กระบี่จงมา 160.1-161.1

 บทที่ 160 เด็กหนุ่มรู้รสชาติของความทุกข์แล้ว

โดย

ProjectZyphon

สำหรับการเสียมารยาทของเด็กๆ ทั้งหลาย นับจากฮ่องเต้ต้าหลีไปจนถึงขุนนางด้านหลังของเขา ไม่มีใครที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม กลับกลายเป็นว่าแต่ละคนคลี่ยิ้ม รู้สึกว่าน่าสนใจ เห็นได้ชัดว่าภาษาและวรรณกรรมของต้าสุยนั้นเจริญรุ่งเรืองมากแค่ไหน


เห็นเพียงว่ากลุ่มเด็กๆ ที่เดินทางมาไกลจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน หีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กสามใบเด่นชัดสะดุดตามากเป็นพิเศษ แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนั้นโดดเด่นที่สุด ท่าทางของนางร้อนรนอย่างมาก ส่วนเด็กชายที่ตัวเล็กที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกที่แปลกถิ่น กลัวการต้อนรับที่เอิกเกริกของฮ่องเต้ต้าสุยหรือไม่ถึงได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด


ฮ่องเต้ต้าหลีไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้ารำคาญใจ ยังหันหน้ากลับมาคุยเล่นกับเจ้ากรมพิธีการผู้มีเส้นผมขาวโพลนอย่างสบายใจด้วย


ถึงท้ายที่สุด เด็กนักเรียนที่เดินทางรอนแรมไกลเป็นพันลี้เพื่อมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุยก็หันไปมองสุดปลายทางถนนอย่างพร้อมเพรียง ไม่ยินยอมกระตือรือร้นมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต้าสุย


แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ต้าสุยไม่รีบร้อนไม่เร่งรัด ทว่ามัวถ่วงเวลาอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ปราชญ์ผู้มากความรู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามรองเจ้าขุนเขาสามท่านของสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ ผู้มีชื่อเสียงในวงการภาษาและวรรณกรรมของราชวงศ์ต้าสุยจึงจำเป็นต้องกราบทูลฝ่าบาทหนึ่งคำ แล้วเดินออกไปจากกลุ่มเพียงลำพังเพื่อเตือนเด็กกลุ่มนั้นว่าควรจะเข้ามาในสำนักศึกษาได้แล้ว


ยังดีที่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันหรืออุปสรรคอื่นๆ เกิดขึ้นอีก แม้พวกเด็กๆ จะไม่รู้พิธีการของราชสำนัก แต่พวกเขาชนะใจผู้คนด้วยความบริสุทธิ์และน่ารัก ทำพิธีคำนับตามรูปแบบของศิษย์ลัทธิขงจื๊อได้เหมือนผู้ใหญ่ นี่ทำให้ฮ่องเต้ต้าสุยทรงโสมนัสอย่างยิ่ง ประทานหยกประดับ ‘เที่ยงธรรม’ คนละก้อนและก้อนหมึกมังกรทองคนละหนึ่งกล่องแก่เด็กทั้งห้ากับพระหัตถ์ตัวเอง หลังจากเข้ามาในสำนักศึกษาแล้ว นอกจากจำเป็นต้องกราบไหว้ภาพแขวนของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว พิธีการซับซ้อนยิบย่อยอื่นๆ ที่ต้องใช้เวลาเป็นครึ่งวันล้วนตัดทอนให้เรียบง่ายที่สุด นี่ทำให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนที่ทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ส่วนอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยนั้นกลับเห็นเป็นปกติ ไม่มีท่าทางตื่นเต้นตึงเครียดให้เห็น


สุดท้ายรองเจ้าขุนเขาเป็นผู้พาพวกเขาไปยังหอพักของใครของมัน บอกเล่าถึงคาบเรียนที่จะสอนในภายหลัง คนทั้งห้าถูกแยกกันพักอยู่คนละเรือน เนื่องด้วยสำนักศึกษากินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างมาก นอกจากจะอาคารสิ่งปลูกสร้างเรียงกันเป็นตับที่สร้างอิงอยู่กับภูเขาแล้ว อันที่จริงภูเขาตงหัวทั้งลูกล้วนถูกต้าสุยยกให้เป็นของสำนักศึกษาซานหยาทั้งหมด ดังนั้นหอพักแต่ละแห่งจึงอยู่ห่างกันพอสมควร


สำนักศึกษาที่ต้าสุยฝากความหวังไว้สูงแห่งนี้มีนักเรียนไม่ถึงสองร้อยคน แต่กลับมีอาจารย์ที่มีความรู้ลึกล้ำ มีคุณธรรมสูงส่งมากถึงสามสิบท่าน


เจ้ากรมพิธีการของต้าสุยรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นแค่ในนามเท่านั้น รองเจ้าขุนเขาอันดับหนึ่งที่ควบคุมดูแลกิจการงานต่างๆ ในสำนักศึกษาคืออาจารย์ที่เคยสอนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแห่งเดิม ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของเหวินเซิ่ง มีนามว่าเหมาเสี่ยวตง มีจมูกโตบวมแดง อายุมากถึงเก้าสิบปี แต่สีหน้าท่าทางยังดี มองดูคล้ายคนอายุห้าสิบหกสิบปีเท่านั้น


ครั้งนี้ผู้เฒ่าไม่ได้ออกหน้ามาต้อนรับ เหตุผลก็เพราะต้องสอนหนังสือ ไม่อาจให้กระทบต่อการเรียนปกติของนักเรียนคนอื่นได้ ฮ่องเต้ต้าหลีย่อมไม่มีความเห็นต่าง


เล่าลือกันว่าตรงเอวของรองเจ้าขุนเขาผู้นี้ห้อยไม้บรรทัดไม้แดงไว้อันหนึ่ง ด้านบนสลักคำว่ากฎระเบียบ ได้ยินมาว่ามีคนเคยเห็นกับตาว่าด้านหน้าตัวอักษรคำว่าระเบียบบนไม้บรรทัด ไม่รู้ว่าใครสลักตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเล็กๆ สองตัวว่า ‘ไม่อาจละเมิด’ เอาไว้


