ยอดหญิงสกุลเสิ่น 160.2-161.1

ตอนที่ 160.2

 

 สงคราม สงคราม

 


 


 


ทั่วทุกแห่งในเมืองชายแดนล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยที่ไฟสงครามทิ้งไว้ บนถนนไม่ค่อยมีคน แม้ว่าจะมีคนเดินถนนท่าทางรีบร้อน แต่ร้านค้าสองข้างทางก็ปิดประตูเป็นส่วนใหญ่


 


 


เสิ่นเวยพาเถาฮวากับโอวหยางไน่ไปเดินดูบนถนน พบทหารเข้ามาทำความเคารพนางไม่ขาดสาย ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคาพอย่างถึงที่สุด ทุกคนต่างก็ทราบดีว่านี่คือคุณชายสี่ของตระกูลท่านโหว เป็นคนที่ขนเสบียงมาให้พวกเขา คว้าโอกาสในการมีชีวิตอยู่ให้กับเมืองชายแดนท่ามกลางไฟสงคราม


 


 


“เหตุใดถึงไม่มีประชาชนอพยพ” เสิ่นเวยถามโอวหยางไน่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ตามที่นางเข้าใจ ทุกครั้งที่มีสงคราม ประชาชนเมืองชายแดนจะต้องอพยพครอบครัวหนีไปยังที่ราบตอนกลาง แต่เสิ่นเวยกลับเห็นว่าแม้ประชาชนในเมืองจะปิดประตูหน้าต่างสนิท แต่ทุกๆ บ้านกลับยังมีคนอยู่


 


 


โอวหยางไน่กล่าว “พวกเขาจะอพยพไปไหนได้ คนหลายต่อหลายรุ่นต่างก็ใช้ชีวิตที่เมืองชายแดน พวกเขาชินกับสงคราม ชินกับไฟสงครามนานแล้ว ต่อให้ที่นี่จะไม่ดีแต่ก็ยังเป็นบ้านเกิดของพวกเขา ที่อื่นจะดีจริงๆ หรือ เจ้าถิ่นกดขี่ โจรระราน ไม่สู้อยู่ในบ้านเกิดที่ชายแดนดีกว่า”


 


 


หัวใจของเสิ่นเวยหนักอึ้งในชั่วขณะ ตั้งแต่โบราณกาล ความสำเร็จของแม่ทัพคือการสละชีพแลกมาซึ่งชีวิตประชาชนนับหมื่นนับแสน สิ่งที่สงครามมอบให้ประชาชนล้วนเป็นความเจ็บปวดและน้ำตาที่ไหลเป็นสายเลือดซึ่งไม่มีทางสูญหายไปตามกาลเวลา


 


 


วินาทีนี้ เสิ่นเวยอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเมืองชายแดนซีเจียง เพื่อประชาชนในเมืองชายแดนซีเจียงเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ากำลังของนางจะน้อยอย่างถึงที่สุด แม้ว่าเงินที่นางทุ่มเทจะเป็นเพียงน้ำหนึ่งแก้วที่ใช้ดับไฟทั้งเกวียนก็ตาม


 


 


การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ จะต้องทำอะไรสักอย่าง จะต้องยืนหยัด จะต้องรักษาเส้นของตนเอง จะต้องพยายามเป็นคนที่ดี เป็นคนที่ดีงาม


 


 


นี่เองก็เป็นเหตุผลหลักที่เสิ่นเวยเกลียดการต่อสู้ในเรือนหลังที่สุด ต่อสู้ตบตีเพื่อผู้ชายหนึ่งคนสนุกหรือไร ชนะแล้วอย่างไร ร้อยปีให้หลังก็กลายเป็นดินกันหมดไม่ใช่หรือ ใช้แผนร้ายเพื่อทรัพย์สมบัติแค่นั้น มีเวลาคิดแผนการขนาดนั้นแต่ก็ยังแย่งทรัพย์สินมาไม่ได้


 


 


“นี่คือ?” เสิ่นเวยชี้บ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งแล้วถาม ป้ายบนประตูใหญ่หักไปครึ่งหนึ่ง ครึ่งนั้นที่เหลืออยู่ก็ด่างพร้อย มองเห็นไม่ชัดว่าข้างบนเขียนว่าอะไร เด็กหลายคนวิ่งเล่นอยู่หน้าประตู เด็กโตอายุประมาณแปดเก้าขวบ เด็กเล็กอายุเพียงสองสามขวบ เสื้อผ้าบนร่างขาดหลุดรุ่ย บนใบหน้ายังสกปรกอย่างยิ่ง


 


 


“เด็กกำพร้าจากสงคราม” เสียงของโอวหยางไน่เย็นเยียบอย่างถึงที่สุด เมื่อก่อนเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในนี้ แต่เขาโชคดี ถูกท่านโหวเลือกกลับไป


 


 


