ลำนำบุปผาพิษ 1598-1607

 บทที่ 1598 นี่มันคำอุปมาบ้าบออะไร?!


บางทีด้านอื่นๆ ของนางคงมีเพียงตี้ฝูอีที่ได้เห็นกระมัง?


นางในตอนนี้ก็เหมือนกับสวมหน้ากากเอาไว้ ไม่มีผู้ใดมองลอดเข้าไปเห็นเนื้อในของนางได้


คนสองคนเดินกันเฉยๆ ค่อนข้างน่าเบื่ออยู่บ้าง ขณะที่เชียนหลิงอวี่กำลังหาหัวข้อสนทนามาชวนคุยอยู่ กู้ซีจิ่วกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน “หลิงอวี่ เจ้าคิดว่าจักรพรรดิองค์นี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


เชียนหลิงอวี่ตะลึงไปครู่หนึ่ง สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในหัวใจ รีบตอบทันที “จะเป็นอย่างไรได้เล่า? รูปโฉมหล่อเหลายิ่งนัก แต่ข้าก็ไม่ด้อยกว่าเช่นกัน…”


“ข้าไม่ได้พูดถึงรูปโฉมเขา เจ้าคิดว่านิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างไร?”


สัญญาณเตือนภัยของเชียนหลิงอวี่ดังขึ้นอีกครั้ง “นิสัย…นิสัยก็พอใช้ได้กระมัง ดูอ่อนโยนยิ่ง ยามคลี่ยิ้มเสมือนดอกพวงหางสุนัข”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย นี่มันคำอุปมาบ้าบออะไร?!


“เจ้าก็คิดว่าเขาอ่อนโยนเหมือนกันหรือ? เจ้าพบความสง่างามเจ้าสำราญของลูกหลานจากตะกูลมั่งคั่งบนตัวเขาบ้างหรือไม่?”


สัญญาณเตือนภัยในใจเชียนหลิงอวี่เริ่มส่งเสียงดังลั่น เขากระแอมคราหนึ่ง “นี่จะมีอะไรกัน? ความสง่างามผ่าเผยผู้ใดบ้างเล่าที่ทำไม่ได้? คุณชายอย่างข้าก็แสดงความสง่างามได้ไม่ด้อยไปกว่าเขาเช่นกัน!” ยามที่กล่าวประโยคนี้ออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเสยผม แล้วสะบัดอาภรณ์คราหนึ่ง


ในที่สุดกู้ซีจิ่วหันมองเขาแวบหนึ่ง “วันนี้เจ้ากินยาผิดหรือไง? เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นทำไม?”


เชียนหลิงอวี่เงียบไปแล้ว


กู้ซีจิ่วคล้ายจะคิดอะไรอยู่อีกแล้ว เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าหรงเจียหลัวในปัจจุบันแตกต่างไปจากหรงเจียหลัวในอดีต หรงเจียหลัวในอดีตเป็นพี่ชายรูปงามสีหน้าเยือกเย็น ต่อให้ชอบพอกู้ซีจิ่วเป็นที่สุด เขาก็ไม่ยิ้มออกมาบ่อยๆ และคุยไม่เก่ง


แต่หรงเจียหลัวในปัจจุบันกลับช่างพูดกว่าเมื่อก่อนมาก บนร่างคล้ายจะมีบุคลิกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา สง่างามดั่งบทกวี อ่อนละมุนเช่นสุรา หนึ่งยิ้มล่มเมืองได้


ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็แยกจากหรงเจียหลัวไปถึงแปดปี ดังนั้นจึงไม่ทราบแน่ชัดเช่นกันว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปเพราะกาลเวลา มีประสบการณ์ทางอารมณ์อย่างโชกโชนหรือไม่ ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้


อีกอย่างไม่ได้พบหน้ากันแปดปี รูปโฉมของหรงเจียหลัวกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ยังดูเหมือนคนวัยยี่สิบอยู่ พลังวิญญาณของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย เมื่อก่อนอยู่ที่ขึ้นหกตอนกลาง ยามนี้บรรลุขั้นแปดแล้ว ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ ผิวพรรณเขาขาวซีดไปหน่อย เหมือนไม่พบเจอแสงอาทิตย์มาหลายปีแล้ว


กู้ซีจิ่วนึกถึงวิญญาณอาฆาตไม่กี่ดวงที่เพิ่งสวดส่งวิญญาณไปอีกครั้ง วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าก่อนตายถูกทรมานมา บิดเบี้ยวจนไม่เข้าที แม้แต่เป็นหญิงหรือชายก็มองไม่ออกเลย ทั้งร่างแดงฉานดั่งโลหิต ไอพยายาทสูงท่วมท้น!


หากมิใช่เพราะมีคาถาส่งวิญญาณขั้นสูงสุดล่ะก็ เกรงว่าคงได้รับผลกระทบจากวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ไปแล้ว จิตใจด้านลบจะปะทุขึ้นมา…


ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลังจากเธอส่งวิญญาณพวกมันเสร็จ เลือดลมก็ยังคงพลุ่งพล่านยิ่งนัก พลังงานด้านลบในจิตใจที่เดิมทีฝืนสะกดไว้ถูกไอพยาบาทกระตุ้นขึ้นว่าจนต้องการหาทางระบายออก ถึงขั้นที่ว่ามีอยู่แวบหนึ่งที่เธอต้องการเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่!


เคราะห์ดีที่พลังยุทธ์เธอสูงส่ง พบเห็นสถานการณ์ผิดปกติได้ทันท่วงที จึงแอบปรับลมปราณให้บริสุทธิ์


ถึงสามารถชำระล้างไอพยาบาทที่เข้าสู่ร่างเธอให้หมดจดไปได้ อารมณ์ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง


ด้วยพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ ไอพยาบาทแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ยาก จู่ๆ วันนี้กลับเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นเพราะระยะนี้จิตใจเธอไม่ค่อยมั่นคงงั้นหรือ? หรือว่าไอพยาบาทนี้มีความพิเศษ?


“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าวิญญาณอาฆาตวันนี้แกร่งกล้าเป็นพิเศษ?” กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


เชียนหลิงอวี่ตะลึงไปครู่หนึ่ง พยักหน้ารับ “แกร่งกล้ามากจริงๆ! ตนเดียวยังเหนือกว่าวิญญาณทั่วไปสิบตัวเสียอีก!”


เขาไตร่ตรองอีกครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “วิญญาณอาฆาตหนนี้ดูบิดเบี้ยวเกินไป! ก่อนตายน่าจะถูกทรมานอย่างหนัก มีอยู่ตนหนึ่งเหมือนจะถูกประหารด้วยวิธีแล่เนื้อเถือหนัง ตะโกนว่า ‘คืนเนื้อข้ามา’ ใส่ข้าอยู่ตลอด ทำให้คุณชายอย่างข้าขนลุกไปทั้งตัวเลย”


“วิญญาณอาฆาตเหล่านี้คล้ายว่ามีคนสร้างขึ้นโดยเจตนา คงจะมิใช่ ‘ผลงาน’ ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นอีกกระมัง?”


————————————————————————————-


บทที่ 1599 ไม่ใช่ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่


“ถึงอย่างไรวิญญาณอาฆาตในกำแพงวิญญาณอาฆาตนั้นก็ไม่ต่างจากพวกนี้เท่าไหร่ แน่นอนว่าพวกนี้ดูเลวร้ายยิ่งกว่า…ดูเหมือนว่าถึงแม้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะมอดม้วยไปแล้ว แต่ภัยพิบัติก็ไม่อาจกวาดล้างให้สิ้นซากได้ในชั่วขณะ ซีจิ่ว เจ้ายังมีกิจยุ่งเหยิงอยู่ ให้ข้าอยู่ช่วยเจ้าเถอะ!” เชียนหลิงอวี่ฉวยโอกาสเสนอตัว


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เจ้าก็ต้องทำบทเรียนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ให้เสร็จสิ้นเหมือนกัน มัวโอ้เอ้อยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้หรอก ระวังตาเฒ่ากู่จะทุบเจ้าด้วยหลังแหวนเอานะ!”


“ซีจิ่ว อันที่จริงข้าสามารถสำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้แล้ว เฒ่ากู่บอกไว้เมื่อปีก่อนว่าข้าสามารถสำเร็จการศึกษาไปได้แล้ว”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้ายังรั้งอยู่ที่นั่นเพื่อศึกษาเพิ่มเติมงั้นหรือ?”


เชียนหลิงอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป “ไม่ใช่ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่”


กู้ซีจิ่วชะงักเท้าทันที


ภายใต้แสงดาว แววตาของเชียนหลิงอวี่ส่องประกายดุจดวงดาว “ถึงแม้เจ้าจะหายตัวไปแปดปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ขอเพียงเจ้าปรากฏตัวก็ต้องมาหาพวกเราที่สำนักแน่นอน ข้าเกรงว่าถ้าข้าสำเร็จการศึกษาแล้วจากไป เมื่อเจ้ามาข้าจะอดพบหน้า”


กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากบางนิดๆ “เชียนหลิงอวี่…”


เชียนหลิงอวี่โบกมือ ไม่อยากฟังนางกล่าวคำปฏิเสธอันใด “ซีจิ่ว ข้าชอบเจ้า คนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนทราบกันถ้วนหน้า หากว่าเจ้าไม่ได้เลิกรากับตี้ฝูอี ข้าก็จะมอบคำอวยพรของข้าให้อย่างจริงใจ ไม่สร้างความลำบากใจให้แก่เจ้า ข้าจะเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้า…”


เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รอให้กู้ซีจิ่วได้พูดจา ก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีก “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ายังไม่คิดตอบรับความในใจของบุรุษคนใด เจ้าต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ ข้าก็จะไม่บีบคั้นเจ้าเช่นกัน แต่ข้ารอได้! รอให้ถึงวันที่เจ้าสามารถเปิดใจรับความสัมพันธ์อีกครั้งได้” เขาเอ่ยสัตย์วาจาน่าเชื่อถือ เปี่ยมด้วยความมั่นใจ


กู้ซีจิ่วเงียบงัน


ไม่ใช่ว่าไม่หวั่นไหวเลย แต่กู้ซีจิ่วก็ทราบอย่างชัดเจนเช่นกัน เชียนหลิงอวี่ไม่ใช่สเปคของเธอ ไม่ว่าเขาจะรอเธอสักกี่ปี เธอก็ไม่มีทางรักเขาได้ เธอให้เขาเป็นเพื่อนสนิทได้ คนรักอย่างเดียวเท่านั้นที่ให้เป็นไม่ได้…


อันที่จริงกู้ซีจิ่วรู้สึกว่า หัวใจของเธอตายด้านแล้ว ชีวิตนี้ตนคงครองตัวเป็นโสดไม่แต่งงาน ไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว


“เชียนหลิงอวี่ เจ้าไม่ต้องรอข้าหรอก” กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าจะไม่ชอบผู้ใดอีกต่อไปแล้ว เอาล่ะ เจ้ากลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไปเถอะ เลี่ยงไม่ให้ถูกลงโทษ” เธอพลันใช้วิชาเคลื่อนย้าย หายวับไปทันที


เชียนหลิงอวี่นิ่งงัน


เขายืนอยู่ตรงนั้น มองถนนสายยาวที่ว่างเปล่า ตบศีรษะตัวเองด้วยความโมโห!


เขาไม่ควรพูดถ้อยคำเหล่านี้ในตอนนี้! บัดนี้ถูกปฏิเสธแล้ว เกรงว่านางคงไม่ยอมให้เขาใช้สถานะสหายอยู่ข้างกายต่อแล้ว…


เขาทำทุกอย่างพังหมดแล้ว!


เขานึกถึงคำพูดของมู่เฟิงขึ้นมา มู่เฟิงบอกว่าสตรีเลิศล้ำเช่นกู้ซีจิ่ว จะต้องเป็นคนสุขุมปราดเปรื่องมีศักดิ์มีฐานะเท่านั้นถึงจะคู่ควรอยู่ข้างกายนาง…


เชียนหลิงอวี่ทราบดี เหล่าดอกท้อที่อยู่รอบกายกู้ซีจิ่วมีไม่น้อยเลย ตี้ฝูอี หรงเจียหลัว หลงซือเย่ หลงฟั่น มีแม้กระทั่งจอมมารโม่เจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตนนั้น…


คนเหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์ยิ่งนักทั้งสิ้น บ้างก็เป็นผู้เรืองอำนาจ บ้างก็เป็นจักรพรรดิ ผู้ที่ด้อยที่สุดก็ยังอยู่ในระดับเจ้าสำนักเลย


ส่วนเขาเป็นเพียงทายาทสืบสกุลของตระกูลเชียนเท่านั้น อนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุดในภายหน้าก็คือตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเชียน…เมื่อเทียบกับหลายคนก่อนหน้านี้แล้วด้อยกว่าไม่รู้ตั้งกี่ขุม


ลูกผู้ชายต้องมีใจฝักใฝ่ทะเยอะทะยาน ลูกผู้ชายต้องเก่งกล้าสามารถ! นี่เป็นสิ่งที่มู่เฟิงกล่าว เห็นทีว่าเขาสมควรจะสร้างกิจการของตัวเองได้แล้ว!


มู่เฟิงยังบอกอีกว่า ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะก่อตั้งอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยขึ้นมาอีกครั้ง กำลังเฟ้นหาผู้มีคุณสมบัติเป็นจักรพรรดิในอนาคตอยู่ ให้เขาลองพยายามช่วงชิงดู ก้าวออกมาจากเขตปลอดภัยของตัวเองดู


ด้วยเหตุนี้ในที่สุดจิตใจทะเยอะทะยานในการเป็นราชันของเชียนหลิงอวี่ก็ลุกโชนขึ้นมาแล้ว!


บทที่ 1600 พบกันอีกครา 1


ช่วงดึกยามกะสาม เงียบสงัดวังเวง


กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเตียง เธอนั่งสมาธิมาหนึ่งชั่วยามครึ่งแล้ว ยังคงสงบใจลงไม่ได้เช่นเดิม


ตรงทรวงอกเหมือนถูกบางอย่างขุดจนกลวงโบ๋ ว่างเปล่าโหวงเหวงไม่มีจุดมั่นคงเลย


ระยะนี้เธอค่อนข้างหวาดกลัวยามราตรี ตอนกลางวันยุ่งง่วนจนไม่สามารถคิดอะไรเลยได้ แต่ตอนกลางคืนเมื่อเธออยู่ลำพัง เรื่องราวในอดีตที่ต้องการลืมเลือนเหล่านั้นจะวนเวียนอยู่ในสมอง…


เมื่อเธอนอนไม่หลับก็นั่งสมาธิฝึกฝน ใช้เคล็ดสงบจิต


ตี้ฝูอีเคยสอนเคล็ดสงบจิตให้ตอนที่เธอจิตใจฟุ้งซ่าน แต่ในเมื่อเธอตัดขาดอย่างหมดจดแล้ว ก็ไม่อยากใช้เคล็ดวิชาใดๆ ที่เขาสอนให้อีก


เคล็ดสงบจิตที่เธอใช้ในช่วงนี้เป็นเคล็ดที่อ่านพบในตำราด้วยตัวเอง ถึงแม้จะดีไม่เท่าเคล็ดนั้นที่ตี้ฝูอีสอน แต่ก็ยังมีประโยชน์ยิ่งนัก ปกติแล้วนั่งสมาธิหนึ่งชั่วยามขึ้นไปก็สามารถทำให้จิตใจสงบมั่นคงได้แล้ว พอจะนอนหลับได้สักสองสามชั่วยาม


แต่คืนนี้คงเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากไอพยาบาทของวิญญาณอาฆาตเหล่านั้น เลือดลมในร่างเธอจึงปั่นป่วนรุนแรงยิ่งนัก ฝึกวรยุทธ์นานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่อาจสงบใจลงได้ เพิ่งจะลืมตาก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งแล้ว หัวใจเต้นตุบๆ


เธอถอนหายใจแล้วลุกขึ้น ออกไปเดินเล่นวนอยู่ในสวนสักสองสามรอบเสียเลย ลมราตรีหนาวยะเยือก เธอนั่งรับลมเย็นๆ บนม้านั่งหินตัวหนึ่งครึ่งชั่วยาม


ในเมื่อนอนไม่หลับ เธอจึงเริ่มใคร่ครวญถึงวิญญาณอาฆาตในวังหลวงเหล่านั้น ช่วงนี้ดูเหมือนวิญญาณอาฆาตในเมืองหลวงจะเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เมื่อวานก็สวดส่งวิญญาณไปแล้วสี่ตน ในช่วงสิบกว่าวันมานี้ เธอสวดส่งวิญญาณไปแล้วสามกลุ่มมากกว่ายี่สิบตนแล้ว


อีกทั้งวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ก็ดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ ร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นภัยพิบัติที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นเหลือไว้จริงๆ น่ะหรือ? หรือว่ามีคนลอบเคลื่อนไหวทำสิ่งใหม่ประการใด?