ครั้งนี้ต้าสุยรับเอาควันธูปที่เหลืออยู่ของสำนักศึกษาซานหยามาได้สำเร็จ นับว่าอยู่เหนือการคาดการณ์ อันดับแรกคือการที่ยอมฮ่องเต้ต้าหลียอมปล่อยผ่าน ซึ่งนับว่าสำคัญอย่างถึงที่สุด หาไม่แล้วทุกอย่างก็ล้วนหมดหวัง ไม่ว่าฮ่องเต้ผู้เฉลียวฉลาดและมากเล่ห์ผู้นั้นจะละอายใจต่อฉีจิ้งชุนหรือมีแผนการอย่างอื่น ผู้คนตลอดทั้งราชสำนักต้าหลีก็ล้วนคิดว่าการรับช่วงต่อสำนักศึกษาแห่งหนึ่งเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่ว่าแรกเริ่มสุดพวกอาจารย์และนักเรียนของสำนักศึกษาซานหยามีอยู่ทั้งหมดสี่สิบกว่าคน การที่พวกเขาสามารถออกจากเขตแดนต้าหลีมาได้อย่างราบรื่นในท้ายที่สุด ผู้เฒ่าท่านนี้มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง ตลอดทางที่ผ่านมาหาใช่สะดวกราบรื่น กลับกันคือยังรายล้อมไปด้วยภยันอันตราย


หากจะพูดถึงสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ต้าสุยทุ่มเทกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปมากมาย แต่ก็เนื่องจากขาดผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาอย่างฉีจิ้งชุนไป รวมไปถึงไม่มีบุคคลที่มีการ ‘สืบทอดสายตรง’ ได้มากพอ ก็เห็นได้ชัดว่าแม้ทุกอย่างจะพร้อมสรรพ แต่ก็ยังขาดสิ่งสำคัญที่สุดส่วนสุดท้ายไปอยู่ดี


ถ้าเช่นนั้นนับแต่วันนี้ไป เมื่อเด็กนักเรียนห้าคนที่เดินทางรอนแรมไกลมาถึง สิ่งสำคัญที่ว่านั้นก็ได้มาอยู่ในภูเขาตงหัวแล้ว


กึ่งกลางของภูเขาตงหัวมีเรือนหลักเหวินเจิ้งอยู่แห่งหนึ่ง ตรงกลางแขวนรูปภาพปรมาจารย์มหาปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ซ้ายขวาขนาบสองข้างแบ่งออกเป็นผู้เฒ่าหน้าตาเคร่งขรึมที่จงใจปิดบังชื่อแซ่ท่านหนึ่ง ส่วนฝั่งขวาคือภาพแขวนของฉีจิ้งชุนผู้เป็นเจ้าขุนเขาคนแรกของสำนักศึกษาซานหยา ในห้องโถงมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดไม้แดงอันเป็นเอกลักษณ์กำลังจุดธูปสามก้านกราบไหว้อริยะปราชญ์ทั้งสามท่านอย่างเคารพนอบน้อม ยามปักธูปลงในกระถาง ผู้เฒ่าที่ก้มหน้าก็พึมพำเบาๆ ว่า “หลักการและเหตุผลปรากฏบนบทประพันธ์ เปลวไฟริกไหวสืบทอด”


……


สำนักศึกษาซานหยาแห่งเก่าที่มีฉีจิ้งชุนเป็นผู้ปกครองมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่า สนเรื่องอยู่ ไม่สนเรื่องกิน


ด้วยเหตุนี้ในยุคสมัยที่สำนักศึกษาซานหยายังอยู่ในต้าหลี ลูกหลานของคนตระกูลยากจนทางทิศเหนือจำนวนมากที่มาขอศึกษาต่อจึงมักจะช่วยทางสำนักศึกษาคัดลอกตำรา คัดลอกคัมภีร์ เพื่อหาเงินค่าอาหารให้กับตัวเอง


สำนักศึกษาซานหยาแห่งต้าสุยในยามนี้ก็ยังไม่ได้ยกเลิกกฎข้อนี้ไป แต่มีการอะลุ่มอล่วยให้มากกว่าเดิม หนึ่งก็เพราะตอนนี้จำนวนคนของสำนักศึกษาส่วนใหญ่นั้นมาจากลูกหลานของคนในท้องถิ่นต้าสุย เนื่องด้วยคนกลุ่มแรก ราชสำนักต้าสุยเลือกมาจากคนใกล้ชิด ดังนั้นคนแทบทั้งหมดจึงมาจากลูกหลานของตระกูลใหญ่ในต้าสุย คนเหล่านี้ไม่ขาดเงิน สองคือสำนักศึกษาแห่งใหม่ปฏิบัติต่อเหล่านักเรียนเป็นอย่างดี ลำพังเพียงแค่ตำรา หมึก พู่กัน หรือแม้แต่ชุดขงจื๊อ ทางสำนักศึกษาก็ล้วนเป็นผู้มอบให้ นี่คือทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง


หลี่ไหวคือเด็กที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม หลังจากมาถึงหอพัก เนื่องจากเพื่อนร่วมหอนอนยังเรียนหนังสือกันอยู่ ยังไม่มีใครกลับมา เด็กชายยืนอยู่เพียงลำพังในห้องกว้างที่ว่างเปล่า หลี่ไหวที่เพิ่งร้องไห้ตอนอยู่ตีนเขามาแล้วรอบหนึ่งพลันนั่งยองลงบนพื้นแล้วสะอึกสะอื้น รู้สึกเพียงว่าตนไม่มีพ่อไม่มีแม่ แล้วยังไม่มีเพื่อน ใต้หล้านี้เหตุใดถึงมีเด็กที่น่าสงสารขนาดเขาได้ น่าสงสารเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกป้ายน้ำมูกน้ำตา มอมแมมเปรอะเปื้อนไปหมด


