คัมภีร์วิถีเซียน 1600-1604
ตอนที่ 1600 น่าตกตะลึง
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงขนาดเท่าเมล็ดถั่วดีดออกมาจากปลายนิ้ว
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกรงจนมองไม่เห็นเงา
ครู่ต่อมามุมหนึ่งของกรงพลันมีลำแสงสีเขียวระเบิดขึ้นร่างอสูรน้อยสีม่วงก็ปรากฎออกมา แขนขาทั้งสี่หงิกงอในเวลาเดียวกัน ร่างกายหมุนวนร่อนลงสู่พื้น
การเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ราวกับผ้าฝ้ายร่อนลงมาบนพื้นดิน
แต่เช่นนั้นอสูรน้อยก็ตกอยู่ในสายตาของทุกคน
ร่างกายมีขนาดแค่ครึ่งฉื่อ แต่ดวงตาสีดำคู่นั้นกลับกลอกไปมาไม่หยุด ราวกับมีสติปัญญาแล้ว สายตาเหมือนกับมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
หากกล่าวว่าสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกับจิ้งจอกวิญญาณทั่วไป ก็น่าจะเป็นจมูกและหูทั้งสองบนใบหน้าของอสูรตัวนี้ มีเกล็ดสีเงินอ่อนอยู่หลายเกล็ด แต่มีขนาดเท่านิ้วมือเท่านั้น หากไม่พินิจอย่างละเอียดก็อาจจะสัมผัสไม่ได้
“นี่คืออสูรวิญญาณที่สืบสายเลือดมาจากมังกรวารีหน้ามนุษย์สินะ ดูแล้วเหมือนอสูรจิ้งจอกธรรมดาตัวหนึ่งไม่มีผิด” มีคนที่ใจร้อนเห็นรูปร่างอสูรน้อยตัวนี้ ก็ร้องอุทานออกมาด้วยความผิดหวังอย่างอดไม่ได้
“อสูรจิ้งจอกธรรมดา เหล่าสหายลองมองให้ละเอียด” ชายชราที่แต่เดิมมีใบหน้าเมตตาอ่อนโยน ฉายแววโหดเ**้ยม มือหนึ่งตบไปทางกรงสีดำ
กรงที่แต่เดิมนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อนมีเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ออกมา จากนั้นลำแสงสีขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวของกรงมีสายฟ้าสีขาวชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น
จากนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าบาง ๆ มากมายนับไม่ถ้วนกลายเป็นใบมีดแหลมคมสับลงมาที่อสูรน้อยในกรง
อสูรน้อยเห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันโกรธเกรี้ยวราวกับมนุษย์ออกมา ปากก็ร้องคำรามเสียงต่ำ ขนบนผิวหนังมีลำแสงสีม่วงไหลวนโคจร เงาลวงตาสายหนึ่งปรากฎขึ้นบนร่างของมัน ห่อหุ้มร่างของมันเอาไว้ข้างใน
เป็นเงามังกรวารีสีเงินอ่อนตัวหนึ่ง
เงามังกรวารีตัวนี้ช่างรางเลือนนัก ทำได้เพียงพอแยกแยะร่างกายได้เท่านั้น แต่สายฟ้าเหล่านั้นที่โจมตีไปหามันกลับจมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับโคลนจมลงสู่มหาสมุทร
หลังจากที่เงามังกรวารีดูดซับสายฟ้าเข้าไปจำนวนมาก ก็เงยหน้าขึ้นร้องคำรามด้วยความโมโห ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า จนแน่นคับกรงสีดำ
กรงสีดำเปล่งเสียงกึก ๆ ออกมา
เมื่อชนต่างเผ่าเห็นฉากนี้ก็สูดลมหายใจเฮือกด้วยความตะลึง
อสูรลวงตาสีม่วงตัวนี้อาศัยเพียงเงาลวงตาของเทวะรูปตนหนึ่ง ก็สามารถระเบิดพลังที่น่าตกตะลึงออกมาได้ สำแดงพลังที่น่าตกตะลึงออกมา
ชายชราเห็นผู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีมีสีหน้าตกตะลึง ก็รู้ว่าบรรลุจุดประสงค์แล้ว จึงหัวเราะหึ ๆ แล้วชูมือหนึ่งขึ้น
ลำแสงสีทองเงินเปล่งแสงเจิดจ้า โซ่สีทองเงินสายนั้นปรากฎขึ้น พุ่งไปที่กรงอีกครั้ง และขดตัวกลายเป็นอสูรน้อย
และไม่รู้ว่าโซ่เส้นเล็กนี้ทำมาจากสมบัติชนิดใด คาดไม่ถึงว่าจะทำราวกับมองไม่เห็นเงาลวงตามังกรวารี ชั่วครู่ก็พันรัดจิ้งจอกสีม่วงเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา
แม้ว่าอสูรทารกจะดิ้นรนขัดขืนอยู่ท่ามกลางโซ่รัดเพียงใดก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!
ส่วนเงามังกรวารีสีเงินที่แผ่ออกมาจากตัวมันก็หายวับไป
กรงสีดำกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง! เหล่าสหายได้เห็นอานุภาพของอสูรตัวนี้แล้ว คิดดูแล้วคงไม่มีผู้ใดคลางแคลงใจอีก อสูรวิเศษตัวนี้เปิดประมูลด้วยราคาแปดสิบล้านศิลาวิญญาณ เริ่มประมูลได้!” เซียวปู้อีเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ฉวยโอกาสที่ทุกคนยังไม่ทันได้สติประกาศขึ้นในทันใด
“แปดสิบห้าล้าน”
“เก้าสิบล้าน”
……
หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของอสูรตัวนี้ ตัวเลขที่น่าตกตะลึงก็ทยอยกันทะลักออกมาจากผู้ที่อยู่ด้านล่างเวที การประมูลสุนัขจิ้งจอกสีม่วงตัวนี้จึงพุ่งขึ้นไปสูงมาก
พริบตาราคาประมูลก็ทะลุหลายร้อยล้าน
หานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ได้เข้าร่วมการประมูล
ประการแรกแม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีอานุภาพที่น่าตกตะลึง แต่การเลี้ยงดูมันต้องใช้เวลาอีกยาวนาน เขามีอสูรวิญญาณครวญ อสูรเกล็ดมิคาทน และแมลงกลืนทองแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมอสูรวิญญาณอะไรเข้าไปอีก
ประการที่สองแม้ว่าเขาจะสนใจ แต่ในตัวกลับมีศิลาวิญญาณไม่มากนัก จึงไม่อาจแย่งชิงกับผู้ใดได้
มาจนถึงครานี้แม้กระทั่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นสามก็เริ่มแย่งชิงกันประมูลอสูรตัวนี้แล้ว
เช่นนั้นต่อให้เดิมเขาไม่ได้ประมูลของเหลวเพลิงสวรรค์มา การแย่งชิงการประมูลอสูรตัวนี้ก็มีความหวังอยู่ไม่มาก
ทว่าในยามที่หานลี่จ้องมองไปยังสุนัขจิ้งจอกสีม่วงภายในกรง ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า อสูรน้อยที่ถูกโซ่ล่ามไว้จนไม่อาจกระดิกตัวได้ ไม่ว่ารูปร่างหรือว่าแววตาที่เผยออกมา ล้วนให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยรู้จักราวกับอิ๋นเย่ว์ในปีนั้นอย่างคาดไม่ถึง
แต่เมื่อคิดดูอีกที แม้ว่าร่างเดิมของอิ๋นเย่ว์จะเป็นหมาป่าสีเงิน แต่ร่างที่สิงอยู่ในแดนมนุษย์ก็เป็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นคล้ายคลึงกันหน่อยก็มิใช่เรื่องที่แปลกอะไร
แม้จะรู้เช่นนั้น แต่ท่าทางน่าสงสารของสุนัขจิ้งจอกสีม่วงที่มองมายังหานลี่จากบนเวที ก็ยังทำให้เขาอดที่จะสะเทือนใจไม่ได้
ตอนนั้นที่อิ๋นเย่ว์จากเขาไป เขาจะสัมผัสท่าทางประหลาดก่อนจะเข้าไปในทางเดินเหนือชั้นไม่ได้ได้อย่างไร
แค่ตอนนั้นลมปราณพลังยุทธ์ของเขา ทำได้เพียงมองนางกลับไปยังแดนวิญญาณอย่างเงียบ ๆ เพียงเท่านั้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะสายตาของหานลี่และและชนต่างเผ่าคนอื่น ๆ นั้นไม่เหมือนกัน ลูกตาของจิ้งจอกสีม่วงที่ขยับตัวไม่ได้พลันกลอกไปมา จะประสานสายตาเข้ากับหานลี่อย่างคาดไม่ถึง จากนั้นก็กระพริบขนตายาว ๆ ของมันด้วยหน้าฉงนระคนตะลึงและดีใจ
แม้ว่าแววตาของสุนัขจิ้งจอกสีม่วงจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจปกปิดสายตาของหานลี่ได้
เขาตะลึงไปเล็กน้อย ในใจรู้สึกงุนงง ไม่รู้ว่าเหตุใดอสูรตัวนี้ถึงแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา
“หนึ่งร้อยสามสิบล้าน! ครั้งที่หนึ่ง”
“หนึ่งร้อยสามสิบล้าน! ครั้งที่สอง”
“……ครั้งที่สาม”
เห็นได้ชัดว่าเซียวปู้อีเองก็คิดว่าไม่มีใครจะเสนอราคาที่สูงกว่านี้แล้ว ปากจึงซักถามครั้งที่สามอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปที่ชั้นสามแวบหนึ่ง ปากจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา
“ยินดีกับพี่ลู่! หลังจากได้อสูรวิเศษตัวนี้ไปแล้ว เชื่อว่าวันข้างหน้าคงไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีกเป็นแน่” คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้จักผู้ที่ประมูลอสูรตัวนี้
“หึ ๆ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้พบกันหลายปี สหายเซียวจะยังจำเสียงของตาเฒ่าได้” เสียงแหบแห้งจากชั้นสามหัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นท่ามกลางห้องที่อยู่รั้งท้ายก็มีลำแสงสว่างวาบขึ้น ลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากด้านใน คาดไม่ถึงว่าเพียงเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนก็มาปรากฎบนเวที
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ถึงได้มองเห็นใบหน้าของเงาร่างคนได้อย่างชัดเจน
เป็นชายชราสวมชุดคลุมสีดำผิวเหลือง
ชายชราผมหยิก ร่างกำยำสูงใหญ่ แทบจะสูงกว่าเซียวปู้อีที่อยู่ด้านข้างสองช่วงหัว เผยท่าทีน่าเกรงขาม
เซียวปู้อี้เห็นชายชรา แววตาพลันฉายแววหวาดกลัว ปากกลับเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษ
“สหายต้องการให้สหายหลันทำให้อสูรตัวนี้หลับใหลหรือไม่ มิเช่นนั้นยามที่จัดส่งอสูรตัวนี้ อาจจะเปิดปัญหาได้”
“เพียงอสูรทารกตัวเดียว กลัวว่าตาเฒ่าจะควบคุมไม่อยู่หรือ วางใจเถิด ศิลาวิญญาณเหล่านี้เจ้านับให้ดี อสูรวิญญาณตัวนี้ข้าจะเอาไปเอง สหายหลัน เจ้าเก็บสมบัติไปเถิด” ชายชราผมหยิกมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก หลังจากโยนศิลาวิญญาณให้เซียวปู้อีถุงหนึ่ง ก็เอ่ยกับชายชราอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“หึ ๆ ในเมื่อพี่ลู่กล่าวเช่นนี้ งั้นผู้แซ่หลันก็จะเอาเขตอาคมออก” ชายชราพยักหน้า ชูมือหนึ่งขึ้น ตะปบไปทางกรงอีกครั้ง
อสูรน้อยสีม่วงในกรงเห็นเช่นนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว ขนสีม่วงบนร่างกายลุกชัน ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงร้องแหลม ๆ ออกมา
เมื่อเสียงเข้าโสตประสาททุกคน ผู้ที่มีพลังยุทธ์ตื้นเขินหน่อยว่าพลันสมองเบลออย่างคาดไม่ถึง พลังปราณในร่างหยุดชะงัก
แน่นอนว่าคนเหล่านั้นย่อมตกตะลึง!