เสิ่นเวยมองเข้าไปจากประตูใหญ่ที่เปิดออก มองเห็นคนชราที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไม่น้อยกับสตรีที่มีสีหน้าทุกข์ระทม นางคิด ที่แท้แล้วเด็กกำพร้าจากสงครามก็ไม่ได้มีเพียงเด็กที่สูญเสียพ่อแม่ แต่ยังรวมถึงคนชราที่เสียลูกกับสตรีที่เสียสามีและลูก ที่แท้แล้วสงครามก็โหดร้ายยิ่งกว่าที่นางคิด


 


 


ด้วยเหตุนี้ เสิ่นเวยจึงนึกถึงกลอนหนึ่งบทที่เคยเรียน ‘ผาสูงดุจโอบล้อม คลื่นสมุทรดุจพิโรธ คีรีธาราขนาบเส้นทางถงกวน ทอดมองบูรพา สองจิตลังเล ระทมทุกข์ยุคฉินฮั่นล่มสลาย พระราชวังทลายเป็นเถ้าถ่าน สุข ราษฎรก็เป็นทุกข์ ตาย ราษฎรก็เป็นทุกข์’


 


 


สงครามรีบจบเสีย ประชาชนจะได้มีวันสงบสุขเสียที


 


 


หลังเสิ่นเวยกลับไปถึงจวนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเปิดไฟตลอดทั้งคืน นางพลิกอ่านข้อมูลต่างๆ ของเมืองชายแดนที่ได้จากอาจารย์ผังแต่ละเล่มๆ หลังจากนั้นก็จับพู่กันเขียนลงบนกระดาษด้วยความรวดเร็ว กระทั่งไก่โห่นางจึงหาวนอนลงบนเตียง


 


 


วันที่สอง คำสั่งแต่ละอย่างๆ ออกมาจากเรือนเสิ่นเวย เหล่าเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นขี่ม้าศึกของพวกเขาออกจากเมืองชายแดนไปปฏิบัติหน้าที่ที่คุณหนูของพวกเขามอบหมายอย่างตั้งใจจริง


 


 


กลุ่มพ่อค้าของชวีไห่กับสำนักคุ้มภัยของจางสยงมาถึงเมืองชายแดนตามลำดับ ขบวนรถที่มองไม่เห็นปลายแถวเข้ามาในประตูเมือง ทหารและประชาชนเมืองชายแดนต่างก็วิ่งมามุงดู ดีใจประหนึ่งฉลองปีใหม่


 


 


จะไม่ดีใจได้อย่างไร มีเสบียงกินแล้ว มียาแล้ว ชีวิตก็อยู่ต่อไปได้แล้ว ยังมีอะไรที่ควรค่าแก่การดีใจไปมากกว่านี้อีก


 


 


จางสยงกับเฉียนเป้าพักเพียงแค่หนึ่งคืน วันที่สองก็นำคนออกจากเมืองชายแดน คุณหนูของพวกเขาบอกว่า เมืองชายแดนขาดแคลนทุกอย่าง อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ไม่อาจปล่อยให้ทหารและประชาชนเมืองชายแดนไม่ตายใต้กีบเท้าม้ากองทัพใหญ่ซีเหลียง แต่กลับตายเพราะความหนาวเหน็บ หิวตายและป่วยตายได้ พวกเรามีความสามารถก็ลงมือทำหน่อย อย่ากลัวว่าจะเปลืองเงิน เงินใช้หมดแล้วค่อยหาใหม่ก็ได้ แต่ชีวิตคนสิ้นแล้วก็สูญสิ้นไปตลอดกาล มนุษย์ต้องมีชีวิตอยู่จึงจะมีความหวัง


 


 


ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบาก เบ้าตาชายร่างกำยำสูงใหญ่แดงก่ำ คุณหนูของพวกเขาจิตใจดีเช่นนี้ สภาพในอดีตของพวกเขาก็เหมือนกันประชาชนเมืองชายแดนซีเจียง เพราะว่าจิตใจที่ดีงามของคุณหนูพวกเขาจึงมีชีวิตที่ดีเช่นวันนี้ได้


 


 


เป็นมนุษย์ไม่อาจลืมตน พวกเขาเองก็ยินดีที่จะทุ่มเทแรงทั้งหมดของตัวเองเพื่อช่วยประชาชนเมืองชายแดนซีเจียง


 


 


ชวีไห่กับหมอหลิ่วถูกเสิ่นเวยทิ้งให้อยู่ในเรือน ชวีไห่อายุมากแล้ว ทั้งยังไม่มีศิลปะการต่อสู้ติดตัว ไปกลับระหว่างเมืองชายแดนกับหมู่บ้านตระกูลเสิ่นร่างกายก็รับไม่ไหวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาเป็นเจ้าของร้าน ในเรื่องการจัดการชำนาญอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยจึงให้เขาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย


 


 


อันที่จริงเสิ่นเวยเสียใจอย่างยิ่งที่ทิ้งอาจารย์ซูไว้ที่เมืองหลวง อาจารย์ซูอยู่ที่เมืองชายแดนจึงจะแสดงความสามารถได้มากยิ่งกว่า แผงขายของเล็กๆ แค่นั้นในเมืองหลวงมีอะไรให้น่าดู ต่อให้จะหายไปหมดแล้วอย่างไร เทียบกับชีวิตคนได้หรือ แย่งกลับมาก็สิ้นเรื่อง


