พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1603-1606
บทที่ 1603 แรงกดดัน
ก่อนที่ชีเจวี๋ยจะมา เหมียวอี้ก็กำลังครุ่นคิดพอดีว่าจะอธิบายเรื่องของเจียงอีอีให้โค่วเจิงฟังอย่างไร
ตระกูลโค่วไม่รู้เรื่องที่เจียงอีอีฆ่าตัวตาย แต่รู้ว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือเหมียวอี้ และกำลังรอฟังข่าวจากเหมียวอี้เท่านั้น ใครจะคิดว่าผ่านไปครึ่งวันจะไม่เห็นฝั่งเหมียวอี้พูดอะไรกลับมา โค่วเจิงจึงทำได้เพียงติดต่อมาถามข่าว หลังจากได้รู้ว่าเจียงอีอีฆ่าตัวตายก็ตกใจเช่นกัน
โค่วเจิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากเพราะเรื่องนี้ เพียงเตือนอย่างคลุมเครือมาก ความหมายคร่าวๆ ก็คือ เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จำไว้ว่าในภายหลังไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ให้รายงานตระกูลโค่วให้ทันเวลา เจ้าทำตามอำเภอใจแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? ถ้าเหมิงเซวี่ยลงมือสังหารขึ้นมา ตระกูลโค่วก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร ทำแบบนี้ได้อย่างไร?
แน่นอน เหมิงเซวี่ยเป็นแค่ข้ออ้าง ความหมายที่ชี้แนะก็แทบจะชัดเจนแล้ว ว่าในภายหลังเจ้าต้องรายงานตระกูลโค่วทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นตระกูลโค่วก็จะไม่พอใจ
ปากเหมียวอี้ก็ตอบตกลงแล้ว เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เพราะตระกูลโค่วทำให้รู้สึกว่าควบคุมมากเกินไป
กลับเป็นอวิ๋นจือชิวที่คอยแนะนำอยู่ข้างๆ ว่าการที่อีกฝ่ายคิดอยากจะควบคุมก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ให้เขาลองคิดดูอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาจะต้องเกี่ยวพันไปถึงตระกูลโค่วแน่นอน นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของตระกูลโค่วได้
หลังจากชีเจวี๋ยมาแล้ว เขาก็พูดรับมือกับชีเจวี๋ยเหมือนที่พูดกับตระกูลโค่ว
หลังจากได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว เฉาหม่านก็เงียบไปนานมาก แล้วจู่ๆ ก็แสยะหัวเราะ “น้องสาวเหรอ? สงสัยน้องสาวของเจียงอีอีจะถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ที่สมาคมวีรชน มิน่าล่ะ” เขาหันตัวมาแล้วถามอย่างสงสัยอีก “เจียงอีอีคนนี้นับว่าใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว แต่ทำไมต้องฆ่าตัวตายในเวลานั้นด้วยล่ะ? ไปถึงตำหนักสวรรค์แล้วค่อยฆ่าตัวตายจะไม่เหมาะสมกว่าเหรอ?”
ชีเจวี๋ยตอบว่า “อาจจะกลัวว่าไปที่ตำหนักสวรรค์แล้วจะไม่มีโอกาสได้สารภาพอีก ถึงได้อาศัยช่องโหว่ตรงนี้”
“ข้าก็หวังให้เป็นอย่างนี้เหมือนกัน กลัวก็แต่ทางหนิวโหย่วเต๋อจะเล่นตุกติกอะไร เจ้าว่าหนิวโหย่วเต๋อจะง้างปากเอาข้อมูลอะไรจากเจียงอีอีได้รึเปล่า?” เฉาหม่านถาม
“ตามหลักการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนที่พวกเราส่งเขาไปที่จวนแม่ทัพภาค ข่าวก็ถูกปล่อยออกไปแล้ว ตำหนักสวรรค์น่าจะกดดันหนิวโหย่วเต๋อทันที ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ฆ่าเจียงอีอี มีหรือที่จะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับเจียงอีอีที่อ่อนแอเกินทนแล้ว? เจียงอีอีปากแข็งมาก ถ้าทำให้ตายไป เขาเองก็รายงานกับเบื้องบนไม่ได้อยู่ดี” ชีเจวี๋ยตอบ
“ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรู้หรือไม่รู้ ปัญหายุ่งยากในตอนนี้ก็คือเจียงอีอีตายแล้ว ทางตำหนักสวรรค์จะต้องระแวงสงสัยพวกเราแน่นอน…อุตส่าห์วางแผนไว้อย่างดี คาดไม่ถึงว่าจะมีช่องโหว่นี้ วุ่นวายใจไปเปล่าๆ เฮงซวย!” เฉาหม่านบ่น
คลื่นลมในครั้งนี้ผ่านไปแล้ว คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกไม่คายความลับ คนนอกไม่รู้เช่นกันว่าข้างในเกิดเรื่องอะไรกันแน่ คิดเพียงว่าตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีไปให้หนิวโหย่วเต๋อเพื่อให้โอกาสสร้างผลงาน ไม่รู้ในว่าในนั้นมีลับลมคมใน ถึงขั้นมีคนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตึกศาลาสัตยพรตส่งเจียงอีอีไปให้เหมียวอี้ ที่จริงเรื่องราวมากมายในโลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องผู้ที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่มีวันรู้ความลับเลยตลอดไป
และเหมียวอี้ก็ได้สร้างผลงานเพราะเรื่องนี้แล้วจริงๆ เจียงอีอีถูกจับแล้วตาย ทำให้ขุนนางไม่น้อยในตำหนักสวรรค์รู้สึกสะใจ ในที่สุดภัยร้ายที่ทำให้คนหวาดระแวงกลัวก็หายไปแล้วหนึ่ง ถ้าโจรคนนี้ยังไม่ตายไป ก็ยีงไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมาก่อคดีกับตน แต่ทำให้พวกที่เคยรับเคราะห์ได้ระบายความโกรธด้วย
อย่าไปมองว่าเจียงอีอีเป็นแค่โจรราคะคนหนึ่ง เพราะว่ามีผลกระทบเยอะมาก คนในใต้หล้าล้วนสุมหัวนินทาเรื่องที่เจียงอีอีได้รับโทษ โดยเฉพาะเรื่องที่ตกอยู่ในมือเหมียวอี้ ทำให้ชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อโด่งดังอีกครั้ง แต่ก็มีคนปล่อยข่าวซุบซิบเพื่อฉวยโอกาสซ้ำเติม บอกประมาณว่าฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อโดนเจียงอีอีล่วงเกินแล้ว ในเมื่อมีคนตั้งใตจะเล่นแบบนี้ เสียงนกเสียงกาก็ทำให้คนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ไม่ว่าใครก็อุดปากคนในใต้หล้าไม่ไหว
ในการกระชุมราชสำนักมีคนกระโดดออกมาช่วยขอผลงานให้เหมียวอี้ เนื่องจากมีอิทธิพล จึงไม่มีใครคัดค้าน ทำให้เหมียวอี้เลื่อนยศรวดเดียวสามขั้นได้อย่างราบรื่น จากเกราะดำหนึ่งแถบไปเป็นเกราะดำสามแถบ
หลังจากส่งคนที่ถ่ายทอดคำสั่งกลับไปแล้ว เหมียวอี้ที่กลับมาในโถงหลักก็มองดูเกราะรบของตัวเอง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ได้ยินว่าครั้งนี้ได้เลื่อนขั้นอย่างราบรื่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นก้างขวางคอเลย”
หยางชิ่งย่อมรู้ว่าก้างขวางคอที่เขาบอกหมายถึงใคร ใครที่ตั้งใจจะให้ลดขั้น เหมียวอี้ก็ย่อมว่าคนนั้นเป็นก้างขวางคอ จึงกล่าวอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านนั้นไม่อยากให้เรื่องของเจียงอีอีขยายใหญ่ต่อไปแล้ว ทำได้เพียงเข็นเรือไปตามน้ำ ไม่อย่างนั้นคงจะเลื่อนยศตั้งสามขั้นในรวดเดียวไม่ได้ แน่นอนว่าตระกูลโค่วมีอิทธิพลต่อการประชุมในราชสำนัก ไม่อยากนั้นคงไม่เอ่ยปากขอการเลื่อนขั้นให้นายท่านในที่ประชุมหรอก แต่ก็ผิดใจกับคนเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะมีตระกูลโค่วกดดันไว้ เกรงว่าท่านนั้นคงจะแกล้งโง่ต่อไปได้ มีคนอยู่ในราชสำนักก็จัดการเรื่องราวได้ง่ายแบบนี้”
“วัวสันหลังหวะ!” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก ถือเกราะรบโบกไปโบกมา เหมือนจะไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก “เกราะดำหนึ่งแถบกับเกราะดำสีแถบ สำหรับข้าไม่ได้มีความหมายต่างกันเท่าไรนัก?”
