา ต่อให้ถึงยามนั้นมีสิ่งใดต้องการให้พี่เย่ว์ช่วย ข้าก็จะตอบแทนท่านด้วยสิ่งอื่น ไม่มีทางบังคับแน่” หญิงสาวเผ่าผลึกตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปิดทางตนเอง


 


 


ครั้งนี้เย่ว์จงครุ่นคิดแล้วพลันพยักหน้า นับว่าเป็นการยอมรับโดยดุษณี


 


 


หานลี่ที่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลยมีสีหน้าราบเรียบมาโดยตลอด แค่พิจารณาเย่ว์จงอย่างเงียบๆ ตอนนี้เมื่อเห็นทั้งสองพูดคุยกันจบ ในที่สุดถึงได้เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยขึ้นว่า


 


 


“ความจริงแล้วผู้แซ่หานไม่รู้อะไรกับเกี่ยวกับเทือกเขามารสีทองและมารอสูรเลย แค่รู้จากปากคนใกล้ตัวและบันทึกในคัมภีร์เท่านั้น โชคดีที่เซียนเชิญสหายเย่ว์ผู้ชำนาญเทือกเขามารสีทองมาเข้าร่วม นี่เป็นการดีจริงๆ แต่ข้าก็มีปัญหาเกี่ยวกับเทือกเขามารสีทองอยู่สองสามข้อ อยากให้สหายเย่ว์แถลงไขให้สักหน่อย”


 


 


“ท่านอาวุโสหานสงสัยสิ่งใดโปรดถามมาได้เลยขอรับ ชนรุ่นหลังจะบอกอย่างไม่ปิดบัง” เย่ว์จงตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิด


 


 


“มารอสูรระดับสูงในเทือกเขานั้นไม่ต้องพูดถึง มารอสูรระดับต่ำเหล่านั้นเบิกเนตรหรือยัง ระดับการเบิกเนตรเทียบกับอสูรวิญญาณธรรมดาแล้วเป็นอย่างไร? ยังมี…” หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ เอ่ยซักถามออกมาตรงๆ


 


 


ส่วนเย่ว์จงผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้รู้จักเทือกเขามารสีทองจริงๆ หลังจากได้ฟังแล้วก็ตอบอย่างละเอียดยิบในทันที


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกที่อยู่ด้านข้างได้ยินทั้งสองพูดคุยกัน ก็พูดแทรกขึ้นเป็นบางครั้งคราวภายใต้ความรู้สึกสนใจใครรู้


 


 


ทั้งสามพูดคุยกันในบรรยากาศที่ปรองดองกันเป็นกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหานลี่ก็ได้ข้อมูลที่ตนเองอยากรู้


 


 


เมื่อปัญหาสุดท้ายถูกคำตอบทำให้พึงพอใจแล้ว หานลี่ก็เผยรอยยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า


 


 


“ในเมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว คิดดูแล้วการเดินทางครั้งนี้คงราบรื่นดี แต่ไม่ทราบว่าสหายเซียนคิดว่าจะออกเดินทางเมื่อใด?”


 


 


“เทือกเขามารสีทองอยู่ห่างจากเมืองเมฆาของพวกเราไม่ไกลนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางสองสามเดือน แม้ว่าจะมีเวลาเพียงพอ แต่ก็ไม่อาจเสียเวลานานได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านอาวุโสคิดว่าสามวันหลังจากนี้จะออกเดินทางเป็นอย่างไร?” เซียนเซียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามหานลี่


 


 


เย่ว์จงพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยขัดแย้งอะไร


 


 


“ได้ ตามที่สหายกล่าว สามวันให้หลังพวกเราพบกันด้านนอกประตูทิศตะวันออกห่างออกไปสิบลี้” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วพลันเห็นด้วย


 


 


เย่ว์จงเอ่ยก็พยักหน้า ไม่ได้เผยเจตนาขัดแข้งอะไรออกมา


 


 


“หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้แซ่หานขอกลับไปเตรียมตัวก่อน” หานลี่ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรอนานนัก จึงขอตัวลา


 


 


