คัมภีร์วิถีเซียน 1596-1599

ตอนที่ 1596 ประเมินราคา

 

เมื่อหานลี่เดินออกจากหอฉุนเซียงอีกครั้ง ฝั่งตรงข้ามก็เริ่มมีคนเดินเข้าไปในประตูหลักของหอประมูลเป็นจำนวนมากแล้ว ดูเหมือนว่างานประมูลจะเริ่มขึ้นแล้ว


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันเปลี่ยนสีหน้าเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล


ตรงประตูหลักของหอแห่งนี้ใหญ่กว่าประตูด้านข้างทั้งสองฝั่งเกือบสามถึงสี่เท่า ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนของผู้พิทักษ์ผู้รักษาการณ์ที่สวมชุดสีฟ้าตรงประตูก็ไม่อาจเทียบเคียงได้


ทว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้นอกจากจะดูแลความสงบเรียบร้อยแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีใด ๆ


หานลี่เดินปะปนเข้าไปในฝูงชนด้วยสีหน้าเรียบเฉย


เมื่อเดินเข้าไปในประตูหอ เบื้องหน้าของหานลี่ก็มีลำแสงเจิดจ้า


เห็นเพียงห้องโถงห้องหนึ่งที่มีทางเดินเรียงกันไปสองสามสายตรงหน้า ตรงทางเข้าทางเดินทั้งหมดมีแผ่นป้ายแขวนอยู่ด้านข้าง ด้านบนเขียนตัวอักษรโบราณง่าย ๆ อย่างคำว่า ‘ประเมินราคา’ ‘จำนำ’ ‘หอหลัก’ เอาไว้ ด้านข้างแผ่นป้ายเหล่านี้ยังมีชายหนุ่มท่าทางเหมือนเด็กรับใช้ยืนอย่างนอบน้อมอยู่คนหนึ่ง


แววตาของหานลี่กวาดไปบนแผ่นป้าย ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ แต่หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก็สาวเท้ายาว ๆ เข้าไปข้างใน


“ประเมินราคา นี่หมายความว่าอย่างไร” หานลี่ยืนอยู่ตรงทางเข้าทางเดิน ชี้ไปที่แผ่นป้ายด้านข้าง แล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม


“ตอบผู้อาวุโส นี่คือสถานที่ประเมินราคาสิ่งของภายในงานประมูล หากผู้อาวุโสมีของล้ำค่าอันใด ก็สามารถนำเข้างานประมูลโดยการประเมินราคาได้” เด็กรับใช้หน้าตาหมดจดคนนั้นค้อมตัวแล้วเอ่ยตอบ


“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หานลี่พยักหน้า เดินเข้าไปในทางเดินตรงหน้าอย่างไม่ลังเลอีก


แม้ไฉ่หลิวอิงกล่าวว่าจะยอมจ่ายศิลาวิญญาณครึ่งหนึ่งในการใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดให้ แต่อีกครึ่งหนึ่งก็ยังคงเป็นจำนวนมหาศาล และเขาต้องเป็นคนจัดการเอง


ดังนั้นหานลี่จึงคิดจะดำเนินการตามแผนเดิม จึงเอาของที่เตรียมมาไปขายในงานประมูล


ทางเดินไม่ยาวนัก หานลี่เดินไปแค่ยี่สิบถึงสามสิบจั้ง ก็เลี้ยวเข้าประตูสีแดงเข้มบานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า


ประตูห้องเปิดกว้างแต่ถูกม่านลำแสงสีเขียวบดบังเอาไว้ชั้นหนึ่ง ด้านหน้าม่านลำแสงมีผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าเจ็ดแปดคนยืนเรียงแถวกันอยู่ กำลังรออยู่อย่างเงียบสงบ


หานลี่รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยยืนอยู่หลังสุดของทุกคน


ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงเปิดออก ชนต่างเผ่าผมสีแดงคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในพร้อมแสยะยิ้ม ราวกับพบเรื่องดี ๆ อะไรข้างใน


ชนต่างเผ่าผู้นี้ไม่ได้สนใจหานลี่และพวกที่อยู่หน้าประตู เพียงเดินผ่านฝูงชนไปตามทางด้วยท่าทียินดี


ส่วนชนต่างเผ่าอีกคนที่อยู่ใกล้กับม่านลำแสงที่สุดก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ผ่านไปชั่วจิบชา คนตรงหน้าหานลี่ทั้งหมดก็เดินเข้าและออกไปหมดแล้วพร้อมด้วยท่าทีมีความสุขเป็นอย่างมาก และเช่นกันด้านหลังหานลี่ก็มีคนเพิ่มขึ้นมาสี่ห้าคน


ดูแล้วคนจำนวนไม่น้อยคงคิดไม่ต่างจากหานลี่เท่าใดนัก เมื่องานประมูลเริ่มขึ้นถึงได้เข้ามาประมูลที่นี่


เมื่อชนต่างเผ่าคนหนึ่งเดินออกมาจากม่านลำแสงสีเขียวด้วยสีหน้าเศร้า ๆ แล้ว หานลี่ก็สาวเท้าเดินเข้าไปข้างใน


ด้านหลังม่านลำแสงมีลำแสงสีขาวนวลเจิดจ้า เป็นห้องขนาดยักษ์กว้างสามสิบจั้งเศษ รอบด้านล้วนเป็นหินศิลาสีเทาขาว แต่ผิวของมันกลับมีอักขระเปล่งแสงระยิบระยับ เป็นการรับประกันถึงความลึกลับของที่นี่


ทว่าตรงกลางห้องนี้นอกจากโต๊ะหยกหนึ่งตัวและเก้าอี้ไม้สามตัวแล้ว ก็มีเพียงเขตอาคมส่งตัวง่าย ๆ ตรงมุมหนึ่งเท่านั้น


และบนเก้าอี้ทั้งสามตัวล้วนมีเงาร่างคนที่เรือนกายเป็นสีขาวโพลนนั่งอยู่


เมื่อมีลำแสงปกปิด จึงทำให้มองเห็นใบหน้าของทั้งสามคนไม่ชัดเจน ไม่อาจตัดสินใบหน้าที่แท้จริงได้


หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปตามความรู้สึก


ไม่รู้ว่าเงาร่างสามสายพกสมบัติอะไรไว้กับตัว ทุกจุดที่จิตสัมผัสกวาดไปล้วนไร้ซึ่งกลิ่นอายชีวิต ไม่อาจตัดสินพลังยุทธ์ได้


หานลี่พลันใจสั่น


“สหายมีของอะไรอยากนำมาประมูลในครั้งนี้ สามารถนำออกมาให้พวกเราทั้งสามชมได้เลย แต่บอกเอาไว้ก่อนว่างานประมูลสี่เผ่าของพวกเราประมูลแค่สมบัติวัตถุดิบระดับสุดยอดเท่านั้น หากเป็นสินค้าระดับรอง เชิญสหายไปขายที่หอด้านข้าง นอกจากนี้หากไม่พอใจกับการประเมินราคาของเราทั้งสามก็สามารถเสนอออกมาได้ เราจะเปลี่ยนคนประเมินราคาอีกสามคนมาให้ท่าน” เงาร่างคนตรงกลางเอ่ยปาก น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูเป็นดรุณีคนหนึ่ง


“ขอบพระคุณสหายที่เอ่ยเตือน ผู้น้อยทราบแล้วขอรับ” หานลี่พยักหน้าโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า พลันสะบัดแขนเสื้อพลิกฝ่ามือในมือทั้งสองก็ปรากฏสิ่งของขึ้น


เป็นขวดหยกสีเขียวมรกตขวดหนึ่งและกล่องหยกขาวเนียนไร้ที่ติอีกกล่องหนึ่ง


หานลี่ไม่ได้เดินเข้าไป เพียงโยนของในมือออกไป


ทันใดนั้นก็มีมือไร้ลักษณ์ข้างหนึ่งรองรับของทั้งสองเอาไว้ให้ลอยไปหาทั้งสามอย่างเชื่องช้า แล้วร่อนลงเบื้องหน้าอย่างมั่นคงในที่สุด


เงาร่างคนสองสายที่ไม่ได้เอ่ยปากเมื่อครู่ใช้มือหนึ่งคว้าขวดและกล่องหยกเอาไว้ในมืออย่างไม่เกรงใจ


เมื่อขวดถูกเปิดออกกลิ่นยาเข้มข้นก็ฟุ้งโชยมาปะทะกับจมูก จากนั้นก็มีเสียงคำรามของมังกรดังแว่วออกมาจากภายในพร้อมกับลำแสงสีเขียวที่ลอยออกมา


เงาร่างคนสายนั้นร้องอุทานออกมาเบา ๆ รีบร้อนปิดฝาขวด แล้วทันใดนั้นแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งก็มีลำแสงสีขาวพุ่งออกมาม้วนเอาลำแสงสีเขียวเข้าไปคว้าเอาไว้ในมือ