แต่ผลกระทบจากเสียงนี้ต่อระดับหลอมสูญขึ้นไปอย่างหานลี่ กลับเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย
ชายชราไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า นิ้วทั้งห้าในมือเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วสลายออก
ชายชราแซ่ลู่ด้านข้างเองที่พูดจาอวดเบ่ง แต่ก็ไม่กล้าดูแคลนมากนัก สายตาจ้องไปที่อสูรน้อยเขม็ง เตรียมลงมือผนึกอสูรน้อยอีกครั้งในชั่วพริบตาที่ชายชราเก็บสมบัติไป
ชนต่างเผ่าคนอื่น ๆ ด้านล่างเวทีเห็นสถานการณ์เช่นนั้น รูม่านตาก็หดเล็กลงจ้องมองไปยังเวทีโดยพร้อมเพรียง
หานลี่เห็นจิ้งจอกสีม่วงมีท่าทีตกใจ แต่กลับดูเหมือนว่าจะเชื่อมโยงกับอะไรได้ หางตาจึงกระตุกขึ้นมา เสียง “ปัง” ดังขึ้นเบา ๆ
ฝ่ามือเขาที่แต่เดิมวางอยู่ด้านข้าง พลันออกแรงที่นิ้วทั้งห้า คาดไม่ถึงว่าจะจะทำให้เก้าอี้หยกแหลกเป็นผุยผง
และในยามนั้นเองความตื่นตะลึงก็ปรากฎขึ้น!
เสียง “ตูม” ดังสนั่นก็ดังออกมาจากด้านในหอ จากนั้นเขตอาคมลำแสงต่าง ๆ ที่วางอยู่ที่บานประตูของหอก็ระเบิดออก เศษหินในบริเวณรอบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา
ทั้งหอตกอยู่ในความเงียบเป็นเป่าสาก ใบหน้าของทุกคนเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา!
นี่คืองานประมูลสี่เผ่า เหตุใดถึงมีเรื่องน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นได้ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำลายประตูของงานประมูลด้วยท่าทีไม่หวั่นเกรงสิ่งใด
ทว่าทันใดนั้นทั้งหอก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงต่าง ๆ ระเบิดออกมาพร้อมกัน
“เอ๋! เกิดเรื่องอะไรชึ้น”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“ผู้พิทักษ์ เตรียมการป้องกัน!”
……
เป็นเพราะเขตอาคมที่ประตูระเบิดออก ลำแสงต่าง ๆ จึงเปล่งแสงสว่างวาบ ทุกคนในยามนี้ไม่อาจมองเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นได้
“อย่าเพิ่งร้อนรน ในงานประมูลที่พวกเราสี่เผ่าเป็นผู้จัดขึ้น เหล่าสหายจะกลัวเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงหรือ” แม้ว่าก่อนหน้านี้เซียวปู้อี้จะตกตะลึงไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็คู่ควรกับระดับหลอมร่าง ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติได้ในทันใดพลางร้องตะโกนออกไป
เสียงตะโกนราวกับฟ้าผ่าลงมากลางวันแสก ๆ ทำให้สติของผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำหน่อยที่สั่นคลอน ได้สติขึ้นมาไม่น้อย ส่วนผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงหน่อย ได้รับคำเตือนสติก็สงบลงเช่นกัน
จะว่าไปแล้วก็ใช่ ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงว่ามีผู้พิทักษ์จากทั้งสี่เผ่าเป็นผู้ดูแล แต่แม้ระดับเผ่าเบื้องบนและระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังดำรงอยู่จำนวนมาก ความเปลี่ยนแปลงอันใดกันที่ไม่อาจรับมือได้
“สี่เผ่า! ช่างอาจหาญนัก หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารคนที่นี่” เสียงเคร่งขรึมของบุรุษ ดังออกมาจากด้านนอกประตูหอ
“นายท่านคือใคร คาดไม่ถึงว่าจะกล้าก่อความวุ่นวายในเมืองเมฆา!” เซียวปู้อี้ฟังน้ำเสียงอวดดีของอีกฝ่าย ก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ใบหน้ากลับเยือกเย็นเป็นปกติขณะเอ่ยตะโกนถาม
“อันใด หรือว่าเมืองเมฆาเป็นเมืองภูเขามีดทะเลไฟ[1] ข้าถึงมาเยือนมิได้” เสียงฝีเท้าดังออกมาจากด้านอกหอ เงาร่างคนสายหนึ่งข้ามลำแสงเขตอาคมตรงประตูหอเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
——
[1] ภูเขามีดทะเลไฟ เป็นคำเปรียบเปรยที่หมายถึงสถานที่ที่อันตรายมาก
ตอนที่ 1601 มังกรวารีหน้ามนุษย์
ทุกสายตาล้วนจ้องเขม็งไป ในที่สุดก็มองเห็นอย่างชัดเจน
นั่นคือบุรุษวัยกลางคนสวมชุดสีเงิน นอกจากหน้าตาที่หมดจดคมคายแล้ว สีหน้าก็ดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ในวิหารมีคนอยู่จำนวนมาก แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปบนร่างของบุรุษวัยกลางคน ต่างก็เอ่ยพึมพำกันขึ้นมาไม่ได้
ไม่ว่าเผ่าเบื้องบนธรรมดาๆ หรือว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจิตสัมผัสเข้าใกล้บุรุษผู้นี้ต่างถูกพลันต้องห้ามกลุ่มหนึ่งดีดกลับมา ไม่อาจคาดเดาพลังยุทธ์ของบุรุษผู้นี้ได้เลยสักกระผีก
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าบุกเข้ามาอย่างไม่หวั่นเกรง ประวัติความเป็นมาย่อมต้องไม่ธรรมดา
ยามนี้กลับมีไม่กี่คนที่สังเกตเห็นว่า หลังจากที่อสูรทารกสีม่วงตัวนั้นมองเห็นใบหน้าของบุรุษชัดเจน แววตาก็เผยสีหน้ายินดีอย่างบ้าคลั่งออกมา แค่ร่างกายที่ยังคงถูกโซ่สีทองเงินรัดเอาไว้ จนไม่อาจเคลื่อนไหวใดๆ ได้
“นายท่านคือใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ผู้พิทักษ์ด้านนอกล่ะ?” เซียวปู้อีเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าพาเขาเข้ามา ผู้พิทักษ์เหล่านั้นถูกข้าห้ามเอาไว้ มีอะไรหรือ?” ฉับพลันนั้นเสียงที่ไม่คุ้นเคยอีกเสียงก็ดังขึ้น จากนั้นด้านนอกประตูวิหารก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา
นี่คือชายหนุ่มสวมชุดสีขาวสองเท้าเปลือยเปล่าคนหนึ่ง ท่าทางมีอายุเพียงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี หน้าตาธรรมดาสามัญเป็นอย่างยิ่ง ดูแล้วไม่มีจุดที่พิเศษเลยสักนิด
“ท่านอาวุโสเฟ่ย!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มคนใหม่ปรากฏตัว เซียวปู้อีที่เดิมมีสีหน้าราบเรียบอยู่บนเวทีพลันตกตะลึง ค้อมตัวคารวะชายหนุ่มอย่างรีบร้อน
“คารวะท่านอาวุโส!”
“คารวะท่านอาวุโสเฟ่ย!”
ระดับศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ที่อยู่บนเวที รวมทั้งชายชราแซ่ลู่และชายชราก็รู้ประวัติความเป็นมาของชายหนุ่ม คารวะพร้อมกับหน้าถอดสีเช่นกัน ใบหน้าเต็มด้วยความระมัดระวัง
ไม่ใช่แค่นั้น เผ่าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่แต่เดิมแอบซ่อนตัวอยู่ในชั้นสามยามนี้ก็ทยอยกันบินออกมาจากห้อง คารวะพร้อมกันด้วยฐานะชนรุ่นหลัง
หานลี่กวาดสายตาไปมองเห็นเชียนจีจื่อและต้วนเทียนเริ่นที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดยอดทั้งสองคนก็ประสานมือคารวะท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัวออกมา
“ระดับมหายาน!”
ชั่วพริบตาในหัวของหานลี่พลันมีตัวอักษรฉายแวบผ่าน หลังจากกวาดสายตาไปทางชายหนุ่มอีกครั้ง ในที่สุดใบหน้าก็เผยสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่านไป
เมื่อเห็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากคารวะคนคนหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง ชนต่างเผ่าคนอื่นๆ จะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มตรงหน้าได้อย่างไร คนจำนวนไม่น้อยล้วนกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่งตามความรู้สึก ตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไปเช่นกัน
แม้กระทั่งทั้งวิหารก็เงียบกริบไร้สุ้มเสียงไปอีกครั้ง
“ท่านอาวุโสเฟ่ย ท่านกลับมาที่นี่ได้อย่างไร ท่านมิได้กักตนไปแล้วหรือ?” ผู้ถามไม่ใช่เซียวปู้อี แต่เป็นหนึ่งในคนประหลาดระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดยอดที่หานลี่ไม่รู้จักบนชั้นสามคนหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยลายพาดกลอนสีเขียวเข้ม สวนชุดหนังอสูรนิรนาม
“ที่แท้ก็หลานเฮยนี่เอง เจ้าก็อยู่ที่นี่หรือ? ช่างเถิด เรื่องของเจ้าข้าขี้เกียจจะซักถามอะไร ครั้งนี้ที่ข้ามาปรากฏตัวในเมืองเมฆา เดิมเป็นเพราะช่วงนี้เผ่าเขาแมลงเจ้ามาโจมตี แต่ยามนี้ที่มาปรากฏตัวที่นี่ กลับเป็นเพราะสหายถู” ชายหนุ่มกวาดตาไปที่คนประหลาดแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจขณะเอ่ย
“ขอบังอาจถามท่านอาวุโส ท่านอาวุโสถูผู้นี้คือ…” คนประหลาดได้ยินคำนี้พลันมีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างรู้สึกไม่ไว้ใจ
ชายหนุ่มได้ฟังก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้ตอบกลับอะไรในทันที กลับหันไปถามผู้สวมชุดคลุมสีเงิน
“พี่ถูพบคนที่เจ้าตามหาหรือไม่?”