สุดท้ายหลี่ไหวก็เปิดหีบหนังสือพลางร้องไห้ไปด้วย ต้องเปลี่ยนมาสวมรองเท้าสานคู่นั้นถึงจะสบายใจขึ้น แต่ก็กลัวอีกว่าสวมรองเท้าแตะแล้วจะทำให้คนดูถูก จึงเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เด็กชายที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งร้องแล้วร้องอีก นึกถึงความดีทุกอย่างของเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มจากบ้านเกิดเดียวกันที่ตัวเองตัดสินใจแล้วว่าจะเรียกเขาอาจารย์อาน้อย แต่สุดท้ายกลับไม่ทันได้เรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า


หลังจากเก็บหีบหนังสือไว้เรียบร้อยแล้ว หลินโส่วอีก็ออกจากห้องมาเดินเล่นเพียงลำพัง ฝีเท้าของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเย็นชาหนักแน่นและมั่นคง สุดท้ายเขาก็พบหอเก็บตำราสูงตระหง่านหลังหนึ่งเจอ เนื่องจากเพิ่งสร้างใหม่จึงยังมีกลิ่นหอมของไม้อยู่จางๆ


ตลอดทางที่เดินมาได้ยินเสียงท่องตำราที่คุ้นเคยดังแว่วๆ เมื่อเทียบกับตอนเรียนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็กแล้ว เสียงอ่านหนังสือนี้ดังกว่ามากมายนัก


หลินโส่วอีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก่อนเดินเข้าไปในหอตำรา


ได้ยินมาว่าตำราหมื่นเล่มของที่นี่ อ่านได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญเดียว


หลินโส่วอีพลันรู้สึกเศร้าสร้อย หากเจ้าคนเห็นแก่เงินผู้นั้นอยู่ต่อกับพวกเขาด้วยล่ะก็ คงจะพยายามอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายเลยกระมัง เพราะอย่างไรซะนั่นก็เท่ากับเป็นการหากำไรให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง


หลี่เป่าผิงนั่งอยู่ในหอพักที่เงียบสงบและอ้างว้าง หลังเปิดหีบหนังสือออกนางก็พบจดหมายที่อาจารย์อาน้อยเขียนไว้ให้ ในจดหมายกล่าวอะไรไว้มากมาย บอกว่าเขาจะกลับบ้านแล้ว และจะช่วยนำข่าวไปบอกแก่คนที่บ้านของนางว่านางสบายดี จะต้องบอกให้พี่ชายใหญ่ของนางรู้ว่าตลอดทางนี้นางเป็นเด็กดีมาก แล้วก็ลำบากมาก บอกว่าเงินเหรียญทองแดงแก่นทองนั้นถูกเขาเจาะเป็นรูแล้วเอาเชือกสีแดงร้อยไว้ วันหน้านางต้องเอามาห้อยคอ อย่าทำหาย หากมียามใดร้อนใจต้องใช้เงิน สามารถเอามันไปแลกเป็นเงินได้


ในจดหมายยังบอกด้วยว่าเขาเตรียมปิ่นหยกไว้ให้นาง หลินโส่วอีและหลี่ไหวคนละหนึ่งอัน ถือเป็นของขวัญจากลา บนปิ่นสลักคำว่า “เป่าผิง” “โส่วอี” และ “ไหวอิน” ตลอดทางมานี้เขาแทบจะไม่เคยได้ช่วยเหลืออะไรมากมาย นี่ถือเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง อย่าได้รังเกียจ หากรู้สึกว่าไม่สวยพอก็เก็บไว้แล้วกัน


หลี่ไหวเป็นเด็กขี้ขลาด วันหน้าต้องไปเล่นกับเขาบ่อยๆ อย่าให้เขาถูกคนในสำนักศึกษารังแก หลินโส่วอีนิสัยเย็นชา ก็ต้องไปคุยเล่นกับเขาให้มาก อย่าให้ความสัมพันธ์ต้องห่างเหินกันไปทั้งอย่างนี้ วิชาหมัดมวยของอวี๋ลู่ร้ายกาจมาก อันที่จริงเซี่ยเซี่ยเองก็เป็นเทพเซียนบนภูเขา หากเกิดความขัดแย้งกับใครเข้าจริงๆ เจ้าเป่าผิงอย่าได้รีบร้อนบุกนำอยู่ด้านหน้าสุดเด็ดขาด สามารถไปขอให้พวกเขาสองคนช่วยเหลือโดยไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ ต่อให้ติดค้างน้ำใจพวกเขา วันหน้าอาจารย์อาน้อยก็จะช่วยใช้คืนให้เอง


หินลับมือที่ชื่อว่าแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้น อาจารย์อาน้อยทิ้งไว้ในหีบหนังสือของเจ้าแล้ว แต่จำไว้ว่าวันหน้าหากจะลับมีดต้องหาสถานที่ที่ไม่มีผู้คน อย่าทำให้พวกเพื่อนร่วมห้องต้องตกใจ อีกอย่างก็คือจำไว้ว่าต้องเก็บน้ำเต้าสีเงินลูกเล็กไว้ให้ดี…


สุดท้ายในจดหมายเขียนว่า ท้ายที่สุดแล้วอาจารย์อาน้อยอย่างเขาจากไปโดยไม่ลา ไม่ได้เข้าไปในสำนักศึกษาพร้อมกับพวกเจ้า จึงต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย เดินทางมาไกลขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้เริ่มต้นด้วยดีและจบลงด้วยดี เป็นความผิดของอาจารย์อาน้อยอย่างเขาเอง วันหน้าพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ให้ดี ต้องตั้งใจเรียน หากมีหน้ามีตา อาจารย์อาน้อยก็จะเอาไปโม้กับคนอื่นได้ บอกว่าตัวเองรู้สึกหลี่เป่าผิง รู้จักหลี่ไหว รู้จักหลินโส่วอี เขาเฉินผิงอันรู้จักทุกคน


