ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1594-1605
ตอนที่ 1594 ของลอกเลียนแบบ
ที่แท้แล้วพวกเจิ้งซื่อหลินกับจ้าวซานเอ๋อร์กำลังปรึกษาเรื่องผิดศีลธรรมอย่างการหลอกลวงผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หัวข้อรายการในสัปดาห์นี้คือเรื่องศิลปะการวาดรูปที่จะมีการรวบรวมของสะสมเป็นผลงานศิลปะอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก่อนส่วนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งของปลอมและของจริง
จริงหรือปลอมนั้นต้องการการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ท่านเพราะในยุคสมัยนี้ชาวบ้านทั่วไปยังใสซื่อ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญในยุคสมัยนี้ยังไม่มีการแต่งเติมใด ๆ เป็นคำสรรพนามที่เรียกขานด้วยความนับถือจากใจจริง
ฉะนั้นชาวบ้านที่มาร่วมรายการพิสูจน์ของเก่าจึงเชื่อในถ้อยคำของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้อย่างไม่มีข้อสงสัย โดยปกติไม่มีทางไปขอตรวจสอบจากทางหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญกันอยู่แล้วเพราะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย คนทั่วไปจึงไม่อยากเสียเงินก้อนนี้สักเท่าไร
ฉะนั้นจึงกลายเป็นช่องโหว่ให้คนสารเลวอย่างเจิ้งซื่อหลินได้มีโอกาสใช้วิธีสกปรกสร้างฐานะให้ตนเอง
วิธีที่ใช้กันเป็นปกติที่สุดคือกล่าวหาว่าของจริงเป็นของเลียนแบบ หลังจากนั้นค่อยสั่งให้คนไปติดต่อเจ้าของแล้วกว้านซื้อของในราคาถูก จากนั้นก็นำมาออกขายในราคาสูง กำไรมหาศาลนี้ทำให้พวกเจิ้งซื่อหลินเหมือนเสพยาที่ยิ่งเสพก็ยิ่งติดและยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ
รายการสัปดาห์นี้ก็มีผลงานชิ้นเอกที่ทรงคุณค่าอย่างมาก พวกเจิ้งซื่อหลินต่างตรวจสอบมาแล้วพบว่าเป็นผลงานของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเป็นผลงานวาดต้นไผ่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแปดมหัศจรรย์แห่งหยางโจวของเจิ้งป่านเฉียว ผลงานวาดของเจิ้งป่านเฉียวจะเห็นได้น้อยนักในตลาดการซื้อขาย ภาพวาดชิ้นนี้เป็นของจริงล้ำค่าที่หากขายออกนอกประเทศไม่มีทางต่ำกว่าหลายแสนเลยทีเดียว
เจิ้งซื่อหลินคิดจะครอบครองผลงานวาดต้นไผ่ชิ้นนี้ เมื่อก่อนเขาไม่ใจกล้าพอจึงกล้าคิดจะครอบครองแต่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่มีราคาเท่าไรอย่างมากก็ได้แปดพันเหยียบหมื่นเท่านั้น
แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้าเขารู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ อีกทั้งยังไม่เคยโดนจับได้จนถึงทุกวันนี้จึงทำให้เขาใจกล้ามากขึ้น ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่มีทางเข้าตาเขาและเลือกลงไม้ลงมือแต่กับของราคาแพง
เหมยเหมยเล่าเรื่องนี้ให้เหยียนซินหย่าฟัง เหยียนซินหย่าก็โกรธมากเช่นกันก่อนจะแสดงท่าทีว่ามีแผนในใจอยู่แล้ว
เริ่มถ่ายทำช่วงครึ่งหลังแล้ว จ้าวซานเอ๋อร์เองก็นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้ชมล่างเวที เหมยเหมยมุ่นคิ้วแน่นต้องหาทางช่วยแม่ก่อนและไม่นานเธอก็มีแผนจึงลุกขึ้นเดินไปหาจ้าวซานเอ๋อร์เพื่อขอเปลี่ยนที่นั่งกับชายหนุ่มวัยรุ่นข้าง ๆเขาแล้วนั่งลง
จ้าวซานเอ๋อร์เป็นพยานบุคคลที่หากอีกสักครู่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จ้าวซานเอ๋อร์จะต้องมีประโยชน์มากแน่ ๆ
“ที่กำลังเอาขึ้นเวทีมานั้นเป็นภาพวาดต้นไผ่ของเจิ้งป่านเฉียว ขอเชิญผู้เชี่ยวชาญทุกท่านพิสูจน์ได้” พิธีกรรายการพูดเสียงดัง เหมยเหมยตั้งสติ ในที่สุดก็มาเสียที
คนที่ตั้งสติเช่นเดียวกันก็ยังมีจ้าวซานเอ๋อร์ ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวจนน่าตกใจ พอจะเห็นได้ว่าตื่นเต้นมากเพียงใด!
ภาพวาดรูปนี้เขาจะได้เงินส่วนแบ่งสองหมื่น เงินจำนวนนี้สามารถเอากลับไปสร้างบ้านขนาดสองชั้นหลังเล็กที่บ้านเกิดได้ จากนั้นค่อยหาสาววัยใสหน้าตาสะสวยสักคนแต่งงาน
เจ้าของภาพวาดเป็นหญิงวัยประมาณสี่สิบกว่าปีที่หน้าตาดูอ่อนโยน หว่างคิ้วดูตึงเครียดเล็กน้อย พอจะดูออกว่าผู้หญิงคนนี้ฐานะทางบ้านไม่ดีเท่าไร มาร่วมรายการโทรทัศน์ก็ไม่ได้สวมเสื้อชุดใหม่แต่อย่างใด
อีกทั้งเสื้อตัวนี้น่าจะผ่านการซักมาไม่น้อยแล้ว
จะว่าไปมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าแค้นใจที่สุดของตาแก่สารเลวเจิ้งซื่อหลินก็คือเขาเจาะจงเล่นงานชาวบ้านทั่วไป หากคนที่มีสถานะหน่อยเขาไม่เคยคิดเล่นตุกติกเพราะกลัวจะสร้างปัญหา
หญิงผู้นี้ได้เล่าที่มาของภาพอย่างกระชับโดยบอกว่าเป็นของสะสมเก่าของสามีเธอ สามีเสียชีวิตจากการป่วยเธอจึงอยากดูว่าภาพวาดรูปนี้มีราคาหรือไม่ หากขายได้ราคาดีจะมีเงินพอเลี้ยงทั้งครอบครัว
พวกเจิ้งซื่อหลินมองตากันแล้วแสร้งทำท่าตรวจดูภาพวาดก่อนที่ทั้งสามคนจะมีข้อสรุปเป็นเสียงเดียวกัน
“ของลอกเลียนแบบ แต่เป็นของลอกเลียนแบบเกรดดีที่ราคาตามท้องตลาดน่าจะราว ๆหนึ่งพัน ไม่มีทางเกินไปกว่านี้แล้ว”
หญิงผู้นี้หน้าเสียทันที ดวงตาแดงก่ำเอ่ยเสียงแหบแห้ง “เมื่อก่อนสามีฉันซื้อมาราคาสามพันหยวน แล้วทำไมมีค่าไม่ถึงสามพันได้ล่ะ?”
เธอไม่หวังให้เป็นของจริงอยู่แล้วแค่หวังว่าจะขายได้สามพันเพื่อไปใช้แก้ปัญหาคับขันที่บ้าน
แต่คิดไม่ถึงว่าขายได้ไม่ถึงสามพันด้วยซ้ำ แล้วเธอจะทำอย่างไรดีล่ะ?
หญิงผู้นี้ตัวอ่อนแทบทรงตัวยืนไม่ไหว ดูท่าทางน่าสงสารจับใจ
แต่กลับไม่ทำให้พวกเจิ้งซื่อหลินนึกสงสารเลยสักนิด
………………………..
ตอนที่ 1595 เป็นของจริง
เหยียนซินหย่านึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้อย่างมากและยิ่งโกรธแค้นเจิ้งซื่อหลินกว่าเดิม ไร้ซึ่งความเป็นคนจริง ๆ แม้แต่หญิงหม้ายเลี้ยงเดี่ยวยังข่มเหงรังแก
“ฉันขอดูรูปนี้หน่อย” เหยียนซินหย่าเอ่ยปาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอปริปากพูดในค่ำคืนนี้
พิธีกรชะงัก เขาเกือบลืมแขกรับเชิญสาวงามผู้นี้ไปแล้ว เขากำลังจะยื่นรูปไปให้แต่เจิ้งซื่อหลินแสยะยิ้มพูดเสียดสี “ของลอกเลียนแบบมีอะไรน่าดูกัน? อีกอย่างเธอดูออกเหรอ?”
เหยียนซินหย่าไม่ยอมแพ้ “เป็นของลอกเลียนแบบหรือเปล่ายังไม่แน่หรอก คุณเจิ้งซื่อหลินบอกว่าใช่ก็ต้องใช่งั้นเหรอ? คุณก็แค่ผู้เชี่ยวชาญจอมปลอมที่เพิ่งเข้าวงการมา คุณจะเป็นตัวแทนตัดสินอะไรได้?”
เธอตั้งใจฉีกหน้าจึงไม่มีทางเกรงใจอยู่แล้ว พอเธอสลัดภาพลักษณ์อันโอนอ่อนผ่อนพันก่อนหน้าเป็นคนปากร้ายขึ้นมา ทำให้ผู้ชมล่างเวทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที มีเรื่องสนุก ๆให้ดูกันแล้วล่ะ!
เหมยเหมยล้วงกล้องจากกระเป๋ามาเริ่มบันทึกภาพเพราะถึงเวลานั้นแล้วทางช่องต้องตัดส่วนนี้ออกแน่ ๆ เธอต้องบันทึกไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
พิธีกรทำหน้าลำบากใจแต่เพื่อให้เรื่องนี้จบลงอย่างสันติ เขาจึงพูดกู้สถานการณ์ไม่กี่ประโยคแล้วส่งรูปไปให้เหยียนซินหย่า
เหยียนซินหย่าสังเกตอย่างละเอียด แถมยังใช้แว่นขยายตรวจสอบรอยตราประทับ ตราประทับเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่บ่งบอกว่าผลงานเป็นของเจิ้งป่านเฉียวจริงหรือเปล่า แม้ทุกคนจะแยกแยะของจริงของปลอมไม่ได้แต่เหยียนซินหย่ากำลังตรวจสอบดูด้วยความตั้งใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนพวกเจิ้งซื่อหลินที่ดูไม่ถึงหนึ่งนาทีก็สรุปว่าเป็นของลอกเลียนแบบแล้ว
ไม่ใส่ใจเลยสักนิด!