เขาพินิจมองชั่วแวบหนึ่ง


เห็นคาดไม่ถึงว่าในลำแสงสีเขียวจะเป็นเพียงยาลูกกลอนสีเขียวเม็ดหนึ่ง ผิวของมันเรียบลื่นกลมมน สลักลายมังกรสีเงินดูเสมือนจริงไว้


เงาร่างคนใช้สองนิ้วคีบยาลูกกลอนขึ้นมาดมใต้จมูก จากนั้นก็ก้มหน้าลงพิจารณาประเมินราคา


อีกด้านหนึ่ง เงาร่างคนอีกสายเปิดกล่องหยกสีขาวออก


ด้านในมีไม้ไผ่สีเขียวมรกตยาวครึ่งฉื่อวางอยู่ท่อนหนึ่ง


เงาร่างคนผู้นั้นพิจารณาจากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งลูบไปบนไม้ไผ่ ผลคือเกิดเป็นเสียงฟ้าร้องดังขึ้น มีประจุไฟฟ้าสีทองหนาเท่านิ้วมือดีดออกมาจากตัวไผ่อย่างคาดไม่ถึง


“นี่คือไผ่อัสนีทอง!” เงาร่างคนร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง


“ไผ่อัสนีทอง! ท่านพี่ลองพิจารณาอย่างละเอียดดูอีกทีซิ” หญิงสาวที่อยู่ตรงกลางดูเหมือนจะตะลึงไปเช่นกัน แต่ปากก็สั่งการออกมา


“ท่านเซียนโปรดวางใจ ข้าจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน” เงาร่างคนที่พิจารณาไผ่สีเขียวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือก แล้วตอบกลับเสียงขรึม


หานลี่เห็นเช่นนั้นก็ฉีกยิ้มน้อย ๆ สองมือกอดอกยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


จากนั้นเงาร่างคนผู้นี้ก็ใช้มือหนึ่งควานในแขนเสื้ออีกข้าง ควักน้ำเต้าสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกขนาดสองสามชุ่นลายวิจิตรงดงามออกมา


เงาร่างคนเทปากขวดน้ำเต้าลงไปทางไม้ไผ่ในกล่องหยก อีกมือก็ตบไปที่ก้นน้ำเต้าเบา ๆ


ปากขวดน้ำเต้ามีลำแสงสีดำสว่างวาบ พ่นไอสีดำขนาดเท่ากำปั้นออกมา ปะทะกับไผ่เขียว


เมื่อทั้งสองสัมผัสกัน เสียงฟ้าผ่าดัง “เปรี้ยง ๆ” ก็ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็โจมตีไอสีดำจนแหลกสลายไป


หลังจากที่เงาร่างคนผู้นั้นทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ไม่ได้หดมือกลับไป ควักกระปุกสีเขียวมรกตออกมา ด้านในมีไอสีเขียวสายหนึ่งพ่นออกมา ก็ถูกประจุไฟฟ้าสีทองที่ไม้ไผ่ปล่อยออกมาโจมตีจนแหลกสลายไปเช่นเดิม


“ไม่ผิด คือไผ่อัสนีทองไม่ผิดแน่ ผู้อาวุโสมั่นใจ” เงาร่างคนพ่นลมหายใจยาว ๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ


“รบกวนแล้ว! สหายยาลูกกลอนเช่นไรดี มีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมได้จะต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่” หญิงสาวพยักหน้า แล้วหันหน้าไปซักถามเงาร่างคนอีกคนหนึ่ง


“ยาลูกกลอนนี้มีธาตุไม้เป็นหลัก ธาตุดินและทองเป็นธาตุเสริม สรรพคุณของยาเหนือชั้น เหมาะกับระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดและแปด หากขั้นที่เก้าใช้ล่ะก็ ผลลัพธ์อาจจะไม่ถึงหนึ่งในสิบจากเดิม ยาลูกกลอนชนิดนี้จัดอยู่ในอันดับยาชั้นหนึ่งได้” เงาร่างคนอีกสายหนึ่งที่พิจารณาอยู่นานเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าใช้ขั้นตอนใด คาดไม่ถึงว่าจะกล่าวสรรพคุณของยาลูกกลอนมังกรทะยานออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย


หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าอดฉายแววตะลึงเสียมิได้


“แสดงความยินดีกับสหาย ไม่ว่าจะไผ่อัสนีทองหรือยาลูกกลอนเหล่านี้ ล้วนสามารถเข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างแรกยิ่งสามารถเข้าไปอยู่ในรายการตอนท้ายสุดได้ ใช่แล้ว ยาลูกกลอนเหล่านี้มีชื่อหรือไม่ นอกจากนี้ข้าจะเสนอราคาต่ำสุดในการเปิดประมูลให้สหาย สหายลองดูว่าพอใจหรือไม่” หญิงสาวหันหน้าไปพิจารณาหานลี่อย่างละเอียดแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา


จากนั้นนางไม่รอให้หานลี่ตอบกลับอะไร ก็ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วเขียนตัวหนังสืออะไรสักอย่างลงไปบนแผ่นป้ายหยกสีขาวอ่อนแผ่นหนึ่งบนโต๊ะหยกอย่างรวดเร็ว และโยนให้หานลี่


หานลี่คว้าแผ่นป้ายหยกเอาไว้ มองแล้วก็พยักหน้า


“ราคาเปิดประมูลทั้งสองใช้ได้ ถึงอย่างไรผู้น้อยก็เชื่อว่าของเหล่านี้ไม่อาจใช้ราคาต่ำ ๆ แลกเปลี่ยนได้ ส่วนยาลูกกลอนเหล่านี้ มีชื่อว่า ‘ยาลูกกลอนมังกรทะยาน’ การหลอมพวกมันนั้นไม่ง่ายเลย”


“ยาลูกกลอนมังกรทะยาน ได้ พวกเราจะเอาชื่อนี้ในการเปิดประมูล สหายเก็บแผ่นป้ายหยกในมือเอาไว้ หลังจากงานประมูลจบลง ให้เอาของสิ่งนี้มาแลกเปลี่ยนศิลาวิญญาณ” หญิงสาวเอ่ยอย่างเชื่องช้า


“ผู้น้อยทราบแล้ว! หากไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ข้าจะไปรอให้งานประมูลจบลงที่หอหลัก” หานลี่ประสานกำปั้นให้ทั้งสามกล่าวลาอย่างราบเรียบ


“โชคดีสหาย! ของเหล่านี้พวกเราสามคนจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นอย่างดี” หญิงสาวยิ้มตอบกลับ


หานลี่พยักหน้าหมุนกายเดินกลับไป


และไม่รู้ว่าในบรรดาทั้งสามคนนั้นผู้ใดควบคุมเขตอาคมในห้อง ไม่เห็นทั้งสามมีท่าทีใด ๆ ม่านลำแสงของประตูห้องก็เปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้าแล้วเปิดออก


หานลี่เดินออกมาจากห้อง และไม่สนใจคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงประตู เดินไปตามทางเดินอย่างไม่รีบร้อน


ดูเหมือนว่าชนต่างเผ่าในห้องโถงจะมีมากกว่าเดิม เดินเข้าไปในทางเดินที่มีป้ายบ่งชี้ว่าคือหอหลักในการประมูลไม่ขาดสาย


หานลี่ก็เดินเข้าไปด้านในเช่นเดียวกัน


ผ่านทางเดินที่มีลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งมา หานลี่มาปรากฏตัวในห้องโถงขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง


กวาดสายตามองรอบ ๆ หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


ห้องโถงนี้ไม่เพียงมีขนาดกว้างใหญ่จนน่าตกใจ ด้านในยังแบ่งออกเป็นสามชั้นอย่างคาดไม่ถึง


ไม่รู้ว่าชั้นกลางและชั้นบนสร้างขึ้นจากวัตถุอะไร ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้อย่างเงียบสงบโดยไม่มีผู้ใดควบคุม ดูลึกลับเป็นอย่างมาก


ชั้นกลางและชั้นล่างเป็นโต๊ะเก้าอี้ธรรมดาวางเรียงกันไปสองสามจั้ง ส่วนชั้นบนเพียงหนึ่งเดียวเป็นห้องขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งก็มีลำแสงสว่างวาบขึ้นมาที่ผนังห้อง ราวกับมีการวางเขตอาคมอะไรสักอย่างเพิ่มลงไป


เห็นได้ชัดว่าห้องเหล่านี้เตรียมเอาไว้เพื่อผู้ที่มีตำแหน่งและฐานะในเมืองเมฆาสวรรค์


หานลี่เพียงมองชั่วแวบหนึ่งก็ชักสายตากลับมาอย่างรู้จักเจียมตัว หามุมที่ไม่สะดุดตามุมหนึ่งแล้วนั่งลง


รอคอยให้งานประมูลเริ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ

 

 

 


ตอนที่ 1597 ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์

 

หานลี่นั่งอยู่หนึ่งชั่วยาม ในยามนั้นมีชนต่างเผ่าจำนวนมากทะลักเข้ามาภายในหออยู่ไม่ขาดสาย


