พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1593-1598
บทที่ 1593 หลอกลวงเบื้องบน รังแกเบื้อ...
พอเจอหน้ากัน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ถามทันทีว่า “ซ่างกวน มีเรื่องด่วนเรื่องร้อนอะไรถึงเรียกพวกเรามาพบ?”
ซ่างกวนชิงมีสีหน้าขื่นขม กุมหมัดคารวะกล่าวซ้ำๆ ว่า “เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นแล้ว”
ซือหม่าเวิ่นเทียนมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “เรื่องใหญ่อะไรถึงทำให้เจ้าตกใจขนาดนี้? อย่าบอกนะว่าฝ่าบาทจะตัดหัวเจ้า?”
“คงจะประมาณนั้น” ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ไม่ปิดบังพวกเจ้าทั้งสองนะ เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ตอนนี้ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว…” เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนอึ้งทันที จากนั้นก็เบิกตากว้างพลางสูดหายใจลึก ทั้งคู่ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“เรื่องนี้อาจจะทำให้ฝ่าบาทตัดหัวข้าเพราะความโมโหก็ได้ ที่ข้าเชิญทั้งสองมา ก็เพราะหวังว่าทั้งสองจะช่วยพูดให้ข้าหน่อย ขอร้องล่ะ!” ซ่างกวนชิงเรียกได้ว่าค้อมกายคารวะซ้ำๆ
“เจ้าหมายความว่า ฝ่าบาทยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?” เกาก้วนถามเสียงต่ำ
ซ่างกวนชิงส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเรื่องแบบนี้ปิดบังกันไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ข้าจะกล้าเอ่ยปากบอกฝ่าบาทได้ยังไง โชคดีที่ตอนนี้เรื่องราวเกิดการเปลี่ยนแปลง ขอร้องพวกเจ้าสองคนด้วย”
ซือหม่าเวิ่นเทียนแสยะยิ้มไม่หยุด “ข้าว่านะซ่างกวน ข้าจะว่าเจ้ายังไงดี กับเรื่องแบบนี้เจ้ากล้าปล่อยให้เกิดช่องโหว่ได้ยังไง?”
ซ่างกวนชิงเถียงไม่ออก กุมหมัดคารวะขอร้องอีกครั้ง
เกาก้วนเหล่ตาถาม “เรื่องแบบนี้เจ้าควรจะไปขอให้โพ่จวินช่วย มีแค่เขาที่กล้าเถียงกับฝ่าบาท พวกเราสองคนไม่ได้หัวแข็งขนาดนั้น”
“เห้อ!” ซ่างกวนชิงกลอกตามองบน “เหล่าเกา เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่ตายใช่มั้ย? เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยเจ้าอารมณ์ของโพ่จวินอีกเหรอ? จะให้โพ่จวินรู้เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ ถ้าให้โพ่จวินรู้ว่าข้าทำเรื่องลับลวงพรางขนาดนี้ นอกจากเขาจะไม่ช่วยข้าแล้ว ดีไม่ดีอาจจะซ้ำเติมด้วยซ้ำ ข้าไปมีเรื่องกับท่านนั้นไม่ไหว ตกลงไหม? แล้วอีกอย่างนะ เรื่องแบบนั้นจะให้คนรู้เยอะได้ยังไง แต่ฐานะของพวกเจ้าสองคนไม่เหมือนกัน”
“เจ้ากำลังบอกว่า พวกเราสองคนทำเรื่องลับลวงพรางบ่อย ก็เลยมาหาพวกเราใช่มั้ย?” เกาก้วนถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนเอามือลูบจมูกโดยไม่รู้ตัว ก็พูดไม่ผิดจริงๆ เกาก้วนกุมหน่วยตรวจการขวายังใช้วิธีแข็งกร้าวได้บ้าง แต่เขาคุมหน่วยตรวจการซ้าย จึงทำเรื่องลับลวงพรางไว้เยอะ ขอเพียงทำให้บรรลุเป้าหมาย ไม่วิธีการต่ำช้าอย่างไรก็ใช้ได้หมด เมื่อเทียบกับซ่างกวนชิงแล้วถือว่าไม่น้อยกว่าเลย
“เห้อ! นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้าจะมาเถียงกับข้าเรื่องนี้ทำไม?” ซ่างกวนชิงถึงแขนเสื้อของทั้งสองคน “ไปเถอะ พวกเจ้าเห็นคนกำลังจะตายอยู่แล้ว จะไม่ช่วยเหลือได้ยังไง?”
ที่จริงทั้งสองไม่อยากจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ เพราะจินตนาการได้ถึงปฏิกิริยาของฝ่าบาทหลังจากได้รู้เรื่องนี้ การพรวดพราดเข้าไปในเวลานี้ก็คงไม่ได้ผลดีอะไร แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรซ่างกวนชิงก็เป็นคนข้างกายฝ่าบาท คอยบอกใบ้ชี้แนะพวกเขาบ่อยๆ ทั้งสองนับว่าได้รับน้ำใจจากซ่างกวนชิงมาไม่น้อย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องตอบแทนน้ำใจก็ได้ แต่อย่างน้อยในภายหลังก็ยังมีเรื่องที่ต้องขอให้ซ่างกวนชิงช่วยพูดต่อหน้าฝ่าบาทอีก
ทั้งสองจำเป็นต้องเดินตามหลังเขาไป หลังจากเข้าไปในวังแล้ว เห็นว่าสถานที่ที่จะไปคือวังหลัง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เลยขมวดคิ้วถามว่า “ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน?”
“ที่ตำหนักบูรพา” ซ่างกวนชิงถาม
อยู่กับสนมสวรรค์อีกแล้วเหรอ? ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ตอนนี้ขอเพียงตาไม่บอดก็ล้วนดูออก ว่าฝ่าบาทรักและโปรดปรานสนมสวรรค์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ระหว่างทาง ทั้งสามปรึกษากันว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร
หลังจากมาถึงประตูของตำหนักบูรพา ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็ไม่สะดวกจะเข้าไปอีก ข้างในเป็นตำหนักบรรทมของสนมสวรรค์ ผู้ชายสองคนไม่สะดวกจะล่วงล้ำเข้าไป ส่วนซ่างกวนชิงก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปแล้ว พอไปถึงประตูนอกตำหนักหลังหนึ่งก็ส่งเสียงเรียก “ฝ่าบาท ทูตซ้ายซือหม่ากับทูตขวาเกาขอพบ”
ผ่านไปไม่นาน ประมุขชิงที่สวมชุดลำลองผ้ามุ้งบางทั้งตัวก็เดินออกมาพร้อมผมที่ปล่อยยาวสยาย ดูจากใบหน้าที่อมยิ้มแล้วก็เหมือนจะอารมณ์ดีใช้ได้เลย เขาพยักหน้าบอกว่า “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ” จากนั้นก็ก้าวเดินลงบันได เดินไปในศาลาที่อุทยาน
ผ่านไปไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็มาพร้อมกัน หลังจากเข้ามาทำความเคารพในศาลาแล้ว ก็ต่างคนต่างรายงานเรื่องสำคัญของตัวเอง ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ต้องช่วยเล่นละครให้ความร่วมมือกับซ่างกวนชิง ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรแต่ก็ต้องหาทางกุเรื่องขึ้นมารับมา
ซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างกายประมุขชิง แต่ทำท่าทางเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ต่อให้ในใจจะมีเรื่องอะไร แต่ในภายนอกก็มองไม่เห็นพิรุธใดๆ ทำเอาซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนแอบด่าในใจไม่หยุด
หลังจากรายงานเรื่องใหญ่ๆ เสร็จ ประมุขชิงให้คำชี้แนะเล็กน้อยแล้ว ก็ถามตามความเคยชินอีกว่า “ช่วงนี้แต่ละที่สงบเงียบดีใช่มั้ย?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอื่น แต่เพิ่งจะได้ข่าวมาเรื่องหนึ่ง ได้ยินว่าโจรราคะเจียงอีอีผู้โด่งดังที่จับตัวไม่ได้มาหลายครั้งติดกับดักที่ตลาดผีแล้ว ตกอยู่ในมือแม่ทัพภาคตลาดผีหนิวโหย่วเต๋อแล้วขอรับ”
ประมุขชิงราวกับโดนกระตุ้นให้สะเทือนอารมณ์ เบิกตากว้างในชั่วพริบตาเดียว
เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยก็เพิ่งได้ข่าวด้านนี้มาเช่นกัน เหมือนจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตก่อน จากนั้นตึกศาลาสัตยพรตก็ส่งต่อให้หนิวโหย่วเต๋ออีก”
“ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?” ประมุขชิงนั่งไม่ติดที่แล้ว เพล้ง! ใช้ฝ่ามือตบลงบนผวิโต๊ะศิลาหยก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นโต๊ะที่ก่อตัวจากพลังปรารถนา โต๊ะพังกระเด็นเกลื่อนพื้นในชั่วพริบตาเดียว
เสียงความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ทหารยามข้างนอกปรากฏตัวพร้อมกัน คนในตำหนักบูรพาก็ตกใจกับเสียงนี้เช่นกัน ขนาดจ้านหรูอี้ที่สวมชุดลำลองผ้ามุ้งบางยังยื่นตัวออกมาดูตรงประตู
ประมุขชิงพลันลุกขึ้นยืน จ้องมองรอบวงด้วยแววตาเดือดดาล แล้วโบกมือตะคอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ไสหัวออกไปให้หมด!”
คนที่เข้ามาล้อมหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนกลับทำท่าเหมือนแปลกใจ ส่วนซ่างกวนชิงก็โค้งตัวค้างไว้ ตกใจจนตัวสั่นระริก
ตอนนี้ประมุขชิงถึงได้หันตัวมาช้า แล้วมองไปที่ซ่างกวนชิง ถามอย่างดุดันว่า “นี่คืองานที่เจ้าทำเหรอ? เจ้าไม่คิดจะให้คำอธิบายกับข้าสักหน่อยเหรอ?”
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องจริงๆ ข้าน้อยจะติดต่อไปยืนยันเดี๋ยวนี้” ซ่างกวนชิงที่มีสีหน้าหวาดกลัวรีบหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน
“เหตุใดฝ่าบาทจึงเดือดดาลขนาดนี้?” ซือหม่าเวิ่นเทียนลองถาม
ประมุขชิงกระอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น สายตากวาดมองบนใบหน้าเกาก้วนและซือหม่าเวิ่นเทียน สุดท้ายก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ทีแรกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พอได้ยินเจ้าชาติสุนัขนี่เอ่ยขึ้นมาถึงได้รู้ เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ชาติสุนัข!” พอพูดจบ ก็ใช้เท้าเตะบนก้นของซ่างกวนชิงหนึ่งที
ซ่างกวนชิงแทบจะล้มลงเหมือนสุนัขกินอุจจาระ เขารีบลุกขึ้นยืนโดยยังไม่หยุดเขย่าระฆังดาราในมือ
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนเห็นแล้วแอบทอดถอนใจ ได้อยู่ใกล้ฝ่าบาทก็มีเหมือนกัน ได้อยู่ไกลฝ่าบาทสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยฝ่าบาทก็ไม่ดุด่าหรือลงไม้ลงมือกับพวกเขาสองคน สิทธิพิเศษแบบซ่างกวนชิงกับโพ่จวินเป็นสิ่งที่พวกเขาสัมผัสไม่ถึง แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งนี้ก็อธิบายได้ชัดเจนว่าซ่างกวนชิงกับโพ่จวินต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของฝ่าบาทอย่างแท้จริง
ทว่าทั้งสองก็ยังต้องให้ความร่วมมือในการแสดงละคร ทั้งคู่ทำสีหน้าตกใจมาก ร้อง “อ๋า!” แล้สมองหน้ากันเลิกลั่ก
เหมือนจะรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวเสียงต่ำว่า “ตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อก็จัดการง่าย แต่ถ้าผ่านมือตึกศาลาสัตยพรตก็จะจัดการยากแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตึกศาลาสัตยพรตได้ล้วงอะไรจากปากเจียงอีอีหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินคำนี้ ประมุขชิงก็ขยับเท้าอีกรอบ เตะซ่างกวนชิงกระเด็นออกนอกศาลาเสียเลย
ผ่านไปไม่นาน ซ่างกวนชิงก็วิ่งกลับมาอย่างกลัวเกรงอีก แล้วรายงานสถานการณ์ที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่นี้ สุดท้ายก็พูดคลี่คลายสถานการณ์ว่า “ฝ่าบาท เดิมทีทางสมาคมวีรชนมีแผนรับมือ รวบรวมยอดฝีมือเตรียมจะไปชิงตัวคนที่ตึกศาลาสัตยพรต เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ตึกศาลาสัตยพรตจะส่งคนไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ทางสมาคมวีรชนก็อยากจะแก้ไขเรื่องนี้ก่อน เมื่อได้คำอธิบายแล้วค่อยรายงานข้าน้อยทีหลัง ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่รู้สถานการณ์เลยจริงๆ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนแอบพูดไม่ออก เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง เจ้านี่จึงผลักสมาคมวีรชนออกมาเป็นโล่กำบังเสียเลย ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมขึ้นมา เกรงว่าในภายหลังตระกูลหวงฝู่คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านกันทั้งหมด
ประมุขชิงด่ายับเลยว่า “ได้คำอธิบายบ้าอะไรเล่า! ตึกศาลาสัตยพรตไม่ได้อยู่ในระบบของตำหนักสวรรค์ บุกโจมตีก็ไม่เป็นไร อย่าบอกนะว่าตอนนี้ยังคิดจะนำคนบุกโจมตีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วย ตึกศาลาสัตยพรตจะนิ่งดูดายได้เหรอ? ขอเพียงมีใครสักคนของสมาคมวีรชนติดกับดัก ก็จะถือว่าสมาคมวีรชนทำผิดกฎสวรรค์แล้ว ถ้ามีคนล้างเลือดเพื่อรักษากฎสวรรค์ขึ้นมา แม้แต่ข้าก็พูดอะไรไม่ได้!”