หยางชิ่งยิ้มพร้อมตอบว่า “ในด้านความหมายนั้นต่างกันนิดหน่อย อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาให้นายท่านไต่เต้ากลับไปตำแหน่งเดิม ตระกูลโค่วไม่ได้ทำให้นายท่านออกจากตลาดผีได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อไรที่นายท่านมียศเพียงพอแล้ว ตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีก็รั้งนายท่านไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นตระกูลโค่วก็จะทำให้นายท่านกลับไปบัญชาการกำลังพลมหาศาลได้อย่างชอบธรรมแล้ว ตระกูลโค่วน่าจะเฝ้ารอสิ่งนี้มาก”
ในตอนนี้หยางชิ่งก็รู้สึกได้เช่นกันว่าท่าทีที่เหมียวอี้มีต่อตนนั้นเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เวลามีเรื่องอะไรก็จะมาปรึกษาตนทุกอย่าง อย่างน้อยก็ปล่อยอำนาจทางตลาดผีให้เขาอย่างเพียงพอ ที่จวนแม่ทัพภาคในเวลานี้ นอกจากเหมียวอี้แล้วก็นับว่าเขามีอำนาจควบคุมมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาดีใจมาก อย่างน้อยก็แสดงความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง พอหันกลับมามองแบบนี้ ก็พบว่าคดีที่น่านฟ้าระกาติงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “กลัวก็แต่ข้างในจะเกิดเหตุพลิกผัน คนที่ไม่อยากเห็นฉากนี้เกิดขึ้นมีตั้งเยอะ”
หยางชิ่งบอกว่า “อย่างน้อยมีตระกูลโค่วค่อยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับตระกูลเซี่ยโห้วอยู่เบื้องหลัง นายท่านก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยที่ตลาดผีมากนัก เรื่องของเจียงอีอีก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว รอให้นายท่านไปบัญชาการทัพใหญ่ที่ทัพเหนือของตระกูลโค่ว มีกำลังพลกลุ่มใหญ่อยู่ข้างกาย ต่อให้คนนอกอยากจะทำอะไรนายท่านอีกก็ยากแล้วแล้ว”
“อืม พวกเราคงทำได้แค่คอยดูไปทีละก้าว เออใช่ เรื่องกลับพิภพเล็ก เจ้ารีบไปเตรียมตัวแข่งกับเวลา”
“ทางข้าน้อยเตรียมตัวเหมาะสมแล้ว สามารถกลับได้ทุกเมื่อ”
เหมียวอี้พยักหน้า นับว่าถูไถผ่านด่านตรงหน้าไปได้แล้ว แต่ก็ยังมีอีกปัญหายุ่งยากที่ทำให้เขาปวดหัว จะทำอย่างไรกับเยว่เหยาดีล่ะ?
คิดไปคิดมา สุดท้ายก็ไม่มีทางปิดบังเยว่เหยาได้ตลอด ท้ายที่สุดก็ยังมาที่ห้องของเชียนเอ๋อร์ ไปหาเยว่เหยาแล้ว
เยว่เหยาที่นั่งเงียบอยู่ในห้องเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าอีก กำลังเล่นชายกระโปรงเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
เมื่อได้ยินนางพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้น เขาก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง จึงไม่ได้คลายผนึกบนตัวนางเลย
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เชียนเอ๋อร์ให้ออกไปปิดประตูแล้ว ส่วนตัวเองก็เดินลงมานั่งบนเกาอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง หลังจากทั้งสองเงียบไปสักพัก สุดท้ายเหมียวอี้ก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “เจียงอีอีตายแล้ว”
มือของเยว่เหยาที่กำลังเล่นกระโปรงสั่นเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วแกะชายกระโปรงพร้อมถามเสียงเบา “ท่านฆ่าเขาเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบอย่างฝืนใจว่า “เปล่า! เขาระเบิดชีพจรตัวเองตายแล้ว…” จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ต่อให้เขาจะปกป้องน้องสาวมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีทางบอกว่าอวิ๋นจือชิวเป็นคนที่กดดันให้เจียงอีอีตาย แบบนั้นจะทำให้เยว่เหยาแค้นอวิ๋นจือชิวไปทั้งชีวิต พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ปรองดอง เขาไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มความยุ่งยากให้
ในดวงตาเยว่เหยาเริ่มมีน้ำตาคลอทีละนิด ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชายที่นางเคยรักจริงๆ เป็นรักครั้งแรกแต่กลับจบลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จุดจบที่น่าเศร้ารันทดอย่างนี้ จะเป็นสิ่งที่นางหวังอยากเห็นเชียวหรือ? น้ำตาสองสายหยดลงมาในขณะที่นางก้มหน้า จากนั้นก็รีบเอามือปาดน้ำตาอีก แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ทำตัวเองแท้ๆ ตายไปก็ดีแล้ว”
เหมียวอี้รู้สึกว่านางพูดอย่างฝืนใจ ในเมื่อเคยเกิดความสัมพันธ์แบบนั้นระหว่างชายหญิงไปแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ชายคนแรกที่นางหวั่นไหนด้วยอีก เมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็รู้สึกเป็นทุกข์เช่นกัน อย่างไรเสียวาสนาที่เลวร้ายนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเขา เป็นเขาเองที่ทำร้ายเจ้าสาม ชั่วขณะนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
กลับเป็นเยว่เหยาที่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา ใช้สองมือยกกระโปรงแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ไม่ควรพูดแบบนั้นกับท่าน พี่ใหญ่ ท่านด่าข้าตีข้าเถอะ” พอนึกถึงภาพที่ตัวเองทำให้พี่ใหญ่โมโหจนกระอักเลือด นางก็นึกเสียใจทีหลังมาตลอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะให้อภัยตนหรือเปล่า ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร ตอนนี้มีใหญ่ไม่มีท่าทีว่าถือสาแล้ว นางก็ยิ่งนึกเสียใจในพฤติกรรมที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญของตัวเองในตอนนั้น
เมื่อนางมีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจมาก ส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ ในตอนนั้นเจ้าก็กระวนกระวายเลยปากไม่ตรงกับใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าเจอสถานการณ์อย่างนั้นบ้าง พี่สะใภ้เจ้าก็อาจจะร้อนใจยิ่งกว่าเจ้าก็ได้ เรื่องราวผ่านไปแล้ว คนบ้านเดียวกันจะมาพะวงเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไง ลุกขึ้นเถอะ”
เยว่เหยาส่ายหน้า “น้องสามสำนึกผิดแล้ว ถ้าพี่ใหญ่ไม่ให้อภัยข้า ข้าก็จะคุกเข่าอย่างนี้ต่อไป”
เหมียวอี้ยักไหล่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ให้อภัยเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? รีบลุกขึ้นเถอะ”
เยว่เหยาเงยหน้า แล้วยิ้มทั้งน้ำตา ในโลกนี้ยังจะมีใครใจกว้างกับนางได้มากขนาดนี้อีกมั้ย? พอนึกถึงตรงนี้ น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อล้นจากดวงตาอีก นางคลานเข่าไปข้างหน้าสองเก้า หมอบบนตักเหมียวอี้แล้วร้องไห้โฮ ได้แต่พูดตำหนิตัวเอง “พี่ใหญ่ น้องสามสำนึกผิดแล้วจริงๆ น้องสามเสียใจจะตายอยู่แล้ว”
เหมียวอี้เองก็น้ำตาคลอเช่นกัน ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่เขาทนดูไม่ได้มากที่สุดก็คือเวลาน้องชายกับน้องสาวร้องไห้ พอได้เห็นก็จะรู้สึกว่าตัวเองดูแลได้ไม่ดี รู้สึกผิดต่อบุญคุณที่พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงดูมา ในปีนั้นพ่อแม่ของเขารวมทั้งพ่อแม่บุญธรรมสองครอบครัวตายไปแล้ว มีแต่คนด่าทอว่าเขาคือมีดวงกำพร้า เป็นอัปมงคลต่อคนในครอบครัว ถึงแม้ในภายนอกเข้าจะไม่ยอมรับ แต่ในใจก็หวาดหวั่นอยู่ดี กังวลว่าตัวเองจะทำร้ายเจ้ารองกับเจ้าสามอีก และความจริงในครั้งนี้ตัวเองก็ได้ทำร้ายเจ้าสามไปแล้ว เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลูบศีรษะเยว่เหยาเบาๆ พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว! อย่าเก็บเรื่องเจียงอีอีมาใส่ใจเลย เจ้าสามบ้านข้างดงามขนาดนี้ ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้ พี่ใหญ่จะหาทางช่วยเจ้าหาผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกมาให้ หาผู้ชายที่ดีกับเจ้าสามมากที่สุด ไม่ทำให้เจ้าสามได้รับความอยุติธรรมแน่ เจ้าไม่ต้องห่วงนะ พี่ใหญ่พูดจริงทำจริง”
เยว่เหยาที่หมอบอยู่บนตักเขาพยายามส่ายหน้า เงยหน้าปาดน้ำตาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ชายไม่มีใครดีสักคน ทั้งชีวิตนี้น้องสามจะไม่แต่งงานแล้ว!”
เหมียวอี้ตกตะลึง แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก เป็นแรงกดดันที่ตัวเองทำลายชีวิตเจ้าสาม เขากล่าวด้วยสีหน้าเครียดว่า “อายุยังน้อยมาพูดเหลวไหลอะไรแบบนี้! ผู้ชายไม่มีใครดีสักคนอะไร เจ้าผ่านผู้ชายมากี่คนแล้วล่ะ ทำไมถึงรู้ว่าผู้ชายไม่มีใครดีสักคน คงไม่ถึงขั้นโจมตีผู้ชายทั่วไปเพราะเจียงอีอีคนเดียวหรอกมั้ง? ในใต้หล้ามีผู้ชายเยอะแยะ แค่เจ้าไม่ได้เจอก็เท่านั้นเอง!”
เยว่เหยาส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับเจียงอีอี อยู่ห่างจากผู้ชายข้าก็มีชีวิตต่อไปได้ ไม่อยากแต่งงานแล้ว ไม่อยากหาแล้วจริงๆ”
เหมียวอี้พลันลุกขึ้นยืน จับแขนนางข้างหนึ่งแล้วดึงขึ้นมา “กังวลว่าคนอื่นจะนินทาว่าเจ้าเป็นรองเท้ามือสองใช่มั้ย? ต่อให้เจ้ามีอะไรกับเจียงอีอีแล้วยังไงล่ะ? ข้ารับรองว่าทุกอย่างจะไม่เป็นปัญหา มีพี่ใหญ่หนุนหลังให้ จะไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน พี่ใหญ่รับประกันกับเจ้าเลย อย่าบอกนะว่าแม้แต่คำพูดของพี่ใหญ่เจ้าก็ไม่เชื่อ?”
