ลำนำบุปผาพิษ 1594-1597

 บทที่ 1594 เจ้ารู้จักเขาดีนี่


โดยรวมแล้ว ศึกสงครามในทวีปนี้ส่วนใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว ทุกอย่างล้วนพัฒนากลับไปเป็นเช่นกาลก่อน บางทีใช้เวลาไม่ถึงสามปีห้าปี ทวีปนี้ก็จะฟื้นฟูกลับสู่ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูเช่นในอดีตแล้ว


แน่นอนว่าบาปกรรมที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก่อร้ายแรงเกินไป สถานการณ์ของสามอาณาจักรที่เดิมทีคานอำนาจกันดั่งเตาสามขาถูกตีให้แตกพ่ายแล้ว ยามนี้เหลือเพียงอาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเจาหยาง


อย่างที่ทุกคนทราบกันดี การคานอำนาจกันสามฝ่ายนั้นมั่นคงที่สุด อีกทั้งอาณาจักรเฟยซิงกับอาณาจักรเจาหยางทำศึกสงครามกันมานานปี ต่างฝ่ายต่างแค้นเคืองกัน ทั้งสองอาณาจักรได้ฮุบกลืนอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยแล้ว ยามนี้ต่างฝ่ายต่างมองเขม่นกันตาเป็นมัน ต้องการยึดครองอีกฝ่าย สถานการณ์แถบชายแดนของสองอาณาจักรอ่อนไหวยิ่งนัก สงครามขนาดเล็กยังคงปะทุขึ้นอยู่เนืองๆ


หากดำเนินเช่นนี้ต่อไป ในไม่ช้าทั้งสองอาณาจักรจะห่ำหั่นกันอย่างสมบูรณ์ และเมื่อสองอาณาจักรทำสงครามกันอย่างจริงจัง ประชาชนก็ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิด ลำบากยากแค้นเกินบรรยายอีกครั้งเป็นแน่


ต่อให้สุดท้ายแล้วอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งจะยึดครองอีกอาณาจักรได้ แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ แต่การรวมเป็นหนึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อประชาชนเลย


กำเนิดด้วยทุกข์ยากสุขสันต์มากจึงมอดม้วย[1] หากว่าอาณาจักรนี้ไร้ซึ่งอริให้ประชันขันแข่ง เมื่อเวลาผันผ่านเนิ่นนานไป ย่อมต้องล่มสลายลง…


ถ้าต้องการให้แผ่นดินนี้ผาสุกยั่งยืน วิธีการที่ดีที่สุดคือสามอาณาจักรคานอำนาจกัน เช่นนั้นถึงจะควบคุมกันได้ ตรวจสอบกันได้ สามารถทำให้ทวีปนี้สมดุลมั่นคงได้


ดังนั้นตี้ฝูอีจึงวางแผนจะก่อตั้งอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยขึ้นมาอีกครั้ง


แน่นอนว่ายามนี้เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยได้ถูกล้มล้างไปในสงครามล้างอาณาจักรแล้ว แม้แต่เด็กสักคนก็ไม่หลงเหลืออยู่


ถ้าคิดจะก่อตั้งอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยขึ้นมาใหม่ ก็ต้องสนับสนุนราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาด้วย ภารกิจของพวกมู่เฟิงทั้งสี่ก็คือตามหาผู้ที่เหมาะสมจากผู้รอดชีวิตของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย


ผู้สืบทอดคนนี้จะต้องมีเส้นสายความสัมพันธ์ มีแรงปลุกระดม มีอำนาจบารมี สามารถได้รับความสนับสนุนจากประชาชนของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยได้รวดเร็วที่สุด


มู่เฟิงรายงานสถานการณ์ต่างๆ ของครอบครัวผู้รอดชีวิตที่ภักดีต่ออาณาจักรเฮาเยวี่ยเหล่านั้นแก่ตี้ฝูอี และทำการวิเคราะห์อย่างมีระเบียบแบบแผนด้วย


ตามที่กล่าวมาทั้งหมดคือผู้มีความสามารถในบรรดาผู้สืบทอดตระกูลเหล่านั้นมีน้อยนัก ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งจักรพรรดิยิ่งมีน้อยกว่า แต่ละคนต่างมีข้อบกพร่อง ถ้ามิใช่นิสัยใจคอไม่เหมาะสม ก็เป็นบารมีไม่มากพอ หรือไม่ก็มีเส้นสายไม่กว้างขวางพอ…


ตี้ฝูอีรับฟังอยู่เงียบๆ ผ่านไปสักพักจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เชียนหลิงอวี่ล่ะ?”