ในจดหมายเขียนเรื่องยิบย่อยไว้มากมาย แต่ทุกตัวอักษรกลับเขียนอย่างพิถีพิถัน เป็นระบบระเบียบ ทั้งไม่ปราดเปรียว แล้วก็ไม่ตวัดล่องลอย


เหมือนนิสัยและจิตใจของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงผู้นั้น


ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ดีก็ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่า ไม่ว่าจะถนอมรักษาอย่างไรก็ไม่เกินไป


อ่านไปอ่านมา หยาดน้ำตาบนใบหน้าของแม่นางน้อยที่ชื่อหลี่เป่าผิงก็ไหลพรากๆ ลงบนจดหมาย คล้ายฝนฤดูใบไม้ร่วงแห่งความระทมทุกข์จากการพรากจาก


ไม่รุนแรงไม่เบาบาง แต่กลับทำให้เศร้าใจ


แม่นางน้อยหัวรั้นยังพร่ำบอกตัวเองไม่หยุดว่า “ไม่ร้องๆ หากอาจารย์อาน้อยเห็นเข้าต้องเสียใจตายแน่”


……


บนถนนใหญ่ที่กว้างขวางของเมืองหลวงต้าสุย เด็กหนุ่มชุดขาวถามยิ้มๆ ไม่หยุดปาก “ในเมื่ออาลัยอาวรณ์ขนาดนี้ ทำไมถึงต้องแอบจากมาด้วยล่ะ?”


เห็นได้ชัดว่ากำลังสาดเกลือลงบนแผลสด


หลังจากหันหลังกลับไปมองอย่างยาวนานครั้งนั้น เฉินผิงอันก็ไม่หันไปอีก แต่เดินหน้าเคร่งไปเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง


ชุยฉานเอ่ยถาม “เจ้าที่เป็นอาจารย์อาน้อย ไม่กลัวว่าพวกเขาจะถูกคนรังแกอยู่ในสำนักศึกษาหรอกรึ? ถึงเวลานั้นคงไม่มีใครช่วยหนุนหลังให้พวกเขา”


เฉินผิงอันยังคงปิดปากเงียบไม่ยอมตอบโต้


เมืองหลวงของต้าสุยกว้างใหญ่ยิ่งนัก กว่าคนทั้งสองจะเดินทางออกนอกเมืองก่อนเวลาห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในมือชุยฉานมีไหเหล้าเพิ่มมาหนึ่งใบ เดินไปดื่มไปด้วย ทุกครั้งจะเพียงแค่จิบคำเล็กๆ ออกจากเมืองมาแล้วเหล้าก็ยังไม่ลดลงถึงก้นไห


ทหารม้ากลุ่มหนึ่งห้อตะบึงออกจากประตูเมืองราวสายฟ้าแลบ ไล่ตามคนที่สองที่เดินอยู่บนถนนทางหลวง ผู้นำก็คือเกาเซวียนองค์ชายต้าสุย


ครั้งนี้ข้างกายเขาไม่มีเทพเซียนหรือปรมาจารย์ตามมาคุ้มกันด้วย หลังจากเกาเซวียนลงจากหลังม้าก็มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามฉุนๆ ว่า “แม้แต่ของตอบแทนก็ไม่ต้องการแล้วรึ? นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าผลักให้ข้ากลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมไม่มีน้ำใจหรือไง?”


เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “หากเป็นไปได้ ช่วยข้าดูแลพวกเขาก็ถือว่าเจ้าได้ตอบแทนข้าแล้ว”


เกาเซวียนส่ายหน้า “คนละเรื่องกัน ทางฝ่ายของสำนักศึกษานั่น ข้าคงไม่ตบหน้าตัวเองให้ดูอ้วนกับเจ้าแล้ว (คล้ายสำนวนไทยว่าเห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง) เพราะต่อให้เป็นข้าก็ยังจนปัญญาที่จะไปมีส่วนเอี่ยวด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่รับปากเจ้า เจ้าวางใจได้ ต่อให้เสด็จพ่อจะยุ่งวุ่นวายมากแค่ไหนก็ต้องทรงหาเวลาไปให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของสำนักศึกษาอยู่เป็นระยะ เพราะฉะนั้นค่าตอบแทนที่ข้ารับปากว่าจะให้เจ้าก็ยังจำเป็นต้องมอบให้ หากเจ้าไม่อยากได้ก็รับไว้ก่อนแล้วค่อยโยนทิ้งทีหลังแล้วกัน”


เกาเซวียนจงใจพูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เฉินผิงอัน ข้าเป็นถึงองค์ชายตัวจริงเสียงจริงของต้าสุย จะอย่างไรเจ้าก็ต้องเห็นแก่หน้าข้าบ้างกระมัง?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วยื่นมือออกมา “เอามาสิ”


เกาเซวียนหัวเราะร่า ยื่นหมัดออกไปแล้วพลันคลายมือออก เปลี่ยนมาเป็นตบลงฝ่ามือของเฉินผิงอันหนักๆ “นับแต่นี้ไป เจ้าก็คือเพื่อนของข้าเกาเซวียนแล้ว! วันหน้าเมื่อเจ้ามาต้าสุยอีกครั้งก็มาหาข้าเกาเซวียนได้เลย”


เฉินผิงอันอึ้งงันไปเล็กน้อย แต่พอยื่นมือกลับมาแล้วก็ยังพยักหน้ารับ “ตกลง”


เกาเซวียนไม่มัวอืดอาดเสียเวลา พลิกตัวขึ้นหลังม้าอีกครั้ง หลุบตามองต่ำจากที่สูง ก่อนจะค้อมเอวลงส่งยิ้มเจิดจ้า “เส้นทางยาวไกล ข้าเตรียมรถม้าไว้ให้พวกเจ้าหนึ่งคัน อีกไม่นานก็จะมาถึง แต่หากชอบเดินเท้าจริงๆ จะเอาไปขายแลกเงินก็ไม่เป็นไร แต่อย่าขายราคาต่ำเด็ดขาด เพราะอย่างน้อยก็ต้องมีค่าถึงเจ็ดแปดร้อยตำลึงเงิน”