บทที่ 1604 ไม่ได้ล้อเล่น
รองเท้ามือสองเหรอ? เยว่เหยางงทันที พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงร้อนใจขนาดนี้ นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่ใหญ่ ข้ากับเจียงอีอีไม่เกี่ยวข้องกันจริงๆ นะ เพียงแต่พอได้ผ่านเรื่องนี้แล้ว ก็รู้สึกเหมือนตื่นจากความฝันฉากใหญ่เป็นครั้งแรก คงใจหายใจคว่ำละมั้ง ท่านว่าตอนนี้ข้าจะยังมีความสนใจจะไปหาผู้หญิงอีกเหรอ”
เหมียวอี้กลับพัวพันไม่จบไม่สิ้น “พี่คนโตก็เหมือนกับบิดา เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ต้องจัดการเรื่องแต่งงานของเจ้าให้เรียบร้อยเร็วๆ หน่อย ข้าก็จะได้หมดเรื่องกังวลใจเหมือนกัน เอาอย่างนี้ เจ้าลองดูสิ ถ้าเจอใครที่ชอบก็บอกข้าเลย ข้าก็จะตั้งใจเหมือนกัน จะต้องช่วยเจ้าเลือกคนดีๆ แน่นอน”
เยว่เหยาแกะมือเขาออก แล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้ข้าไม่สนใจ เรื่องแบบนี้บังคับกันได้ด้วยเหรอ?” พอเห็นเหมียวอี้ร้อนใจจริงฟ นางก็รีบก้าวถอยหลังแล้วโบกมือ “พอแล้วๆ ทำเหมือนข้าจะแต่งไม่ออกอย่างนั้นแหละ ข้าเปลี่ยนใจก็ได้ตกลงมั้ย สักวันหนึ่งข้าก็ต้องหาได้อยู่ดี ท่านพอใจรึยัง?”
“สักวันหนึ่งก็ต้องหาได้นี่คือยังไง เจ้าสาม เจ้าอย่ามาตบตาข้า เจ้าบอกข้ามา สักวันหนึ่งนี่คือเมื่อไร?” เหมียวอี้ถาม
เยว่เหยายอมแพ้เขาแล้ว ก้มหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่ อย่างน้อยท่านก็ต้องให้ข้าหาคนที่เหมาะสมสิ จะบังคับให้ข้าหาส่งเดชไม่ได้หรอกมั้ง?” พอนางเงยหน้ามา นางก็บอกว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะต้องหาคนที่ดีกับข้าเหมือนพี่ใหญ่ให้ได้เลย”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเจ้าสามกำลังตบตาเขาอยู่
ที่จริงเยว่เหยาก็ตบตาเขาจริงๆ ถูกเรื่องของเจียงอีอีทำให้หมดอารมณ์กับเรื่องในด้านนั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีความรู้สึกนึกคิดด้านนั้น
เหมียวอี้ไหล่ตกสองข้าง ไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวช้าๆ เดินออกไป สะเทือนใจกับคำพูดในตอนท้ายของเยว่เหยาแล้ว
เมื่อเห็นเขามีสภาพแบบนี้ เยว่เหยาก็ถามอย่างงุนงงว่า “พี่ใหญ่ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง? ท่านคงไม่รีบผลักข้าออกไปอย่างนี้หรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้หันหลังพลางโบกมือให้ เดินออกไปอย่างค่อนข้างหดหู่
ในห้อง อวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับเสวี่ยหลิงหลง
เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาแล้ว ก็พบว่าเหมียวอี้มีสีหน้าท่าทางไม่ค่อยสู้ดีนัก เสวี่ยหลิงหลงขอตัวลาอย่างรู้กาลเทศะทันที
อวิ๋นจือชิวส่งเสวี่ยหลิงหลงออกประตูไปด้วยรอยยิ้มสนิทสนม พอกลับมาเห็นเหมียวอี้ยืนหดหูอยู่หน้าประตู นางก็เข้ามาใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไรไป?”
เหมียวอี้ใช้สองมือประคองลายหน้าต่างพลางถอนหายใจเบาๆ “ข้าบอกเรื่องเจียงอีอีกับเจ้าสามแล้ว”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “เป็นอะไรไป นางยังไม่ได้สติกลับมาเหรอ? นางโทษเจ้าเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แบบนั้นก็ดื้อด้านเกินไปแล้ว เจ้าคงไม่ได้ใจอ่อนบอกนางไปใช่มั้ยว่าข้ากดดันให้เจียงอีอีตาย?”
“เจ้าสามบอกว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่แต่งงานแล้ว” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย
“เอ่อ…พูดเพราะอารมณ์ชั่ววูบละมั้ง แต่ว่า…” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างลังเลเช่นกันว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ เจ้าเองก็เคยบอก บางทีอาจจะเป็นเพราะใช้ชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก เจ้าสามมีอีกด้านที่ฉลาดเข้าใจโลกมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะตกหลุมพรางใครได้ง่ายๆ ผู้ชายทั่วไปคงจะทำให้นางเชื่อมั่นไม่ได้ง่ายๆ แต่เจียงอีอีคนนี้ทำให้นางหวั่นไหวแล้ว ถือว่ามีทักษะในการรับมือกับผู้หญิงอยู่บ้าง พอได้เจอประสบการณ์ครั้งนี้ ในภายหลังเจ้าสามก็นับว่ามีประสบการณ์ทางด้านนั้นแล้ว นางจะไม่ระวังตัวสักนิดเลยเหรอ? ถ้าอยากจะให้นางยอมรับผู้ชายคนไหนอีกครั้ง ก็คงจะลำบากหย่อย”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วก็มหน้าบอกว่า “นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ เจ้าสามกับเจียงอีอีเป็นอย่างนั้นไปแล้ว เจ้าว่าในภายหลังเจ้าสามได้เจอผู้ชายที่เหมาะสมเหรอ ถึงยังไงเจ้าสามก็ร่างกายไม่บริสุทธิ์แล้ว ผู้ชายคนนั้นจะถือสาเรื่องนี้รึเปล่า ต่อไปเจ้าสามจะโดนหงุดหงิดใส่มั้ย นางจะโดนรังแกแต่ต้องอดทนไว้เพราะอับอายจนเอ่ยปากบอกใครไม่ได้หรือเปล่า? ต่อให้เจ้าสามจะพูดออกมา แต่ถ้าเรื่องมันไปถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเราจะไปแทรกแซงเรื่องนี้ยังไงดี? หรือจะไปซ้อมผู้ชายคนนั้นสักยกดีมั้ย? ไปซ้อมสักยกแล้วจะแก้ปัญหาได้รึเปล่า? พวกเราจะฆ่าผู้ชายของเจ้าสามทิ้งไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”
อวิ๋นจือชิวอ้าปากค้างนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะช่วยคิดให้เจ้าสามไปไกลขนาดนั้นแล้ว ความรักทะนุถนอมที่มีต่อน้องสาวคนนี้ช่างรอบคอบทั่วถึงจริงๆ นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ผู้ชายอย่างพวกเจ้าจะถือสาเรื่องพวกนี้รึเปล่า เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ? เจ้าเป็นผู้ชายน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ ยังจะมาถามข้าอีกเหรอ?” นางกลอกตามองบน
เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ “ในสังคมนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงจริงๆ”
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ถ้าไปทำอย่างนั้นกับผู้หญิงคนอื่นเจ้าคิดว่าสมเหตุสมผล แต่พอเรื่องเกิดกับน้องสาวตัวเองก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแล้ว จิตใจเจ้านี่เป็นยังไงกันนะ?”
“จ้าวเฟย…” จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวขึ้นมาอย่างลังเล
“จ้าวเฟยทำไม?” อวิ๋นจือชิวงุนงง
“จ้าวเฟยเหมือนจะไม่ถือสาเรื่องนี้?” เหมียวอี้เอามือลูบคางพลางเดาะลิ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าอีก “จ้าวเฟยก็ไม่เลวนะ แต่น่าเสียดายที่แต่งงานกับอูเมิ่งหลันไปแล้ว ข้าไปแยกสองสามีภรรยาไม่ได้ซะด้วยสิ ให้จ้าวเฟยแต่งงานกับเจ้าสามดีมั้ย?”
ในดวงตาอวิ๋นจือชิวฉายแววเจ้าเล่ห์ แล้วพูดหยอกว่า “ยังมีอีกทางหนึ่ง ก็ให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาของจ้าวเฟยสิ”
เหมียวอี้หันตัวมาทันที ถลึงตาบอกว่า “พูดอะไรของเจ้าเนี่ย? พี่สะใภ้อย่างนี้มีที่ไหนกัน? ข้าจะให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้ยังไง? ถ้าจะให้ทำแบบนั้นจริงๆ ด้วยความสวยของเจ้าสามน่ะ มีคนต้องการนางอยู่แล้ว จำเป็นต้องไปหาจ้าวเฟยด้วยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ วางกับดักรอเขาตั้งนานแล้ว นางอมยิ้มบอกว่า “ต้องตบปากตัวเองด้วยมั้ย? ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก แล้วจะมีอนุภรรยาตั้งกี่คน แบบนั้นเรียกว่าอะไรล่ะ? ทำไมตัวเองมีอนุภรรยาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ทีคนอื่นจะรับเจ้าสามของเจ้าไปเป็นอนุภรรยาบ้างก็ไม่ได้แล้วเหรอ?”