ถึงแม้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นจะมอดม้วยไปแล้ว แต่ผู้สมรู้ร่วมคิดภายใต้สังกัดเขายังมีอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ บ้างก็อยู่ในที่แจ้งบ้างก็อยู่ในที่ลับ พวกที่อยู่ในที่แจ้งเหล่านั้นยังพอว่า คิดบัญชีไปทีละคนก็พอแล้ว แต่พวกที่หลบซ่อนอยู่ในที่ลับเหล่านั้นกลับว่ากันยาก ไม่อาจจับกุมได้ในคราวเดียว ทำได้เพียงค่อยๆ ควานตัวออกมาทีละคน


เธอติดต่อไปหาหลีเมิ่งซย่าอีกครั้ง หลีเมิ่งซย่ายังคงเปี่ยมล้นด้วยพลังงานอยู่ตลอดเวลา รายงานผลในช่วงหลายวันมานี้ต่อเธอ ซ้ำยังจับกุมพวกลิ่วล้อตัวปลอมจำนวนหนึ่งได้ด้วย…


ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ตั้งแต่จนจบหลีเมิ่งซย่าไม่ได้ถามของเรื่องกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเลย


นางเป็นประมุขของหอเงาราตรี ข่าวสารย่อมไวเป็นที่สุด คาดว่าคงรู้นานแล้วเช่นกัน


และนางก็รู้จักนิสัยของกู้ซีจิ่วดี ว่าไม่ต้องการคำปลอบใจที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นจากคนอื่น ดังนั้นนางจึงสนทนากับกู้ซีจิ่วเท่านั้น


วันนี้หลีเมิ่งซย่ามีความอดทนยิ่งนัก เมื่อก่อนนางพูดไม่กี่คำก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวทางฝั่งนางอย่างชัดเจนได้แล้ว ยามที่สนทนาสัพเพเหระกับกู้ซีจิ่วก็พูดเร็วฉะฉานเช่นกัน


แต่วันนี้ตอนแรกนางยังคงมีบุคลิดแบบเดิมอยู่ หลังจากคุยกับกู้ซีจิ่วไปได้ไม่กี่นาทีกลับดูเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนกัน น้ำเสียงยังคงเป็นเช่นเดิม แต่กลับแฝงเสน่ห์ดึงดูดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับฟังเสียงสะท้อนในพงไพรท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดอยู่ นางถึงขั้นร้องเพลงหนึ่งที่เพิ่งเรียนรู้มาให้กู้ซีจิ่วฟังด้วย บทเพลงนี้เสมือนบทเพลงเซเรเนด[1]ที่ผ่อนคลาย ยามนางขับขานออกมาราวกับบทเพลงกล่อมเด็ก


เดิมทีกู้ซีจิ่วไม่ง่วงนอนเลยสักนิด ทว่าคุยเล่นกับนางอยู่สักพักก็ง่วงขึ้นมา จึงกลับไปที่ห้อง อ้าปากหาวแล้วนอนลงบนเตียง อยู่ในที่นอนก็ยังคงพุดคุยกับหลีเมิ่งซย่าอยู่ จากนั้นเธอก็สะลึมสะลือผล็อยหลับไป


หลีเมิ่งซย่าในยันต์ถ่ายทอดเสียงเอ่ยมาสองประโยค ได้รับเสียงตอบกลับจากนาง จึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจประโยคหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้านอนแล้วหรือ?”


กู้ซีจิ่วหลับลึก ย่อมไม่อาจตอบกลับได้


ยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือเธอส่องแสงกะพริบเล็กน้อย มีลำแสงอ่อนโยนสายหนึ่งกำจายออกมา ครอบคลุมทั้งร่างเธอไว้ภายใน


————————————————————————————-


บทที่ 1601 พบกันอีกครา 2


ยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือเธอส่องแสงกะพริบเล็กน้อย มีลำแสงอ่อนโยนสายหนึ่งกำจายออกมา ครอบคลุมทั้งร่างเธอไว้ภายใน ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังตบบนตัวเธอเบาๆ กล่อมเธอให้หลับใหล


….


อีกด้านหนึ่งของยันต์ถ่ายทอดเสียง หลีเมิ่งซย่านั่งอยู่บนเตียงตน ลูบอกตัวเองอย่างขวัญหนีดีฝ่อยิ่งนักอยู่บ้าง จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าอย่างไม่พอใจ…


นางเป็นคนที่แยกเวลาพักกับเวลางานอย่างเคร่งครัดยิ่ง เดิมทีหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็ถูกยันต์ถ่ายทอดเสียงของกู้ซีจิ่วทำให้สะดุ้งตื่น ด้วยเหตุนี้จึงคลานขึ้นมารายงานความสำเร็จของภารกิจในช่วงหลายวันมานี้แก่กู้ซีจิ่ว ถือโอกาสสนทนาถึงสถานการณ์ช่วงนี้ไปด้วย คุยๆ ไปความง่วงของนางก็หายไป ยิ่งคุยยิ่งคึกคัก ขณะที่กำลังคุยอย่างออกรส ตรงหน้าต่างพลันมืดสลัว คนผู้หนึ่งแทรกกายเข้ามา ตรงมาฉวยยันต์ส่งสัญญาณไปจากมือนางเสียดื้อๆ…


ถึงแม้หลีเมิ่งซย่าจะมีนิสัยเยี่ยงบุรุษ แต่ดีร้ายอย่างไรนางก็ยังเป็นแม่นางน้อยที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง ถูกคนบุกเข้าห้องนอนในยามวิกาลย่อมตกใจเป็นธรรมดา! เกือบจะซัดฝ่ามือออกไปแล้ว! เคราะห์ดีที่นางมองเห็นผู้มาอย่างชัดเจนได้ทันกาล…ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!


นายเหนือหัวของนาง


คำด่าที่นางคิดจะตะโกนออกมาค้างอยู่ในคอ มองดูเจ้านายตน ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย ตี้ฝูอีกลับชูนิ้วหนึ่งขึ้นมาทำสัญญาณให้เงียบไว้ ด้วยเหตุนี้หลีเมิ่งซย่าจึงไม่ส่งเสียงยิ่งกว่าเดิม


จากนั้นนางก็เบิกตามองเขาหันหลังกระโดดออกไปจากห้องนอนนาง ไม่ทราบเช่นกันว่าไปที่ไหนแล้ว


หลีเมิ่งซย่าทราบมาโดยตลอดว่าเจ้านายของตนคนนี้กระทำการลึกลับซับซ้อน แต่การกระทำที่ทำให้คนสับสนมึนงงเช่นวันนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์


นางทึ่มทื่ออยู่บนเตียงครู่หนึ่ง พลันก้มหน้าลงไป หวีดร้องคราหนึ่งอย่างอดไว้ไม่อยู่ นางยังสวมชุดนอนอยู่เลยนะ!


ชุดนอนนี้เป็นแบบใหม่ล่าสุดที่กู้ซีจิ่วคิดค้นขึ้นแล้วมอบให้นางในคราวก่อน บอกว่าเข้ากับรูปร่างของนาง และมีความเป็นสตรีด้วย ถ้าสวมมันยามนอนจะสบายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงนำแบบที่กู้ซีจิ่วคิดค้นขึ้นไปให้ช่างเย็บปักตัดเย็บออกมาชุดหนึ่ง


ชุดนอนนี้ทันสมัยยิ่งนัก เบา โปร่ง บาง พลิ้ว สวมสบายแถมยังวาบหวิวด้วย โดยเฉพาะชุดที่นางใส่อยู่ในยามนี้ ตรงหน้ามีกระดุมสองเม็ดที่ไม่ได้ติดไว้ เผยอกขาวผ่องออกมารำไร วาบหวิวยิ่งกว่าเดิมมากนัก…


ก่อนจะนอนนางยังส่องกระจกอยู่เลย หมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากระจก รู้สึกว่าที่แท้ตนก็มีความเป็นสตรีเพศเช่นนี้ได้เหมือนกัน แถมยังงามเย้ายวนยิ่งนักด้วย ยามนี้นางนั่งอยู่บนเตียง ทว่าอยากร้องไห้ออกมาเหลือเกิน


ยากนักกว่านางจะทำตัววาบหวิวสักครั้ง กลับถูกท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเห็นเข้าเสียแล้ว…


หากว่าเป็นบุรุษเลิศล้ำคนอื่นมาเห็นนางในสภาพนี้เข้า นางจะฉวยคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้แล้วให้เขารับผิดชอบ ฉวยโอกาสส่งตัวเองออกเรือนไป แต่อีกฝ่ายกลับเป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…


นางไม่กล้าและไม่สามารถด้วย!


นางค่อนข้างฉุนเฉียวอยู่บ้าง ติดกระดุมตรงสาบเสื้อให้เรียบร้อย จากนั้นก็นอนใคร่ครวญอยู่ในที่นอน ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฉกยันต์ถ่ายทอดเสียงของนางไปทำไม?


อยากคุยกับซีจิ่วอีกครั้งหรือ?


ต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์นี้งั้นหรือ?


