พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1599-1602

บทที่ 1599 โจมตีทำลายแนวป้องกัน

 

เมื่อกล่าวคำว่าหน่วยตรวจการซ้ายออกมา ก็ราวกับโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้เฟยหงตกตะลึงไม่เบา ชั่วพริบตาเดียวใบหน้างามก็ถอดสี มองอวิ๋นจือชิวที่หันหลังให้อย่างระแวงสงสัย ถึงแม้สีหน้าจะแย่มาก แต่ก็ยังฝืนตอบไปว่า “เฟยหงไม่เข้าใจว่าฮูหยินกำลังพูดอะไรค่ะ”


อวิ๋นจือชิวหันตัวช้าๆ แล้วกล่าวพร้อมสายตาเย็นเยียบ “เรื่องวางยานายท่านที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เจ้าคงยังไม่ลืมหรอกใช่มั้ย!”


เฟยหงร่างกายโอนเอนทันที เดินโซเซถอยหลัง ทำท่าราวกับเห็น ใบหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว จากนั้นเผยรอยยิ้มฝืนๆ “ที่แท้นายท่านก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง น่าขำที่ข้า…ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมนายท่านรักษาระยะห่างกับข้ามาตลอด ทำไมต่อให้จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่แต่งตั้งข้าเป็นฮูหยินเอกสักที ที่แท้ก็มีแผนในใจตั้งนานแล้ว”


อวิ๋นจือชิวไม่พูดอะไร มองนางอย่างเย็นชา


เจาะกระดาษหน้าต่างพูดเปิดอกขนาดนี้แล้ว เฟยหงกลับค่อยๆ ปล่อยวางด้วยซ้ำ รอยยิ้มฝืนใจยังคงอยู่บนใบหน้า เพียงแต่งความเสี่ยงไว้แล้วน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นไม่น้อย “ในเมื่อรู้ถึงตัวตนของข้าแล้ว พวกท่านจะทำอะไรข้าล่ะ? จะฆ่าทิ้งเหรอ? วันนี้ตอนที่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน เบื้องบนพิจารณาถึงความเสี่ยงไว้แล้ว ถ้าหากข้าตาย เกรงว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะสงสัยทันทีว่าฝั่งนี้มีปัญหา”


นี่ก็คือจุดที่เป็นปัญหายุ่งยาก ถ้าฆ่าผู้หญิงคนนี้ทิ้งก็จะมีปัญหาแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่วงเวลามาจนถึงวันนี้หรอก! แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของนาง “สิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาหรอก ถ้ามีคนบุกโจมตีเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเพื่อฆ่าเจียงอีอี จะมีคนตายไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก อย่างมากข้าก็แค่ให้ความร่วมมือเจ็บตัวไปด้วย เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”


“หึหึ!” เฟยหงหัวเราะอย่างน่าเวทนาพลางส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมตอนแรกยังกล้ารับข้าไว้อีก?”


อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริง “ก็เพราะนายท่านชอบเจ้าจริงๆ ไงล่ะ ต่อให้จะรู้ว่าเจ้าคือสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ต่อให้ก่อนหน้านี้จะรู้ว่าเจ้าแอบได้ยินอะไรอยู่นอกคุก แต่ก็ไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก ในใจของนายท่านยังมีเจ้าอยู่ ยังมีความหวังกับเจ้าอยู่บ้าง ยังอยากพยายามรั้งเจ้าไว้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาโผล่อยู่ตรงนี้หรอก นายท่านเพียงอยากจะรู้เท่านั้นเอง ว่าความรักความห่วงใยที่นอนเคียงหมอนกันมาหลายปี สำหรับเจ้าแล้วเทียบกับหน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้เชียวเหรอ? นายท่านแค่ต้องการคำตอบเดียวเท่านั้น!”


“ความรักความห่วงใย!” เฟยหงตาเป็นประกายทันที จากนั้นก็หดหู่ลงอีกครั้ง นางถอยหลังช้าๆ นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ความรักความห่วงใยจากไหนกัน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้ายังมองไม่ออกเลยว่าเขารักห่วงใยอะไรข้า”


อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ไม่แสดงออกก็ใช่ว่าจะไม่รัก ก่อนหน้านี้นายท่านบอกข้าไว้แล้ว ที่จริงในหลายปีมานี้เขาก็ขัดแย้งในตัวเองมาตลอดเหมือนกัน เป็นเพราะฐานะของเจ้า เขาอยากจะเข้าใกล้เจ้า แต่ก็กลัวเจ้าอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะยังสนิทสนมไหวรึเปล่าล่ะ?”


เฟยหงกล่าวเสียงต่ำอย่างเศร้าสลด “บางทีอาจจะเป็นเพราะกังวลฐานะของข้า เลยไม่สะดวกจะแตกคอกับข้ามากกว่า” นางเองก็ไม่ได้โง่


แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่ไก่อ่อน กลับตาสว่างมองออกไรยางอย่างออกแล้ว ถึงได้กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ! เจ้าอยู่กับนายท่านมาหลายปีขนาดนี้ ก็จะน่าจะรู้นะว่านายท่านเป็นคนยังไง ขนาดในงานพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ เขาเห็นอะไรขัดตาก็ยังด่าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศเลย เขาเป็นคนบุ่มบ่ามมุทะลุ ถ้าเขาไม่รักเจ้าเขาไม่มีทางเล่นละครตบตามาหลายปีขนาดนี้หรอก ถ้านายท่านอยากจะรับมือกับหน่วยตรวจการซ้ายเบื้องหลังเจ้าจริงๆ ก็ยิ่งไม่ต้องรักษาระยะห่างกับเจ้าเลย คงจะแกล้งสนิทสนมรักใคร่เจ้ามากเพื่อให้เจ้าประมาทแล้ว แต่นายท่านทำอย่างนั้นรึเปล่าล่ะ? เจ้าลองใช้หัวใจคิด เจ้าคิดว่านายท่านไม่รู้สึกอะไรกับเจ้าจริงเหรอ?”


พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เฟยหงก็กัดริมฝีปาก ประสานนิ้วทั้งสิบเข้าไว้ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าไม่กล้ายืนยัน สีหน้าสับสนลังเล


อวิ๋นจือชิวฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “ก่อนจะมาที่นี่ นายท่านบอกข้าไว้แล้ว มาเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในเมื่อไม่มีทางปิดบังต่อไปได้ งั้นก็ต้องแก้ไขปัญหา นายท่านบอกเอาไว้เช่นกัน ว่าถ้าเจ้ารักเขาบ้างสักนิดจริงๆ ก็ให้ทิ้งหน่วยตรวจการซ้ายที่ชอบทำเรื่องลับลวงพรางนั่นซะ มาเป็นผู้หญิงของเขาอย่างแท้จริง อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง แต่ถ้าเจ้าตัดสินใจจะยืนฝ่ายหน่วยตรวจการซ้าย เขาก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ถ้าเสียเวลาแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เขาก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน และไม่อยากให้เจ้าเหนื่อยต่อไปด้วย เลยถือโอกาสนี้เสียเลย คิดเสียวาเขาเปิดโปงตัวตนของเจ้าได้ และให้เจ้ากลับไปที่หน่วยตรวจการซ้าย”


“ให้ข้ากลับไปเหรอ?” เฟยหงเงยหน้า ถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “เขาไม่กลัวว่าข้าจะพูดเรื่องที่ได้ยินมาเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “นี่ก็คือจุดที่ข้ากังวล แต่นายท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น นายท่านบอกว่า เรื่องนี้ไม่ได้ผิดที่เจ้า ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขามีใจให้เจ้า ระหว่างพวกเจ้าก็คงไม่เดินมาถึงขั้นนี้ ถ้าเจ้าจะทำอย่างนี้จริงๆ ต่อให้ตายด้วยน้ำมือของเจ้า เขาก็ยอมรับ!”


เฟยหงหัวใจกระตุกวูบ นัยน์ตาแดงก่ำ หลังจากก้มหน้าเงียบไปนาน สุดท้ายก็ยังยืนขึ้นช้าๆ เดินเนิบนาบผ่านข้างกายอวิ๋นจือชิวไป แล้วกล่าวอย่างหดหูใจว่า “ให้ข้ากลับไปที่หน่วยตรวจการซ้ายดีกว่า ในเมื่อในใจทั้งคู่ต่างมีปมนี้อยู่ ฝืนอยู่เผชิญหน้ากันต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าพวกท่านกลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับ ก็ฆ่าข้าเสียเลย ข้าจะไม่บ่นอะไรทั้งนั้น” นางเดินมาข้างๆ สาวใช้ทั้งสอง แล้วเก็บพวกนางเข้ากระเป๋าสัตว์


“หยุดอยู่ตรงนั้น! ถ้าเจ้าจะไป ข้าก็ไม่ยื้อ เพราะนายบอกว่าอย่าทำให้เจ้าลำบากใจ ไม่มีใครกล้าฆ่าเจ้าหรอก!” อวิ๋นจือชิวหันตัวมา แล้วกล่าวเสียงดังว่า “เพียงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ข้าเลยต้องถามให้ชัดเจน”


เฟยหงที่สาวเท้าเดินมาถึงประตูถามอย่างสิ้นหวังว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรน่าถามอีก?”


อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างกายนาง “ข้าก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ข้าก็เลยไม่เข้าใจ! ข้าได้ยินนายท่านบอก ว่าถึงแม้เจ้าจะมีพื้นเพมาจากหอนางโลม แต่กลับไม่ใช่สตรีตกอับ เจ้าอยู่กับเขาตั้งแต่ยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าไม่รู้สึกผูกพันอะไรกับเขาสักนิดเลยจริงๆ เหรอ เต็มใจทิ้งนายท่านไปโดยไม่ห่วงใยสักนิดเลยจริงๆ น่ะเหรอ?”


“ฮูหยิน มาถามเรื่องนี้ยังจะมีความหมายอะไรอีก?” เฟยหงถาม


อวิ๋นจือชิวตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ก็ต้องมีความหมายแน่นอนอยู่แล้ว คนเราไม่ได้ไร้ความรู้สึกเหมือนต้นไม้ใบหญ้า ต่อให้เจ้าจากไปโดยไร้ความห่วงใย แต่นายท่านล่ะ? หลายปีมานี้นายท่านมีความหวังต่อเจ้ามาตลอด ถ้าเจ้าทำให้ความหวังของนายท่านสูญเปล่าอย่างนี้ เจ้าจะให้นายท่านที่ทุ่มเทเงียบๆ มาหลายปีทนความรู้สึกได้ยังไง? ต่อไปเจ้าจะให้ข้าพูดกับเขาว่ายังไง เขาจะผิดหวังปวดใจขนาดไหนกัน ข้าไม่อยากให้เขาเป็นทุกข์ ข้าต้องช่วยหาคำตอบให้เขา ตกลงมั้ย?”


น้ำตาเม็ดใหญ่เท่าถั่วไหลพรากอาบแก้มเงียบๆ เฟยหงร้องไห้แล้ว ห้องไห้โดยไร้เสียง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เอาแต่ส่ายหน้าไม่หยุด


อวิ๋นจือชิวกลับไม่ยอมปล่อยไป “หัวใจคนเราล้วนมีเลือดมีเนื้อ ต่อให้ต้องการจะส่งนายท่านไปตาย แต่ก็ต้องให้นายท่านตายอย่างเข้าใจกระจ่าง!”


“ข้าไม่รู้! จ้าไม่รู้…” ในที่สุดเฟยหงก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวด นางเดินเข้าไปยืนชิดมุมแล้วส่ายหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว


“น้องสาวคนดี ถ้าเจ้าร้องไห้ต่อไปอย่างนี้ พี่สาวต้องใจสลายแน่ๆ” อวิ๋นจือชิวเดินเข้าไปโอบนาง ดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วลูบหลังปลอบใจ “ร้องไห้ขนาดนี้แล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับนายท่านสักนิดเลย ข้าก็ไม่เชื่อหรอก ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว ข้าจะไปคุยกับนายท่านเอง ให้หน่วยตรวจการซ้ายไปเจอผีเถอะ จะดีจะร้ายนายท่านก็ยังมีตระกูลโค่วเป็นที่พึ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะกล้าทำอะไรแข็งกร้าว พวกเขาไม่กล้าประกาศด้วยว่าเจ้าคือสายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายส่งมาอยู่ข้างกายนายท่าน ตั้งแต่นี้ไปเรามาอยู่ด้วยกันดีๆ เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน!”


“ไม่! ข้าทำไม่ได้…” เฟยหงที่โผเข้าอกอวิ๋นจือชิวยิ่งร้องไห้อย่างเจ็บช้ำ ราวกับต้องการจะระบายความอยุติธรรมในหลายปีมานี้ออกมา


“แล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่ล่ะ!” อวิ๋นจือชิวประคองใบหน้างามที่ร้องไห้จนเหมือนดอกสาลี่เปียกฝน “ข้ารับประกันแล้วว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า เจ้ายังมีอะไรให้กลัวอีก? มีเหตุผลอะไรเจ้าก็บอกมาสิ! ทำให้ข้าร้อนใจจะแย่แล้วนะ เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าพูดออกมาจะได้แก้ปัญหาได้สะดวกไง!”


เฟยหงพยายามส่ายหน้าสุดชีวิต ไม่ยอมบอกอะไรทั้งนั้น


อวิ๋นจือชิวนับว่ามองออกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีจุดอ่อนอะไรที่อยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้ายแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำท่าลำบากใจถึงขั้นนี้หรอก นางแววตาวูบไหว พลันใช้สองมือประคองไหล่กดไว้ด้านข้าง แล้วกล่าวเหมือนจะรับทุกอย่างไว้เอง “ได้! เรื่องนี้ข้าจะตัดสินใจให้เจ้าเอง เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่นี่ให้สบาย ตอนนี้ข้าจะขอให้พ่อบุญธรรมของข้าไปขอเจ้ามาจากหน่วยตรวจการซ้าย สายลับถูกแทรกเข้ามาในบ้านข้าแล้ว ถ้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเปิดโปงแล้วพวกเขาจะไม่กล้าให้!” พูดจบก็เดินออกไป


“ไม่นะ!” เฟยหงโผเข้ามาทันที คุกเข่ากอดขาใต้กระโปรงอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วส่ายหน้าขอร้อง “อย่านะ! แม่ข้าอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้าย พวกเขาจะฆ่าแม่ข้า!”


“หา!” อวิ๋นจือชิวย่อเข่าประคองนางขึ้นมาทันที ถามด้วยสีหน้าตกใจว่า “เจ้าหมายความว่า หน่วยตรวจการซ้ายจับแม่เจ้าเป็นตัวประกันเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”


เฟยหงส่ายหน้าอีกครั้ง ไม่ยอมบอกอะไร เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว


“เจ้าวางใจเถอะ ท่านพ่อบุญธรรมข้าจะช่วยทั้งเจ้าทั้งแม่เจ้า!” อวิ๋นจือชิวกล่าว


“อย่าเลย!” เฟยหงโดนอวิ๋นจือชิวกดดันจนสติแตกแล้วจริงๆ กอดแขนนางไว้ไม่ยอมปล่อย “ฮูหยิน ข้าขอร้องท่านล่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก! หน่วยตรวจการซ้ายไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองทำเรื่องนี้ ถ้าไปหาถึงที่ พวกเจ้าก็จะฆ่าแม่ข้าทันที ไม่มีทางเก็บแม่ข้าไว้เป็นหลักฐาน ไม่มีทางที่หน่วยตรวจการซ้ายจะเริ่มต้นแบบนี้!”


อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ว่าหน่วยตรวจการซ้ายไม่มีทางเริ่มต้นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าในภายหลังสายลับที่ยัดไว้ในบ้านต่างๆ มากดดันหน่วยตรวจการซ้ายแบบนี้กันหมด แบบนั้นหน่วยตรวจการซ้ายก็ต้องพังทลายแล้ว มีใครจะอยากโดนหน่วยตรวจการซ้ายควบคุมบ้างล่ะ?


อวิ๋นจือชิวประคองบ่าสองข้างของนางแล้วพูดเร่งเร้า “ไหนๆ ก็พูดถึงส่วนนี้แล้ว เจ้ายังมีอะไรน่าปิดบังอีก เรื่องเป็นยังไงกันแน่ เจ้าก็พูดมาสิ!”


มาถึงขั้นนี้แล้ว เฟยหงที่โดนทำลายแนวป้องกันโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ต้านรับการโจมตีจากนางไม่ไหวแล้ว นางเล่าออกมาหมดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ชื่อเดิมของข้าคือไท่ซูอ้าวเสวี่ย ข้ามีพื้นเพชาติกำเนิดสูงส่งเหมือนกัน พ่อข้าคือไท่ซูเหวินชาง เทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อน…”


นางเล่าถึงต้นสายปลายเหตุแบบขาดๆ หายๆ สรุปก็คือเดิมทีเฟยหงเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อน ตอนที่นางยังเด็ก จู่ๆ ตระกูลของนางก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีโกงการทดสอบที่แดนอเวจี ทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก ตระกูลไท่ซูถูกประหารล้างโคตร ตอนนั้นเฟยหงโดนควบคุมตัวไปประหารแล้ว นางเห็นดาบฟันลงมาตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ใครจะคิดว่าหลังจากฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองยังไม่ตาย คนที่ยังไม่ตายเช่นเดียวกันก็คือมารดาของนาง สองแม่ลูกถูกขังไว้ในสถานที่ที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง ตอนหลังคนของหน่วยตรวจการซ้ายปรากฏตัว บอกว่าสาเหตุที่สองแม่ลูกยังรอดชีวิตมาได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความงามของเฟยหง ทำให้ทั้งสองอิ่มอกอิ่มใจ ตราบใดที่เชื่อฟัง ทั้งสองก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ ตอนหลังสองแม่ลูกถูกจับแยกกัน เฟยหงถูกพาไปฝึกเลี้ยงอีกที่หนึ่ง เรียนพวกศิลปะร้องรำทำเพลง พอตอนหลังนางก็ถูกส่งตัวไปที่ดาวเทียนหยวน กลายเป็นนางระบำของหอนางโลม สุดท้ายก็ได้รับคำสั่งจากหน่วยตรวจการซ้าย ว่าให้ยั่วยวนเหมียวอี้ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท จากนั้นก็อยู่ด้วยกันมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้

 

 

 


บทที่ 1600 หน่วยตรวจการขวามารับตัว

 