มู่เฟิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็นึกถึงคนผู้นี้ขึ้นมาได้ ใคร่ครวญดูเล็กน้อย ดวงตาพลันสาดประกาย “แปดปีมานี้เจ้าเด็กคนนี้สุขุมขึ้นไม่น้อยเลย และเดิมทีตระกูลเชียนก็เป็นตระกูลเลื่องชื่อของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยอยู่แล้ว ได้รับจากยอมรับจากราษฎรยิ่งนัก สายสัมพันธ์กว้างขวาง และมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับตระกูลอื่นอย่างแน่นแฟ้น และเชียนหลิงอวี่ก็เป็นทายาทสายหลักของสกุลเชียน ซ้ำยังมาจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกด้วย เส้นสาย ความสามารถ อำนาจบารมีล้วนมีครบ เพียงแต่เจ้าเด็กนี้สมควรจะสำเร็จการศึกษาตั้งนานแล้ว แต่เขาเห็นสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เป็นบ้านมาโดยตลอดไม่ได้วางแผนจะกลับตระกูลเชียน และไม่มีจิตใจทะเยอทะยานจะขึ้นเป็นราชัน…”


ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “เขาแค่ขาดแรงกระตุ้นเท่านั้น”


มู่เฟิงไม่เข้าใจไปชั่วขณะ “ขอนายท่านโปรดแถลงไขให้ชัดแจ้ง”


“เหตุใดเขาจึงรั้งอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ตลอดไม่ยอมจากไป?”


มู่เฟิงตะลึงงัน มองดูเจ้านายแวบหนึ่ง ไม่กล้าตอบอยู่บ้าง


“ไม่ต้องอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบมาตามจริง!”


มู่เฟิงตัดสินใจในทันใด “อันที่จริงเขายังไม่ถอดใจในตัวแม่นางกู้ขอรับ เขารั้งอยู่ที่นั่นเพื่อรอให้นางหวนกลับมาเป็นครั้งคราว…”


ตี้ฝูอีมองมู่เฟิงอย่างยิ้มมิเชิงยิ้มแวบหนึ่ง “เจ้ารู้จักเขาดีนี่”


มู่เฟิงหัวเราะแห้งๆ สองที “เจ้าเด็กนั่นยังไม่ทราบว่านายท่านกับแม่นางกู้แต่งงานกันแล้ว มิเช่นนั้นคงถอดใจไป…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “หรือว่าจะให้ข้าน้อยไปบอกเขาให้ชัดเจนว่าแม่นางกู้เป็นคนของนายท่านแล้ว ทำให้เขาถอดใจไปอย่างสมบูรณ์ดีไหมขอรับ?”


ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ข้าแยกทางกับกู้ซีจิ่วแล้ว นับแต่วันนี้ไปนางกับข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก วันหน้านางจะออกเรือนแก่ผู้ใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า”


————————————————————————————-


บทที่ 1595 ข้าน้อยไม่เข้าใจท่านเลยจริงๆ…


สีหน้าของมู่เฟิงแปรเปลี่ยน อันที่จริงเขาเห็นนานแล้วว่าบนข้อมือของตี้ฝูอีไม่มีกำไลคู่บุพเพแล้ว และได้ยินกู้ซีจิ่วรบเร้าให้ตี้ฝูอีกลับไปถอนหมั้นด้วย แต่เขานึกมาตลอดว่านี่เป็นเพียงความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างสามีภรรยาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะแยกทางกับกู้ซีจิ่วแล้วจริงๆ! และท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ปล่อยมือจากกู้ซีจิ่วจริงๆ…


เขาติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีอยู่เสมอ ความเอาใจใส่และแผนการเหล่านั้นที่ตี้ฝูอีมีต่อกู้ซีจิ่ว ย่อมอยู่ในสายตาของเขาด้วย ทราบว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใส่ใจกู้ซีจิ่วอย่างหาใดเทียมจริงๆ เป็นยอดดวงใจรักใคร่ห่วงแหนจริงๆ เขาติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีมาเนิ่นนานปานนี้ ยังไม่เคยเห็นเขาดีต่อใครเช่นนี้มาก่อนเลย!