หอสามชั้นที่ดูกว้างขวางเนืองแน่นไปด้วยเงาผู้คนในทันใด


กระทั่งห้องต่าง ๆ ของชั้นบน ก็มีคนขับเคลื่อนลำแสงเข้าไปด้านใน


ชนต่างเผ่าที่เข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้ พลังยุทธ์ต่ำสุดอยู่ในระดับก่อกำเนิด พลังยุทธ์สูงสุดอยู่ในระดับหลอมร่าง


แค่ระดับหลอมร่างขั้นสุดยอดเท่าที่หานลี่สังเกตเห็นก็มีมากกว่าสี่ห้าคนแล้ว


ต้วนเทียนเหริ่นและเชียนจีจื่อก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนคนที่เหลือก็คงเป็นอาวุโสคนสำคัญของเผ่าต่าง ๆ เช่นกัน


และในห้องบนชั้นสาม อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีคนเข้าไปหกสิบเจ็ดสิบคนแล้ว


และคนเหล่านั้นล้วนอยู่ในระดับหลอมร่างขึ้นไป ส่วนไฉ่หลิวอิงนั้นกลับไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าเข้าไปในห้องก่อนแล้ว หรือว่าไม่คิดจะเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้กันแน่


นี่จึงทำให้หานลี่เห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจลอบถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ


แม้ว่าจะกล่าวว่าเมืองเมฆาเป็นสถานที่รวมตัวกันของทั้งสิบสามเผ่า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้ที่ไม่ได้สังกัดอยู่ในสิบสามเผ่า แต่เมืองเมฆาก็เป็นสถานที่รวมตัวกันของระดับหลอมร่างมากถึงเพียงนี้ ส่วนเมืองเทวะสวรรค์นั้นแม้จะมีมนุษย์และปีศาจระดับหลอมร่างรวมกันก็ยังมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น และเมืองแห่งนี้ก็เป็นสถานที่รวบรวมหัวกะทิของมนุษย์และปีศาจเช่นกัน


หลังจากรออีกครู่หนึ่ง ในหอก็แทบไม่เหลือที่ว่าง


เสียง “เกร๊ง ๆ” ของระฆังบอกเวลาดังขึ้น ท่ามกลางลำแสงห้าสีที่เปล่งแสงสว่างวาบา ประตูหอที่เดิมทีเปิดอยู่ก็ค่อย ๆ ปิดลง


หลังจากที่ประตูหอปิดสนิทแล้ว ในที่สุดงานประมูลสินค้าก็เริ่มขึ้นทันใด


ด้านหน้าสุดของห้องโถง เหมือนกับห้องโถงงานประมูลธรรมดา ๆ อย่างไรอย่างนั้น มีเวทีขนาดสิบจั้งเศษตั้งอยู่


สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือตรงสี่มุมของเวทีมีหุ่นเชิดร่างมนุษย์สีทองสี่ตัวยืนตระหง่านอยู่ สูงสองึงสามจั้งในมือถือขวานยักษ์สีเงินเอาไว้


รูปทรงเก่าแก่โบราณ แต่แฝงไอเย็นยะเยือกที่น่าสะพรึง


แม้หุ่นเชิดเหล่านี้จะไม่ขยับตัว แต่ความรู้สึกน่ากลัวที่ส่งออกมานั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา


ตรงใจกลางของเวทีมีเขตอาคมสีฟ้าสลักอยู่ ด้านในมีโต๊ะสีแดงอ่อนตัวหนึ่ง ผิวของโต๊ะมีอักขระสลักเอาไว้เต็มไปหมด ฉายแววความลึกลับออกมา


ยามที่ประตูหอปิดลงเขตอาคมสีฟ้าก็เปล่งแสงสว่างวาบ เปล่งเสียงร้องต่ำ ๆ ดังหึ่ง ๆ ออกมา


ตรงจุดต่าง ๆ ของเขตอาคมมีอักขระเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังโต๊ะ


คาดไม่ถึงว่าเขตอาคมนี้จะเป็นเขตอาคมส่งตัว


เงาร่างคนผนึกตัวรวมกัน เริ่มชัดเจนขึ้น


เป็นบุรุษวัยกลางคนท่าทางสง่างามคนหนึ่ง สวมชุดผ้าไหม หน้าขาวไร้หนวดเครา ไม่ต่างกับเผ่ามนุษย์ธรรมดา


แต่หลังจากที่หานลี่แผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบจากไกล ๆ แล้วก็ใจหายวาบ


ชายวัยกลางคนผู้นี้อยู่ในระดับหลอมร่างขั้นกลาง ยิ่งไปกว่านั้นในร่างของเขายังมีแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวออกมา


กลิ่นอายเคร่งขรึมเป็นพิเศษ ทว่าเมื่อเสริมกับท่าทางของชายวัยกลางคนแล้ว ก็ยิ่งดูอันตรายและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง


บุรุษวัยกลางคนดูเหมือนจะมีชื่อเสียงในเมืองเมฆาไม่น้อย เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นภายในหอที่เดิมทีมีเสียงดังจอแจก็เงียบลงในทันใด


หานลี่สังเกตเห็นว่ามีสายตามองไปยังบุรุษบนเวทีจำนวนไม่น้อยที่ฉายแววหวาดกลัวออกมา


หลังจากที่ชายวัยกลางคนกวาดสายตาไปด้านล่างเวที ก็เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า


“ผู้น้อยเซียวปู้อี คิดดูแล้วสหาย ณ ที่นี้คงจะรู้จักผู้น้อยกันอยู่ไม่น้อย ยังมีสหายที่ผู้น้อยคบค้าสมาคมอยู่ด้วย เช่นนั้นผู้แซ่เซียวจะไม่แนะนำอะไรมาก เข้าสู่หัวข้อหลักเลยดีกว่า งานประมูลสี่เผ่าในครั้งนี้เป็นเพราะผู้น้อยอยู่สังกัดเผ่าทราย ดังนั้นงานประมูลครั้งนี้จึงให้ข้าเป็นผู้ดูแลหลัก กฎของงานประมูล ก็คงไม่ต้องพูดอะไรแล้วเช่นกัน ไม่ต่างกับงานประมูลธรรมดาผู้ที่เข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางไม่รู้กฎต่าง ๆ นอกจากนี้ข้าจะบอกข่าวคราวสินค้าการประมูลในรอบสุดท้ายให้ทุกท่านฟังก่อน สินค้าประมูลรอบสุดท้ายในครั้งนี้ ย่อมเทียบกับงานประมูลสี่เผ่าครั้งที่แล้วไม่ได้อย่างแน่นอน และสำหรับสหายบางคนมูลค่าของสินค้าในรอบสุดท้ายนี้ยังมากกว่าราคาที่สูงที่สุดในงานประมูลครั้งที่แล้วอย่าง ’ยาลูกกลอนนำโชค’ อีก เอาล่ะ ผู้น้อยขอประกาศว่างานประมูลสี่เผ่าครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว!”


น้ำเสียงของเซียวปู้อีไม่ดังมากนัก แต่เมื่อใส่พลังปราณเข้าไป ทุกมุมของหอล้วนได้ยินอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคยังทำให้ทุกคนในนั้นเกิดความรู้สึกสนใจใคร่รู้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า จากนั้นงานประมูลก็เริ่มขึ้น


ชั่วพริบตาที่ชายวัยกลางคนหยุดชะงักคำพูด เขตอาคมสีฟ้าด้านล่างก็เปล่งเสียงร้องกึก ๆ ขึ้นอีกครั้ง บนโต๊ะที่เดิมว่างเปล่าก็มีเขตอาคมลำแสงขนาดเล็กสิบกว่าเขตเรียงรายเข้าด้วยกัน


จากนั้นลำแสงก็สว่างวาบบนโต๊ะปรากฏกล่องขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันสิบกว่ากล่อง พร้อมกับแผ่นป้ายหยกขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งแผ่น


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น คนส่วนใหญ่ในหอต่างก็เงียบกริบไม่พูดไม่จา รูม่านตาหดเล็กลงจับจ้องไปที่ของบนโต๊ะ


เซียวปู้อีก้าวมาข้างหน้า หยิบแผ่นป้ายหยกขึ้นมาดูแวบหนึ่งชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็แผ่เข้าไปข้างใน อ่านข้อความในนั้นอย่างไม่มีตกหล่น จากนั้นก็หยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาเปิดฝาออกด้วยสีหน้าราบเรียบ


“เหมือนกับงานประมูลครั้งก่อน ๆ ของที่จะทำการประมูลอันดับแรก ยังคงเป็นวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ อันดับแรกจะเริ่มที่ศิลาหงส์ก้อนนี้ก็แล้วกัน” เซียวปู้อีใช้มือหนึ่งกวัดแกว่งกล่องไปมา ชั่วขณะนั้นของในกล่องพลันลอยขึ้นมา


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลารูปทรงเหมือนวิหคยักษ์สีสันงดงามก้อนหนึ่ง