หลังจากคายต้นสายปลายเหตุออกมาแล้ว เฟยหงก็นั่งลงบนพื้นราวกับเป็นอัมพาต น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้า


เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันได้ยินแล้วรู้สึกสะเทือนใจ นึกไม่ถึงว่านางระบำจากหองนางโลมคนหนึ่งจะมีพื้นเพชาติกำเนิดอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกสาวของเทพประจำดาว


อวิ๋นจือชิวก็ตกตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางจะเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพประจำดาวที่โดนประหารล้างตระกูลเพราะพัวพันกับคดีโกงการทดสอบแดนอเวจี ลูกสาวเทพประจำดาวผู้สง่าภูมิฐานตกต่ำจนกลายมาเป็นคนเต้นกินรำเต้นคนหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไประหว่างที่เติบโตของเจ้าตัว คนที่ได้มาฟังก็ต้องทอดถอนใจเช่นกัน


ก่อนหน้านี้เจียงอีอีจากสมาคมวีรชนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ตอนนี้เฟยหงจากหน่วยตรวจการซ้ายก็เป็นอย่างนี้อีก ทั้งสองล้วนพุ่งเป้ามาที่นี่ อวิ๋นจือชิวนับว่ายอมแพ้ตำหนักสวรรค์แล้ว เบื้องหลังทำเรื่องสกปรกไว้มากมาย ใช้วิธีการไร้ยางอายมาควบคุมคน


“น้องสาวคนดีไม่ต้องร้องไห้แล้ว!” อวิ๋นจือชิวประคองเฟยหงขึ้นมา แล้วกอดปลอบเอาไว้ในอ้อมอก “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าก็ยิ่งกลับไปที่หน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้แล้ว สายลับพลาดเปิดเผยตัวตนแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายยังจะใช้งานเจ้าได้อีกเหรอ? ต่อให้ยังใช้งานได้ แต่ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าพวกเขายังจะให้เจ้าทำเรื่องต่ำช้าอะไรที่ฝืนใจตัวเองอีก เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง จำเป็นต้องเดินไปถึงขั้นนั้นเหรอ? เจ้าเชื่อจริงเหรอ ที่พวกเขาบอกว่าตราบใดที่พวกเจ้าสองแม่ลูกเชื่อฟังก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิต? พื้นเพภูมิหลังของพวกเจ้าสองแม่ลูกถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องทำเรื่องลับลวงพราง พวกเขาแค่จะบีบเค้นมูลค่าของเจ้าไว้ใช้ประโยชน์เท่านั้น รอจนเจ้าหมดประโยชน์แล้ว ก็จะถึงเวลาตายของพวกเจ้าสองแม่ลูก เข้าใจมั้ย?”


“แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? จะให้เอาแต่มองดูแม่ข้าไปตายไม่ได้หรอก ถ้าทำตามที่พวกเขาบอก อย่างน้อยแม่ข้าก็จะไม่เป็นอะไร ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”


“เจ้าโง่เหรอ! เจ้ายังมีนายท่านไม่ใช่รึไง? อยู่ข้างกายนายท่านนอกจากจะปกป้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว  การเฝ้ารออนาคตต่างหากถึงจะเป็นความหวังอย่างแท้จริง ขอเพียงนายท่านได้ผงาดขึ้นมา ถึงจะพิจารณาเพื่อเจ้าได้อย่างแท้จริง รอให้นายท่านมีศักยภาพขึ้นมาแล้ว มีหรือที่จะไม่คิดหาทางช่วยชีวิตพวกเจ้าสองแม่ลูกออกมาจากทะเลทุกข์? น้องสาว ถ้าอยู่กับหน่วยตรวจการซ้าย เมื่อไรที่เจ้าหมดเรื่องให้ใช้ประโยชน์ ก็มีแต่จะตายสถานเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายนายท่านต่อไป มีพวกเราให้ความร่วมมือกับเจ้า เจ้าก็แสร้งว่ายังไม่โดนเปิดโปงได้ต่อไปเรื่อยๆ แบบนั้นเจ้าจะยังมีคุณค่าให้หน่วยตรวจการซ้ายใช้ประโยชน์ได้ตลอดไป ทั้งปกป้องเจ้าได้ ทั้งปกป้องแม่เจ้าได้ ต่อให้เจ้าไม่คิดเพื่อตัวเอง แต่ก็ต้องคิดเพื่อแม่เจ้ามากๆ หน่อย คิดเพื่ออนาคตของเจ้ากับแม่…”


พูดโน้มน้าวใจไปเป็นชุด เหยียนซิวที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินแล้วแอบส่ายหน้า สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ไม่น่าเชื่อว่าพูดแค่ไม่กี่คำก็โน้มน้าวให้สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายกลายเป็นแผนซ้อนแผนแล้ว…


อวิ๋นจือชิวที่กลับเข้ามาในห้องตัวเองเหลือบมองเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง จากนั้นเดินมาข้างหลังเขา ใช้สองมือกอดบนบ่าเขาพร้อมบอกว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลแล้ว ข้าช่วยเจ้าฆ่าเฟยหงให้แล้ว”


เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววสับสน ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ก็อยู่กับเขามาหลายปี เขาพอจะจำได้รางๆ ถึงภาพที่นางเต้นระบำอย่างอ่อนช้อยยามเจอกันครั้งแรก ตอนเจอกันครั้งแรกก็จดจำไว้ในความทรงจำแล้ว เขาหันตัวมาช้าๆ แล้วถามด้วยสีหน้าขื่นขม “เจ้าฆ่านางแล้วเหรอ แล้วจะทำยังไงกับหน่วยตรวจการซ้ายล่ะ?”


อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วมองดูปฏิกิริยาของเขา ก่อนจะแสยะยิ้มไม่หยุด พลางใช้นิ้วชี้วาดวงตรงหัวใจของเขา “ทำไมล่ะ? ปวดใจเหรอ ตัดสินใจทิ้งไม่ลงเหรอ?”


วันนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไปแล้ว ทีแรกเหมียวอี้ยังนึกว่าอวิ๋นจือชิวยังมีวิธีการดีๆ อะไรแก้ปัญหาเรื่องเฟยหง นึกไม่ถึงว่าจะลงมือฆ่าทิ้งเสียเลย เขาส่ายหน้าตอบอย่างจนใจว่า “ข้าแค่กำลังคิดว่า ต่อไปจะรับมือกับหน่วยตรวจการซ้ายยังไง”


“พอแล้ว! ข้าล้อเจ้าเล่น หน้าตางดงามขนาดนั้น ทั้งยังร้องรำทำเพลงเก่ง ขนาดผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังหวั่นไหว มิหนำซ้ำเจ้ายังเป็นผู้ชาย ถ้าข้าฆ่ายอดดวงใจของเจ้าทิ้งจริงๆ เจ้าก็แค้นข้าไปทั้งชาติน่ะสิ!” อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกพลางพูดประชด จากนั้นหันตัวและเดินบดแล้วไปทางข้างเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม ใช้สองมือรูดกระโปรงยาวจากบั้นท้ายแล้วนั่งลง ก่อนจะถอนหายใจคร่ำครวญว่า  “ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ข้าไม่สวยเท่านางล่ะ ทำได้แค่ช่วยเช็ดก้นให้คนอื่นเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นคงโดนเตะทิ้งไปไกลตั้งนานแล้ว”


“…” พอได้ยินตอนแรก เหมียวอี้ก็พูดไม่ออกก่อน พอได้ยินตอนท้ายก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน รีบเดินไปตรงหน้านางแล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่ได้ฆ่านางจริงเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวนั่งไขว่ห้าง ทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “งั้นเจ้าหวังให้ข้าฆ่านาง หรือหวังให้ข้าไม่ฆ่านางล่ะ?”


เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะหยอกเขาเล่นเพื่อความสนุก จึงยื่นมือไปแหย่เล่นบนใบหน้างามของนางเล็กน้อย “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว พูดเรื่องสำคัญ”


เพี้ย! อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก “ใครเล่นกับเจ้า เจ้าไปมีเล็กมีน้อยอยู่ข้างนอก ไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของข้าหรอกเหรอ หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นฮูหยินเอกแล้วควรจะใจกว้าง?”