ซ่างกวนชิงตัดสินใจแสดงความฉลาดของตัวเองออกมา “ฝ่าบาทช่างปราดเปรื่อง เมื่อครู่นี้ข้าน้อยตำหนิพวกเขาไปแล้ว สั่งให้พวกเขาหยุดแล้ว”
“เจียงอีอีเป็นหรือตาย?” ประมุขชิงถาม
“อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายขอรับ” ซ่างกวนชิงตอบ
“ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เจียงอีอีได้พูดอะไรเหลวไหลไปหรือเปล่า” ประมุขชิงกล่าว
เพื่อที่จะระงับไฟโกรธของประมุขชิง ซ่างกวนชิงจึงบอกว่า “สมาคมวีรชนให้เขาทำเรื่องนี้ได้ ก็ย่อมมีวิธีควบคุมเขาได้เช่นกัน สมาคมวีรชนมีความมั่นใจมาก ว่าต่อให้ตายยังไงเจียงอีอีก็ไม่มีทางปริปาก คนยังไม่ตาย ก็น่าจะยังไม่คายความลับอะไรออกมา แน่นอน เรื่องนี้ยังต้องรอให้เจียงอีอียืนยันเอง โชคดีที่เจียงอีอียังมีชีวิตอยู่ขอรับ”
ที่บอกว่าสมาคมวีรชนมีความมั่นใจมากคืออะไร? ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนแอบส่งสายตาให้กัน เพื่อที่จะทำให้ฝ่าบาทระงับโทสะ ซ่างกวนก็ช่างกล้าพูดฌอ้อวดทุกอย่างจริงๆ แบบนี้เป็นการผลักตระกูลหวงฝู่ให้ตกหลุมพรางมรณะชัดๆ ถ้ายืนยันได้ว่าเจียงอีอีพูดอะไรไปแล้ว เช่นนั้นตระกูลหวงฝู่ก็จะโดนเพิ่มโทษข้อหาปิดบังไม่ยอมรายงาน ถ้าเกิดปัญหาขึ้นก็ล้วนเป็นความผิดของตระกูลหวงฝู่ที่ไม่ยอมรายงาน ส่วนซ่างกวนชิงก็โดนตระกูลหวงฝู่ปิดบังเช่นกัน ถึงตอนนั้นตระกูลหวงฝู่จะยังมีทางรอดอีกเหรอ? อย่าว่าแต่ฝ่าบาที่จะไม่ปล่อยไป เกรงว่าซ่างกวนก็จะฆ่าปิดบังเช่นกัน ต้องทราบไว้ว่าในมือซ่างกวนยังมีหน่วยองครักษ์เงา!
แต่จะว่าไปแล้ว ที่จริงตระกูลหวงฝู่ก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งที่อยู่ใต้เท้าซ่างกวนชิง ยามเผชิญอันตรายเจ้าของจะเลือกปกป้องตัวเอง หรือจะเลือกทิ้งเจ้าของเพื่อปกป้องสุนัขตัวนั้นล่ะ ระหว่างสองอย่างนี้ก็เลือกได้ไม่ยาก พอสุนัขตายไปแล้ว แค่หาตัวใหม่มาเลี้ยงก็สิ้นเรื่อง
“แต่สิ่งที่ข้าน้อยกังวลในตอนนี้ก็คือ เจียงอีอีปรากตัวอยู่ใกล้ๆ จวนแม่ทัพภาคตลาดผี จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อสงสัยหรือเปล่าขอรับ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเดาเจตนาของเจียงอีอีออกขึ้นมา อาศัยแค่ที่หนิวโหย่วเต๋อกล้าก่อเรื่องใหญ่โตที่น่านฟ้าระกาติงเพื่อผู้หญิงคนนั้น เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่ปล่อยเจียงอีอีไป”
คำพูดของซ่างกวนชิงเบี่ยงเบนความสนใจของประมุขชิงได้สำเร็จแล้ว ทำให้ประมุขชิงเพ่งสมาธิไปกับการแก้ไขปัญหานี้ ประมุขชิงหันขวับกลับมาถามว่า “เกาก้วน เจ้ามีช่องทางติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อได้ใช่มั้ย?”
เกาก้วนพยักหน้า “ใช่ขอรับ มีช่องทาง”
ประมุขชิงสั่งว่า “เจ้าติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ บอกว่าเจียงอีอีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญมากมาย เรื่องนี้หน่วยตรวจการขวาของเจ้าจะสอบสวนเอง ก่อนที่จะส่งคนมาถึงหน่วยตรวจการขวา สั่งหนิวโหย่วเต๋อว่าอย่าถือวิสาสะทำอะไรเจียงอีอี คาดว่าชื่อเสียงของทูตขวาเกาคงจะขู่เขาได้ผล!”
“ขอรับ!” เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
ส่วนประมุขชิงก็หันขวับกลับมาจ้องซ่างกวนชิงด้วยสายตาเย็นเยียบอีก “สมาคมวีรชนเผยช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ เจ้าดูแลยังไงของเจ้า? แม้แต่อะไรสำคัญมากสำคัญน้อยยังแยกแยะไม่ได้ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขนาดนี้ยังกล้าปิดบัง เกรงว่าตระกูลหวงฝู่คงไม่เหมาะที่จะคุมสมาคมวีรชนอีกแล้ว หาคนมารับช่วงต่อซะ หลังจากจบเรื่องนี้ให้หน่วยองครักษ์เงากำจัดปัญหาแฝงเร้นให้สิ้นซาก ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรอีกข้าจะมาเอาเรื่องเจ้า!”
บทที่ 1594 เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีกแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันอีกครั้งอย่างรู้ใจ ตระกูลหวงฝู่กำลังจะประสบหายนะจริงๆ ด้วย การใช้ให้หน่วยองครักษ์เงากำจัดปัญหาแฝงเร้นให้สิ้นซาก นี่คือจังหวะที่กำลังจะถอนรากถอนโคนตระกูลหวงฝู่
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือ ซ่างกวนชิงมีสีหน้าขื่นขม กุมหมัดขอความเมตตาไม่หยุด “ฝ่าบาท สมาชิกที่เกี่ยวข้องกับสมาคมวีรชนกว้างขวางและซับซ้อนเกินไปจริงๆ ถ้าเปลี่ยนคนกะทันหัน ยังไม่ต้องพูดถึงระดับความยากในนั้น แค่ให้สมาชิกในที่แจ้งและในที่ลับติดต่อกันอีกครั้งก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ขั้นตอนเหล่านี้ต้องสิ้นเปลืองไปเวลาไปไม่น้อน และเรื่องในครั้งนี้ก็เป็นข้าน้อยเองที่กดดันสมาคมวีรชนเกินไปจนเกิดช่องโหว่ สรุปก็คือ หลายปีมานี้ตระกูลหวงฝู่ก็ยังสร้างผลงานไว้มากกว่าความผิดพลาด และเหมาะสมกับตำแหน่งด้วย ทั้งยังจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทมอบโอกาสต่อตระกูลหวงฝู่อีกสักครั้ง!”
ประมุขชิงพลันหรี่ตาต้องสอบสวนซ่างกวนชิงครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าเกิดความผิดพลาดอีก ข้าจะเอาเรื่องเจ้า!” จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัด แล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกไป
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันแวบหนึ่งอย่างค่อนข้างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าซ่างกวนชิงจะไม่ผลักความรับผิดชอบเสียทั้งหมด ในด่านสุดท้ายก็ยังคงปกป้องตระกูลหวงฝู่
ทั้งสองเดินออกจากตำหนักบูรพา ขณะที่เดินเคียงกัน เกาก้วนก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ดูท่าแล้วซ่างกวนก็นับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นข้ามแม้น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”
ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะแห้งๆ “เกรงว่าจะไม่แน่หรอก ข้ากลับมองเงื่อนงำอย่างอื่นออก”
“อ้อ!” เกาก้วนเหล่ตามอง “อย่าบอกนะว่าซ่างกวนมีแผนอีกอย่าง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกว่า “ช่วงเวลาที่ตระกูลหวงฝู่ควบคุมสมาคมวีรชนนั้นไม่ใช่น้อยๆ มันเติบโตขึ้นแล้ว นอกเสียจากจะตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะใช้วิธีการแข็งกร้าว ไม่ใช่ว่าอยากจะแตะต้องก็แตะต้องได้ คาดว่าในมือคงกุมความลับของซ่างกวนไว้ไม่น้อย หวงฝู่เลี่ยนคงก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ซ่างกวนกล้ารับประกันมั้ยล่ะว่าในมือหวงฝู่เลี่ยนคงจะไม่มีแผนสำรองเลยสักนิด? ถึงยังไงก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนในตระกูล ถ้ากดดันจนอีกฝ่ายจนตรอกจริงๆ หึหึ…” เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว
เกาก้วนแววตาวูบไหวเป็นประกาย แล้วขานรับ “อ้อ” ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายล้ำลึก
ทั้งสองยังไม่ทันเดินออกจากวังสวรรค์ ซ่างกวนชิงก็ตามหลังทั้งสองมาแล้ว ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “ให้พวกเจ้าสองคนเห็นเรื่องน่าขำแล้ว ข้าไม่ได้ผลักความรับผิดชอบไปให้ตระกูลหวงฝู่นะ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ถ้าข้ายังปกป้องไม่ได้แม้แต่ตัวเอง แล้วจะไปปกป้องตระกูลหวงฝู่ได้ยังไงล่ะ?”
ราวกับกลัวสองคนนี้จะคิดมาก ตั้งใจถ่อมาอธิบายให้ฟังโดยเฉพาะเลย
เกาก้วนยิ้มอย่างเย็นเยียบ ไม่ได้เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เข้าใจ เข้าใจ”
ซ่างกวนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ครั้งนี้รบกวนทั้งสองแล้ว ข้าจะจดจำน้ำใจนี้ไว้”
ทั้งสองรู้สึกขำในใจ เจ้ากล้าไม่จดจำน้ำใจรึไงล่ะ? ตอนนี้เท่ากับจุดอ่อนของเจ้าอยู่ในมือพวกเราสองคนแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว การที่เข้ามาให้ความร่วมมือแบบนี้ ตัวเองก็ไม่กล้านำจุดอ่อนนี้มาใช้ซี้ซั้วเลยจริงๆ อย่างไรเสียตัวเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ตบตาฝ่าบาทแล้วเหมือนกัน
แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ยังกล่าวตามมารยาทว่า “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าเห็นเป็นคนนอกแล้ว พวกเราจัดการการเรื่องข้างล่างแล้วมีจุดไหนที่ลำบาก ก็มีแค่พวกเรานั้นที่รู้ดี การทำเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไรต่อพวกเราเองเลย ใครอยากจะเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นล่ะ? สุดท้ายแล้วก็ทำไปเพราะหวังดีกับฝ่าบาทั้งนั้น”
“เฮ้อ! ใครว่าไม่ใช่ล่ะ มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้ถึงความลำบาก ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ซ่างกวนชิงกุมหมัดคารวะเกาก้วน “ทูตขวาเกา หวังว่าเจ้าจะใส่ใจเรื่องที่ฝ่าบาทสั่งนะ อย่าให้เกิดความผิดพลาดอะไรอีก ต้องพาเจียงอีอีกลับมาทั้งเป็นๆ ให้ได้ ถ้าไม่ยืนยันเรื่องนี้ให้ชัดเจน ก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนหลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้ากดดันไปทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พร้อมส่งยอดฝีมือไปด้วย พอได้ตัวคนแล้วก็จะใช้เส้นทางลับของหน่วยตรวจการขวาย้ายตัวกลับมาทันที คงไม่เกิดปัญหาอะไร”
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี” ซ่างกวนชิงถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง นับว่าผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว
ที่จริงแล้วเขาก็ไม่อยากให้สองคนนี้มารู้เรื่องด้วย เขาอยากจะมาหาซือหม่าเวิ่นเทียนคนเดียว เป็นเพราะเกาก้วนเย็นชาไปหน่อย เรื่องบางเรื่องซือหม่าเวิ่นเทียนให้ความร่วมมือได้ แต่เกาก้วนกลับไม่แน่ ก็ช่วยไม่ได้ กำลังที่อยู่ในมือเขาล้วนเป็นกำลังที่ลับลวงพราง ไม่สามารถกดดันไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีได้โดยตรง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน แต่หน่วยตรวจการขวาของเกาก้วนกลับยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้อย่างชอบธรรม ภายใต้ความจนใจนี้ เขาถึงได้มาขอร้องเกาก้วน โชคดีที่ครั้งนี้เกาก้วนไว้หน้าเขาเต็มที่ ให้ความร่วมมือในการแสดงละครไปหนึ่งฉาก
พอเดินออกจากวังสวรรค์ ทั้งสามก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ในใจแอบรู้สึกปลงอนิจจัง ทั้งสามร่วมมือกันทำเรื่องนี้แล้ว ถ้าพูดจากในบางมุม เกรงว่าจะทำให้ท่านที่อยู่ข้างในกลัวกว่าเรื่องของเจียงอีอีเสียอีก
ถึงแม้ท่านที่อยู่ในนั้นจะมีอำนาจสูงสุด แต่ก็ใช่ว่าอาศัยสองหูสองตาของท่านนั้นแล้วจะมองเห็นทุกอย่างในใต้หล้าอย่างทั่วถึง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นราชันในโลกมนุษย์หรือว่าท่านที่อยู่ข้างในนั้น สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือการมีคนมาหลอกลวงตบตา และก็ด้วยเหตุนี้เอง ท่านที่อยู่ข้างในถึงไม่ปล่อยให้อำนาจมหาศาลของโครงสร้างหน่วยตรวจการอยู่ในมือของคนคนเดียว จึงมีการจัดแบ่งให้อย่างเปิดเผยและเป็นความลับ หน่วยตรวจการซ้ายให้ซือหม่าเวิ่นเทียนดูแล หน่วยตรวจการขวาให้เกาก้วนดูแล สมาคมวีรชนให้ซ่างกวนชิงดูแล นับว่าเป็นการคานอำนาจรูปแบบหนึ่ง ป้องกันเอาไว้เผื่อมีช่องทางหนึ่งปิดปากเงียบ จะได้ไปถามสถานการณ์จากอีกช่องทาง ไม่อย่างนั้นถ้าหูและตาถูกบีบอยู่ในมือของคนคนเดียวก็อันตรายเกินไปแล้ว
ทว่าในครั้งนี้ หูและตาที่เดิมทีเคยคานอำนาจกันกลับร่วมมือกันปิดบัง ทำให้ท่านที่อยู่ข้างในกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดเสียเลย ถ้าให้ท่านที่อยู่ข้างในรู้ความจริงขึ้นมา ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงมาก คิดไปคิดมาก็ยังทำให้กลัวอยู่เลย
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็นับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมซ่างกวนชิงจึงไม่ให้โพ่จวินเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้ที่โพ่จวินจะให้ความร่วมมือกับเรื่องแบบนี้ ขอเพียงเอ่ยปาก เกรงว่าโพ่จวินคงจะระดมกำลังทหารมาจับตัวซ่างกวนชิงไปทันที
“ทางฝั่งตระกูลหวงฝู่ ต้องให้ปิดปากให้สนิทนะ” ก่อนที่จะไป ซือหม่าเวิ่นเทียนก็กำชับด้วยเสียงราบเรียบ
ซ่างกวนชิงพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ “ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าควรต้องทำยังไง มันเป็นเรื่องที่ทำให้หัวหลุดได้ ตระกูลหวงฝู่เองก็ไม่ได้โง่”
ตลาดผี ภัตตาคารแห่งหนึ่ง
“เจียงอีอีตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อจริงเหรอ?”