 


 


หมอหลิ่วเองก็ไม่ว่าง ตามหมอทหารไปตรวจอาการผู้บาดเจ็บที่เขตผู้ได้รับบาดเจ็บ


 


 


ท่านเสิ่นโหวฟังคำรายงานของโอวหยางไน่ สีหน้าก็แสดงออก แววตามีบางอย่างแวบผ่าน ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครา แต่กลับไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว


 


 


เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้ชาย หากเจ้าสี่เป็นเด็กผู้ชาย ต่อให้เขาจะต้องพยายามคัดค้านก็จะต้องมอบจวนจงอู่โหวไว้ในมือนางให้ได้ เด็กคนนี้โหดเ**้ยมขึ้นมาแล้วไม่เลือกวิธี แต่กลับมีจิตใจที่เมตตา คิดรอบคอบยิ่งกว่าปู่เช่นเขา หากจวนจงอู่โหวอยู่ในมือนางจะต้องก้าวไปอีกขั้นได้แน่นอน


 


 


เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้ชายเล่า ท่านเสิ่นโหวเสียดาย


 


 


เชียนเอ๋อร์ก็ไม่เลว นอบน้อมก้าวหน้ามีความสามารถ แต่ดันขาดความเผด็จการเช่นนั้นไป ความเผด็จการที่อยู่ติดตัวผู้มีอำนาจ ค่อยๆ สอนแล้วกัน จะต้องสำเร็จจงได้ อย่างน้อยเขาก็ยังมีประสบการณ์ยี่สิบปี จะต้องสอนเชียนเอ๋อร์ตัวต่อตัวให้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่อาจนำจวนจงอู่โหวให้ก้าวไปอีกขึ้นได้ แต่รักษาไว้ก็ยังพอไหว


 


 


ท่านเสิ่นโหวปลอบตัวเองเช่นนี้


 


 


ส่วนเสิ่นเวยในตอนนี้ก็พาคนและทหารของนางออกไปล่าสัตว์ ใช่ เจ้าฟังไม่ผิด ล่าสัตว์ ไม่ล่าสัตว์แล้วจะเอาเนื้อที่ไหนมากิน ไม่กินเนื้อแล้วจะมีแรงได้อย่างไร


 


 


ซีเจียงมีภูเขาเยอะ บนภูเขาแน่นอนว่าต้องมีเหยื่อให้ล่า เสิ่นเวยพาคนหนึ่งร้อยกว่าคนเรียงแถวยาวเหยียดเข้าไปในเขา ทั้งล่าสัตว์ ทั้งได้ฝึกฝน นางนำเอาการฝึกซ้อมการใช้ชีวิตอยู่ในป่าของยุคปัจจุบันมาใช้ กลุ่มละสิบคน พกเสบียงและน้ำได้เล็กน้อย กำหนดเวลา ดูว่ากลุ่มใดล่าสัตว์ได้เยอะที่สุด และคนต้องออกมาได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น


 


 


กลุ่มที่ชนะแน่นอนว่ามีรางวัล นั่นก็คือการได้รับอภิสิทธิลงสนามรบฆ่าศัตรูสร้างคุณูปการ เสิ่นเวย


 


 


อธิบายเช่นนี้ ‘เจ้าต้องแข็งแกร่งมากพอข้าจึงกล้าพาเจ้าลงสนามรบ หากเจ้าไม่มีความสามารถ อย่าว่าแต่เป็นภาระคนอื่น ชีวิตคนตนยังยากจะปกป้องไว้ได้ ข้าพาพวกเจ้าออกมาแสวงหาความก้าวหน้าสร้างคุณงามความดี ไม่ได้ส่งมาตาย ดังนั้นใครอยากลงสนามรบสร้างคุณงามความดีเช่นนั้นก็เอาความสามารถของพวกเจ้าออกมา’


 


 


ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าคนสามสิบคนนั้นที่ตามคุณหนูมาเมืองชายแดนต่างก็เคยลงสนามรบ ฆ่าทหารซีเหลียง ซ้ำเมืองชายแดนยังประกาศเกียรติยศคุณูปการของพวกเขา อัดอั้นมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าคันไม้คันมืออยากจะลองดูแล้ว


 


 


หลังทุกคนเข้าไปในเขาเสิ่นเวยก็ตามเข้าไปในเขาเช่นกัน คนที่ติดตามนางอยู่ยังคงเป็นเถาฮวา เสี่ยวตี๋และโอวหยางไน่ ประสบการณ์การใช้ชีวิตในป่าของเสิ่นเวยโชกโชนมากเป็นพิเศษ นางเคยพกแค่เพียงน้ำแร่หนึ่งขวดก็ใช้ชีวิตอยู่ในป่าทึบแอฟริกาได้ครึ่งเดือน ตอนที่ออกมานอกจากตัวจะเหม็นหน่อย จนตรอกหน่อย แต่ก็ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