เหยียนซินหย่าดูไปถึงห้านาทีเต็ม ๆถึงเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงหนักแน่น “เป็นของจริง มั่นใจได้ และถูกนำไปประมูลขายที่ฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว รูปวาดต้นไผ่รูปหนึ่งของเจิ้งป่านเฉียวขายได้เจ็ดหมื่นแปดพันดอลลาร์สหรัฐ รูปนี้ของคุณขนาดพอ ๆ กับรูปนั้น คุณสามารถใช้ราคานี้เป็นเกณฑ์ได้”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นท่ามกลางผู้ชมในฉับพลัน
ผู้เชี่ยวชาญสามคนบอกว่าขายได้ไม่ถึงหนึ่งพัน
แต่ผู้เชี่ยวชาญสาวงามกลับบอกว่าขายได้ถึงหลายแสนหยวน
นี่มันต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะ!
ใครกันแน่ที่พูดความจริง?
หญิงผู้นี้ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอไม่ใช่หญิงแม่บ้านความรู้น้อย เงินเจ็ดหมื่นแปดพันดอลลาร์สหรัฐเท่ากับเงินหยวนเท่าไรเธอรู้ชัดเจนดี ต่อให้ปัดเป็นเลขกลม ๆก็เป็นเงินก้อนมหาศาลเลยทีเดียวและเพียงพอให้เธอเอาไปใช้จ่ายเลี้ยงดูทั้งครอบครัวอย่างดีเชียว
แต่ว่ามันใช่ความจริงหรือเปล่านะ?
“พูดเหลวไหล จะเป็นของจริงได้ไง? เป็นของลอกเลียนแบบชัด ๆ หรือว่าเราสามคนจะดูผิดได้งั้นเหรอ?” เจิ้งซื่อหลินพูดเหน็บแนมใส่ไม่หยุด ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็มีสีหน้าย่ำแย่มาก
เหล่าผู้ชมเริ่มลังเลและเริ่มเอนเอียงไปทางเจิ้งซื่อหลิน
สามต่อหนึ่งเชียวนะ อย่างไรเสียแววตาของสามคนก็ดูน่าเชื่อถือมากกว่าสิ!
สิ่งสำคัญก็คือเหยียนซินหย่ายังสาวยังสวยเกินไป จนทำให้ทุกคนอดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ไม่มีทางที่จะมีความรู้อย่างลึกซึ้งเพราะอาศัยเพียงใบหน้าก็สามารถมีชีวิตอันสุขสบายได้แล้วนี่นา!
พิธีกรเองก็รู้สึกว่าเหยียนซินหย่าพูดจาเหลวไหล ในเมื่อเขาร่วมงานกับพวกเจิ้งซื่อหลินมาหลายตอนเลยสนิทกันมากกว่า
ขณะที่เขาเตรียมประกาศว่ารูปวาดต้นไผ่เป็นของลอกเลียนแบบ เหยียนซินหย่าก็ลุกพรวดอย่างร้อนใจพลางตะโกนเสียงดัง “ฉันกล้าสาบานด้วยเกียรติของฉัน รูปนี้คือของจริง พวกเจิ้งซื่อหลินสามคนก็รู้ว่าเป็นของจริง แต่ทำไมพวกเขาถึงบอกว่าเป็นของปลอม ทุกท่านรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
เหล่าผู้ชมต่างส่ายหน้าเป็นพัลวันก่อนเร่งเร้าให้เหยียนซินหย่าบอกเหตุผลมา
สองคนนั้นสีหน้าดูลนลานเล็กน้อย ส่วนเจิ้งซื่อหลินกลับทำหน้าเรียบนิ่งแถมยังใช้สายตาบอกเพื่อนที่สมคบคิดให้ใจเย็นแล้วนั่งอย่างสบายใจก็พอ
ต่อให้เหยียนซินหย่าเปิดโปงแล้วอย่างไรล่ะในเมื่อเธอไม่มีหลักฐาน อย่างมากพอถึงตอนนั้นเขาก็แค่บอกว่าแก่แล้วตาลายถึงดูพลาดไปก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อเขาแล้ว
“เหยียนซินหย่าเธอพูดแบบนี้ต้องมีหลักฐาน ไม่มีหลักฐานฉันสามารถฟ้องข้อหาจงใจใส่ร้ายได้นะ” เจิ้งซื่อหลินพูดเสียงเย็นชา
ตอนที่ 1596 มีหลักฐาน
จ้าวซานเอ๋อร์ก็ชักรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขารอดพ้นจากภัยอันตรายมาได้นับไม่ถ้วนเพราะสัญชาตญาณอันว่องไว เขากลอกตาทีหนึ่งก็ตัดสินใจไม่เอาเงินสองหมื่นแล้วเตรียมจะแอบย่องหนีไป
“ไปไหนล่ะ? อยู่เฉย ๆ!”
เสียงเย็นดังขึ้นและมีของแข็งเย็นเฉียบดันอยู่หลังเอว จ้าวซานเอ๋อร์ขมิบรูตูดไหนเลยจะกล้าขยับจึงนั่งลงอย่างว่าง่าย แต่กลับเห็นสาวงามที่นั่งอยู่ข้างเขาเมื่อสักครู่กำลังแสยะยิ้มให้เขา
ทั้งที่สวยขนาดนั้นแต่เขากลับเหงื่อตกเสียได้
เพราะในแขนเสื้อหญิงสาวมีมีดสั้นเล่มหนึ่งซึ่งก็คือของที่กำลังดันอยู่ด้านหลังเขาพอดี จ้าวซานเอ๋อร์มองปราดเดียวก็รู้ว่าเหมยเหมยมีทักษะการต่อสู้ นั่นยิ่งทำให้ไม่กล้าดื้อดึงแล้วนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม
เหยียนซินหย่าบนเวทีเพิกเฉยต่อคำเตือนของเจิ้งซื่อหลินพลางพูดเสียงดัง “เหตุผลที่พวกเขาสามคนบอกว่ารูปนี้เป็นของลอกเลียนแบบก็เพราะพวกเขาถูกใจรูปนี้ อยากยึดมาเป็นของตัวเอง”
เหล่าผู้ชมส่งเสียงฮือฮาอีกระลอก มองขึ้นไปบนเวทีอย่างเหลือเชื่อ
นั่นเป็นผู้เชี่ยวชาญอันทรงเกียรติเชียวนะ แล้วจะทำเรื่องผิดคุณธรรมผิดจรรยาบรรณแบบนี้ได้อย่างไร?
“ศาสตราจารย์เหยียน ตอนนี้เรามาตรวจสอบรูปกันต่อเถอะ พวกคุณมีอะไรไว้ค่อยคุยกันทีหลังได้ไหม?” พิธีกรฝืนยิ้ม ไม่อยากให้เหยียนซินหย่าก่อเรื่องใหญ่โต
เขาพลิกชีวิตได้เพราะรายการนี้ยังไม่ทันได้เสพสุขด้วยซ้ำ!
เหยียนซินหย่าพูดเสียงเย็นชา “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนขี้หลอกลวงแบบนี้ รายการพวกคุณเชิญพวกหายนะสามคนนี้มาเอาเปรียบประชาชนแล้วล่ะ!”
พิธีกรน้ำตาไหลอาบแก้ม…เขาไม่ได้เป็นคนเชิญแขกรับเชิญมานี่นา!
เหยียนซินหย่าพูดต่อ “พวกเขาสามคนกับมิจฉาชีพที่ชื่อจ้าวซานเอ๋อร์ร่วมหัวกันจงใจบอกว่าของจริงเป็นของลอกเลียนแบบแล้วยังตีราคาออกมาต่ำ อย่างภาพวาดต้นไผ่รูปนี้พวกเขาบอกว่ามีราคาแค่หนึ่งพัน หึ รอจบรายการจ้าวซานเอ๋อร์นั่นก็จะไปหาคุณผู้หญิงคนนี้แล้วใช้เงินหนึ่งพันซื้อภาพวาดรูปนี้ไป”
ขณะนี้ผู้ชมด้านล่างต่างเดือดกันระนาว เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ฟังเรื่องที่เอาของปลอมมาแทนของจริงเช่นนี้ มันน่าโมโหเสียจริง!
เหยียนซินหย่าหยุดพูดไปช่วงหนึ่งก่อนพูดต่อ “คุณผู้หญิงคนนี้รีบร้อนใช้เงินคงต้องขายรูปนี้แน่ ๆ แล้วพวกเจิ้งซื่อหลินก็จะขายรูปนี้ออกไปในราคาสูง ได้กำไรมาหลายแสนอย่างง่ายดาย”
“พวกคุณ…พวกคุณยังมีความเป็นคนอยู่ไหม? นี่เป็นเงินช่วยชีวิตฉันเชียวนะ!”
หญิงผู้นี้ร่ำไห้ปล่อยเสียงโฮที่ทำเอาห้องอัดรายการปั่นป่วนไปหมด ไม่มีใครยอมฟังคำของพิธีกรเลย ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นเพียงของประดับตกแต่งไปโดยปริยาย
เจิ้งซื่อหลินยังใจเย็นเหมือนเดิมพลางพูดเสียงเรียบ “ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่คำพูดของเธอฝ่ายเดียว ไม่มีหลักฐานอะไร เธอรอใบสั่งฟ้องเถอะ!”
เหยียนซินหย่ามองเขาด้วยรอยยิ้มเย็นชา เจิ้งซื่อหลินรู้สึกเสียววาบขึ้นมาและชักรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ หรือว่า….
“ใครว่าฉันไม่มีหลักฐาน? ถ้าฉันไม่มีหลักฐานแล้วจะรู้แผนชั่วช้าของพวกคุณสามคนได้อย่างไร!” เหยียนซินหย่ากวักมือให้เหมยเหมยที่อยู่ล่างเวทีเป็นเชิงให้เธอพาจ้าวซานเอ๋อร์ขึ้นมา
พิธีกรเหงื่อไหลอาบ ทั้ง ๆที่เขาพูดไปหลายประโยคแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเพราะผู้ชมกำลังอารมณ์เดือดได้ที่ การถ่ายรายการเสียการควบคุมไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
เหมยเหมยเลื่อนมีดสั้นในแขนเสื้อออกมาอีกนิด จ้าวซานเอ๋อร์เดินขึ้นเวทีอย่างเชื่อฟังโดยมีเหมยเหมยตามติดอยู่ด้านหลัง
“คนนี้ก็คือมิจฉาชีพจ้าวซานเอ๋อร์ เขาร่วมมือกับพวกเจิ้งซื่อหลินสามคนนี้มานาน ไม่รู้ว่าหลอกเอาของรักของหวงคนอื่นไปตั้งเท่าไรแล้ว!”
เหมยเหมยแนะนำประวัติของจ้าวซานเอ๋อร์สั้น ๆกระชับ เวลานี้เจิ้งซื่อหลินจึงรู้สึกถึงอันตรายที่จะมาเยือน
จ้าวซานเอ๋อร์กลัวตาย เกรงว่าจะยอมสารภาพหมดเปลือกน่ะสิ!