ความรักที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้เพียงพอทำให้ฟ้าดินซาบซึ้งได้เลยกระมัง? แล้วเหตุใดถึงแยกทางกันได้เล่า?!


มู่เฟิงมองตี้ฝูอีด้วยสีหน้า ‘ท่านล้อข้าเล่นอยู่กระมัง’ ตี้ฝูอีตบไหล่เขาเบาๆ “ตอนนี้นางย้ายกลับร่างเดิมแล้ว ร่างเดิมยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “เรื่องของข้ากับนางผ่านพ้นไปแล้ว นับแต่วันนี้ไปไม่ต้องเอ่ยต่อผู้ใดอีก”


มู่เฟิงปวดหัวแล้ว “นายท่าน ข้าน้อยไม่เข้าใจท่านเลยจริงๆ…”


ตี้ฝูอีเหม่อมองไปไกล สักพักจึงยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง “ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ เพียงทำไปตามที่ควรทำเถิด เจ้าก็ไม่จำเป็นจ้องเข้าใจหรอก ทำตามที่สั่งก็พอ”


มู่เฟิงทำได้เพียงตอบรับ เพียงแต่เขายังมีข้อสงสัยอื่นอยู่ “นายท่าน เรื่องของท่านกับนาง ในบรรดาพวกเราอาจไม่เอ่ยถึงได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ แต่อีกหลายคนที่ออกมาจากเขตหวงห้ามพร้อมกับพวกท่านเล่า? ล้วนทราบกันทั้งสิ้นว่าพวกท่านแต่งงานกันแล้ว…”


ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “วางใจเถอะ ข้าได้ปรับเปลี่ยนความทรงจำของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะจำไม่ได้อีกต่อไป”


มู่เฟิงตะลึง เขาไม่เข้าใจจริงๆ นะ! นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะลบตัวเองออกจากชีวิตของกู้ซีจิ่วหรือ เพราะอะไรกัน?


“เพราะอะไรขอรับ?” มู่เฟิงอดไม่ไหวยังคงถามออกมา


“มีวาสนาจึงพานพบ วาสนาจบจึงจากจร วาสนาของข้ากับนางดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ในเมื่อจะตัดก็ต้องตัดให้หมดจดสมบูรณ์ มิใช่หรือ?” ตี้ฝูอีหันหลังจากไป


มู่เฟิงตะลึงงันอยู่ตรงนั้นหลายวินาที พลันมีกองเพลิงผุดวาบขึ้นมาในหัวใจ “นี่ต้องไม่ใช่ความคิดของนางเป็นแน่ใช่ไหมขอรับ?!”


กู้ซีจิ่วใส่ใจตี้ฝูอีอย่างลึกซึ้งถึงแก่นกระดูก ล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งสี่ ดังนั้นมู่เฟิงจึงไม่เชื่อว่าหัวใจของกู้ซีจิ่วจะแปรผัน เด็กสาวคนนั้นดูเหมือนจะเยือกเย็น ทว่ารักร้อนแรงดั่งเพลิง เมื่อได้รักคนผู้หนึ่งแล้วจะทุ่มเทให้ทั้งกายใจไม่พูดเรื่องเลิกราออกมาง่ายๆ แน่นอน


ตี้ฝูอีชะงักเท้า นิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเรียบๆ “สาเหตุคือข้าเอง เจ้าจะถือว่าข้าได้ใหม่ลืมเก่าก็ได้” พลางหมุนกายหายลับไป


มู่เฟิงนิ่งงัน


ได้ใหม่ลืมเก่า? นี่ดูเหมือนปัญหาจะเกิดขึ้นที่ตัวท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงอย่างไรท่านเทพใหญ่ผู้นี้ก็มีชีวิตมาเนิ่นนานเหลือเกิน ของที่เคยชมชอบจู่ๆ ก็ไม่ชอบไปเสีย ดังนั้นจึงเบนความสนใจไป เรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาก่อน


เพียงแต่ ‘ใหม่’ ที่ว่านั้นคือผู้ใด?