“ถ้าไม่มีลมก็คงไม่มีคลื่น ใครจะไปรู้ล่ะ ถึงยังไงข้างนอกก็พูดอย่างนี้กัน”
“จุจุ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก โจรราคะนั่นตำหนักสวรรค์จับมาหลายปีแต่ก็ยังจับไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะตกอยู่ในมือเขาแล้ว”
“จับไม่ได้อะไรกันล่ะ เป็นเพราะปัดความรับผิดชอบ เลยไม่เอาจริงกันเฉยๆ หรอก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีใครหนุนหลังอยู่ล่ะ? ตระกูลโค่วต้องสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต้องให้โอกาสเขาสร้างผลงานแน่ ไงล่ะ โจรราคะติดกับดักแล้ว”
“ใช่แล้ว! ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง ต้องเป็นผลงานที่ตระกูลโค่วส่งมาให้แน่นอน”
“เฮ้อ! มีคนหนุนหลังนี่ดีจังเลย ได้ยินว่าเดินทีโดนลดยศเป็นทหารเกราะเงินหนึ่งแถบ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ได้เลื่อนหกขั้นติดต่อกัน กลายเป็นทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบเลย ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบก็ว่าเยอะแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มานั่งตำแหน่งแม่ทัพภาค ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็เกรงว่าจะไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ! เจ้าดูสิ ตอนนี้ก็มีผลงานมาจ่อถึงหน้าประตูแล้ว คนเรานี่ต่างกันจนน่าโมโห”
“ข้าได้ยินว่าเจียงอีอีโดนจับในโรงเตี๊ยมห้องหนึ่งนอกจวนแม่ทัพภาค เป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะจับเองจริงๆ”
“อ้าว! เจียงอีอีมาโผล่อยู่นอกจวนแม่ทัพภาคเหรอ? งั้นก็น่าสนใจแล้ว เจียงอีอีมันทำอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่าเจียงอีอีพุ่งเป้าไปที่ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ?”
“หึหึ! ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นเจียงอีอีก็ไม่มีทางรอดชีวิตแล้ว ไม่หัดดูเสียบ้างว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหนที่น่านฟ้าระกาติงเพื่อผู้หญิงคนนั้น ขนาดหัวหน้าภาคผู้สง่าผ่าเผยก็ยังโดนกำจัดทิ้งแล้ว มีหรือที่จะปล่อยให้เขาหยามเกียรติ ต้องตายแน่นอน!”
ในภัตตาคาร คนกลุ่มหนึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่คุยกันทั้งหมดแทบจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโจรราคะเจียงอีอีโดนจับตัว ล้วนเป็นคนที่คิดเชื่อมโยงไปต่างๆ นาๆ โดยไม่รู้ความจริง แต่คนที่รู้ความจริงกลับไม่พูดอะไร
ตรงโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ในมุม หญิงชราคนหนึ่งที่สวมหมวกผ้าสักหลาดตั้งใจฟังเงียบๆ อยู่สักพัก หลังจากได้ฟังแล้วสีหน้าก็วูบไหวร้อนรน นั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน วางถ้วยน้ำชาในมือ แล้วลุกขึ้นเดินจากไปเงียบๆ
พอออกจากภัตตาคารมาแล้ว หญิงชราก็หยิบระฆังดาราออกมา แล้วติดต่อไปหาเหมียวอี้โดยตรง ถามว่า : พี่ใหญ่ ท่านจับตัวเจียงอีอีได้แล้วใช่มั้ย?
หญิงชราไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยว่เหยาหลังจากปลอมตัวแล้วนั่นเอง เดิมทีนางก็อยากจะมาเยี่ยมเหมียวอี้อยู่แล้ว
ผ่านไปหลายปีขนาดนั้น สองพี่น้องไม่เคยได้พบหน้ากันเลย สาเหตุหลักเป็นเพราะเหมียวอี้ ตอนที่อยู่ที่กองทัพองครักษ์ เยว่เหยาก็ไม่สะดวกจะไปหา จากนั้นก็เหมียวอี้ก็อยู่ที่อุทยานหลวงหรือไม่ก็แดนมรณะดึกดำบรรพ์ จอนหลังก็เกิดเรื่องตามมาเป็นชุด เยว่เหยาได้ยินข่าวแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนเหมือนกัน อยากจะเจอมาตลอดแต่ก็ไม่ค่อยสะดวก ครั้งนี้พอได้ยินว่าเหมียวอี้ถูกทำโทษให้มาตลาดผี ก็นับว่าเป็นสถานที่ที่สะดวกให้พบกัน นางถึงได้มาหาสักครั้ง แต่ใครจะคิดว่าจะได้ยินข่าวเรื่องเจียงอีอีถูกจับตัวไปทุกที่ ทำให้นางตกใจไม่ใช่น้อย นึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีที่ตัวเองติดต่อไม่ได้มาหลายปีจะมาที่ตลาดผีแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้อาจจะฆ่าเจียงอีอี ก็ยิ่งทำให้นางร้อนใจดั่งไฟลน ยังไม่ทันถึงจวนแม่ทัพภาคก็อดไม่ได้ที่จะติดต่อไปหาโดยตรง กลัวว่าช้ากว่านี้แล้วจะมีอะไรผิดพลาด
เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย : เจ้าสาม เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?
เยว่เหยา : ข้าแค่ถามว่าจริงหรือเปล่า?
เหมียวอี้ : เจียงอีอีอยู่ในมือข้า ทำไมล่ะ?
เยว่เหยา : ท่านต้องการจะฆ่าเขาใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : ข้าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเขาแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้าสาม เจ้าถามแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?
เยว่เหยา : ท่านฆ่าเขาไม่ได้นะ! ข้าอยู่ที่ตลาดผีแล้ว กำลังจะไปที่จวนแม่ทัพภาคเดี๋ยวนี้
เหมียวอี้ : ฆ่าเขาไม่ได้เหรอ? เจ้าสาม เจ้าคงไม่ได้กำลังจะบอกข้าใช่มั้ย ว่าเจียงอีอีเป็นคนของลัทธิเซียน?
เขาไม่ได้คิดไปถึงอย่างอื่นเลย ไม่เคยเลยว่าเจ้าสามจะมีความสัมพันธ์ที่พิเศษอะไรกับโจรราคะได้ นอกเสียจากเจ้าสามจะสมองมีปัญหาเท่านั้นแหละ
เยว่เหยา : ไว้เจอกันก่อนแล้วค่อยคุย เอาเป็นว่าท่านฆ่าเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ยอมรับท่านเป็นพี่ใหญ่
หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกหยางเจาชิงให้ไปรับที่ด้านนอก ส่วนตัวเองก็เดินไปเดินมาในห้องโถง รู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเยว่เหยามีเจตนาอะไร ถ้าเจียงอีอีเป็นคนลัทธิเซียนที่ถูกจับแทรกเข้ามาในสมาคมวีรชนจริงๆ เช่นนั่นก็ยุ่งยากแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เกาก้วนกดดันเขามาแล้ว ว่าจะต้องส่งตัวให้หน่วยตรวจการขวาทั้งเป็นๆ
ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว อวิ๋นจือชิวก็เข้ามาในห้องโถงอีก เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น นางก็เข้ามากอดแขนเขาแล้วถามว่า “เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “เจ้าสามมาที่ตลาดผีแล้ว กำลังจะถึงแล้ว นางกำชับข้าว่าห้ามฆ่าเจียงอีอี”
“หมายความว่ายังไง?” อวิ๋นจือชิวงุนงง
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจ เอาไว้เจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้ส่ายหน้า
ผ่านไปไม่นาน หยางเจาชิงก็นำเยว่เหยาที่ปลอมตัวเป็นหญิงชราเข้ามาแล้ว เมื่อพบหน้ากัน เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองประเมินการแต่งตัวของเยว่เหยาศีรษะจดเท้า
ส่วนความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเยว่เหยาตัวเอง เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้คนรู้เยอะเกินไป รวมทั้งลูกน้องคนสนิทบางคนด้วย จึงโบกมือให้หยางเจาชิงถอยออกไป
พอหยางเจาชิงออกไป ยังไม่ทันรอให้เหมียวอี้เอ่ยปาก เยว่เหยาก็ถามด้วยอารมณ์ฮึกเหิมแล้วว่า “พี่ใหญ่ เจียงอีอีล่ะ?”
เหมียวอี้ขมวดคิ้วตอบ “อยู่ในคุก! ข้าว่านะเจ้าสาม นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าถึงไปเกี่ยวข้องกับโจรราคะได้?”
เยว่เหยาก้าวเข้ามาจับแขนเขา แล้วถามอย่างว้าวุ่นใจ “พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ทำอะไรเขาใช่มั้ย? พาข้าไปพบเขาเถอะ”
เหมียวอี้ชักมือออก “เจ้าสาม เจ้าพูดมาให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องอะไรกันแน่”
แต่เยว่เหยากลับทำท่าเหมือนไม่อยากรอ ใจร้อนอยากจะไปพบคน “พี่ใหญ่ ข้าต้องการพบเขา พาข้าไป” นางเข้ามาฉุดแขนเหมียวอี้ดึงไปข้างนอกอีก
บทที่ 1595 โมโหจนเกินทน
เริ่มตั้งแต่ตอนที่นางเดินเข้ามา ก็ไม่ได้ชายตาแลอวิ๋นจือชิวเลย อวิ๋นจือชิวคุ้นชินกับพฤติกรรมนี้ตั้งนานแล้ว รู้ว่าน้องสะใภ้คนนี้ไม่ถูกชะตากับตนมาตลอด ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองแย่งผู้ชายมาจากนาง แต่ก็นับว่าเตรียมใจมานานแล้ว
ทว่าน้องสะใภ้คนนี้ดันกระวนกระวายเพื่อโจรราคะคนหนึ่งขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวเห็นแล้วแอบตกใจ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ย่อมเขาใจความรู้สึกนึกนิดของผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว นี่ก็คือความได้เปรียบที่ผู้ชายไม่มี นางรู้สึกได้รางๆ ว่าเยว่เหยาเหมือนจะไม่ได้ทำเพระเรื่องงานอะไร แต่ทำเพื่อเจียงอีอีล้วนๆ นางเริ่มเป็นกังวลแล้ว หวังว่าสิ่งที่ตัวเองเดาจะไม่ใช่เรื่องจริง
“โตเป็นสาวแล้ว มาดึงมาฉุดแบบนี้มันใช่เรื่องที่ไหน!” เหมียวอี้ตำหนิพร้อมคว้าข้อมือของเยว่เหยาโยนออกไป แต่เขาก็ทำใจปฏิเสธไม่ลง พอเห็นเยว่เหยามองตนด้วยสายตาตะลึงงัน ใจก็อ่อนยวบทันที ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนมากตาเยอะ อย่าให้คนนอกมองอะไรออก ตามข้าไปข้างหลัง”
สำหรับน้องสาวคนนี้ เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายอย่างเต็มที่ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ได้ดูแลเท่าไรเลย ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเยว่เหยารับเขาเอาไว้ ต่อให้เขาไม่หิวตายแต่ก็จะถูกจับส่งเข้าจวนเฉิงย่วนอยู่ดี คงตายจนเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว มีหรือที่จะมีวันนี้ได้ ในใจเขารู้สึกผิดมาตลอด ก็เพราะความรู้สึกผิดส่วนนี้เอง ทำให้เขายอมปล่อยให้อวิ๋นจือชิวได้รับความอยุติธรรมนิดหน่อย ต่อให้เยว่เหยาจะออกนอกกรอบกว่านี้หรือทำเกินกว่านี้ แต่พอถึงเวลาจริงเขาก็ทำใจตำหนิไม่ลง มักจะให้อวิ๋นจือชิวยอมถอยให้เสมอ ให้อดทนเอาหน่อย ไม่ยอมให้น้องสาวคนนี้ได้รับความไม่เป็นธรรม
เยว่เหยาพยักหน้าซ้ำๆ “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่รักข้าที่สุด!” ขณะที่พูดหางตาก็ชำเลืองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนอวดอ้างบารมี
อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองแวบหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกเซ็งเลยสักนิด นางก็ทำไม่ได้หรอก เพียงแต่นางรู้เช่นกัน ว่าเรื่องบางเรื่องนางไปแข่งด้วยไม่ได้ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าผู้ชายของตัวเองลำเอียง แย่งกันไปแข่งกันมาต่อให้ชนะแต่ก็แพ้ ทำได้เพียงข่มใจอดทนไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะใช้หลักการ ‘เคารพพี่สะใภ้เหมือนมารดา’ นางคงลงมือสั่งสอนไปนานแล้ว
ทว่าคำพูดออดอ้อนเล็กน้อยของเยว่เหยากลับทำให้เหมียวอี้ใจอ่อน ตุ้บ! เขาใช้นิ้วดีดหน้าผากเยว่เหยาเบาๆ แล้วบอกวา “แต่งตัวเป็นยายแก่ ขี้เหร่จะตาย!”