“ศิลาหงส์นั้นมีเพียงหงส์เที่ยงแท้ที่จะให้กำเนิดวัตถุดิบที่ล้ำค่านี้ได้ ไม่ว่าจะใช้หลอมอาวุธหรือว่าปรุงยา ล้วนมีมูลค่าสูงลิบ ศิลาหงส์ก้อนนี้มีน้ำหนักถึงสามชั่งสี่เหลี่ยง[1] เป็นสินค้าระดับสุดยอด ไม่มีเจือปน เปิดประมูลที่ราคาสองล้านศิลาวิญญาณ!” เซียวปู้อีพิจารณาก้อนหินห้าสีแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับผู้ที่อยู่ล่างเวทีอย่างเชื่องช้า


ศิลาหงส์ก้อนนี้มีประโยชน์หลากหลาย ยิ่งไปกว่านั้นศิลาก้อนใหญ่ขนาดนี้เปิดประมูลเพียงสองร้อยศิลาวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าต่ำมาก


แม้แต่หานลี่ที่ได้ฟังก็ยังสนใจ แม้ว่าตอนนี้วัตถุดิบชนิดนี้จะยังไม่มีประโยชน์ แต่หากประมูลได้ วันข้างหน้าย่อมได้ใช้แน่


ทว่าสถานการณ์ต่อจากนั้นก็ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ไปในทันที


ในตอนที่เซียวปู้อีเพิ่งจะบอกว่าราคาต่ำสุดในการประมูลแต่ละครั้งคือห้าแสน ก็มีเสียงสองล้าน สองล้านห้าแสนดังขึ้นมาจากจุดต่าง ๆ ในหอประมูลอย่างต่อเนื่อง


“สามล้านห้าแสน”


“สี่ล้าน”


……


ไม่ต้องให้บุรุษวัยกลางคนเอ่ยคำพูดปลุกใจอะไรอีก ราคาของศิลาหงส์ก็ขึ้นไปถึงสี่ล้านห้าได้อย่างง่ายดาย มากกว่าราคาเปิดประมูลเป็นเท่าตัว


ทว่าสุดท้ายศิลาห้าสีก้อนนี้กลับถูกหญิงสาวเผ่าหมึกเขียวได้ไปด้วยราคาห้าล้านสองแสนศิลาวิญญาณ


จ่ายเป็นศิลาวิญญาณและนำของไปทันที


การแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่เช่นนี้ แม้หานลี่จะเคยไปงานประมูลมาแล้วหลายครั้ง ก็อดสูดลมหายใจเฮือกด้วยความตกตะลึงไม่ได้


ของดีมันก็ดี แต่ราคามันจะสูงเกินไปหน่อยกระมัง


หานลี่พึมพำในใจ แน่นอนว่าไม่ได้มีเจตนาจะประมูลแล้ว


“ดอกราชันย์สีทอง อายุหกพันปี ยาลูกกลอนหายากเหล่านี้เป็นยาลูกกลอนที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมที่สุด ราคาเปิดประมูลสามล้านศิลาวิญญาณ” หลังเซียวปู้อีเปิดกล่องหยกอีกใบหนึ่ง ก็หยิบดอกไม้สีทองเรืองรองออกมาดอกหนึ่ง


ดอกไม้ดอกนี้มีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ ภายนอกดูเหมือนสวรรค์รังสรรค์สร้างขึ้นทุก ๆ กลีบ ราวกับสร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น


การประมูลดอกไม้ดอกนี้ไม่เหมือนกับศิลาหงส์ในตอนแรก เมื่อปรากฏตัวออกมาทั้งหอก็เงียบกริบ คนจำนวนไม่น้อยขมวดคิ้วมุ่นเกิดความเงียบงันอย่างคาดไม่ถึง


นั่นก็ไม่แปลกสำหรับคนส่วนใหญ่ ณ ที่นี้ สิ่งที่เรียกว่า ‘ดอกราชันย์สีทอง’ เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ทั้งยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ราคาเปิดประมูลนั้นกลับสูงกว่าศิลาหงส์ก่อนหน้าเสียอีก


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันลูบใต้คาง ความคิดในหัวแล่นเร็วจี๋ เขาเพิ่งเคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน


เซียวปู้อียืนยิ้มบาง ๆ อยู่บนเวทีไม่พูดอะไร ราวกับมั่นใจในของสิ่งนี้เป็นอย่างมาก


“สามล้าน” ในที่สุดก็มีคนเรียกราคาขึ้นมา


คนจำนวนไม่น้อยมองไป แต่กลับเป็นชายชราร่างกายผ่ายผอมมีเขาสีขาวคู่หนึ่งอยู่บนศีรษะ ไม่รู้ว่าเป็นชาวเผ่าใด


“สี่ล้านสองแสน”


ทันใดนั้นก็มีอีกคนเรียกราคา


“สี่ล้านห้าแสน”


“สี่ล้านแปดแสน”


……


การเรียกราคาอย่างต่อเนื่องดังขึ้นตามจุดต่าง ๆ ของหอ


แม้ว่าจำนวนของที่เรียกราคาจะไม่สูงนัก มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ราคาที่สูงขึ้น ไม่ด้อยไปกว่าคนก่อนหน้าเลยสักนิด


ดูแล้วคงมีเพียงคนพวกนี้ที่รู้ประโยชน์ของดอกไม้ดอกนี้ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทีต้องการมันมาก


ชายชราคนแรกกัดฟันประกาศราคาเจ็ดล้านออกไป ในที่สุดคนอื่น ๆ ก็ยอมถอยให้


เช่นนั้นเซียวปู้อีจึงหยิบสมบัติในกล่องออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทั้งหมดในหอให้เขาอธิบายคุณสมบัติเพียงง่าย ๆ ของก็ทยอยถูกคนซื้อไป


เมื่อกล่องหยกสิบกว่ากล่องถูกประมูลไปจนหมด หลังจากที่เขตอาคมส่งตัวเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ขวดหยดเจ็ดแปดขวดก็ปรากฎขึ้นบนโต๊ะอีกครั้ง


ครั้งนี้กลับเป็นการประมูลของเหลววิญญาณชนิดต่าง ๆ


ของเหล่านี้ล้วนเป็นของหายากยิ่งกว่าเดิม ทุกขวดแทบจะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนแย่งชิงกัน


การแลกเปลี่ยนสองสามขวดก่อนหน้า ส่วนใหญ่ล้วนมีราคาสูงกว่าราคาเปิดประมูลสามถึงสี่เท่า ราคาที่ขายออกไปก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในหอถึงกับสูดหายใจเฮือก


นั่นก็ไม่แปลกอะไรเดิมทีงานประมูลก็เป็นเช่นนี้ ของที่เหมือนกัน บางทีอยู่ในสายตาของคนที่ไม่เหมือนกัน ราคาก็ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันเป็นอย่างมาก!


ชั่วพริบตาของเหลวบนโต๊ะเหล่านี้ก็ถูกประมูลออกไปเจ็ดแปดส่วน เหลือเพียงขวดสีขาวนวลขวดหนึ่งเท่านั้น


เซียวปู้อีที่อยู่ด้านหน้าสุดของการประมูลมีสีหน้าเคร่งขรึมมาโดยตลอด แต่เมื่อสายตาตกไปที่ขวดใบสุดท้าย แววตาก็ระอุอขึ้นมา


หลังจากที่เขาสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความเสียดายแล้ว ถึงได้คว้ามือหนึ่งออกไป ดึงดูดสิ่งนั้นมาอยู่ในมือ และเอ่ยอย่างแช่มช้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ครึ่งขวด เปิดประมูลสิบแปดล้านศิลาวิญญาณ!”


“อะไรนะ ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์! ฟังไม่ผิดไปหรอกนะ งานประมูลจะมีสมบัติชนิดนี้ได้อย่างไร”


“แค่สิบแปดล้าน ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์เปิดประมูลราคาต่ำเช่นนี้! เป็นความจริงหรือ”


“เหตุใดของสิ่งนี้ถึงไม่อยู่ในรายการสุดท้ายของงานประมูล มันเป็นหนึ่งในเจ็ดของเหลวของแดนวิญญาณของพวกเราเชียวนะ!”