“…” เหมียวอี้เถียงไม่ออก สุดท้ายก็หันตัวไปมองนอกหน้าต่าง แล้วโบกมือบอกว่า “เอาเป็นว่าไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่มีทางให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น ให้เจ้าสามต้องโดนคนอื่นชักสีหน้าใส่ไปทั้งชาติ!”
อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว “สงสัยเจ้าจะกำลังว่าข้าชักสีหน้าใส่อนุภรรยาของเจ้างั้นสิ? อาศัยเรื่องนี้มาพูดเปิดอกเหรอ!ว่ามาเถอะ เจ้าไม่พอใจอะไรข้าก็พูดออกมาให้หมดเลย”
เหมียวอี้หันหลังให้พลางโบกมือ “อย่ามาพาลหาเรื่อง ยุ่งยากใจ เจ้าช่วยข้าคิดถึงประเด็นหลักก่อน เรื่องเจ้าสามจะทำยังไงดี?”
อวิ๋นจือชิวมองออกเช่นกันว่าเขาอารมณ์ไม่มั่นคง จึงไม่พาลหาเรื่องแล้ว นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าหลับหูหลับตากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ต่อไป งั้นทั้งชีวิตเจ้าสามก็ไม่ต้องหาใครอีกแล้ว ตามที่ข้าเห็นนะ เรื่องแบบนี้ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า ถ้าเจ้าสามเจอคนที่เหมาะสมเดี๋ยวก็สำเร็จเอง ถ้ามีปัญหาอะไรจริงๆ อย่างมากก็เลิกกัน ข้ารู้ว่าเจ้าฟังแล้วโมโห แต่ข้าพูดความจริงทั้งนั้น ไม่ได้เสริมแต่งอะไร เจ้าคิดมากเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์เลย”
เหมียวอี้หลับตาแล้วถอนหายใจยาว “ทั้งชีวิตเจ้าสามถูกข้าทำลายไปแล้ว!”
“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโน้มน้าวเขาอย่างไรดี แต่ค่านิยมในสังคมก็เป็นอย่างนี้จริงๆ คนที่มีปัจจัยแวดล้อมดีๆ ที่ไหนจะมาเอารองเท้ามือสองของคนอื่นไปทำฮูหยินเอก? ต่อให้จะมีผู้ชายคนไหนมีความตั้งใจนั้น สามารถมองข้ามไปได้ แต่ค่านิยมของสังคมก็สร้างแรงกดดันไว้มากจริงๆ ให้ความสำคัญเรื่องลูกภรรยาเอกและลูกอนุภรรยามาก เมื่อมีมลทินแบบนี้ก็ไม่อาจจะให้กำเนิดบุตรภรรยาเอกอย่างชอบธรรมได้ หากวันไหนโดนเปิดโปงขึ้นมา เมื่อโดนแรงกดดันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องหย่าร้างกัน พี่ใหญ่คนนี้ไม่มีโอกาสได้พิจารณาตามอำเภอใจหรอก
แต่เรื่องกลายมาเป็นอย่างนี้แล้ว จะทำอย่างไรได้อีกล่ะ? อวิ๋นจือชิวเดาว่าเหมียวอี้คงจะนึกเสียใจแทบแย่แล้วที่กดดันให้เจียงอีอีตาย และเรื่องนี้นางก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ในห้องนั้นเงียบลงชั่วขณะ
หลังจากเงียบไปนาน ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็กล่าวช้าๆ ว่า “น้องชิว เจ้าว่าเจ้าสามจะหาผู้ชายที่ดีกับนางได้เท่าข้าอีกรึเปล่า?”
อวิ๋นจือชิวหลุดขำออกมา “คงจะไม่มีใครดีพอหรอก ต่อให้ไม่เกิดเรื่องนี้ ก็อาจจะหาไม่ได้อยู่ดี” มีอีกประโยคที่นางไม่ได้เอ่ยออกมา นั่นก็คือ เจ้าดีกับน้องสาวคนนี้เกินไปแล้ว ดีจนเลอะเลือนแล้ว
ใครจะไปคิดว่าคำพูดนี้เหมือนจะทำให้เหมียวอี้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาพลันหันตัวมา สูดหายใจลึกหนึ่งที แล้วกล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “น้องชิว ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะแต่งงานกับเจ้าสามเอง!”
“หา…” อวิ๋นจือชิวเหม่อทันที อ้าปากค้างนิดหน่อย อึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นกลืนน้ำลายแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดความจริง ตอนแรกเจ้าสามก็มีความตั้งใจนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านเรื่องเจียงอีอีมาแล้ว นางจะยังตอบตกลงอยู่รึเปล่า”
อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าไม่ถูกไปพักใหญ่ จากนั้นก็เอานิ้วจิ้มหน้าอกเหมียวอี้ทันที แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจตนาของเจ้าก็คือจะให้ข้าสละตำแหน่งฮูหยินเอกให้เจ้าสามใช่มั้ย?”
“ไม่! ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าสามเป็นอนุภรรยา” เหมียวอี้มีสีหน้าจริงจัง
อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ “เมื่อครู่นี้ใครพูดล่ะ ว่าจะไม่ให้เจ้าสามเป็นอนุภรรยาเด็ดขาด”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เหตุผลแรกก็คือข้าไม่รังเกียจที่เจ้าสามเป็นรองเท้ามือสองอะไรนั่นหรอก ถ้าให้เจ้าสามแต่งงานกับคนอื่น ข้ากลัวว่าเจ้าสามจะถูกรังแก แต่ถ้าแต่งงานกับข้า ข้าไม่มีปัญหาด้านนั้นแน่นอน ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าคงจะทำอะไรแต่พอดี ไม่ทำให้ข้าลำบากใจเกินไปแน่นอน หลังจากผ่านเรื่องเจียงอีอีมาแล้ว ข้าก็กังวลจริงๆ ว่านางจะไปเสียเปรียบอยู่ในมือผู้ชายคนอื่น ให้ข้าเก็บไว้ดูในมือตัวเองดีกว่า”
“พูดพร่ำอยู่ตั้งนานสองนาน ที่แท้เจ้าก็หน้ามืดตามัวเพราะตัณหานี่เอง!” อวิ๋นจือชิวบิดเนื้อตรงเอวของเขา พลางเค้นเขี้ยวเค้นฟันด่า “ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ?”
เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน “น้องชิว เจ้าก็รู้นี่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นแน่นอน”
“ไอ้สารเลวนี่! ทำให้เจียงอีอีตาย แต่กลับทำให้เจ้าสมปรารถนาแล้ว เจ้ามองเห็นเจ้าสามเป็นอะไร วันนี้ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!” อวิ๋นจือชิวที่สีหน้าเปลี่ยนไป ชั่วพริบตาเดียวกก็ระเบิดอารมณ์แล้ว นางดึงมวยผมเหมียวอี้จนอีกฝ่ายล้มลงพื้น นอกจากจะใช้ทั้งหมัดใช้ทั้งเท้าเตะไปยกหนึ่งแล้ว นางก็ขึ้นคร่อมแล้วควงหมัดชกไม่ยั้ง
เหมียวอี้เอามือกุมหัวอยู่บนพื้น ฝืนทนรับอยู่อย่างนั้น โดนด่าก็ไม่โต้ตอบ โดนตีก็ไม่โต้ตอบ ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวระบายอารมณ์อยู่อย่างนั้น
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผลักประตูเข้ามา พอได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว พวกนางก็แอบเดาะลิ้น ฮูหยินปรี๊ดแตกอีกแล้ว ตบตีจนนายท่านเถียงไม่ออกอีกแล้ว
ทั้งสองรีบปิดประตูแล้วถอยออกไปอีก ทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นฉากนี้ ตอนที่ฮูหยินทำตัวพาลในบ้าน มีใครกล้าไปล่วงเกินบ้างล่ะ?
“เฮ่อ…เฮ่อ…” เสียงหอบหายใจดังขึ้น ไม่รู้ว่าตีไปนานเท่าไรแล้ว สรุปก็คืออวิ๋นจือชิวตีเขาจนเหนื่อยหอบ นางลุกขึ้นมาในขณะที่หอบหายใจ จากนั้นก็ยกกระโปรงเตะอีกสองสามทีถึงจะหยุด แล้วเดินไปหยิบน้ำชาที่เย็นแล้วมากรอกดื่มแก้คอแห้ง เสร็จแล้วถึงได้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจฮือกใหญ่
เมื่อเห็นว่านางหยุดเคลื่อนไหวแล้ว เหมียวอี้ที่โดนซ้อมจนเสื้อผ้าขาดและใบหน้าฟกช้ำดำเขียวถึงได้ลุกขึ้นมาช้าๆ พอได้ขยับตัวเล็กน้อย เขาก็สูดหายใจซี้ดพลางแยกเขี้ยวยิงฟัน เจ็บโว้ย!
บทที่ 1605 สาวงามนัดพบ
เจ็บก็ส่วนเจ็บ แต่ท่านขุนนางเหมียวกลับไม่กล้าบ่นอะไร ได้แต่พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าสามจะตอบตกลงมั้ยก็เป็นอีกเรื่อง เจ้าจะอารมณ์ร้ายขนาดนี้ทำไม? โกรธมากจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายนะ…”
“ปั้ง!” อวิ๋นจือชิวพลันตบโต๊ะ พลางตะคอกอย่างโมโห “หุบปาก!”