“คน ๆนี้ก็เป็นแค่พวกสิบแปดมงกุฎ คำพูดของเขาเชื่อถือได้เหรอ?” เจิ้งซื่อหลินแค่นเสียงทีหนึ่งแล้วพูดโยนความผิดให้อีกฝ่าย
………………………
ตอนที่ 1597 อาจารย์ที่แท้จริง
เหมยเหมยเหลือบมองไปทางจ้าวซานเอ๋อร์อย่างเย้ยหยันแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเยาะ “นี่ เพื่อนร่วมงานของคุณบอกว่าคุณเป็นพวกสิบแปดมงกุฎแหนะ คุณว่ามาสิว่าคุณใช่หรือเปล่า?”
จ้าวซานเอ๋อร์นึกแค้นในใจแต่เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่รู้ว่าเวลานี้จะแตกคอกับเจิ้งซื่อหลินไม่ได้ ยอมเสียเปรียบตอนนี้ก่อนไว้ค่อยไปคิดบัญชีกับเจิ้งซื่อหลินทีหลัง เมื่อตัดสินใจได้จ้าวซานเอ๋อร์ก็ร่ำไห้ขึ้นมา
“ผมบริสุทธิ์นะ ผมดูรายการอยู่ข้างล่างอยู่ดี ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็เอามีดข่มขู่ให้ผมขึ้นมา ยังบอกว่าถ้าผมไม่เชื่อฟังเธอก็จะฆ่าผมด้วย…ฮือ…
ผมมีแม่อายุแปดสิบต้องดูแล มีลูกน้อยกินนมต้องดูแล ทุกคนต่างฝากชีวิตไว้ที่ผมคนเดียว…ผมไม่อยากตายนะ!”
ปกติเวลาไม่มีงานจ้าวซานเอ๋อร์ก็จะไปรับงานรับจ้างร้องไห้ตามงานศพ ด้วยเสียงร้องดังกังวานมีจังหวะขึ้นลงจึงทำเอาคนที่ได้ยินน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกปวดใจแปลก ๆ
ทุกคนต่างตกตะลึง รวมถึงพิธีกรรายการที่ลอบด่าในใจว่าช่างโชคร้ายนัก มีมีดออกมาแล้วด้วย อัดรายการอยู่ดี ๆ กลับกลายเป็นสถานที่ก่อเหตุฆาตกรรมขึ้นมาเสียดื้อๆ
“คุณผู้หญิงคนนี้รบกวนช่วยลงไปหน่อยได้ไหม? เรากำลังอัดรายการกันอยู่ คุณกำลังรบกวนการทำงานของเรา” พิธีกรรายการพยายามพูดอย่างใจเย็น
เหมยเหมยเตะจ้าวซานเอ๋อร์ที่คิดจะย่องหนีให้ล้มลงพื้นทีเดียวแล้วพูดเสียงดัง “รายการพวกคุณปกป้องมิจฉาชีพ เหอะ คุณมั่นใจนะว่าจะให้มิจฉาชีพสามคนนี้อัดรายการต่อ? อย่าหาว่าฉันไม่เตือนคุณล่ะ ถึงตอนนั้นไม่แน่คุณอาจตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วยก็ได้!”
พิธีกรรายการเหงื่อตกพยายามฝืนยิ้มดูดีเอาไว้แต่กลับสบถคำหยาบอยู่ภายในใจ
“เหอะ เราใช่มิจฉาชีพหรือเปล่าคิดว่าลำพังแค่เด็กหัวกะโปกอย่างเธอจะมาตัดสินได้เหรอ? เหยียนซินหย่า ถ้าเก่งจริงเธอก็เอาหลักฐานออกมาสิ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาก่อความวุ่นวายตรงนี้ มันรบกวนการทำงานของช่อง” เจิ้งซื่อหลินเห็นจ้าวซานเอ๋อร์ยังไม่ยอมแพ้เลยยืดหลังตรงอีกครั้งพร้อมพูดเสียงดุดัน
ผู้ชมด้านล่างก็เริ่มพูดคล้อยตามให้เหยียนซินหย่าเอาหลักฐานออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
เหยียนซินหย่าลนลานไปชั่วขณะแต่ไม่นานก็ตั้งสติได้พลางเอ่ยกับพิธีกรคนนั้นว่า “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว รูปนี้คือของจริงหรือของลอกเลียนแบบกันแน่ ทางช่องต้องให้ข้อสรุปเขาหน่อยใช่หรือเปล่า?”
พิธีกรไม่รู้ควรพูดตอบรับอย่างไรดีเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ได้อยู่เหนือการควบคุมของเขาไปแล้วเลยเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
ชายร่างอวบอ้วนสวมแว่นตาคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที เขาเป็นผู้กำกับของทางรายการที่ยิ้มเอ่ยต่อเหยียนซินหย่าว่า “ศาสตราจารย์เหยียนพูดถูก ต้องให้ข้อสรุปกับเขาหน่อยแต่ข้อสรุปนี้จะให้ยังไง ศาสตราจารย์เหยียนมีข้อเสนอแนะอะไรไหมครับ?”
ผู้กำกับคนนี้ฉลาดไม่เบาแอบผลักปัญหาที่ยุ่งยากนี้ให้เหยียนซินหย่า
เหยียนซินหย่าอมยิ้ม ยังคงท่าทางใจเย็นเหมือนเดิม “ถ้าผู้กำกับไม่หาว่าวุ่นวายไปละก็ ให้ฉันโทรหาอาจารย์โจวได้ไหมคะ?”
ผู้กำกับหน้าเปลี่ยนสีพยายามปกปิดความดีใจเอาไว้ก่อนถามหยั่งเชิง “อาจารย์โจวที่ศาสตราจารย์เหยียนหมายถึงใช่…”
“ใช่ค่ะ ในวงการภาพศิลปะโบราณหากท่านบอกว่าตัวเองอยู่อันดับสองก็คงไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นอันดับที่หนึ่งแล้วล่ะ ถ้าท่านบอกว่ารูปนี้คือของจริงฉันคิดว่าทุกท่านก็คงไม่มีข้อโต้แย้งอะไรแล้วสินะ?”
ผู้กำกับพยักหน้ารัว ๆ “สิ่งที่อาจารย์โจวพูดแล้วจะยังปลอมได้อย่างไรอีก ไม่มีข้อโต้แย้งแน่ ๆ เพียงแต่อาจารย์โจวจะยอมมาเหรอ?”
ตอนเริ่มรายการคนที่เขาเชิญเป็นคนแรกก็คืออาจารย์ที่มีความสำคัญระดับประเทศท่านนี้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ!
ผู้กำกับที่หมดสิ้นหนทางเลยเชิญผู้เชี่ยวชาญที่ไม่สมจริงเท่าไรมาทำรายการ ดีที่ของเก่าวัตถุโบราณพวกนี้เดิมก็อาศัยแค่การโกหกผู้ชมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่รู้และเข้าใจก็มีน้อยแค่ฉ้อฉลต่อไปก็พอ
หากอาจารย์โจวยอมมาก็จะเป็นจุดเด่นสุดของรายการเชียวล่ะ!
เหยียนซินหย่ายิ้ม “ฉันยังพอจะรู้จักกับอาจารย์โจวบ้าง ฉันจะโทรหาท่านเดี๋ยวนี้เลย!”
การมาเข้าร่วมรายการนี้แน่นอนว่าเหยียนซินหย่าไม่มีวันออกรบโดยที่ไร้การเตรียมพร้อมอย่างแน่นอน จึงได้ติดต่อกับอาจารย์ก่อนล่วงหน้าเพราะอาจาย์โจวเป็นเพื่อนสนิทของอาจารย์เซียวและรู้จักเหยียนตานชิงย่อมต้องให้หน้าเหยียนซินหย่าอยู่แล้ว
ตอนที่ 1598 เป็นของแท้จริงๆ
อาจารย์โจวสุดยอดจริง ๆ พอฟังเรื่องราวจากปากของเหยียนซินหย่าก็ตอบตกลงมาร่วมรายการทันที นั่นจึงทำเอาผู้กำกับดีใจแทบแย่พลันเปลี่ยนอารมณ์จากโกรธเป็นดีใจ ยังแอบคิดว่าโชคดีแล้วที่เหยียนซินหย่าก่อความวุ่นวายขึ้นมา
วุ่นวายต่อไปเถอะ วุ่นวายให้มากกว่านี้สิยิ่งดี!
เหมยเหมยโทรหาลุงเหลาอีกครั้งให้เขาไปรับอาจารย์โจวด้วยตัวเอง ท่านอาจารย์อายุไม่น้อยแล้วทางที่ดีอย่าเป็นอะไรไปเลยดีกว่า!
เจิ้งซื่อหลินเริ่มใจเต้นตึกตักเหมือนตีกลอง เขาต้องเคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของอาจารย์โจวมาอยู่แล้ว เป็นบุคคลสำคัญของวงการของโบราณวัตถุที่สายตาหลักแหลมยิ่งกว่าซุนหงอคงเสียอีก!
ตาแก่นี่รู้จักกับเหยียนซินหย่าได้อย่างไร?
บ้าเอ้ย!
ดูท่าทางรูปในวันนี้คงต้องหลุดมือไปเสียแล้ว!
‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อีกสองท่านกลับไม่ใจเย็นเหมือนเจิ้งซื่อหลิน พวกเขาปาดเหงื่อเป็นพัก ๆและรู้สึกเสียใจทีหลังอย่างถึงที่สุด
หากรู้แต่แรกว่าสัปดาห์นี้จะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้นตีให้ตายพวกเขาก็ไม่มีวันมา เอาล่ะสิทีนี้สงสัยชื่อเสียงที่สั่งสมมาค่อนชีวิตต้องเป็นอันจบสิ้นแล้ว!
เหมยเหมยพูดเย้ยหยัน “ผู้เชี่ยวชาญสองท่านร้อนมากเลยเหรอคะ? ดูสิเหงื่อท่วมเชียว ไม่สบายหรือเปล่า?”
ทีนี้ทุกคนถึงสังเกตถึงความผิดปกติของสองคนนี้ที่เหงื่อไหลโชก หน้าซีด แสดงท่าทีหวาดกลัวเหมือนหัวขโมยอย่างเห็นได้ชัด เลยอดเชื่อถ้อยคำของเหยียนซินหย่ามากกว่าเดิมไม่ได้
ศาสตราจารย์สาวงามสีหน้าเรียบนิ่งออร่าเฉิดฉาย บ่งบอกว่าเขาไม่เคยทำความผิดอะไรที่ต้องหลบ ๆซ่อน ๆ!
เจิ้งซื่อหลินลอบด่าในใจว่าเจ้าโง่แล้วจงใจพูด “อาชีพอย่างเราที่นั่งเก้าอี้เป็นเวลานานต้องไม่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ หรือว่าทั้งสองท่านจะลงไปพักผ่อนก่อน?”
อีกเดี๋ยวจะได้ไม่ต้องเผยไต๋ต่อหน้าอาจารย์โจว!