เรื่องราวที่เกี่ยวกับกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีในความทรงจำของหลีเมิ่งซย่าค่อนข้างยุ่งเหยิงเลอะเลือน นางจำได้เพียงว่าแปดปีก่อนกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเคยพัวพันกัน แต่เรื่องราวหลังจากที่พวกเขาออกมาจากเขตหวงห้ามในแปดปีให้หลังเหล่านั้นค่อนข้างสับสนเลือนราง จำไม่ได้ว่ากู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเคยอยู่ด้วยกัน จำได้เพียงว่าพวกเขาเคยร่วมมือกัน คล้ายว่าจะมีความรู้สึกต่อกันยิ่งนัก แต่ยังคงอยู่ในสภาพคลุมเครือ ไม่มีอะไรชัดเจนเป็นพิเศษ


แต่ในสัญชาตญาณของหลีเมิ่งซย่า กู้ซีจิ่วรักตี้ฝูอีแน่นอน รักอย่างไม่สงวนท่าทีเลยสักนิด แต่เจ้านายของตนกลับทำให้คนอื่นเดาทางไม่ออก เป็นเหตุให้พวกเขาเลิกรากันในครั้งนี้ หลีเมิ่งซย่ารู้สึกว่าเจ้านายเป็นผู้เข้าหาก่อนจากนั้นก็ทอดทิ้ง!


ดังนั้นนางจึงค่อนข้างไม่พอใจเจ้านายของบ้านตนยิ่งนัก


ยามนี้นายท่านขโมยยันต์ถ่ายทอดเสียงของนางไปแล้ว ในใจนางจึงมีความหวังเล็กๆ ผุดขึ้นมา…


————————————————————————————-


[1] บทเพลงเซเรเนด (serenade) ในความหมายทั่ว ๆ ไป หมายถึงเพลงที่แต่งให้เพื่อเป็นเกียรติแก่คนรัก เพื่อน หรือบุคคลอื่นๆ ใช้บรรเลงในช่วงค่ำ หรือบรรเลงเกี้ยวพาใต้หน้าต่าง ส่วนในความหมายทางประวัติศาสตร์ดนตรี หมายถึงบทเพลงรูปแบบหนึ่งที่ประกอบไปด้วยหลายท่อน เน้นท่วงทำนองมากกว่าอารมณ์ที่เข้มข้น ยกตัวอย่างเช่นบทเพลง Eine Kleine Nachtmusik อันโด่งดังของโมซาร์ท


บทที่ 1602 พบกันอีกครา 3


ยามนี้นายท่านขโมยยันต์ถ่ายทอดเสียงของนางไปแล้ว ในใจนางจึงมีความหวังเล็กๆ ผุดขึ้นมา เจ้านายของบ้านตนสำนึกเสียใจแล้วใช่หรือไม่? กำลังหาทางคืนดีใช่ไหม?


เฮอะ ซีจิ่วเป็นแม่นางที่เด็ดเดี่ยวทระนงผู้หนึ่ง! ถึงนางจะชมชอบคนผู้หนึ่งมากเพียงใด ก็มีศักดิ์ศรีของตัวเองเช่นกัน อีกทั้งคนเช่นนางยามที่ทุ่มเทให้กับความรักก็จะทุ่มเทอย่างแท้จริง แต่พอปล่อยวางแล้ว จะไม่มีวันมองย้อนกลับไปอีกเลยเช่นกัน


มิใช่ผู้ที่นายท่านจะเรียกก็มาจะไล่ก็ไป นายท่านต้องการคืนดีกับนาง เกรงว่าจะยากเย็นยิ่งนัก…


ขณะที่หลีเมิ่งซย่ากำลังใคร่ครวญไปใคร่ครวญมาอยู่บน แสงสว่างในห้องพลันสลัวลง ตี้ฝูอีปรากฏขึ้นหน้าเตียงของนางอีกครั้ง


หลีเมิ่งซย่าคิดจะลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ จู่ๆ ก็นึกถึงชุดนอนของตนขึ้นมาได้ จึงรีบหดกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง ใบหน้าแดงก่ำ “นายท่าน…”


นายท่าน ถึงข้าจะห่ามเหมือนบุรุษสักแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเด็กสาวของแท้แน่นอน ยามที่ท่านจะเข้ามารบกวนช่วยเคาะประตูหน่อยได้หรือไม่?!


แน่นอนว่าประโยคนี้หลีเมิ่งซย่าบ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกมา


ตี้ฝูอีสวมหน้ากากไว้ หลีเมิ่งซย่ามองเห็นดวงตามืดมิดดุจรัตติกาลที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากของเขา เขาโยนยันต์ถ่ายทอดเสียงลงข้างมือของหลีเมิ่งซย่า หลีเมิ่งซย่าเพิ่งจะหยิบขึ้นมา ตี้ฝูอีก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งโอบล้อมนางไว้…


ผ่านไปครู่หนึ่ง ในห้องก็ไม่มีเงาร่างของตี้ฝูอีอยู่แล้ว ส่วนหลีเมิ่งซย่าก็ยังคงนอนอยู่ในผ้าห่ม ถือยันต์ถ่ายทอดเสียงไว้ในมือค่อนข้างงุนงง


เมื่อกี้นางกำลังทำอะไรอยู่? ใช่แล้ว กำลังคุยกับซีจิ่วอยู่ ต่อมาคุยไปคุยมานางก็ค่อนข้างง่วง จึงตัดสัญญาณยันต์ถ่ายทอดเสียงไปแล้ว…


เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าตนคล้ายจะสูญเสียความทรงจำบางอย่างไป แต่กลับนึกไม่ออกว่าความทรงจำที่หายไปของตนคืออะไร


นางนวดคลึงหว่างคิ้ว มึนงงอยู่ครู่หนึ่ง


ช่างเถอะ เป็นไปได้ว่าตนอาจหลับไปจนเลอะเลือน


นางหาวออกมา ไม่ขบคิดเรื่องพวกนี้ต่อแล้ว เก็บยันต์ถ่ายทอดเสียงให้เรียบร้อย แล้วนอนหลับต่อไป


….


เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่กู้ซีจิ่วได้หลับสนิทเช่นนี้ หลับลึกยิ่งนัก ไม่แม้แต่จะฝันเลย


วันรุ่งขึ้นเธอจึงตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง


เธอส่องกระจกดู พบว่ารอยคล้ำใต้ตาของตนหายไปแล้ว ผิวพรรณก็ดูดีกว่าเมื่อวานไม่น้อยเลย


เมื่อสำรวจร่างกายดู เลือดลมที่สับสนพลุ่งพล่านเหล่านั้นก็สงบลงแล้ว ตอนนี้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายยิ่งนัก ราวกับเพิ่งไปนวดมา


เธอพรูลมหายใจออกมา ล้วงยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมามอง เผยรอยยิ้มตรงมุมปากแวบหนึ่ง


นึกไม่ถึงว่าเสียงของหลีเมิ่งซย่าเมื่อได้ฟังในยามราตรีจะมีฤทธิ์สะกดจิตด้วย โดยเฉพาะบทเพลงนั้นของนาง ถึงแม้จะค่อนข้างหลงทำนองเช่นที่ผ่านมา แต่ก็มีจังหวะจะโคนดั่งกระแสน้ำ ราวกับไหลผ่านหูแล้วเข้าสู่ร่างกายเธอ ไหลเวียนไปตามเส้นเลือดในร่าง ปัดเป่าความกระสับกระส่ายของเธอ ทำให้อารมณ์ที่เอ่อท้นอย่างสูญเสียการควบคุมสงบลง…


บทเพลงนั้นที่หลีเมิ่งซย่าร้องเมื่อคืนเธอจดจำไว้แล้ว เตรียมการไว้ว่าตอนที่นอนไม่หลับอีกครั้งจะให้นักร้องในจวนขับร้องให้ตนฟัง


ในจวนเธอเลี้ยงดูนักร้องเอาไว้ นักร้องคนนั้นเสียงดี มีความเข้าใจเป็นอย่างดี เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง


เสียงเพลงนั้นใกล้เคียงกับภาษาสันสกฤต มีผลทำให้จิตใจคนสงบผ่อนคลายได้จริงๆ กู้ซีจิ่วนั่งอยู่เก้าอี้โยกตัวหนึ่ง ฟังนางขับร้องไปหนึ่งรอบ


ว่ากันตามจริงแล้ว นักร้องคนนี้ร้องได้ไพเราะกว่าหลีเมิ่งซย่า แต่กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่าอารมณ์ด้อยกว่าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงกำชับนักร้องคนนั้นให้ฝึกฝนหลายๆ รอบหน่อย


ขณะที่กำลังอธิบายจุดหลักของเพลงนี้ให้นักร้องคนนั้นเข้าใจอยู่ ด้านนอกก็มีคนมาประกาศราชโองการ


ระยะนี้หรงเจียหลัวขยันถ่ายทอดราชโองการมาให้เธอยิ่งนัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่คิดว่ามีเรื่องอะไร นึกไปว่าคงมีวิญญาณอาฆาตออกอาละวาดที่ไหนอีกจึงให้เธอไปปราบปราม กลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นราชโองการปูนบำเหน็จ


————————————————————————————-


บทที่ 1603 พบกันอีกครา 4


เธอถูกปูนบำเหน็จให้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน! ซ้ำยังสร้างจวนทูตสวรรค์ให้เธอด้วย


ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมาเชื้อเชิญเธอให้ไปดูจวนทูตสวรรค์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กล่าวจวนทูตสวรรค์หลังนี้ฝ่าบาททรงก่อสร้างอย่างลับๆ มานานแล้ว ด้วยอยากสร้างความประหลาดใจให้เธอ…


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ


อย่างที่ทุกคนทราบกันดี อาณาจักรเฟยซิงมีทูตสวรรค์อยู่สองท่าน คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีและทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ย ในอาณาจักรเฟยซิงตำแหน่งของสองคนนี้นับว่ามีศักดิ์เสมอกัน แน่นอนว่าในใจของประชาชนตี้ฝูอีเลื่องชื่อกว่าเทียนจี้เยวี่ย และรู้สึกว่าความสามารถของเขาเหนือกว่าเทียนจี้เยวี่ย ดังนั้นพอเอ่ยถึงทูตสวรรค์ขึ้นมา อันดับแรกที่พวกเขาจะนึกถึงก็คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย


ในใจของปวงประชาคำว่าทูตสวรรค์สองคำนี้แทบจะเป็นคำสรรพนามอันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ตอนนี้จู่ๆ หรงเจียหลัวมาปูนบำเหน็จให้เธอเป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน คำเรียกขานนี้คล้ายจะเหนือกว่าทูตสวรรค์ซ้ายขวาเสียอีก…


ปวงประชาจะรับได้หรือ?


อีกทั้งเมื่อทูตสวรรค์ซ้ายขวาได้ยินข่าวนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?


หรงเจียหลัวทำเช่นนี้ถึงแม้จะเป็นการหนุนเธอขึ้นสู่ตำแหน่งสูงส่ง แต่ก็กลายเป็นที่เพ่งเล็งได้ง่ายๆ ด้วยเช่นกัน


….


เป็นอันชัดเจนว่ากู้ซีจิ่วคิดมากไปแล้ว


เธอถูกปูนบำเหน็จให้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน ยามที่รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามถนน คลื่นปวงประชาก็มายืนไชโยโห่ร้องอยู่สองข้างทาง คึกคักเร่าร้อน


พวกเขาร้องตะโกนว่า ‘ทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน’ ‘ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน’ ไปตลอดทาง…


สีหน้าของผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างแท้จริง เฉลิมฉลองร้องรำทำเพลงอยู่ริมถนน


เห็นทีว่าฝูงชนจะเห็นด้วยกับการที่เธอขึ้นครองตำแหน่งนี้ยิ่งนัก


กู้ซีจิ่วอยู่ในรถม้าหรูหราคันนั้นหลุบตามองด้านล่าง มองเห็นสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานของปวงประชา เป็นความเคารพเลื่อมใสและปีติยินดี


ท่ามกลางฝูงชนไม่ทราบว่าใครที่เป็นคนนำ ร้องตะโกนออกมา “ทุกคนรีบทำความเคารพท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินเร็ว วันหน้านางก็จะเป็นเทพผู้พิทักษ์พวกเราเหล่าประชาแล้ว นางจะคุ้มครองราษฎรชาวเฟยซิงของพวกเรา!”


“ใช่แล้วๆ เป็นนางที่ล้มล้างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม เป็นนางที่สวดส่งดวงวิญญาณมากมาย เป็นนางที่มอบความหวังในการมีชีวิตที่ดีอีกครั้งให้แก่พวกเรา นางสมควรได้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินแล้ว!”


หนึ่งคนร้องร้อยคนขานรับ คนผู้หนึ่งเป็นตัวนำในการคุกเข่าลงด้านล่างรถม้าของกู้ซีจิ่ว คนอื่นๆ ก็พากันคุกเข่าตามจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ


สถานการณ์เช่นนี้คล้ายกับสมัยก่อนตอนที่ตี้ฝูอีปรากฏตัวยิ่งนัก กู้ซีจิ่วที่อยู่ในรถม้าใจลอยไปชั่วขณะ มีความรู้สึกว่าได้เข้าแทนที่เขาขึ้นมา


เธอมองประชาชนที่ทำความเคารพอยู่ด้านล่างอย่างจริงใจ โลหิตร้อนๆ ในทรวงสูบฉีดขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่หัวใจมีความต้องการที่จะปกป้องคุ้มครองขึ้นมา


การสนับสนุนของปวงประชาเป็นการสนับสนุนอย่างจริงใจ เธอต้องการจะปกป้องประชาชนเหล่านี้ มาตุภูมิผืนนี้…


เธอเงยหน้ามองด้านบน นภาสูงเมฆากระจ่าง สายลมนภาพัดเอื่อย ราวกับจะค่อยๆ ปัดเป่าหมอกทึบในใจเธอเหล่านั้นให้กระจายไป


เธอพรูลมหายใจเบาๆ เดิมทีเธอไม่เคยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เลย ด้วยเหตุนี้จึงหาทิศทางในการต่อสู้ดิ้นรนอย่างแท้จริงไม่พบมาโดยตลอด ยามนี้เมื่อมองเห็นสายตาเร่าร้อนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านล่าง เธอจึงหาจุดยืนของตัวเองพบในทันที


ชีวิตของเธอเธอต้องรับผิดชอบให้ได้ ชีวิตของเธอไม่สมควรถูกความรักเข้าครอบงำเท่านั้น บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่จะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้เมื่อผู้อื่นจากไป ต่อให้เธอสูญเสียความรักไปแล้ว แต่ก็ยังมีความรักจากสหาย ความรักจากญาติพี่น้อง ถึงขั้นที่ยังมีความเคารพรักจากประชาชนด้วย…


อันที่จริงไม่แปลกเลยที่ปวงชนจะเคารพรักเธอเช่นนี้ ช่วงที่ผ่านมาตัวเธอด้วยจมอยู่ในสภาวะช้ำรักมาโดยตลอดอาจไม่ได้สังเกตเห็น อันที่จริงการกระทำในช่วงหลายวันมานี้ของเธอได้สร้างบารมีให้แก่ตัวเธอยิ่งนัก


ในอดีตทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีอำนาจบารมีสูงที่สุดจริงๆ แต่หลังจากหายนะของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผ่านพ้นไป จิตใต้สำนึกของปวงชนก็มีความหวาดกลัวต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ประกอบกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย…


บทที่ 1604 พบกันอีกครา 5


หายไปเป็นเวลาหลายเดือนถึงขั้นหลายปีเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้สร้างผลดีให้แก่ประชาชนเท่าไหร่เลยจริงๆ ดังนั้นช่วงนี้บารมีของเขาจึงลดลงไม่น้อยเลย


ส่วนกู้ซีจิ่วระยะนี้กลับโดดเด่นยิ่งนัก ล้มล้างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมได้ ส่งวิญญาณแค้นสู่สุขคติ ช่วยรักษาจักรพรรดิหรงเจียหลัว ประชาชนเดือดร้อนขอความช่วยเหลือนางก็ตอบรับแทบทุกครั้ง ช่วยบรรเทาทุกข์ให้ราษฎร…


ในใจประชาชนต่างก็มีตาชั่งของตนอยู่ ย่อมเคารพกู้ซีจิ่วขึ้นเรื่อย เทิดทูนบูชาขึ้นเรื่อยๆ ในใจของปวงประชา บารมีของเธอก้าวล้ำทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปรางๆ แล้ว ดังนั้นเมื่อเธอถูกปูนบำเหน็จให้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินจึงตรงใจของปวงประชา เป็นไปตามเจตจำนง


เมื่อกู้ซีจิ่วขึ้นดำรงตำแหน่งทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน หลังจากที่เหล่าสหายของเธอได้ยินข่าว ก็พากันมาแสดงความยินดีกลุ่มแรกคือสหายที่เธอพาออกมาจากเขตหวงห้ามเหล่านั้น ต่อมาก็เป็นสหายในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ จากนั้นก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ แม้แต่หลานเหยากวงประมุขของเผ่าเงือกก็มาด้วยตัวเอง…


จวนทูตสวรรค์ที่เพิ่งสร้างใหม่ของกู้ซีจิ่วคึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อเนื่องกันถึงสามวัน แขกเหรื่อล้นประตู รถม้าเต็มท้องถนน


กู้เซี่ยเทียนย่อมรีบกลับมาด้วยเช่นกัน เขาเป็นแม่ทัพที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงขุนนาง เป็นธรรมดาที่จะรับมือกับแขกเหรื่อเหล่านี้ได้เชี่ยวชาญยิ่งนัก ไม่ทำให้จวนทูตสวรรค์ต้องขายหน้า


ไม่น่าเชื่อว่าหลัวซิงหลานก็พาบุตรชายทั้งสองมาปรากฏตัวเช่นกัน ถึงแม้จะยังคงไม่ไยดีกู้เซี่ยเทียนสักเท่าใดอยู่เหมือนเคย แต่นางยังคงรับหน้าที่ดูแลจัดการภายในจวน จัดการกิจการภายในแทนกู้ซีจิ่ว


ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่มา นางยังพาศิษย์คนอื่นๆ ในพรรคของนางมาด้วย ศิษย์เหล่านี้จงรักภักดีต่อหลัวซิงหลาน ย่อมภักดีต่อคุณหนูใหญ่อย่างกู้ซีจิ่วยิ่งนักเช่นกัน ดังนั้นจวนทูตสวรรค์ของกู้ซีจิ่วถึงแม้สถาปนาขึ้นมาอย่างเร่งด่วนยิ่งนัก แต่กลับไม่วุ่นวายเลยสักนิด เรื่องราวทุกอย่างล้วนถูกจัดการอย่างเป็นระบบแบบแผน เป็นระเบียบเรียบร้อย


ส่วนหลัวจั่นอวี่ก็พำนักอยู่ในจวนของกู้ซีจิ่วตลอดสามวัน อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ที่ออกมาจากเขตหวงห้ามด้วยกัน รับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว


กู้ซีจิ่วเป็นตัวละครหลัก แต่กลับไม่ยุ่งสักเท่าไหร่ เธอแค่รับผิดชอบพบปะแขกเหรื่อที่มาแสดงความยินดีก็พอแล้ว หากว่าไม่อยากพบ เธอก็สามารถปัดหน้าที่ได้ ให้พวกกู้เซี่ยเทียนมารับรองแทน


บางทีหรงเจียหลัวอาจมีเจตนาจะอวยตำแหน่งกู้ซีจิ่วให้สูงส่ง จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของกู้ซีจิ่วจึงใหญ่โต หรูหราอลังการกว่าจวนของทูตสวรรค์ซ้ายขวา


ชายคาเชิดงอนมีคานรอง หลังคาทอดยาวจรดฟ้า


สะพานน้อยเหนือสายธาร ศาลาเปิดโล่งวิจิตรสร้างสรรค์


กู้ซีจิ่วเดินทอดน่องอยู่ในจวน เพลินเพลินกับทัศนียภาพรอบข้าง


ต้องกล่าวเลยว่าหรงเจียหลัวช่างใส่ใจโดยแท้ คฤหาสน์หลังนี้ที่สร้างให้เธอเทียบกับสวนขวัญในเรื่องความฝันในหอแดงได้เลย เมื่อย่างเท้าทิวทัศน์จะผันเปลี่ยน ทุกจุดล้วนราวกับเข้าไปอยู่ในภาพวาด หรูหราอลังการและแฝงท่วงทำนองโบราณอันน่าดื่มด่ำไว้


ขันทีผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างไม่พลาดโอกาสที่จะเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้ม “ท่านทูตสวรรค์ ฝ่าบาททรงออกแบบวางผังของที่นี่ด้วยพระองค์เองเลยนะขอรับ พอใจหรือไม่?”


นึกไม่ถึงว่าหรงเจียหลัวจะอารมณ์ศิลป์เช่นนี้อยู่ด้วย!


กู้ซีจิ่วพยักหน้า “พอใจ! ขอบพระทัยฝ่าบาทแทนข้าด้วย”


ขันทีน้อยผู้นั้นย่อมยิ้มพลางตอบรับ


ภายในจวนแห่งนี้มีทะเลสาบที่ขุดด้วยแรงคนอยู่ด้วย ริมทะเลสาบมีต้นหลิวทอดกิ่งอยู่ ริมฝั่งทะเลสาบใช้กรวดห้าสีปูเป็นทางเดิน สุดขอบทะเลสาบเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่ง สายลมพัดใบไผ่จนเกิดเสียงเสียดสี


กู้ซีจิ่วเดินทอดน่องอยู่ริมทะเลสาบ มองทิวทัศน์รอบข้าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าลักษณะเช่นนี้ดูค่อนข้างคุ้นตา ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


เธอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจพลันไหววูบ หันไปถามขันทีของหรงเจียหลัวที่อยู่ข้างกาย “แต่ก่อนคฤหาสน์หลังนี้เคยเป็นจวนขององค์ชายแปดใช่หรือไม่?”


ขันทีผู้นั้นฝืนยิ้มสู้ “ท่านทูตสวรรค์สายตาดั่งคบเพลิงโดยแท้ ที่นี่เคยเป็นจวนขององค์ชายหรงเช่อจริงๆ องค์ชายหรงเช่อมีความผิดฐานก่อการกบฏ จวนหลังนี้จึงถูกยึดเป็นของหลวงขอรับ


————————————————————————————


บทที่ 1605 พบกันอีกครา 6


เพียงแต่จวนหลังนี้ฮวงจุ้ยดีจริงๆ หลังจากฝ่าบาทยึดกลับมาแล้ว ก็หักพระทัยประทานให้ผู้อื่นไม่ลงมาโดยตลอด เมื่อสองปีก่อนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นต้องการใช้ที่นี่เป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของเขา ฝ่าบาทก็ไม่ยอม หนึ่งปีก่อนจวนหลังนี้ถูกเพลิงไหม้ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในจวนถูกเผาวอดวาย ฝ่าบาททรงปวดพระทัยยิ่งนัก หลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมอดม้วยไป ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้บูรณะที่นี่ขึ้นใหม่ ซ้ำยังขยายอาณาเขตให้กว้างขวางขึ้น เพื่อสร้างเป็นจวนทูตสวรรค์แก่ท่านทูตสวรรค์ด้วยเฉพาะขอรับ”


 ขันทีผู้นั้นไล่เรียงถึงที่มาที่ไป กู้ซีจิ่วพยักหน้ารับ มิน่าเธอถึงรู้สึกคุ้นตาทะเลสาบแห่งนี้ ที่แท้ก็เป็นสถานที่ที่คนคุ้ยเคยพำนักอยู่มาก่อนจริงๆ ด้วย


ปีนั้นองค์ชายเป็นหรงเช่อมีไมตรีกับเธอ เธอก็เคยมาที่จวนแห่งนี้อยู่สามสี่ครั้ง เคยเดินเล่นที่ริมทะเลสาบแห่งนี้กับหรงเช่อรอบหนึ่ง…


ในยามนั้นองค์ชายแปดหรงเช่อมีพรสวรรค์อันน่าตกตะลึง กาพย์กลอนภาพวาดล้วนเลิศล้ำทั้งคู่ ดีต่อเธอยิ่งนัก เคยช่วยเหลือเธอไม่น้อยเลย แต่ใครจะคาดคิดกันเล่าว่าเขาคือคนที่โม่เจ้าสิงสู่อวตารมา?


ฉากเดินเล่นริมทะเลสาบเมื่อปีนั้นราวกับยังคงแจ่มชัดอยู่ในดวงตา ส่วนหรงเช่อก็เป็นดั่งบุปผากลางน้ำ เงาสะท้อนในบานกระจก หวนกลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว


ขณะที่กู้ซีจิ่วรู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง ก็มีคนรีบร้อนวิ่งมารายงาน “ท่านทูตสวรรค์ซ้ายขวามาแสดงความยินดีกับท่านทูตสวรรค์ขอรับ”


นิ้วมือกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ตี้ฝูอีมาหรือ?


ทูตสวรรค์ซ้ายขวามาแสดงความยินดี กู้ซีจิ่วที่เป็นทูตสวรรค์คนใหม่ยังคงต้องออกมาต้อนรับถึงหน้าประตู


ส่วนปวงประชาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าไปได้ยินข่าวมาจากไหนว่าทูตสวรรค์ซ้ายขวาเดินทางมาแสดงความยินดี พากันแห่มาชมเรื่องครื้นเครง ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วนำคนมาถึงปากประตู นอกประตูใหญ่ก็เนืองแน่นไปด้วยฝูงชนที่มาชมเรื่องครื้นเครงแล้ว


ด้านพาหนะของตี้ฝูอีกับเทียนจี้เยวี่ยก็มาถึงแล้วเช่นกัน


ตี้ฝูอียังคงนั่งเรือสีฟ้าลำใหญ่เหินลอยลมลำนั้นของเขาเหมือนเดิม ที่หัวเรือท้ายเรือมีผู้คุ้มกันทั้งสี่ ด้านหน้ามีสาวใช้คอยโปรยบุปผาปูทางสองนาง หรูหราอลังการเหมือนตอนที่กู้ซีจิ่วได้พบเขาเป็นครั้งแรก


ส่วนเทียนจี้เยวี่ยค่อนข้างสมถะกว่า เขาโดยสารวิหคเผิงตัวใหญ่ของเขามา ที่น่าประหลาดยิ่งนักคือด้านหลังวิหคเผิงของเขาลากรถที่งดงามเรียบง่ายคันหนึ่งไว้ด้วย


ผู้ติดตามของเทียนจี้เยวี่ยมีเพียงเด็กชายสองคนเท่านั้น ซึ่งรับผิดชอบบังคับรถม้าที่งดงามเรียบง่ายคันนั้น


ไม่เหมือนกับตี้ฝูอี ต้องมีคนกว่าสิบคนเพื่อเปิดทาง


พาหนะของสองคนนี้ร่อนลงมาพร้อมกัน กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปาก มองท่านทูตสวรรค์ทั้งสองร่อนกายลงมา ใบหน้าพริ้มเพราทำให้คนมองอารมณ์ไม่ออก


หลังจากเลิกรากันอย่างสิ้นเชิงครั้งนั้น เธอก็ไม่ได้พบตี้ฝูอีมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว หนนี้นับว่าเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกในรอบหลังจากเลิกรากัน


ตี้ฝูอียังคงสวมอาภรณ์สีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาชุดนั้น สวมหน้ากากบดบังใบหน้า หน้ากากนี้สวมไว้อย่างแน่นหนา ทุกคนจึงมองเห็นเพียงดวงตาที่สุกสกาวดั่งดวงดาวคู่นั้นของเขา


กู้ซีจิ่วสบตากับเขาแวบหนึ่ง ดวงตาเขาหยีโค้งเล็กน้อย เปิดปากเอ่ย “แม่นางกู้ ยินดีด้วยที่ได้ดำรงตำแหน่งทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน!”