มู่เฟิงกำหมัดแล้ว!


ความรู้สึกที่พวกเขาทั้งสี่คนมีต่อกู้ซีจิ่วยังคงล้ำลึกนัก ประการแรกคือชื่นชมเลื่อมใสนาง


ประการที่สองก็คือเภทภัยจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมครั้งนี้ เป็นนางที่หลอมโอสถช่วยเหลือพวกเขา มีบุญคุณที่ให้ชีวิตใหม่แก่พวกเขา


สตรีที่ดีถึงเพียงนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บอกว่าจะทิ้งก็ทิ้งได้เลยหรือ?! บอกว่าได้ใหม่ลืมเก่าประโยคเดียวก็ตัดขาดทุกสิ่งได้แล้วหรือ?!


ใจร้ายจริงๆ!


สวะ!


มิน่าเล่าผู้คนจึงกล่าวกันว่าสตรีรักมั่นปักใจชายทราม สุภาษิตไม่ได้หลอกลวงข้าจริงๆ!


หากว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มิใช่เจ้านายของพวกเขา มู่เฟิงคงเข้าไปทุบตีคนทวงความยุติธรรมแทนกู้ซีจิ่วไปแล้ว!


ช่างเถอะ เขายังต้องไปหาเชียนหลิงอวี่คนนั้นที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีก ถือโอกาสเผยเรื่องที่นายท่านกับแม่นางกู้เลิกรากันแล้วแก่เขาด้วย จิตวิญญาณการต่อสู้ของเจ้าเด็กนั่นต้องฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งเป็นแน่!


————————————————————————————-


[1] กำเนิดด้วยทุกข์ยากสุขสันต์มากจึงมอดม้วย เป็นหนึ่งในคติสอนใจของยอดปราชญ์เมิ่งจื่อ ความหมายคือ ความลำบากทำให้เราได้รู้แจ้งก่อกำเนิด แต่ความสุขสบายจะทำให้เราหลงระเริงจนล่มจ่ม


บทที่ 1596 ข้าไม่มีความรักมาผูกมัดร่างกายจึงเบาโหวง


ยามที่เชียนหลิงอวี่ทราบข่าวนี้จากปากมู่เฟิง ตัวคนก็ทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง สอบถามต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างแรก มู่เฟิงเองก็ไม่ทราบกระจ่างทั้งหมด ย่อมบอกเขาไม่ได้


ด้วยเหตุนี้เชียนหลิงอวี่จึงคิดจะติดต่อหากู้ซีจิ่วเพื่อสอบถามดูทันที ทว่ามู่เฟิงห้ามเขาไว้ บอกว่าแม่นางบ้านอื่นกำลังเสียใจอยู่ เจ้าจะไปถามให้กลัดกลุ้มอีกทำไม? นี่จะไม่เป็นการโรยเกลือลงบนแผลใจของนางหรอกหรือ?


เชียนหลิงอวี่คิดๆ ดูก็ว่าถูก จึงไม่กล้าถามแล้ว ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มเก็บสัมภาระ โผทะยานปานเหินบินไปที่อาณาจักรเฟยซิงทันที


….


ยามที่เชียนหลิงอวี่ปรากฏตัวขึ้นนอกเรือนพักของกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วยังคงตกตะลึงนัก


นางอาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์นานปานนั้น ย่อมทราบรูปแบบการปฏิบัติภารกิจและการพักผ่อนของศิษย์ที่นั่น เข้มงวดกวดขันยิ่งนัก ปกติแล้วแม้แต่เวลาจะไปจับจ่ายซื้อของก็ยังไม่มีเลย แล้วทำไมจู่ๆ เจ้าเด็กนี่ถึงแล่นมาหาเธอที่นี่ได้ล่ะ?