ตอนนี้นางเดินไปพลางถ่ายทอดประสบการณ์ไปพลาง แยกแยะทิศทางอย่างไร หาแหล่งน้ำอย่างไร ผลไม้ป่าแบบใดที่กินได้ สัตว์ชนิดใดต้องหลบหนี…ส่วนใหญ่แล้วก็สอนเถาฮวา เสี่ยวตี๋กับโอวหยางไน่เพียงแค่ถือโอกาสสอนไปด้วย


 


 


สำหลับคนที่เดินเขาคนอื่นๆ เสิ่นเวยไม่เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย แต่ละกลุ่มนางส่งทหารลับไปติดตามอยู่เงียบๆ แล้ว หากเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตจริงๆ ย่อมสามารถลงมือช่วยได้ ไม่อาจตายเพราะฝึกฝนได้เป็นอันขาด หากจะตายก็ตายในสนามรบ แต่ว่าไม่ตายได้จึงจะดีที่สุด


 


 


เวลาที่เสิ่นเวยกำหนดคือหนึ่งวันหนึ่งคืน ก่อนบ่ายวันที่สองทุกคนต้องออกมา


 


 


บ่ายวันที่สอง กลุ่มเล็กสิบเจ็ดกลุ่มที่เข้าไปในป่ากลับมาหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจำนวนสัตว์ที่ล่ามาได้ ที่น่าดีใจยิ่งกว่าก็คือไม่มีคนได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว สำหรับรอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ ไม่นับ


 


 


เสิ่นเวยมองสัตว์ที่กลุ่มเล็กล่ามาได้ทีละกลุ่มๆ โห ล่าสัตว์มาได้ไม่น้อยเลยจริงๆ ไก่ป่ากระต่ายป่ากวางตัวเล็กกวางแม่น้ำนานาชนิดวางกองเป็นภูเขา อีกทั้งยังล่าสัตว์ใหญ่มาได้ไม่น้อย อย่างเช่นหมูป่า หมาป่าต่างๆ


 


 


เสิ่นเวยถามไถ่วิธีการล่าสัตว์ของแต่ละกลุ่มๆ ทราบว่าพวกเขารู้จักร่วมมือกันก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ฆ่าศัตรูใช้หลักการเดียวกับล่าสัตว์ ขอเพียงแค่สามัคคีร่วมมือกัน ต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งก็จะต้องถูกพวกเราล้ม” เสิ่นเวยไม่ทิ้งโอกาสในการสั่งสอนใดๆ หวังเพียงแต่ว่าจะสอนให้มากขึ้นได้ พวกเขาจะได้ปกป้องชีวิตตัวเอง


 


 


ทุกคนคล้ายครุ่นคิด ตั้งใจย้อนนึกถึงประสบการณ์หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ของตนเอง คิดว่าตรงไหนที่ทำได้ดี ตรงไหนที่ยังสะเพร่า พวกเขาติดตามเสิ่นเวยมาเป็นเวลานานแล้ว ได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ปฏิบัติตามวิธีคิด ตริตรองปัญหาตามเสิ่นเวยอย่างไม่รู้ตัว


 

 

 


ตอนที่ 161.1

 

ว่าไง คุณชายใหญ่สวี ไม่เจอกันนานเลยนะ

 


 


 


 


สัตว์ที่ล่ามาได้เยอะเพียงนั้นนอกจากจะนำมาเป็นอาหารในกองทัพแล้ว เสิ่นเวยยังแบ่งไปให้บ้านเด็กกำพร้าและชาวบ้านที่ลำบาก ของไม่เยอะ แต่กลับเป็นการปันน้ำใจ 


 


 


ท่านเสิ่นโหวยังตั้งใจเรียกเสิ่นเวยไปปรึกษา ภายหลังในกองทัพนอกจากการฝึกซ้อมเฝ้าระวังตามปกติแล้ว ทุกวันยังต้องแบ่งกลุ่มคนเวียนกันไปล่าสัตว์บนเขา ไม่เพียงแต่ล่าสัตว์ แต่เมื่อเจอผักป่าหรือเห็ดที่สามารถกินได้ก็จะเก็บกลับมาเช่นกัน 


 


 


อากาศเริ่มหนาว ไม่สำรองวัตถุดิบไว้ให้มากแล้วจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร พึ่งใครก็ไม่เท่าพึ่งตัวเอง กองทัพใหญ่ซีเหลียงยังจับตามองอยู่ข้างๆ ชาวนาผู้มีประสบการณ์ก็บอกไว้แล้วว่าฤดูหนาวปีนี้จะหนาวมากเป็นพิเศษ ซีเหลียงจะต้องยกทัพโจมตีชายแดนอีกครั้งเพื่อเอาชีวิตรอดแน่นอน สงครามดุเดือดครั้งนี้แทบจะคาดเดาได้แล้ว 


 


 


ความสงบนิ่งในตอนนี้เป็นเพียงเพราะซีเหลียงพ่ายแพ้กะทันหันไม่ทันได้ตอบสนองกลับมา เสิ่นเวยแอบเสียดายลูกธนูดอกนั้น นางน่าจะชุบยาพิษประเภทที่เข้าสู่กระแสเลือดแล้วก็สามารถหยุดลมหายใจได้ เช่นนี้ท่านอ๋องใหญ่ซีเหลียงก็จะต้องตายแน่นอน กลุ่มกำลังส่วนในของซีเหลียงอาจจะมีการผันเปลี่ยนขนาดใหญ่จึงทำให้เมืองชายแดนมีเวลาหยุดพักมากขึ้น 