“พบอยู่แล้ว!”
ผู้สวมชุดคลุมสีเงินกวาดสายตาไปรอบวิหาร ในที่สุดก็ตกลงบนเวทีศิลา เมื่อเห็นอสูรน้อยสีม่วง เขาพลันดีใจ แต่เมื่อเห็นอสูรตัวนี้อยู่ภายในกรงสีดำและยิ่งไปกว่านั้นร่างยังถูกโซ่เส้นหนึ่งรัดเอาไว้ สายตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
จากนั้นร่างกายของคนผู้นี้ก็พลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินพลันเจิดจ้าแล้วสลายหายไป
ครู่ต่อมาบนเวทีพลันมีลำแสงสว่างวาบ ผู้สวมชุดคลุมสีเงินปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
“ท่านอาวุโสท่าน…” ชายชราแซ่ลู่ที่ยืนอยู่บนเวทีเช่นกัน เห็นผู้สวมชุดสีเงินอยู่ห่างจากตนเองไปแค่คืบ ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ปากพลันอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“หลบไป!”
แต่คิดไม่ถึงว่าผู้สวมชุดคลุมสีเงินจะไม่สนใจจะเสวนากับเขาเลยสักนิด หลังจากเปล่งเสียงอย่างรำคาญใจแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อไปทางชายชราแซ่ลู่
ชายชรารู้สึกเพียงว่าพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้กลุ่มหนึ่งปะทะเข้ามา
ชายชราแซ่ลู่รู้สึกตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งตามความรู้สึก ชั่วขณะนั้นผิวหนังพลันมีม่านลำแสงสีเหลืองชั้นหนึ่งต้านทานการโจมตีนี้เอาไว้
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ม่านลำแสงบนผิวของชายชราสั่นเทาอย่างรุนแรง “ครืด” ถอยร่นไปเจ็ดแปดก้าว สุดท้ายก็เสียการทรงตัวจนเกือบจะร่วงไปจากเวที
เซียวปู้อีเห็นเช่นนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี
อิทธิฤทธิ์อันร้ายกาจของชายชราแซ่ลู่ เขาย่อมรู้จักดี เคล็ดวิชาลับที่เขาฝึกฝนนั้นเป็นธาตุดิน เดิมทีก็ถนัดในด้านพละกำลังและหนังหนา ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจรับการโจมตีของบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินได้
นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว
ดูแล้วอีกฝ่ายจะต้องอยู่ในระดับมหายานเป็นแน่
ชั่วพริบตาเซียวปู้อีพลันตัดสิน
ชายชราและพวกทั้งสี่เห็นเช่นนั้นพลันตกใจจนสะดุ้ง มองเห็นผู้สวมชุดคลุมสีเงินเดินมาทางพวกเขา ก็ใจหายวาบ อดที่จะทยอยกันถอยร่นไปสองสามก้าวไม่ได้
แต่ฉากที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็ปรากฏขึ้น
ผู้สวมชุดคลุมสีเงินไม่ได้สนใจพวกเขา แต่สาวเท้าเดินไปที่หน้ากรง สองมือยื่นออกไป
หลังจากเสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ฝ่ามือทั้งสองข้างก็แยกออกจับข้างกรงเอาไว้ จากนั้นพลันออกแรง
หลังจากลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เสียงอึกทึกพลันดังขึ้น กรงสีดำที่ดูเหมือนธรรมดาถูกฉีกออกกลางอากาศ
กรงที่ชำรุดและอสูรน้อยร่อนลงมาจากกลางอากาศพร้อมกัน
กรงไม่ทันตกถึงพื้น ก็กลายเป็นไอสีดำสองกลุ่มสลายหายไป ส่วนอสูรน้อยก็เปล่งเสียงหัวเราะด้วยความยินดีออกมาดังคิกๆ และถูกผู้สวมชุดคลุมสีเงินคว้าเอาไว้ในมือ มืออีกข้างหนึ่งลูบไปบนโซ่สีทองเงินบนร่างของอสูรน้อยอย่างแผ่วเบา
หลังจากเสียงกึกๆ ดังขึ้น โซ่สีทองเงินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ชั่วพริบตาที่อสูรน้อยสีม่วงเป็นอิสระ ก็เปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจออกมาอย่างไม่ปิดบังอีก จากนั้นร่างกายก็เคลื่อนไหว กระโจนไปหาอ้อมอกของบุรุษผู้สวมชุดคลุมสีเงิน และถูศีรษะไปมาอย่างสนิทสนมสองสามครั้ง
“หึๆ ไม่อยู่ในถ้ำพำนักดีๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าออกมาวิ่งเล่นบนผิวน้ำตามลำพัง ยามนี้รู้หรือยังล่ะ บอกข้ามา ผู้ใดจับเจ้ามา” บุรุษใช้มือลูบศีรษะของอสูรน้อยด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชายชราทั้งสี่ที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยิน พลันหน้าเปลี่ยนสี อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้ และต่างมองเห็นแววตาหวาดกลัวในสายตาของผู้อื่น
อสูรทารกตัวนี้คือสิ่งที่ที่พวกเขาสี่คนร่วมมือกันจับมา และส่งมาประมูลที่นี่ มิเช่นนั้นจากตำแหน่งแขกผู้มีเกียรติของเมืองเมฆาของพวกเขา จะมาปรากฏตัวที่นี่ง่ายๆ ได้อย่างไร
ยามนี้อสูรน้อยสีม่วงตัวนั้นใช้แววตาที่โกรธแค้นจ้องเขม็งไปที่ชายชรา ในเวลาเดียวกันปากก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมาไม่หยุด คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนกำลังบอกอะไรบุรุษอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“อะไรนะ เขาทรมานเจ้า เยี่ยม เยี่ยมมาก พวกเจ้าสี่คนเอาชีวิตมาชดใช้ก็แล้วกัน”
บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินได้ฟังสองประโยค ใบหน้าพลันมีความเ**้ยมโหดปรากฏขึ้น จากนั้นก็ระเบิดจิตสังหารออกมาจากร่างกาย หัวไหล่แค่สั่นไหว แขนข้างหนึ่งก็ตะปบไปทางชายชราแซ่ลู่อย่างรวดเร็วราวสายฟ้า
ได้ยินเสียงดังเอี๊ยด บุรุษแซ่ถูที่อยู่ห่างจากชายชราสิบจั้งเศษ แขนข้างนั้นระเบิดออกด้วยเหตุใดก็สุดจะรู้ นิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสว่างวาบไปอยู่ตรงหน้าชายชรา
ความเร็วนี้มาถึงได้ในชั่วพริบตา ในเวลาเดียวกันวายุที่น่ากลัวก็ทำให้ชายชราไม่อาจหายใจได้เลยสักนิด
“แย่แล้ว” แม้ว่าชายชราจะเตรียมการป้องกันเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าการโจมตีของอีกฝ่ายจะรุนแรงถึงเพียงนี้
แค่อ้าปากออก พ่นไข่มุกกลมสีเขียวเม็ดหนึ่งออกมาจากปาก โจมตีไปยังนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่าย ในเวลาเดียวกันก็กระตุ้นอาคมสายหนึ่งที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว ผิวหนังรางเลือน ชั่วพริบตาตรงหน้าก็มีม่านลำแสงหลากสีสันสามสีปรากฏขึ้น
แต่ครู่ต่อมาชายชราก็ขวัญกระเจิงอีกครั้ง
เมื่อไข่มุกกลมสีเขียวเปล่งเสียงร้องยังไม่ทันได้สำแดงอานุภาพใดๆ ออกมา ก็เห็นลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นไข่มุกกลายเป็นชิ้นๆ พลางร่อนลงบนพื้น
และแทบจะในเวลาเดียวกัน นิ้วทั้งห้าก็ตะปบไปที่ม่านลำแสง
ได้ยินเพียงเสียง “แควก” ดังขึ้น ม่านลำแสงชั้นสามถูกทะลวงอกในพริบตา ลำแสงสีเงินห้าสายเปล่งแสงสว่างวาบปกคลุมชายชราเอาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
แม้ว่าชายชราจะมีฝีมือมากมาย แต่แค่ชั่วพริบตานั้นก็ไม่อาจสำแดงอิทธิฤทธิ์ใดๆ ออกมาได้
ชายชราหน้าเปลี่ยนสีเป็นซีดขาวไร้สีโลหิต
แต่ชั่วพริบตานั้นน้ำเสียงราบเรียบก็ดังขึ้นใกล้ๆ
“สหายถู ปรานีด้วย สหายอย่าลืมเรื่องที่เคยตอบรับข้าเอาไว้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีฝ่ามือที่ดูเหมือนธรรมดาๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมา แค่โบกสะบัด ก็ดีดลำแสงสีเงินห้าสายออกไป จากนั้นบรรยากาศรอบๆ ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น ร่างของชายหนุ่มแซ่ถูปรากฏขึ้นระหว่างชายชราและบุรุษผู้สวมชุดคลุมสีเงิน และเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“หึๆ ตอนนั้นแม้ข้าจะตกลงกับเจ้าแล้วว่าจะไม่ฆ่าผู้ใดที่นี่อีก แต่ไม่เคยพูดว่าจะปล่อยคนพวกนี้ไปง่ายๆ” เห็นได้ชัดว่าบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินหวาดกลัวชายหนุ่มแซ่เฟ่ย หลังจากโจมตีไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้ลงมืออีกครั้ง แต่กลับเอ่ยด้วยแววตาเคร่งขรึม
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อพวกสหายลู่ล่วงเกินลูกรัก ก็อย่าลงโทษถึงแก่ตาย แต่การถูกลงโทษย่อมเป็นเรื่องที่สมควร” ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเงินเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“อะไรนะ ท่านคือมังกรวารีหน้ามนุษย์!” ชายชราที่หนีรอดจากความตายได้ ยังไม่ทันได้สติ ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มแซ่เฟ่ย ชั่วขณะนั้นพลันร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งสีหน้าดูไม่ได้
“ใช่แล้ว ข้าคือมังกรวารีหน้าคน อันใด เจ้าสนใจข้าหรือ?” บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเหลือบตามองชายชราแวบหนึ่ง แววตาฉายแววโหดเ**้ยม