“สิ่งที่ควรพูดชนรุ่นหลังก็ได้พูดไปแล้ว ชนรุ่นหลังขอส่งท่านอาวุโสด้วยความเคารพ” เซียนเซียนเอ่ยอย่างนอบน้อม และพลิกฝ่ามือหยิบจานอาคมออกมาอีกครั้ง


 


 


ดังนั้นหานลี่จึงเหยียบไปบนเขตอาคมส่งตัวท่ามกลางการส่งด้วยสายตาของทั้งสองคน แล้วหายวับไปท่ามกลางลำแสงวิญญาณด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


“สหายเซียน ท่านอาวุโสหานผู้นี้พึ่งพาได้หรือไม่? เจ้าบอกว่าเขาคือมารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงตนหนึ่ง แต่ข้ากลับสัมผัสกลิ่นอายเคล็ดวิชามารบนร่างของเขาไม่ได้เลย ข้าหาประสบการณ์อยู่ในเทือกเขามารสีทองมาหลายครั้ง จึงมั่นใจว่าย่อมสัมผัสกลิ่นอายมารได้ดี?” เมื่อเห็นหานลี่ส่งตัวออกไปแล้ว เย่ว์จงก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่งตามความรู้สึก แต่ทันใดนั้นก็ย่นคิ้วเอ่ยถาม


 


 


“พี่เย่ว์โปรดวางใจ ความจริงแล้วหากไม่ใช่เพราะท่านอาวุโสหานผู้นี้คือมารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ข้าก็ไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายสนใจได้ แต่จะว่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะการเดินทางครั้งนี้ต้องตามหามารผู้บำเพ็ญเพียรตนหนึ่ง เมืองเมฆาของพวกเรามีชนชั้นสูงระดับเผ่าเบื้องบนตั้งมากมาย ข้าคงไม่รอมาเนิ่นนานเพียงนี้” เซียนเซียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แต่ก็ตอบกลับอย่างมั่นใจ


 


 


“เช่นนั้นท่านอาวุโสหานผู้นี้ก็น่าจะมีเคล็ดวิชาลับปกปิดกลิ่นอายมารสินะ มิเช่นนั้นคงไม่อาจเก็บกลิ่นอายมารได้ถึงขั้นนี้ นอกจากนี้แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของเซียนมีจุดประสงค์อะไร แต่ในเมื่อต้องใช้มารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงตนหนึ่งร่วมทางด้วย คิดดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้เซียนยังเลือกเข้าไปในเทือกเขามารสีทองปีนี้ มันไม่ใช่ความคิดที่ดีอะไรเลย ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่เทือกเขามารสีทองพ่นไอมารออกมาในรอบสามร้อยปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ในระยะเวลาสิบปีนี้มารอสูรที่แข็งแกร่งเหล่านั้นมีโอกาสที่จะออกมารอบนอกไม่น้อย เหตุใดเซียนไม่รออีกสักสี่ห้าปีเล่า?” เย่ว์จงครุ่นคิด แล้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


“ขอโทษด้วย! น้องหญิงมีความลำบากใจ จึงไม่อาจบอกเรื่องนี้กับสหายได้ ข้าจำต้องเข้าไปในเทือกเขามารสีทองภายในสองปีนี้ มิเช่นนั้นครั้งต่อไป คงต้องรออีกสองสามร้อยปี น้องหญิงรอนานขนาดนั้นไม่ได้จริงๆ มีเพียงต้องลองเสี่ยงแล้ว ทว่าด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้เอาของเหลวสีเขียวมรกตหมื่นปีขวดนี้มาจ้างพี่เย่ว์ ข้าเองก็จะบอกพี่เย่ว์อย่างไม่ปิดบัง คนที่ข้าไปหาก่อนหน้านี้ ล้วนไม่มั่นใจว่าจะพาพวกเราไปตามหาสถานที่ที่ต้องการได้อย่างปลอดภัยในช่วงเวลาที่ไอมารระเบิด ข้าถึงได้มาหาสหาย” เซียนเซียนลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้หัวเราะขมขื่นออกมาขณะเอ่ย


 


 