เหมียวอี้คว้าแขนนางดึงขึ้นมา ส่วนตัวเองก็นั่งลง แล้วดึงนางลงมานั่งบนตักตัวเอง จากนั้นเอามือคล้องเอวไม่ให้นางหนี “พูดมาให้ชัดเจน เรื่องเป็นยังไงกันแน่”


“อย่ามาอวดฉลาด!” อวิ๋นจือชิวดิ้นรนจะออกไป ไม่สนแล้วว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ในใจนางรู้สึกไม่สบอารมณ์ ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบดึงผู้หญิงคนอื่นมาให้ผู้ชายของตัวเอง


เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเสื้อของนาง ถลกล้วงเข้าไปในชุดชั้นใน ไถลมือจากหน้าท้องขาวนุ่มขึ้นไปข้างบน แล้วคว้าก้อนเนื้ออิ่มเอิบข้างหนึ่งมาจับเล่น เล่นไปได้สองสามทีก็ทำให้ร่างกายที่บิดไปบิดมาของอวิ๋นจือชิวอ่อนระทวยแล้ว นางเอียงหน้าซบบ่าเขา หอบหายใจเบาๆ มองเขาอย่างออดอ้อน แล้วพึมพำกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง


เหมียวอี้ตกตะลึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวจะโน้มน้าวเฟยหงจนเปลี่ยนฝั่งได้แล้ว ถามว่า “ยืนยันได้หรือเปล่าว่าเป็นเรื่องจริง? อย่าโดนอีกฝ่ายเล่นแผนซ้อนแผนนะ”


อวิ๋นจือชิวขยับขาสองข้างขนาบมือมารแสนซนที่ไหลเข้าไปตรงหว่างขาเอาไว้แน่น นางคล้องคอเขาพลางกล่าวอย่างทนไม่ไหวว่า “เจ้าเล่นละครตบตานางมานานขนาดนี้ งั้นก็เล่นละครต่อไปเถอะ แสดงท่าทีให้อบอุ่นเป็นมิตรหน่อย นางสวยขนาดนั้น คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าหรอกใช่มั้ย”


“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ชักมือออกมาจากกระโปรงของนาง ผลักนางให้ลุกขึ้น “ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้แล้ว”


ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวที่กอดคอเขาอยู่จะไม่ยอมลุกขึ้น นางมองเขาด้วยแววตาออดอ้อนฉ่ำน้ำ ก้มหน้ากระซิบข้างหูเขาว่า “อุ้มข้าขึ้นไปบนเตียงสิ”


“เอ่อ…ไม่เหมาะสมมั้ง คนของหน่วยตรวจการขวาคงใกล้จะมาถึงแล้ว” วันนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จริงๆ ฝืนลุกขึ้นยืน แกะมือทั้งคู่ของนางออกจากคอตัวเอง


อวิ๋นจือชิวที่ถูกจับให้ลุกขึ้นด้วยมองดูกระโปรงตัวเองที่เพิ่งโดนถกขึ้นมาแล้วไหลลงไปอีก นางถูกยั่วจนเกิดอารมณ์แล้ว แต่เขากลับไม่เล่นแล้วงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง? สงสัยจะโดนหยอกเล่นโดยไม่ได้อะไรเลย ดวงตางามถลึงมองทันที นางแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บทุบตีอยู่พักหนึ่ง เท้าที่อยู่ในกระโปรงเตะซ้ำๆ “ไอ้เวรนี่ กล้าล้อเล่นกับแม่เหรอ วันนี้เจ้าตาย…”


ผู้หญิงคนนี้จะปรี๊ดแตกแล้ว อย่าไปมีเรื่องด้วยจะดีกว่า เหมียวอี้หัวหดทันที จากนั้นก็ถลันตัวหนีไปแล้ว


คนเพิ่งจะพุ่งออกมาจากในห้อง หมอนใบหนึ่งก็ปลิวออกประตูตามมาแล้ว ยังดีที่ไม่โดน


เสวี่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นนายท่านหนีไป เห็นหมอนปลิวออกมา ก็เม้มปากกลั้นขำทันที นางพบว่านายท่านไม่กลัวอะไรในโลกนี้ กลัวแค่เวลาฮูหยินอารมณ์ร้าย


อวิ๋นจือชิวที่โดนใครบางคนแกล้งจนเสื้อผ้ายุ่งยับถือหมอนใบหนึ่งพุ่งมาที่ประตู พบก็คือพบว่าไม่เห็นเงาเหมียวอี้แล้ว พอหันกลับมา ก็ถลึงตาบอกว่า “หัวเราะอะไรของเจ้า? เห็นข้าโดนรังแกแล้วเจ้าสนุกมากใช่มั้ย? เจ้าเข้าข้างใคร? ถ้าหัวเราะอีกที ฟันเจ้าร่วงหมดปากแน่!”


เสวี่ยเอ๋อร์รีบเม้มปากก้มหน้า พยายามไม่หัวเราะออกมา


เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก คนของหน่วยตรวจการขวาใกล้จะมาถึงแล้ว กลุ่มนี้มีคนสิบกว่าคน คนที่นำหน้ามาคือชายชราผมแห้งคนหนึ่ง ชื่อว่าเหมิงเซวี่ย เป็นหนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา หนึ่งในสามหัวหน้าผู้ตรวจการ พอเปิดเผยตัวตนแล้วก็บุกเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโดยตรง


เหมียวอี้ย่อมต้องโผล่หน้าออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง หลังจากได้รู้ถึงฐานะของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึง จะเห็นได้ว่าหน่วยตรวจการขวาให้ความสำคัญกับเจียงอีอีขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวาจะออกโรงมารับคนด้วยตัวเอง


“วางน้ำชา!” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง


“ไม่ต้องแล้ว จัดการธุระก่อนแล้วกัน!” เหมิงเซวี่ยที่มองไปรอบๆ อย่างดุร้ายยกมือขึ้น พร้อมกล่าวห้ามด้วยเสียงแบหพร่า หลังจากเข้ามาก็ใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองโดยรอบตลอด ยังไม่หยุดใช้สายตาเลย


“อ๋อ! เชิญขอรับ!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ แล้วนำทางด้วยตัวเอง


พอมาถึงประตูคุกใต้ดิน ก็มีคนของหน่วยตรวจการขวาสี่คนมาเฝ้าประตูไว้ทันที กันพวกอวิ๋นจือชิวที่พาเฟยหงมาเอาไว้ข้างนอก อนุญาตให้เหมียวอี้ตามเข้าไปในคุกใต้ดินคนเดียว


ก่อนจะเข้าไป เหมียวอี้ก็หันกลับไปมองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่านางเตรียมการอะไรไว้กันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าส่งตัวเจียงอีอีให้หน่วยตรวจการขวา ทว่าอวิ๋นจือชิวเอียงหน้าไปอีกด้านเหมือนอารมณ์เสีย ขี้คร้านจะสนใจเขา เห็นได้ชัดว่ายังโมโหเรื่องที่โดนแกล้งก่อนหน้านี้


เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ถือว่าโล่งอก ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่แยกแยะความสำคัญไม่เป็น ในเวลานี้ยังกล้ามากระเง้ากระงอด เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวไว้เหมาะสมแล้ว


เมื่อเห็นสภาพอนาถของเจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ในคุก เหมิงเซวี่ยก็พลันจ้องอย่างเย็นเยียบ หันหน้าช้าๆ กลับมามองเหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แม่ทัพภาคหนิวทรมานเขาเหรอ? เขารับสารภาพอะไรแล้วหรือยัง?”


เหมียวอี้โบกมือเบาๆ “ข้ายังไม่ได้สืบสวนเขาเลย ไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่ผมเส้นเดียว ตอนตึกศาลาสัตยพรตส่งตัวมาก็มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวผู้ตรวจการกลับไปถามก็รู้แล้ว”


พอเหมิงเซวี่ยบุ้ยปากไปทางเจียงอีอี ก็มีคนควงกระบี่ตัดเชือกทันที ปล่อยเจียงอีอีแล้ว ขณะเดียวกันก็มีคนตรวจอาการบาดเจ็บให้เจียงอีอี บันทึกอาการของเจียงอีอีเอาไว้อย่างละเอียด


มีอีกคนดึงผมที่ยุ่งเหยิงของเจียงอีอี หลังจากถือภาพวาดมาเปรียบเทียบแล้วก็ถามว่า “เจ้าคือเจียงอีอีเหรอ?”


“ใช่!” เจียงอีอีตอบเสียงเบา


เหมิงเซวี่ยถามแทรกอยู่ข้างๆ ว่า “ตรงนี้ไม่มีใครสอบสวนเจ้าจริงๆ ใช่มั้ย? ใครซ้อมจนเจ้ามีสภาพเป็นอย่างนี้?”


เหมียวอี้เริ่มรู้สึกบีบหัวใจทันที กังวลว่าเจียงอีอีจะพูดซี้ซั้ว แต่โชคดีที่เจียงอีอีส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่มี ไม่รู้ คงจะเป็นตึกศาลาสัตยพรต”


เหมิงเซวี่ยเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งสายตาให้ลูกน้องอีก


จากนั้น พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวเจียงอีอีที่ถูกผนึกไว้ก็คลายออก แล้วยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ตรงหน้าเจียงอีอี ให้เขาลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อนำมาเปรียบเทียบตรวจสอบตัวตน


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เจียงอีอีที่ได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมาก็เหมือนจะฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาแล้ว ตอนที่จะถูกผนึกพลังอีกครั้งและพาตัวไป จู่ๆ ก็บอกว่า “ข้ามีอะไรจะพูด”

 

 

 


บทที่ 1601 ปลิดชีพตัวเอง

 

“อ้อ!” เหมิงเซวี่ยรีบไปมองทางเหมียวอี้ ไม่มองเจียงอีอีแต่กลับจ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้ พร้อมสั่งอย่างเยียบเย็น “ว่ามา!”


ตอนนี้เหมียวอี้ตื่นเต้นกังวลถึงขีดสุด แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าเจียงอีอีต้องการจะพูดอะไร


“หลังจากข้าถูกจับตัวไป ก็ถูกทรมานเต็มที่ แต่ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนเชื่อรึเปล่า ข้าทำได้เพียงใช้วิธีพิสูจน์ ข้าขอเพียงอย่าทำร้ายน้องสาวข้า อย่าทำร้ายน้องสาวข้า…”


ทุกคนกำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่เจียงอีอีพูดหมายถึงอะไร แล้วจู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดเบาๆ “อา!” เสียงร้องตกใจดังขึ้นหลายครั้ง เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง


เหมิงเซวี่ยหันขวับกลับไปมอง เห็นเพียงหน้าอกของเจียงอีอีระเบิดเลือดออกมากลุ่มหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง!