เสียง “ตูม” ดังขึ้น ในหอเต็มไปด้วยเสียงจอกแจกจอแจ คนจำนวนไม่น้อยร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ล้วนเผยท่าทางไม่อยากจะเชื่อออกมา


และมีคนจำนวนไม่น้อย จ้องเขม็งไปยังขวดเล็ก ๆ ในมือของเซียวปู้อีเขม็งด้วยแววตาละโมบ


กระทั่งในห้องที่ชั้นสามยังมีเสียงร้องอุทานจำนวนไม่น้อย


ส่วนหานลี่ที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของหอ ได้ยินชื่อของเหลวนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่


 


——


[1] เหลี่ยง หมายถึงหน่วยน้ำหนักของจีน หนึ่งเหลี่ยงเท่ากับห้าสิบกรัม

 

 

 


ตอนที่ 1598 สินค้ามีตำหนิ

 

“ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ ชื่อนี้หานลี่ย่อมเคยได้ยินมาก่อน แม้แต่คะนึงถึงอยู่ช่วงหนึ่ง 


 


 


เพราะของเหลวชนิดนี้เป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลับที่ชิงหยวนจื่อมอบหมายให้เขาไปรวบรวมมาหลอมยาลูกกลอนที่จำเป็นสำหรับระดับหลอมร่าง ว่ากันว่าของเหลวชนิดนี้ไม่ต้องนำไปปรุงยาหรือหลอมอาวุธ แค่กินเปล่า ๆ หยดหนึ่งก็สามารถลดเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรไปได้หลายปี 


 


 


ดังนั้นมูลค่าของมันจะมากแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นของสิ่งนี้ไม่ได้เกิดมาจากศิลาและไม้ แต่เกิดจากการหลอมด้วยเพลิงเหนือฟ้าที่หายาก จึงหายากกว่าสมุนไพรวิญญาณในระดับเดียวกัน 


 


 


หลังจากที่หานลี่เห็นข้อมูลในคัมภีร์แล้ว ก็รู้สึกว่าวัตถุดิบที่ชิงหยวนจื่อให้รวบรวมนั้นค่อนข้างเป็นไปไม่ได้ 


 


 


แต่ยามนี้ของเหลวเพลิงชนิดนี้ปรากฏขึ้นในงานประมูลครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นราคาเปิดประมูลยังต่ำเสียจนน่าเหลือเชื่อ 


 


 


ต้องเข้าใจว่าระดับความหายากของของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ จัดอยู่ในอันดับสุดท้ายในการประมูลได้อย่างเหลือเฟือ  


 


 


แม้ว่าศิลาวิญญาณสิบแปดล้านจะไม่น้อย แต่เทียบกับมูลค่าของเหลวชนิดนี้แล้ว แน่นอนว่าย่อมถูกอย่างน่าเหลือเชื่อ 


 


 


หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วรู้สึกว่าสิ่งที่เซียวปู้อีจะพูดต่อจากนี้จะต้องเป็นการอธิบายว่าเหตุใดถึงได้ราคาเท่านี้แน่ 


 


 


ในหอประมูล ผู้ที่มีความคิดเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงหานลี่คนเดียว คนจำนวนไม่น้อยก็มีสีหน้าแปลกประหลาดใจในเวลาเดียวกัน ใบหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส 


 


 


ดังคาดเซียวปู้อีเห็นปฏิกิริยาของผู้คนก็หัวเราะน้อย ๆ ออกมา จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าราคาเปิดประมูลของของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ทำให้เหล่าสหายตกตะลึง แต่ที่ราคาต่ำเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล แม้ว่าของเหลวเพลิงชนิดนี้จะถูกหลอมขึ้นจากเพลิงเหนือชั้น แต่ตอนที่หลอมกลับเกิดตำหนิขึ้น จึงมีข้อบกพร่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวัตถุดิบสำเร็จรูป แต่จุดนี้ผู้แซ่เซียวรับประกันได้ว่ายังมีคุณสมบัติหลัก ๆ ของของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์อยู่อย่างแน่นอน แต่แค่สรรพคุณลดลงหน่อยเท่านั้น” 


 


 


“ของมีตำหนิ!” ฝูงชนที่แต่เดิมเกิดเสียงอื้ออึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดลง 


 


 


คนจำนวนมากขมวดคิ้วมุ่น! 


 


 


สมุนไพรวิญญาณหรือแม้กระทั่งสมบัติวิเศษที่มีตำหนิไม่ใช่ว่าไม่เคยปรากฏขึ้นในรายการสินค้าประมูลของงานประมูลมาก่อน 


 


 


แต่ทุกชิ้นที่ซื้อกลับไป ว่ากันว่าใช้การได้ไม่ดีนัก ส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจเทียบกับของคุณภาพได้ ถึงอย่างไรเสียไม่ว่าการปรุงยาหรือหลอมอาวุธล้วน เน้นจำนวนวัตถุดิบและประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ แค่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้การปรุงยาลูกกลอนและการอาวุธล้มเหลวได้ 


 


 


ผู้ที่เดิมทีตื่นเต้นดีใจไม่น้อยถูกสาดด้วยน้ำเย็นก็ได้สติกลับคืนมา 


 


 


“ของมีตำหนิเสนอราคาสิบแปดล้าน เดิมทีก็คิดว่ามันต่ำไปหน่อย แต่ตอนนี้ดูแล้วกลับสูงเกินไปมาก” ยังคงเป็นบุรุษนิรนามที่ชั้นสามผู้นั้นหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา 


 


 


“สหายเลี่ย หากไม่สนใจของเหลวเพลิงนี้ เหตุใดต้องสนใจว่าราคาจะสูงหรือต่ำด้วย แต่จากร่างเปลวเพลิงของสหาย เกรงว่าของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์คงจะใช้ได้พอดีสินะ” เซียวปู้อีมองไปยังห้องบนชั้นสามแวบหนึ่ง ปากก็เอ่ยถามย้อนกลับอย่างไม่แข็งข้อและไม่อ่อนน้อม 


 


 


“หากเป็นของมีคุณภาพ ผู้แซ่เลี่ยย่อมต้องอยากได้อยู่แล้ว แต่หากเป็นของมีตำหนิล่ะก็ ย่อมมีประโยชน์กับข้าเพียงเล็กน้อย ข้าจะเอามันไปทำไม” บุรุษแซ่เลี่ยตอบกลับอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด 


 


 


แต่ครั้งนี้เซียวปู้อีฉีกยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไร แต่สะบัดแขนเสื้อไปทางฝาขวดในมือ 


 


 


ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบชั่วขณะนั้นฝาขวดพลันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า 


 


 


เสียง “ฟู่ ๆ” ดังขึ้น เสาลำแสงสีแดงสดต้นหนึ่งพุ่งออกมาจากปากขวด จากนั้นของเหลวสีแดงก็บินออกมาจากปากขวดตามเสาลำแสง 


 


 


สีสันแวววาว สีแดงระเรื่อ! 


 


 


แววตาของเซียวปู้อีเคร่งขรึม มือหนึ่งโบกสะบัดลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ในมือมีกระบี่บินยาวสองสามฉื่อเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น 


 


 


ลำแสงเย็นเยียบเปล่งประกาย รูปทรงวิจิตรโบราณ แค่มองก็รู้ว่าเป็นของคุณภาพดี 


 


 


เซียวปู้อีสะบัดข้อมือ ชั่วขณะนั้นกระบี่บินพลันกลายเป็นลำแสงเย็นเยียบ สับลงมาที่ของเหลวสีแดง 


 


 


ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น 


 


 


ชั่วพริบตาที่ลำแสงเย็นเยียบปะทะกับของเหลว คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียง “กึก ๆ” ประหลาด ๆ และไอสีขาวออกมา จากนั้นกระบี่บินทั้งเล่มก็หลอมละลายเป็นสีแดง เพียงกระพริบวาบสองสามครั้งก็สลายหายไป 


 


 


คิดไม่ถึงว่าของเหลวชนิดนี้จะมีอานุภาพที่น่ากลัวปานนี้! 


 


 


“เหล่าสหายคงได้เห็นแล้ว แม้ว่าของเหลวเพลิงสวรรค์เหล่านี้จะเป็นของมีตำหนิ แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการหลอมทองคำ มีสรรพคุณในการปรุงยาและมีประสิทธิภาพในการหลอมอาวุธเป็นอย่างดี” เซียวปู้อีมองเห็นความลังเลของคน ณ ที่นั้นก็เอ่ยอธิบายออกมา 


 


 


จากนั้นบุรุษวัยกลางคนก็อ้าปากออกพ่นไอสีเขียวออกมากลุ่มหนึ่ง ชั่วครู่ก็ปกคลุมของเหลวเพลิงนั้นเอาไว้ 


 


 


เสียง “ครืน ๆ” ต่ำ ๆ ดังขึ้นของเหลวเพลิงลุกไหม้ราวกับหงส์ฟื้นคืนชีพอย่างไรอย่างนั้น กลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่ง 


 


 


ความร้อนระอุแผ่ออกมาจากเวที และแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ยามนั้นทั่วทั้งหอตกอยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนระอุ ชนต่างเผ่าสองสามแถวที่อยู่ใกล้กับเวทีมากที่สุดราวกับตกอยู่ในทะเลเพลิงก็ไม่ปาน 


 


 


ผู้คนในหอแต่ละคนย่อมมีความสามารถ จึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ต่ออุณหภูมิร้อน แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังต้องเปลี่ยนสีหน้า 


 


 


จากประสบการณ์ของผู้คนแน่นอนว่าย่อมมองออกว่าเมื่อครู่เซียวปู้อีแค่ใช้ไอวิญญาณบริสุทธิ์ของตนเองดึงดูดคลื่นเพลิงกลุ่มนี้เท่านั้น ปฏิกิริยาการระเบิดออกในตอนนี้ล้วนเป็นเพราะอานุภาพของของเหลวเพลิง 


 


 


ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์มีตำหนิก็มีอานุภาพยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ช่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่จริง ๆ 


 


 


เดิมทีหอที่เงียบสงัดพลันมีเสียงพึมพำดังขึ้นอีกครั้ง สายตาของคนจำนวนไม่น้อยที่มองไปยังของเหลวเพลิงเปลี่ยนเป็นเล่าร้อนขึ้นมา 


 


 


เซียวปู้อีรู้ว่าบรรลุเป้าหมายของตนแล้วก็สะบัดแขนเสื้อไปทางลูกไฟอีกครั้ง 


 


 


หลังจากม่านลำแสงพุ่งออกไปเปลวเพลิงก็มอดลง เผยของเหลวเพลิงออกมาอีกครั้ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในปากขวด 


 


 


เซียวปู้อีใช้มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ ฝาขวดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วลดระดับลงมาปิดฝาลงอีกครั้งส่วนขวดก็ร่อนลงมาในฝ่ามืออย่างเชื่องช้า 


 


 


“จากนี้การประมูลของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์เริ่มขึ้นได้!” บุรุษวัยกลางคนประกาศออกมาอย่างไม่ลังเลอีก 


 


 


“สามสิบล้าน!” ราคาที่น่าตกตะลึงดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของหอ เรียกราคามากกว่าราคาเปิดประมูลไปเกือบครึ่ง 


 


 


คนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะเสนอราคาพลันตกตะลึง อดที่จะทยอยมองมาไม่ได้ 


 


 


เห็นเพียงคนที่เรียกราคาเป็นบุรุษใบหน้าซีดขาว สวมชุดคลุมสีดำยาวตัวหนึ่ง 


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหานลี่! 