“ในเมื่อท่านเซียนเซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เย่ว์ก็มีเพียงต้องไปสักครั้งแล้ว แต่บอกเอาไว้ก่อนนะ การเข้าไปในเทือกเขามารสีทองตอนที่ไอมารระเบิดออกอย่างเป็นทางการแล้ว ข้าเองก็มั่นใจแค่เจ็ดแปดส่วน ว่าจะพาพวกเจ้าไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย แต่หากบังเอิญพบมารอสูรที่แข็งแกร่งอะไรขวางทางไว้ หรือมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น เป็นอันตรายอาจเพลี่ยงพล้ำล่ะก็ ผู้แซ่เย่ว์จะสะบัดหน้าหนีในทันที และยิ่งไปกว่านั้นของเหลววิญญาณมรกตอีกครึ่งขวดที่เซียนสัญญาเอาไว้ ก็ยังคงต้องจ่ายตามเดิม” เย่ว์จงดูเหมือนจะเอ่ยเตือน


 


 


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสิง่ที่ข้าตกลงกับพี่เย่ว์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลง” เซียนเซียนฉีกยิ้มอ่อนช้อยขณะเอ่ย


 


 


“ทว่าเขาว่าท่านเซียนดูเหมือนว่าจะไม่ได้บอกเรื่องไอมารระเบิดกับท่านอาวุโสหาน ถึงยามนั้นจะไม่เกิดปัญหาอะไรสินะ?” เย่ว์จงพยักหน้า จากนั้นก็หรี่ตาทั้งสองข้างพลางเอ่ยถาม


 


 


“สาเหตุที่ข้าพาท่านอาวุโสหานไปด้วย ก็เพราะต้องการอาศัยอิทธิฤทธิ์ทางสายมารของท่านอาวุโสหาน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการระเบิดของไอมาร หากแม้แต่พี่เย่ว์ก็ยังไม่อาจนำพวกเราเข้าออกเทือกเขามารสีทองได้อย่างปลอดภัย ต่อให้บอกท่านอาวุโสหานก็มีผลลัพธ์เช่นเดิม อีกอย่างเมื่อเข้าไปในเทือกเขา ท่านอาวุโสหานย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่แค่จะรู้ช้าหรือเร็วหน่อยเท่านั้น” หญิงสาวเผ่าผลึกกะพริบดวงตาคู่งาม เผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ขณะเอ่ย


 


 


“นั่นมันก็ใช่ ทว่าหากบอกเร็วหน่อย เกรงว่าท่านเซียนเซียนคงไม่อาจเชิญท่านอาวุโสหานผู้นี้ได้ในราคาค่าตอบแทนแค่นี้สินะ” เย่ว์จงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา เผยสีหน้ารู้ทันขณะเอ่ย


 


 


มุมปากของเซียนเซียนหยักขึ้น ฉีกยิ้มไม่ได้เปล่งคำพูดใดๆ


 


 


จากนั้นเย่ว์จงและหญิงสาวเผ่าผลึกก็พูดคุยรายละเอียดกันเล็กน้อย แล้วก้าวเข้าไปในเขตอาคมส่งตัวถูกส่งออกมาเช่นกัน


 


 


ชั่วพริบตาในห้วงมิติเวลาจึงเหลือท่านเซียนเซียนเพียงผู้เดียว


 


 


รอยยิ้มที่เผยออกมาบนใบหน้าของหญิงสาวเผ่าผลึกค่อยๆ หายวับไป และยิ่งไปกว่านั้นคิ้วดำขลับยังเลิกขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


ฉับพลันนั้นแขนเสื้อของนางพลันสะบัด ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นอสูรน้อยสีเขียวอ่อนขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง


 


 


อสูรตัวน้อยเรือนกายเต็มไปด้วยเกล็ด แขนขาทั้งสี่แหลมคม ในเวลาเดียวกันบนหัวก็เขาคู่หนึ่ง เขี้ยวงอกออกมาจากปาก คาดไม่ถึงว่ามีท่าทางเหมือนกับจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนอย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่แค่อสูรน้อยตัวนี้เรือนร่างรางเลือนมาก กลับเป็นร่างที่ไร้รูปร่าง ท่าทางแค่ถูกลมพัดก็สลายหายไปแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1607 เงากิเลน

 