เชียนหลิงอวี่ไม่กล้าถามตรงๆ จึงคุยทักทายสัพเพเหระกับกู้ซีจิ่วอยู่หลายประโยค ทำนองว่าแม่ทัพกู้สบายดีไหม? เหล่าพี่สาวน้องสาวของเจ้าล่ะ? คุ้นเคยกับการพำนักอยู่เรือนนี้หรือยัง…วาจาประเภทนี้ล้วนเอ่ยไล่เรียงกันมารอบหนึ่ง เกือบจะพูดว่า ‘วันนี้อากาศดีเหลือเกิน’ ออกมาด้วย


กู้ซีจิ่วเป็นคนเช่นใดกันเล่า? เชียนหลิงอวี่ถูไม้ถูมืออยู่บ่อยๆ สีหน้าประดักประเดิด เธอเห็นแวบเดียวก็มองออกแล้วว่าเขามีเรื่องอยากถาม ทว่าไม่กล้าถามออกมา…


ด้วยเหตุนี้เธอจึงถามเขาอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก “เจ้าหนุ่มเจ้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ พูดจาอ้อมค้อมวกวนกับข้าเช่นนี้ไม่เหนื่อยหรือไง?”


ดังนั้น เชียนหลิงอวี่จึงเอ่ยถาม “ซีจิ่ว เจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”


กู้ซีจิ่วก็เข้าใจแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ดูเหมือนเรื่องที่เธอกับตี้ฝูอีเลิกรากันจะแว่วไปถึงหูเชียนหลิงอวี่แล้ว ผู้ใดกันที่ปากโป้งถึงเพียงนี้?


อันที่จริงครั้งนี้หลังจากเธอกับตี้ฝูอีออกมาจากเขตหวงห้ามก็ปรากฏตัวพร้อมกันน้อยมาก ประชาชนในเมืองหลวงถึงขั้นที่ไม่ทราบเลยว่าสรุปแล้วเธอกับเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร


และเนื่องจากเธอรอคอยให้ตี้ฝูอีมอบเรื่องน่าประหลาดใจให้เธออยู่ จึงไม่เคยป่าวประกาศเรื่องนี้เลย…


ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว โชคดีเหลือเกินที่ไม่ได้ประกาศออกไป! ไม่เช่นนั้นตอนนี้เธอคงกลายเป็นที่น่าขบขันไปแล้ว


“พวกเราเลิกกันแล้ว” ตอบอย่างไม่ยี่หระ


ดวงตาของเชียนหลิงพลันเปล่งประกาย! แต่เขาก็รู้สึกได้ในทันใดว่า ‘เปล่งประกาย’ ในยามนี้ไม่ถูกกาลเทศะนัก รีบเก็บซ่อนแววตาไว้อีกครั้ง พินิจดูกู้ซีจิ่วอย่างละเอียดคราหนึ่ง จู่ๆ ก็พบปัญหาข้อหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าดูอ่อนเยาว์ลงไม่น้อยเลย!”


กู้ซีจิ่วลูบใบหน้า ตอบอย่างจนปัญญา “เจ้าคิดเสียว่าข้าไม่มีความรักมาผูกมัดร่างกายจึงเบาโหวง หวนคืนสู่วัยสาวก็ได้”


เชียนหลิงอวี่พูดไม่ออกเลย…


เขามองสีหน้าของกู้ซีจิ่วอีกครั้ง พบว่านอกจากนางจะดูอ่อนเยาว์ลงเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่เห็นมีท่าทางเซื่องซึมไร้ชีวิตไร้ชีวาแบบหญิงสาวที่ช้ำรักเลย จึงโล่งใจไปกึ่งหนึ่งแล้ว


เขาไม่ถนัดเรื่องการปลอบใจคน ยิ่งไปกว่านั้นคือท่าทางของกู้ซีจิ่วในยามนี้ก็ดูไม่คล้ายว่าต้องการคนปลอบใจเลย


ดังนั้นเขาจึงถูไม้ถูมืออยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา คิดว่าจะลากกู้ซีจิ่วออกไปเดินเที่ยวชมงิ้วอะไรทำนองนั้น อย่างแรกคืออยู่เป็นเพื่อนนางช่วยผ่อนคลายจิตใจของนาง อย่างที่สองก็คือคิดจะอยู่กับนางให้มากหน่อยเพื่อบ่มเพาะความรู้สึก…