เหมียวอี้เงียบพริบอย่างกินปูนร้อนท้อง
อวิ๋นจือชิวหลับตาแล้วออกแรงส่ายหน้า พอความโกรธบรรเทาลงแล้ว ก็ชี้หน้าเหมียวอี้พลางแสยะยิ้ม “หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ! เจ้าสามของเจ้ามีนิสัยเป็นยังไง เจ้าก็รู้ดีที่สุด นางกับข้าเข้ากันไม่ได้มาตลอด เจ้าก็รู้ดี จะให้นางแต่งเข้าบ้านก็ได้ แต่ข้าจะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนเลยนะ ตอนที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านมาข้ายังอดทนได้ แต่ถ้าเข้าบ้านมาแล้ว อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา ถ้ากล้ามาอวดดีต่อหน้าข้าอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้านาง ข้าปฏิบัติต่ออนุภรรยาคนอื่นยังไง ข้าก็จะปฏิบัติกับนางแบบนั้น ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามาบ่นโทษข้าแล้วกัน!”
“ใช่แล้ว บ้านเมืองมีขื่อมีแป บ้านก็มีกฎระเบียบ ธรรมเนียมของบ้านก็ยังเป็นธรรมเนียมของบ้าน ไม่อย่างนั้นในบ้านก็วุ่นวายไร้ระเบียบน่ะสิ เรื่องในด้านนี้ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าไม่มีทางจงใจกลั่นแกล้งนางแน่นอน…” เหมียวอี้พยักหน้าพูดประจบซ้ำๆ ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสเหมาะซุ่มโจมตี แล้วสุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก “เจ้าตอบตกลงแล้วเหรอ?”
พอได้ยินคำพูดอวดฉลาดหลังจากเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไฟพิโรธของอวิ๋นจือชิวก็พุ่งพล่านสามจั้งทันที “ไอ้เวรนี่!” นางถลันตัวพุ่งเข้ามา ดึงเหมียวอี้ให้ล้มลงพื้น แล้วซ้อมอีกยกหนึ่ง
พอตีเขาจนเหนื่อยแล้วลุกขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เตะเสริมอีกสองสามที นับว่าระบายอารมณ์โกรธเต็มที่แล้ว นางสะบัดชายเสื้อแล้วกระแทกประตูเดินออกไป
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มขื่นขม โดนซ้อมหนึ่งยกเพื่อแลกกับการอนุญาต การโดนซ้อมครั้งนี้ก็ไม่นับว่าอยุติธรรม
หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์เติมพลัง สภาพใบหน้าฟกช้ำฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็จัดการกับเสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ย เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่อีกครั้ง เสร็จแล้วถึงได้มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์
ไม่นานเชียนเอ๋อร์ก็ผลักประตูเข้ามา นางทำตัวเหมือนคุ้นเคยชำนาญกับเหตุการณ์นี้แล้ว ไม่ถามไถ่อะไรสักคำ รู้ว่าควรทำอย่างไร หยิบหวีขึ้นมาช่วยหวีผมที่ยุ่งกระเซิงให้เขาทันที
พอเหลือบไปให้เชียนเอ๋อร์ในกระจกที่กำลังทำสีหน้าจริงจังไม่ยิ้มแย้ม เหมียวอี้ก็ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ที่จริงแล้ว ถ้าจะลงมือต่อสู้กันจริงๆ นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ข้าอ่อนข้อให้นางเฉยๆ หรอก” อยากจะกู้หน้าคืนเพื่อปิดบังความอับอาย
เชียนเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้นายท่านวรยุทธ์สูงกว่าฮูหยินแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน…” นางแอบแลบลิ้น รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้อับอายจนพาลโมโห “เจ้าพูดอะไร? เมื่อก่อนข้าเป็นยังไง? เมื่อก่อนข้าไม่กลัวแม้แต่หกปราชญ์ด้วยซ้ำ แล้วข้าจะกลัวนางเหรอ? ผู้ชายดีๆ เขาไม่สู้กับผู้หญิง เจ้าเข้าใจมั้ย?”
เชียนเอ๋อร์รีบส่ายหน้า แล้วเม้มริมฝีปากแน่น ในใจพึมพำว่า ท่านจะมาดุข้าทำไม ถ้าเก่งนักก็ลองไปดุต่อหน้าฮูหยินสิ
เมื่อหวีผมจัดแต่งทรงเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็มาที่ห้องเชียนเอ๋อร์ มาหาเยว่เหยาอีกครั้ง
เยว่เหยาที่ได้คลายปมในใจกับพี่ใหญ่เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย พอเห็นเหมียวอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเข้ามาอีกครั้ง นางก็แปลกใจอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหลายที แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ยังมีธุระอะไรอีกเหรอ?”
กลับเป็นเหมียวอี้ที่โดนมองจนรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย กลัวว่านางจะมองออก กลัวว่าเจ้าสามจะรู้ว่าตัวเองกลัวเมีย เขาโยนความคิดนี้ทิ้งไปชั่วคราว แล้วถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าสาม พี่ใหญ่จะแต่งงานกับเจ้า เจ้าจะแต่งหรือไม่แต่ง?”
“…” เยว่เหยาเหม่องงเล็กน้อย สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า จึงถามอีก “พี่ใหญ่ ท่านว่าอะไรนะ พูดอีกรอบได้มั้ย”
เหมียวอี้กล่าวอย่างจริงจังอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะแต่งงานกับข้า ตอนนี้ข้าคิดได้แล้ว ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า เจ้ายินดีจะแต่งงานกับข้ามั้ย?”
เยว่เหยาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จากนั้นก็ตาแดงก่ำทันที เพราะว่าซาบซึ้งใจแล้ว นางมองออกว่าพี่ใหญ่ไม่ได้คิดกับนางแบบความรักชายหญิง และมองออกด้วยว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงคิดได้แล้ว ไม่ต้องให้เหมียวอี้พูดออกมา นางก็รู้ใจเขาเช่นกัน ในใจเข้าใจกระจ่างแจ่มแจ้ง ว่าพี่ใหญ่กลัวว่านางจะข้ามผ่านปมเรื่องรองเท้ามือสองไม่ได้ ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายอย่างไรก็ยอมแต่งงานกับนาง แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายเสนอมาเก็บ ‘รองเท้าชำรุดมือสอง’ คู่นี้ไปเอง
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ในตอนเด็กก็แวบเข้ามาในหัวนาง นางจูงมือพี่ใหญ่พลางกระโดดโลดเต้นบอกว่า : พี่ใหญ่ รอให้ข้าโตแล้ว ข้าจะแต่งงานกับท่าน!
ว่ากันว่าคำพูดของเด็กมักไม่อ้อมค้อม นั่นคือคำสัญญาในตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กมาก และเป็นคำปลอบใจที่พี่ใหญ่ไปสู่ขอผู้หญิงไม่สำเร็จ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ชั่วพริบตานั้น เยว่เหยาก็หัวเราะแล้ว นางมองเหมียวอี้พลางยิ้มเหมือนคนโง่ ยิ้มอย่างสดใส แล้วก็มีน้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอีก พยักหน้าตอบว่า “ขอเพียงพี่ใหญ่กล้าแต่งงานกับน้องสาม น้องสามก็กล้าแต่ง!”
เหมียวอี้รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย เดิมทีนึกว่าพอเกิดเรื่องเจียงอีอีแล้ว บวกกับที่เจ้าสามพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่อยากแต่งงานแล้ว ยังนึกว่ามารอบนี้ต้องโน้มน้ามอีกสักหน่อย ใครจะคิดว่าเจ้าสามจะรับปากอย่างตงไปตรงมาขนาดนี้ ราบรื่นจนเขารู้สึกเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นนางร้องไห้อีกแล้ว เหมียวอี้ก็ยกมือเช็ดน้ำตาให้นางเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร พี่ใหญ่มีทั้งภรรยาและอนุภรรยาแล้ว ให้เจ้าเป็นอนุภรรยาถือว่าไม่เป็นธรรมกับเจ้า แต่ก็ช่วยไม่ได้ พี่ใหญ่ได้แต่โทษตัวเองว่าตอบตกลงเจ้าช้าไปหน่อย แค้นตัวเองที่ตอนแรกไม่ยอมตอบตกลงเจ้าสาม นิสัยของพี่สะใภ้เจ้าถึงแม้จะปากร้ายไปหน่อย แต่ก็เป็นคนปากร้ายใจดี เมื่อครู่นี้ข้าขอความเห็นจากนางแล้ง นางตอบตกลงแล้วด้วย นางไม่กลั่นแกล้งเจ้าหรอก แน่นอน เรื่องนี้พี่ใหญ่ก็ไม่บังคับนะ เจ้าลองไตร่ตรองสักหน่อยก็ได้ คิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้า”
เยว่เหยาหัวเราะทั้งน้ำตา นางรู้ว่าพี่ใหญ่เข้าใจนางผิด นางไม่ได้ร้องให้เพราะตัวเองได้เป็นอนุภรรยา นางกดมือเขาไว้ จับฝ่ามืออันอบอุ่นของเขาแนบบนแก้มตัวเอง แล้วส่ายหน้าพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าอบอุ่นใจว่า “ไม่ต้องไตร่ตรองแล้ว ขอเพียงพี่ใหญ่ไม่รังเกียจน้องสาม น้องสามก็จะแต่งงานกับพี่ใหญ่ ไม่น้อยใจเลยสักนิด กลับดีใจมากด้วยว้ำ จริงๆ นะ น้องสามไม่ได้หลอกท่านนะ”
เหมียวอี้โล่งใจแล้ว ยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ดี! งั้นก็ตามนี้แล้วกัน ข้าจะบอกอาจารย์เจ้าก่อน”
พอพูดถึงตรงนี้ เยว่เหยาก็กัววลนิดหน่อย “อาจารย์ข้าจะตอบตกลงเหรอ?”
