กระบี่จงมา 159.2-159.3
บทที่ 159.2 ส่งท่านจากไปไกลนับหมื่นลี้
โดย
ProjectZyphon
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งออกมา ห้านิ้วงอเป็นตะขอแล้วค่อยๆ กรีดลากลงเบื้องล่างทีละนิดพลางพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่เกี่ยวกับพี่สาวของเจ้าสักเท่าไหร่ แต่หลักๆ แล้วเป็นเพราะเจ้าวาดงูเติมขา (เปรียบเปรยว่ากระทำการเกินความจำเป็น) ทำร้ายให้ข้าต้องเสียตบะไปเปล่าๆ สามร้อยปี ทำให้หลังจากนี้ต้องมีมรสุมอุปสรรคมากมายปรากฏขึ้น พ่อจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี เหตุผลแค่นี้พอหรือไม่?!”
ระหว่างนิ้วทั้งห้าของผู้เฒ่ามีดอกไม้สีแดงโลหิตเบ่งบานออกมาดอกแล้วดอกเล่า มองดูแล้วเล็กกะทัดรัดน่ารัก ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับไม่อ่อนโยนน่าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย
เพราะบนร่างของหญิงสาวที่ทะยานตัวอยู่กลางอากาศสูงปรากฏเป็นร่องเลือดขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกนิ้วทั้งห้ากรีด สภาพนั้นอเนจอนาถยิ่งกว่าเนื้อหมูที่ถูกสับอยู่บนเจียงซะอีก หนึ่งมีดกรีดลงไป บาดลึกจนเห็นกระดูก
ไม่เพียงเท่านี้สตรีที่เดิมทีเผ่นหนีไปไกลร้อยจั้งในเสี้ยววินาทีกลับถูกดึงกลับมายังเมืองเล็กแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าโศกนาฎกรรมเกิดขึ้นกลางอากาศสูงอย่างเงียบเชียบ พวกชาวบ้านที่อยู่ในเมืองจึงสัมผัสไม่ถึง นอกจากคนเพียงหยิบมือที่เงียบหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพอดี แต่ละคนจึงเบิกตากว้างอ้าปากค้างแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนไม่ได้รับผลกระทบ
สุดท้ายร่างของสตรีก็ร่างกระแทกพื้นดังตุ้บ ทั่วร่างโชกไปด้วยเลือด อาภรณ์ยันต์อาคมที่เดิมทีงดงามยอดเยี่ยมฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี อาภรณ์ไม่อาจบดบังเรือนกาย สตรีขดร่างอยู่บนพื้น ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด หันไปขอร้องเจียวเฒ่าอย่างยากลำบาก
เจ้าประมุขทำเนียบตะวันม่วงผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกลมปราณแคว้นหวงถิงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ เทพเซียนยิ่งใหญ่ที่มีหวังว่าจบะจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบกลับมานอนเกลือกกลิ้งคลุกดินอยู่บนพื้น
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อโบกมือหนึ่งครั้งอย่างไม่ใส่ใจ ร่างทั้งร่างของสตรีก็ลอยในแนวขวางไปกระแทกเสาคานของร้านคาข้างทางจนหักพัก แล้วจึงนอนกองอยู่ตรงมุมกำแพงตัวอ่อนโยนราวกับโคลนเละๆ
สีหน้าบุรุษชุดดำซีดขาว “ท่านราชครูผู้นั้นโกรธหรือ? การหยั่งเชิงที่เล็กน้อยเพียงเท่านี้ ต่อให้ลูกทำผิดจริง แต่มันมีค่าถึงขนาดที่เขาต้องขี่ช้างจับตั๊กแตนแบบนี้ด้วยหรือ? ไม่กลัวว่าพวกเราจะหันไปเข้าพวกกับต้าสุ้ยหรือไร?”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อจ้องมองบุตรชายคนเล็กที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแล้วถอนหายใจ สะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป ไม่คิดจะลงมือสั่งสอน เพียงทิ้งไว้สองคำว่า “สวะไร้ค่า”
นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีแม่น้ำหันสือตรงขึ้นไปอุ้มพี่สาวที่หายใจรวยรินกลับขึ้นรถม้า สารภีคือปัญญาชนพ่อเฒ่าลำธารที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจวนมหาวารีผู้นั้น ตอนที่บุรุษชุดดำเลิกผ้าม่านขึ้น หันหลังให้กับปัญญาชน เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจ็บแค้นและเสียใจทีหลัง “สุยปิน เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าไม่ควรบุ่มบ่ามขนาดนี้”