 


 


เมื่อเห็นคนแปลกหน้าผู้นี้ ชนต่างเผ่าท้องถิ่นของเมืองเมฆาสวรรค์จำนวนไม่น้อยต่างก็ซุบซิบนินทากัน และล้มเลิกความคิดที่จะเสนอราคา 


 


 


แม้ว่าของเหลวเพลิงสวรรค์ที่มีตำหนิจะยังคงเป็นของล้ำค่า แต่ของมีตำหนิก็ยังเป็นของมีตำหนิ ราคาสูงขึ้นขนาดนี้แน่นอนว่าย่อมรู้สึกได้ไม่คุ้มเสีย 


 


 


ส่วนหานลี่นั้นกลับนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าดูเยือกเย็น แต่ในใจกลับตื่นเต้นอยู่เล็ก ๆ 


 


 


แม้ว่าของเหลวเพลิงจะเป็นของมีตำหนิ ประสิทธิภาพลดลงเป็นอย่างมากแต่ก็ยังเป็นของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ของแท้ ย่อมต้องมีประโยชน์ต่อชิงหยวนจื่อเป็นแน่ หากทิ้งโอกาสนี้ไปวันข้างหน้าก็คงไม่มีหวังที่จะได้ของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์มีคุณภาพมาอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นของมีตำหนิ เขาก็ต้องได้มันมาให้ได้ 


 


 


ดังนั้นหานลี่จึงไม่เกรงใจ เรียกราคาสูงเช่นนี้ไปตั้งแต่แรก 


 


 


ทว่าเขากลับไม่ได้คาดหวังว่าจะประมูลของชิ้นนี้ได้ง่าย ๆ แต่อย่างน้อยก็ล้มเลิกความคิดของคนส่วนใหญ่ไปได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน 


 


 


เขาไม่อยากให้พ่อค้าที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าท่ามกลางฝูงชนดีดราคาของเหลวชนิดนี้จนแม้แต่ตนเองก็ไม่อาจรับได้ 


 


 


เห็นได้ชัดว่าวิธีของหานลี่นั้นได้ผล หลังจากได้ยินราคานี้ใบหน้าของคนส่วนใหญ่ก็มีสีหน้าตกตะลึงและทยอยกันฟื้นฟูกลับมาเรียบgCp 


 


 


ทั่วทั้งหอตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง 


 


 


“สหายผู้นี้เรียกราคาสามสิบล้าน ยังมีผู้ใดจะเสนอราคาอีกหรือไม่ หลังจากถามสามครั้งของเหลวเพลิงสวรรค์ขวดนี้จะเป็นของสหายผู้นี้” เซียวปู้อีกวาดสายตามายังตำแหน่งของหานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดัง 


 


 


“ครั้งที่หนึ่ง!” 


 


 


“สามสิบสองล้าน!” เซียวปู้อีเพิ่งจะถาม เสียงแหบแห้งอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น 


 


 


หานลี่ได้ฟังแล้วพลันขมวดคิ้ว หันหน้ามองไปทางนั้นแวบหนึ่ง 


 


 


คนที่เสนอราคากลับเป็นชายชราสวมชุดสีเหลืองซึ่งอยู่ตรงใจกลางของหอ เส้นผมสีเหลืองกรอบแต่มีขนคิ้วดกดำและดวงตาสีฟ้า 


 


 


“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝูเหล่า เหตุใดเขาถึงสนใจของเหลวเพลิงชนิดนี้ด้วย” คนอื่น ๆ เห็นคนที่เสนอราคา ชั่วขณะนั้นคนจำนวนไม่น้อยก็พลันซุบซิบกันไปมา ดูเหมือนว่าชายชราผู้นี้จะมีชื่อเสียงในเมืองเมฆาเป็นอย่างมาก 


 


 


“สี่สิบล้าน” 


 


 


ไม่รอให้หานลี่คิดไตร่ตรองราคาให้ดีอีกเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากชั้นสาม แต่ไม่ใช่บุรุษแซ่เลี่ยคนก่อนหน้า กลับเป็นเสียงของสตรีอันไพเราะคนหนึ่ง 


 


 


ฝูเหล่าที่เสนอราคาที่เดิมทีมีสีหน้าเยือกเย็นพลันเผยสีหน้าลังเลออกมาในทันที มองไปยังผู้เสนอราคาชั้นสาม ริมฝีปากขยับพะงาบ ๆ สุดท้ายก็ส่ายศีรษะแล้วหุบปากไม่พูดอะไร 


 


 


“สี่สิบล้านครั้งที่หนึ่ง!” 


 


 


“สี่สิบล้านครั้งที่สอง!” 


 


 


“เซียวปู้อีเรียกราคาสองครั้งอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าราคานี้สูงกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ประกอบกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ลงมือจากชั้นสามจึงรู้สึกว่าคงไม่มีผู้ใดเสนอราคาอีก 


 


 


“สี่สิบห้าล้าน”  


 


 


หานลี่กลับเรียกราคาออกไปอีกครั้งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงนี้ ไม่ใช่แค่ผู้คนในหอ แม้แต่เซียวปู้อีก็ยังทนไม่ไหว มองมาทางหานลี่อีกแวบหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด 


 


 


ผู้ที่กล้าแย่งประมูลกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ในงานประมูล มีอยู่ไม่มากจริง ๆ 


 


 


“สี่สิบเจ็ดล้าน!” หญิงสาวเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนชั้นสามผู้นั้นกลับดูเหมือนว่าจะโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย จึงเสนอราคาออกมาอีกครั้งอ 


 


 


หานลี่ได้ยินราคานี้หางตาพลันกระตุกแต่ก็เรียกราคา “ห้าสิบล้าน” ออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย 


 


 


ศิลาวิญญาณจำนวนมากขนาดนี้แทบจะเป็นทั้งหมดที่เขามี หากมากกว่านี้ล่ะก็ แม้จะเสียดายแต่ก็ต้องยอมแพ้ 


 


 


แต่โชคดีที่สตรีชั้นสามผู้นั้นดูเหมือนจะรู้สึกว่าหากเสนอราคาออกไปจะไม่คุ้มค่า หลังจากแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาแล้ว ก็ไม่เสนอราคาออกมาอีก 


 


 


“เยี่ยม ห้าสิบล้านศิลาวิญญาณ ของเหลวเพลิงครึ่งขวดนี้เป็นของสหายผู้นี้ เชิญสหายมาแลกเปลี่ยนศิลาวิญญาณที่หอด้านข้าง” เซียวปู้อีถามสามครั้งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ตัดสิน 


 


 


หานลี่รู้สึกผ่อนคลายลงทันใดนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นเดินไปที่เวทีด้านหน้า 


 


 


เมื่อมาถึงเวทีเขาก็ควักศิลาวิญญาณระดับสุดยอดถุงหนึ่งที่นับเอาไว้ดีแล้วเอาออกมามอบให้อีกฝ่าย 


 


 


เซียวปู้อีแผ่จิตสัมผัสไปในถุงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ส่งขวดสีขาวนวลให้หานลี่ 


 


 


หานลี่แค่เปิดฝาขวดดูแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้ายินดีออกมา ค้อมตัวให้เซียวปู้อีเล็กน้อยแล้วลงจากเวทีกลับไปยังที่นั่งเดิมอย่างไม่รีบร้อน 


 


 


ระหว่างขั้นตอนนี้แน่นอนว่าหานลี่ย่อมรู้สึกได้ว่ามีสายตาจำนวนไม่น้อยกวาดมาบนตวเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าในบรรดาสายตาเหล่านั้น มีสายตาประสงค์ร้ายอยู่เท่าใหร่ 

 

 

 


ตอนที่ 1599 อสูรประหลาด

 

 


 


 