“มิกล้า ชนรุ่นหลังจะมีเจตนานั้นได้อย่างไร ก่อนหน้าเหล่าชนรุ่นหลังไม่รู้ฐานะของลูกสาวท่าน ที่ล่วงเกินไป หวังว่าท่านอาวุโสจะให้อภัย!” แม้ว่าชายชราจะอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเป็นผู้ที่งอได้ยืดได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดี คำพูดก็อ่อนลงในทันใด
“สหายลู่ ครั้งนี้พวกเจ้าเสียมารยาทเกินไปแล้ว กล้าไปจับอสูรวิญญาณแถวถ้ำพำนักของพี่ถูได้อย่างไร และยังไปจับลูกสาวของพี่ถูไปอีก โชคดีที่ไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นแม้แต่ข้าก็ไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้” ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยหันกลับมา เอ่ยสั่งสอนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ชนรุ่นหลังไม่รู้จริงๆ ว่าน่านน้ำผืนนั้นคือที่ตั้งถ้ำพำนักที่ท่านอาวุโสอาศัยอยู่ มิเช่นนั้นพวกเราจะกล้าทำเรื่องหาที่ตายเช่นนั้นได้อย่างไร” ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าของชายชราพลันมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมา
คนอื่นๆ ล้วนหน้าซีดขาว สีหน้าไม่ได้ดีกว่ากันไปเท่าใดนัก
ตอนที่ 1602 เข้าใจผิด
คนเหล่านี้อยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ก็ยังรู้ความแตกต่างของระดับมหายานและระดับผสานอินทรีย์ เมื่อเข้าสู่ระดับมหายาน ก็มีอิทธิฤทธิ์น่ามหัศจรรย์ที่แตกต่างกัน หากระดับสูญสุญตาสองสามคนร่วมมือกัน แล้วสามารถต้านทานระดับหลอมร่างขั้นต้นคนหนึ่งได้ งั้นระดับผสานอินทรีย์สองขั้นสุดยอดสองสามคน อยู่ต่อหน้าระดับมหายานขั้นต้นคนหนึ่ง ก็มีเพียงโอกาสหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
เพราะว่าหลังจากเข้าสู่ระดับมหายานแล้ว ก็นับว่าเป็นเทพเซียนครึ่งหนึ่ง สามารถเข้าใจหลักการสวรรค์ที่ทรงพลังในการฝึกฝนต่างๆ ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ระดับผสานอินทรีย์จะต่อต้านได้ ส่วนระดับข้ามเคราะห์สุดท้ายนั้น ความจริงแล้วเป็นแค่การแบ่งในนามเท่านั้น นอกจากพลังยุทธ์และลมปราณจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว แต่ความสามารถก็ไม่มีต่างจากระดับมหายานขั้นสุดยอดเท่าใดนัก
และยิ่งไปกว่านั้นระดับข้ามเคราะห์เองก็ไม่มีการแบ่งแยกที่เป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ มักจะเตรียมผ่านเคราะห์สวรรค์เทพเซียน เพื่อการบรรลุเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ระดับมหายานจึงกลายเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนวิญญาณนอกจากจิตวิญญาณเที่ยงแท้ฟ้าดินเหล่านั้นแล้ว
ชายชราและพวกทั้งสี่คนเห็นอสูรน้อยสีม่วงที่ตนเองจับมา คือลูกสาวแท้ๆ ของมังกรวารีหน้ามนุษย์ระดับมหายานคนหนึ่ง หากบอกว่าไม่หวาดกลัว ย่อมเป็นไปไม่ได้
ทว่าพวกเขาในตอนนี้อยู่ในเมืองเมฆา รอบด้านยังมีชนชั้นสูงของเผ่าต่างๆ อยู่จำนวนมาก หากมังกรวารีหน้ามนุษย์มาหาเรื่องพวกเขาเพียงลำพัง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีพลังยุทธ์ระดับเทพเซียน พวกเขาก็ไม่สนใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชายหนุ่มแซ่เฟ่ยที่พวกเขารู้จักมีท่าทีรู้จักกับมังกรวารีหน้ามนุษย์ และยังเป็นคนพาเขามาที่นี่ด้วยตนเอง หากจะปลุกเร้าคนอื่นให้ล้อมวงโจมตีมังกรวารีหน้ามนุษย์ ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เช่นนั้นชายชราและพวกทั้งสี่คนจะไม่กลัวได้อย่างไร
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยลงมือต้านทานการโจมตีของมังกรวารีหน้ามนุษย์ พวกเขาคงจะหนีเตลิดไปในทันทีอย่างไม่สนใจอะไร
“เอาล่ะ ข้าเห็นแก่หน้าพี่เฟ่ย จะไม่เอาชีวิตพวกเจ้า แต่คนผู้นี้ทรมานลูกสาวข้า โทษตายย่อมละเว้นได้ แต่การลงโทษย่อมไม่อาจละเว้นได้” บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเงียบขรึมไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
จากนั้นมือก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าเรียงชิดติดกัน สับไปทางชายชราอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ลำแสงสีเงินสว่างวาบ ชายชราไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แขนข้างหนึ่งก็เย็นเยียบ ถูกสับร่วงลงมาจากกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันโลหิตสดๆ มากพลันพ่นออกมา
ชายชราพลันตกตะลึง ไม่ทันได้ช่วยชีวิตตัวเอง เงาร่างเบื้องหน้าพลันพลิ้วไหว ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยปรากฏตัวที่อีกด้าน ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบไปที่แขนที่ขาดด้วนของเขาเบาๆ
ลำแสงสีเขียวสว่างวาบ โลหิตตรงบาดแผลที่แขนข้างที่ขาดด้วนของชายชราหยุดลงในทันที บาดแผลฟื้นฟูสมานเข้าหากันด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ไม่รอให้ชายชราที่มีสีหน้าเทาขาวได้เอ่ยอะไร ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยกลับโบกมือไปทางเขา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อพี่ถูลงโทษเจ้าแล้ว ก็อย่าลงมือกับพวกเจ้าเลย แต่เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ ได้ ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าสี่คนจะใช้วิธีการอันใด? จะยืมหรือจะชิงมา! พวกเจ้าต้องจ่ายมาร้อยล้านศิลาวิญญาณ เพื่อเป็นของขวัญปลอบใจให้กับเชียนจิน หากไม่ยอม งั้นพวกเจ้าก็ต้องแขนขาดคนละข้าง”
เมื่อได้ฟังชายชราและพวกทั้งสี่ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หากอาศัยแค่ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยล้านก้อน ก็สามารถจัดการปัญหาได้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ร้องขอก็ไม่มีวันได้มา มิเช่นนั้นแม้ว่าพวกเขาทั้งสี่คนในตอนนี้จะไม่เป็นไร แต่หากถูกระดับมหายานคนหนึ่งจับจ้อง คงต้องเอาแต่แอบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเมฆาตลอดไป
ส่วนชายชรานั้นแม้ว่าแขนจะขาดไปข้างหนึ่ง สูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ไป แต่เขาที่พลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้ การต่อแขนที่ขาดก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
ดังนั้นชายชราและพวกจึงมารวมตัวกันโดยไม่ปริปาก ทั้งสี่คนรวบรวมเงินกัน ได้เป็นศิลาวิญญาณสี่ถุง จากนั้นก็ส่งให้ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยอย่างนอบน้อม
ชายหนุ่มคว้าถุงศิลาวิญญาณทั้งสี่ขึ้นมา จากนั้นถึงได้หันไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แม้ว่าศิลาวิญญาณแค่นี้จะไม่อาจกำจัดความโกรธแค้นในใจของพี่ถูได้ แต่สหายลู่ถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็ไปที่ทะเลจือเวยเป็นครั้งแรก และนับว่าทำผิดครั้งแรก เห็นแก่หน้าผู้แซ่เฟ่ย เรื่องนี้พอแค่นี้เถิด”
มังกรวารีหน้ามนุษย์ที่แปลงร่างเป็นบุรุษสวมชุดคลุมสีเงิน มองอยู่ด้านข้างด้วยแววตาเย็นชาตั้งแต่ต้น ตอนนี้ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าก็ยังคงเคร่งขรึม แต่สายตากลับกลอกไปมาบนใบหน้าของชายราแขนข้างและชายหนุ่ม หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ฝืนพยักหน้าหงึกหงัก
“เยี่ยม ครั้งนี้ เห็นแก่หน้าพี่ลู่ จะปล่อยพวกเจ้าไป แต่หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปเยี่ยมทะเลจือเวยแม้แต่ก้าวเดียว” มิเช่นนั้นหากถูกพบเจ้า อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์กับสหายเก่า” หลังจากเอ่ยจบ ใบหน้าของมังกรวารีหน้ามนุษย์ที่เดิมทีหมดจดพลันมีลวดลายสีเงินปรากฏขึ้นรางๆ สีหน้าโหดเ**้ยมขึ้นหลายส่วน
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากสหายลู่และพวกกล้าบุกเข้าไปในทะเลของท่านอีก พวกเขาสี่คนจะหลุดจากฐานะแขกผู้มีเกียรติของเมฆาสวรรค์ของพวกเราทันที ส่วนคนก็แล้วแต่สหายจะจัดการ” ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของผู้สวมชุดคลุมสีเงิน ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ในเวลาเดียวกันก็โยนถุงศิลาวิญญาณในมือไป