เกาเซวียนเองก็มาเร็วไปเร็ว เขาพาทหารม้ากลุ่มนั้นควบกลับเข้าเมืองอย่างว่องไว ภาพเหตุการณ์นี้ดึงดูดให้สายตาของคนมากมายที่เดินทางบนถนนทางหลวงหันมามอง


เฉินผิงอันกับชุยฉานเดินหน้าต่ออีกครั้ง ชุยฉานถามว่า “คิดไม่ตกใช่ไหมว่าเหตุใดองค์ชายผู้หนึ่งถึงได้เกรงใจและกระตือรือร้นต่อเจ้าเฉินผิงอันถึงขนาดนี้?”


เฉินผิงอันตอบ “คิดไม่ตกจริง แต่ก็ไม่อยากคิดให้มากความแล้ว”


ชุยฉานไม่อยากจะหยุดบทสนทนานี้ง่ายๆ จึงอธิบายกับตัวเองต่อไปว่า “อันที่จริงก็ไม่ซับซ้อน เพราะสถานะของเกาเซวียนค่อนข้างจะพิเศษ ได้รับผลประโยชน์จากความใกล้ชิด อีกทั้งแคว้นหวงถิงก็เป็นแคว้นในอาณัติของต้าสุย บวกกับที่ในดินแดนของต้าหลีต้องมีสายลับของพวกเขาอยู่แน่นอน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้เส้นทางการเดินทางไกลของพวกเจ้าในครั้งนี้คร่าวๆ อีกอย่างสถานะของพวกเป่าผิงก็สำคัญกว่าที่พวกเจ้าคิดไว้มาก ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะแสดงความเป็นมิตรกับเจ้าสักเล็กน้อย ปล่อยเบ็ดยาวเพื่อหวังปลาตัวใหญ่อย่างไรล่ะ ต่อให้ถึงท้ายที่สุดแล้วจะตกปลาไม่ได้ แต่ก็ไม่ขาดทุน”


ชุยฉานเบ้ปาก “หากฮ่องเต้ต้าหลีเปลี่ยนไปเป็นกษัตริย์ของราชวงศ์ใดๆ ก็ตาม หากเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาเปลี่ยนจากฉีจิ้งชุนไปเป็นคนอื่น สถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นเหมือนไม้ผุที่เคยถูกฟ้าผ่า ได้แต่เน่าเปื่อยตายอยู่ที่เดิม แน่นอนว่าการที่ต้าสุยใจกล้ารับสำนักศึกษาซานหยาไปสืบต่อ ถือว่าคู่ควรแก่การเลื่อมใสอย่างแท้จริง สำหรับเรื่องนี้ฮ่องเต้ต้าหลีค่อนข้างรู้สึกซับซ้อนอยู่มาก พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ถึงแม้ว่าก่อนหน้าที่ราชวงศ์สกุลหลูของอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยล่มสลายจะเคยได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ทว่าศัตรูในใจของฮ่องเต้ต้าหลีแล้วกลับมีแค่สามคนเท่านั้น ฮ่องเต้สกุลหลูไม่รวมอยู่ในจำนวนนี้ด้วย กลับเป็นฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยที่กองกำลังของแคว้นเป็นรองอยู่ส่วนหนึ่งต่างหากที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งในใจเขา”


ขณะที่ชุยฉานกำลังเปิดเผยความลับสวรรค์เหล่านี้ เฉินผิงอันกำลังง่วนอยู่กับการเปลี่ยนรองเท้าแตะ


นี่ทำให้ชุยฉานที่เล่นหูเล่นตากับคนตาบอดรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย


ชุยฉานถามหยั่งเชิง “อาจารย์ คราวหน้าก็สานรองเท้าแตะให้ข้าสักคู่สิ หีบหนังสือใบเล็กด้วยก็ได้นะ”


เฉินผิงอันเก็บรองเท้าหุ้มแข้งคู่นั้นลงไปอย่างระมัดระวัง แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นหลังอีกครั้ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “สวมรองเท้าแตะไม่ใช่เพื่อเล่นสนุก”


ชุยฉานยิ้มตาหยี “แต่ข้ารู้สึกว่าน่าสนุกนะ”


เฉินผิงอันเดินเลียบฝั่งหนึ่งของถนนทางหลวงตรงไปเบื้องหน้า เอ่ยถามว่า “เรียนหนังสือสนุกไหม?”


ชุยฉานเกิดความลังเลอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก สุดท้ายรัดกาเหล้าไว้ตรงเอวคู่กับหยกประดับ ยกสองมือรองใต้ท้ายทอย “เรียนหนังสือหรือ ข้ารู้สึกว่าไม่สนุกมาตั้งแต่เด็กแล้ว”


เดินห่างออกมาได้ไกลมากแล้ว ท่ามกลางแสงสนธยา อาศัยเส้นแสงเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองกำแพงเมืองสูงตระหง่านของเมืองหลวงต้าสุย


ชุยฉานที่นิ่งเงียบมาตลอดทางพลันหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องอดไม่ไหวแน่!”


เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำถากถางของชุยฉาน แต่ถามอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “ข้าควรจะอยู่ต่อในสำนักศึกษาสักสองสามวัน จะอย่างไรก็ควรให้แน่ใจกับตาตัวเองว่าพวกเป่าผิงได้เรียนหนังสือแล้วค่อยจากมาหรือเปล่า?”