“เจ้ามั่นใจว่าที่นั่นจะเปิดในอีกสองปีหรือ? อย่านับวันผิดล่ะ ขอแค่นับวันผิดไปสองสามปี ข้าก็เสี่ยงอันตรายอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว และยังพลาดโอกาสดีๆ ไปด้วย” เซียนเซียน มองเงาลวงตากิเลนตรงหน้า และเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม


 


 


“อันใด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อข้างั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ที่ข้าชี้แนะเจ้าเคยผิดพลาดหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้าได้ประโยชน์จากซากปรักหักพังจากอีกแห่งหนึ่งที่บอกก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้หรอก จากพรสวรรค์เผ่าผลึกของพวกเจ้า ฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี ในสายตาคนเผ่าเจ้าก็นับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว” เงาลวงตากิเลนชูคอขึ้น พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน


 


 


“ตั้งแต่ที่ข้าถือกำเนิด เจ้าและข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน หากข้าเป็นอะไรไป เจ้าก็ต้องวิญญาณแหลกสลายเช่นกัน จะไม่เชื่อถือเจ้าได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นแค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนในตอนนั้น หากจำผิดหรือลืมอะไรไป ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าเลยรู้สึกไม่ค่อยเชื่อถือเท่านั้น” หญิงสาวเผ่าผลึกจ้องเขม็งไปยังกิเลนขนาดจิ๋วตรงหน้า แล้วเอ่ยอย่างไม่โกรธาเลยสักนิด


 


 


“ใช่แล้ว! ข้าเป็นแค่หนึ่งในเศษเสี้ยววิญญาณของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนที่ระเบิดตัวเองตัวนั้น แต่ตอนนั้นเขาถูกศัตรูบีบจนต้องเพลี่ยงพล้ำ ต่อให้ไม่ระเบิดตัวเองจิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่อาจหนีรอดออกมาได้เช่นกัน แม้ว่าสุดท้ายจะสำแดงอิทธิฤทธิ์เหนือชั้น แยกจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมากกว่าแสนส่วน แต่เพื่อจะฟื้นคืนชีพ วันข้างหน้าจะได้มีโอกาสฝึกบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง จึงทิ้งข่าวสารสำคัญอย่างสมบูรณ์แบบเอาไว้ในทุกๆ เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ รังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดเหล่านั้น วางใจเถิด ไม่มีทางผิดพลาดแน่” กิเลนจิ๋วหัวเราะฮ่าๆ ขณะเอ่ย


 


 


“แน่นอน ข้าฝึกฝนมาจนถึงระดับนี้ ต้องขอบคุณที่ตอนเจ้าสิงร่างข้านั้นข้ายังเป็นทารกในครรภ์อยู่ ทว่าเงากิเลนทำเช่นนั้นในตอนแรก เดิมก็เพื่อถือโอกาสอาศัยทารกในครรภ์เพื่อถือกำเนิด แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสุดท้ายเจ้าทำเสร็จได้อย่างไร ถึงอย่างไรเสียก็กลายเป็นครึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณข้าแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าไม่ได้มีเจตนาดีอะไรกับข้า” เซียนเซียน แววตาเปล่งประกาย เบะปากขณะเอ่ย


 


 


“เหตุใดยังเอ่ยเรื่องนี้อีก! สุดท้ายข้าก็ทำสำเร็จมิใช่หรือ! และเพราะข้าโชคร้าย คาดไม่ถึงว่าจะสิงร่างเจ้า มิเช่นนั้นหากข้าไปหาคนอื่นในตอนนั้นล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นอิสระได้ตั้งนานแล้ว” กิเลนจิ๋วได้ฟังผิวก็เปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะอารมณ์เสียอย่างสุดๆ


 


 


“ช่างเถิด เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้สถานการณ์ของเจ้าในตอนนั้นหรือ ตอนนั้นข้าถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็กๆ ของเผ่าผลึก ผู้ที่ยังไม่ได้ถือกำเนิดเป็นทารก ก็มีข้าเพียงคนเดียว เจ้าแค่คิดว่าตอนนั้นจิตวิญญาณและสติปัญญาของข้ายังไม่สมบูรณ์ จึงคิดจะยึดครองร่างข้าอย่างสบายๆ นั่นคือความจริง” เซียนเซียนกลับหัวเราะคิกคักออกมา


 


 