 


 


หลายวันนี้เสิ่นเวยไม่พาคนไปล่าสัตว์แล้ว แต่พาคนของนางไปลาดตระเวนพรมแดน สำรวจภูมิประเทศแทน ที่ใดมีเขา ที่ใดมีแม่น้ำ ที่ใดเหมาะสมจะดักซุ่มโจมตี ที่ใดเป็นจุดยุทธศาสตร์ มีสองครั้งที่แทรกซึมเข้าไปถึงข้างในเขตแดนซีเหลียง พบทหารซีเหลียงกลุ่มเล็กในทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่สูงเท่าขา ผลลัพธ์แน่นอนว่ากวาดล้างทหารซีเหลียงได้ทั้งหมด ขนกลับมาเต็มคันรถ 


 


 


เสิ่นเวยมีความกังวลอยู่ลึกๆ เหตุใดเสบียงของราชสำนักจึงยังมาไม่ถึงเมืองชายแดน คำนวณวันเวลาแล้ว ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนเหมือนเสิ่นเวยก็ควรจะถึงได้แล้ว หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นระหว่างเดินทาง 


 


 


ผู้ที่คุมส่งเสบียงคือแม่ทัพอู่เลี่ย เป็นบิดาของจางเข่อซินเพื่อนสนิทของตน ความกังวลของเสิ่นเวยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจเลี่ยง หลายวันมานี้ที่นางออกจากเมืองลาดตระเวนชายแดน อันที่จริงก็ตั้งใจจะเป็นกำลังหนุน แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกครั้งก็ต้องกลับมาอย่างผิดหวัง 


 


 


วันนี้เสิ่นเวยพาคนออกจากเมืองตามปกติ ตากแดดตากลมติดต่อกันหลายวัน เสิ่นเวยดำแล้ว ทั้งยังผอมลงแล้ว แต่ร่างทั้งร่างกลับเหมือนกระบี่ที่ที่ออกจากฝัก แหลมคมและลุ่มลึก 


 


 


ท้องฟ้าซีเจียงสูงและกว้างไกล สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วไหว พัดพาความเย็นหนึ่งกลุ่มผ่านร่าง ในเมืองหลวงยังอยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงแต่ซีเจียงกลับเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว 


 


 


เสิ่นเวยขี่ม้าห้อตะบึง ผู้ที่ติดตามขนาบข้างยังคงเป็นเถาฮวาและโอวหยางไน่ อันที่จริงเสิ่นเวยเอ่ยปากนานแล้วว่า ให้โอวหยางไน่กลับกองทัพ เพียงแต่เขายืนกรานไม่ยอมก็เท่านั้นเอง 


 


 


“คุณชาย สองลี้ข้างหน้ามีกองทัพซีเหลียงหนึ่งกลุ่ม จำนวนคนประมาณร้อยคน” ทหารลับที่สำรวจเส้นทางข้างหน้าเข้ามารายงาน 


 


 


เสิ่นเวยขมวดคิ้วมุ่น สองครั้งก่อนต่างก็เจอทหารซีเหลียงในเขตแดนซีเหลียง ตอนนี้ยังไม่ถึงพรมแดนซีเหลียง ทหารซีเหลียงวิ่งมาถึงที่นี่ทำไมกัน อีกทั้งยังเคลื่อนทัพเป็นร้อยคน เสิ่นเวยรู้สึกแปลก แต่แปลกอย่างไรนางกลับคิดไม่ตกในชั่วขณะ 


 


 


“คุณชาย พวกเราโจมตีกันเถอะ” 


 


 


“ใช่แล้ว ตีพวกมัน ให้ทหารซีเหลียงกลับไปไม่ได้” 


 


 


“ถูกต้องๆ ไม่ตีก็น่าเสียดาย ตีแล้วค่อยว่ากัน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ม้าของทหารซีเหลียงก็ดีมากแล้ว” 


 


 


คนที่ตามอยู่ข้างหลังแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ละคนไอสังหารคุกรุ่น ท่าทางพร้อมเข้าไปต่อยตีทันที 


 


 


เสิ่นเวยคิดๆ ดูก็ใช่ ไม่ว่าทหารซีเหลียงจะมีเงื่อนงำอย่างไร กวาดล้างพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า  


 


 


คนที่เสิ่นเวยพาออกมามีเกือบสองร้อยคน แน่นอนว่าไม่รวมเสิ่นเส้าหย่งและคนอื่นๆ ที่มาเมืองชายแดนซีเจียงก่อนหน้านี้ พวกเขาเข้ากองทัพซีเจียงอยู่ก่อนแล้ว กลายเป็นทหารประจำการ ไหนเลยจะออกมาได้ตามอำเภอใจ 


 


 