“ต่อให้นางไม่ตกลงก็ต้องตกลง นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!” เหมียวอี้เผด็จการมาก เหมือนจะหลุดออกจากอารมณ์รักระหว่างคนในครอบครัว ตอนนี้กลายมาเป็นเหมียวอี้ที่เด็ดขาดอีกแล้ว เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่ฝานจวินทันที
มู่ฝานจวินย่อมไม่ปฏิเสธ นางอยากปฏิเสธ แต่กลับไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะความเป็นความตายของทั้งหกลัทธิล้วนบีบอยู่ในมือใครบางคน นางพอจะรู้แล้วว่าทั้งหกลัทธิล้วนเป็นหมากของใครบางคน และเหมียวอี้ก็เป็นตัวแทนของคนคนนั้น หกลัทธิรวมทั้งนางล้วนไม่มีความสามารถจะต่อต้านขัดขืน เพราะถูกบีบเอาไว้อย่างแน่นหนา
หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว มู่ฝานจวินก็นั่งกลุ้มใจอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ทำไมเหมียวอี้ถึงคิดจะรับเยว่เหยาเป็นอนุภรรยาล่ะ? นางเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองดี
ถึงแม้เหมียวอี้จะจัดการเรื่องเยว่เหยาเรียบร้อยแล้ว แต่ทางอวิ๋นจือชิวกลับไม่ได้ทำสีหน้าดีๆ ให้เขาดูสักเท่าไร
ที่โชคดีก็คือ อวิ๋นจือชิวไม่เอาเรื่องราวมาปนกัน เรื่องที่ควรจะเตรียมตัวก็ไม่เลอะเลือน ของที่ควรเตรียมไว้กลับพิภพเล็กก็เตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว
ก่อนที่เหมียวอี้จะเตรียมตัวกลับพิภพเล็ก จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากระฆังดาราอย่างเหนือความคาดหมาย ทำให้เขาขนลุกนิดหน่อย สาวงามนัดพบ!
แต่สุดท้าย เหมียวอี้ก็ยังแข็งใจพาเหยียนซิวออกจากตลาดผีไปอย่างเงียบๆ
ออกจากดาวเคราะห์ทั่วไปดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาภูตพเนจรมากที่สุด ทะเลมรกตกว้างไกลไร้ขอบเขต หน้าผาโดดเดี่ยวสูงชัน ทะเลกั้นขอบฟ้า
มองออกไปในขณะที่อยู่ท้องฟ้า ในบ้านพักภูเขาโดดเดี่ยวเหมือนจะไม่มีใครอยู่ ได้ยินเพียงเสียงฉินดังแว่วมา สองคนที่อยู่กลางอากาศตามเสียงฉินและถลันตัวไปเหยียบลงในตึกศาลาหลังหนึ่งที่หันหน้าเข้าหาทะเล
ผมที่ไร้เครื่องประดับยาวคลุมบ่าอย่างเป็นธรรมชาติ หวงฝู่จวินโหร่วสวมชุดกระโปรงสีม่วงนั่งบนพื้นหันหน้ารับลมทะเล มือกำลังดีดสายฉิน เสียงฉินดังสะอื้น
กาลเวลาไม่ได้ทำให้ความงามลดลง ตอนไม่ใช้เครื่องประทินโฉมก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ไปอีกแบบ
เหมียวอี้นิ่งเงียบ ส่วนเหยียนซิวก็แปลกใจ นี่นายท่านมาพบนางงั้นเหรอ? ตอนแรกที่อยู่บ้านพักกลางป่า ทั้งสองโดนจับแยกกันแล้วไม่ใช่เหรอ?
เหยียนซิวไม่เคยถามเรื่องที่ไม่สมควรถาม ได้แต่ทำเรื่องที่ตัวเองสมควรทำ ถลันตัวออกไปสำรวจโดยรอบว่ามีภัยอันตรายแฝงเร้นหรือไม่
เหมียวอี้เดินช้าๆ ไปตรงหน้า หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังดีดฉินกำลังมีสมาธิ จนกระทั่งดีดฉินเสร็จแล้ว เสียงฉินยังคงดังวนเวียน หวงฝู่จวินโหรวถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า มองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ นางไม่อยากเจอผู้ชายคนนี้อีกแล้วจริงๆ
ตอนแรกที่โดนมารดาจับแยก นางยังคิดจะหนีไปหาเหมียวอี้อยู่เลย แต่พอได้ข่าวงานแต่งงานของเหมียวอี้ นางก็เหมือนโดนฟ้าผ่ากลางกบาลจริงๆ เจ็บปวดคับแค้นใจจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ไม่อยากเจอคนที่ทำร้ายจิตใจคนนี้อีก ทั้งยังพร่ำบอกตัวเองไม่หยุด ว่าเรื่องของนางกับเหมียวอี้ผ่านไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมาเจอกันเท่านั้น แต่ใครจะคิดล่ะ ว่ามารดาที่จับนางแยกออกมาอย่างโหดร้ายจะกดดันให้นางมาพบคนที่ทำร้ายจิตใจคนนี้อีก จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร?
แววตาที่คับแค้นใจอย่างล้ำลึกของนางทำให้เหมียวอี้รู้สึกผิดจนตั่วสั่น ไม่รู้จะโต้ตอบด้วยคำพูดใด
ลากกระโปรงยาวลุกขึ้นมาช้าๆ หวงฝู่จวินโหรวเดินมาตรงหน้าระเบียง หันหน้าเข้าหาทะเลกว้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้ยินเรื่องงานแต่งงานของเจ้าแล้ว แสดงความยินดีกับเจ้าตอนนี้คงยังไม่สายไปใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เดินเนิบนาบมาด้านข้าง ยืนเคียงกันแล้วถอนหายใจลึกเอกหนึ่ง “ข้านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ก็เลย…”
หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้มแล้วพูดตัดบท “นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าแต่งงานเหรอ? เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะ ว่าเป็นเพราะเรื่องระหว่างเจ้ากับข้าเป็นไปไม่ได้แล้ว ถึงได้ไปคบกับอวิ๋นจือชิว เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าระหว่างเจ้ากับอวิ๋นจือชิวไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไรกัน?”
เหมียวอี้เงียบงัน แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าขอโทษ!”
“ขอโทษเหรอ? นายท่านหนิวให้เกียรติผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้เกินไปแล้ว ผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้รับไม่ไหวหรอก!”
“จวินโหรว ข้ามีเหตุผลของข้า ข้าไม่อยากอธิบายอะไรด้วย ข้าขอโทษเจ้าก็คือข้าขอโทษเจ้า ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ คนเรามีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าใครก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เจ้าปฏิเสธไม่ได้เลยสักนิด ต่อให้ข้าไม่ได้อยู่กับอวิ๋นจือชิว ข้าก็อยู่กับเจ้าอย่างเปิดเผยไม่ได้อยู่ดี…” เหมียวอี้เอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง “เจ้าเรียกข้ามาเพื่อจะพูดเรื่องนี้เหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวพลันหันมาจ้องเขาตรงๆ “ข้าแค่อยากจะให้เจ้าพูดความจริงออกมา เจ้าเคยชอบข้าบ้างรึเปล่า? หรือเห็นข้าเป็นของเล่น? อย่ามาโกหกข้า คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ ข้าต้องการฟังความจริง!”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็กล่าวช้าๆ อีกว่า “กับเจ้าน่ะ ตอนแรกเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น จะเรียกว่ากะทันหันก็ได้ หรือจะเรียกว่าควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็ได้ จากนั้นก็คิดว่าเล่นสนุกกันเพราะสองฝ่ายสมัครใจ เพราะรู้ว่าเรื่องของเจ้ากับข้าเป็นไปไม่ได้ สุดท้าย…” สุดท้ายเป็นอย่างไรต่อ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายอย่างไรดี
“สุดท้ายเป็นยังไง?” หวงฝู่จวินโหรวกลับกดดันถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “สุดท้ายก็ชอบเจ้าแล้วจริงๆ” ขณะที่พูดคำนี้ก็รู้สึกฝืนใจนิดหน่อย เขาคาดว่าตัวเองชอบร่างกายของนางมากกว่า แต่ในตอนนี้พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจคนไม่ได้ ในใจรู้สึกผิด จู่ๆ เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวพูดไว้ไม่มีผิด ว่าเรื่องในด้านนี้เขาเลอะเลือนจริงๆ
บทที่ 1606 เหยียนซิวกลุ้มใจ
หลังจากตัวเองพูดสิ่งที่ฝืนใจแบบนี้ออกมาแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ใครจะคิดว่าหลังจากหวงฝู่จวินโหรวจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง เจ้าตัวก็พลันหันตัวเดินจากไป
เหมียวอี้หันไปมองอย่างงุนงง เห็นเพียงหวงฝู่จวินโหรวเดินออกจากตึกศาลาตามทางยาวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งแล้ว จกานั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก
หลังจากรอไปสักครู่แล้วไม่เห็นอีกฝ่ายออกมา เขาถึงได้เดินตามไป พอไปถึงห้องห้องนั้นแล้วก็ผลักประตูเข้าไป
พอเปิดประตูออก ภาพในห้องก็ทำให้สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่จุดๆ หนึ่งอย่างย้ายสายตาหนีได้ยากทันที
“อ๊า!” หวงฝู่จวินโหรวที่เหมือนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าร้องอุทาน บนตัวไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น เปลือยล่อนจ้อนราวกับเป็นแกะน้อย นางรีบหยิบผ้าชิ้นหนึ่งมาปิดหน้าอกไว้ทันที แล้วหันหลังให้พร้อมตะคอกเสียงแหลมว่า “ยังไม่รีบออกไปอีก” ทว่าบั้นท้ายอวบอัดราวกับจานหยกขาวได้เปิดเผยให้ใครบางคนเห็นแล้ว พอมองลงไปข้างล่างอีกก็เป็นเสาหยกงามเรียวยาวสองต้นที่ขนาบแนบชิด ประกอบกับเอวอ่อนโค้งสวยงาม ก็ยิ่งทำให้บั้นท้ายนั่นสวยสะพรึงน่าทึ่งยิ่งกว่าเดิม กลมนูนขาวละเอียดอ่อน
เหมียวอี้กลืนน้ำลายแล้ว เขาถือโอกาสปิดประตู แต่กลับไปยอมออกไป ดันถลันตัวมาอยู่ข้างหลังหวงฝู่จวินโหรว แล้วกางแขนโอบร่างงามมาไว้ในอ้อมกอด
หวงฝู่จวินโหรวดิ้นรนขัดขืน “ทำอะไรของเจ้า? เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว ปล่อยข้า!”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “นี่เจ้าแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจใช่มั้ย? ข้าเดินโทงๆ มาถึงหน้าประตูแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่ได้ยินเลยสักนิด? เจ้ากำลังจงใจยั่วข้าชัดๆ”
เมื่อโดนพูดแทงใจดำ หวงฝู่จวินโหรวก็แอบอับอายมาก เป็นเพราะนางรู้ว่าเหมียวอี้ชอบก้นนาง นางก็เลยจงใจหันหลังให้ แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงดิ้นรนต่อไป “ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าจะเข้ามา รีบปล่อยข้านะ!”