หลายคนเข้าไปอุ้มไว้ เหมิงเซวี่ยตกใจมากจนหน้าถอดสี รีบถลันตัวเข้าไปแล้วเช่นกัน คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าลนลานทำอะไรไม่ถูก รีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน


เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นไปดู เห็นเพียงตรงหน้าอกเจียงอีอีร่างกระตุกปรากฏโพรงที่มีเลือดไหลไม่หยุด อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เสียเลือดมากเกินไป หลังจากระเบิดแล้วในร่างกายจึงไม่มีเลือดออกมากนัก


สายตาไร้แววของเจียงอีอีมองดูเหมียวอี้ที่อยู่ด้านหลังกลุ่มคนแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่สุดท้ายก็ไม่มีแรงที่จะพูดออกมา


หมอกดาวที่ทำให้คนตาลายกรอกเข้าไปในร่างกายเจียงอีอี ทุ่มเททุกสิ่งอย่างไม่เสียดายเพื่อช่วยชีวิต แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ดวงตาของเจียงอีอีค่อยๆ สิ้นแวว แล้วสุดท้ายก็เอียงหัวไปด้านข้าง ไม่เคลื่อนไหวแล้ว กลุ่มคนที่ล้อมดูเริ่มมือแข็งทื่อ มองดูเจียงอีอีที่ไร้การเคลื่อนไหวอย่างตะลึงค้าง ต่างก็รู้ว่าจบเห่แล้ว


หัวใจระเบิดหายไปแล้ว ช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแน่นอน ทุกคนแค่พยายามลองสุดความสามารถก็เท่านั้นเอง


เหมียวอี้รู้สึกสับสนมาก เคยคิดถึงสถานการณ์ต่างๆ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเองในเวลานี้ การฆ่าตัวตายต้องใช้ความกล้าขนาดไหน เขาไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวทำอะไรกับเจียงอีอีกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันจนเจียงอีอียอมฆ่าตัวตายเอง!


เหมิงเซวี่ยที่ถือสมุนไพรเซียนซิงหัวอยู่ในมือลุกขึ้นยืนช้าๆ เขายังสงบนิ่งใจเย็น แต่อีกฝ่ายหน้าดำเป็นก้นหม้อแล้ว สีหน้าแย่มาก ท่าทางดุร้ายเหมือนอยากจะกินคน


หนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา เขาบังเอิญอยู่ใกล้กับที่นี่ที่สุดพอดี ดังนั้นจึงได้รับข่าวจากจากทูตขวา ทูตขวาเน้นย้ำว่าต้องพาคนมาที่หน่วยตรวจการขวาทั้งเป็นๆ อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงออกหน้าด้วยตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าจะมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ผู้ตรวจการผู้สง่าภูมิฐานมาด้วยตัวเอง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เรื่องพังอย่างนี้แล้ว คนตายอยู่ใต้หนังตาตัวเอง ไม่ได้ตายอยู่ในมือคนอื่น ทั้งยังตายอยู่ในมือเขาเพราะความประมาทของเขาด้วย จะให้เขากลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับหน่วยตรวจการขวาอย่างไรล่ะ จะอธิบายกับท่านทูตขวาอย่างไร?


เหมิงเซวี่ยหันขวับไปมองที่เหมียวอี้ ดวงฉายฉายแววดุร้าย คนที่ทำอาชีพอย่างพวกเขาล้วนใจคอโหดเหี้ยม ชั่วพริบตานี้เขาถึงขั้นอยากจะผลักความผิดไปให้เหมียวอี้ ทว่าเบื้องหลังของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ อ๋องสวรรค์โค่วก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปอาจจะฆ่าแล้วยัดความผิดให้ได้เลย แต่ทำอย่างนี้กับเหมียวอี้ไม่ได้


คนทั่วไปจะตายก็ตายไป แต่กับเหมียวอี้จะไม่ให้คำอธิบายก็ไม่ได้ ภายใต้ศักยภาพที่แตกต่างกัน ทำไมไม่จับทั้งเป็นแต่กลับปล่อยให้ตายไปพร้อมหลักฐาน? คำพูดประโยคเดียวของอ๋องสวรรค์โค่วจะทำให้เขาหาทางลงไม่เจอแน่นอน อ๋องสวรรค์โค่วก็มีมีคุณสมบัติในการกดดันสมาชิกทุกคนของหน่วยตรวจการขวาที่มีส่วนร่วมในการสืบสวนเช่นกัน ถึงตอนนั้นจุดจบของเขาก็จะอนาถยิ่งกว่า


แววตาดุร้ายของเหมิงเซวี่ยค่อยๆ เจือจางไป


เหมียวอี้ที่ระวังตัวอย่างสูงแอบตกใจ รู้ว่าตัวเองไปเยือนประตูผีมาแล้วรอบหนึ่ง ตระหนักได้เช่นกันว่าภูมิหลังอย่างตระกูลโค่วทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวแค่ไหน ไม่อย่างนั้นด้วยกำลังของอีกฝ่าย การจะฆ่าแม่ทัพภาคสักคนก็ไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรเลย


“ผู้ตรวจการเหมิง ข้าไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง ข้าไม่ได้จับตัวน้องสาวของเขามานะ” เหมียวอี้โบกมือ


เหมิงเซวี่ยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเกาก้วน รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วสุดท้ายก็ขอคำชี้แนะ : ต้องสืบสวนคนที่ตลาดผีอย่างเข้มงวดหรือเปล่าขอรับ?


ทางเกาก้วนไม่ได้ว่าอะไรเขา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ให้คำตอบว่า : ไม่ต้องแล้ว เรื่องนี้คงจะมีความจริงอีกอย่างที่ปกปิดอยู่ เจ้าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ถอนกำลัง!


พอได้ยินว่าตนไม่ต้องรับผิดชอบ เหมิงเซวี่ยก็โล่งอก รู้สึกโชคดีที่เมื่อครู่นี้ตัวเองไม่ได้บุ่มบ่ามทำอะไรซี้วั้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ


เกาก้วนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขายังจะพูดอะไรได้อีก จริงเรียกลูกน้องและเตรียมตัวจะไป


“ผู้ตรวจการเหมิง ขั้นตอนที่ยังต้องดำเนินการก็ยังต้องดำเนินการ” เหมียวอี้หันตัวไปตะโกนบอกเหมิงเซวี่ยที่เดินผ่านไป


เหมิงเซวี่ยหยุดฝีเท้า หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ทำหนังสือส่งต่องานกับเหมียวอี้ จากนั้นเหมียวอี้ก็ยังบอกอีกว่าจะไปส่ง แต่ผลปรากฏว่าอีกฝ่ายบอกอย่างไม่เกรงใจว่าไม่ต้อง


พวกอวิ๋นจือชิวที่อยู่นอกคุกได้แต่มองเจียงอีอีที่เลือดไหลออกจากอกถูกยกขึ้นมา มองส่งคนกลุ่มนี้จากไปแล้ว


เหมียวอี้เดินออกมาคนสุดท้าย สายตาของทุกคนมองไปบนตัวเขา อวิ๋นจือชิวรู้แล้วแต่ยังแกล้งถามว่า  “เป็นยังไงบ้าง?”


เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ตอบด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนไร้ที่เปรียบว่า “ระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง ช่วยไว้ไม่ทัน ตายแล้ว!”


ทุกคนได้ยินแล้วทอดถอนใจ เรื่องฆ่าตัวตายใช่ว่าทุกคนจะกล้าหาญทำได้ อวิ๋นจือชิวบอกเฟยหงที่ก้มหน้าเงียบๆ ว่า “น้องสาว พวกเราไปกันเถอะ”


หลังจากพวกผู้หญิงออกไปแล้ว หยางชิ่งก็เข้าใกล้ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมถึงระเบิดเส้นชีพจรตัวเองฆ่าตัวตายได้?”