กู้ซีจิ่วก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ตอบกลับอย่างไม่ต่ำต้อยไม่สูงส่งสามคำ “ขอบคุณมาก”


การมาหนนี้ของเทียนจี้เยวี่ยกลับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว ไม่ได้สวมชุดดำที่แสนเย็นชาอีกต่อไป แต่สวมอาภรณ์สีเทาอ่อนตัวหนึ่ง ดูสุภาพสง่างามไม่น้อยเลย หลังจากเขาร่อนถึงพื้นก็ประสานมือไปทางกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข้ามาสายแล้ว ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”


รอยยิ้มบนใบหน้าพริ้มเพราของกู้ซีจิ่วดูจริงใจขึ้นหลายส่วน “ขอบคุณมากๆ” เพ่งพิศเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครา “ในที่สุดท่านก็ออกจากกักตนแล้ว! สีหน้าดูไม่เลวเลย”


ครั้งนี้เทียนจี้เยวี่ยไม่ได้สวมหน้ากากไว้ ดวงหน้าเขาเรียบเฉยเยือกเย็น ยามที่ยิ้มน้อยๆ ดูราวกับต้นเหมยเยือกเย็นที่ชูช่อเสียดฟ้า “ซีจิ่ว สีหน้าของเจ้าก็ไม่เลวเลยเช่นกัน”


เขาชี้ไปยังรถม้าหยกขาวงดงามเรียบง่ายที่เพิ่งลงสู่พื้น “เจ้าได้ดำรงตำแหน่งทูตสวรรค์แล้ว ข้าจึงนำรถคันนี้มาแสดงความยินดีกับเจ้าโดยเฉพาะ”


รถม้าคันนั้นแกะสลักขึ้นจากหยกขาวเนื้ออ่อนสีขาวพิสุทธิ์ชิ้นหนึ่ง ตัวรถเรียบง่าย สลักลวดลายเมฆาไว้ บนเมฆามีนกกระยางฝูงหนึ่งบิดฉวัดเฉวียน


บทที่ 1606 คนที่ผ่านทางมา 1


บนหลังคารถม้ามีกระดิ่งแก้วผลึกสีอ่อนห้อยอยู่ไม่กี่อัน ตัวรถตกแต่งอย่างสง่างามและสะอาดสะอ้าน ในความหรูหราแฝงบรรยากาศลึกลับเอาไว้


เพรียกวายุของกู้ซีจิ่วเบิกตากว้าง ร้องอย่างลิงโลดคราหนึ่งแล้ววิ่งเข้าไป!


เพรียกวายุตัวนี้ยามนี้เป็นสัตว์ขั้นแปดแล้ว และเป็นสีขาวปลอดทั้งตัว รอบกายมีแสงสีเงินโอบล้อม มันวิ่งไปอยู่ด้านหน้ารถม้าคันนั้น ร่ายเวทวิชาให้รถคันนั้นมาติดตั้งอยู่บนหลังของมันด้วยตัวเอง รถคันนี้ราวกับสร้างขึ้นเพื่อมันโดยเฉพาะ


รถสีเงินสัตว์สีเงิน ขับเน้นซึ่งกันและกัน ฝูงชนที่มุงดูอยู่เปล่งเสียงชื่นชมอย่างพร้อมเพรียง


เทียนจี้เยวี่ยยิ้มนิดๆ “ซีจิ่ว เจ้าเข้าไปดูสิ ลองดูว่าพอใจหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วย่อมไม่ปฏิเสธ เอ่ยขอบคุณสองสามประโยคแล้วเข้าไป


ภายในห้องโดยสารยิ่งประณีตขึ้นไปอีก ภายในห้องโดยสารไม่หรูหรา ทว่าใช้งานได้จริงยิ่งนัก


เมื่อคนอยู่ด้านในสามารถนั่งได้นอนได้ เข้าฌานฝึกฝนได้ และสามารถอ่านหนังสือคัดอักษรได้ ตัวรถไม่นับว่าใหญ่โตนัก แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นพรมนุ่มๆ ที่ปูไว้ใต้เท้าหรือว่าตั่งเอนหลังตัวเล็กๆ ล้วนสร้างสรรค์บรรจง เน้นความสะดวกสบายเป็นหลักทั้งสิ้น ยามที่กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ในรถคันนี้ ถึงขั้นที่รู้สึกหลอนเสมือนได้กลับไปที่เรือนนอน จิตใจที่ค่อนข้างกระสับกระส่ายอยู่ตลอดก็สงบลงด้วยเช่นกัน


ระยะนี้มีคนมอบของขวัญให้ไม่น้อยเลย ที่มอบของขวัญล้ำค่าให้ก็มีมากมายเช่นกัน บางคนเพื่อแสดงถึงความจริงใจ ของขวัญที่มอบให้ถึงขั้นที่เป็นสิ่งหายากบนโลกด้วยซ้ำ แต่ของขวัญที่มอบให้ด้วยความใส่ใจเช่นนี้ เทียนจี้เยวี่ยนับเป็นคนแรกเลย ของขวัญชิ้นนี้เมื่อเทียบกับของขวัญอื่นๆ แล้วอาจไม่ล้ำค่าไปกว่ากันนัก แต่กลับเป็นของขวัญที่กู้ซีจิ่วชอบที่สุด ส่งตรงไปถึงหัวใจของเธอ!


เธอชอบรถคันนี้!


เธอกระโดดลงมาจากรถ เอ่ยขอบคุณเทียนจี้เยวี่ยอีกครั้ง แสดงความชื่นชอบที่มีต่อรถคันนี้


เทียนจี้เยวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”


เทียนจี้เยวี่ยไม่เพียงแต่เป็นทูตสวรรค์เท่านั้น ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประดิษฐ์ของเล่นที่มหัศจรรย์บรรจงอีกด้วย เห็นทีว่าที่เขากักตนในช่วงหลายวันมานี้ก็เพื่อสร้างสิ่งนี้กระมัง


ในใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างซาบซึ้งยิ่งนัก


ถึงแม้หลายปีมานี้เธอกับเทียนจี้เยวี่ยผู้นี้จะไม่ได้ติดต่อกันมากนัก แต่เทียนจี้เยวี่ยก็ห่วงใยเธอยิ่งนักจริงๆ คนผู้นี้สีหน้าเย็นชาทว่าหัวใจกลับไม่เย็นชา คอยดูแลเธอยิ่งนักเสมอมา


ตี้ฝูอียืนมองอยู่ด้านข้างตลอด หลังจากเขามาถึง กู้ซีจิ่วก็เอ่ยขอบคุณเขาครั้งเดียวแถมคำขอบคุณนั้นยังสั้นเพียงสามคำด้วย จากนั้นก็ไม่พูดกับเขาอีกเลย ถึงขั้นที่ไม่ชายตามองเขาอีก


ยามที่เด็กสาวคนนี้ทุ่มเทก็ทุ่มเทอย่างแท้จริง ทุ่มเทให้หมดทั้งกายใจ


แต่เมื่อนางเก็บความรู้สึกกลับคืนไปนางก็สามารถเก็บกลับไปได้อย่างหมดจดเช่นกัน เห็นเขาเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมา…


ตี้ฝูอีหลุบตาลงเล็กน้อย ซ่อนเร้นความหม่นหมองที่วาบผ่านนัยน์ตาไว้ เขายกมือขึ้นกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง “แม่นางกู้ ข้าก็มีของขวัญจะมอบให้เช่นกัน”