เหมยเหมยพูดประชด “หนูนึกว่าทำความผิดมาจนใจฝ่อเสียอีก!”
เจิ้งซื่อหลินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เราเป็นคนซื่อสัตย์ ทำไมต้องใจฝ่อด้วยล่ะ? ต่อให้รูปต้นไผ่รูปนี้เราดูพลาดไปจริง ๆก็เป็นเพราะเราเรียนรู้มาไม่ดีพอ”
เหมยเหมยแค่นหัวเราะ “คุณกลับคำเร็วดีนี่ เมื่อกี้ยังพูดเสียงมั่นอกมั่นใจนักหนาว่าเป็นของลอกเลียนแบบไม่ใช่เหรอ? ทำไมพอได้ยินว่าผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจะมาก็กลับคำพูดเสียล่ะ กลัวเผยไต๋งั้นสิ?”
เจิ้งซื่อหลินแค่นเสียงทีหนึ่งโดยไม่สนใจเธออีก
ขอแค่จ้าวซานเอ๋อร์ไม่ยอมรับเขาก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น อยู่เมืองหลวงต่อไม่ไหวก็ไปเมืองอื่น ประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลจะไม่มีที่ยืนสำหรับเขาได้อย่างไร!
สองคนที่เหลือกลับไม่ได้มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งเท่านี้พลันขาอ่อนคิดอยากใช้ข้ออ้างว่าป่วยในการหนี แต่เหมยเหมยจับจ้องไม่ละสายตา ต่อให้พวกเขาอยากหนีก็หนีไม่พ้นเลยได้แต่นั่งรอต่อไป
บ้านของอาจารย์โจวอยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงลุงเหลาก็รับเขามาถึงที่ เหล่าผู้ชมเห็นชายมีอายุผมหงอกเต็มศีรษะก็ต่างพากันปรบมือดังกระหึ่มพร้อมลุกขึ้นต้อนรับอาจารย์ที่คู่ควรได้รับความเคารพนับถือผู้นี้
เหมยเหมยกับเหยียนซินหย่าวิ่งลงไปประคองอาจารย์โจวที่ล่างเวที ผู้กำกับรีบให้คนยกเก้าอี้ไท่ซือ[1]แสนสบายมาให้อย่างขยันขันแข็ง
‘ผู้เชี่ยวชาญ’ สองท่านพอเห็นสุดยอดอันดับหนึ่งในวงการของพวกเขาก็ดับความหวังอันน้อยนิดสุดท้ายไปจนหมดสิ้น หน้าขาวซีดสายตาพร่ามัว
อาจารย์โจวสวมถุงมือสะอาดถือรูปวาดไว้ในมือแล้วไล่สายตาดูอย่างละเอียด บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด กระทั้งทุกคนเผลอกลั้นหายใจอย่างควบคุมไม่อยู่ จดจ้องอาจารย์โจวตาแทบไม่กะพริบเพื่อรอข้อสรุปของเขา
ผ่านไปครู่ใหญ่…
อาจารย์โจววางรูปวาดลงถอดถุงมือแล้วพูดขึ้นช้า ๆ “เป็นของจริง น่าจะเป็นภาพวาดหลังเจิ้งป่านเฉียวถูกถอดยศตำแหน่ง อีกทั้งยังรักษาไว้สมบูรณ์ดีมีมูลค่าในการเก็บรักษาสูงมาก”
เหยียนซินหย่าพรูลมหายใจยาวและค่อยโล่งอกไปที
เหล่าผู้ชมต่างปรบมือกันสุดชีวิตด้วยความตื่นเต้น รายการสัปดาห์นี้ไม่ได้มาเสียเที่ยวจริง ๆ การได้เห็นความเฉิดฉายของอาจารย์นับว่าเป็นบุญที่สั่งสมมาสามชาติ!
คนที่ตื่นเต้นมากที่สุดในที่นี้คงไม่พ้นเจ้าของภาพวาดเอง หญิงที่แต่งตัวมอซอน้ำตาไหลอาบแก้มร้องไห้อย่างไร้เสียง
ครอบครัวที่มีทั้งคนแก่และเด็กของเธอรอดแล้ว!
………………………….
ตอนที่ 1599 ทำดีทดแทนความผิด
อาจารย์โจวมองไปทาง ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ สองท่านนั้นซึ่งสองคนนี้จะกล้าวางมาดอะไรอีกพากันลุกยืนอย่างนอบน้อมก้มหน้าหลุบมองต่ำเหมือนเด็กนักเรียนประถมที่ทำความผิดมา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
“แม้แต่ลายมือเจิ้งป่านเฉียวของจริงยังพิสูจน์ไม่ได้พวกคุณยังกล้าเรียกว่าตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอีกเหรอ? ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญตกต่ำขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?” อาจารย์โจวไม่ใช่คนว่าง่ายสักเท่าไร การเป็นเพื่อนสนิทกับอาจารย์เซียวมาตลอดชีวิตแค่คิดก็รู้ว่าเขาจะเป็นคนใจดีเสียที่ไหน?
‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ทั้งสองคนท่านก้มหน้าเกือบถึงสะดือ รู้สึกอับอายจับใจ
เหมยเหมยฟังแล้วก็แอบรู้สึกสะใจ ไม่ลืมจะพูดประจบประแจงแต่จริงใจว่า “มีแค่อาจารย์อย่างคุณปู่โจวที่จะสมตำแหน่งนี้!”
อาจารย์โจวได้ยินแล้วรู้สึกสบายใจอย่างมากพลางกวาดตามองประเมินเหมยเหมยแวบหนึ่ง ดูดีกว่าหลานสาวของตาแก่เซียวอีก แล้วไหนจะปากหวานเป็นที่รักมากกว่ายายหนูเซียวด้วย
“ยายหนูปากกวานจริง เด็กดี!”
อาจารย์โจวมองไปทางเจิ้งซื่อหลินอีกครั้งด้วยสายตาที่แสดงความดูถูกดูแคลนออกมา กลับมีหน้ามาชุบตัวใหม่ที่โลกของโบราณวัตถุ เหอะ!
“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนคุณวาดรูปสินะ? วาดรูปไม่มีฝีมือแล้วทำไมยังวิ่งแจ้นปลอมตัวมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในแวดวงโบราณวัตถุอีกล่ะ?” อาจายร์โจวไม่เกรงใจแม้แต่น้อยทำเอาเจิ้งซื่อหลินหน้าดำหน้าแดงสลับกันไปและเริ่มนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้
เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินว่าเหยียนซินหย่ารู้จักกับตาแก่โจวนี่นา ทำไมตาแก่นี่ถึงมาช่วยเหยียนซินหย่าได้?
ไม่เพียงเจิ้งซื่อหลินที่สงสัย เหยียนซินหย่ายังรู้สึกแปลกใจเพราะเธอกับอาจารย์โจวรู้จักกันเพียงผิวเผิน เชิญเขามาช่วยพิสูจน์ของเก่าได้ก็ถือว่าไว้หน้ามากแล้ว
แต่อาจารย์โจวกลับช่วยเหลือชนิดที่เธอยังไม่อยากจะเชื่อ ดูสิว่าพูดแทงใจครั้งแล้วครั้งเล่าได้สะใจขนาดไหน!
หรือว่าเป็นเพราะไว้หน้าอาจารย์เซียว?
เหมยเหมยยิ้มเอ่ย “คุณปู่โจว ผู้เชี่ยวชาญเจิ้งท่านนี้ตรวจสอบของมีค่ามาเยอะแยะเชียวล่ะค่ะ แต่ส่วนมากเขาพิสูจน์ออกมาว่าเป็นของปลอม ไม่รู้ว่าเขาดูไม่แม่นจริง ๆหรือจงใจทำอย่างนั้นกันแน่!”
เจิ้งซื่อหลินหน้าถมึงทึงกัดฟันพูด “ม้าพันลี้ยังมีล้ม ดูผิดไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
“หนูว่าไม่ใช่ว่าคุณดูผิดหรอกมั้ง แต่มีเจตนาอื่นแอบแฝงมากกว่า!” เหมยเหมยไม่มีทางไว้หน้าตาแก่คนนี้อยู่แล้ว
เจิ้งซื่อหลินไม่ลนลานสักนิด “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องมีหลักฐาน หากเธอไม่มีหลักฐานแล้วยังพูดจาเหลวไหลต่อไปละก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ เจอกันที่ศาล!”
“ได้สิ หนูก็อยากรู้ว่าการฉ้อโกงจะถูกตัดสินโทษกี่ปี? แล้วก็ผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้ายอดเงินเกินหมื่นหนูว่าอย่างน้อยก็ต้องห้าปีขึ้นมั้ง!” เหมยเหมยพูดไปก็ลอบสังเกตท่าทีของ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อีกสองคนที่ว่ารวมถึงจ้าวซานเอ๋อร์ไปด้วย
‘ผู้เชี่ยวชาญ’ หน้าขาวซีดเยี่ยงกระดาษและตัวสั่นเทาเป็นเจ้าเข้า สั่นไปยันขา
แม้พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญของโบราณวัตถุแต่กลับไม่รู้เรื่องกฎหมายนัก ตอนที่เจิ้งซื่อหลินหลอกล่อให้พวกเขาร่วมมือด้วยพูดจาดูสวยหรูเชียว หนำซ้ำยังพูดว่าต่อให้ตามสืบได้เรื่องก็ไม่เป็นไร เพียงอ้างว่าดูไม่แม่นก็แก้ไขทุกอย่างได้
แต่ตอนนี้หญิงสาวแสนสวยคนนี้กลับบอกว่าต้องถูกจับเข้าคุกอย่างน้อยห้าปี!
สถานะอย่างพวกเขาหากเข้าซังเตจริง ๆ อนาคตจะเอาหน้าที่ไหนมาใช้ชีวิตต่อ?
รวมถึงพ่อแม่ภรรยาและลูกของพวกเขาจะต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไปจนตาย!
จ้าวซานเอ๋อร์กับเจิ้งซื่อหลินกลับสีหน้าไม่เปลี่ยนยังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิม คนหนึ่งเป็นคนชอบหลอกลวงมาตั้งแต่เกิดส่วนอีกคนเป็นคนมีประสบการณ์โชกโชน ลำพังแผนตื้น ๆของเหมยเหมยนี้ไม่มีผลต่อพวกเขาอยู่แล้ว
เหมยเหมยพอจะประเมินสถานการณ์ได้ว่ายังต้องตามหาช่องโหว่จากตัว ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ สองคนนั้นต่อไป
“แต่หนูได้ยินมาว่าถ้ายอมรับผิดด้วยตัวเอง ให้หลักฐานต่าง ๆก็เท่ากับทำดีทดแทนความผิด ไม่แน่อาจจะไม่ต้องถูกจับเข้าคุกนะ!” เหมยเหมยพูดเองเออเอง พูดโกหกได้หน้าตาเฉย
‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ทั้งสองคนนัยน์ตาลุกวาวและเริ่มเปลี่ยนสีหน้า
ทำดีทดแทนความผิดก็ไม่ต้องถูกจับเข้าคุก พวกเขาก็ทำได้สินะ?