คำถามที่มาเยือนกะทันหันนี้ทำเอาชุยฉานตั้งตัวไม่ทัน คิดดูแล้วก็ตอบว่า “จะช้าหรือเร็วก็ต้องจากมาอยู่ดี”


ชุยฉานค้นพบว่าเฉินผิงอันกำลังปรายตามองตนด้วยสีหน้ารังเกียจประมาณว่า “ข้าถามเจ้าไปก็เสียเวลาเปล่า เจ้าพูดก็เหมือนไม่ได้พูด”


ชุยฉานกลัดกลุ้มจริงๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าอุตส่าห์ช่วยไขข้อข้องใจให้กับอาจารย์ด้วยความหวังดี อาจารย์ทำแบบนี้ไม่ดีกระมัง?”


เฉินผิงอันมองไหเหล้าที่แขวนไว้ตรงเอวของชุยฉานแวบเดียวก็ถอนสายตากลับคืนอย่างรวดเร็ว ก่อนถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วเพิ่มความเร็วฝีเท้า ก้มหน้าก้มตาเดินหน้าต่อไป


สีหน้าของชุยฉานไม่ค่อยจะดีนัก ทว่ากลับรู้สึกตื่นตะลึงอยู่มาก ทำไม เฉินผิงอันก็มีช่วงเวลาที่อยากดื่มเหล้าเหมือนกันรึ?


อ้อ ที่แท้เด็กหนุ่มก็รู้จักรสชาติของความทุกข์แล้ว


 —–



บทที่ 161.1 แม่น้ำและภูเขาย่อมมีวันต้องจากลา

โดย

ProjectZyphon

รถม้าที่เกาเซวียนมอบให้คันนั้นยังไม่มาถึงเสียที สีสนธยาเข้มข้นมากแล้วเพิ่งจะตามมาทันเฉินผิงอัน สารถีคือผู้เฒ่าหน้าขาวไร้หนวดเคราคนนั้นซึ่งเคยติดตามองค์ชายต้าสุยเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู เคยได้พบกับเฉินผิงอันมาแล้วสองครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของเกาเซวียนแล้ว ผู้เฒ่ากลับมีสีหน้าเย็นชา พอส่งมอบรถม้าเสร็จก็เดินเท้ากลับเมืองหลวงทันที ขันทีเฒ่าหันหน้ากลับมามองชุยฉานอยู่หลายครั้ง ชุยฉานมัวง่วนอยู่กับการมองประเมินความอุดมสมบูรณ์ของม้าตัวนั้นพลางจุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด สัมผัสไม่ได้ถึงสายตาตรวจสอบของผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย


ชุยฉานกระโดดขึ้นรถม้า เป็นฝ่ายรับผิดชอบหน้าที่สารถีเสียเอง หันไปกวักมือเรียกเฉินผิงอัน “อาจารย์ ไม่มีใครเล่นตุกติกกับรถม้ามาก่อน พวกเราใช้มันเดินทางขึ้นถนนได้อย่างสบายใจ”


ชุยฉานตบบ้องหูตัวเอง “เดินทางขึ้นถนนอะไรกัน (上路คำนี้สามารถแปลได้ว่าเดินทางทั่วไป และยังหมายถึงการเดินทางบนถนนที่นำไปสู่ปรโลกของคนตายได้ด้วย) อัปมงคลเกินไปแล้ว รีบเดินทางๆ”


เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน สีท้องฟ้ามืดมากแล้ว เนื่องจากในเมืองหลวงห้ามเข้าออกยามวิกาล ทางหลวงที่ตอนกลางวันมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ไม่ขาดสายจึงว่างเปล่าเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าจะฝึกเดินนิ่ง เจ้าขับรถไปเถอะ แค่อย่าเร็วเกินก็พอ ข้าจะได้ตามทัน”


ชุยฉานรู้สนิสัยดึงดันของเฉินผิงอัน จึงไม่เปลืองน้ำลายอีก ค่อยๆ ขับเคลื่อนรถม้าไปเบื้องหน้า เขาดื่มเหล้าแล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ร้อยเรื่องยุ่งพันเรื่องกลุ้ม สุดท้ายแล้วหมื่นเรื่องล้วนหยุดนิ่ง อากาศเย็นแล้ว เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ดี ฤดูใบไม้ร่วงที่ดี!”


เฉินผิงอันเดินตามมาด้านหลังรถม้าเงียบๆ ฝึกท่าเดินนิ่งหกเก้าของตำราหมัดเขย่าขุนเขาซ้ำไปซ้ำมา เดินนิ่งและยืนนิ่งสองอย่างนี้ เขาฝึกคล่องจนขึ้นใจมานานแล้ว


พอถึงกลางดึกชุยฉานก็พูดจ้อเลื่อนเปื้อนไม่หยุด คัมภีร์ลัทธิขงจื๊อก็อ่าน กาพย์กลอนก็ท่อง ปนกันมั่วซั่วหลากหลาย ปากก็ไม่เคยได้หยุดเฉย


สุดท้ายแม้แต่ประโยคว่า “ข้ามีลาแก่ตัวหนึ่งที่ไม่เคยขี่” ก็ยังท่องออกมา ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันที่ยืนหยัดมาได้เกือบหนึ่งชั่วยามพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งครั้ง หยุดการเดินนิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะขึ้นไปพักบนรถสักครู่”


ขึ้นรถมา วางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ในห้องโดยสาร เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าตรงมุมหนึ่งวางขวดและไหกองกันเป็นภูเขาลูกย่อม เพียงแต่ว่ารอบด้านมืดมิดจึงมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นวัตถุชนิดใด ชุยฉานที่ขับรถม้าเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีสุราดีอยู่หลายไห มีโอสถที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บของผู้ฝึกลมปราณลัทธิเต๋า แม้แต่ผงประทินโฉมก็มี เกาเซวียนผู้นี้ก็น่าสนใจไม่น้อย บอกตามตรงว่าหากไม่นับว่าเป็นศัตรูอยู่คนละฝ่ายกัน เมื่อเทียบกับน้องชายแท้ๆ ของซ่งจี๋ซินสหายเจ้า หรือก็คือลูกศิษย์ของข้าในอดีต เกาเซวียนผู้นี้ถือว่า…นับถือกับนักปราชณ์ราชบัณฑิตมากกว่า?”