หานลี่กลับยิ้มอย่างเย็นชา เขาที่ใช้เคล็ดวิชาลวงตาปกปิดใบหน้า ขอเพียงแปลงรูปลักษณ์กลับไปเป็นของตนเองดังเดิม จะมีผู้ใดจำเขาได้อีก 


 


 


ต่อให้หนึ่งในนั้นเป็นผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาวิเศษ แต่มากที่สุดก็แค่ดูออกว่าใบหน้าของเขาไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงเท่านั้น 


 


 


ถึงอย่างไรเสียต้วนเทียนเหริ่นที่อยู่ในระดับหลอมร่างขั้นสุด ซึ่งเผชิญหน้ากับเขาก่อนหน้านี้ก็ยังทำได้เพียงเท่านั้น ผู้ที่อยู่ในระดับสุดยอดในหอเหล่านี้ย่อมไม่มีทางสนใจของเหลวเพลิงสวรรค์มีตำหนิขวดนี้แน่ 


 


 


ทว่าหลังจากที่หานลี่นั่งลงที่เดิม ก็หลับตาทั้งสองข้างลง ราวกับว่าไม่สนใจการประมูลต่อจากนี้อีก 


 


 


การประมูลต่อจากนี้ดำเนินการไปอย่างราบรื่นโดยมีเซียวปู้อีเป็นผู้ดำเนินการ แม้กระทั่งมีสินค้าอีกสองชิ้นที่ราคาไม่ด้อยไปกว่าของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ 


 


 


หนึ่งในนั้นคือสมบัติวิเศษอย่าง ‘หอยหมื่นอสูร’ ที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณ แม้ว่าอานุภาพจะไม่ถึงขั้นสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้า แต่เมื่อสมบัติชิ้นนี้ถูกกระตุ้นกลับมีอานุภาพในการทำให้อสูรวิญญาณระดับต่ำในบริเวณรอบเชื่อฟัง 


 


 


อีกชิ้นคือ ‘ยาลูกกลอนมังกรทะยาน’ ที่หานลี่นำออกมา 


 


 


ตอนนั้นที่ยาลูกกลอนปรากฎขึ้นบนเวที และถูกเซียวปู้อีอธิบายสรรพคุณที่น่าตกตะลึงนั้น ชั่วขณะนั้นพลันดึงดูดความสนใจของผู้คนในหอยกใหญ่ 


 


 


ยาลูกกลอนที่สามารถเพิ่มพลังปราณรวมทั้งทลายจุดคอขวดได้นั้น ไม่เคยมีใครรังเกียจมาก่อน 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นยาลูกกลอนระดับนี้ เคยปรากฎตัวในงานประมูลแค่ไม่กี่ครั้ง เมื่อปรากฎออกมาก็ทำให้การประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด 


 


 


แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าหลอมสูญ ก็ทยอยกันแย่งชิงสุดชีวิต 


 


 


สำหรับพวกเขาแล้ว ย่อมต้องเก็บยาลูกกลอนระดับนี้ไปไว้ใช้ในภายหลัง ไม่มีทางพลาดโอกาสงาม ๆ นี้ไปแน่ 


 


 


ส่วนชนต่างเผ่าระดับหลอมสูญที่แต่เดิมขาดแคลนยาลูกกลอนและเผชิญหน้ากับจุดคอขวดนั้น ยิ่งจ้องยาลูกกลอนบนเวทีเขม็ง ไม่มีท่าทีจะยอมถอยให้เลยสักนิด มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในงานประมูลครั้งต่อไปจะมียาลูกกลอนระดับหลอมสูญปรากฎขึ้นอีกหรือไม่  


 


 


หลังจากที่ราคาเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสุดท้าย ‘ยาลูกกลอนมังกรทะยาน’ ขวดนี้ของหานลี่ก็ถูกประมูลไปในราคาหกสิบสามล้าน สูงกว่าราคาของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ของหานลี่ 


 


 


คาดไม่ถึงว่ายาลูกกลอนชนิดนี้ยังตกไปอยู่ในมือของหญิงสาวระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แย่งชิงของเหลวเพลิงสวรรค์กับหานลี่ แน่นอนว่าหญิงสาวผู้นี้ย่อมใช้ยาลูกกลอนชนิดนี้ไม่ได้ แต่กว่าครึ่งคงเตรียมเอาไว้ให้ผู้น้อย 


 


 


แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ผู้ที่อยู่ชั้นสองของหอ ล้วนลอบทอดถอนใจกันไม่หยุด 


 


 


และเมื่อหานลี่ได้ยินราคาการประมูลครั้งสุดท้าย ก็หัวเราะอย่างขมขื่นในใจไม่หยุดเช่นกัน 


 


 


เขาไม่ได้ไม่พอใจราคาของการประมูล แต่แค่คำนวณยาลูกกลอนมังกรทะยานที่ตนเองกินเข้าไปเมื่อสองปีก่อน หากนำมาแลกเป็นราคานี้ล่ะก็ จะเป็นจำนวนศิลาวิญญาณที่น่าตกตะลึง 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นสองสามร้อยปีต่อจากนี้ เกรงว่าคงต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป เรียกได้ว่าถังแตก! 


 


 


แต่จะว่าไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะกินยาชนิดต่าง ๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มพลังยุทธ์ จากคุณสมบัติของเขาที่ไม่อาจบรรลุจุดคอขวดได้มากนัก จะพัฒนาจากระดับเทพแปลงขั้นต้นขึ้นมาอยู่ในระดับหลอมสูญในเวลาเพียงสองสามร้อยปีได้อย่างไร 


 


 


นี่คือสาเหตุที่หานลี่มองว่าขวดลึกลับมีมูลค่ามากกว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬอีกชิ้น 


 


 


มีสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนั้นที่แปลงเป็นสมบัติกระบี่ เขาอาจจะไร้เทียมทานในแดนวิญญาณ แต่หากไม่มีขวดเล็ก ๆ ลึกลับขวดนั้น เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ 


 


 


ในยามที่ม่านตาของหานลี่ปิดลง อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่นั้น งานประมูลก็ประมูลสมบัติออกไปสิบกว่ากลุ่ม ในที่สุดก็มาถึงจุดสำคัญ 


 


 


มองเห็นหุ่นเชิดสีฟ้าเข้มตัวหนึ่งบนเวทีถูกผู้ชนะการประมูลนำตัวไป แววตาของเซียวปู้อีก็กวาดไปรอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น 


 


 


“คิดดูแล้วสหายจำนวนไม่น้อยคงร้อนใจแล้ว จากนี้จะเป็นการประมูลสินค้าในรายการสุดท้ายที่ตั้งใจเลือกเฟ้นมา สองชิ้นในนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สี่เผ่าของพวกเรานำออกมาอีกสองชิ้นเป็นของล้ำค่าที่สหายคนอื่นเสนอเข้ามา” 


 


 


ยามที่เซียวปู้อีพูดนั้น เขตอาคมส่งตัวบนเวทีก็มีลำแสงประหลาดไหลวนโคจร เงาร่างคนพลิ้วไหวปรากฎเป็นเงาร่างคนอีกสี่สายขึ้น 


 


 


ชายชราเครายาวตัวเตี้ยคนหนึ่ง นักรบชุดเกราะร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากสีทองคนหนึ่ง หญิงอัปลักษณ์ร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียวมรกตคนหนึ่ง รวมไปถึงคนประหลาดผิวดำสนิทที่มีหัวสองหัว 


 


 


แม้ว่าสี่คนนี้จะมีหน้าตาแตกต่างกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของคนจำนวนมากใต้เวที กลับมีท่าทีสบาย ๆ ราวกับไม่ใคร่ใส่ใจอย่างไรอย่างนั้น  


 


 


ส่วนชนต่างเผ่าที่นั่งอยู่ใต้เวทีในหอ เมื่อเห็นทั้งสี่คนกลับอดที่จะสูดลมหายใจเฮือกไม่ได้ จากนั้นสหายสนิทที่อยู่ในบริเวณนั้นก็สุมหัวซุบซิบกันระลอกหนึ่ง 


 


 


“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุโสทั้งสี่!” 


 


 


“นั่นน่ะสิ ทั้งสี่เป็นแขกผู้มีเกียรติของเมืองเมฆาของเรา! คิดไม่ถึงว่างานประมูลครั้งนี้จะเชิญพวกเขามา” 


 


 


ในเวลาเดียวกันที่ทั้งสี่คนปรากฎตัวขึ้นบนเวที หานลี่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น รู้สึกใจหายวาบเช่นเดียวกัน 


 


 


ชนต่างเผ่าทั้งสี่ที่ปรากฎตัวขึ้นใหม่นั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้มีชีวิตระดับหลอมร่างขั้นกลางทั้งสี่คน มิน่าล่ะถึงได้โกลาหลวุ่นวายถึงเพียงนี้ 


 


 


เซียวปู้อีเห็นทั้งสี่คนปรากฎกาย ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา ในเวลาเดียวกันก็ประสานกำปั้นไปทางทั้งสี่คนแล้วเอ่ยทักทายปราศรัย 


 


 


“ครั้งนี้ต้องรบกวนสหายทั้งสี่แล้ว!” 