……………………………
[1] เก้าอี้ไท่ซือ เป็นเก้าอี้ไม้แบบโบราณที่ส่วนมากจะเป็นเก้าอี้ประจำผู้อาวุโสที่สุด
ตอนที่ 1600 ความสับสนของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน
เจิ้งซื่อหลินลอบด่าอยู่ในใจก่อนพูดเสียงแหลม “เธอไม่รู้กฎหมายก็อย่ามาพูดจามั่ว ๆในรายการทีวีจะได้ไม่สร้างความเข้าผิดให้ผู้ชม ทำดีทดแทนโทษอย่างมากก็แค่ผ่อนโทษไม่กี่ปีแล้วจะลบล้างบทลงโทษหมดได้ไง อีกอย่างเราสามคนบริสุทธิ์ไม่รู้สึกผิดต่อฟ้าต่อดินและยิ่งไม่รู้สึกผิดต่อประชาชน เธอมาพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?”
‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ทั้งสองท่านห่อเหี่ยวใจในฉับพลัน สำหรับพวกเขาแล้วการถูกจับเข้าคุกหนึ่งปีหรือห้าปีไม่ได้แตกต่างกันมาก
ในเมื่อการทำดีทดแทนความผิดไม่ช่วยให้หลุดพ้นจากการจำคุกได้พวกเขาก็เชื่อฟังเจิ้งซื่อหลินต่อไปเถอะ รีบหุบปาก
เหมยเหมยสบถด่าตาแก่สุนัขจิ้งจอกนี้ไปที แล้วนึกหาทางเอาคืนตาแก่นี้ไม่ได้ไปชั่วขณะ
จ้าวซานเอ๋อร์ไหลลื่นยิ่งกว่าปลาไหล ยิ่งหาช่องโหว่อะไรไม่ได้
ดูท่าทางคราวนี้จัดการเจิ้งซื่อหลินไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่นับว่ามาเสียเที่ยวอย่างน้อยก็ทำให้เจิ้งซื่อหลินเสียชื่อไปบ้าง วันหลังถ้าเขายังคิดจะคดโกงใครในรายการโทรทัศน์คงไม่ง่ายขนาดนั้นอีกแล้ว!
นอกจากวงการศิลปะกับวงการของโบราณวัตถุ เธอจะดูสิว่าตาแก่คนนี้จะไปไหนได้อีก?
เก่งนักก็เข้าวงการบันเทิงสิ!
ผู้กำกับส่งสายตาให้พิธีกรแวบหนึ่งเป็นเชิงให้เขาพูดปิดท้ายได้แล้ว พิธีกรเข้าใจความหมายเลยเดินไปหน้าเวทีเตรียมพูดปิดท้ายสวย ๆไม่กี่ประโยค เหมยเหมยเห็นเจิ้งซื่อหลินเผยยิ้มมุมปากได้ใจก็โมโหจนกำหมัดแน่น
ให้ตาแก่นี่ได้เปรียบไปแล้วสิ!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่อยู่ล่างเวทีมีเรื่องในใจอย่างหนักอึ้ง ลังเลตัดสินใจไม่ได้สักที
ฉีฉีเก๋อเห็นแล้วก็แปลกใจ “เธอเป็นอะไร?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนส่ายหน้าก่อนแล้วดึงแขนฉีฉีเก๋อมาถาม “จ้าวเหมยมีความแค้นกับคนที่สกุลเจิ้งมากเลยเหรอ?”
ฉีฉีเก๋อกลอกตาใส่เธอแวบหนึ่ง “เธอก็รู้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ตาแก่นี่กับสารเลวอีกคนร่วมหัวกันทำร้ายตายายของเหมยเหมย นั่นก็คืออาจารย์เหยียนตานชิง เธอว่ามันน่าแค้นมากไหมล่ะ?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจและยิ่งรู้สึกสับสน คนที่ความรู้สึกช้าอย่างฉีฉีเก๋อยังดูออกถึงความผิดปกติเลย
“เธอเป็นอะไรกันแน่? ทำตัวเหมือนโดนผู้ชายทิ้ง!”
“เธอสิโดนผู้ชายทิ้ง ฉัน…ฉัน…เฮ้อ ฉันขึ้นไปดีกว่า!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตบต้นขาทีหนึ่งกัดฟันลุกยืนแล้วเดินขึ้นไปบนเวที
“เธอขึ้นไปทำอะไร? อย่าสร้างความวุ่นวายเพิ่มนะ!” ฉีฉีเก๋อฉุดเธอไว้
“ถ้าจ้าวซานเอ๋อร์นั่นเห็นฉันจะยอมพูดความจริงเอง”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกัดริมฝีปากล่างไว้อย่างไม่กลัวตาย สาวเท้ายาวเดินตรงไปข้างหน้า
แม้อาจจะเดือดร้อนไปถึงพ่อของเธอแต่คนรักของจ้าวเหมยเก่งขนาดนั้นก็น่าจะช่วยพ่อของเธอได้อยู่มั้ง?
ประเด็นสำคัญคือขอแค่เธอยอมออกหน้าช่วยคราวนี้ก็จะกอดต้นเงินต้นทองอย่างจ้าวเหมยไว้ได้แน่น พายุระดับแปดก็พัดเอาตัวเธอไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปเธอยังต้องกลัวใครอีก?
จ้าวซานเอ๋อร์ไม่รู้จักเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นแค่ยายเด็กตัวอ้วนที่ฟันน้ำนมเพิ่งหลุด ผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากหากโตขึ้น พอเขาเห็นเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ชะงักไปเพราะจำไม่ได้
เหมยเหมยกลับแปลกใจมากว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนขึ้นมาทำอะไร?
“จ้าวไห่เฉา แกรับสารภาพเรื่องบาปที่เคยร่วมทำกับพวกมันมาให้หมดเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะแฉเรื่องผิดศีลธรรมที่แกเคยทำเมื่อสิบปีก่อนให้หมด” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนย่อตัวลงกระซิบข้างหูจ้าวซานเอ๋อร์เบา ๆ
จ้าวซานเอ๋อร์ชะงักไปทันที มองเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนถามเสียงสั่นเครือ “เธอคือใคร?”
“พ่อฉันคือเหริ่นเอ้อร์จื่อ”
“เธอคือเชี่ยนเชี่ยน? ทำไมเธออ้วนแบบนี้ล่ะ?” จ้าวซานเอ๋อร์ตกตะลึง ไม่ง่ายเลยที่จะตามหาเงาในวัยเด็กจากบนตัวหญิงตัวอวบอ้วนตรงหน้านี้ได้
พออ้วนแล้วทำลายทุกอย่างหมดเลย!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกัดฟันแน่นแล้วพูดเสียงลอดไรฟัน “แกสารภาพมาแต่โดยดี ไม่งั้นฉันจะส่งแกเข้าคุก หนึ่งชีวิตต่อให้ไม่ได้กินลูกกระสุนแต่อย่างน้อยก็คงได้นอนคุกเป็นสิบปีล่ะ!”
…………………………
ตอนที่ 1601 ไปแก่ตายในห้องขังซะ
จ้าวซานเอ๋อร์ใจดำดิ่งไปสู่ก้นบึ้ง แสร้งฝืนทำเป็นนิ่ง ให้ตายก็ไม่ยอมรับ
“เมื่อสิบปีก่อนฉันอยู่กับพ่อของเธอ ฉันจะทำอะไรได้? ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!” ในคำพูดของจ้าวซานเอ๋อร์แฝงด้วยคำขู่เข็ญ เรื่องในตอนนั้นเริ่นเอ้อร์จื่อก็มีส่วนเอี่ยวด้วย หากว่าเขาต้องเข้าคุกเริ่นเอ้อร์จื่อก็ไม่มีทางหนีพ้น
“หากว่านายทำให้พ่อฉันเข้าไปได้ ฉันก็ต้องขอบคุณนายสิ ดีเสียอีกทรัพย์สินของพ่อจะได้ต้องตกเป็นของฉันกับแม่ เราสองแม่ลูกจะได้ใช้ชีวิตสุขสบาย นางจิ้งจอกพวกนั้นจะได้เลิกเพ้อฝันสักที!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยิ้มตาหยีพลางพูดขึ้น
อันที่จริงเธอก็คิดเช่นนั้นในใจ
ไอ้แก่นี่ก็กลับกลอกเกิน ไปนอนใช้ชีวิตในห้องขังไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะยืดอายุมากขึ้นถึงเก้าปี
จ้าวซานเอ๋อร์โมโหจนพาลด่าบุพการี
เริ่นเอ้อร์จื่อเลี้ยงลูกยังไงกัน?
ทำไมถึงเลี้ยงออกมาเป็นหมาป่าน้อยจอมเจ้าเล่ห์ได้เล่า?
เหมยเหมยเห็นทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันจึงนึกแปลกใจ พิธีกรขึ้นมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ผู้คนหน่ายที่จะรอต่อไป จ้าวซานเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ฉับพลันตะโกนขึ้น “ฉันบอก…ฉันบอกหมดเลย เป็นเจิ้งซื่อหลินที่สั่งให้ฉันทำ ฉันก็แค่คนกลางคอยชักจูง ซดน้ำแกงนิดหน่อย ส่วนใหญ่ถูกเจิ้งซื่อหลินเอาไปหมด…”
จ้าวซานเอ๋อร์กลับหักหลังกะทันหัน ไม่เพียงแต่สารภาพเรื่องในครั้งนี้ เรื่องราวก่อนหน้านั้นก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก
เขาไม่เพียงแค่พูดถึงสถานการณ์ที่เคยถูกหลอกเอาของโบราณไป แม้แต่รายการพิสูจน์ของเก่าในแต่ละสัปดาห์ก็ยังพูดออกมาอย่างชัดเจน เจิ้งซื่อหลินคิดจะหนีก็หนีไม่พ้น ฉับพลันสีหน้าก็ตื่นตกใจจนซีดขาว แววตาดุดัน
สวรรค์อยากให้เขาตายหรือไง!
หญิงสาวเจ้าของภาพวาดไม้ไผ่ที่ใส่เสื้อผ้ามอมแมมพุ่งพรวดเข้ามาอย่างโมโห จิกเส้นผมน้อยนิดอันน่าสงสารบนหัวของเจิ้งซื่อหลิน ทั้งยังทุบตีและต่อว่า
“หัวแกนี่มันเดรัจฉานในคราบมนุษย์ชัด ๆ ภาพวาดนั้นเป็นเงินที่จะช่วยประทังชีวิตครอบครัวของฉัน แกจะทำลายเราให้ตายทั้งครอบครัวเลยหรือไง…ฉันจะฆ่าแกหายตายเลยไอ้ปีศาจ!”