เยว่เหยาเอามือนวดหน้าผากเบาๆ รู้ว่าท่าทีที่พี่ใหญ่มีต่อนางไม่ได้เปลี่ยนไป เรื่องนี้จึงจัดการง่ายแล้ว อารมณ์ก็สงบลงแล้วเช่นกัน นางผลักหลังเหมียวอี้อีก “พี่ใหญ่ เร็วๆ หน่อย อย่าชักช้า”
อวิ๋นจือชิวที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหึงหวงอยู่บ้าง เพราะเหมียวอี้ไม่เคยอ่อนโยนกับนางแบบนี้มาก่อนเลย แต่นางก็เข้าใจ ว่าระหว่างนางกับเหมียวอี้เป็นความรู้สึกระหว่างสามีภรรยา แต่กับอีกฝ่ายเป็นความรู้สึกแบบพี่น้อง ไม่เหมือนกัน จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ในใจก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี เวลาสองพี่น้องคู่นี้อยู่ด้วยกัน นางมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนนอก
ในคุกใต้ดิน เจียงอีอีที่สภาพจนตรอกถูกหนังยางรัดไว้กลางอากาศ ถ้าใช้โซ่เหล็กรับมือกับคนแบบนี้ก็เกรงว่าจะเกิดเรื่อง เท่านี้ยังไม่พอ ทั้งในและนอกคุกใต้ดินล้วนมีคนเฝ้าอยู่ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด
เดิมทีบนตัวเจียงอีอีไม่มีเสื้อผ้าเลย แต่เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อสายตา ตอนนี้บนตัวจึงมีชุดคลุมมาปกปิดไว้ตัวหนึ่ง เพียงแต่สองเท้าที่อยู่ด้านล่างของชุดคลุมมีกระดูกขาวเผยให้เห็น แม้แต่เนื้อก็ไม่มีแล้ว จะเห็นได้ว่าโดนตึกศาลาสัตยพรตทรมานมามากขนาดไหน
โชคดีที่เบื้องบนกดดันมาว่าให้ไว้ชีวิต ไม่อย่างนั้นโจรราคะคงจะตายก่อนถูกส่งตัวไปแล้ว ทางนี้ช่วยให้สมุนไพรเซียนซิงหัวบรรเทาให้เขา ไม่อย่างนั้นก็รับประกันไม่ได้จริงๆ ว่าเจียงอีอีจะไม่ขาดใจตาย
หลังจากเอามือไขว้หลังเดินเข้ามาแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวสั่งด้วยเสียงราบเรียบ “ถอยออกไปให้หมด ถ้าข้าไม่ได้สั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา”
“ขอรับ!” ทหารยามข้างนอกเอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกับเยว่เหยาที่อยู่ข้างนอกถึงได้เข้ามา
พอได้เห็นสภาพอนาถของเจียงอีอี เยว่เหยาก็ราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง ดวงตางามเบิกกว้าง ขยับเท้าเดินไม่ได้อยู่นานมาก สุดท้ายก็เอามือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ด้วยปากที่สั่นเทิ้ม แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์โบกแขนเสื้อ ปัดผยาวมที่ยุ่งปิดคลุมใบหน้าเจียงอีอีออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
“พี่ใหญ่เจียง!” เยว่เหยาอุทานเรียกแล้วเอามือปิดปาก นางโซเซเดินถอยหลัง น้ำตาไหลพรากในชั่วพริบตาเดียว นางส่ายหน้าไม่หยุด ในสายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าพี่ใหญ่เจียงที่สุภาพอ่อนโยนและสง่างามรักอิสระจะโดนทรมานจนมีสภาพเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าได้รับการทรมานมามากขนาดไหน
เสียงเรียก ‘พี่ใหญ่เจียง’ บวกกับปฏิกิริยาของเยว่เหยา ได้ทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวตะลึงค้างแล้วจริงๆ ทั้งคู่มองไปที่นางอย่างระแวงสงสัย นึกไม่ถึงว่าเยว่เหยาจะมีปฏิกิริยามากขนาดนี้
นอกคุกใต้ดิน เฟยหงมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าคุกใต้ดินไม่มีใครแล้ว ในขณะที่นางกลั้นหายใจและเข้าใกล้อย่างช้าๆ ทันใดนั้นนางก็ตกใจเพราะได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่เจียง’ หลังจากเข้าใกล้ประตูคุกใต้ดินแล้ว นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ตอนที่เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างใน นางก็เฝ้าสังเกตมองโดยรอบไม่หยุดเช่นกัน เตรียมตัวไว้ทุกเมื่อว่าจะแสร้งทำเป็นเดินผ่านมา
ว่ากันตามจริง การกระทำแบบนี้ค่อนข้างอันตราย แต่นางก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน เพราะได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากเบื้องบน ว่าต้องจับตาดูทางนี้เอาไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติก็ให้รายงานขึ้นไปทันที ถ้าพบเค้าลางว่าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือกับเจียงอีอี ก็ถึงขั้นเผยตัวตนที่แท้จริงแล้วกดดันได้
เพราะเหตุนี้ นางจึงไม่เสียดายที่จะให้สาวใช้สองคนรวบรวมคนที่อยู่แถวนี้แล้วให้แยกออกไป
“อือ…” พอได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เจียงอีอีที่ศีรษะห้อยตกก็เหมือนจะฟื้นขึ้นมาจากสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาเงยหน้าช้าๆ สายตาที่พร่าเลือนมองผ่านซอกผม ตรงหน้ามีคนสามคน แต่กลับไม่รู้จักเลยสักคน เขายังนึกว่าตัวเองหูฝาดไว้
เยว่เหยาถอดหมวกออก ดึงหนังปลอมบนใบหน้าตัวเองทิ้งไป แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “พี่ใหญ่เจียง ข้าเอง”
เจียงอีอีเพ่งสายตาให้หยุดนิด ในดวงตาสองจ้างพลันฉายแววตกตะลึง ร่างกายเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่บิดไปบิดมา จิตใต้สำนึกแทบจะสั่งตะโกนออกมาอย่างอ่อนแรงว่า “เยว่เหยา…เยว่เหยา…รีบหนีไป…รีบหนี…” แต่ไม่นานก็เหมือนว่าจะตระหนักอะไรได้ “เยว่เหยา เจ้า…”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก
“พี่ใหญ่เจียง ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพาท่านออกไป!” เยว่เหยาพูดจบแล้วก็จะโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ตัดเชือก แต่ใครจะคิดว่าจะขยับข้อมือไม่ได้ ถูกใครบางคนจับเอาไว้แล้ว นางหันกลับมาเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้ามืดครึ้ม
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” เหมียวอี้สีหน้าแย่มาก ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเยว่เหยากับเจียงอีอีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน เหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แต่ต่อให้นอนฝันเขาก็คิดไม่ถึง
เหมียวอี้ไม่ได้อยากขัดขวางถ้าเยว่เหยาจะคบหากับผู้ชาย แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขาหวังให้เยว่เหยาพบผู้ชายสักคนที่ดีต่อนาง เขาไม่มีทางตอบตกลงให้เยว่เหยาคบกับโจรราคะแบบนี้ต่างหาก โดยเฉพาะโจรราคะที่คิดจะลงมือกับผู้หญิงของเขา!
“ปล่อยข้า!” เยว่เหยาดิ้นรนสุดชีวิต
เหมียวอี้ไฟพิโรธเดือดดาลสามจั้ง รีบจี้สกัดจุดบนตัวนางติดต่อกันหลายครั้ง ผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนางไว้แล้ว จากนั้นโบกมือเหวี่ยงออกไป แล้วชี้นางที่กำลังโซเซถอยหลังพร้อมตะโกนถามว่า “บอกมา! นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ท่านถามข้าว่าเรื่องอะไรเหรอ?” เยว่เหยาชี้เจียงอีอี “เขากับท่านไม่ได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมท่านถึงทำร้ายเขาขนาดนี้? ถ้าจะฆ่าคนก็แค่ทำให้ศีรษะตกพื้น ท่านจะฆ่าก็ฆ่าสิ ทำไมต้องทรมานเขาขนาดนี้ พี่ใหญ่ในสายตาของข้าเปลี่ยนเป็นโหดร้ายทารุณแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ท่านทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว! พี่ใหญ่ ตอนนี้ข้ายังเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ ท่านปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้ ให้ข้าพาเขาไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าตัดขาดกับท่าน ตั้งแต่นี้ไปไม่นับท่านเป็นพี่ใหญ่อีก!”
“เอื้อ…” เหมียวอี้เอามือกุมที่หัวใจ ใบหน้าขาวซีด แทบจะหายใจไม่ออก ร่างกายโอนเอนถอยหลังไปหนึ่งก้าว โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสามจะต้องการตัดขาดพี่น้องกับเขาเพื่อโจรราคะคนเดียว คนที่เขาห่วงใยใส่ใจที่สุดกลับเห็นโจรราคะดีกว่าเขา จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!
จะพูดอย่างนี้ก็ได้ ว่าทั้งชีวิตเขาไม่เคยได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจขนาดนี้มาก่อนเลย บางครั้งเขาไม่กลัวแม้กระทั่งความตายด้วยซ้ำ แต่กลับทำใจยอมรับกับสิ่งนี้ได้ยาก
เมื่อเห็นพี่ใหญ่โมโหจนกลายเป็นแบบนี้ เยว่เหยาก็กัดริมฝีปาก นางเริ่มร้อนอกร้อนใจแล้วเช่นกัน ตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะพูดแรงเกินไป
เจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ข้างบนมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
เฟยหงที่อยู่นอกคุกเอามือกุมอก นางกังวลแทบบ้าแล้ว
อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้ามาประคองเหมียวอี้ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบแผ่นหลังเหมียวอี้ ช่วยเขาผ่อนคลายพลังชี้แท้ที่เกือบจะปะทุออกจากเส้นชีพจร จากนั้นใบหน้างามที่เย็นเยียบราวกับน้ำค้างเกาะจ้องเยว่เหยาพร้อมตะคอกว่า “เยว่เหยา เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?”
“เรื่องในครอบครัวพวกเรา ถึงคราวที่เจ้าจะมาพูดสอดตั้งแต่เมื่อไรกัน?” พอได้ยินนางถามแบบนั้น เยว่เหยาก็โมโหทันที ชี้อวิ๋นจือชิวแล้วบอกว่า “เจ้า! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พี่ใหญ่ขอข้าจะกลายเป็นแบบนี้เหรอ? เพื่อเจ้า พี่ใหญ่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดตั้งกี่ครั้งแล้ว มีฮูหยินที่ไหนบ้างที่ทำตัวแบบเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า?”
“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวโมโหแทบบ้าแล้ว ขณะกำลังจะก้าวออกไปสั่งสอน นางกลับถูกเหมียวอี้ที่อาการบรรเทาแล้วคว้าแขนเอาไว้แล้วกดลงช้าๆ
อวิ๋นจือชิวโมโหแล้ว “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังปกป้องนางอีกเหรอ?”
“หุบปาก! ข้ารู้ว่าจะจัดการยังไง!” เหมียวอี้โบกแขนผลักนางไปไว้ข้างหลัง
อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า ม้วนแขนเสื้อสองข้าง เผยให้เห็นแขนเล็กเรียวขาวละเอียด จากนั้นก็เท้าเอว เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ดวงตากวาดมองไปทั่ว บุ่มบ่ามอยากจะหาที่ระบายอารมณ์ ท่าทางเหมือนโมโหจนไม่รู้จะไประบายที่ไหน
เหมียวอี้ที่สีหน้าย่ำแย่ชี้ไปทางเจียงอีอี พร้อมถามเยว่เหยาว่า “เจ้าสาม ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ารู้รึเปล่าว่าเขาเป็นใคร?”
“ข้ารู้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนอื่นที่สาดโคลนใส่เขา!” เยว่เหยากล่าว
“เหอะๆ!” เหมียวอี้โมโหสุดขีดจนหัวเราะประชด “เจ้าตัดสินได้ยังไงว่าคนอื่นสาดโคลนใส่เขา?”
เยว่เหยาก้าวขึ้นมา “พี่ใหญ่ อย่างน้อยก็เรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านที่น่านฟ้าระกาติง ข้ารับรองได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพราะตอนนั้นข้ากับเขาอยู่ด้วยกัน เดินทางไกลด้วยกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปก่อคดีที่น่านฟ้าระกาติง นั่นเป็นเพราะมีคนอื่นใส่ร้ายเขาแน่นอน!”
เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง ยังจำเป็นต้องให้นางมาพิสูจน์อีกเหรอ? เหมียวอี้รู้ชัดอยู่แก่ใจยิ่งกว่าใคร หอบหายถามว่า “งั้นข้าถามเจ้าอีก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนคดีน่านฟ้าระกาติง เจ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้รึเปล่า?”
“พิสูจน์ได้เรื่องเดียวก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่ามีคนใส่ร้ายเขาจริงๆ!” เยว่เหยาตอบเสียงดัง
“เจ้าอาศัยอะไรมาพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่โจรราคะ?” เหมียวอี้ถามอย่างโมโห
“แล้วพี่ใหญ่หาหลักฐานมาพิสูจน์ได้มั้ยว่าคดีพวกนั้นคือฝีมือเขา?” เยว่เหยาถาม
“เจ้า…” เหมียวอี้ถูกนางยั่วโมโหจนเกินทน เขาจะไปเอาหลักฐานจากไหนมาพิสูจน์ล่ะ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วถามว่า “แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าเขามาทำอะไรที่นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผี? เขาเล็งเป้าหมายมาที่ข้า ต้องรอให้เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ใหญ่ก่อนใช่มั้ย ถึงจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นได้? ต้องให้เกิดเรื่องเศร้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนใช่มั้ย เจ้าถึงจะพอใจ?” ขณะที่พูดเขาเอามือตบหน้าอกอย่างแรง
“…” เยว่เหยาถูกถามจนพูดไม่ออก หันหน้าช้าไปมองเจียงอีอี “พี่ใหญ่เจียง ท่านตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เถอะ ท่านมาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เจียงอีอีที่ถูกจับแขวนอยู่ข้างบนเงียบงัน ว่ากันตามจริง เขาตกตะลึงมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ในนี้ราวกับซ่อนความลับเอาไว้มากเกินไป
ที่ด้านนอกคุก เชียนเอ๋อร์ที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาพลันถอยหลัง นางซ่อนตัวแล้วโผล่หน้าไปมองทางคุกใต้ดินแวบหนึ่ง จากนั้นถอยหลังช้าๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในคุกหยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟัง สีหน้าโมโหเดือดดาลหายไปในชั่วพริบตาเดียว นางรีบเหลือบมองไปทางประตูคุก แล้วก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง
บทที่ 1596 สายลับของสมาคมวีรชน
ตรงประตูคุกใต้ดิน จู่ๆ ด้านในก็ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแล้ว เฟยหงเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อตั้งใจฟัง ขณะที่กวาดสายตากลับมา ทันใดนั้นก็พบว่ามีคนคนหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใบหน้ายิ้มเย็นพิศวงของเหยียนซิวกำลังจ้องมองนางอยู่
เฟยหงตกใจทันที แต่พยายามจัดแจงเสื้อผ้าแสร้งทำท่าว่าไม่เป็นอะไร นางเดินเข้าไปรับเหยียนซิว ขณะที่เดินผ่านก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมกล่าวทักทาย “นายท่านกำลังมีธุระ อย่าไปรบกวน”
“ขอรับ!” เหยียนซิวพยักหน้า แต่กลับหันตัวกลับมาเดินตามหลังเฟยหงแล้ว
เฟยหงหันกลับมาแล้วหยุดฝีเท้า “เหยียนซิว เจ้าตามข้ามาทำไม?”