ชายชราและพวกได้ยินคำนี้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นแดงสลับขาวไปมา ตรงหน้าผากมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินพลันใช้มือหนึ่งสูบเข้ามา จากนั้นก็รับศิลาวิญญาณสี่ถุงเอาไว้ แล้วถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง
หลังจากที่ถุงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปในมือของเขา บุรุษก็ใช้มือตบไปที่แผ่นหลังของอสูรน้อยที่อยู่ตรงอ้อมอกของตนเอง
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีม่วงพลันหมุนวนโคจร อสูรน้อยหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่มาแทนกลับเป็นเด็กหญิงอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่ง
เด็กหญิงผู้นี้มีผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตาสีดำสนิท บนศีรษะมีผมเปียสีม่วง เผยให้เป็นความน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
คนจำนวนไม่น้อยเห็นฉากนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี
เห็นๆ กันอยู่ว่าอสูรน้อยตัวนี้ไม่อาจแปลงกายได้ แต่เมื่อถูกผู้สวมชุดคลุมสีเงินตบไปทีหนึ่ง ก็กลายเป็นมนุษย์ เห็นได้ชัดว่ามังกรวารีหน้ามนุษย์มีอิทธิฤทธิ์ขนาดไหน
ทว่าแม้ว่าอสูรน้อยจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังคงใช้แขนขาทั้งสี่กอดรัดบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเอาไว้แน่น และยิ่งไปกว่านั้นยังอ้าปากออก เปล่งเสียงร้อง” หย๊าๆ” ออกมา และใช้นิ้วชี้ไปที่ชายชราเหล่านั้นไม่หยุด บางครั้งก็กำหมัดน้อยๆ ใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม
“เอาล่ะพวกเขาได้รับการสั่งสอนแล้ว ก็พอแค่นี้เถิด เรื่องนี้ถือว่าเป็นการสั่งสอนเจ้า ผู้ใดให้เจ้าไม่ฟังคำสั่งเช่นนี้ กลับไปรีบไปฝึกฝนให้ดี ไม่พัฒนาระดับขั้นจนสามารถแปลงกายได้เอง ก็ไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากถ้ำพำนักอีกแม้แต่ก้าวเดียว” ใบหน้าของบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินเต็มไปสีน่ารักใคร่เอ็นดู แต่น้ำเสียงกลับเข้มงวดมาก
เด็กหญิงได้ฟังพลันเบะปากไปเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นแววตาพลันทอประกาย ใกล้จะร่ำไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินถอนหายใจออกมาเบาๆ สั่นศีรษะด้วยความปวดหัว จากนั้นก็ไม่สนใจเด็กหญิงอีก แต่หันหน้าไปเอ่ยกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง
“ครั้งนี้ตามบุตรสาวกลับมาได้ ต้องขอบคุณพี่เฟ่ยที่ช่วยเหลือ บุญคุณครั้งนี้พวกเราสองสามีภรรยาจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ วันข้างหน้าจะต้องตอบแทนแน่ แต่ภรรยาของข้าน้อยรอฟังข่าวของบุตรสาวอยู่ที่บ้าน ผู้แซ่ถูจึงมิอาจอยู่นานได้”
หลังจากที่มังกรวารีหน้ามนุษย์เอ่ยจบก็ประสานกำปั้น แล้วคิดจะกล่าวลา
“ในเมื่อพี่ถูกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เฟ่ยก็คงไม่รั้งไว้แล้ว เดินทางปลอดภัย!” เมื่อเห็นมังกรวารีหน้ามนุษย์ไม่คิดจะหาเรื่องกับชายชราและพวกอีก ก็ผ่อนลมหายใจในใจ
ชายชราแซ่ลู่และพวกทั้งสี่คนผู้นั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติของเมืองเมฆา ประกอบกับที่อยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจะไม่อาจปล่อยให้เขาถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาเขาได้จริงๆ
แต่เขาก็ไม่อยากสร้างความแค้นกับมังกรวารีหน้ามนุษย์ นอกจากอิทธิฤทธิ์ความน่ากลัวของมังกรวารีหน้ามนุษย์แล้ว เมื่อนึกถึงภรรยาของมังกรวารีหน้ามนุษย์ผู้นั้น แม้แต่เขาก็ยังอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้
มิเช่นนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ก็ไม่อาจพาอีกฝ่ายมาที่นี่ได้ง่ายๆ และทำให้ตนเองเสียหน้าขนาดนี้ต่อหน้าคนหมู่มาก
ยามนี้แก้ปัญหาได้แล้ว แน่นอนว่าย่อมดีจริงๆ
บุรุษสวมชุดคลุมสีเงินพยักหน้า หันกายไปลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงหลีกหนีจากไป แต่ในตอนนั้นเอง เด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมอกก็ใช้มือหนึ่งดึงชายเสื้อของเขา ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงหย๊าๆ อะไรออกมา สุดท้ายแม้กระทั่งก็ใช้นิ้วชี้มาที่ด้านล่างเวที
“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!”
ลำแสงวิญญาณบนร่างของมังกรวารีหน้ามนุษย์หม่นแสง ปากก็เปล่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงออกมา
“พี่ถู บุตรสาวพูดอะไร ทำให้ท่านตกตะลึงเช่นนี้?” ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกตะลึง อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไร อาจจะพบคนเลือดผสมเผ่าใดสักเผ่าที่เกี่ยวข้องกับภรรยาข้า?” มังกรวารีหน้ามนุษย์ตอบกลับหนึ่งประโยค สองตากลับมองไปยังทิศทางที่เด็กหญิงชี้ไป
ชายหนุ่มพลันตกตะลึง สองตาหรี่ลงเล็กน้อยพลางหันหน้าไปมอง
เห็นเพียงตรงที่ทุกคนนั่งอยู่ เมื่อระดับมหายานสองคนมองไปพร้อมกัน คนจำนวนไม่น้อยก็หน้าเปลี่ยนสี ต่อให้รู้ว่าย่อมไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ก็อดที่จะใจเต้นตึกตักไม่ได้
สีหน้าของหานลี่แปลกประหลาดไปเช่นกัน!
คนอื่นอาจจะรู้ดี แต่เขากลับมั่นใจมากว่าเด็กหญิงผู้นั้นชี้มาทางตนเองแปดเก้าส่วน
แต่เหตุใดถึงชี้มาที่เขา หานลี่ยอมงุนงงไม่เข้าใจ
ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่มังกรวารีหน้ามนุษย์และชายหนุ่มแซ่เฟ่ยมาถึงเวทีนั้น ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดแอบลงมือทำอะไร ผู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีทั้งหมดเห็นเพียงฉากบนเวที แต่บทสนทนาสักคำกลับไม่ได้ยิน
และในยามนั้นเอง ชั่วพริบตานั้นจิตสัมผัสที่น่ากลัวเป็นอย่างมากก็กวาดมาบริเวณนี้ หลังจากกวาดผ่านคนจำนวนไม่น้อยไป สีหน้าก็เริ่มซีดขาว
ชั่วพริบตาที่จิตสัมผัสกวาดมาบนร่างของหานลี่ ก็มีความรู้สึกขนลุกซู่เหมือนถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ราวกับถูกอสูรยักษ์อันดุร้ายที่ไม่อาจต้านทานได้จับจ้องอยู่
จิตใจของเขาหนักอึ้ง จากนั้นก็รู้สึกว่าสายตาของบุรุษสวมชุดคลุมสีเงินที่อยู่ไกลออกไปเคร่งขรึม ชั่วครู่ก็กำหนดตำแหน่งมาที่เขาท่ามกลางผู้คนมากมาย
จากนั้นก็เห็นบุรุษสาวเท้ามา ครู่ต่อมาเบื้องหน้าของหานลี่ก็พร่าเลือน ด้านหน้ามีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง
นั่นก็คือมังกรวารีหน้ามนุษย์ที่แปลงเป็นบุรุษ ในอ้อมอกของเขายังอุ้มอสูรน้อยสีม่วงที่กลายเป็นเด็กหญิงอยู่ด้วย
เด็กหญิงคนนั้นกำลังกะพริบดวงตาสีดำขลับปริบๆ ใช้สายตาประหลาดใจจ้องเขม็งมายังเขา
“คารวะท่านอาวุโส!”
หานลี่รู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ใบหน้ายังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ และหยัดกายลุกขึ้นคารวะบุรุษสวมชุดคลุมสีเงิน
เมื่อเผชิญหน้ากับระดับมหายาน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินเลยสักนิด
“ใช่แล้ว มีกลิ่นอายเผ่าเดียวกับมารดาของเจ้าอยู่นิดหน่อย แต่เบาบางมาก ต่อให้มีโลหิตอยู่เพียงนิดหน่อย ก็ไม่น่าจะเบาบางจนมองไม่เห็น แต่เด็กเอ๋ย อิทธิฤทธิ์ตั้งมากมายของมารดาเจ้า เจ้าไม่สืบทอดมา กลับสืบทอดเคล็ดวิชาจิตสัมผัสที่ไม่มีประโยชน์มากที่สุดมา ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับมารดาเจ้ามากนัก พวกเราก็ไปกันเถิด” บุรุษพิจารณาหานลี่สองแวบ แล้วสั่นศีรษะอย่างเย็นชา
จากนั้นเขาก็ไม่รอให้เด็กหญิงได้เอ่ยอะไรอีก ลำแสงสีเงินเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งออกไปจากประตูวิหาร
ตอนที่ 1603 เผ่าวิญญาณธรณีและรถศึกอเว...
หานลี่ตื่นตกใจไปรอบหนึ่ง จึงลูบจมูกไปมา แล้วรู้สึกผ่อนคลายลง
ทว่าเขาก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่มังกรวารีหน้ามนุษย์เอ่ยก่อนจากไปอยู่ดี
เขาเป็นเผ่ามนุษย์อย่างแน่นอน จะไปเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายได้อย่างไร หรือว่าเป็นเพราะเขาหลอมโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้สองสามชนิดเข้าไป?