มีเพียงผู้กล้าที่ชนะเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนคนฝั่งเสิ่นเวยก็ได้เปรียบ แต่ว่าเมื่อสู้รบไปเรื่อยๆ เสิ่นเวยก็สังเกตเห็นว่าทหารซีเหลียงที่มีนิสัยห้าวหาญป้องกันรักษาค่อนข้างเยอะ คล้ายกับว่ากำลังถ่วงเวลาพวกเขาอยู่ 


 


 


ในใจเสิ่นเวยเกิดความรู้สึกแปลกๆ ชนิดหนึ่ง ฟันทหารซีเหลียงผู้หนึ่งทิ้ง ชูดาบหมื่นโลหิตขึ้นแล้ว ตะโกนกล่าว “กลุ่มเล็กหนึ่งถึงสิบตามข้าไป คนที่เหลือกวาดล้างศัตรูต่อ เร็ว!” 


 


 


ในสนามรบเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที กลุ่มเล็กหนึ่งถึงสิบรบไปพลางถอยไปพลาง รวมกลุ่มอยู่ข้างกายเสิ่นเวยด้วยความรวดเร็ว คนที่เหลือก็ปิดช่องว่างทันที ต่อสู้ด้วยกันกับทหารซีเหลียงต่อ 


 


 


ทหารซีเหลียงเห็นเสิ่นเวยแบ่งกองทัพเป็นสองทางก็ร้อนรน คิดอยากจะเข้ามาขัดขวาง แต่กลับถูกคนที่เหลือขวางไว้อย่างแน่นหนา ทำได้เพียงจ้องมองเสิ่นเวยพาคนจากไป 


 


 


เสิ่นเวยเฆี่ยนม้า ร้อนใจดั่งไฟสุมทรวง ในใจมีเพียงความคิดเดียว หวังว่าคงแค่ตกใจไปเอง อย่าเป็นแบบที่นางคิดเด็ดขาด 


 


 


จะว่าไปแล้ว แม่ทัพอู่เลี่ยก็โชคร้ายจริงๆ ตั้งแต่ที่พากองทัพคุมส่งเสบียงสามร้อยคนกลุ่มนี้ออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงก็ไม่ได้สงบสุขอีกเลย ตลอดทางพบโจรปล้นโจรภูเขากลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ห้าหกครั้ง เฉลี่ยแล้วสองสามวันเจอหนึ่งครั้ง แม้จะบอกว่าภายใต้การบัญชาการของเขาไม่มีความเสียหายใดๆ แต่กลับทำให้ล่าช้า ออกเดินทางมากี่วันแล้วยังไม่ถึงเมืองชายแดนซีเจียงอีก พลาดโอกาสในการรบไปจะเป็นโทษหนัก 


 


 


แม่ทัพอู่เลี่ยกระทั่งสงสัยว่าในราชสำนักมีคนทรยศหรือไม่ มิเช่นนั้นโจรภูเขาเหล่านี้จะรู้เส้นทางการเดินทางของเขาแม่นยำเพียงนี้ได้อย่างไร เสียเสบียงเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่ผู้นั้น ตนคงทำได้แค่เพียงไปรับโทษกับจักรพรรดิ เพื่อที่จะปกป้องความปลอดภัยของคุณชายใหญ่สวี แม่ทัพอู่เลี่ยจึงส่งทหารคนสนิทไปคุ้มกันเขาทั้งหมด 


 


 


เดินทางมาได้เพียงครึ่งเดียว แม่ทัพอู่เลี่ยก็รู้สึกเหนื่อยกายเหนื่อยใจ กลัดกลุ้มยิ่งกว่าทำศึกสงครามดุเดือดเสียอีก ยังคงเป็นสวีโย่วที่ทนเห็นไม่ได้ จึงส่งเจียงเฮยมาปรึกษาเพื่อเปลี่ยนเส้นทางเดินทางกับเขา การเดินทางหลังจากนี้จึงราบรื่น ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าในราชสำนักมีคนปล่อยข่าว ใครกัน พุ่งเป้ามาที่เขา หรือว่าพุ่งเป้ามาที่ซีเหลียง หัวใจเขาดิ่งลึกอย่างอดไม่ได้ เพียงแค่หวังว่าจะไปถึงเมืองชายแดนซีเจียงโดยเร็ว ปลดหน้าที่ครั้งนี้ไปได้ 


 


 


แต่ว่า บนเนินเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองชายแดนซีเจียงเพียงห้าสิบหกสิบลี้กลับเจอการซุ่มโจมตีของศัตรูอีกครั้ง 


 


 


เป็นทหารซีเหลียง ทหารซีเหลียงเต็มจำนวน แน่นขนัดเต็มพื้นที่ มองดูแล้วน่าจะมีมากกว่าพันคน หัวใจของแม่ทัพอู่เลี่ยจางเฮ่าหรานเย็นเยียบ พลางสั่งคนไปปกป้องคุณชายใหญ่สวี พลางชักดาบรบของตนออกมา 


 


 