เหมียวอี้ส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ได้แต่เดินออกไปเงียบๆ รู้สึกหนักหน่วงในอารมณ์เล็กน้อย หลังจากเดินกลับเข้าห้องไปคนเดียว เขาก็นั่งเงียบไม่พูดจา


ผ่านไปไม่นานอวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว นั่งลงเบาๆ ข้างกายเขา แล้วบอกว่า “ให้เฟยหงรายงานเรื่องที่ได้ยินและได้เห็นขึ้นไปแล้ว นางเป็นพยานด้วยว่าฝั่งพวกเราไม่ได้ทรมานสืบสวนเจียงอีอี พวกเราบริสุทธิ์เต็มตัวแล้ว นับว่าผ่านด่านนี้ไปแล้ว”


“ทำไมเขาถึงฆ่าตัวตาย? เจ้าทำอะไรกับเขา?” เหมียวอี้ถามอย่างนิ่งสงบ


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ทำให้เขามั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางรอดชีวิตออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไปได้ ต่อให้ออกไปแล้วก็ไม่มีทางรอด แล้วก็รับปากเรื่องบางอย่างกับเขาอีกนิดหน่อย ทำข้อแลกเปลี่ยนกันเพื่อให้เขามีความหวังเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง ดีกว่าตายโดยเปล่าประโยชน์” ขณะที่พูดก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา แล้วผลักไปตรงหน้าเหมียวอี้


เหมียวอี้เหล่ตามองแผ่นหยกบนโต๊ะน้ำชา พอหยิบมาอ่านในมือ ก็พบว่าเป็นจดหมายที่เจียงอีอีใช้ติดต่อกับน้องสาวตัวเอง หลังจากเขาอ่านจบก็เข้าใจแล้วว่าอวิ๋นจือชิวทำอะไรลงไป


หลังจากเข้าใจแล้ว ในใจกลับอึดอัดกลัดกลุ้มเล็กน้อย เจียงอีอีใช้วิธีการนี้จบชีวิตตัวเอง เขายอมรับว่าตัวเองโล่งอก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกหนักใจอีกเช่นกัน เขาสามารถเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อเยว่เหยาได้ แต่เจียงอีอีก็สามารถเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อน้องสาวตัวเองได้เหมือนกัน ถ้าดูจากมุมนี้ เขาก็ไม่คิดว่าเจียงอีอีเป็นคนเลวร้ายอะไร บางทีเยว่เหยาอาจจะมองคนไม่ผิด บางทีเจียงอีอีอาจจะจริงใจกับเยว่เหยาก็ได้ ตัวเองสนใจพฤติกรรมน่ารังเกียจในอดีตของเจียงอีอีมากเกินไปหรือเปล่า? เพราะอย่างไรเสียเจียงอีอีก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน


เขากำลังถามใจตัวเอง ว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้เป็นการไปแยกคู่รักที่มีรักจริงออกจากกันหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือเจ้าสาม ตอนนี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด


“เจ้าช่างฆ่าคนแบบไม่เห็นเลือดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันคนคนเป็นๆ ให้ฆ่าตัวตายเองได้!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ วางแผ่นหยกในมือกลับไปบนโต๊ะชา แล้วผลักกลับไป


“เจ้ากำลังโทษข้า? โทษที่ข้าไม่ได้ช่วยให้เจ้าสามกับเขาสมหวังกันใช่มั้ย?” ในดวงตาอวิ๋นจือชิวสื่อความรู้สึกที่หลากหลาย


เหมียวอี้สายหน้า “เปล่าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าน่าจะบอกข้าก่อนล่วงหน้า แต่เจ้ากลับปิดบังไม่ยอมบอก”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ทำให้เจ้าไม่สบายใจเหรอ? แค่สภาวะจิตใจที่เจ้ามีต่อเจ้าสาม ข้าก็ไม่รู้ว่าหนิวเอ้อร์ที่ตัดสินใจฆ่าคนอย่างไม่ลังเลหายไปไหนแล้ว ถ้าข้าบอกแล้วเจ้าจะตอบตกลงเหรอ? ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้าตัดสินใจ อย่าบอกนะว่าผลลัพธ์แบบนี้ยังไม่ดีอีก? ต่อให้ปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เจ้าคิดเหรอว่าเจียงอีอีจะตัดใจทิ้งน้องสาวตัวเองเพื่อมาอยู่กับเจ้าสามได้? ขนาดเจียงอีอียังรู้จักหลบเลี่ยงเลย! ให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันไม่มีจุดจบที่ดีอะไรหรอก ถ้าพัวพันกันต่อไปก็มีแต่จะทำร้ายกันและกัน ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อเจ้าสาม เจ้าจะไม่เข้าใจเชียวเหรอ?”


“ข้าเข้าใจแล้ว” เหมียวอี้ลุกขึ้นช้าๆ เดินไปตรงหน้าภาพวาดที่แขวนบนผนัง เอามือไขว้หลังมองดูพลางถอนหายใจ “ข้าแค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเจ้าสามยังไง”


“เจ้าเองก็รู้ดีว่าถ้าปล่อยเจียงอีอีออกไปแล้ส ก็จะมีปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น ที่จริงแล้วเจ้าก็ไม่อยากให้เขารอดชีวิตออกไปเหมือนกัน แต่เจ้ากังวลความรู้สึกของเจ้าสาม ถึงลำบากใจที่จะลงมือ แต่ตอนนี้เจียงอีอีฆ่าตัวตายเพื่อน้องสาวตัวเองแล้ว เป็นเขาเองที่ตัดสินใจแบบนั้น ยังมีอะไรน่าอธิบายอีก นี่ก็คือผลลัพธ์สุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ?” อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นเดินไปพูดข้างหลังเขาแล้วเช่นกัน


เหมียวอี้ถามกลับมา “แต่ถึงยังไงพวกเราก็เป็นคนผลักดันเรื่องนี้ สามารถปิดบังคนทั้งโลกได้ แต่จะปิดบังตัวเองได้เหรอ? ถ้าหากวันไหนมีคนกดดันให้ข้าปลิดชีพตัวเองบ้าง เจ้าจะรู้สึกยังไง?”


อวิ๋นจือชิวกออดเขาจากข้างหลัง “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจที่ข้าทำแบบนี้ บางทีอาจจะรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างข้าโหดเหี้ยมเกินไป ทำให้เจ้ารู้สึกตัวสั่นหวาดกลัว แต่เจ้าเคยลองคิดในมุมของข้าบ้างรึเปล่า? เจ้าสามารถเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อเจ้าสามได้ แต่เจ้าจะให้ข้าทำยังไง ข้าจะทนดูผู้ชายของตัวเองไปเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนั้นได้เหรอ? ไม่ว่าในใจเจ้าจะมีปมหรือไม่ แต่ข้าก็ยังต้องบอกเอาไว้ ว่าถ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าก็ยังจะทำแบบนี้ ข้าไม่มีทางเลือก!”


เหมียวอี้แกะมือนางออก แล้วหันตัวกลับมา พบว่านางเริ่มตาแดงแล้ว จึงหัวเราะเจื่อนๆ แล้วดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ลูบแผ่นหลังนางเบาๆ พร้อมบอกว่า “น้องชิว เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ไม่พอใจอะไรเจ้าเลย ข้าแค่รู้สึกว่าอธิบายกับเจ้าสามลำบาก กลัวจะทำร้ายจิตใจเจ้าสาม”


อวิ๋นจือชิวเงยหน้าอยู่ในอ้อมกอดเขา “พูดความจริงมา อย่าตบตาข้า จริงเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าอย่าพูดเลย? ก่อนจะแต่งงานกับเจ้าข้าก็เคยบอกแล้ว ต่อให้ตายด้วยน้ำมือเจ้า ข้าก็ยินยอมพร้อมใจ”


อวิ๋นจือชิวทำเสียงออดอ้อน ก้มหน้าลงในอ้อมกอดเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ดื่มด่ำความอบอุ่นในอ้อมอกของเขา ทำสีหน้าราบกับกำลังเสพสุข มีความสุขจนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ปากก็ยังบ่นว่า “หนิวเอ้อร์ ปัญหาใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับนิสัยของเจ้าน่ะ เวลาเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ เจ้าก็เลอะเลือน เวลาเจอเรื่องแบบนี้มักจะลังเลไม่เด็ดขาด”


เหมียวอี้ไม่คิดอย่างนั้น “เปล่าสักหน่อย? ในปีนั้นเพื่อที่จะแต่งงานกับเจ้า ข้าลังเลสักนิดมั้ยล่ะ เด็ดขาดจนไม่คิดถึงชีวิตด้วยซ้ำ ก็แค่เพราะจะแต่งงานเอาเจ้ามาไว้ในมือ เจ้าคงไม่ลืมเร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง?”


พอนึกถึงภาพในปีนั้น ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวซาบซึ้งใจในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาร้อนอุ่นเอ่อล้นจากดวงตาอย่างควบคุมไม่ได้ นางอ้าปากกัดหัวไหล่เหมียวอี้อย่างแรง กอดแน่นไม่ยอมปล่อย อยากจะเอาเรือนร่างที่อ่อนช้อยของตัวเองรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของเขา


“โอ้ย!” เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน นิสัยที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลาของผู้หญิงคนนี้ช่างเหลือทนจริงๆ นางทำให้เขากลัวแล้ว…

 

 

 


บทที่ 1602 เจ้าช่างโหด!

 

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร


พอเกาก้วนที่มาพร้อมซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยปากรายงาน ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวก็ลุกขึ้นทันที แล้วจ้องตรงมาด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ “ตายแล้วเหรอ? ทำไมถึงฆ่าตัวตายได้? หน่วยตรวจการขวาของเจ้าทำงานกันยังไง แค่เรื่องเล็กๆ ก็ยังจัดการได้ไม่ดีเลย พวกเจ้ายังจะไปทำอะไรได้อีก?”


“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ไม่ใช่ว่าเบื้องล่างทำงานได้ไม่ดี แต่เป็นเพราะเรื่องนี้กะทันหันเหินไป แต่เป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป…” เกาก้วนที่กุมหมัดคารวะรายงานอย่างละเอียด


“น้องสาวเหรอ? ทำไมวุ่นวายเละเทะไปหมด เจียงอีอีพูดจาไร้เหตุผลแล้วฆ่าตัวตาย หมายความว่าอะไร?” ประมุขชิงใช้สองมือยันบนโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห  “อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าฟังไม่ออกว่ามีจุดที่น่าสงสัย เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังมีเรื่องปิดบังอยู่ แต่พวกเจ้าดันไม่สืบให้ลึก ปล่อยไปอย่างนั้นน่ะเหรอ?”