นึกไม่ถึงว่าเขาเพิ่งเสนอความเห็นนี้ออกมาก็ถูกซีจิ่วปฏิเสธทันที ยามนี้เธอไม่มีเวลามาเดินเที่ยว เธอต้องไปเยือนวังหลวง


ได้ยินว่าระยะนี้ภายในวังหลวงไม่ค่อยสงบ มีวิญญาณพยาบาทอาละวาด หรงเจียหลัวผู้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเฟยซิงจึงส่งคนมาเชิญกู้ซีจิ่วไปทำพิธี…


ยามนี้ฐานะของกู้ซีจิ่วในอาณาจักรเฟยซิงเทียบชั้นกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีได้รางๆ แล้ว เมื่อราษฎรอาณาจักรเฟยซิงเผชิญเรื่องราวที่ยากจะแก้ไขได้ก็ชอบมาหาเธอ ในวังก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน


ส่วนกู้ซีจิ่วก็อยากให้ตัวเองยุ่งง่วนอยู่บ้าง ยุ่งง่วนตลอดยิ่งดี ดีที่สุดคือยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้นเลย แบบนี้จะได้ไม่มีเวลามาขบคิดเรื่องว้าวุ่นเหล่านั้น


ดังนั้นพักนี้เธอจึงตอบรับคำขอร้องอยู่เสมอ ยุ่งจนตัวเป็นเกลียว ไม่มีเวลาไปเดินเที่ยวกับเชียนหลิงอวี่เลย


————————————————————————————-


บทที่ 1597 เด็กสาวคนนี้สุขุมเยือกเย็นจนน่ากลัว!


เชียนหลิงอวี่ย่อมไม่อยากถูกทิ้งไว้ รีบเสนอตัวติดตามไปด้วยทันที


….


วังหลวงเป็นสถานที่มักจะมีวิญญาณร้ายปรากฏขึ้นได้ง่ายๆ มาตั้งแต่โบราณแล้ว โชคดีที่วังหลวงมีไอมังกรเข้มข้น สามารถสะกดภูตผีปีศาจเหล่านั้นไว้ได้ ปกติแล้วต่อให้มีวิญญาณอาฆาตก็จะถูกจัดการไปอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่ระยะนี้คงเป็นเพราะหนก่อนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก่อกรรมทำชั่วไว้มากเกินไป ในวังหลวงก็ได้รับความทุกข์ยากยิ่งนักเช่นกัน มีเหล่าขันทีนางกำนัลและองครักษ์มากมายที่ต้องสิ้นชีพโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตกอยู่ในสภาวะที่วิญญาณอาฆาตก่อตัวกันเป็นกลุ่มก้อน


ถึงแม้พลังวิญญาณของหลงเจียหลัวจะสูงยิ่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เป็นวิชาขับไล่ภูตผี ดังนั้นถ้าต้องการจะสวดส่งวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ ก็ยังคงต้องการบุคคลจำพวกพระเถระหรือราชครูอยู่ดี


ระยะนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีไม่อยู่ในอาณาจักร กล่าวกันว่าได้รับโองการจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ไปที่อาณาจักรเฮ่าเยวี่ยแต่เก่าก่อน


ส่วนทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยก็ปิดด่านกักตนอีกครั้งแล้ว ดังนั้นหน้าที่ส่งวิญญาณนี้จึงตกมาอยู่ที่กู้ซีจิ่ว


เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วชำนาญด้านนี้ยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณอาฆาตที่ร้ายกาจมากแค่ไหน พอมาเจอเธอก็มีแต่ต้องถูกส่งวิญญาณไปสู่สุขคติ…


เมื่อทำพิธีเสร็จ หลงเจียหลัวก็เชิญให้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองอยู่ร่วมงานเลี้ยง


งานเลี้ยงที่จักพรรดิเป็นผู้จัด กู้ซีจิ่วย่อมต้องไว้หน้า ด้วยเหตุนี้จึงรั้งอยู่ร่วมงาน