ศีรษะของเจิ้งซื่อหลินเกลี้ยงเกลาอย่างรวดเร็ว เส้นผมน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ได้ถูกหญิงสาวถลกจนหัวล้าน หญิงสาวก็ยังไม่หายโมโหจึงข่วนเข้าที่หน้าเจิ้งซื่อหลินจนเกิดรอยริ้วเป็นแนวเลือด น่าสงสารจับใจ
พิธีกรอยากจะเข้ามาช่วยแต่กลับถูกเหมยเหมยกันตัวไว้ ในตาฉายแววแข็งกร้าว “คุณอยากร่วมมือกับเจิ้งซื่อหลินทำความชั่วหรือไง?”
“แน่นอนว่าไม่ แต่ที่นี่คือสถานที่อัดรายการ ผมต้องรับผิดชอบต่อรายการของผม” พิธีกรลั่นวาจาหนักแน่นอย่างมีเหตุผล เหมยเหมยหัวเราะเยาะ ไม่แม้แต่จะรั้งเขาอีก
พิธีกรคนนี้บริสุทธิ์ใจหรือเปล่ายังไม่อาจด่วนสรุปได้ แต่เจิ้งซื่อหลินหลอกผู้คนจำนวนมาก หากว่าพิธีกรไม่รู้สึกผิดสังเกตเลยคงเป็นไปไม่ได้ คงจะเป็นเพราะได้ผลประโยชน์จึงทำหลับหูหลับตาไปข้างหนึ่งน่ะสิ!
รายการพิสูจน์ของเก่าจบลงอย่างดุเดือด เจิ้งซื่อหลินและอีกสามคนกับจ้าวซานเอ๋อร์ถูกตำรวจควบคุมตัวไป จากคำสารภาพของจ้าวซานเอ๋อร์ เจิ้งซื่อหลินได้ฉ้อโกงไปจนเกือบล้าน เม็ดเงินที่เกี่ยวข้องสูงถึงเพียงนี้ อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ของไอ้แก่นี่คงต้องไปอยู่ในคุกแล้วล่ะ
“ลุงโจว วันหลังหนูจะไปเยี่ยมคุณลุงถึงที่บ้านนะคะ วันนี้ต้องขอบคุณคุณลุงมาก!”
เหยียนซินหย่าเอ่ยขอบคุณไม่หยุด พยุงอาจารย์โจวขึ้นรถด้วยตัวเอง
อาจารย์โจวเหลือบมองเหมยเหมยแวบหนึ่ง หัวเราะเหมือนมีนัยยะบางอย่างแอบแฝง โบกมือให้พร้อมขึ้นรถจากไป
เขาช่วยยัยหนูจ้าวใหญ่โตขนาดนี้ ยัยหนูจ้าวจะต้องให้เม็ดยาวิเศษกับเขาบ้างสินะ?
เมื่อก่อนตาเฒ่าเซียวยังดูแก่กว่าเขาอีกขนาดยกปากกายังไม่ขึ้นเลย แต่ตอนนี้กลับกระฉับกระเฉงเป็นเพราะคุณงามความดีของเม็ดยาวิเศษนั่น เขาเห็นแล้วอิจฉานัก!
เหยียนซินหย่าอารมณ์ดีมากยิ้มหวานราวดอกไม้เบ่งบาน เธอเดินเข้ามาขอบคุณเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน แม้จะไม่รู้ว่าสาวน้อยพูดอะไรกับจ้าวซานเอ๋อร์แต่จ้าวซานเอ๋อร์ยอมสารภาพ ดังนั้นจะต้องเกี่ยวกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแน่นอน
“เธอพูดอะไรกับจ้าวซานเอ๋อร์เหรอ? ดูเหมือนเขาจะกลัวเธอมากเลยนะ!” ฉีฉีเก๋อแปลกใจมากจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
ตอนที่ 1602 ความลับ
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยพูดตะกุกตะกัก “ไม่มีอะไรหรอกฉันแค่ทำให้เขาตกใจ เจ้านั่นใจเสาะตกใจไม่หยุดเลย”
ฉีฉีเก๋อเป็นคนไร้เดียงสาจึงเชื่ออย่างง่ายดาย
เหมยเหมยกลับไม่ได้หลอกง่าย คนปลิ้นปล้อนอย่างจ้าวซานเอ๋อร์ไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะต้องรู้จุดอ่อนของเจ้าหมอนั่นแน่นอน หนำซ้ำยังเป็นจุดอ่อนที่เด็ดมากด้วย
แต่ในเมื่อเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่อยากพูด เธอไม่ถามจะดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องส่วนตัว!
“เดี๋ยวฉันขอคุยอะไรกับเธอหน่อย เธออย่าให้ฉีฉีเก๋อตามมานะ” จู่ ๆเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกระชิบเสียงเบาที่ข้างหูเหมยเหมย
เหมยเหมยพยักหน้า เดาว่าต้องเป็นเรื่องของจ้าวซานเอ๋อร์แน่นอน
ตั้งแต่ออกมาจากสถานีโทรทัศน์ฉีฉีเก๋อก็มุ่งหน้ากลับมหาวิทยาลัยทันที เหมยเหมยบอกกล่าวเหยียนซินหย่าก่อนจะพาเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไปที่โรงน้ำชาของพี่เฉินซึ่งห่างจากที่นี่ไม่ไกล
พี่เฉินไม่อยู่ที่โรงน้ำชา เด็กเสิร์ฟรู้จักเธอดี เหมยเหมยสั่งว่า “เอาชาปี้หลัวชุน[1] แล้วก็ของว่าง”
“รับทราบ!”
เด็กเสิร์ฟรีบไปจัดแจงอย่างขันแข็ง เหมยเหมยพาเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่เดินหันซ้ายขวาหน้าหลังไปที่ห้องอาหารส่วนตัวของเหยียนหมิงซุ่น พูดขึ้นยิ้ม ๆ “อยู่ที่นี่เธอวางใจแล้วพูดได้เลย ไม่มีทางหลุดไปถึงหูบุคคลที่สามแน่นอน”
แม้ว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะไม่ใช่คนในเมืองหลวงโดยพื้นเพแต่ก็อาศัยอยู่เมืองหลวงมาหลายสิบปี แหล่งกินแหล่งเที่ยวในเมืองหลวง เธอรู้จักทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี
แต่เธอกลับไม่รู้ว่าในย่านที่เจริญที่สุดของเมือง ยังมีโรงน้ำชาที่เงียบสงัดท่ามกลางความคึกคักแห่งนี้ด้วย?
อีกทั้งไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่เธอก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว โรงน้ำชาแห่งนี้เป็นแวดวงที่เธอทำได้เพียงแค่มองเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์มาสถานที่แห่งนี้ได้ ซึ่งเหมยเหมยก็คือคนในแวดวงนั้น!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนดีใจมาก และยิ่งคิดว่าตัวเธอเองไม่ได้กอดขาผิดคน
“ที่นี่เงียบดีจัง ฉันพึ่งจะรู้เป็นครั้งแรกว่าในเมืองหลวงมีโรงน้ำชาดี ๆแบบนี้อยู่ด้วย!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจงใจพูดขึ้น
เหมยเหมยฉีกยิ้มสวยเอ่ยว่า “ที่นี่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของฉันเปิดเล่น ๆ มีเพียงคนสนิทเท่านั้นถึงจะมาได้ ไม่เปิดให้บริการสำหรับคนนอก”
ในตอนนี้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแน่ใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว ที่แท้ก็เป็นพื้นที่เฉพาะคนในนี่เอง
“ฉันได้เปิดหูเปิดตาเพราะเธอเลยนะ!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดพลางหัวเราะ เทน้ำชาที่พึ่งเสิร์ฟใส่แก้ว สดชื่นถึงใจ ต่อให้ไม่เข้าใจเรื่องชา แต่ก็รู้ว่าชาในแก้วนั้นเป็นชาชั้นยอดอย่างชาปีหลัวชุนถึงมีเงินก็หาซื้อได้ยาก
เหมยเหมยหัวเราะร่าพลันจิบชาอึกหนึ่งและไม่ได้รบเร้าถาม แม้ท่าทีของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะสบาย ๆแต่ฝ่ามือเธอกลับบีบกันแน่น หนำซ้ำรอยยิ้มก็ดูไม่เป็นธรรมชาติด้วย
บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวเป็นกังวลมากต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เธอจะพูดแน่นอน
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนดื่มชาไปสองแก้วถึงทำให้รู้สึกสงบจิตใจลงได้ เธอกัดริมฝีปากพูดว่า “บ้านเกิดของฉันอยู่เหนือสุด ใกล้สหภาพโซเวียตมาก พ่อของฉันเป็นพี่น้องในหมู่บ้านเดียวกับจ้าวซานเอ๋อร์ และมีอีกคนชื่อหูเหล่าลิ่ว ทั้งสามคนเลยรวมกลุ่มกันไปค้าขายเสื้อผ้าและพวกยาหม่องสมุนไพรต่าง ๆที่สหภาพโซเวียต จากนั้นได้เอาเสื้อคลุมหนังจากที่นั่นเข้ามาขาย”
เหมยเหมยฟังอย่างเงียบ ๆ สิ่งที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดเธอรู้มาก่อนบ้างแล้ว ในสหภาพโซเวียตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เจริญก้าวหน้า แต่อุตสาหกรรมขนาดย่อมกลับล้าหลัง ดังนั้นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขนาดย่อมทางฝั่งฮวาเซี่ยค้าขายได้ดีมากสำหรับที่นั่น
ดังนั้นคนจำนวนมากจึงเอาสินค้าราคาย่อมเยาไปขายที่นั่น ถือจังหวะขายตอนที่รถไฟจอดเทียบในชาลชาลาเป็นเวลาสิบนาที ขายไปทีละสถานี โดยทั่วไปแล้วมักขายได้หมดเกลี้ยงเงินที่ได้ก็ไม่น้อย
ยังมีชาวโซเวียตบางคนที่จะใช้ของแลกเปลี่ยนกัน ก็คือเสื้อคลุมหนังหนึ่งตัวแลกกับสินค้าราคาย่อมเยาหลายชิ้น วิธีการซื้อขายแบบนี้มีมากที่สุด สินค้าหนังเป็นสินค้าที่ขายดีในฮวาเซี่ย เป็นธรรมดาที่จะขายได้โดยไม่ต้องกังวล
คนที่ไปค้าขายสินค้าราคาย่อมเยาในช่วงแรก ๆส่วนใหญ่จึงร่ำรวย พ่อของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ผลกำไรที่สูงล้วนหมายถึงความเสี่ยงสูง คนที่ตายเพราะสิ่งเหล่านี้ก็มีมาก
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดต่อไปว่า “พวกพ่อฉันสามคนหาเงินได้มาไม่น้อย แต่เมื่อสิบปีก่อนกลับมีเหตุไม่คาดฝันขึ้น จ้าวซานเอ๋อร์หาเรื่องนักเลงบนรถไฟขบวนนั้น เขากับหูเหล่าลิ่วร่วมกันฆ่านักเลงคนนั่น ไม่สิ…เป็นจ้าวซานเอ๋อร์ที่ฆ่า หูเหล่าลิ่วก็ตายไปด้วย”
…………………………………………………….