ตามหลักการแล้วก็เป็นไปไม่ค่อยได้ แม้ว่าโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้เหล่านี้จะแข็งแกร่งมาก แต่หลังจากหลอมรวมแล้วจะซ่อนอยู่ภายในกาย ไม่มีทางเผยตัวออกมาเลยสักกระผีก
มิเช่นนั้นก่อนหน้าที่เขาพบผู้ที่แข็งแกร่งตั้งมากมาย คงเกิดเรื่องอะไรขึ้นไปตั้งนานแล้ว
หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงรู้สึกสงสัยอยู่เต็มท้อง
แต่ชนต่างเผ่าที่อยู่ในบริเวณรอบกลับมองมาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
แม้แต่ชายหนุ่มแซ่เฟ่ยที่ยืนอยู่บนเวทีก็ยังมองพินิจเขาถึงสองแวบ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ส่วนระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่บนชั้นสามเหล่านั้น ก็ใช้สายตาประหลาดใจกวาดมาทางเขาอยู่ไม่น้อย
ต้วนเทียนเริ่นที่เป็นหนึ่งในนั้นย่อมจำหานลี่ได้ในปราดเดียว จึงอดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมามิได้
หานลี่เห็นตนเองดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก กลับรู้สึกแย่อยู่ในใจ
“เอาล่ะ ในเมื่อจัดการเรื่องราวได้แล้ว พวกเจ้าก็จัดงานประมูลต่อเถิด ข้าขอตัวก่อน สหายลู่วันข้างหน้าพวกเจ้าหากไปแถวทะเลจือเวยอีก หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผู้แซ่เฟ่ยก็ไม่อยากออกหน้าได้ ดูแลตัวเองก็แล้วกัน” หลังจากที่ชายหนุ่มชักสายตากลับมา ก็เอ่ยกับเซียวปู้อี ชายชราแซ่ลู่และพวกอย่างราบเรียบ
“ชนรุ่นหลังจะจดจำให้ขึ้นใจ! ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ปกป้องเมื่อครู่ มิเช่นนั้นชนรุ่นหลังและพวกคงต้องจบเห่จริงๆ” ชายชราและพวกย่อมเอ่ยขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
เซียวปู้อีที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็เอ่ยคำพูดว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัย” ออกมา
ชายหนุ่มพยักหน้า สาวเท้าลงไปจากเวที เห็นเพียงร่างกายของเขาเคลื่อนไหว แต่แค่สาวเท้าไปสองสามก้าว ก็มาถึงหน้าประตูวิหารจากนั้นก็หายวับไป
เมื่อเห็นระดับมหายานสองคนจากไปตามลำดับ ชั่วขณะนั้นตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ที่ชั้นสามเหล่านั้นก็บินกลับไปในห้อง ทยอยกันอำพรางกายไปอีกครั้ง
ส่วนคนอื่นๆ ในวิหาร ก็เลื่อนสายตาไปบนผู้ที่อยู่บนเวทีอีกครั้ง
“พี่ลู่ ท่านได้รับบาดเจ็บ กลับไปพักผ่อนที่ถ้ำพำนักก่อนเถิด ฮูหยินคุน จากนี้ต้องรบกวนให้สหายทั้งสามอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว โชคดีที่มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว คงไม่รบกวนสหายทั้งสามมากนัก นอกจากนี้ค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ผู้แซ่เซียวจะเป็นตัวแทนของเผ่ามอบให้สหายทั้งสี่เพิ่มขึ้นสองส่วน”เซียวปู้อีเอ่ยกับชายชรารวมทั้งฮูหยินและพวกด้วยท่าทีนอบน้อม
“พี่เซียววางใจเถิด! ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ในเมื่อพวกเราสามคนตกลงกับสหายไปแล้ว ก็จะต้องอยู่จนงานประมูลครั้งนี้จบลงแน่” ฮูหยินและคนที่เหลืออีกสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ผู้แซ่เซียวขอบพระคุณทั้งสามท่าน!”เซียวปู้อีได้ยินแล้วพลันรู้สึกดีอกดีใจยกใหญ่
หากทั้งสามคนสะบัดหน้าจากไปจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้รั้งพวกเขาไว้จริงๆ
ส่วนชายชราแซ่ลู่นั้น ก็แค่พยักหน้าให้เซียวปู้อีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แขนที่สมบูรณ์ตะปบไปทางพื้น
ชั่วขณะนั้นแขนข้างที่ขาดก็ลอยขึ้นถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็ถูกเขาเก็บเข้าไปอย่างระมัดระวัง
จากนั้นชายชราแซ่ลู่ก็ไม่ปริปาก สองมือร่ายอาคม เขตอาคมสีฟ้าบนเวทีเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา ร่างกายสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชายชราที่อยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ถูกผู้คนเคารพนบน้อมมาโดยตลอดอ แต่ยามนี้กลับถูกฟันแขนข้างหนึ่งต่อหน้าทุกคน แน่นอนว่าย่อมรู้สึกอับอาย
ยามนี้เขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก แม้กระทั่งไม่อยากออกมาพบผู้ใครสักระยะหนึ่ง
“สินค้าประมูลก่อนหน้านี้ต้องถูกยกเลิกไปด้วยเหตุที่ไม่คาดฝัน สหายหลันเจ้าเอาศิลาคืนไปเถิด ทว่าเพื่อเป็นการตอบแทนความเสียหายของสหาย ของอีกสามชิ้นต่อจากนี้ หากสหายประมูลได้ จะลดให้สิบล้าน เพื่อเป็นของตอบแทนให้พี่หลัน” เซียวปู้อีกระแอมไอสองสามครั้ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับชายชราผมหยิกที่ถอยไปอยู่มุมหนึ่งของเวทีตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาพลันชูมือหนึ่งขึ้น โยนถุงศิลาวิญญาณที่อีกฝ่ายส่งมาเมื่อครู่คืนให้อีกฝ่าย
เห็นได้ชัดว่าชายชราผมหยิกกลัวมังกรวารีหน้ามนุษย์หาเรื่อง ถึงได้ไปปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ และไม่ส่งเสียงใดๆ
ยามนี้ได้ยินเซียวปู้อีกล่าวเช่นนี้ ชายชราพลันสั่นศีรษะ ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ช่างเถิด ในเมื่อการประมูลเมื่อครู่เกิดปัญหา นั่นก็หมายความว่าผู้แซ่หลันไม่มีวาสนากับงานประมูลครั้งนี้ สมบัติที่จะปรากฏตัวต่อจากนี้ ผู้แซ่หลันจะไม่ลงมืออีก” ชายชราผมหยิกกลับเป็นผู้ที่รู้จักปล่อยวางได้ หลังจากรับศิลาวิญญาณไปแล้ว ก็ลงจากเวทีไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา พลางตรงไปด้านนอกวิหารกัน หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็หายวับไปอย่างไม่เห็นเงา
คนจำนวนไม่น้อยด้านล่างเวทีเห็นเช่นนั้น ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
เซียวปู้อีขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าราบเรียบ และพยักหน้าให้กับฮูหยินเกล็ดสีเขียวผู้นั้นที่อยู่ด้านข้าง
ชั่วขณะนั้นฮูหยินพลันเข้าใจเจตนาของเขา มือหนึ่งลูบไปที่แขนเสื้อ ควักของสีดำสนิทออกมาชิ้นหนึ่ง และโยนขึ้นไปกลางอากาศ
ชั่วพริบตาเสียงครืนๆ พลันดังขึ้น!
จากนั้นเหนือเวทีศิลาก็มีพายุก่อตัวขึ้น เมฆาสีดำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนไปมาเล็กน้อย ขยายใหญ่ขึ้นสิบจั้งเศษ
ปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ ชั่วครู่ก็ดึงดูดสายตาของผู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าในเมฆามีเสียงดังครืนๆ ไม่หยุด หลังจากนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ท่ามกลางฟ้าแลบสีขาวเมฆาสีดำสลายหายไปในทันที
กลางอากาศมีรถเหาะสีดำสนิทคันหนึ่งปรากฏออกมาในทันที ความยาวหกเจ็ดตั้ง ผิวมีลวดลายวิจิตรโบราณเต็มไปหมด ในเวลาเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายดิบเถื่อนออกมาจากตัวรถ
ด้านหน้ารถเหาะมีม้าบินเขาเดียวจุดสีดำสี่ตัวที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วลากอยู่ ไม่เพียงแผ่นหลังที่มีปีกสีดำคู่หนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นร่างกายกว่าครึ่งยังสวมชุดเกราะสงครามสีดำชั้นหนึ่ง
บนร่างของม้าบินสี่คนมีนักรบชุดเกราะที่ดูเหมือนคนปกติขี่อยู่ตัวละคน ทุกคนห้อยกระบี่และแขวนคันธนูไว้ที่แผ่นหลัง ล้วนมีท่าทีพร้อมรบ
แต่ไม่ว่าม้าบินหรือว่านักรบที่ขี่ ต่างก็ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน เห็นได้ชัดว่าเป็นหุ่นเชิดขี่อสูรสี่ตน!
เมื่อเห็นรถเหาะเหล่านั้นและนักรบชุดเกราะ ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ด้านล่างก็เผยสีหน้าสนอกสนใจออกมาในทันที
“หึๆ นี่คือสินค้าประมูลชิ้นที่สองในรายการสุดท้ายของงานประมูลเรา ‘รถศึกอเวจี’ รถคันนี้ข้าจะไม่แนะนำมากนัก แต่หากเอ่ยถึงที่มาของมัน เกรงว่าสหายกว่าครึ่งคงคุ้นหูดี หลายแสนปีก่อนที่เผ่าวิญญาณธรณีถูกล้างเผ่าพันธุ์ คิดดูแล้วคงมีคนจำนวนไม่น้อยคุ้นหูบ้างสินะ ตอนนั้นเผ่าวิญญาณธรณีได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี! รถศึกอเวจีชุดนี้มาจากคนของเผ่าวิญญาณธรณี พบที่ซากปรักหักพังลับของเผ่าวิญญาณธรณี ส่วนอิทธิฤทธิ์ของมันผู้แซ่เซียวคงไม่ต้องสำแดงแล้ว ข้าบอกเหล่าสหายได้เพียงแค่หุ่นเชิดนักรบที่อยู่ในชุดนี้ ทุกตัวก็มีกำลังระดับสูญสุญตาขั้นกลาง และหากหุ่นเชิดนักรบร่วมมือกันทั้งสี่ตัว ก็สามารถสำแดงเคล็ดวิชาลับการร่วมมือกันที่หายสาบสูญไปนานแล้วได้ เพียงพอจะต้านทานการโจมตีของระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นได้ ส่วนรถศึกอเวจีเองนั้น ก็เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้อย่างไม่จำกัด ความอัศจรรย์ของมันนั้น มีเพียงสหายที่ประมูลได้ไปจะเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง” เซียวปู้อีหัวเราะหึๆ ออกมาขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินชื่อของเผ่าวิญญาณธรณี ผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่างจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าสนอกสนใจ เมื่อได้ยินว่าหุ่นเชิดทั้งสี่ตัวร่วมมือกันแล้วจะสามารถต้านทานระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นคนหนึ่งได้ ชั่วขณะนั้นต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจอย่างยิ่งออกมา คนเหล่านี้ทนไม่ไหวถึงกับต้องแผ่จิตสัมผัสออกไป ตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ผลคือเมื่อคนเหล่านี้แผ่จิตสัมผัสออกไป ชั่วครู่ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบร้อนกันดึงจิตสัมผัสกลับมา
หุ่นเชิดเหล่านั้นยังพอว่า เมื่อจิตสัมผัสสัมผัสกับรถเหาะ คาดไม่ถึงว่าจะถูกแรงดูดประหลาดตรงผิวรถดูดเข้าไป จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของคนจำนวนไม่น้อยถูกดูดเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว
นี่ย่อมทำให้พวกเขาตกตะลึงไม่น้อย!