งานเลี้ยงของราชวงศ์ย่อมมีอาหารเลิศรสสารพัดอย่าง หรงเจียหลัวยังคงทราบรสชาติโปรดของกู้ซีจิ่วเป็นอย่างดี อาหารในงานเลี้ยงจึงเป็นของโปรดเธอแทบทั้งสิ้น ทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน


ในงานเลี้ยง หรงเจียวหลัวไม่ได้วางมาดเป็นจักรพรรดิ พูดคุยยิ้มหัวกับกู้ซีจิ่ว


ยามปกติแล้ววาจากษัตริย์มีค่าดั่งทองเขาจึงไม่ค่อยพูดนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากู้ซีจิ่วก็จะพูดมากขึ้นเล็กน้อย ถึงขั้นที่ค่อนข้างมีอารมณ์ขันด้วย ทำให้กู้ซีจิ่วยิ้มหัวอยู่เสมอ


แน่นอนว่าทำให้เชียนหลิงอวี่ค่อนข้างหึงหวงยิ่งนัก


เมื่อก่อนเขาเคยเห็นหรงเจียหลัวอยู่ไกลๆ เพียงหนเดียว ไม่นับว่าคุ้นเคยกัน ยามนี้เมื่อเห็นเขารูปโฉมหล่อเหลา บุคลิกเลิศล้ำ กริยาท่าทางแฝงความสง่างามสูงศักดิ์ เป็นบุรุษที่มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ยิ่งนัก


ถึงแม้จะไม่ค่อยยิ้มง่ายๆ แต่เมื่อแย้มยิ้มก็เจิดจรัสยิ่งนัก ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้


ยามที่กู้ซีจิ่วสนทนากับเขา จะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเฉิดฉันอยู่เสมอ


บุคลิกสูงส่งของโอรสสวรรค์ผู้นี้ดึงดูดใจคนยิ่งนัก ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตี้ฝูอีเลย แม้แต่เชียนหลิงอวี่ก็ยังอดไม่ได้มองเขาอยู่หลายครา


หลังจบงานเลี้ยง พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองก็ขอตัวลาออกมา


แสงดาวพราวเต็มฟ้า จันทร์เสี้ยวสาดแสง โคมไฟที่ห้อยอยู่หน้าร้านค้าริมถนนโยกไหว ราตรีเงียบสงัดเยือกเย็น


ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ เชียนหลิงอวี่เดินเคียงข้างกู้ซีจิ่วอยู่บนถนน รู้สึกว่าในความเรียบง่ายได้แฝงความอบอุ่นไว้


ตลอดทางนี้กู้ซีจิ่วไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ คล้ายว่าคิดอะไรอยู่


เชียนหลิงอวี่อดใจไม่อยู่หันไปมองนางอยู่หลายแวบ กู้ซีจิ่วในยามนี้ไม่เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งช้ำรักมาเลย นางสุขุมปราดเปรื่อง จัดการเรื่องราวอย่างเป็นระเบียบ สนทนาพาทีได้เช่นปกติ หากไม่ทราบความใน เชียนหลิงแทบนึกว่าการเลิกราของนางกับตี้ฝูอีเป็นเรื่องเท็จเสียแล้ว…


เด็กสาวคนนี้สุขุมเยือกเย็นจนน่ากลัว!


เชียนหลิงอวี่ทั้งเลื่อมใสทั้งค่อนข้างปวดใจไปในเวลาเดียวกันบอกไม่ถูกเช่นกันว่าในใจรู้สึกอย่างไร


เขาเคยเห็นตอนที่กู้ซีจิ่วอยู่กับตี้ฝูอี ยามที่ดีใจขึ้นมาเสมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง เขายังเคยเห็นกู้ซีจิ่วทำตัวกระเง้ากระงอดใส่ตี้ฝูอีเป็นครั้งคราวด้วย ใส่อารมณ์กับเขาเล็กน้อย…เหมือนสาวน้อยคนหนึ่ง แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่น นางจะเยือกเย็นเฉียบแหลม จัดการเรื่องราวได้สมบูรณ์หมดจด และมอบความรู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่งให้ผู้อื่น ราวกับว่าถ้ามีนางอยู่ข้างกาย ก็สามารถคลี่คลายปัญหายุ่งยากทุกอย่างได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)