[1] แปลตรงตัวคือ หอยทากมรกตฤดูใบไม้ผลิ เป็นหนึ่งในชายอดนิยมสิบอันดับของชาจีน
ตอนที่ 1603 เธอว่ากี่ปีถึงจะปรับปรุงตัว
เหมยเหมยตกใจมาก คาดไม่ถึงว่าเรื่องที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดจะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน เธอกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ถามว่า “พ่อเธอไม่ได้ร่วมด้วยใช่ไหม?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพยักหน้าหงึกหงักแต่เธอก็รู้ดีว่าเหมยเหมยจะต้องไม่เชื่อ สีหน้าอมทุกข์พูดว่า “พ่อของฉันเขาคอยช่วยดูต้นทางให้แต่เขาไม่ได้ลงมือ เขาใจเสาะไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ ไหนเล่าจะกล้าฆ่าคนได้”
เธอกลัวว่าเหมยเหมยจะไม่เชื่อจึงรีบพูด “จริง ๆนะ ถ้าฉันโกหกเธอขอให้ฉันอ้วนขึ้นอีกสิบห้าโลเลยเป็นเพราะเรื่องนี้ พ่อของฉันถึงออกจากบ้านเกิดมาอยู่ที่เมืองหลวง จ้าวซานเอ๋อร์ก็เหมือนกัน แต่เขาติดการพนันเงินที่หามาได้ก็แพ้พนันไปจนหมด”
“ก่อนหน้านี้เธอเอาเรื่องนี้มาขู่จ้าวซานเอ๋อร์? เธอไม่กลัวว่าจะทำให้พ่อเธอลำบากเหรอ?” เหมยเหมยถาม
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกรอกชาเข้าปากอีกครั้งแล้วเม้มปาก “เพราะงั้นฉันถึงมาหาเธอเพราะเรื่องนี้ไง ผู้ชายของเธอมีความสามารถขนาดนั้น พ่อฉันเขาคงไม่ต้องเข้าคุกหรอกมั้ง?”
เธอฝืนยิ้มแล้วคว้าเค้กดอกบ๊วยมากิน ดูผ่อนคลายขึ้นมาก พูดเสียงอ้ำ ๆอึ้ง ๆว่า “จริงๆ แล้วถ้าช่วยอะไรไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก พ่อของฉันแค่ช่วยดูต้นทางให้อย่างมากก็คงถูกตัดสินคดีแค่สองสามปี ให้เขาเข้าไปอยู่ในนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องออกไปหาพวกนังปีศาจจิ้งจอกข้างนอกอีก!”
เหมยเหมยยกยิ้มมุมปาก ช่างกตัญญูเหลือเกิน!
“วางใจเถอะ เธอช่วยฉันไว้ ทำไมฉันจะต้องทำให้พ่อเธอติดคุกด้วยล่ะ เรื่องนี้เธอไม่ต้องยุ่งแล้ว พ่อเธอจะไม่เป็นไร” เหมยเหมยรับปากเธอด้วยท่าทีหนักแน่น
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดความลับครั้งใหญ่นี้ออกมาเพื่อช่วยเธอ เธอไม่อาจนิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรได้
ส่วนพ่อของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะเคยมีมลทินหรือเปล่านั้นเธอไม่ได้ใส่ใจ ถึงยังไงก็เป็นแค่อันธพาลเอาเปรียบกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าสนใจสักนิด
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกระพริบตาปริบ ๆ ทันใดนั้นเธอกลับรู้สึกว่าตัวเธอไม่มีความสุขเหมือนอย่างที่คิดไว้ เพราะเธอคิดว่า ปล่อยให้ตาเฒ่าที่บ้านเข้าคุกสักสองสามปีก็ถือว่าไม่เลวเลย
ในบ้านจะมีเพียงเธอและแม่เธอใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบสุข ดีจะตายไป!
“เธอเป็นอะไร? ไม่เชื่อคำพูดของฉันเหรอ? วางใจเถอะ พ่อเธอจะไม่เป็นไร” เหมยเหมยพูดปลอบใจ
“ไม่ใช่…ฉันเชื่อเธอ…เฮ้อ… ฉันก็แค่…คือว่า…”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่ โมโหจนต้องกรอกน้ำชาไปอีกหลายแก้ว เหมยเหมยสั่งให้เด็กเสิร์ฟเข้ามาเติมชา แล้วก็ไม่ถามเธอ รอให้เธอคิดได้เองค่อยพูด
“ฉันแค่คิดว่าให้พ่อฉันเข้าไปอยู่ในคุกก็ดีเหมือนกัน แบบนี้ในบ้านคงจะสงบลงบ้างจะได้เลี่ยงไม่ให้แม่ฉันต้องทะเลาะกับพ่อทุกวัน แต่ฉันก็กลัวว่าถ้าพ่ออยู่ในนั้นจะถูกคนอื่นรังแก เขาก็แค่คนบ้ากามทั้งที่ความจริงก็แค่พวกใจเสาะ”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนคิ้วผูกหน้านิ่ว เธอเคยได้ยินมานานแล้วว่าในคุกวุ่นวายมาก ยิ่งประเภทคนโง่มากเงินอย่างพ่อเธอเข้าไปแล้วคงจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ให้คนอื่น ถึงยังไงก็พ่อแท้ ๆเธอไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก!
เหมยเหมยลูบจมูก ความจริงอยากจะหัวเราะ
ช่างนับว่าเป็นลูกสาวที่ต่อต้านพ่อไม่เบา!
“พ่อเธอดูแลเธอไม่ดี?”
“ไม่ดีแต่ก็ไม่แย่ พ่อฉันแค่รังเกียจที่ฉันไม่ใช่ลูกชาย อย่างอื่นก็ถือว่าดี ใจกว้างให้เงินใช้” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดพลางหัวเราะเยาะตัวเอง ไม่กี่ปีมานี้พ่อของเธออยากมีลูกชายแทบตาย!
ไม่รู้ว่าตามหานังปีศาจจิ้งจอกมาแล้วเท่าไรจนทำให้แม่ของเธอต้องล้างหน้าด้วยน้ำตา!
เหมยเหมยได้ฟังก็เข้าใจ เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่ร่ำรวยชั่วข้ามคืนแล้วถือผู้ชายเป็นใหญ่ กลัวว่าจะไม่มีคนสืบทอดทรัพย์สินของตระกูลจึงออกไปหามือที่สามที่สี่เพื่อคลอดลูกชาย
“เธอว่าแบบนี้ดีไหม? อาหารการกินและที่อยู่ฉันไม่อาจรับประกัน แต่ฉันรับประกันได้ว่าพ่อเธออยู่ในนั้นจะไม่มีคนมารังแก” เหมยเหมยช่วยเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตัดสินใจ
พูดตามความจริงเธอเองก็ไม่ชอบผู้ชายประเภทเดียวกับพ่อของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน
ในตระกูลมีตำแหน่งฮ่องเต้ต้องสืบทอดหรือไง?
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนดูมีชีวิตชีวาในทันที พยักหน้ารับ “ได้ งั้นตกลงตามนี้เลย!”
“แล้วเธอคิดว่าให้พ่อเธออยู่ในนั้นกี่ปีดีล่ะถึงจะปรับปรุงตัวได้?”
ตอนที่ 1604 มิงค์รัสเซียของแท้
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเอียงหน้าขบคิด มืออวบอิ่มตบเข้าที่โต๊ะพูดอย่างเบิกบานว่า “ผิดไม่เกินสามครั้ง งั้นก็สามปีละกัน!”
ช่วงเวลาสามปีเพียงพอที่เธอจะทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้บริษัทและบ้านเป็นชื่อของแม่เธอแล้ว!
ใครก็แย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น!
ภายในบ้านพักต่างอากาศแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งใช้แรงอย่างหนักบนร่างหญิงสาว ทันใดนั้นกลับรู้สึกเสียวสันหลังวูบ เหงื่อไหลโชก
ใครคิดร้ายต่อเขาเหริ่นเอ้อร์จื่อลับหลังกันนะ?
เรื่องเล็กน้อยพวกนี้เหมยเหมยไม่จำเป็นต้องบอกเหยียนหมิงซุ่น เธอให้ลุงเหลาไปจัดการก็ได้แล้ว
ลุงเหลามีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาโดยตลอด ไม่ถึงสองวันเขาก็บอกเหมยเหมยว่าจัดการเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้พ่อของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไปคลอดลูกชายในคุกเสียแล้ว
“ค่ะ ลำบากลุงเหลาแย่เลย” เหมยเหมยพึงพอใจมาก หากให้ลุงเหลาจัดการเธอวางใจได้เป็นร้อย
ในวันถัดมาไปมหาวิทยาลัย เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ขยิบตาให้เหมยเหมยพลางกระซิบข้างหูเธอ “เมื่อวานฉันกับแม่ไปเยี่ยมพ่อมา เขาอยู่ในนั้นก็ไม่เลวเลยนะ แค่ชั่วพริบตาเดียวก็กลับใจได้แล้วกล่าวขอโทษฉันกับแม่”
“เธอนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว?” เหมยเหมยขมวดคิ้ว
ไม่ใช่ว่าทำใจทนไม่ได้แล้วอยากขอให้เธอช่วยปล่อยออกมาหรอกนะ?
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนส่ายหน้ารัว “จะเป็นไปได้ไง เกิดเรื่องขึ้นกับเขาถึงทำให้เขาจำข้อดีของแม่ฉันได้ ถ้าปล่อยออกมาเดี๋ยวก็วิ่งแจ้นไปหาพวกนังปีศาจจิ้งจอกอีก ให้เขาอยู่ในนั้นเงียบ ๆแล้วปรับปรุงตัวเถอะ ”
ไม่มีพวกปีศาจจิ้งจอกมาคอยสร้างความวุ่นวายให้ ไม่รู้เลยว่าชีวิตของเธอกับแม่จะมีความสุขแค่ไหน
เหมยเหมยถามด้วยความแปลกใจ “แล้วบริษัทของพ่อเธอใครดูแล?”