คนสามร้อยคนเผชิญหน้ากับคนหนึ่งพันคน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งพันคนที่มีกำลังอาวุธพร้อม ไหนเลยจะยังมีโอกาสชนะ จางเฮ่าหรานยิ่งสู้ก็ยิ่งตกใจ ทหารซีเหลียงเหล่านี้ไม่แตะต้องเสบียง เพียงแค่ล้อมสังหารพวกเขา ดูท่าแล้วตั้งใจจะกวาดล้างให้หมด 


 


 


เห็นเพื่อนร่วมรบข้างกายล้มลงทีละคนๆ ดวงตาของจางเฮ่าหรานก็เป็นสีแดงก่ำ ไม่ได้ จะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วคุณชายใหญ่สวีเล่า จะต้องส่งเขาออกไปให้ได้ ต่อให้ตนจะสู้รบจนตายก็ต้องพาเขาหนีออกไปให้ได้ ขอเพียงคุณชายใหญ่ปลอดภัยไร้กังวล ครอบครัวที่เขาทิ้งไว้ในเมืองหลวงจึงจะปลอดภัยได้ 


 


 


“คุณชายใหญ่ ไป รีบไป!” ดาบของจางเฮ่าหรานกันอาวุธของทหารซีเหลียงสองนายไว้ ตะคอกเสียงดังบอกสวีโย่ว 


 


 


ฝั่งสวีโย่วเองก็ไม่ใช่จะสบาย เขาพาเจียงไป๋กับเจียงเฮยสองพี่น้องมาด้วย แม้ว่าวรยุทธ์ของสองพี่น้องคู่นี้จะแข็งแกร่ง แต่สองหมัดก็ยากจะสู้สี่มือ ต่อให้เขาทั้งสองจะเก่งมากกว่านี้ก็ต้านทหารซีเหลียงไว้ไม่ไหว 


 


 


อาการบาดเจ็บภายในร่างของสวีโย่วยังไม่หายดี ไม่อาจใช้กำลังภายในได้ กำลังการสู้รบก็ลดลงมากกว่าครึ่งในชั่วขณะ ภายใต้การปกป้องของเจียงไป๋กับเจียงเฮยก็ค่อยๆ ด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


เสียงตะโกนของจางเฮ่าหรานแน่นอนว่าสวีโย่วได้ยินแล้ว แต่เขาไม่มีหน้าจะทำเรื่องอย่างการทิ้งคนทั้งหมดแล้ววิ่งหนีเอาชีวิตรอดได้จริงๆ แม้แต่คำโน้มน้าวของเจียงไป๋กับเจียงเฮยก็ถูกเขาตวาดใส่ สองมือของเขากุมกระบี่ยาวแน่น ตั้งสติฟันทหารซีเหลียงที่ล้อมเข้ามาคนหนึ่ง เบื้องลึกในใจมีพลังหนึ่งกลุ่มประคับประคองเขาไว้ เขาต้องมีชีวิตอยู่ เด็กน้อยยังรอเขากลับไปสู่ขอนางอยู่ที่เมืองหลวงอยู่เลย ประคองไว้ ประคองจนทหารคนสนิทของเขามาถึงก็ได้แล้ว 


 


 


คนที่ล้มลงเยอะขึ้นเรื่อยๆ คนที่ยังยืนอยู่บนร่างต่างก็ได้รับบาดแผลน้อยบ้างเยอะบ้าง สวีโย่วเองก็ไม่รู้ว่าตนฆ่าทหารซีเหลียงไปมากน้อยเพียงใดแล้ว ร่างทั้งร่างเขาล้วนชาดิก แต่กระบี่ยาวในมือกลับกวัดแกว่งราวกับเครื่องจักร แทงศัตรู หูก็ได้ยินเสียงตะโกนโกรธของแม่ทัพอู่เลี่ย “คุณชายใหญ่ ข้าขอท่านล่ะ ไปเถอะ รีบไปเถอะ!” 


 


 


สวีโย่วทำเป็นไม่ได้ยิน เขาไปไม่ได้ ความทะนงตนของเขาไม่อนุญาตให้เขาวิ่งหนี 


 


 


เสิ่นเวยขี่ม้าห้อตะบึง ได้ยินเสียงตะโกนฆ่ามาแต่ไกลๆ ในใจก็หวาดกลัวในชั่วขณะ แย่แล้ว นางทายถูกจริงๆ ด้วย ซีเหลียงส่งคนมาแย่งเสบียงจริงๆ หวังว่าจะมาทัน 


 


 


“บุกไปข้างหน้าให้หมด ข้างหน้ามีทหารซีเหลียง!” เสิ่นเวยออกคำสั่งด้วยความรวดเร็ว มือทั้งคู่สะบัดเชือกบังเ**ยน วิ่งไปข้างหน้าเร็วยิ่งขึ้น แม่ทัพอู่เลี่ย ท่านต้องประคองไว้ให้ได้นะ 


 


 


จางเฮ่าหรานย่อมได้ยินเสียงกีบเท้าม้าที่วิ่งห้อเข้ามาข้างหน้า แต่เขาก็ไม่กล้าหวัง หากเป็นกองกำลังหนุนซีเหลียงเล่า ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี จางเฮ่าหรานที่ผ่านอุปสรรคมามากมายคิดไม่ถึงว่าตนจะเรือล่มในร่องน้ำเล็กๆ เช่นนี้ 


 


 


ต่อให้จะต้องตายข้าก็จะต้องฆ่าทหารซีเหลียงให้ได้ ชั่วขณะในใจจางเฮ่าหรานก็ฮึกเหิมขึ้นมา หัวเราะร่าฮ่าๆ ตะโกนเสียงดัง “เข้ามาสิ พวกลูกสุนัขซีเหลียง ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นความเก่งกาจของข้า พี่น้องทั้งหลายฆ่ามันเสีย ฆ่าได้คนเดียวก็ดี ฆ่าสองคนก็ยิ่งดี อย่าให้พวกลูกสุนัขซีเหลียงได้เปรียบ!” 