เหมียวอี้ไม่ปล่อย แต่กลับดึงผ้าที่ปิดหน้าอกนางออก คว้าหน้าอกอวบอิ่มมาเล่นอยู่ในมือ ทำให้หวงฝู่จวินโหรวตัวสั่นในชั่วพริบตาเดียว “มันใช่เรื่องเหรอที่เจ้าจะทำอย่างนี้กับข้า? ปล่อยข้านะ! ระหว่างเราเป็นไปไม่ได้แล้ว!”
สองมือของเหมียวอี้ยังกำเริบเสิบสาน “เจ้าคงไม่ได้เพิ่งรู้วันนี้หรอกว่าระหว่างเราเป็นไปไม่ได้? ตอนแรกใครกันที่บอกว่าจะเป็นคนรักลับๆ ของข้า?”
หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมา แล้วถามเสียงสั่น “เจ้ามีภรรยาแล้ว เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะทำอย่างนี้? จะไม่เสียใจทีหลังเหรอ?”
เหมียวอี้ถามกลับ “ตอนแรกที่เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนรักลับๆ ของเจ้า เจ้าผิดคำพูดเหรอ? ถ้าไม่ผิดคำพูด ข้าก็จะรับผิดชอบให้ถึงที่สุด ถึงยังไงพวกเราก็อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยไม่ได้อยู่แล้ว” ถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาปกติเขาจะไม่พูดแบบนี้แน่นอน ตอนนี้แค่อยากจะบรรลุเป้าหมายเท่านั้นเอง
ผมงามทิ้งตัวลง หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้า ปล่อยมือทั้งสองข้างออก นางหยุดขัดขืนแล้ว การกระทำนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว
เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง โน้มตัวลงรวบขาสองข้างของนางขึ้นมา แล้วหันตัวเดินไปบนเตียง
หลังจากล้มลงนัวเนียอยู่ด้วยกัน หวงฝู่จวินโหรวก็ยังเป็นหวงฝู่จวินโหรว นางเปลี่ยนบทบาทจากฝ่ายรับกลายเป็นฝ่ายรุก ร้อนแรงจนแทบจะทำให้คนละลาย
สองคนที่ชำนาญเรื่องนี้มานานแล้วไม่ได้มีอุปสรรคอะไร…
หลังจากปล่อยตัวปล่อยใจไปหลายครั้ง ถึงได้ทำให้ฝนซาเมฆสลาย ทั้งสองกำลังกอดกัน หวงฝู่จวินโหรวที่ไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วซุกศีรษะอยู่ใต้รักแร้เหมียวอี้ กำลังทำตาปรือดื่มด่ำกับรสชาติยามมือใหญ่ไหลแล่นอยู่บนร่างกายตัวเอง
ขณะชื่นชมเรือนร่างอ่อนช้อยที่อยู่ข้างกาย เหมียวอี้ที่อารมณ์สงบแล้วก็เริ่มสงสัยอีกว่าตัวเองบ้าไปแล้วหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะทำเรื่องแบบนี้อีก…แต่เขาก็จำเป็นต้องยอมรับ ว่าบนร่างกายของหวงฝู่จวินโหรวมีสิ่งที่ทำให้เขาได้ดื่มด่ำรสชาติที่ต่างออกไป ความเร่าร้อนบนตัวชู้รักคนนี้เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น เร่าร้อนเหมือนไฟจริงๆ เร่าร้อนบ้าระห่ำขนาดนั้น ต่างกับภายนอกที่ดูสง่างามภูมิฐานราวกับเป็นคนละคน ถ้าจะพูดถึงรูปร่างหลังจากเปลื้องผ้าแล้ว ว่ากันตามจริง ในบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยสัมผัสมาไม่มีใครสู้อวิ๋นจือชิวได้เลยสักคน หน้าตาของอวิ๋นจือชิวก็ไม่นับว่างามเลิศล้ำ แต่เรือนร่างของนางยั่วราคะจริงๆ แต่ภายนอกกับภายในของอวิ๋นจือชิวนั้นไม่สอดคล้องกัน อย่าไปมองว่าท่วงท่าและการกระทำของอวิ๋นจือชิวเย้ายวนใจจนถึงขั้นทำเรื่องเร่าร้อนได้ เพราะเวลาได้ประลองกันจริงๆ กลับเป็นคนหัวโบราณมาก ทนการกระทำชำเราซ้ำหลายครั้งไม่ไหว พ่ายแพ้ยับเยินไม่เป็นท่าได้ง่ายมาก แต่ช่วยไม่ได้ที่คนนอกไม่ได้เห็นภาพตอนอวิ๋นจือชิวถูกกระทำจนหมดท่า นี่ก็คือวิธีการที่เขาใช้จัดการกับอวิ๋นจือชิว
ส่วนพวกอนุภรรยาส่วนใหญ่ก็อยู่ในขนบธรรมเนียม หงเฉินก็ยิ่งปล่อยให้เจ้าบงการ ประมาณว่าเจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจ ไม่ได้ตอบสนองอะไรเลย มีเพียงความเร่าร้อนดั่งไฟของหวงฝู่จวินโหรวที่แตกต่างออกไป ทำให้คนสติกระเจิงมาก
หวงฝู่จวินโหรวที่วิญญาณล่องลอยไปบนสวรรค์ค่อยๆ เรียกสติกลับมา นางลืมตาช้าๆ มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ในดวงตาฉายแววสับสน
ถึงแม้มารดาจะกดดันให้นางมา แต่ในใจนางก็ไม่อาจหลอกลวงตัวเองได้ ใช่ว่านางจะไม่เคยคิดอยากเจอเขาอีก ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของนางหรอก แต่ตอนแรกนางก็ไม่อยากทำอย่างนี้ ถึงได้ถามเหมียวอี้ว่าเคยชอบนางหรือเปล่า ถ้าเหมียวอี้ตอบว่าไม่เคย เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะยอมให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก และหลังจากได้คำตอบจากเหมียวอี้แล้ว นางก็อยากจะทดสอบว่าร่างกายของตัวเองยังสามารถดึงดูดเหมียวอี้ได้หรือไม่ นางถึงได้จงใจทำอย่างนั้น สุดท้ายความจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าผู้ชายคนนี้ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยาก ทำให้นางแอบรู้สึกภูมิใจนิดหน่อย
ส่วนเรื่องน่าหงุดหงิดใจที่เกิดขึ้นในอดีต เรื่องที่เหมียวอี้แต่งงาน ทั้งหมดถูกนางโยนทิ้งไปหมดแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางไม่อยากคิดไปทางด้านนั้นอีก ในจิตใจส่วนลึกของนางไม่อยากแยกจากผู้ชายคนนี้ และผู้ชายคนนี้ก็ให้คำอธิบายที่สมบูรณ์แบบกับนางด้วย ทั้งสองไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างเปิดเผยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นางกำหนดให้ตัวเองเป็นคนรักลับๆ ของเขาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้มีอะไรต่างจากเมื่อก่อนล่ะ?
หลังจากหายเลอะเลือน หวงฝู่จวินโหรวก็ยังไม่ลืมภารกิจในครั้งนี้ นางถามด้วยเสียงงุ้งงิ้งว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าเหรอ โจรราคะเจียงอีอีถูกเจ้าจับได้แล้ว?”
เหมียวอี้ตอบ “อืม” มือไถลไปเล่นหน้าอกนาง
“ทำไมเจียงอีอีถึงถูกเจ้าจับได้ล่ะ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
เหมียวอี้คิ้วกระตุกเบาๆ เขารู้ว่าเจียงอีอีกับสมาคมวีรชนเกี่ยวข้องกัน จึงเหล่ตาถามว่า “ถามถึงเขาทำไม สมาคมวีรชนคงไม่ได้ส่งเจ้ามาใช้อุบายสามงามหรอกใช่มั้ย?”