 


 


“ไม่เป็นไร ในเมื่อพวกเราทั้งสี่ได้ค่าตอบแทน แค่นี้นับว่าเล็กน้อยมาก!” ชายชราเครายาวผู้นั้นหัวเราะตอบกลับด้วยเสียงต่ำ 


 


 


ผู้ทั้งสามที่เหลือกลับเผยสีหน้าเรียบเฉยให้เซียวปู้อี เพียงตอบกลับพอเป็นพิธีไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก 


 


 


เซียวปู้อีไม่มีท่าทีแปลกใจกับสิ่งนี้ หลังพยักหน้าก็หันกายมาเอ่ยกับต่อว่า  


 


 


“สินค้าในรายการสุดท้ายในครั้งนี้มีเพียงสี่ชิ้น แต่ประกอบไปด้วยอสูรวิญญาณ วัตถุดิบ และสมบัติวิญญาณ ไม่มีทางทำให้ทุกท่านผิดหวังแน่ พี่หลัน เชิญท่านหยิบของออกมาก่อนเถิด” หลังจากเอ่ยจบ เซียวปู้อีก็หันกลับไปเอ่ยกับชายชรา  


 


 


ชายชราเครายาวพยักหน้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ หลังจากเสียงประหลาดกึก ๆ ดังขึ้น ก็มีของสิ่งหนึ่งบินออกมา 


 


 


เป็นถุงหนังสีดำสนิทใบหนึ่งขนาดเท่าฝ่ามือ ไม่สะดุดตาเลยสักนิด 


 


 


แต่เมื่อชายชราเผชิญหน้ากับถุงใบนี้กลับดูเหมือนจะมิกล้าดูแคลน ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศต่อเนื่องสองสามครั้ง 


 


 


ผิวของถุงหนังสีดำมีลำแสงสีดำไหลโคจรไปมา ฉับพลันก็พ่นหมอกสีดำออกมา จากนั้นหมอกก็เริ่มหมุนวนและพองขึ้น ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นกรงสีดำสูงสองสามจั้งกรงหนึ่ง 


 


 


ในกรงกลับมีอสูรน้อยสีม่วงตัวหนึ่งขดตัวอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นผิวหนังของมันยังถูกโซ่สีทองเงินพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะมือและเท้าขดอยู่กับร่างกาย เมื่อมองจากที่ไกล ๆ จึงราวกับก้อนขนขนาดใหญ่อย่างไรอย่างนั้น จนมองร่างเดิมไม่ออก 


 


 


ยามนี้สายตาของชนต่างเผ่าทั้งหมดรวมทั้งหานลี่ล้วนจับจ้องไปที่อสูรตัวนั้น 


 


 


พวกเขาต่างรู้ดี อสูรวิญญาณที่นำมาประมูลในรายการสุดท้ายได้นั้นต้องไม่ธรรมดา ต้องเข้าใจว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่สี่ก่อนหน้านี้ ยังไม่จัดอยู่ในรายการสุดท้ายเลย  


 


 


หรือว่าอสูรวิญญาณตัวนี้มีพละกำลังในระดับศักดิ์สิทธิ์ 


 


 


ทุกคนต่างมีความคิดฉายแวบผ่านไป มองแววตาของอสูรตัวน้อยตรงหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง 


 


 


เห็นได้ชัดว่ากรงสีดำมีเชื่อเสียงมาก แม้จิตสัมผัสของคนจำนวนมากจะกวาดไปพร้อมกัน และมองเห็นอสูรน้อยในกรงได้อย่างชัดเจน แต่กลับถูกลำแสงสีดำอ่อนที่แผ่ออกมาจากกรงดีดออกมาเบา ๆ ไม่อาจรุกรานเข้าไปได้ 


 


 


“หึ ๆ ดูแล้วสหายส่วนใหญ่คงรอไม่ไหวแล้ว พี่หลัน เจ้าแนะนำประวัติความเป็นมาของอสูรตัวนี้ด้วยตนเองเถิด” เซียวปู้อีเห็นเช่นนั้น พลันเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ ออกมา 


 


 


“พูดได้ดี ๆ ประวัติความเป็นมาของอสูรตัวนี้ ข้าก็รู้มาไม่มากนัก ทว่าหากกล่าวถึงแปดอสูรวิเศษจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในแดนวิญญาณ คิดดูว่าคงรู้จักกันไม่น้อยสินะ” ชายชราลูบเครายาว ๆ ของตนเองพลางส่ายศีรษะไปยามเอื้อนเอ่ย 


 


 


“อะไรนะ แปดอสูรวิเศษ หรือว่าอสูรตัวนี้คือหนึ่งในสี่มหาอสูรวิเศษ!” 


 


 


“ปัง” เสียงดังขึ้น ชั่วขณะนั้นทั้งหอพลันมีเสียงคึกคักดังขึ้น แม้แต่ห้องหินของชั้นสาม ผู้ที่มีกลิ่นอายน่าตกตะลึงจำนวนไม่น้อยก็ไม่อาจควบคุมกลิ่นอายของตนได้ 


 


 


“เหล่าสหายเข้าใจผิดแล้ว แปดอสูรวิเศษของแดนวิญญาณเป็นอสูรระดับใด แม้ว่ากำลังกายจะไม่เท่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์จะจับกุมได้ ความจริงแล้วอสูรวิญญาณในกรงเป็นลูกหลานที่สืบทอดสายโลหิตกว่าครึ่งมาจาก ‘มังกรวารีหน้ามนุษย์’ หนึ่งในแปดอสูรวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นเลือดผสม แต่เพราะมีโลหิตของหน้ามนุษย์จิ้งจอกผสมอยู่เป็นจำนวนมาก หากเลี้ยงดูดี ๆ วันข้างหน้าเติบโตขึ้นมันจะกลายเป็นหน้ามนุษย์จิ้งจอกที่แท้จริงที่อยู่ในระดับที่น่ากลัว อสูรตัวนี้พวกเราได้ตรวจสอบมาแล้ว น่าจะมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่กลิ่นอายบนร่างกลับไม่ด้อยไปกว่าระดับเผ่าเบื้องบนขั้นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อสูรทารกตัวนี้เริ่มมีความสามารถในการแปลงหน้าเป็นมนุษย์จิ้งจอกสองสามหน้าแล้ว แม้แต่เผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเรา หากไม่ร่วมมือกันหลาย ๆ คน ก็ไม่อาจจับเป็นอสูรตัวนี้ได้ ใช่แล้ว ลืมบอกเหล่าสหายไป อสูรตัวนี้คือสิ่งที่พวกเราสี่คนร่วมมือกันจับเอาไว้” ชายชราหัวเราะหึ ๆ เสียงต่ำ จากนั้นก็ตะปบมือไปทางกรงสีดำกลางอากาศ 


 


 


เสียง “ปัง” ดังขึ้น โซ่สีทองเงินที่รัดอสูรตัวน้อยเอาไว้พลันคลายตัวออก ในเวลาเดียวกันก็กลายเป็นลำแสงบาง ๆ สีทองเงินสายหนึ่งบินออกมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ร่อนลงมาในมือของชายชรา 


 


 


ในหอตกอยู่ในความเงียบสงัด 


 


 


ทุกคนล้วนอยากเห็นว่าอสูรวิเศษที่สืบทอดสายเลือดจากมังกรวารีหน้ามนุษย์จะมีหน้าตาเช่นไร 


 


 


เมื่อพันธนาการบนร่างหายไป ร่างของอสูรน้อยพลันสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะไม่หยัดกายลุกขึ้นในทันที ทั้งยังนอนในมุมหนึ่งของกรงโดยไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


เมื่อเห็นเช่นนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็อดสบตากันไปมามิได้ 


 


 


ทว่าครู่ต่อมาในกรงพลันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น 


 


 


หลังจากเสียง “ตูม” ดังขึ้น ลำแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากผิวหนังของอสูร ลำแสงเจิดจ้าเป็นอย่างมาก ผู้คนที่จับจ้องไปยังกรงทั้งหมดก็อดจะหลับตาลงมิได้ 


 


 


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ไม่ได้หลับตาทั้งสองข้างลงสนิท 


 


 


“เอ๋”  


 


 


เป็นไปไม่ได้ 


 


 


“อสูรตัวนั้นล่ะ!” 


 


 


ชนต่างเผ่าใต้เวทีลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความวุุ่นวาย คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา 


 


 


เห็นเพียงกรงเหล็กสีดำบนเวทีว่างเปล่า ไหนเลยจะมีร่องรอยของอสูรน้อยตัวนั้น 


 


 


แต่คนบนเวทีพลันมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ชายชราผู้นั้นแค่นเสียงหึออกมา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ 


 


 


“จนถึงครานี้ คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้าเล่นกลอีก ดูแล้วระหว่างทางคงยังไม่จำสินะ” 


 


 


ไม่ทันสิ้นเสียง ชายชราก็ชูมือขึ้น ยื่นนิ้วหนา ๆ ออกไปนิ้วหนึ่ง ดีดไปทางกรงสีดำ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)