บางทีอาจเป็นเพราะรถคันนี้ไม่มีเจ้าของ ไม่ถูกคนหลอมมาก่อน ยามที่เขาดึงจิตสัมผัสกลับมานั้น ก็ไม่ได้รับการขวางกั้นใดๆ มิเช่นนั้นคงจะเสียเปรียบไปไม่น้อย
แต่เช่นนั้นความลึกล้ำของรถคันนี้ก็ได้ถูกพิสูจน์ไปในอีกนัยหนึ่ง จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากยิ่งขึ้นในชั่วครู่
หานลี่ไม่ทันได้ระวังก็เสียเปรียบไปเช่นกัน เขารู้สึกประหลาดใจกับรถคันนี้เป็นอย่างมาก แต่ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้าอย่างเงียบๆ ไปเฮือกหนึ่ง
แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าราคาเปิดประมูลของรถคันนี้อยู่ที่เท่าใด แต่สมบัติที่สามารถต้านทานระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ ราคาจะสูงแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงนั่งมองอยู่ที่เดิมเท่านั้น
ทว่าจนถึงตอนนี้ไผ่อัสนีทองก็ยังไม่ปรากฏตัว ดูแล้วคงได้รับความสำคัญในงานประมูลจริงๆ แม้แต่ในบรรดาสินค้ารายการสุดท้ายก็ยังถูกจัดวางเอาไว้ภายหลัง
ในตอนที่หานลี่กำลังขบคิดอย่างเงียบเชียบนั้น ในที่สุดเซียวปู้อีที่อยู่บนเวทีก็เอ่ยราคาเปิดประมูลของ ‘รถศึกอเวจี’ ออกมา!
“รถศึกอเวจีชุดนี้ เปิดประมูลด้วยราคาร้อยยี่สิบล้านศิลาวิญญาณ!”
แม้จะรู้ว่าราคาของรถศึกต้องน่าตกตะลึง แต่หลังจากที่หานลี่ได้ยินราคานี้ ก็ยังตะลึงงันอยู่กับที่ ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
ราคาประมูลของรถศึกอเวจีคันนี้ร้อนแรงดังคาด!
เสียงเรียกราคาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาทะลุขึ้นไปสองร้อยล้านอย่างง่ายดาย! แต่ยังคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีท่าทีไม่ยอมแพ้
ทว่าครั้งนี้กลับมีระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์บนชั้นสามเรียกราคาออกมาไม่กี่คน บางคนเสนอราคาสองครั้ง พอเห็นว่าราคาเกินสองร้อยล้านแล้วพวกเขาก็ไม่เปล่งเสียงใดๆ อีก
ผลคือรถคันนี้ถูกหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าท่าทางอรชนอ้อนแอ้นประมูลไปด้วยราคาสองร้อยยี่สิบล้าน
แต่หลังจากที่คนจำนวนไม่น้อยมองไปยังหญิงสาวสวมผ้าคลุม ในใจพลันเต้นตึกตักๆ
เพราะว่าหญิงสาวผู้นี้อยู่ในระดับเทพแปลงเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีศิลาวิญญาณจำนวนมากขนาดนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อไปหน่อยจริงๆ
หานลี่รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไป
เพราะว่าเซียวปู้อี้รับกล่องหยกมาจากมือคนประหลาดสองหัวคนหนึ่ง หลังจากเปิดออก ก็เผยไผ่สีเขียวมรกตท่อนหนึ่งออกมา
นั่นก็คือไผ่อัสนีทองลำนั้นที่เขานำออกมา!
“ห้าพฤกษาที่เป็นต้นกำเนิดของอัสนีเทวา ไผ่อัสนีทอง! เปิดประมูลหนึ่งร้อยเจ็ดสิบล้านศิลาวิญญาณ!” ครั้งนี้เซียวปู้อีทำอย่างลวกๆ มือหนึ่งหยิบไผ่ท่อนนั้นออกมา โบกไปกลางอากาศต่อหน้าผู้ที่อยู่ด้านล่างเวที ปากก็เอ่ยคำแนะนำง่ายๆ สั้นๆ ออกมา
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนดีดออกมาจากผิวของไม้ไผ่พร้อมกัน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นตาข่ายสีทองผืนหนึ่ง ปรากฏขึ้นสู่สายตาทุกคน
“ไผ่อัสนีทอง!”
“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย”
“พฤกษาอัสนีเทวา”
……
และแทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงระคนดีใจสิบกว่าเสียงก็ดังออกมาจากจุดต่างๆ
หนึ่งในนั้นมีเสียงที่มาจากชั้นสามอยู่สองสามเสียง
ส่วนคนอื่นๆ ที่เห็นประจุไฟฟ้าสีทองปรากฏตัวนั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี
จากนั้นเสียงซุบซิบนินทาพลันดังขึ้น!
ตอนที่ 1604 วิหคเพลิงกลืนวิญญาณและเคล...
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ใบหน้ากลับไม่เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมาเลยสักกระผีก แต่กลับรู้สึกดีใจ
เห็นได้ชัดว่าราคาของไผ่อัสนีทองนี้ ดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้
ทว่าจะว่าไปแล้วแม้ว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาเซ่นอัสนี แต่จากความหวาดกลัวอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของราชันย์ปีศาจในเหวพสุธา ก็รู้สึกว่าเหมือนไผ่อัสนีทองจะซ่อนอะไรสักอย่างไว้
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ราชันย์ปีศาจสองสามตนในตอนนั้นแค่หลอกใช้เขามากไปหน่อย ต่อให้ไผ่อัสนีทองมีความลับอะไรอื่นจริงๆ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางบอกเขา
และไม่ว่าเผ่าวิญญาณเหาะเหินหรือว่าเมืองเมฆาตรงหน้า ก็ไม่มีทางหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับไผ่อัสนีทองรวมทั้งอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายในคัมภีร์ธรรมาๆ ได้มากนัก ก็ทำได้เพียงหยุดการค้นเอาไว้ชั่วคราว เก็บเอาไว้รอหาคำตอบทีหลัง
ในตอนที่หานลี่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็วนัก การประมูลไผ่อัสนีทองก็เริ่มขึ้นแล้ว
ไม่รู้ว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนไหนบนชั้นสามเรียกราคา แค่อ้าปากก็เปล่งคำพูด”สองร้อยห้าสิบล้าน” ชั่วขณะทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่เดิมทีสนใจ ต้องหน้าซีดขาว
ทว่าผู้ที่ร่ำรวยย่อมไม่ได้มีเพียงคนผู้นี้คนเดียว
แทบจะในชั่วพริบตาตัวเลขสองร้อยหกสิบล้านและสองร้อยเจ็ดสิบล้านก็ดังออกมาจากปากของระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนจากชั้นสาม
น้ำเสียงของบุรุษหนึ่งในนั้นไม่เร่งรีบและไม่เชื่องช้า หานลี่รู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง เมื่อขบคิดอย่างละเอียด ก็แยกแยะฐานะของคนผู้นั้นได้ทันที นั่นก็คือเชียนจีจื่อ
ชายชราเผ่าหมื่นโบราณผู้นี้ก็สนใจไผ่อัสนีทองของเขาเช่นกัน
ส่วนอีกคนนั้นกลับเป็นบุรุษแซ่เลี่ยผู้ที่เคยใช้น้ำเสียงไม่เป็นมิตรตอนประมูลของเหลวเพลิงสวรรค์ในตอนแรก
ทั้งสองคนเสนอราคาตามลำดับ คนอื่นๆ ที่เดิมทีคิดจะแย่งชิงก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป จึงทำได้เพียงมองไปยังไผ่อัสนีทองบนเวที แล้วลอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ยามนี้ในวิหารจึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
“สามร้อยล้านศิลาวิญญาณ!”
ส่วนระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์นิรนามที่ตะโกนเรียกราคาในตอนแรกก็เงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยตัวเลขที่ทำให้หานลี่ใจเต้นระรัวออกมา
ยามนี้เชียนจีจื่อพลันถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นทั้งห้องก็ไม่มีเสียงเรียกราคาออกมาอีก
“สามร้อยสิบล้านศิลาวิญญาณ! ผู้ที่เรียกราคาด้านนั้นคือสหายจิ้งสินะ ไผ่อัสนีทองมีความสำคัญกับผู้แซ่เลี่ยมาก หวังว่าสหายจะปล่อยให้ข้าสมปรารถนา” บุรุษแซ่เลี่ยดูเหมือนว่าจะลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เสนอราคาออกมา ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
“พี่เลี่ยกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ข้าน้อยยอมจ่ายราคาสูงเช่นนี้ ไผ่อัสนีทองย่อมสำคัญกับผู้แซ่จิ้งเช่นกัน เกรงว่าคงไม่อาจยอมให้ได้ สามร้อยยี่สิบล้าน!” บุรุษที่เริ่มเรียกรคากลับฉีกยิ้มจางๆ ไม่มีเจตนาจะยอมล้มเลิกเลยสักนิด แล้วประกาศราคาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
“เยี่ยม ในเมื่อสหายจิ้งกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เลี่ยเองก็ไม่ชอบแย่งชิงกับใคร ไผ่อัสนีทองลำนี้เป็นของนายท่านแล้ว” ดูเหมือนว่าบุรุษแซ่เลี่ยจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของฐานะอีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเอาไปให้ได้ ก็ยอมถอยให้ทันที
แค่ในใจเกิดความกลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย
“หึๆ ขอบพระคุณพี่เลี่ยที่ทำให้ข้าสมปรารถนา!” เสียงของบุรุษแซ่จิ้งผู้นั้นค่อนข้างพอใจ แต่ครู่ต่อมา น้ำเสียงก็หยุดไปกะทันหัน
“สามร้อยยี่สิบล้าน” เสียงเสนอราคาดังออกมาจากชั้นหนึ่งของวิหาร
น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีคนหนึ่ง
ครานี้คนกว่าครึ่งพลันตกตะลึง อดที่จะมองไปตามต้นเสียงไม่ได้
ผู้ที่เรียกราคาคือหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าที่เพิ่งประมูลรถศึกอเวจีไปก่อนหน้า
ทุกคนรวมทั้งหานลี่ล้วนพากันตกตะลึงค้าง
เมื่อครู่สตรีผู้นี้เสียศิลาวิญญาณไปก้อนใหญ่ขนาดนั้น ตอนนี้ยังจ่ายศิลาวิญญาณด้วยราคาสูงเช่นนี้อีก
นี่มันจะเกินไปหน่อยกระมัง
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลของหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้านี้จะต้องสูงกว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ หรือ แต่จำนวนศิลาวิญญาณนั้น ตอนนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์จะเทียบเทียมได้
“สามร้อยสี่สิบล้าน!” น้ำเสียงของบุรุษแซ่จิ้งเคร่งขรึมขึ้น
“สามร้อยห้าสิบล้าน!” หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้ากลับยังคงเรียกราคาออกมาอย่างไม่ร้อนรน
ส่วนบุรุษแซ่จิ้งก็เงียบขรึมไปอีกครั้ง แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้ใช้น้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่งเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“สามร้อยหกสิบล้าน! หากมีคนเสนอราคาที่สูงกว่า ผู้แซ่จิ้งเองก็จะคำนับยอมถอยให้ทันที”
แต่สิ้นเสียงเขาหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าก็เสนอราคาขึ้นมาอย่างราบเรียบเป็นอย่างยิ่งว่า “สามร้อยเจ็ดสิบล้าน”
เมื่อได้ยินราคานี้บนชั้นสามก็มีเสียงหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยวของบุรุษแซ่จิ้งดังออกมา
“เยี่ยม เยี่ยมมาก! ในเมื่อนายท่านไม่ยอมทุ่มกับไผ่อัสนีทองขนาดนี้ หวังว่าสหายจะปลอดภัยหลังจากออกจากเมืองเมฆา!”
ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเมฆาผู้นี้ถูกระดับเผ่าเบื้องบนคนหนึ่งเรียกราคาทับตนเองหลายครั้ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เผยเจตนาไม่เป็นมิตรของตนเองออกมา
แต่หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้ากลับดูเหมือนไม่ได้ยินคำนี้อย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงจะไม่ตอบกลับ แม้กระทั่งยังไม่หันไปมองที่ชั้นสามแม้แต่แวบเดียว แค่ไปถึงเวทีอย่างไม่รีบร้อนหลังจากที่เซียวปู้อีประกาศว่านางได้สินค้าการประมูลไป จ่ายศิลาวิญญาณ รับไผ่อัสนีทองไป แล้วยังคงกลับไปนั่งที่เดิม
หญิงสาวผู้นี้มีท่าทีไม่หวาดหวั่นสิ่งใดเช่นนี้ ยิ่งทำให้บุรุษแซ่จิ้งยิ่งเป็นกังวล หัวเราะอย่างเย็นชาสองสามครั้ง และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เยี่ยม ในที่สุดจากนี้ก็มาถึงสินค้าอันล้ำค่าชิ้นสุดท้ายในงานประมูลของพวกเราครั้งนี้ และเป็นสินค้าชิ้นสุดท้ายในรายการสุดท้ายของงานประมูล หึๆ หวังว่าคงไม่ต้องให้ผู้แซ่เซียวพูดอะไรอีก เหล่าสหายก็น่าจะรู้ว่าคือสิ่งใด นั่นคือยาลูกกลอนมหัศจรรย์สิบสามเม็ด ยาลูกกลอนมหัศจรรย์นั้นมหัศจรรย์ขนาดไหนคงไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงเป็นยาลูกกลอนช่วยให้ทะลวงระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยม และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากกินเข้าไปแล้ว มีสรรพคุณในการล้างไขกระดูก และซ่อมแซมร่างกาย แม้ว่างานประมูลในอดีตจะเคยมียาลูกกลอนมหัศจรรย์ร่วมประมูล แต่มากสุดก็แค่สามสี่เม็ด แม้กระทั่งเม็ดสองเม็ด ครั้งนี้อาวุโสต่างๆ ของเผ่าผลึก ยอมนำยาลูกกลอนมหัศจรรย์ออกมาขายในคราเดียว ความจริงแล้วก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผู้แซ่เซียวเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะข้าน้อยเป็นผู้ดูแลหลักของงานประมูล ไม่แน่ว่าก็คงเข้าร่วมการแย่งชิงการประมูลยาลูกกลอนด้วย แม้ว่าข้าเองจะใช้ไม่ได้ แต่หากศิษย์ในสำนักได้กินสักเม็ด ก็คงเป็นวาสนาไม่น้อย” เซียวปู้อีสั่นศีรษะขณะเอ่ยไปพลาง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเสียดายไปพลาง
จากนั้นเขาก็รับขวดสีเงินอ่อนขวดหนึ่งมาจากมือของนักรบชุดเกราะสวมหน้ากากสีทอง และชูมันขึ้นสูงให้ทุกคนชม!
เมื่อเผชิญหน้ากับการประมูลสมบัติชิ้นสุดท้าย แม้ว่าจะไม่รู้ว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นสามเหล่านั้นจะคิดเห็นอย่างไร แต่ชนต่างเผ่าธรรมดาๆ ที่ชั้นหนึ่งและสอง กลับตาเป็นประกาย จ้องเขม็งไปยังขวดสีเงินในมือของเซียวปู้อี
พวกเขาบางก็มีสีหน้าเคร่งขรึม บ้างก็มีสีหน้าตื่นเต้นอดรนทนรอไม่ไหว บ้างกลับเผยสีหน้าตึงเครียดแปลกๆ ออกมา
“เอาล่ะ ข้าน้อยจะไม่พูดพล่ามไร้สาระให้มากความ ยาลูกกลอนมหัศจรรย์ขวดนี้เปิดประมูลที่สามร้อยล้าน!” เซียวปู้อีหัวเราะน้อยๆ แล้วประกาศทันที
เมื่อได้ยินราคาต่อจากนั้น หลังจากลูบใต้คางไปมาแล้วก็กอดอก หลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พร้อมหลับตาทั้งสองข้างลงในเวลาเดียวกัน
ยามนี้หานลี่ไม่ได้สนใจยาลูกกลอนบนเวทีขวดนั้น แต่กำลังขบคิดอย่างหนักว่าจะไปหาสูตรปรุงยาลูกกลอนมหัศจรรย์มาจากที่ใดดี
ขอแค่วัตถุดิบหลับคือพืชสมุนไพร เขาล้วนสามารถปรุงยาลูกกลอนขึ้นเองได้จำนวนนับไม่ถ้วน หากยาลูกกลอนมหัศจรรย์มีสรรพคุณน่าอัศจรรย์เช่นนั้นจริงๆ ภายใต้การช่วยเหลือของยาลูกกลอนชนิดนี้กับโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ผสมอยู่ในร่างสองสามชนิด ก็น่าจะมีหวังในการบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว
หานลี่ครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ….
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในห้องลับ ณ ถ้ำพำนักแห่งหนึ่งบนภูเขานิทราเมฆา หานลี่นั่งสมาธิ มือหนึ่งถือถุงสีฟ้าอ่อนเอาไว้ อีกมือหนึ่งกำขวดเล็กสีขาวนวลใบหนึ่งเอาไว้
ชั่งน้ำหนักถุงด้วยมือ ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
แน่นอนว่าในถุงนั้นย่อมเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่เขาได้มาจากงานประมูลสี่เผ่าในครั้งนี้ จำนวนของมันนั้นน่าจะเพียงพอกับการใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดครึ่งหนึ่งแล้ว ดูแล้วหากไฉ่หลิวอิงยอมจ่ายค่าเสียหายในการส่งตัวอีกครึ่งให้ล่ะก็ ศิลาวิญญาณที่เหลือนี้ก็น่าจะพอจ่ายได้อย่างสบายๆ
งานประมูลที่เขาเข้าร่วมครั้งที่แล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ เห็นได้ชัดว่าประเมินความร่ำรวยศิลาวิญญาณของชนต่างเผ่าของแผ่นดินใหญ่อื่นมากไปหน่อย ทว่าเช่นนั้นค่าเสียหายที่ใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอด ก็นับว่าไม่ใช่ปัญหา
จากนี้เขาต้องไปที่แดนกว้างเย็น ช่วยเผ่าศิลารังไหมรวบรวมวัตถุดิบ และช่วยไฉ่หลิวอิง ต้วนเทียนเริ่นเอาของออกมาจากเขตอาคมต้องห้าม จากนั้นก็จะสามารถส่งตัวกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนได้แล้ว
ทว่าแดนกว้างเย็นก็เป็นโอกาสงามๆ ในการทะลวงจุดคอขวด ทางที่ดีที่สุดก่อนจะเข้าไปเขาก็ควรฝึกฝนจนพลังของตนเองอยู่ในระดับยอดสุดของระดับสูญสุญตาขั้นต้นจะดีกว่า เช่นนั้นก็สามารถอาศัยไอวิญญาณในแดนกว้างเย็น ทำให้ตนเองบรรลุระดับสูญสุญตาขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย
หานลี่ขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว หลังจากวางแผนการในอนาคตของตนเองเสร็จแล้ว ก็กลับมาขบคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
มือข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ถุงศิลาวิญญาณหายวับไปในทันที
หานลี่เหลือบตามองไป ตกอยู่ที่ขวดเล็กสีขาวนวลขวดนั้น
ในขวดย่อมเป็นของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์คุณภาพรองขวดนั้น
แม้ว่าของเหลวชนิดนี้จะถูกกว่าสินค้าในรายการสุดท้ายสองสามชิ้นของงานประมูลมาก แต่เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับนมเทวะในแม่น้ำอเวจีของชิงหยวนจื่อ หานลี่กลับใส่ใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด
แม้ว่าของเหลวเพลิงสวรรค์จะเป็นของมีตำหนิ แต่เซียวปู้อีกล่าวว่าประสิทธิภาพเดิมของของเหลวยังคงอยู่ แค่อ่อนกำลังเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทั้งหมดอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องหาประสบการณ์เองดูก่อนสักรอบ ดูว่าแตกต่างกับของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ในตำนานอย่างไรแล้วค่อยว่ากัน
มิเช่นนั้นหากเอาสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับชิงหยวนจื่อไป ถึงครานั้นผู้ที่ต้องซวยก็คือตน
ยามนี้เขาพิจารณาขวดหยกในมือ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็อ้าปากออก พ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมากลุ่มหนึ่ง
หลังจากที่เปลวเพลิงนี้วนล้อมรอบหานลี่รอบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เปล่งเสียงร้องอันไพเราะออกมา กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่ง
หานลี่โยนขวดหยกในมือขึ้นกลางอากาศอย่างไม่ลังเลอีก จากนั้นมือหนึ่งพลันชี้ไปที่มัน!
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ผิวของขวดมีอักขระเปล่งแสงสว่างวาบ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ
จากนั้นปากขวดก็มีลำแสงสีแดงเจิดจ้า พ่นเสาลำแสงสีแดงสดออกมา ท่ามกลางเสาลำแสงของเหลวสีแดงกลุ่มหนึ่งลอยพลิ้วออกมาจากปากขวด
พริบตาทั้งห้องลับก็ถูกแสงสะท้อนจนเป็นสีแดงสด ในเวลาเดียวกันคลื่นความร้อนก็พุ่งเข้ามาหาหานลี่
ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าอยู่ในเตาหลอมอันร้อนแรงอย่างไรอย่างนั้น!
ทว่ายามนี้วิหคเพลิงกลืนวิญญาณด้านข้างเห็นของเหลวสีแดงกลับตื่นเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง
วิหคตัวนี้เปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจ สยายปีกทั้งสองข้าง กระโจนเข้าไปโดยไม่รอคำสั่งของหานลี่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น