เกาก้วนตอบทันทีว่า “ข้าน้อยก็คิดว่ามีเรื่องปิดบังอยู่เช่นกัน ก่อนตายเหมือนเจียงอีอีจะบอกอะไรกับใครเอาไว้ ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด คาดว่าผู้การซ่างกวนน่าจะรู้ชัด”


ทุกคนมองไปที่ซ่างกวนชิงพร้อมกัน ซ่างกวนชิงขัดเขินและลังเลเล็กน้อย


ประมุขชิงสบตาเขาด้วยสายตาโกรธเคือง “เจ้ารู้อะไรบ้าง ยังไม่รีบบอกมาอีก?”


ใบหน้าชราของซ่างกวนชิงแสดงอาการเก้อเขินในขณะที่ตอบ “เหมือนว่าทางสมาคมวีรชนจะทำไปเพื่อควบคุมเจียงอีอี เหมือนจะจับน้องสาวของเขาไว้เป็นตัวประกัน สงสัยเจียงอีอีจะใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เพื่อพิสูจน์ว่าถึงแม้ตัวเองจะโดนทรมานมาเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้สารภาพอะไรทั้งนั้น”


เหมือนจะ? ซือหม่าเวิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย


ประมุขชิงอึ้งไปชั่วขระ เหลือบมองซ่างกวนชิงศีรษะจดเท้า พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว บอกว่า ‘เหมือนจะ’ หมายความว่าอะไรล่ะ ตาแก่นี่รู้ชัดอยู่แก่ใจแน่ๆ ต้องมีเรื่องแบบนั้นแน่นอน เพียงแต่เรื่องลับลวงพรางไร้ยางอายแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเลวทรามต่ำช้าเกินไป ไม่สะดวกจะพูดออกมาก็เท่านั้นเอง


ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สืบถามให้ลึกอีกแล้ว เพราะเขาเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องคนข้างล่างก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ถ้าจะจัดการเรื่องราวให้เสร็จเรียบร้อย ก็อาจต้องใช้วิธีการที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไฟโกรธของประมุขชิงดับลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว จึงค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง “ยอมตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์! นั่นก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเขายังไม่ได้สารภาพอะไรออกไป”


ซ่างกวนชิงไม่กล้ารับประกันสิ่งที่อาจจะทำให้ตกตะลึงได้ในภายหลัง “ยังต้องดูปฏิกิริยาของตึกศาลาสัตยพรตก่อนถึงจะแน่ใจได้ขอรับ”


“ทางหนิวโหย่วเต๋อล่ะ?” ประมุขชิงเหล่ตาถาม “ตอนนี้เขากับโค่วหลิงซวีร่วมหัวจมท้ายกัน เจียงอีอีซุ่มโจมตีอยู่นอกจวนแม่ทัพภาค เจ้ากล้ารับประกันเหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ลองง้างปากเจียงอีอี?”


“เอ่อ…” ซ่างกวนชิงลังเล ไม่กล้ารับประกันเรื่องนี้


เกาก้วนเอ่ยขึ้นว่า “ตามที่เจียงอีอีบอกไว้ก่อนตาย หนิวโหย่วเต๋อยังไม่เคยสอบสวนเขา”


ประมุขชิงย้ายสายตา “ถ้าเจียงอีอีปิดบังเรื่องที่สารภาพกับตึกศาลาสัตยพรตไป จะไม่ปิดบังเรื่องที่สารภาพกับจวนแม่ทัพภาคเชียวหรือ? เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองยังไงข้าก็รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ ถ้าจะฆ่าตัวตายแล้วทำไมต้องฆ่าตัวตายตอนส่งตัว ทำไมจึงกลับมาพูดให้ชัดเจนก่อนไม่ได้ ถ้าอยากจะตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ จะทำหลังจากกลับมาแล้วไม่เหมาะสมกว่าหรือ?”


เกาก้วนตอบว่า “อาจจะเป็นเพราะหลังจากกลับมาแล้วไม่มีโอกาสให้ฆ่าตัวตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสตอนคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง เขาก็ไม่มีโอกาสได้ฆ่าตัวตายเลย”


“งั้นเหรอ?” ประมุขชิงแสยะยิ้ม ไม่ได้เห็นด้วยหรือปฏิเสธ


ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนเงียบมาตลอดถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฝ่าบาท ตามที่สายลับที่ส่งไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อรายงานกลับมา หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้สอบสวนเจียงอีอีจริงๆ ขอรับ ได้แต่ครุ่นคิดว่าตึกศาลาสัตยพรตส่งตัวเจียงอีอีมาให้เขาเพราะมีเจตนาอื่นอะไร ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรเจียงอีอี หนิวโหย่วเต๋อเองก็คิดไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะฆ่าตัวตาย”


ประมุขชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าสงสัยบนใบหน้าเขาก็เริ่มหายไปทีละนิด


เกาก้วนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็สัมผัสได้ว่าซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังแอบถ่ายทอดเสียงบอกประมุขชิง ไม่รู้ว่ากำลังแอบสื่อสารอะไรกัน ได้ยินเพียงประมุขชิงแสยะหัวเราะ “คอยดูต่อไปเถอะ ดูว่าตาแก่เซี่ยโห้วนั่นจะกบฏรึเปล่า ถ้ากบฏจริง ตาแก่ที่สมควรตายอย่างเจ้าถึงจะเด็ดหัวกลับไปขอโทษใต้หล้า!” เขาชี้หน้าซ่างกวนชิงและด่ายับเยินอีกรอบ แล้วก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไปเลย


ซ่างกวนชิงก้มหน้าก้มตา ในใจเขารู้ดี ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมาจริงๆ มีใครไม่รู้บ้างล่ะว่าเขาเป็นคนควบคุมสมาคมวีรชน มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะได้ออกมาเป็นแพะรับบาป ถ้าเขาไม่ออกมาเป็นแพะรับบาป แล้วจะให้ประมุขชิงออกหน้ามาแบกรับชื่อเสียงที่ต่ำทรามนี้เหรอ? ประมุขชิงเป็นคนที่รักหน้าตาศักดิ์ศรี อยู่อย่างสูงส่งมานานจนเคยชินแล้ว ศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจจะมาล่วงเกิน มีหรือที่จะรับสิ่งนี้ไหว


รอจนกระทั่งประมุขชิงออกไปแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เดินมาข้างกายซ่างกวนชิง เหมือนจะเดาความคิดออกแล้ว จึงตบหน้าเขาแล้วบอกว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ฝ่าบาทพูดเพราะอารมณ์โกรธเฉยๆ ใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าถ้าเปิดเผยเรื่องนี้แล้วก็ไม่มีผลดีกับเซี่ยโห้วเลยสักนิด อย่างมากตระกูลเซี่ยโห้วก็เอาเรื่องนี้มาบีบ ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้แล้วจริงๆ ก็อาจจะเอามาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ฝ่าบาทก็จะยอมถอยให้เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำถึงขั้นเอาหัวเจ้าไปขอโทษใต้หล้า!”


“เฮ้อ! ทำพลาดได้ยังไงกันนะ เจียงอีอีคนนี้ไม่เคยพลาดเลย!” ซ่างกวนชิงส่ายหน้าถอนหายใจ


ซือหม่าเวิ่นเทียนประสานสองมือไว้ในแขนเสื้อ “จะพลาดไม่พลาดก็ต้องดูว่าฝ่ายตรงจามคือใคร ถ่อไปลงมือใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ยังจะจะส่งเจียงอีอีที่พัวพันกับเรื่องสำคัญหลายเรื่องอีกเหรอ ขนาดข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าคิดได้ยังไง เจ้าช่างทำออกมาได้”


ซ่างกวนชิงมองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า  “ตอนนั้นฝ่าบาททนความลำพองใจของตาแก่โค่วไม่ได้ ดันทุรังจะป่วนหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวนั่นให้ได้ แล้วหนิวโหย่วเต๋อดึงเจียงอีอีมาเกี่ยวข้องกับน่านฟ้าระกาติงพอดี นี่ก็คือเรื่องที่เอาเจียงอีอีมาใช้งานได้ ก็ฝ่าบาทไม่อยากแบกรับคำด่าหรือว่าตกเป็นที่ต้องสงสัยไง ถ้าข้าไม่ส่งเจียงอีอีไปแล้วจะส่งใครไปล่ะ? ข้าบอกไม่ได้นี่ว่าเรื่องนี้มันยาก รอให้เจอวิธีการที่เหมาะสมกว่านี้แล้วค่อยว่ากัน ถ้าข้าบอกแบบนั้นไปจริงๆ เจ้าเชื่อมั้ยว่าฝ่าบาทจะรังเกียจที่ข้าไร้ประโยชน์ แบบนั้นข้าจะโดนด่าเสียหมามั้ยล่ะ? พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทไม่รู้จักตัวตนของเจียงอีอีจริงๆ สินะ?” พูดแบบนี้นับว่าแอบบอกเล่าความทุกข์ในใจแล้ว


เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนส่งสายตาให้กัน ไม่ต้องบอกเล่าความทุกข์อะไรทั้งคู่ก็เข้าใจอยู่ดี ถ้าไม่มีประมุขชิงชี้แนะ ซ่างกวนชิงก็ย่อมไม่บุ่มบ่ามไปสู้กับตระกูลโค่วอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องรู้อยู่ใจก็พอ ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ก็เท่านั้นเอง


ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดไอแห้งๆ แล้วย้ายประเด็นสนทนาออกจากตัวประมุขชิง “เจ้านี่ก็นะ ทำเรื่องแบบนี้ก็บุ่มบ่ามลงมือโดยไม่วางแผนให้รอบคอบก่อน จะโทษใครได้ล่ะ?”