ในดวงตาหวงฝู่จวินโหรวฉายแววลนลาน นางพลิกตัวมาหมอบบนตัวเขา “ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ครั้งนี้ถ้าไม่เพราะแม่ข้ากดดันให้ข้ามาเจอเจ้า ข้าก็ไม่อยากเจอคนทรยศอย่างเจ้าหรอก รีบบอกมา เรื่องเจียงอีอีเป็นยังไงกันแน่? ถ้ากล้าปิดบังข้าจะกินเจ้า!”
เหมียวอี้บีบก้นนาง พร้อมถามหยอก “แม่เจ้าคงไม่ได้ให้เจ้าเอาตัวมาถวายให้ข้าหรอกใช่มั้ย?”
หวงฝู่กัดหน้าอกเขาทันที เขาจึงขอร้อง “ก็ได้ๆๆ ข้าบอกก็ได้ ที่จริงข้าไม่ได้จับเขาได้หรอก เป็นตึกศาลาสัตยพรตที่ส่งมาให้ข้า…” ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่พูดความจริง แล้วก็บอกนางไปเหมือนที่ตัวเองบอกกับตำหนักสวรรค์ รวมทั้งเรื่องที่เจียงอีอีฆ่าตัวตายด้วย
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!” หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วพยักหน้าพลางทำท่าครุ่นคิด นางพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว ดีไม่ดีเจียงอีอีอาจจะเป็นคนของสมาคมวีรชนก็ได้ แล้วตอนสุดท้ายที่บอกว่าให้ปล่อยน้องสาวของเขาไป นางเดาว่าสมาคมวีรชนคงจะจับน้องสาวเขาไว้เป็นตัวประกัน เรื่องบางเรื่องนางก็เคยได้ยินจากสมาคมวีรชนมาบ้าง
พอเห็นปฏิกิริยาของนาง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจ “ที่แท้ก็หลอกลวงข้ามาเพราะมีจุดประสงค์นี้นี่เอง ทำไมข้ารู้สึกปวดใจอย่างนี้นะ”
“คนบ้า! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนที่เสียเปรียบคือข้า!” นางบิดเอวเขา แต่ก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองทำอย่างนี้เป็นการทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย หวงฝู่จวินโหรวจึงกัดฟันบอกว่า “อย่างมากเวลาที่เจ้าต้องการ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าสืบข่าวจากสมาคมวีรชนมาชดเชยให้ได้ แบบนี้คงได้ใช่มั้ย?”
เหมียวอี้มองบนเพดาน เหมือนไม่รับปากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ。
หวงฝู่จวินโหรวกลอกตามองบน ก่อนจะก้มจูบบนหน้าอกของเขา ร่างกายไหลลงไปข้างล่างอย่างช้าๆ จูบไล่ลงไปตลอดทาง ใช้การกระทำจริงอันเร่าร้อยเพื่อมาชดเชยให้เขา…
เมื่อได้รับรายงานจากลูกสาวแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็บอกหวงฝู่เยี่ยนผู้เป็นบิดาทันที แต่ใครจะคิดว่าทางฝั่งบิดาจะมีปฏิกิริยาเย็นชา เหมือนจะไม่ค่อยสนใจสิ่งนี้สักเท่าไรแล้ว พอนางถามรายละเอียด หวงฝู่เยี่ยนก็ไม่ยอมพูดอะไรเยอะ แต่นางก็ดันไม่กล้าบอกเรื่องของลูกสาวให้ตระกูลรู้อีก ทำให้นางไม่สะดวกจะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวและเหมียวอี้ นางเห็นลูกสาวเติบโตมากับตา รู้จักนิสัยใจคอลูกสาวดี ถ้าไม่ไปมั่วอยู่กับหนิวโหย่วเต๋ออีกก็แปลกแล้ว
เมื่อลองสืบถามดู คำตอบของลูกสาวก็ค่อนข้างคลุมเครือ ทำให้หวงฝู่ตวนหรงรู้อยู่แก่ใจทันที ลูกสาวคงจะไปมั่วอยู่กับผู้ชายที่มีสามีแล้วจริงๆ เบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็ดันเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่วอีก ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกไปต้องแย่แน่ ทั้งๆ ที่นางรู้อยู่แก่ใจว่าอาจจะเกิดเรื่องแบบนั้น แต่ก็ยังผลักลูกสาวออกไปด้วยมือตัวเอง เรียกได้ว่าปวดหัวมาก ไม่รู้ว่าควรจะจบเรื่องนี้อย่างไร!
คนอื่นจะกังวลอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่รับรู้ เขาอยู่หาความสำราญกับหวงฝู่จวินโหรวที่นี่หลายวันมาก หวงฝู่จวินโหรวก็เหมือนดอกไม้บานสดใสไปหลายวัน ความกลัดกลุ้มใจในหลายปีมานี้หายไปหมดแล้ว ทิ้งรอยยิ้มอันเบิกบานใจเอาไว้ทุกที่ในคฤหาสน์ที่เคยว่างเปล่าหลังนี้
เหยียนซิวที่รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่ข้างๆ เห็นแล้วแอบส่ายหน้า กล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ ถ้าให้ฮูหยินรู้ขึ้นมาจะไม่แย่หรอกเหรอ? นายท่านอาจจะโดนฮูหยินตัดขาทิ้งก็ได้!
เหยียนซิวก็ปวดหัวเช่นกัน ถ้าวันไหนฮูหยินรู้ความจริงขึ้นมา แล้วออกคำสั่งให้เขากำจัดหวงฝู่จวินโหรวทิ้ง เขาจะทำยังไงดีล่ะ?
ในฐานะที่เป็นคนนอกสถานการณ์ เขาสังเกตมานานจนรู้เส้นตายของฮูหยินชัดเจนแล้ว ใช่ว่าฮูหยินจะไม่ให้นายท่านมีอนุภรรยา เดิมทีฮูหยินก็เป็นคนจัดการหาอนุภรรยาพวกนั้นให้อยู่แล้ว แต่ความใจกว้างก็มีระดับเหมือนกัน ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ ขอเพียงเป็นผู้หญิงที่แอบลักลอบมีสัมพันธ์กับนายท่านลับหลังฮูหยิน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้แต่งงานเข้าตระกูลเหมียว เป็นไปไม่ได้ที่ฮูหยินจะรับหวงฝู่จวินโหรว จูเก๋อชิงก็เป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว ต่อให้นายท่านจะพูดจนปากฉีกก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าใครขอร้องวิงวอนก็ไม่ได้ผล!
ดังนั้นเรื่องจัดการหวงฝู่จวินโหรว เขาคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าฮูหยินจะให้เขาเหยียนซิวออกโรง ถึงตอนนั้นเขาจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังดีล่ะ?
หลังจากหาความสำราญไปได้หลายวัน ในที่สุดก็ต้องแยกกับหวงฝู่จวินโหรวอย่างอาลัยอาวรณ์แล้ว ระหว่างทางที่กลับตลาดผี เหยียนซิวที่ปกติเป็นคนพูดน้อยก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวโน้มน้าว “นายท่าน ต่อไปอย่ามาพบกับผู้หญิงคนนี้บ่อยเลย ถ้าสมาคมวีรชนจับได้ก็จะยุ่งยากนะ แม่นางรู้เรื่องนี้นะ”
เหมียวอี้ไม่คิดอย่างนั้น “จุดนี้ไม่ต้องห่วงเลย หวงฝู่ตวนหรงไม่มีทางเอาชีวิตลูกสาวตัวเองมาล้อเล่น มีแต่จะช่วยปิดบังเท่านั้น แล้วอีกอย่างนะ อาศัยนางหาข่าวของสมาคมวีรชนได้ด้วย”
ท่านนี่ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ขนาดจะหาเศษหาเลยยังอ้างเหตุผลได้อีกเหรอ? เหยียนซิวตำหนิไม่หยุด เกลี้ยกล่อมอีกว่า “ถ้าฮูหยินรู้ขึ้นมาจะทำยังไง?”
เหมียวอี้เหล่ตาจ้อง “ข้าว่านะเหยียนซิว เจ้าก็ไม่ใช่คนปากมากนะ เจ้าคงไม่ถ่อไปฟ้องฮูหยินหรอกใช่มั้ย? ข้าจะบอกเจ้าให้เจ้า ถ้าเจ้าให้ฮูหยินรู้จริงๆ เจ้าก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมนะว่าเจ้าก็เป็นคนดูต้นทาง ถ้าฮูหยินรู้คงไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
“นายท่าน…” เหยียนซิวพูดไม่ออกแล้ว สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นายท่าน ข้าแค่แนะนำให้ท่านพยายามระวังตัว เดินริมแม่น้ำบ่อยคงต้องเท้าเปียกเข้าสักวัน ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวก็แต่เรื่องที่ไม่แน่นอน ระวังไว้หน่อยดีกว่า”
เหมียวอี้พยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ ต่อไปนี้เจ้าก็อย่าลืมตรวจสอบสภาพรอบๆ ให้ดีล่ะ อย่าให้มีช่องโหว่อะไร”
ยังมีต่อไปนี้อีกเหรอ? เหยียนซิวพูดไม่ออกอีกแล้ว ยอมแพ้เขาแล้ว ในปีแรกที่พบกันยังเป็นเด็กหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่ง ทำไมเปลี่ยนเป็นหน้าด้านหน้าทนไร้ยางอายขนาดนี้ได้ล่ะ? ผู้หญิงบ้านเจ้ามีเป็นโขยง เจ้ายังรับมือไม่หมดเลย ยังจะถ่อออกมาหาของป่ากินข้างนอกอีกเหรอ?
สำหรับผู้ชายที่ซื่อสัตย์จนวันตายอย่างเขา ไม่มีทางทำความเข้าใจพฤติกรรมสำส่อนของเหมียวอี้ได้เลย สิ่งนี้ทำให้เขากลุ้มใจนิดหน่อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น