“แม่ฉันไง บริษัทนั้นพ่อกับแม่ฉันร่วมกันสร้างมาแต่แรก หลายปีมานี้ท่านเอาแต่หลงระเริงนอกบ้าน ทั้งหมดล้วนพึ่งแม่ฉัน เขาไม่อยู่สิยิ่งดี” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่ใส่ใจเลยสักนิด รู้สึกสบายใจเป็นเท่าตัว
ฉีฉีเก๋อได้ยินเข้าจึงรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก ถามพวกเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เหมยเหมยกลั้วหัวเราะตอบ “พ่อของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไปคุยธุรกิจที่ต่างประเทศหน่ะคงไม่กลับมาอีกหลายปี”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพยักหน้าระรัว รู้สึกขอบคุณเหมยเหมยมาก เพราะเรื่องติดคุกติดตารางนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่องอะไรเลย
ตอนนี้แม่ของเธอเองก็ปิดบังต่อญาติพี่น้องซึ่งก็บอกว่าไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศ ปกปิดได้เป็นวัน ๆไป
ใกล้จะถึงช่วงสิ้นปีมหาวิทยาลัยก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว การสอบพึ่งเสร็จสิ้นไป นักเรียนจำนวนมากล้วนเตรียมตัวกลับบ้านวุ่นวายกับการจัดเก็บกระเป๋าสัมภาระและซื้อตั๋วรถกันใหญ่!
ถังม่านลี่กลับดูผ่อนคลายมาก เธอฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนใจของพอลแล้ว กลับมาเป็นคนเดิมที่ร่าเริงสดใส แต่งตัวสวยเพริศพริ้งทุกวันราวกับผีเสื้อดอกไม้ ทำตัวเสเพลไปวัน ๆ วันหยุดมักจะนอนค้างข้างนอก ทุกคนต่างก็เห็นจนชินไปแล้ว
เหลืออีกแค่หนึ่งวันก็จะหมดเทอมนี้แล้วจริง ๆ ทุกคนต่างดีใจ ตอนเที่ยงอากาศหนาวเกินเหมยเหมยจึงไม่กลับบ้าน แต่กลับหอไปพักผ่อน ตอนบ่ายยังมีประชุมห้องซึ่งขาดไม่ได้
“ถังม่านลี่ทำไมเธอถึงยังไม่จองตั๋วรถอีกล่ะ? หรือเธอไม่กลับบ้าน?”
สีอันน่ามองถังม่านลี่ที่นั่งแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปหารายได้พิเศษมาจากไหน ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไม่เบา อาทิ เครื่องสำอาง เสื้อผ้าชุดใหม่ กระเป๋า รองเท้า… ล้วนเลือกซื้อแต่ของแพง แต่งตัวแล้วก็ดูสวยมาก แทบกลบสีอันน่ามิดเลย
เพราะเหตุนี้สีอันน่าจึงไม่พอใจ จึงมักฉวยโอกาสพูดเยาะเย้ยใส่อยู่เรื่อย
“ไม่กลับบ้าน ฉันได้งานทำช่วงปิดเทอมฤดูหนาว อยากจะลองฝึกดูสักหน่อย”
ถังม่านลี่ทาลิปสติกอย่างระมัดระวังแล้วเม้มปาก จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมขนมิงค์ออกมาจากกล่องสะบัดแล้วคลุมตัว สะพายกระเป๋าใบเล็ก สวมรองเท้าส้นสูงเดินบิดตัวออกไปจากห้อง
สีอันน่าจ้องเธอตาเขม็ง บ่นพึมพำเสียงเบา “ใครรู้บ้างว่างานอะไร? ต้องเป็นงานไร้ยางอายแน่ ไม่งั้นจะซื้อเสื้อคลุมขนมิงค์นั่นได้ไง!”
สวีจื่อเซวียนพูดแทรกขึ้นมา “เสื้อคลุมนั่นไม่ใช่ของปลอมหรอกหรือ? ไม่เท่าไรเอง”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะเยาะไปที “ขนมิงค์รัสเซียของแท้ เสื้อตัวนี้อย่างน้อยต้องห้าหลัก”
พ่อของเธอทำพวกขนหนังสัตว์ส่งขาย ไม่ต้องใช้มือจับแค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นหนังอะไร ราคาเท่าไหร่
……………………………………………………..
ตอนที่ 1605 เต็มใจเลือกทางที่ผิด
สวีจื่อเซวียนตาลุกวาว เสื้อตัวเป็นหมื่น เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำหรือเสื้อตัวนี้ทำมาจากทองงั้นหรือ?
สีอันน่าเองก็ตกใจมาก เดิมทีเธอคิดว่าถังม่านลี่ซื้อขนมิงค์ราคาถูก มากสุดก็แค่สี่ถึงห้าพัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหมื่น แพงเสียยิ่งกว่าเสื้อคลุมขนมิงค์ของเธออีกจึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น
“ถังม่านลี่เอาเงินมาจากไหนมากมาย? เธอทำงานอะไรเหรอ?” สวีจื่อเซวียนอิจฉามาก ครั้งหน้าต้องลองเกริ่นถามถังม่านลี่ดู เธอเองก็จะหาเงินเหมือนกัน
ช่วงนี้สวีจื่อเซวียนกลัดกลุ้มใจมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมไม่ได้หรือเปล่า เมื่อเร็ว ๆนี้เธอได้เขียนความเรียงหลายฉบับส่งให้กับสำนักพิมพ์ในเมืองหลวง แต่ถูกตีกลับมาทั้งหมดนั่นจึงทำให้เธอกลัดกลุ้มใจมาก
ความมั่นใจก็เลือนหายไปมาก รู้สึกว่าสมกับที่เมืองหลวงเป็นสถานที่ซุกซ่อนมังกรและเสือหมอบ[1] ตอนอยู่ที่บ้านเกิดเธอเป็นคนโดดเด่นเก่งกล้า แต่พอมาอยู่ในเมืองหลวงกลับกลายเป็นแค่สามัญชนคนธรรมดาที่อยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก
สีอันน่าหัวเราะอย่างประหลาด “เธอก็ไปถามถังม่านลี่สิ หล่อนคงจะเต็มใจพาเธอไปหาเงินแน่”
สวีจื่อเซวียนฟังคำประชดในคำพูดของเธอไม่ออกซ้ำยังดีใจนัก วางแผนว่าจะรอถามถังม่านลี่ตอนเธอกลับมาคืนนี้ หากว่าหาเงินได้มาก ปิดเทอมฤดูหนาวเธอก็จะไม่กลับบ้านแล้วหาเงินให้มากหน่อย ซื้อนาฬิกายี่ห้อดีให้พ่อสักเรือน และยังจะซื่อเครื่องประดับสวารอฟสกี้ให้ตัวเองด้วย
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนขมวดคิ้ว เอ่ยเตือนอย่างหวังดี “งานของถังม่านลี่ไม่เหมาะให้เธอทำ ถ้าเธออยากหาเงินจริง ๆก็ไปเป็นติวเตอร์นู่น”
สวีจื่อเซวียนไม่พอใจเล็กน้อย “ติวเตอร์ฉันเคยไปทำแล้วเงินไม่มาก หนำซ้ำเด็กนักเรียนพวกนั้นก็โง่เหมือนหมู ต่อให้สอนเป็นร้อยครั้งก็ทำไม่ได้ ฉันคิดว่างานที่ถังม่านลี่ทำได้ ฉันเองก็สามารถทำได้ อย่างน้อยต้องลองก่อนถึงจะรู้”
เธอถามตัวเองว่าตัวเธอนั้นดีกว่าถังม่านลี่กี่เท่าตัว ทำไมถึงจะทำงานที่ถังม่านลี่ทำไม่ได้?
นั่นดูถูกเธอเกินไปแล้ว!
สีอันน่าจงใจพูด “สวีจื่อเซวียนเธอทำได้แน่ หนำซ้ำยังหาเงินได้มากกว่าถังม่านลี่เสียด้วย”
นั่นเป็นประโยชน์ต่อสวีจื่อเซวียนมาก มุมปากฉีกยิ้มเล็กน้อย เธอเองก็คิดเช่นนี้
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแค่นยิ้มเย้ยหยัน หน่ายที่จะเกลี้ยกล่อม คนโง่พาตัวเองไปตายเองเหตุใดเธอต้องห้ามด้วย?
พวกเหมยเหมยทั้งสามคนรีบออกหอ คนหนึ่งนิสัยแปลก ๆ อีกคนก็อัจฉริยะจอมปลอมอยู่ไปก็น่าอึดอัด
“ถังม่านลี่ทำอะไรกันแน่? คงจะไม่ได้ทำเรื่องน่าอับอายหรอกนะ?” เหมยเหมยคาดเดาในทางที่ไม่ดี
สาวสวยคนหนึ่ง มีเงินมากมายกะทันหัน มักทำให้คนเราคิดไปในทางที่ไม่ดีเสมอ
“ยัยบ้านนอกนั่นทำอะไรก็ไม่เป็นคงทำได้เพียงขายตัว เต็มใจเลือกทางผิด ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ!”
หลังจากที่เกิดเรื่องกับถังม่านลี่ชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยก็ป่นปี้จนหมด ไม่มีผู้ชายจริงใจที่ไหนแยแสเธอเลย โจวซื่อซินจึงปรากฏตัว แค่กระเป๋าหนึ่งใบเครื่องสำอางหนึ่งชุดก็ทำให้ถังม่านลี่ยินยอมพร้อมใจขึ้นเตียงกับโจวซื่อซินแล้ว
โจวซื่อซินถือว่าใจกว้างกับผู้หญิงมากพาถังม่านลี่ไปเตร็ดเตร่ทุกสโมสร ทำให้เธอได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนใช้ชีวิตมาอย่างเปล่าประโยชน์
แต่ความสนใจสิ่งแปลกใหม่ของคุณชายเพลย์บอยอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน โจวซื่อซินจึงแนะนำถังม่านลี่ให้กับเพื่อนในก๊กเดียวกัน บรรดาคุณชายเหล่านั้นจึงได้ผลัดกันเล่นสนุกกับถังม่านลี่ อีกทั้งยังคุยโวไปทั่วมหาวิทยาลัย ชื่อเสียงของถังม่านลี่จึงแย่ลงกว่าเดิม
แต่ถังม่านลี่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงอะไรอยู่แล้ว เธอเพียงต้องการซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนม กระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้า เครื่องสำอาง…
เธอจึงเป็นฝ่ายตามหาคนรวยที่สโมสรเองโดยใช้ความสาวความสวยและความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เธอจึงเป็นที่นิยมของสโมสรมาก มีเหล่าเถ้าแก่มากมายเป็นฝ่ายเข้าหาเธอก่อนและยังใจป้ำเรื่องเงินด้วย
เหมยเหมยส่ายหน้า ถังม่านลี่ทำตัวเองแท้ ๆไม่แปลกที่ผู้คนจะพากันดูถูก
ทั้ง ๆที่มีของดีอยู่กับตัวแต่กลับเอาไปใช้ในทางที่ผิด ต่อไปหากคิดกลับตัวกลับใจคงยากแล้วล่ะ!
………………………………………………………………..
[1] เปรียบเปรยบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่ถูกซุกซ่อนไว้ โดยที่ยังไม่ถูกค้นพบและเปิดเผย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น