เหยียนซิวยิ้มอย่างเยือกเย็น “ทางข้างในคดเคี้ยว ข้าน้อยกลัวว่าหรูฮูหยินจะเดินผิดทาง เลยจะมาส่งท่านกลับด้วยตัวเอง”
เฟยหงหัวใจกระตุกวูบในฉับพลัน แต่พยายามรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ หวังว่าตัวเองจะคิดมากไป นางไม่ได้พูดอะไรมากอีก ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีใครรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนาง จึงปล่อยให้เหยียนซิวเดินตามหลังไปส่ง
พอทั้งสองหายไปในหัวโค้ง เชียนเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากอีกมุมทันที แล้วเดินตรงไปที่คุกใต้ดิน พอเข้ามาแล้วก็พยักหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิวอยู่ไกลๆ จากนั้นก็เดินออกมาจากคุกใต้ดิน มาเฝ้าประตูคุกเอาไว้
ที่จริงหลังจากอวิ๋นจือชิวได้อยู่ข้างกายเหมียวอี้อย่างชอบธรรม เรื่องรับมือกับอนุภรรยาคนนี้ก็กลายเป็นหน้าที่ของอวิ๋นจือชิวแล้ว นางให้เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์ผลัดกันจับตาดูอยู่ข้างกายเฟยหง เฟยหงย่อมไม่รู้ความจริงเรื่องนี้อยู่แล้ว ครั้งนี้เสวี่ยเอ๋อร์พบว่าสาวใช้ของเฟยหงทำตัวแปลกๆ จึงไปจับตาดูสาวใช้สองคนนั้น เมื่อไม่สามารถมาจับตาดูเฟยหงได้ ก็เลยติดต่อให้เชียนเอ๋อร์มาช่วยทันที แต่ใครจะคิดว่าตอนเชียนเอ๋อร์มาเจอเฟยหง แล้วจะพบกับภาพเหตุการณ์แบบนี้
ในคุกใต้ดิน หลังจากรอไปได้สักพักแล้วไม่เห็นเจียงอีอีตอบ เยว่เหยาก็เริ่มร้อนใจแล้ว นางตวาดเสียงดัง “พี่ใหญ่เจียง ท่านรีบบอกมาสิ!”
“เห้อ…” เจียงอีอีที่เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ในที่สุดก็เปล่งเสียงแล้ว เสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้า “เยว่เหยา เจ้าไปเถอะ ตรงนี้ไม่มีเรื่องของเจ้า เจ้าไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“ไม่ได้!” เยว่เหยารีบก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกเหมียวอี้โบกมือขวางไว้ ทำให้นางร้อนใจจนกระทืบเท้า “ในเมื่อข้ามาแล้ว ข้าไม่ยุ่งไม่ได้หรอก ท่านรีบบอกมาสิ!”
เหมียวอี้จับหัวไหล่ของเยว่เหยาเอาไว้ “เจ้าสาม เจ้าตอบข้ามาตามตรง พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?”
เยว่เหยาพยายามขยับไหล่ แต่ก็ไม่มีทางหลุดพ้นได้ พอเห็นเหมียวอี้ตาแดง ทำท่าทางเหมือนจะกินคน นางก็คำรามตอบทันที “เป็นเพื่อนกัน!”
“เพื่อนเหรอ?” เหมียวอี้ไม่เชื่อ “หรือว่าพวกเจ้าสองคนได้…”
เยว่เหยาเขินอายเล็กน้อย “พูดเหลวไหลอะไรของท่าน ข้าบอกว่าเป็นเพื่อนไง! ต่อให้พวกเรามีอะไรกันแล้วยังไงล่ะ ท่านไม่แต่งงานกับข้า ข้าจะไปแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้เชียวเหรอ?”
เหมียวอี้ทีหน้าเจ็บปวดเหลือทน ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หมายความว่า ระหว่างเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์ชายหญิงกันแล้วใช่มั้ย?”
บางครั้งคนเราก็เห็นแก่ตัวแบบนี้ ในด้านความสัมพันธ์ชายหญิง เขาเองก็จัดว่ามั่วมาก แต่กลับไม่อยากให้น้องสาวตัวเองเสียเปรียบในด้านนี้ และก็ยิ่งไม่มีทางรับได้ที่น้องสาวตัวเองจะถูกโจรราคะที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ย่ำยี
“ก็แล้วจะทำไมล่ะ ท่านจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?” เยว่เหยาเถียงกลับอย่างแข็งกร้าว
“อา!” เหมียวอี้เงยหน้าคำรามอย่างเดือดดาล เรียกได้ว่าเจ็บวดจนร้องไม่ออก เจ้าสามจะคบหากับผู้ชายแบบไหนก็ไม่คบ ทำไมต้องมาคบกับผู้ชายพรรค์นี้? โจรราคะทำอย่างนั้นกับเจ้าสามไปแล้ว พอเห็นเจ้าสามทำท่าเหมือนรักจริง ถ้าเขาฆ่าโจรราคะคนนี้ทิ้ง เจ้าสามจะไม่แค้นเขาไปทั้งชาติหรอกเหรอ แล้วจะให้เขาทำอย่างไรล่ะ?
พอได้เห็นเขาเจ็บปวดขนาดนี้ เยว่เหยาก็มองเขาด้วยน้ำตาคลอ
อวิ๋นจือชิวเข้าใกล้ด้วยความกังวลถึงขีดสุด กอดแขนเขาเอาไว้แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ปล่อยเขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“หลีกไป!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเศร้าโศก โบกแขนผลักอวิ๋นจือชิวจนโซเซไปอยู่ที่มุมกำแพง จากนั้นก็ยกมือขึ้นบีบนวดที่หน้าผาก แล้วส่ายหน้าอย่างขื่นขมทรมาน นิ้วทั้งห้าที่จับไหล่เยว่เหยาสั่นเทิ้ม เขาหลับตาลงแล้วคลายมือออกจากไหล่นางอย่างช้าๆ
“พี่ใหญ่!” เยว่เหยาเรียกเบาๆ อย่างเป็นห่วง ไม่เคยเห็นพี่ใหญ่เป็นอย่างนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่กัดริมฝีปากแดงเอาไว้แน่น
“หุบปาก!” เหมียวอี้โบกมือเบาๆ อย่างหดหู่ใจ พร้อมบอกว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า!”
“พี่ใหญ่!” เยว่เหยาเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก
“อย่ามาเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้าไม่คู่ควร!” เหมียวอี้โบกมืออีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง “ข้าจะไว้หน้าเจ้าแล้วปล่อยเขาไปก็ได้ แต่ข้าอยากจะรู้ ว่าอาจารย์เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?” คำถามนี้ข้าต้องรู้คำตอบให้ชัดเจน ถ้าทางฝั่งมู่ฝานจวินรู้เรื่องนี้ แล้วยังปล่อยให้เจ้าสามไปมาหาสู่กับโจรราคะ ถึงแม้เขาจะลงมือกับเจ้าสามไม่ได้ แต่เขากลับฆ่านางตัวแสบมู่ฝานจวินเพื่อระบายความแค้นได้!
“ไม่รู้” เยว่เหยาตอบเสียงต่ำ
“แค่ปกป้องขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้เลย นางเป็นอาจารย์ประสาอะไร?” เหมียวอี้เงยหน้าโวยวายอย่างโมโห รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่ฝานจวิน เขาไม่เชื่อว่าทางฝั่งมู่ฝานจวินจะไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
พอติดต่อกับฝั่งมู่ฝานจวินได้แล้ว หลังจากได้คุยกันไปสักพัก เหมียวอี้ก็ตะลึงงันเล็กน้อย
เขาถามมู่ฝานจวินว่ารู้เรื่องเจียงอีอีหรือไม่ มู่ฝานจวินบอกว่ารู้ บอกว่าเจียงอีอีปลอมตัวแล้วปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ ฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิเซียนตั้งนานแล้ว ทำให้ทางฝั่งฐานที่มั่นเกิดความสงสัย ตอนหลังเยว่เหยาก็ไปสืบแล้วเปิดโปงตัวตนของคนคนนี้ แต่เจียงอีอีเป็นผู้ร้ายตามประกาศจับของตำหนักสวรรค์ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อฐานที่มั่นมากนัก และพยายามรักษาท่าทีว่าต่างคนต่างไป ไม่อยากสร้างความขัดแย้งอะไร สั่งเยว่เหยาว่าไม่ให้ติดต่อเจียงอีอีอีก
สถานการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างนี้ มู่ฝานจวินยังถามกลับเหมียวอี้ด้วยว่ามีอะไรหรือเปล่า ได้ยินข่าวว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือเขาแล้ว นางถามว่าเป็นความจริงหรือไม่?
เหมียวอี้กำระฆังดาราไว้แน่นและไม่ได้ตอบอะไร เขาเอียงหน้าช้าๆ ไปมองเจียงอีอีที่กำลังโดนแขวน สายตาเหมือนอยากจะกินคน ชี้ไปที่เจียงอีอีด้วยนิ้วที่สั่นเทิ้ม “โจรสุนัข! เจ้า…เจ้า…เจ้า…บังอาจ…” ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา “อั้ก!” เขากระอักเลือดออกมาแทน จากนั้นก็ตาเหลือก ทั้งร่างที่แข็งทื่อล้มลงข้างหลัง
“อ๊า!” ในห้องมีเสียงผู้หญิงสองคนร้องตกใจ อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้ามาประคองเหมียวอี้ที่หงานหลัง พร้อมถามอย่างร้อนใจว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”
“หลีกไป!” เยว่เหยาผลักอวิ๋นจือชิวออก แล้วแย่งเหมียวอี้ที่หลับตาสนิทมาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง จากนั้นนั่งคุกเข่าแล้วลูบหน้าอกของเหมียอวี้อย่างลนลาน “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป อย่าขู่ข้าเด็ดขาดเลยนะ…”
“นายท่าน!” เชียนเอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหนก็วิ่งเข้ามาเช่นกัน พอได้เห็นฉากนี้นางก็กลัวทันที
อวิ๋นจือชิวที่หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาต้นหนึ่งก็นั่งคุกเข่าลงเช่นกัน นางแย่งเหมียวอี้มาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วผลักเยว่เหยาจนล้มลงพื้น จากนั้นโบกมือสั่งด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ลากนางออกไปให้ข้า!”
เชียนเอ๋อร์เข้ามาจับตัวเยว่เหยาทันที แล้วฉุดนางไว้ควบคุมไว้ด้านข้าง นางส่ายหน้าพลางร้องไห้บอกว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…”
ด้วยการเยียวยาจากสมุนไพรเซียนซิงหัว กอปรกับอวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบหน้าอกช่วยจัดระเบียบพลังชี่แท้ที่ชนกันปั่นป่วนให้เหมียวอี้ ผ่านไปสักครู่เดียว เหมียวอี้ถึงได้ลืมตาฟื้นขึ้นมา “แค่กๆ” เขาไอถ่มเลือดที่สะสมอยู่ในปากออกมาคำหนึ่ง สิ่งแรกที่ทำก็คือชี้ไปหาเจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ “โจรสุนัข! โจรสุนัข…” เขาด่าซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” อวิ๋นจือชิวเอามือลูบหน้าอกเขาไม่หยุด น้ำตาไหลออกมาด้วยความปวดใจ ผ่านอุปสรรคใหญ่โตมามากมายขนาดนั้นแต่ยังรับมือไหว ไม่เคยเห็นผู้ชายของตัวเองเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้กลับโมโหจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว นางปาดน้ำตาแล้วส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ! ปล่อยเขาไปเถอะ น้องสาวคนนี้ของเจ้า พวกเราไปยุ่งด้วยไม่ไหวหรอก ไปยุ่งไม่ไหวจริงๆ ไม่ต้องยุ่งกับนางแล้ว ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
“หุบปาก!” เหมียวอี้ผลักนางออกไป แล้วโซเซลุกขึ้นมาก ชวิ้ง! เขาควงกระบี่วิเศษมาปักบนพื้น
“พี่ใหญ่…” เยว่เหยาเพิ่งจะเอ่ยเรียก เหมียวอี้ก็โบกกระบี่ชี้เข้ามาแล้ว “หุบปาก! ถ้ากล้าพูดมากอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
เขาถือกระบี่เดินไปข้างกายเจียงอีอี แล้วจ่อกระบี่ไปที่หัวใจของเจียงอีอี จากนั้นก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด ถามอย่างดุร้ายว่า “บอกมา! เจ้ามีเจตนาเข้าใกล้เยว่เหยาใช่มั้ย?”
เจียงอีอีคอตก ท่าทางเหมือนตามใจฝ่ายตรงข้ามทุกอย่าง
เยว่เหยาที่อยู่ในมือเชียนเอ๋อร์ดิ้นรนไม่หยุด “พี่ใหญ่ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้ชัดเจน ทำไมท่านไม่ยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าเขาคือโจรราคะ!”
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเป็นโจรราคะรึเปล่า!” เหมียวอี้โบกกระบี่ชี้เยว่เหยา แล้วตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นยังไง? เจ้ารู้รึเปล่า! เจ้ารู้มั้ย! รู้มั้ยว่าเขาเป็นคนของสมาคมวีรชน? เขาคือสายลับของสมาคมวีรชน! เจ้ารู้รึเปล่าว่าสมาคมวีรชนทำอะไร?”