เขาดีดนิ้วทีหนึ่ง มู่เฟิงที่อยู่ด้านข้างก้าวเข้ามาอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก ยื่นกล่องไม้จันทน์แดงใบหนึ่งออกมา เปิดกล่องออก ในกล่องมีเห็ดหลินจือสีแดงสดดอกหนึ่งนอนอยู่ เห็ดหลินจือดอกนี้น่าจะมีอายุห้าร้อยปีแล้ว เป็นสมุนไพรชั้นเลิศยิ่งนัก


ของขวัญชิ้นนี้ค่อนข้างเหมาะสมตามมารยาท มอบให้สมกับฐานะของเขา แต่ก็ไม่โดดเด่นเช่นกัน เมื่อเทียบกับของขวัญจากเทียนจี้เยวี่ยแล้ว หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดินโดยแท้


ประชาชนที่มุงดูอยู่ก็ค่อนข้างผิดหวังเช่นกัน หลงนึกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่เป็นกลางชอบธรรมเสมอมาจะส่งมอบของอัศจรรย์อันใดออกมาเสียอีก เช่นนี้มองอย่างไรก็ธรรมดาทั่วไป


ถึงอย่างไรหลายวันก่อนกู้ซีจิ่วก็ได้ลงทัณฑ์เจ้าตัวปลอมนั่นแทนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ซ้ำยังช่วยเหลือสี่ผู้คุ้มกันคนสนิทของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แถมยังทำพิธีส่งวิญญาณให้วิญญาณอาฆาตหลายหมื่นตนในกำแพงวิญญาณอาฆาตนั้นด้วย…มีความชอบในการลบล้างข้อครหาบนร่างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก กล่าวได้ว่ามีบุญคุณต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ในเวลาเช่นนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องแสดงออกให้ดีสักหน่อยสิถึงจะถูก


————————————————————————————-


บทที่ 1607 คนที่ผ่านทางมา 2


กลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะมอบเห็ดหลินจืออายุห้าร้อยปีให้เพียงดอกเดียวเท่านั้น


ในวันเกิดของอัครเสนาบดีคนหนึ่ง เขาเคยมอบโสมคนพันปีต้นหนึ่งให้ด้วยซ้ำ! ประสิทธิภาพดีกว่าเห็ดหลินจือห้าร้อยปีต้นนี้มากนัก


ดูเหมือนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ยังคงขุ่นเคืองที่แม่นางกู้หนีงานวิวาห์เมื่อปีนั้นอยู่…


และบางทีอาจเป็นเพราะเห็นว่าตำแหน่งของนางจะก้าวล้ำเขาแล้วจึงไม่พอใจ จงใจมาฉีกหน้านางโดยเฉพาะ!


ที่แท้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เป็นคนใจแคบเช่นนี้ด้วย..


ในใจของผู้คนคาดเดากันไปต่างๆ นานา สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว อยากเห็นว่านางจะมีท่าทีอย่างไร


รอยยิ้มบนใบหน้าเฉิดฉันของกู้ซีจิ่วไม่แปรเปลี่ยน “ขอบคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย” เธอโบกมือ หลัวจั่นอวี่ที่อยู่ด้านข้างก้าวเข้ามา รับกล่องใบนั้นไป


สีหน้าหลัวจั่นอวี่ย่ำแย่ยิ่งนัก เขาเป็นหมอ ย่อมมองออกในแวบเดียวว่าคุณภาพของเห็ดหลินจือดอกนี้ดีหรือแย่ ถึงแม้เห็ดหลินจือดอกนี้จะเป็นเห็ดหลินจือห้าร้อยปี แต่คุณภาพกลับไม่ถือว่าดี ประสิทธิภาพสู้เห็ดหลินจืออายุห้าสิบปีไม่ได้ด้วยซ้ำ…


ไอ้สารเลวผู้นี้ตั้งใจมาฉีกหน้าน้องสาวงั้นหรือ?!


หลัวจั่นอวี่จึงกล่าวเสียงดัง “ถึงแม้คุณภาพของเห็ดหลินจือดอกนี้จะไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อนำไปผสมกับสมุนไพรอื่นแล้ว น่าจะพอหลอมเป็นลูกกลอนฟื้นฟูระดับต่ำได้จำนวนหนึ่ง เอาไว้ตกรางวัลให้เหล่าข้ารับใช้ได้ ขอบพระคุณสำหรับของขวัญชิ้นใหญ่จากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”


ยาฟื้นฟูระดับต่ำเป็นยาลูกกลอนสามัญที่สุดของทวีปนี้ แม้กระทั่งทหารธรรมดาก็ยังมีอยู่ในครอบครองหลายขวด


หลัวจั่นอวี่ไม่อยากให้น้องสาวต้องกล้ำกลืนความเสียเปรียบไว้ ดังนั้นจึงพูดออกมาต่อหน้าสาธารณชน


ฝูงชนที่มุงดูอยู่โห่ร้องอีกครา ในใจของทุกคนไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม


กู้ซีจิ่วก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร เธอย่อมมองออกเช่นกัน แต่นึกไม่ถึงว่าหลัวจั่นอวี่ที่ไม่กล่าวโทษผู้อื่นง่ายๆ มาโดยตลอดจะพูดออกมาต่อหน้าผู้คน


เธอทอดถอนใจอยู่ภายในใจ ทราบดีว่าพี่ชายทำเช่นนี้เพื่อปกป้องตนจากความอยุติธรรม แต่การกล่าวออกมาต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ สีหน้าของเธอก็ไม่สู้ดีแล้วเช่นกัน…


คนรักที่เคยเกื้อหนุนกันในยามยากแปรเปลี่ยนไปจนสู้คนที่ผ่านทางมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่แท้เขาก็เป็นคนโหดเหี้ยมเช่นนี้…


เธอหลงนึกว่าต่อให้เขาเห็นเธอเป็นแค่ตัวแทนของหลานจิ้งเคอ ก็น่าจะมีความรู้สึกต่อเธอบ้างเช่นกัน กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…


นี่เขาเกลียดที่เธอแย่งร่างนางในดวงใจของเขาใช่ไหม ทำให้นางในดวงใจไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ ดังนั้นถึงอยากแก้แค้นสินะ?


และบางทีอาจต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับตัวเธอกู้ซีจิ่วแล้วจริงๆ ความหมายคือหากว่าเธอไม่ใช่หลานจิ้งเคอที่อยู่ในใจเขา ก็เป็นเพียงคนผ่านทางมาเท่านั้นใช่ไหม?


ตรงหัวใจเสมือนมีเส้นด้ายรัดรึงเข้ามา ด้ายเส้นนั้นพัวพันหัวใจของเธออย่างแน่นหนา นั่นเป็นความเจ็บปวดคล้ายจะหายใจไม่ออก ความโศกเศร้าที่บรรยายไม่ได้แผ่ซ่านอยู่ในทรวงอก แทรกซึมไปตามแขนขาท่อนกระดูก ทำให้ลำคอเธอตีบตันขึ้นมาอย่างน่าประหลาด


เธอพยายามรักษาความสงบนิ่งบนใบหน้าเอาไว้ ไม่พูดอะไรอีก


อันที่จริงเธอยากพูดคุยอย่างเรียบเฉยกับเขาอีกสักสองสามประโยค แต่ในลำคอราวกับมีไข่เป็ดฟองหนึ่งอุดอยู่ ทำให้เธอเปล่งวาจาไม่ออกเลยสักประโยค


กำลังทั้งหมดของเธอล้วนถูกใช้เพื่อสะกดกลั้นความร้อนผ่าวที่พุ่งขึ้นยังกระบอกตาอย่างน่าประหลาดไว้ เลี่ยงไม่ให้ขอบตาตนแดงก่ำ…


หากว่าเป็นคนอื่นที่ปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่เธอจะยิ้มให้แวบหนึ่ง แล้วไม่ใส่ใจเลย


แต่นี่เป็นเขา…


น่าตายนัก เธอยังทำตัวเรียบเฉยไม่ได้ ยังคงทำโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ เธอยังคงใส่ใจเขายิ่งนักไม่แปรเปลี่ยน!


การกระทำอันใจร้ายเล็กๆ น้อยๆ ของเขาสามารถเพิ่มบาดแผลลงบนหัวใจที่บอบช้ำของเธอได้…


สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงรักษาสีหน้าสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ ไม่ให้เป็นที่น่าขบขันของผู้อื่น


ถึงแม้ในใจจะหลั่งโลหิตอยู่ แต่ใบหน้าเฉิดฉันของเธอก็ยังคงรอยยิ้มเอาไว้ตลอด รอยยิ้มนั้นปานบุปผา ราวกับดอกพู่ระหงที่ค่อยๆ เบ่งบานท่ามกลางพายุฝน เปี่ยมด้วยความงดงาม


ไม่มีใครมองความผิดปกติของเธอออก แม้แต่มู่เฟิงก็มองไม่ออกเช่นกัน


เพียงแต่หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในใจของปวงชนก็ตกต่ำลงไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)