ปัญญาชนผู้มีความรู้สะบัดแส้ รถม้าจึงขับเคลื่อนไปช้าๆ ย้อนกลับไปยังโรงเตี๊ยมชิวหลู เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “โชคดีกับโชคร้ายมักมาคู่กันเสมอ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายไปซะหมด เมื่อรู้เส้นบรรดทัดฐานของราชครูผู้นั้นแล้ว วันหน้าย่อมสื่อสารกันได้มากขึ้น วันนี้แค่เสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ดีกว่าวันหน้าที่ท่านผู้เฒ่าเทพวารีหลงลำพองจนลืมตน โดนคนฆ่าทิ้งแล้วก็ยังไม่รู้สาเหตุ”
บุรุษชุดดำวางร่างพี่สาวไว้ในห้องโดยสารของรถม้า ตัวเขามานั่งอยู่ด้านหลังปัญญาชน กล่าวอย่างคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “เสียเปรียบเล็กน้อย?! ตบะของบิดาข้าหายไปสามร้อยปี ด้วยนิสัยของเขา วันหน้าข้าย่อมต้องโดนลงโทษ! คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้าสุยปินก็ไม่รู้เหมือนกันหรือว่าพี่น้องเจ็ดแปดคนนั้นของข้าต้องตายยังไง?”
ปัญญาชนสุยปินกล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “ตายแล้วสิดี ตายแล้วก็เหลืออยู่แค่สามคน เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต้องตาย หากเปลี่ยนมาเป็นในอดีตข้าคงต้องช่วยเก็บศพให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีแล้ว อืม ไม่แน่ว่ายังต้องช่วยเก็บชิ้นส่วนมาประกอบกันด้วย ทางทิศตะวันตกชิ้นหนึ่ง ทิศตะวันออกชิ้นหนึ่ง ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่ไม่น้อย”
หากกุนซือผู้อยู่เบื้องหลังอย่างสุยปินพยายามเอ่ยปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟัง บางทีบุรุษชุดดำอาจจะยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข แม้แต่จะอยู่ต่อในเมืองก็คงไม่กล้า ขนาดจวนมหาวารีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้ารั้งรออยู่นาน ต้องหนีไปหลบมรสุมไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ตอนนี้ได้ยินคำพูดเย็นชาเสียดสีจากสุยปิน บุรุษชุดดำกลับกลายเป็นว่าสบายใจอยู่หลายส่วน เหลือบตามองแผ่นหลังของพ่อเฒ่าลำธารที่มีร่างเป็นผีพรายผู้นี้ ในใจก็คิดว่าไม่น่าล่ะถึงถูกราชครูเด็กหนุ่มให้ความสำคัญไม่ต่างจากเว่ยหลี่ผู้พิทักษ์เมือง
“เจ้าอย่าเอาแต่พร่ำเรียกข้าว่านายท่านผู้เฒ่าเทพวารีได้หรือไม่ ข้าไม่ชิน หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าชื่นชอบเจ้ามากเป็นพิเศษ เจ้าเองก็ไม่เคยอ่อนน้อมให้แก่ข้าจนไร้ศักดิ์ศรี ดีมาก แต่อย่าเอาแต่ร่วมทุกข์ไม่ยอมร่วมสุขล่ะ”
สุดท้ายบุรุษชุดดำก็ทอดถอนใจอย่างขุ่นขึ้ง “สุยปิน เจ้าว่าพ่อข้าเรียนหนังสือมานานหลายปี ไม่น้อยไปกว่าอริยะของลัทธิขงจื๊อ สมบัติส่วนตัวและหอตำราที่เก็บหนังสือไว้ก็อุดมสมบูรณ์เป็นอันดับหนึ่งของแคว้นหวงถิง แต่ทำไมถึงยังมีนิสัยฉุนเฉียวร้ายกาจขนาดนี้นะ”
สุยปินกล่าวยิ้มๆ “บิดาท่านก็ทำตัวนิสัยดีกับบัณฑิตเหล่านั้นไม่ใช่หรือ แถมยังดีจากใจจริงด้วย”
บุรุษชุดดำรู้สึกระอาใจกับเรื่องนี้อยู่มาก
สุยปินลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนกล่าวว่า “อันที่จริงการที่บิดาท่านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ เกรงว่าน่าจะต้องเกี่ยวพันกับโอกาสบนมหามรรคาด้วย แม้ว่าท่านจะจงใจปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ แต่ราชครูต้าหลีผู้นี้ต้องคิดว่าบิดาท่านรู้เรื่อง เขามองเหตุการณ์ได้กว้างไกลถึงเพียงนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่คิดใช้เหตุการณ์นี้ยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านพ่อลูก”
บุรุษชุดดำนึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ
ในห้องโดยสารมีน้ำเสียงแก่ชราที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของทุกคนดังขึ้นมา “สุยปิน เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดี”
สุยปินหัวเราะร่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าเองก็เคยเรียนหนังสือมาก่อน อืม ตอนนี้กลายเป็นผีบัณฑิตแล้ว ในเมื่อข้าตายไปแล้วยังจะกลัวตายไปอีกทำไม?”