“ตอนนั้นข้าหนีออกมาได้ พลังของจิตวิญญาณก็ใกล้จะหมดแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องหาร่างสิงที่ง่ายที่สุด มิเช่นนั้นหนึ่งในเศษเสี้ยวจิตวิญญาณวิญญาณเที่ยงแท้ การยึดครองร่างของเผ่าผลึกที่โตเต็มวัย ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ง่ายดาย เหตุใดต้องมาหาเจ้า” กิเลนจิ๋วหัวเราะหึๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา


 


 


“เอาล่ะ เจ้าและข้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องในวันนั้นแล้ว แม้ว่าเจ้าจะเกิดใหม่ไม่สำเร็จ แต่ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้ การเข้าไปในรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในครั้งนี้ล้วนมีประโยชน์ต่อเราทั้งสองในเวลาเดียวกัน อย่าให้มีอะไรผิดพลาด มิเช่นนั้นก็ต้องรให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น แล้วค่อยไปหารังจิตวิญญาณเที่ยงแท้นั่นอีกครั้ง แม้ว่าจะบอกว่าต้องรอนาน แต่ก็ดีกว่าตอนนี้ที่ต้องเข้าไปในเทือกเขามารสีทองกับผู้ที่มีพลังยุทธ์เหนือกว่าตนเองสองคน” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยอย่างมีแผนการ


 


 


“พรสวรรค์เผ่าผลึกอย่างพวกเจ้าไม่สูงนักจริงๆ แม้ว่าจะมีข้าชี้แนะ ประกอบกับกินยาลูกกลอนไปจำนวนมาก หากอยากพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ค่อยจะเป็นไปได้นัก แต่เจ้าเสียเวลาไปนานขนาดนี้ กลับได้ไม่คุ้มเสีย แต่จะว่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ถูกมารอสูรระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับบาดเจ็บหนักยึดครองเข้าพอดี แม้ว่าเจ้าจะเสี่ยงอันตรายสักหน่อย แต่ไปคนเดียวจะมั่นคงกว่า”


 


 


คำพูดของเงาลวงตากิเลนหยุดชะงัก แล้วเอ่ยต่อ


 


 


“วางใจเถิด เจ้าไม่ได้เตรียมวิธีการควบคุมสองคนนั้นไว้แล้วหรือ หากพวกเขาไม่มีเจตนาอื่นก็ดี หากมีล่ะก็ ก็สำแดงวิธีการเหล่านั้นออกมา แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ ที่ระดับสูงกว่าเจ้าสองสามขั้น แต่หากไม่ทันระวังตัวก็ยากที่จะต้านทานแน่”


 


 


“สิ่งมีชีวิตธรรมดา! ความหมายของเจ้าคือในบรรดาสองคนนี้มีผู้ที่ไม่ธรรมดาแล้ว วิธีการเหล่านั้นคงไม่พลาดหรอกนะ” หญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้ฉลาดเป็นกรด ชั่วพริบตาก็ฟังอะไรออก สีหน้าหวาดกลัว


 


 


“เจ้าและสองคนนั้นล้วนเคยคบค้ากันแค่สองครั้ง แม้ว่าข้าจะซ่อนอยู่ในร่างของเจ้า แต่ก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้ กลิ่นอายบนร่างของเย่ว์จงนั้นบางครั้งก็แข็งแกร่งบางครั้งก็อ่อนแอ ราวกับไม่มีอยู่จริง ในเวลาเดียวกันที่เข้าใกล้หว่างคิ้วจะมีจิตสังหารแผ่ออกมาจากเรือนร่าง หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ เขาน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาอันบ้าคลั่งอย่างหารอำพรางและการสังหารเป็นหลัก แน่นอนว่าน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอื่นๆ ไปด้วย มิเช่นนั้นคงไม่อาจเข้าออกเทือกเขามารสีทองได้อย่างอิสระเช่นนี้ ทว่าเมื่อนำเย่ว์จงมาเทียบกับเจ้าผู้ที่มีนามว่าหานลี่ ก็แค่พิเศษเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เพียงพอให้หวาดกลัว คนหลังไม่เพียงมีพลังยุทธ์เหนือกว่าเย่ว์จง ยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาและความสามารถล้วนไม่ธรรมดา แม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกได้ว่าอันตราย ทว่าวิธีควบคุมพวกเขาที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้า ล้วนเป็นวิธีที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว โดยเฉพาะวิธีการรักษาชีวิต ยิ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้ แม้ว่าเมื่อต่อสู้กันจะไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ แต่หากจะรักษาชีวิตเอาไว้นั้นกลับเป็นเรื่องที่ทำได้สบายๆ” กิเลนจิ๋วใช้น้ำเสียงมั่นใจเอ่ยขึ้น