 


 


คำพูดนี้ดังเข้าไปในหูเสิ่นเวยที่ขี่ม้าเข้ามา เสิ่นเวยกระตุกมุมปากจากนั้นก็ออกคำสั่งสุดท้าย “บุก ฆ่า” วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “แม่ทัพอู่เลี่ยประคองไว้ก่อน พวกข้ามาช่วยแล้ว!” 


 


 


จางเฮ่าหรานดีใจในชั่วขณะ เกิดพลังฮึกเหิมอันไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมาอีกครั้งทันที “พี่น้องทั้งหลายได้ยินแล้วใช่หรือไม่ กองกำลังหนุนของพวกเรามาแล้ว ฆ่า!” เขานำคนไม่กี่สิบคนที่เหลืออยู่สู้รบกับทหารซีเหลียง 


 


 


แม้ว่าเสิ่นเวยจะนำคนมาเพียงหนึ่งร้อยคน แต่กำลังทหารแกร่งกล้าอย่างยิ่ง บวกกับที่นางพาเถา 


 


 


ฮวาโอวหยางไน่บุกอยู่ข้างหน้า กลับคลายความกดดันของจางเฮ่าหรานกับคนอื่นได้มากจริงๆ 


 


 


ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยเร็วจนมองเห็นได้แค่เพียงเงาดาบ เงาดาบกะพริบวาบ ทหารซีเหลียงยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญ ศีรษะก็หล่นลงพื้นแล้ว 


 


 


เถาฮวาคุ้มกันอยู่ทางซ้ายของเสิ่นเวย ในมือแกว่งกระบองเหล็กออกไป ทหารซีเหลียงก็ล้มลงเป็นผืนใหญ่ แกว่งอีก ก็ล้มลงอีก 


 


 


โอวหยางไน่คุ้มกันอยู่ทางขวาของเสิ่นเวย ทวนยาวของเขาแหลมคม ทุกๆ ที่ที่ผ่านไป หน้าอกของทหารซีเหลียงต่างก็มีบุปผาโลหิตผลิบาน งดงามอย่างน่าประหลาด 


 


 


ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ติดตามห้าวหาญที่ตามอยู่ข้างหลัง ทวนยาวกับดาบใหญ่สีเดียวกัน ทหาร 


 


 


ซีเหลียงยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกจบชีวิตแล้ว ชายร่างกำยำหนึ่งร้อยคนนี้จ้องมองทหารซีเหลียงราวกับจ้องมองเหยื่อ แววตามีประกายสีเขียวแวววับ 


 


 


ชั่วเวลาเพียงจิบชาครึ่งถ้วยเสิ่นเวยก็บุกฆ่าเข้าไปตรงกลางสนามรบแล้ว ทุกๆ แห่งที่ผ่านไปเลือดเนื้อสาดกระจาย 


 


 


แม้แต่จางเฮ่าหรานยังตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ เขามองกองกำลังหนุนที่ราวกับตกลงมาจากฟ้ากลุ่มนี้ รู้สึกจริงๆ ว่าพวกเขาเป็นขุนพลจากแดนสวรรค์ ยังมีคุณชายวัยหนุ่มที่นำทัพผู้นี้ วิทยายุทธ์ทั้งร่างแปลกประหลาดไม่อาจคาดเดา ระหว่างที่แกว่งมือก็กวาดชีวิตคนไปได้จำนวนมาก ราวกับยมทูตที่เดินออกมาจากนรก 


 


 


สวรรค์ นี่มันลูกหลานตระกูลใดกัน ปกติเขาก็คิดว่าบุตรชายทั้งสามของเขาก็ไม่เลวแล้ว ตอนนี้เทียบกับคุณชายท่านนี้แล้ว บุตรของตนก็ถูกเหยียบจนจมดินลงไปทันที 


 


 


มีการเพิ่มกำลังช่วยเหลือของเสิ่นเวย สถานการณ์ในสนามรบก็พลิกกลับมา ทหารซีเหลียงล้มลงเป็นวงกว้าง ทหารซีเหลียงที่ยังยืนอยู่ก็ถูกทำลายความกล้าหาญ พากันหันหลังวิ่งหนี 


 


 


เสิ่นเวยเองก็ไม่ไล่ตาม นางมั่นใจว่าพวกเขาคงหนีไม่พ้น ข้างหลังนางยังทิ้งคนเกือบร้อยคนเอาไว้อยู่ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)