เฉินผิงอันที่นั่งเบี่ยงตัวห้อยขาสองข้างออกนอกรถอยู่ด้านหลังชุยฉานส่ายหน้า “ซ่งจี๋ซินไม่เคยเป็นเพื่อนของข้า”


ชุยฉานขัดคอ “ถ้าอย่างนั้นซ่งจี๋ซินที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นซ่งมู่คงต้องเสียใจแย่ ก่อนหน้าที่เขาจะออกมาจากตรอกหนีผิง ฉีจิ้งชุนมอบตราประทับ ‘ใต้หล้ารับวสันต์’ ให้กับจ้าวเหยา มอบหนังสือให้ซ่งจี๋ซินหกเล่ม หนังสือเบ็ดเตล็ดสามเล่มได้แก่ วิชาคำนวณ ‘จิงเวย’ ศาสตร์หมากล้อม ‘เถาหลี่’ รวมบทความ ‘ซานไห่เช่อ’ หนังสือชั้นประถมวัยสามเล่มที่ฉีจิ้งชุนเลือกมาด้วยตัวเองอย่าง ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ‘หลี่เยว่’ และ ‘กวานจื่อ’ ซ่งจี๋ซินนั้นมีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่ออาจารย์อย่างท่านอย่างมาก แล้วก็น่าจะเพราะอยากทำให้ตัวเองสบายใจ ตอนที่จากมาถึงได้ทิ้งหนังสือสามเล่มหลังไว้บนโต๊ะในห้อง เจตนาเดิมก็เพื่อมอบให้เจ้าเฉินผิงอัน แต่ความซับซ้อนในหัวใจคนก็อยู่ที่ อันที่จริงซ่งจี๋ซินก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ต่อให้ท่านอาจารย์ได้กุญแจบ้านที่เขาทิ้งไว้ในลานบ้านของท่านไป ท่านก็ไม่มีทางเข้าไปหยิบตำราเหล่านั้นมาโดยพลการเด็ดขาด ทว่ากลับทำให้เขามโนธรรมในใจของเขาซ่งจี๋ซินข้ามผ่านอุปสรรคเล็กๆ ไปได้ อาจารย์ เจ้าหมอนี่ฉลาดมากเลยใช่ไหมล่ะ”


ชุยฉานเล่าความลับที่ไม่มีใครรู้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้เอ่ยออกมา


เรื่องหนังสือที่เขาเดาได้นั้น แท้จริงแล้วฉีจิ้งชุนคาดการณ์มาได้ตั้งนานแล้วว่าซ่งจี๋ซินจะไม่เห็นค่าของหนังสือประถมวัยสามเล่มนั้น และจะเลือกทิ้งมันไว้ให้กับเฉินผิงอัน


หมากล้อม การวางแผน การคาดเดาใจคน เมื่อก่อนชุยฉานนึกว่าตัวเองเก่งกาจเหนือกว่าฉีจิ้งชุน ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู แน่นอนว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ซ่งจี๋ซินฉลาดมากมาโดยตลอด”


ชุยฉานถามด้วยความสงสัย “ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเขาแข็งค้างขนาดนั้น เป็นเพราะเขาหลอกให้อาจารย์ต้องผิดคำสาบานรึ?”


เฉินผิงอันไม่พูดอะไร


ชุยฉานเอ่ยยิ้มๆ “อย่าโทษว่าข้าปากมาก แล้วก็ไม่ใช่ว่าจงใจพูดแก้ตัวให้กับซ่งจี๋ซิน ข้าแค่จะบอกความจริงให้ท่านรู้ ไม่ว่าถูกหรือผิด แต่อันที่จริงแล้วซ่งจี๋ซินทำเช่นนั้นก็เพราะมีเหตุผล และเหตุผลนั้นก็ง่ายมาก ซ่งจี๋ซินอยู่ดีกินดี ไม่ว่าเรื่องไหนก็ล้วนเหนือกว่าท่านอาจารย์ ภายหลังมีสาวใช้อยู่ร่วมบ้านคอยให้การปรนนิบัติ ไม่ว่าจะด้านการเรียน หมากล้อมหรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเชี่ยวชาญ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ปมในใจบางปมของเขากลับยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น”


ในที่สุดเฉินผิงอันก็ยอมเปิดปาก “ตอนนั้นเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางงานตรวจเตาเผา จึงถูกเพื่อนบ้านนินทาลับหลังมาตั้งแต่เด็ก คำพูดคำด่าเหล่านั้นหยาบคายระหายหูอย่างมาก”


ชุยฉานพยักหน้ารับ “เพราะฉะนั้นทุกวันที่ซ่งจี๋ซินเห็นท่านอาจารย์จึงมักจะคิดว่า ‘อาศัยอะไรเจ้าเฉินผิงอันคนที่ยากแค้นจนเกือบหิวตายถึงมีพ่อมีแม่กับเขา แต่ข้าซ่งจี๋ซินกลับไม่มี? ถึงขั้นที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อแซ่ของแม่ตัวเอง?’”