 


 


“ในเมื่อเงากิเลนกล่าวเช่นนี้ ข้าก็สบายใจแล้ว ทว่าเทียบกันแล้ว ข้ากลับกังวลอีกเรื่องหนึ่ง” เซียนเซียนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย


 


 


“อ๋อ มีปัญหาอะไร?” กิเลนจิ๋วสะบัดหัวสะบัดหาง ท่าทางอยากรู้อยากเห็น


 


 


“ตอนนั้นที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของกิเลนตัวนั้นระเบิดตัวเองออก สามารถแยกจิตวิญญาณได้เป็นแสนดวงแล้วหลบหนีได้ สุดท้ายผู้ที่หนีออกมาได้คงไม่ได้มีเจ้าเพียงดวงเดียวสินะ คนเหล่านี้ก็รู้ตำแหน่งของรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้เช่นกัน ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ที่นั่นไม่ถูกใครเปิดไปแล้วหรือ ประโยชน์ในนั้นอาจจะถูกคนชิงไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่สุดท้ายพวกเราก็ไปอย่างเปล่าประโยชน์นะ” เซียนเซียนเอ่ยสิ่งที่ไตร่ตรองออกมาทีละประโยคๆ


 


 


“ตอนนั้นแม้ว่าจะแยกจิตออกมาจำนวนมาก แต่ที่หนีออกมาได้จริงๆ ก็มีเพียงไม่กี่ดวง ที่เหลือก็สิงร่างไม่สำเร็จและเกิดอุบัติเหตุอื่นๆ จะยังมีจิตวิญญาณอื่นอยู่หรือไม่ ก็พูดยาก ผ่านมานานขนาดนี้ต่อให้มีก็เหมือนกันกับข้า มีบุคลิกเป็นของตนเองแล้ว ผู้ใดก็ไม่มีทางถูกกลืนกินไปง่ายๆ ทว่าก่อนที่จะเปิดรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ข้ารู้สึกว่าความเป็นไปได้มันมีไม่มากนัก!” เงาลวงตากิเลนเสียงเปลี่ยนไป พลางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม


 


 


“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ขอแค่ได้ประโยชน์ในรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้ การฝึกฝนในอนาคตก็น่าจะยาวไกลแล้ว” เซียนเซียนเอ่ยพึมพำกับตนเอง


 


 


“หึๆ นั่นมันก็ใช่ มิเช่นนั้นข้าจะเก็บรักษาข่าวนี้เอาไว้อย่างชัดเจนได้อย่างไร” เงากิเลนเอ่ยเตือน


 


 


ครั้งนี้เซียนเซียน ฉีกยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ


 


 


เงาลวงตากิเลนขนาดจิ๋ววงล้อมรอบหญิงสาวผู้นี้สองสามรอบ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า


 


 


“เอาล่ะ ผู้ที่มีนามว่าหานลี่ผู้นั้น จิตสัมผัสไม่อ่อนแอ วันข้างหน้าตอนที่เดินทางไปกับเขา ไม่จำเป็นก็อย่าติดต่อกับข้า เพื่อไม่ให้ถูกเขาดูอะไรออก หากจะปรากฏตัวอีกครั้ง ทางที่ดีที่สุดก็คือตอนที่อยู่ในรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้แล้ว”


 


 


จากนั้นเงาลวงตากิเลนก็กระโจนเข้าไปในร่างของหญิงสาวเผ่าผลึก ชั่วขณะนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้เงา


 


 


หญิงสาวผู้นี้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ร่างกายพลิ้วไหว เดินเข้าไปในเขตอาคมส่งตัวเช่นกัน


 


 


โบกมือไปมาในจานอาคม เงาอันงดงามหายวับไปท่ามกลางลำแสงที่เปล่งแสงสว่างวาบ


 