เยว่เหยายืนอึ้งอยู่กับที่ในชั่วพริบตาเดียว มองไปที่เจียงอีอีด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
เจียงอีอีก็พลันเงยหน้ามองเหมียวอี้เช่นกัน ในดวงตาฉายแววผิดหวัง
ตอนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรต เขายังทนทัณฑ์ทรมานได้ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเบื้องบนไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ และแน่นอน ตราบใดที่เขาไม่เปิดปากพูด เขาก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิต ถ้าเปิดปากเมื่อไรก็อย่าว่าแต่เบื้องบนเลย แม้แต่ตึกศาลาสัตยพรตก็จะไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิตเช่นกัน หลังจากถูกส่งตัวไปให้เบื้องบนแล้ว ในใจเขาก็ยิ่งเข้าใจ ว่าในภายหลังไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้ แต่เบื้องบนจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเขาแน่นอน หลังจากช่วยแล้วก็อาจจะตาย แต่ก็มีโอกาสเปลี่ยนตัวตนใหม่เช่นกัน อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดอยู่บ้าง
ต่อให้เมื่อครู่นี้จะได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน แต่ถ้ามีเยว่เหยาอยู่ด้วย เขาก็ตระหนักได้ว่าอาจจะมีโอกาสรอดชีวิตเช่นกัน
แต่ในตอนนี้ พอได้ยินเหมียวอี้เอ่ยถึงตัวตนของเขาที่สมาคมวีรชน เขาก็รู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดออกไปได้อีกแล้ว นอกเสียจากจะมีคนในนี้ยอมแบกรับความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงให้ เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงรู้ตัวตนของเขาได้?
เหมียวอี้ควงกระบี่ชี้ไปที่เจียงอีอีอีกครั้ง “บอกว่า! สมาคมวีรชนส่งเจ้าไปด้วยเจตนาอะไรใช่มั้ย?”
“เจ้าเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงเหรอ?” เยว่เหยาถามเสียงสั่น
“เฮ้อ!” เจียงอีอีถอนหายใจเบาๆ มองข้ามเหมียวอี้ แล้วจ้องเยว่เหยาอย่างมึนงง “เยว่เหยา เจ้ารับปากลงข้าสักเรื่องได้มั้ย?”
“ท่านว่ามาสิ” เยว่เหยายังคงเสียงสั่น
เจียงอีอีกล่าวช้าๆ ว่า “มีเรื่องราวมากมายที่ข้าทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติภารกิจลับของสมาคมวีรชนได้ คนที่จะมาปฏิบัติภารกิจแบบนี้ เบื้องบนย่อมมีวิธีการควบคุมอยู่แล้ว ข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง สมาคมวีรชนพาตัวพวกเราสองพี่น้องไปตั้งแต่ยังเด็กมาก หลังจากไปที่สมาคมวีรชนและก้าวเข้าสู่แดนฝึกตนแล้ว พวกเราสองพี่น้องก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ข้าไม่รู้ว่าทุกวันนี้น้องสาวข้าหน้าตาเป็นยังไง กำลังทำอะไร ตัวอยู่ที่ไหน น้องสาวก็คงจะไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ข้าหน้าตาเป็นยังไง กำลังทำอะไรอยู่ ตัวอยู่ที่ไหน วิธีการเดียวที่พวกเราใช้ยืนยันว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ก็คือจะได้รับจดหมายที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายเป็นระยะๆ น้องสาวข้าอยู่ในมือสมาคมวีรชน เรื่องบางเรื่องข้าจำเป็นต้องทำ ชื่อเดิมของข้าคือเจียงส้าง น้องสาวข้าชื่อเจียงอวิ๋น เยว่เหยา เห็นแก่ที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน ถ้าหากมีโอกาส ข้าหมายความว่าถ้ามีโอกาสช่วยให้น้องสาวข้าหลุดพ้นได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยนาง”
บทที่ 1597 เวรกรรมตามสนอง
การพูดอะไรแบบนี้ได้ออกมาในเวลาแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน รู้ว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากความตาย ไม่มีหนทางแล้วจริงๆ เขาไม่มีความสนิมสนมใดๆ กับคนอื่น คนเดียวที่เขาจะขอร้องได้ก็คือเยว่เหยา
ในขณะที่เยว่เหยาซาบซึ้งใจ นางก็รู้สึกเจ็บช้ำยิ่งกว่า อีกฝ่ายยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นสายสืบของสมาคมวีรชนจริงๆ “เจ้าเข้าใกล้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรเพราะสมาคมวีรชนส่งมาจริงเหรอ?”
“ใช่…” เจียงอีอีลากเสียงยาว “เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ในใต้หล้ามีสถานที่ฝึกตนลับที่กระจายอยู่สิบแห่งถูกโจมตี มีคฤหาสน์ มีบ้านชาวนา มีอารามเต๋า มีท่าเรือ มีหมู่บ้าน…ตอนแรกเบื้องบนก็ยังไม่สนใจ ถึงยังไงใต้หล้าก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ การรบราฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ จะให้ตรวจสอบทุกอย่างก็คงตรวจสอบไม่ไหว ตอนหลังได้รวบรวมข่าวจากแต่ละแห่ง พบว่ามีสถานที่สิบแห่งโดนโจมตีพร้อมกัน สิ่งนี้ทำให้สมาคมวีรชนสงสัยทันที พอสืบดูเบื้องลึก สิ่งที่แปลกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะหาตัวผู้ร้ายไม่พบเลยสักแห่ง สถานที่ที่กระจายอยู่ในใต้หล้า แต่โดนจู่โจมพร้อมกัน ทั้งยังหาตัวคนร้ายไม่พบ สิ่งนี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของสมาคมวีรชน สืบอยู่หลายปีแต่ก็ยังไม่เจอเบาะแสอะไร ถึงได้เริ่มล้มเลิกทีละนิด”
เมื่อเล่ามาแบบนี้ เหมียวอี้ที่ถูกความโกระโจมตีหัวใจก็สบตากับอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างก็รู้สึกคุ้นๆ กับสถานการณ์ที่เจียงอีอีเล่า
เยว่เหยาค่อนข้างสะเทือนใจ หายใจถี่พร้อมถามว่า “ในเมื่อล้มเลิกแล้ว ท่านมาข้าทำไม?”
เจียงอีอีถอนหายใจ “เยว่เหยา บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้างดงามเกินไป สะดุดตาเกินไป ทำให้คนติดตาตรึงใจ มีคนของสมาคมวีรชนเห็นเจ้าตั้งแต่ปีแรกๆ แล้ว ไม่กี่ร้อยปีหลังจากนั้นก็มีคนบังเอิญพบว่าเจ้าที่เคยอยู่บ้านพักภูเขาสันติภาพที่ถูกทำลายไปมาโผล่อยู่บริเวณบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร สายข่าวของสมาคมวีรชนเพ่งความสนใจไปที่บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรอีกครั้ง เดิมทีก็ไม่มีอะไร แค่อยากจะอาศัยเบาะแสนี้สืบหาความจริงของเรื่องในครั้งนั้น แต่กลับพบว่าบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรภายนอกผ่อนปรนแต่ภายในเข้มงวด ป้องกันแน่นหนามาก ไม่ว่าวิธีการอะไรก็ใช้มาหมดแล้ว แม้แต่กลยุทธ์สาวงามก็ใช้ไปแล้ว แต่กลับไม่มีทางเข้าไปสัมผัสได้เลย บ้านพักบนภูเขาเล็กๆ หลังหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเตรียมป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ เลยทำให้สมาคมวีรชนเกิดความสนใจอย่างเข้มข้นทันที เมื่อเห็นว่าลงมือกับผู้ชายในบ้านพักไม่ได้ผล ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ผู้หญิงอย่างเจ้าแทน เดิมทีภารกิจแบบนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของข้า ข้าเองก็ไม่อยากรับภารกิจนี้เหมือนกัน เพราะตัวข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวสำคัญเยอะเกินไป ไม่สะดวกจะเปิดเผนตัวตนมากนัก แต่สมาคมวีรชนกลับมาหาข้า ให้เหตุผลว่าข้ามีประสบการณ์รับมือกับผู้หญิง สาเหตุรองเป็นเพราะต่อให้ตัวตนของข้าถูกเปิดโผง แต่ก็ไม่ถึงแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะข้าคือโจรราคะเจียงอีอี ผู้ร้ายเลืองชื่อตามประกาศจับของตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนอธิบายต้นสายปลายเหตุชัดเจนแล้ว หลังจากเตือนจุดที่ข้าต้องระวังให้มากๆ แล้ว ข้าถึงได้รู้ต้นเหตุของเรื่องราว และจำเป็นต้องตอบรับภารกิจครั้งนี้”
เยว่เหยาที่ดิ้นรนอยู่ในมือเชียนเอ๋อร์ร่างกายโอนเอน “ท่านหลอกลวงข้ามาตลอด!”
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีผู้ชายสักคนงัดหัวใจนางได้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่คนหลอกลวงคนหนึ่ง ล่อให้นางเข้าไปติดกับดักอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นางเองก็ไม่ได้โง่ แต่กลับวิ่งชนกับดักความรักจนถอนตัวลำบาก กลายเป็นเหมือนคนโง่คนหนึ่ง ตอนนี้ได้สติขึ้นกะทันหันและเข้าใจความจริงแล้ว เกรงว่าคนนอกคงไม่เข้าใจรสชาตินี้
ความรู้สึกของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกลับทั้งซับซ้อนทั้งตกตะลึง ในที่สุดก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว
พูดไว้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะคิดไม่ออกว่าใครเป็นคนวางแผนให้คนของปราสาทดำเนินนภาไปล้างเลือดข่มขู่ห้าลัทธิ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้เอง ต่อให้นอนฝันเหมียวอี้ก็นึกไม่ถึงว่าการตัดสินใจของตัวเองในตอนนั้นได้ทำร้ายเจ้าสามแล้ว คนที่ทำให้เจ้าสามตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็คือเหมียวอี้เอง บอกได้เลยว่าเวรกรรมตามสนอง
ในตอนนี้เหมียวอี้ตกอยู่ในความแค้นเคืองและเสียใจทีหลังถึงขีดสุด ในขณะที่แค้นเคืองก็ตกตะลึงด้วย ตกตะลึงในทักษะการสืบเสาะอันเก่งกาจของสมาคมวีรชน วันนี้นับว่าได้รับบทเรียนแล้ว
อวิ๋นจือชิวเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ นางเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง จับข้อมือของเหมียวอี้ที่กำลังค่อยๆ ถือกระค้ำพื้นเอาไว้ นางปลอบโยนเขา
ถึงแม้วันนี้เหมียวอี้จะใส่อารมณ์กับนางหลายครั้ง แต่นางก็สามารถเข้าใจได้
เจียงอีอีบอกว่า “ถ้าจะบอกว่าตอนแรกข้ามีจุดประสงค์ไปหลอกลวงเจ้า ข้ายอมรับ แต่หลังจากนั้นข้าไม่ได้หลอกเจ้า ข้าปกป้องเจ้ามาตลอด บางทีอาจจะเป็นเพราะเวลาผ่านไปนานแล้วเกิดความผูกพัน ถึงยังไงก็อยู่ด้วยกันหลายรอยปี ถ้าข้าจะบอกว่าข้าชอบเจ้าจริงๆ เจ้าก็อาจจะไม่เชื่อ”
“ข้าไม่เชื่อ!” เยว่เหยาที่ร้องไห้จนตาพร่ากล่าวเสียงดัง
เจียงอีอีบอกอีกว่า “ที่จริงตอนที่ข้ากับเจ้าประมือกันแล้วข้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ข้าก็สืบพื้นเพของเจ้าได้บ้างแล้ว ข้าเริ่มสงสัยในตัวตนของเจ้านิดหน่อย ถึงแม้เจ้าจะจงใจปิดบัง แต่ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็คือผู้เหลือรอดของหกลัทธิ เจ้าคงจะฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของลัทธิเซียน หนึ่งในหกลัทธิ!”
พอเขากล่าวแบบนี้ สายตาของทุกคนก็ไปรวมอยู่บนตัวเขาแล้ว ตกตะลึงพรึงเพริด!
เยว่เหยาตะลึงค้างแล้ว!