ซ่างกวนชิงยักไหล่ “จะไม่วางแผนให้รอบคอบได้ยังไง? ระวังจนไม่รู้จะระวังยังไงแล้ว ที่สำคัญคือเจียงอีอียังไม่ทันลงมือด้วยซ้ำ ยังไม่ทันเผยพิรุธอะไรก็พลาดแล้ว ข้าได้รับความไม่ยุติธรรมมั้ยล่ะ ขนาดข้ายังสงสัยเลยว่าตึกศาลาสัตยพรตทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรือเปล่า”


ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “พอแล้ว! ไม่ต้องโทษใครทั้งนั้น ปัญหาก็อยู่ที่ตัวเจ้านั่นแหละ ข่าวที่ข้าได้รับมาบอกว่า นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมีคนโดนตึกศาลาสัตยพรตจับตัวไปแล้วไม่น้อย คนที่เดินผ่านแล้วเหลือบมองเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคเกินสองทีก็โดนจับแล้ว เจียงอีอีเป็นแค่หนึ่งในนั้น อีกฝ่ายกวาดล้างไม่ต่างกันหรอก ขนาดลูกน้องข้าที่ไปสืบข่าวยังตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้วตั้งสองคน เจียงอีอีกล้าเฝ้าอยู่นอกจวนแม่ทัพภาค ไม่โดนจับก็แปลกแล้ว แบบนี้เรียกว่าไม่ยุติธรรมตรงไหน ไม่โดนจับน่ะสิแปลก”


“ลูกน้องข้าก็มีสามคนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตเหมือนกัน แต่ตึกศาลาสัตยพรตปล่อยตัวมาแล้ว” เกาก้วนกล่าว


“ตึกศาลาสัตยพรตคุยง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ปล่อยตัวแบบตรงไปตรงมาขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนแปลกใจ


เกาก้วนตอบว่า “ข้าติดต่อเฉาหม่านโดยตรง บอกว่าสามคนนั้นคือคนของข้า ถ้าไม่ปล่อยคนข้าจะไปเชิญเซี่ยโห้วท่าจากจวนท่านปู่สวรรค์ให้มารับการสอบสวนที่หน่วยตรวจการขวา เฉาหม่านก็เลยปล่อยคนแล้ว”


“…” อีกสองคนเหม่อค้างคาที่ เคยเห็นตรงไปตรงมา แต่ไม่เคยเห็นใครตรงไปตรงมาขนาดนี้ แต่ทั้งสองก็เชื่อว่าเกาก้วนสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ กอปรกับหน่วยตรวจการขวาไม่ได้ทำเรื่องลับลวงพรางเหมือนหน่วยตรวจการซ้ายกับสมาคมวีรชน อีกฝ่ายสามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย


ซ่างกวนชิงยกนิ้วให้ด้วยสีหน้านับถือ พลางกล่าวชม “เจ้าช่างโหด! ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงให้เจ้าพาเจียงอีอีออกมาจากตึกศาลาสัตยพรตแล้ว จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้มั้ย”


“ใครใช้ให้ตอนแรกเจ้าปิดบังไม่ยอมพูดล่ะ” ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้สึกอยากขำ


เกาก้วนเหล่ตาถาม “พวกเจ้าสองคนไม่ได้ป่วยใช่มั้ย? จะให้ข้าบอกเชียวเหรอว่าเจียงอีอีคือคนของหน่วยตรวจการขวา?”


ปาดเหงื่อ! ซ่างกวนชิงค่อนข้างอับอาย


“ก็ใช่ โจรราคะนั่นจะเป็นคนของหน่วยตรวจการขวาหรือคนของสมาคมวีรชนก็ไม่มีอะไรต่างกัน ถ้ามีเบื้องหลังเป็นตำหนักสวรรค์ก็รับไม่ไหวทั้งนั้น” ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แล้วบอกอีกว่า “ใช่แล้ว เกาก้วน ลูกน้องสองคนนั้นของข้า ช่วยพาออกมาหน่อย”


“ลูกน้องของเจ้าต่างอะไรกับโจรราคะนั่นล่ะ? ใครจะไปรู้ว่าทำเรื่องลับลวงพรางอะไรมาบ้าง อยากได้ตัวเหรอ? ไปหาเฉาหม่านเองสิ” เกาก้วนบ่ายเบี่ยงอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด แล้วก็บอกซ่างกวนชิงอีกว่า  “เจียงอีอีตายแล้ว เจ้าเก็บน้องสาวของเขาไว้ในมือก็น่าจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมั้ง ข้ากำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง ส่งตัวมาให้ข้าเถอะ”


ซ่างกวนชิงส่ายหน้า “ใครว่าไม่มีประโยชน์ล่ะ เตรียมตราอิทธิฤทธิ์ของเจียงอีอีเอาไว้หลายปีแล้ว ยังควบคุมน้องสาวนางได้เหมือนเดิม เกาก้วน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้านะ เพียงแต่คนบางคน ต่อให้ไม่มีประโยชน์แล้วแต่ก็ปล่อยไปง่ายๆ ไม่ได้อยู่ดี เกิดเรื่องเจียงอีอีแล้ว ไม่ต้องให้ข้าอธิบายเหตุผลเยอะแยะนะ”


“ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ทำเรื่องไร้คุณธรรมให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!” เกาก้วนไม่ฝืนร้องขอ พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินจากไป


“เห้อ!” ซ่างกวนชิงชี้ตามหลังเกาก้วน “พูดเหมือนตัวเองขาวสะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นแหละ คนที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็มีไม่น้อยใช่มั้ยล่ะ?”


“เฮ้อ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนกอดอกถอนหายใจ “ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้กำลังพลของเขาทำงานได้อย่างสง่าผ่าเผยล่ะ พวกเราได้แต่ทำลับๆ ล่อๆ ถ้าให้ข้าคุมหน่วยตรวจการขวา ข้าก็พูดแบบนี้ได้อย่างมั่นใจเหมือนกัน”


ซ่างกวนชิงแสยะหัวเราะ “ฟังดูดียิ่งกว่าร้องเพลงอีกนะ ถ้าให้เจ้าไปนั่งตำแหน่งนั้น เจ้าจะหน้านิ่งไร้ความปรานีได้อย่างเขารึเปล่านะ? ถ้าเจ้ากล้าล่วงเกินทุกคนโดยไม่เกรงกลัวอะไรเหมือนเขา ฝ่าบาทอาจจะพิจารณาเปลี่ยนตำแหน่งให้เจ้าจริงๆ ก็ได้”


“เหอะๆ” ซือหม่าเวิ่นเทียนได้แต่หัวเราะแห้งๆ สะบัดชายเสื้อเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว


ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้ออกมาเลย เขายอมรับว่าตัวเองไม่อาจทำเรื่องที่ไม่แยแสมนุษยสัมพันธ์ในสังคมเหมือนเกาก้วนได้ จะดีจะร้ายซ่างกวนชิงก็ยังรู้จักแสดงไมตรีต่อคนนอกเพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น แต่เกาก้วนกลับไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเองเลยสักนิด!


ตึกศาลาสัตยพรต


“อะไรนะ? เจียงอีอีฆ่าตัวตายที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหรอ?” เฉาหม่านที่กำลังนั่งสมาธิพลันลืมตากระโดดลงจากเตียง แล้วถามอย่างตกใจ


ชีเจวี๋ยพยักหน้า “ตามที่สายลับทางนั้นบอกว่า ได้ยินว่าฆ่าตัวตายแล้ว”


“อยู่ดีๆ ทำไมฆ่าตัวตายไปแล้วล่ะ?” เฉาหม่านถาม


ชีเจวี๋ยตอบว่า “สายลับที่อยู่ทางนั้นเข้าไม่ถึง เลยไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด เห็นแค่ศพของเจียงอีอีถูกหามออกมาแล้วจริงๆ เหมือนจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเองแล้ว”


เฉาหม่านโบกมือทันที “เจ้าไปด้วยตัวเองสักรอบ ถามหนิวโหย่วเต๋อว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”


“ขอรับ!”


หลังจากชีเจวี๋ยเอ่ยรับคำสั่งแล้ว เฉาหม่านก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้แผนการของเขาปั่นป่วน จะไม่ให้เขาคิดมากก็ไม่ได้ แต่คิดไม่ตกจริงๆ ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วรอฟังข่าว


เขาสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเดาออกถึงจุดประสงค์ที่เจียงอีอีมาที่นี่ ก็เลยสังหารเจียงอีอีด้วยอารมณ์โกรธ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เขาไม่เชื่อหรอกว่าหนิวโหย่วเต๋อจะถูกตำหนักสวรรค์กดดัน ถ้าเป็นแบบนี้แล้วยังกล้าลงมือ ก็แสดงว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นตัวปัญหาจริงๆ ไม่ยึดตามหลักเหตุผลทั่วไปจนทำให้คนปวดหัว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)