 


สามวันต่อมาบนภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเมืองเมฆา ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง สวมชุดคลุมสีเขียว สองมือไหล่หลังกำลังยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์ตรงยอดเขา พลางมองทัศนียภาพอันเขียวขจีตรงหน้า


 


 


ร่างกายของเขาไม่ไหวติง สีหน้าราบเรียบ


 


 


นั่นก็คือหานลี่ที่นัดไว้ว่าจะมาที่นี่


 


 


เขามาถึงที่นี่สักพักแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าเพิ่งจะสาดแสงเจิดจ้าได้ไม่นาน ดูแล้วคงมาเช้าไปหน่อย


 


 


ทว่าเขาเองนานๆ จะมีเวลาว่างเช่นนี้สักครั้ง หลังจากสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปสองสามครั้ง ก็อารมณ์ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เลวนัก


 


 


หานลี่ไม่ได้รออยู่นานนัก หลังจากรออยู่อีกครึ่งชั่วยาม เขาก็ชักสีหน้า หันหน้าไปมองกลางอากาศ


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ท้องฟ้าก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น สายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากกะพริบวาบสองสามครา ก็ร่อนลงด้านข้างหานลี่


 


 


เงาร่างคนสายหนึ่งหม่นแสงลงแล้วปรากฏขึ้น กลับเป็นเย่ว์จงผู้นั้น!


 


 


“คารวะท่านอาวุโสหาน ปล่อยให้ท่านอาวุโสรอนานแล้ว” เย่ว์จงคารวะหานลี่ เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าตั้งใจมาเร็วหน่อยเท่านั้น” หานลี่สั่นศีรษะ มองความผิดปกติบนใบหน้าไม่ออกเลยสักนิด


 


 


เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ เย่ว์จงก็ฉีกยิ้ม แล้วหาที่ที่สะอาดๆ แถวนั้นนั่งสมาธิลง


 


 


หานลี่ยังคงยืนเหม่อมองอยู่บนก้อนหินยักษ์ ไม่ได้มีเจตนาจะลงมา


 


 


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หญิงสาวนามว่าเซียนเซียนก็มาถึงเช่นกัน


 


 


เมื่อนางกลายเป็นลำแสงสีขาว ร่อนลงจากกลางอากาศนั้น หานลี่ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย


 


 


ส่วนเย่ว์จงก็ยืนขึ้น


 


 


“ท่านเซียนเซียนมาถึงแล้ว เช่นนั้นล่ะก็คนก็ครบแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถิด” หานลี่รอให้หญิงสาวเผ่าผลึกปรากฏตัว ก็เอ่ยขึ้นเสียเลย


 


 


จากนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ


 


 


เย่ว์จงและเซียนเซียนเห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมไล่ตามไปติดๆ โดยไม่ปริปากใดๆ


 


 


ระยะทางหนึ่งเดือนจะกล่าวว่ายาวก็ไม่ยาว จะกล่าวว่าสั้นก็ไม่สั้น ประกอบกับบวกเวลาที่เข้าไปในเทือกเขามารสีทองอีกหนึ่งเดือน


 


 


ดังนั้นหากเดินทางอย่างราบรื่น สามเดือนต่อจากนี้ พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองเมฆาอีกครั้ง


 


 


หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ควบคุมลำแสงหลีกหนีห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม


 


 


ระหว่างทางนั้นปลอดภัยไร้อันตราย!


 


 


หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามคนบินผ่านเทือกเขานิรนามที่ทอดตัวเรียงติดกันไปผืนหนึ่ง ตรงหน้ามีทะเลหมอกไร้ขอบเขตที่ก่อตัวขึ้นจากหมอกสีเขียวทอดยาวอยู่


 


 


“นี่คือทะเลหมอกสีเขียวเขตต้องห้ามของเทือกเขามารสีทอง และเป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียวของเทือกเขามารสีทอง หากอยากบุกเข้าไปทางอื่นล่ะก็ หึๆ แน่นอนว่าย่อมมีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น” เย่ว์จงเห็นทะเลหมอกนี้ แววตาก็เปล่งประกายขณะเอ่ย น้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)