เจียงอีอีพูดต่อ “การที่สมาคมวีรชนจะฝึกเลี้ยงคนอย่างข้าออกมาได้สักคน ก็ใช้กำลังความคิดไปแล้วไม่น้อย รวบรวมประสบการณ์ความรู้ของคนรุ่นก่อนกรอกเข้ามาในหัวข้ามากหมาย เป้าหมายก็เพื่อให้ข้าปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากเดาภูมิหลังของเจ้าได้คร่าวๆ แล้ว ที่จริงภารกิจของข้าก็จบลงนานแล้ว ข้าสามารถรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปได้เลย ตำหนักสวรรค์จะส่งกำลังพลมากวาดล้างพวกเจ้าทันที หรือไม่ก็นำตัวพวกเจ้าไปสอบสวน ตอนหลังก็ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ทักษะเหนือชั้นที่ตำหนักสวรรค์แสดงออกมาก็ได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงอีกครั้ง ทำให้คนตระหนักได้ถึงฉากอันน่าหวาดกลัวไม่รู้จักจบจักสิ้นที่อยู่เบื้องหลังตำหนักสวรรค์ เหมือนสัตว์ประหลาดดุร้ายตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด
“แล้วทำไมท่านไม่รายงานขึ้นไป ทำไมต้องเสี่ยงอันตรายต่อไป?” เยว่เหยาถามอย่างผิดหวัง
เจียงอีอีตอบว่า “เพราะว่าเห็นแก่เรื่องส่วนตัว ข้ารู้ว่าอาศัยกำลังของข้าไม่สามารถหลุดพ้นจากตัวละครใหญ่อย่างสมาคมวีรชนได้ และยิ่งไม่มีทางช่วยน้องสาวข้าให้หลุดจากเงื้อมมือสมาคมวีรชนได้ด้วย แต่หกลัทธิของเจ้ามีศักยภาพนั้น! เหมือนกิ้งกื้อที่ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่ง ถึงยังไงหกลัทธิก็เป็นอำนาจเพียงไม่กี่ฝ่ายในใต้หล้าที่สามารถคานอำนาจกับตำหนักสวรรค์ได้! หลังจากสังเกตได้ว่าเจ้าเป็นคนของหกลัทธิ ข้าก็ถึงขั้นตื่นเต้นดีใจ แล้วก็กังวลใจนิดหน่อยด้วย คิดว่าตัวเองหาทางออกได้แล้ว เจอความหวังที่จะแก้ปัญหาให้ตัวเองได้แล้ว ข้าก็เลยไม่ได้รายงานขึ้นไปเบื้องบนว่าข้าค้นพบอะไร แต่กลับช่วยปัดความรับผิดชอบกับเบื้องบนมาตลอด ข้ากำลังคุ้มครองพวกเจ้า คลุกคลีอยู่กับพวกเจ้าอย่างระวังตัวเสมอมา หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดก็คือเริ่มลงมือกับเจ้า ตอนแรกข้าก็ทำอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนหลังข้าสับสน ตอนที่ข้าเข้าใกล้เจ้าข้าก็กลัว กลัวว่าข้าจะหลอกใช้เจ้าอีก ถึงขั้นอยากจะล้มเลิก อยากจะหนีไป”
ในตอนนี้เอง เยว่เหยาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ยืนเหม่อลอยมึนงงอยู่อย่างนั้น นึกขึ้นได้ถึงวันที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ที่จริงนางก็รู้สึกได้ว่าเขาหวั่นไหวกับนางแล้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่เขาบอกว่ารักษาระยะห่างและหลบเลี่ยง นางรู้เช่นกันว่าตัวเองหวั่นไหวกับเขาแล้ว ถ้าเขาต้องการจะครอบครองนาง นางก็รู้ว่านางไม่มีทางปฏิเสธได้ นางจะมอบร่างกายให้เขา แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น
“ตอนหลังข้าก็ได้รับภารกิจในครั้งนี้อีก นับว่าข้าโล่งใจ รู้สึกว่าสามารถตัดขาดได้แล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะจากเจ้าไป ขณะเดียวกันข้าก็ให้คำตอบยืนยันกับเบื้องบนไปแล้วด้วย ว่าสืบแล้วไม่พบปัญหาอะไรที่บ้านพักภูเขาธาราวิจิตร แต่พวกเจ้าก็จะอยู่ที่นั่นนานไม่ได้นะ แต่ถ้าจะย้าย ก็จะรีบร้อยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้สมาคมวีรชนสงสัย ค่อยๆ ย้ายและหายตัวไปเถอะ” เจียงอีอีกล่าว
เยว่เหยาที่ยังมีคราบน้ำตาติดใบหน้าแสยะยิ้ม “ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อท่านเหรอ? จุดประสงค์ที่ท่านพูดแบบนี้ ก็คงอยากจะให้ข้าซาบซึ้งใจล่ะสิ ข้าจะได้รับปากช่วยน้องสาวท่าน ท่านคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าข้าจะตกหลุมพรางซ้ำสองเหรอ?”
เจียงอีอีก้มศีรษะลงช้าๆ ไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก เขารู้ว่าเรื่องบางเรื่องแค่พูดรอบเดียวก็เพียงพอแล้ว หากอีกฝ่ายจะช่วยก็ย่อมช่วยเอง แต่ถ้าไม่ช่วย ต่อให้เจ้าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเองกอดความหวังไว้เล็กน้อยเท่านั้นเอง
เยว่เหยาไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน หันตัวเลี้ยวออกไปเลย เดินออกไปนอกประตูคุกอย่างเงียบๆ ท่าทีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับโยนเจียงอีอีให้เหมียวอี้ ให้เหมียวอี้จัดการเองตามเห็นสมควร
อวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้เชียนเอ๋อร์ เชียนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ รีบตามออกไปแล้ว
หลังจากในคุกเงียบสงบลง จู่ๆ เจียงอีอีก็ถามว่า “ข้าแปลกใจมาก พวกเจ้ามีสถานะตัวตนยังไงกันแน่?”
แกร๊ง! เหมียวอี้ถือกระบี่นแนวนอน ใช้นิ้วดีดบนตัวกระบี่หนึ่งที แล้วถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้ายังจำเป็นต้องรู้อีกเหรอ?”
“ก็ใช่!” เจียงอีอีคอตกอีกครั้ง “ปล่อยให้ข้าไปสบายเถอะ!”
จิตสังหารวับวาบในดวงตาเหมียวอี้ ทันใดนั้นกระบี่ก็แทงกลับไปทางหัวใจของเจียงอีอี แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือไว้ เขาจึงหันกลับมา แล้วจ้องอวิ๋นจือชิวพร้อมถามอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าอยากจะให้ข้าปล่อยเขาไปเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะอธิบายกับเบื้องบนยังไง อย่างน้อยก็ตายด้วยน้ำมือเจ้าไม่ได้ ส่งให้ข้าจัดการเถอะ ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเจ้า เจ้าไปหาน้องสาวตัวเองเถอะ”
เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบประชด “จะไปหานางทำไม นางหาเรื่องใส่ตัวเอง!”
คิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้ารึไง? อวิ๋นจือชิวหลอกตามองบน แย่งกระบี่มาจากมือกระบี่ แล้วบอกว่า “เจ้าอย่าเก็บคำพูดของนางมาใส่ใจ เวลาที่ผู้หญิงมีความรักครั้งแรก ผู้หญิงไม่มีสติสัมปชัญญะกับเรื่องแบบนั้นหรอก ไม่ใช่สติปัญญาไตร่ตรองปัญหาเลย เมื่อตกอยู่ในกับดักความรักก็ทำเรื่องโง่ๆ พูดอะไรโง่ได้ง่าย ข้ากับเฟิงเสวียนในปีนั้นก็เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางเลย แล้วอีกอย่าง ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง ก่อนหน้านี้เฟยหงมาแอบฟังพวกเราคุยกันที่หน้าคุก ข้าให้เหยียนซิวควบคุมนางไว้แล้ว กระดาษหน้าต่างที่กั้นระหว่างพวกเจ้า ต่อให้ไม่อยากเจาะก็ต้องเจาะแล้ว”
เหมียวอี้ตกใจทันที เบิกตากว้างมองนาง เบี่ยงเบนความสนใจสำเร็จจริงๆ ด้วย
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ไม่ต้องทำตาโตขนาดนั้น! นี่ก็นับเป็นเรื่องในบ้านเหมือนกัน ตามธรรมเนียมเดิม ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน เรื่องเฟยหงเจ้าไม่ต้องยุ่ง ส่งให้ข้าจัดการเอง ข้าจะหาทางจัดการให้ดี ถ้าตอนไหนต้องให้เจ้ามาแทรกแซง ข้าค่อยไปหาเจ้าอีกที เอาล่ะ ไปดูเจ้าสามของเจ้าเถอะ ตอนนี้นางคงเป็นทุกข์มาก” อวิ๋นจือชิวผลักเขา
นางผลักเหมียวอี้จนออกไปจากคุกใต้ดิน เสร็จแล้วถึงได้เดินเนิบนาบกลับมา ถือกระบี่ปัดผมที่บังใบหน้าเจียงอีอี แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ทิ้งจดหมายไว้สักฉบับสิ จดหมายที่สามารถยืนยันตัวตนน้องสาวเจ้าได้ เมื่อถึงตอนนั้น น้องสาวเจ้าจะได้เชื่อว่าพวกเราคือคนที่เจ้าฝากฝังให้มาช่วยชีวิตนาง”
“เจ้ายินดีช่วยชีวิตนางจริงเหรอ” เจียงอีอีพลันเงยหน้า
“จะช่วยได้หรือเปล่า ข้าก็ไม่กล้ารับประกันหรอก บอกได้เพียงว่าถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย ข้าก็จะรักษาสัญญานี้” อวิ๋นจือชิวถือกระบี่นอนอยู่ในมือ นิ้วอันเรียวขาวลูบไล้บนคมกระบี่เบาๆ ตัวกระบี่สว่างจนส่องสะท้อนตัวคน สามารถมองเห็นเงาตัวเองได้ “เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว ข้าปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้หรอก ต่อให้คนของตำหนักสวรรค์มาแล้ว ข้าก็รับรองได้ว่าเจ้าจะไม่ได้รอดออกจากตลาดผีไป เจ้าคงจะเข้าใจนะ ว่าตระกูลโค่วจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อไม่ให้เจ้าออกไปพร้อมความลับนี้ แต่ข้าก็ไม่อยากฆ่าเจ้า”
“หมายความว่ายังไง?” เจียงอีอีถาม
อวิ๋นจือชิวพลันจ้องเงาสะท้อนของตัวเองบนตัวกระบี่ แล้วกล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “ข้าแค่มีเรื่องบางเรื่องอยากจะเตือนเจ้าไว้สักหน่อย ว่าหลังจากเจ้าตายไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีทางยืนยันได้ว่าเจ้าเผยความลับอะไรไปบ้าง ภายใต้ความเดือดดาล ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรกับน้องสาวเจ้าบ้าง กอปรกับตัดขาดการติดต่อทางจดหมายแล้ว ทางสมาคมวีรชนก็จะไม่มีวิธีการอะไรมาควบคุมน้องสาวเจ้าอีก ดังนั้นข้าจึงอยากจะปรึกษาเจ้าเกี่ยวกับวิธีการตายที่มีประโยชน์ พยายามหาเงื่อนไขที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อน้องสาวเจ้าที่สุด…
บทที่ 1598 เจาะทำลายกระดาษหน้าต่าง
พอเดินมาถึงประตู เหมียวอี้ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่อัดอั้นไปด้วยความเศร้าโศก เขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป
เยว่เหยานอนหมอบตะแคงอยู่บนเตียง เอาหน้าซุกเข้าไปในผ้าห่มและร้องไห้อย่างเจ็บปวด เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันก็กำลังช่วยลูบหลังให้นางเบาๆ นางหันกลับมามองเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาข้างใน
เหมียวอี้ยืนมองอยู่ตรงประตูเงียบๆ ในขณะที่มองดูน้องสาวร้องไห้อย่างเจ็บปวด ในหัวเขาก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว…ท่ามกลางเสียงลมหนาวอันโหดร้าย เจ้าสามที่อยู่ในผ้าห่มผืนบางกำลังสูดจมูกที่มีน้ำมูกไหลอย่างน่าสงสาร นางร้องบอกว่า พี่ใหญ่ ข้าหิว!
เรื่องในอดีตไม่อาจย้อนคืนมาได้แล้ว ชั่วพริบตานั้นเหมียวอี้รู้สึกปวดใจ ตาแดงก่ำทันที เขาหลับตาลงด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเข้าไปปลอบใจหรือทำอะไรดี
พอนึกขึ้นได้ว่าหลายปีมานี้ตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ของพี่ใหญ่ให้เต็มที่ อีกทั้งการที่น้องสาวเจ็บปวดใจขนาดนี้ก็เป็นเพราะการตัดสินใจในตอนแรกของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาที่สั่งให้ปราสาทดำเนินนภาลงมือ เจ้าสามก็คงไม่ต้องถูกโจรราคะนั่นหยามเกียรติ
เขาหลับตาเงยหน้าอยู่นานมาก แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาหันตัวสาวเท้าเดินออกจากห้องนั้นไป รีบเดินไปทางคุกใต้ดิน
ระหว่างทางบังเอิญเจออวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบเข้ามาราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหมียวอี้หัวใจสั่นสะท้าน สองสามีภรรยาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกัน
เมื่อเห็นเขาตาแดงก่ำ อวิ๋นจือชิวก็ถามหยั่งเชิงว่า “เป็นอะไรไป? แล้วเจ้าสาม…”
“เจ้า…ฆ่าเขาแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างปวดแปลบหัวใจ
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วตอบว่า “ถ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้าจะอธิบายกับหน่วยตรวจการขวายังไง? เจ้าไปมีเรื่องกับเกาก้วนไหวเหรอ?”
พอได้ยินว่ายังไม่ได้ฆ่า เหมียวอี้ก็เดินหลบนาง เดินไปทางคุกใต้ดินต่อ
อวิ๋นจือชิวพลิกมือมาข้างหลังแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้ ดึงเขาพร้อมถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหมียวอี้หันหลังตอบว่า “ขอเพียงเขารับประกันว่าต่อไปนี้เขาจะดีกับเจ้าสาม เรื่องก่อนหน้านี้ข้าก็จะปล่อยผ่านไป…ข้าจะปล่อยเขาไปก็ได้”
อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งอยากขำ นางรู้นิสัยผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว นางถึงได้ไล่เขาไปก่อน นางเดินอ้อมมาขวางหน้าเขาไว้ นางจ้องตาเขาด้วยสายตาลึกล้ำ “รับประกันเหรอ? รับประกันยังไง? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมารึเปล่า? เคยคิดถึงชีวิตตัวเองกับคนในครอบครัวบ้างรึเปล่า เจ้ารับประกันได้มั้ยว่าทุกคนจะหนีทัน?”
“พวกเรารู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว ก็เท่ากับบีบจุดอ่อนของเขาได้ เขาไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วหรอก” เหมียวอี้กล่าว
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ปล่อยเขาไปเหรอ แล้วเจ้าจะอธิบายกับหน่วยตรวจการขวายังไง? ศิษย์อสุราอัคนีแล้วยังไงล่ะ ตอนนี้เจ้ากำลังพึ่งพาตระกูลโค่ว ประมุขชิงไม่ถือสาที่จะหาข้ออ้างมาฆ่าเจ้าหรอก!”
เหมียวอี้ทำสีหน้าสับสนปนขมขื่น “แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ? ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าสามจะเจอผู้ชายสักคนที่ตัวเองชอบ ถ้าส่งเจียงอีอีให้ตำหนักสวรรค์ เกรงว่าตำหนักสวรรค์คงไม่ปล่อยให้เขารอดไปง่ายๆ ถ้าส่งเจียงอีอีไปรนหาที่ตายโดยไม่ทำอะไรเลย ถึงตอนนั้นเจ้าสามจะไม่แค้นข้าไปทั้งชีวิตเลยเหรอ?”