ชุยฉานโคลงศีรษะ “เรื่องที่ทำให้ซ่งจี๋ซินรับไม่ได้มากที่สุดก็คืออาจารย์ท่านมีชาติกำเนิดน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ในสายตาของเพื่อนบ้านอย่างซ่งจี๋ซินแล้วกลับเหมือนว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขยิ่งกว่าเขา กินอิ่มแล้วหัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที นอนอิ่มแล้วก็ลุกขึ้นมาทำงาน นี่ทำให้ซ่งจี๋ซินรู้สึกคันในหัวใจยิบๆ ครั่นเนื้อครั่นตัวไม่เป็นสุข ในเมื่อเขาไม่เป็นสุข จึงไม่อยากให้ท่านมีความสุข เขารู้ดีว่าสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญที่สุดคืออะไร จึงต้องการให้ท่านสูญเสียสิ่งนั้นไป”


เฉินผิงอันนึกถึงคืนนั้นที่ฝนตกแรงในตรอกหนีผิง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาอยากฆ่าคน ตอนนั้นซ่งจี๋ซินเกือบจะถูกเขาบีบคอตายอยู่ตรงผนังของตรอก


หลินเสี้ยนหยางที่แอบหนีออกมาจากโรงเตาเผาพร้อมกับเขาอาจจะหลบอยู่ไกลๆ แล้วเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า ดังนั้นหนึ่งเดือนต่อมา หลิวเสี้ยนหยางถึงไม่ค่อยกล้าพูดกับเขา ทำเอาเฉินผิงอันกลัดกลุ้มอยู่เป็นนาน


ชุยฉานทอดถอนใจปลงอนิจจังกับตัวเองต่อไป “เรื่องบางเรื่องที่เชื่อมโยงกับนิสัยของเด็กบางคน ทั้งน่ากลัวและน่าขัน แล้วก็ทั้งน่ารังเกียจและน่าสงสาร เพราะไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่มีนิสัยของเด็ก บุคคลยิ่งใหญ่ที่กุมอำนาจอยู่ในตำแหน่งสูงหลายคนก็สามารถทำตัวปัญญานิ่มกับเรื่องใหญ่บางเรื่องโดยไม่สนเหตุสนผลใดๆ ได้เช่นกัน”


มือทั้งสองข้างของเฉินผิงอันทำท่าเจี้ยนหลู ไม่ได้ฝึกฝน แต่เป็นการกระทำที่เกิดจากธรรมชาติของความเคยชินเท่านั้น เขากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เรื่องนี้ทำให้ข้าเกลียดแค้นซ่งจี๋ซินก็จริง แต่เรื่องที่ทำให้ข้าไม่ชอบซ่งจี๋ซินจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องนี้”


ชุยฉานใคร่รู้อย่างยิ่ง ถึงกับหันหน้ามาถามอย่างอดไม่ไหว “แล้วเรื่องอะไรล่ะ?”


เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ครั้งที่หลิวเสี้ยนหยางเกือบจะถูกคนซ้อมจนตาย ซ่งจี๋ซินกลับนั่งยองอยู่บนกำแพง คอยพัดลมกระพือไฟ ราวกับอยากจะให้หลิวเสี้ยนหยางถูกคนต่อยตีจนตายไปทั้งเป็น คนแบบนี้ น่ากลัว…มาก”


ชุยฉานเงียบงัน


เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังทิศไกล “บ้านเกิดของพวกเรามีประโยคของท้องถิ่นอยู่คำหนึ่งบอกว่า มองคนแบกหาบนั้นไม่เหนื่อย ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่หากเพียงแค่เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกแล้วทำตัวเลวร้ายถึงขนาดใส่หินลงไปในคานหาบของคนอื่น คนแบบนี้ จะรับเป็นเพื่อนได้อย่างไร?”


ชุยฉานเอ่ยเย้า “ซ่งจี๋ซินไม่ได้ใส่หินลงไปในตะกร้าหาบที่ท่านหาบอยู่สักหน่อย และในความเป็นจริงแล้ว ลึกๆ ในใจของซ่งจี๋ซินก็หวังอย่างยิ่งว่าจะได้เป็นเพื่อนของท่าน เพราะเขาฉลาดมากพอ กระจ่างอยู่แก่ใจตัวเองอย่างถึงที่สุดว่าควรจะเป็นเพื่อนกับคนแบบไหน ยกตัวอย่างเช่นเขาดูแคลนจ้าวเหยาที่ฉลาดสู้ตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยังเลือกที่จะกระชับความสัมพันธ์ พยายามตีสนิทกับอีกฝ่าย”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบคนแบบนี้”


อยู่ดีๆ ชุยฉานก็เอ่ยคำพูดที่มาจากใจจริง ถ้อยคำหวังดี “คนอย่างท่าน วันหน้าจะต้องมีคนอีกมากที่ไม่ชอบ”


เฉินผิงอันยิ้ม “ข้าจะต้องการให้คนมากมายชื่นชอบไปทำไม คนหนึ่งกินอิ่ม ทั้งครอบครัวไม่ทุกข์ร้อน อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากคนอื่น”


ชุยฉานหันไปยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน “อาจารย์ อย่างท่านนี่เรียกว่าหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมพันจั้ง ไม่โลภมาก ใจย่อมแข็งแกร่ง! ศิษย์อย่างข้านับถือ นับถือ!”


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าหลอกถามข้า อยากตรวจสอบในเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่รู้ แต่ไม่เป็นไร ได้พูดเรื่องพวกนี้ ในใจข้ารู้สึกดีขึ้นมาก”


ชุยฉานหัวเราะหึหึ “อาจารย์ท่านช่างทรงปัญญาแต่แสร้งโง่ แต่ศิษย์อย่างข้าคือบรมโง่แต่อวดฉลาด พวกเราต่างก็เรียนรู้ขัดเกลากันและกัน วันหน้าเมื่อร่วมมือกัน ย่อมไม่พ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดในใต้หล้า”


เฉินผิงอันถามขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้ารู้จักอาเหลียงใช่ไหม? เพลงท่อนที่บอกว่าลาเฒ่านั่น เมื่อก่อนอาเหลียงก็เคยร้อง”


ชุยฉานหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย อืมรับหนึ่งที “รู้จักมาเมื่อนานมากแล้ว รู้จักเขาก่อนฉีจิ้งชุนเล็กน้อย แล้วก็ยิ่งรู้จักก่อนหน้าพวกหม่าจาน เหมาเสี่ยวตงเป็นนาน ตอนที่ข้าดื่มเหล้าร่วมกับตาแก่นี่ พวกเขาอาจจะยังมัวเล่นดินโคลนอยู่ที่ไหนกันก็ได้”


 —–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)