“เฮ้อ! เจ้านี่นะ ถ้าเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเจ้าก็เลอะเลือนทุกที” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าอย่างจนใจ ดึงแขนเขากลับมา “กลับกันเถอะ ข้าเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเจ้า กับเจ้าสาม กับตำหนักสวรรค์”
“จะให้คำอธิบายยังไง?” เหมียวอี้ที่แทบจะถูกกลับไปเอ่ยถาม
“ทีแรกก็อยากจะบอกเจ้า แต่ดูจากท่าทีของเจ้าแล้ว ข้าจะบอกเจ้ายังไงดีล่ะ? ข้าจะตัดสินใจเรื่องนี้เอง เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าบอกว่าจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเจ้า ข้าก็จะทำอย่างนั้น ไม่ทำให้เจ้ากับเจ้าสามลำบากใจหรอก มองข้าทำไม คิดว่าข้าหลอกเจ้าเหรอ?”
“ไม่ใช่ เจ้าพูดไม่ชัดเจน ข้าไม่มีความมั่นใจ เจ้า…”
“นี่! สงสัยเจ้าจะไม่เชื่อข้าจริงๆ สินะ ให้มันได้อย่างนี้สิ น้องสาวเจ้าต่างหากที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกับเจ้า พอเทียบกับน้องสาวเจ้าแล้ว เมียอย่างข้าก็เป็นแค่คนนอก หนิวเอ้อร์ นับว่าวันนี้ข้ามองเจ้าทะลุปรุโปร่งแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ สงสัยจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่ซะแล้ว ไปอยู่กับน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าไป!” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าโมโห ปล่อยมือเขาแล้วสะบัดแขนเสื้อหันตัวหนี ก่อนจะรีบเดินบิดเอวจากไป
“ฮูหยิน เจ้ารอก่อน ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เหมียวอี้รีบตามมาดึงนางแล้ว
“อย่ามาเล่นลูกไม้ เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ในคุก ใครกันที่บอกให้ข้าไสหัวไป? ลูกไม้ตื้นๆ ของเจ้าข้ามองออกแล้ว เล่นจนเบื่อแล้ว เห็นข้าแล้วขัดลูกตาจนอยากเปลี่ยนคนใหม่แล้วสินะ? ผู้ชายก็สันดานนี้กันหมด ได้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา เดี๋ยวกลับไปข้าจะส่งหนังสือหย่าไปให้เจ้า ข้ารับได้!” อวิ๋นจือชิวสะบัดมือเขาออก
เหมียวอี้ปวดประสาทแล้วจริงๆ ทางเจ้าสามก็เกิดเรื่อง ทางเฟยหงก็มีเรื่องโดนเปิดโปง ตอนนี้ยังมาขอหย่าอีก เขาพบว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้เบาใจได้เลยสักคน เขาก้าวยาวรวดเดียวไปดึงมืออวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วถอนหายใจบอกว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
อวิ๋นจือชิวหันตัวมาถามแสกหน้า “หนิวเอ้อร์ อย่ามาปลอม ข้าถามเจ้าคำเดียวว่าเจ้าเชื่อข้ารึเปล่า!”
เหมียวอี้หันกลับไปมองทางคุกใต้ดิน อวิ๋นจือชิวยื่นมือมาช้อนหน้าเขาไว้ จับศีรษะเขาหันมามองตน “เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนี่”
“งั้นก็ดี ทำอย่างกับข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นแหละ ไปเถอะ อย่ามาทำตัวเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างแถวนี้” อวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือเขาแล้วจูงเดินจากไป
นางจูงเหมียวอี้กลับมาถึงในห้องของเชียนเอ๋อร์ที่เปิดประตูอยู่ ขณะมองดูเยว่เหยานอนร้องไห้ไหล่สั่นอยู่บนเตียงไม่หยุด นางก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ร้องไห้ออกมาได้ก็ดีแล้ว ถ้าอัดอั้นไว้ในใจไม่ระบายออกมา แบบนั้นสิเก็บกดของจริง”
“ข้าไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงอย่างพวกเจ้าหรอก อย่ามัวแต่ดูเอาสนุกอยู่ตรงนี้ ไปช่วยกันโน้มน้าวหน่อย” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอก
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินเนิบนาบไปข้างเตียง อุทานเรียกแล้วพูดจาคลุมเครือแปลกๆ ว่า “ข้าก็นึกว่าใครมาร้องไห้เศร้าโศกขนาดนั้น ปกติฝีปากกล้าวาจาคมนักไม่ใช่เหรอ ตอนแรกก็ไม่รู้นะว่าใครมันหัวเราะเยาะข้า พอมาดูตอนนี้สิ ก็แค่งั้นๆ เอง จุจุ เสียใจขนาดนี้เพราะโจรราคะคนเดียว น่าอายยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้านับว่ายอมแพ้เจ้าแล้ว ต่อไปอย่ามาปากดีต่อหน้าข้าอีกนะ”
นี่เรียกว่าโน้มน้าวคนเหรอ? เหมียวอี้ทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน รีบก้าวขึ้นไปดึงแขนเสื้ออวิ๋นจือชิวเบาๆ
“จะมาดึงมาฉุดทำไม?” อวิ๋นจือชิวตบปัดมือของเขาออกไป “หรือนางว่าคนอื่นได้ แต่คนอื่นว่านางไม่ได้ นับเป็นลูกศิษย์สำนักไหนกัน? เรื่องที่น่าไม่อายก็ทำมาแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้คนอื่นว่างั้นเหรอ? ถ้าเก่งนักก็เขาหัวโขกพื้นให้ตายไปสิ ไม่ต้องมาแสร้งเรียกร้องขอความเห็นใจหรอก?”
“เจ้า…” เหมียวอี้พูดดักอย่างโมโห
เยว่เหยาที่นอนหมอบปาดน้ำตาแล้ว นางลุกขึ้นนั่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องอวิ๋นจือชิว เรื่องเศร้าเสียใจเหมือนจะหายไปแล้ว เหมือนไฟโกรธจะโหมขึ้นมาอีกแล้ว
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวอุทานดูถูกเบาๆ เชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจ มองข้ามความโกรธของเยว่เหยา หันตัวเดินออกไปเบาๆ อย่างนั้นแล้ว
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะช่วยคนไหนดี ไม่รู้จะพูดกับใคร ได้แต่มองเชียนเอ๋อร์ แต่เชียนเอ๋อร์ก็ทำสีหน้าจนใจเช่นกัน
“เชียนเอ๋อร์!” ด้านนอกมีเสียงเรียกของอวิ๋นจือชิว
“ค่ะ!” เชียนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไปโดยก้มหน้าหลบสายตาเหมียวอี้ พอออกไปถึงข้างนอก อวิ๋นจือชิวก็สั่งด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ดูแลน้องสามีคนนี้ให้ดีล่ะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามให้นางออกไป คนเยอะตาเยอะ”
เชียนเอ๋อร์กล่าวเสียงอ่อนว่า “ฮูหยิน ขังนางไว้แบบนี้คงไม่ดีมั้งคะ เกรงว่านายท่านคงจะไม่ยอม”
อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “พอเผชิญกับเรื่องนี้ เขาก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง อย่าไปสนใจเขา ถ้าเขาไม่ยอมก็ไปหาข้า ถ้าอยากจะเถียงกันข้าก็จัดให้! ขังไปก่อน รอให้น้องสามีคนนี้อารมณ์สงบลงก่อน รอให้สมองโล่งก่อน พอสติสัมปชัญญะกลับมาแล้วไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากัน ถ้าตอนนี้ให้นางเพ่นพ่านไปทั่วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เชียนเอ๋อร์พยักหน้า
ในห้องนอน เยว่เหยาที่นั่งอยู่บนเตียงก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ หลังจากเชียนเอ๋อร์เข้ามาแล้ว เหมียวอี้ส่งสายตาให้นาง พอใบ้ว่าให้ดูแลให้ดี ก่อนหน้านี้สองพี่น้องพูดจาดุร้ายใส่กันไปหมดแล้ว คนหนึ่งบอกว่าไม่มีน้องสาวแบบนี้ อีกคนบอกว่าไม่ยอมรับพี่ใหญ่แบบนี้ ตอนนี้เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงหันตัวเดินออกไปแล้ว
ตอนนี้เฟยหงกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเงียบๆ ในมือกำลังถือหวีสางปอยผมสองข้าง ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับกระวนกระวาย
เหยียนซิวก็อยู่ในห้องเช่นกัน ถึงแม้จะยื่นเงียบอยู่ข้างประตู และประตูก็เปิดอยู่ดูแล้วไม่น่าจะมีเจตนาร้ายอะไร แต่ตั้งแต่ที่นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อมา ก็ยังไม่เคยมีผู้ชายบุกเข้ามาถึงในห้องนอนของนางเลย
เคยถามแล้วว่าเพราะอะไร เคยด่าว่ากำเริบเสิบสานแล้วเช่นกัน แต่เหยียนซิวก็ยังยืนยันคำเดิม บอกว่าได้รับคำสั่งให้มาปกป้องนาง!
นางหยิบระฆังดาราออกมาเพื่อจะติดต่อเหมียวอี้ แต่ผลปรากฎว่าเหยียนซิวยื่นมือมาแย่งระฆังดาราของนาง ไม่ให้โอกาสนางติดต่อกับภายนอก
ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเหยียนซิวกำลังจับตาดูนางอยู่ สิ่งนี้ทำให้นางกังวลใจถึงขีดสุด แต่ก็ยังพยายามแสร้งทำใจเย็น
แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไร อวิ๋นจือชิวก็นำเสวี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสนิทสนม เหยียนซิวย่อตัวคำนับเล็กน้อย
“ฮูหยิน!” เฟยหงวางหวีลงและลุกขึ้นยืนทันที ราวกับค้นพบดาวช่วยชีวิต รีบก้าวขึ้นมาต้อนรับ แล้วชี้เหยียนซิวพร้อมฟ้องด้วยสีหน้าราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฮูหยิน เหยียนซิวคนนี้แหกกฎเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะบุกเข้ามาในห้องนอนของข้าคนเดียว ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ต่อให้ข้ามีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้…” นางฟ้องทุกการกระทำของเหยียนซิว
“ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก เกิดเรื่องขึ้นในจวนแม่ทัพภาคนิดหน่อย ข้าสั่งให้เขามาปกป้องเจ้าเอง” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเอง แล้วหันกลับมาเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวอีก
เหยียนซิวเข้าใจ จึงทำความเคารพแล้วถอยออกไป พร้อมทั้งถือโอกาสปิดประตูและยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก
ส่วนเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวก็โบกมือ โยนผู้หญิงสองคนที่อยู่ในสภาพสลบลงบนพื้น พวกนางคือสาวใช้ทั้งสองของเฟยหงนั่นเอง
เฟยหงตกใจทันที บนใบหน้าฉายแววหวาดกลัว ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังสงบนิ่งได้ นั่นก็เป็นเพราะแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังของนาง ตอนนี้ลงมือแม้กระทั่งกับสาวใช้ของนางแล้ว เรื่องบางเรื่องนั้นชัดเจนแล้วจริงๆ แต่ตามหลักเหตุผลแล้ว เบื้องหลังของนางไม่น่าจะถูกเปิดโปงได้สิ อย่างมากก็แค่โทษที่นางแอบฟังเรื่องที่ไม่ควรฟัง ตัวเองสามารถอ้างได้อยู่แล้วว่าเดินผ่านมาเลยถือโอกาสฟังเฉยๆ ดังนั้นนางจึงพยายามทำตัวใจเย็น บนใบหน้าฉายแววอับอายปนโมโหเล็กน้อย “ฮูหยิน ข้าไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร? ข้าจะไปขอความยุติธรรมจากนายท่านค่ะ!” พูดจบก็ต้องการจะฝืนบุกออกไป
“น้องสาว!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือออกมาขวาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “หลายปีมานี้ เจ้าก็น่าจะรู้นะ ว่าข้ายังเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน นายท่านก็มีงานของนายท่าน เรื่องระหว่างผู้หญิงในบ้านกับงานเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ไม่จำเป็นต้องเอาไปรบกวนให้นายท่านรำคาญใจหรอก หรือน้องสาวคิดว่าฮูหยินเอกอย่างข้ามีไว้ประดับฐานะเฉยๆ มายุ่งกับเจ้าไม่ได้?”
“หลายปีมานี้ข้ายอมรับว่าข้าก็เคารพเชื่อฟัง ไม่เคยต่อต้านฮูหยินเลย และไม่เคยทำเรื่องที่แย่งชิงความรักหรือล่วงเกินฮูหยินด้วย ฮูหยินให้ข้าทำอะไร ข้าก็ไม่เคยต่อรอง เคารพฮูหยินมาตลอด” เฟยหงชี้ไปยังสาวใช้สองคนที่นอนอยู่บนพื้น “แต่เฟยหงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปทำอะไรให้ฮูหยินไม่พอใจกันแน่ ทำไมต้องหยามกันขนาดนี้คะ ข้าจะไปมวงความยุติธรรมจากหัวหน้าครอบครัวไม่ได้เชียวหรือ?”
อวิ๋นจือชิววางมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้อง แล้วเดินเนิบนาบผ่านข้างกายนางไป ขณะมองประเมินสิ่งของประดับตกแต่งในห้อง ก็หันหลังพูดกับนางว่า “จะบอกว่าแย่งความรักอะไรนั้นน่ะ เจ้าพูดเกินไปหน่อยรึเปล่า ข้าอยู่ในฐานะฮูหยินเอก จำเป็นต้องไปแย่งชิงด้วยเหรอ? ถ้าแม้แต่ความมั่นใจในตัวเองเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่มี ข้าก็คงไม่แต่งงานกับเขาหรอก น้องสาว ข้าคิดแบบนี้มาตลอด ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่เดินเข้าประตูบ้านเดียวกันหรอก ในฐานะที่เป็นนายหญิงของบ้านนี้ การดูแลเรื่องภายในบ้านเพื่อให้นายท่านทำงานข้างนอกอย่างสงบใจนั้นเป็นหน้าที่ของข้า ถ้ามีคนนอกเสนอหน้ามาก่อความวุ่นวายจนไก่กับสุนัขในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข นั่นก็เป็นความผิดของข้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากทำเรื่องบางเรื่องให้ชัดเจน ข้าอยากรู้ว่าหัวใจของน้องสาวเอนเอียงไปหานายท่าน หรือว่าเอนเอียงไปหา…หน่วยตรวจการซ้าย?” นางหันกลับมาเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม
…………………………
[1] เจาะทำลายกระดาษหน้าต่าง 捅破窗户纸 อุปมาว่าพูดเปิดอกตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น