เจียวเฒ่าที่ปรากฏตัวอย่างลึกล้ำยิ้มบางๆ “เจ้าลูกไร้ความสามารถของข้ามีผู้ช่วยอย่างเจ้า ข้าก็วางใจแล้ว”
บุรุษชุดดำหายใจติดขัดเล็กน้อย
ช่างเป็นนกที่ดีที่รู้จักเลือกกิ่งไม้พำนักนอนจริงๆ
หากจะบอกว่าเมื่อก่อนบิดาดูแคลนพ่อเฒ่าลำธารตัวเล็กๆ หรือไม่ก็เพราะการจำศีลอย่างระมัดระวังไม่ต้องการให้คนนอกมาร่วมรับรู้ ถ้าเช่นนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไปก็คงจะเริ่ม ‘แย่งชิงแผ่นดิน’ แล้ว ‘ขุนนางบุ๋นขุนพลบู๊’ อันเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ใช่ว่ายิ่งมีมากก็ยิ่งดีหรอกหรือ
ดูเหมือนสุยปินจะมองความคิดของนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีแม่น้ำหันสือออกจึงยิ้มบางๆ เอ่ยเย้าว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางแปรพักตร์ ต่อให้เป็นผี ความเด็ดเดี่ยวนี้ก็ยังพอจะมีอยู่”
เจียวเฒ่าที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารปรายตามองบุตรสาวที่ขดตัวอยู่ในมุมด้วยสายตาเย็นชา แต่พอหันไปมองทางหน้าต่างรถกลับเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนจากใจจริง “เรื่องของบุตรสาวเจ้าผู้นั้น ข้าเคยได้ยินมาก่อน ต้องการให้ข้าออกหน้าช่วยให้นางกลายเป็นเทพภูเขาของเขาสุ้ยซานหรือไม่?”
สุยปินส่ายหน้า “ลูกทรพีที่เทียบแม้แต่หมาหรือหมูไม่ได้ผู้นั้น ปล่อยนางไปตามยถากรรมเถอะ”
เจียวเฒ่าหัวเราะเสียงก้องกังวาน “นิสัยนี้เหมือนข้า”
บุรุษชุดดำที่นั่งอยู่ข้างนอกกับสตรีที่บาดเจ็บหนักอยู่ในห้องโดยสารรู้สึกเศร้าสลดใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
แต่ละบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่เล่มหนึ่ง
เทพวารีแม่น้ำหันสือก็ดี บุรพาจารย์บุกเบิกภูเขาของทำเนียบตะวันม่วงก็ช่าง ทั้งสองต่างก็ห่างจากตบะขอบเขตที่สิบอีกแค่ก้าวเดียว แต่ละคนต่างก็มีตำแหน่งสูงส่งในถิ่นของใครของมัน มีอำนาจชี้ต้นตายชี้ปลายเป็นได้อย่างเสรียิ่งกว่าจักรพรรดิในโลกมนุษย์เสียอีก
แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
……
ออกมาจากเมือง คนทั้งกลุ่มและรถม้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
ชุยฉานเดินลงจากรถม้ามาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาหันไปพูดยิ้มๆ กับหลี่ไหวก่อน “อยากนั่งรถม้าคันนั้นของข้าไหม? กว้างขวางสุขสบาย นอนหลับก็ยังได้”
หลี่ไหวทำท่าอยากลอง แต่ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ เฉินผิงอันจึงยิ้มอย่างเข้าใจ “ไปเถอะ”
ชุยฉานเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ เรียนรู้การเป็นคนจากท่านมีประโยชน์ต่อข้าจริงๆ ผลประโยชน์ที่ได้รับมีไม่น้อย ต้องการให้ข้าขอบพระคุณหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยฉานปิติยินดีเป็นล้นพ้น “ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าทำอย่างไร? แม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังเปิดคลังสมบัติที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นไม่ได้ จึงยังไม่อาจเอาของอะไรออกมาจากในนั้นได้ชั่วคราว แต่ครั้งก่อนที่เข้าเมืองได้ไปซื้อสมบัติของตระกูลจากเถ้าแก่ร้านที่ไม่เอาไหนผู้นั้นมาได้ และอันที่จริงก็มีของดีอยู่สองชิ้น ยกตัวอย่างเช่นคนแก้วจิ๋วที่ซุกซ่อนกลไกลี้ลับ ขอแค่กรอกปราณวิญญาณหรือลมปราณที่แท้จริงเข้าไปในตัวมัน มันยังสามารถเริงระบำได้อย่างมีชีวิตชีวาเหมือนจริง แถมยังสามารถร้องเพลงได้อย่างไพเราะเสนาะหู…”
เฉินผิงอันพูดกับเขาว่า “หายตัวไปซะ”
ชุยฉานหมองเศร้าแล้วจึงจากไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะวิ่งไปตอแยหลินโส่วอีกับหลี่เป่าผิง ผลกลับกลายเป็นว่าต้องกินแกงหน้าประตูปิด (เปรียบเปรยว่าไม่ได้รับการต้อนรับ แขกที่มาเยือนแต่ถูกเจ้าบ้านปิดประตูใส่) สุดท้ายได้แต่ย้อนกลับเข้าไปในรถม้าอย่างขุ่นเคือง พอเห็นหลี่ไหวที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในห้องโดยสารอย่างมีความสุข ชุยฉานก็นั่งยองลงด้านข้าง เปิดห่อสัมภาระ หยิบคนจิ๋วที่ทำจากแก้วสีสันหม่นหมองออกมาโบกต่อหน้าหลี่ไหว “อยากได้หรือไม่?”
หลี่ไหวจ้องหุ่นแก้วหญิงที่ประณีตงดงาม ขนาดประมาณครึ่งฉื่อ เด็กชายเอ่ยด้วยคำพูดที่ไม่ได้มาจากใจจริง “ไม่เห็นอยากได้เลยสักนิด”
ชุยฉานออกแรงเล็กน้อย กระจกจากด้านในถึงด้านนอกก็ค่อยแผ่แสงนุ่มนวลทีละนิด จากนั้นชุยฉานก็วางมันลงบนพื้นกระดานของห้องโดยสาร เพียงไม่นานคนงามแก้วกระจกก็ส่งเสียงกึกๆ กักๆ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันมีชีวิต แถมยังเริ่มร่ายรำ เรือนกายบิดยักย้าย ขณะเดียวกันก็คลอเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ไม่ทราบชื่ออยู่ในลำคอไปด้วย นั่นไม่ใช่ภาษาทางการของต้าหลีหรือต้าสุย แล้วก็ไม่ใช่ภาษาราชการของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นหลี่ไหวจึงไม่เข้าใจว่านางร้องว่าอะไร แต่ภาพนี้ช่างจำเริญหูจำเริญตายิ่งนัก เด็กชายอดใจไม่ไหวจึงนอนคว่ำลงไปกับพื้น เหม่อมองท่าร่ายรำที่พลิ้วไหวอ้อนแอ้นของสาวงามร่างแก้วอย่างเคลิบเคลิ้ม
รอจนแสงในร่างแก้วถดถอยไปสิ้น สาวงามก็หยุดนิ่งดังเดิม กลับคืนมาเป็นของตายที่แข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อน
ชุยฉานเอ่ยหลอกล่อไม่หยุด “ยกให้เจ้าเปล่าๆ เจ้าก็ไม่ต้องการหรือ? เจ้าจะกลัวอะไร เจ้าคือเพื่อนของเฉินผิงอัน ข้าคือลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดขนาดนี้ ข้าจะมีเจตนาร้ายอะไรกับเจ้าได้? อีกอย่างบนร่างเจ้ามีอะไรที่มีค่าให้ข้าคิดร้ายด้วย ถูกหรือไม่?”
หลี่ไหวดึงสายตากลับมามองชุยฉาน กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าผายลม บนร่างข้ามีสมบัติมากมายนักล่ะ! เจ้ามีแมลงเงินไหม? มันกลายร่างเป็นตั๊กแตนเป็นแมลงปอได้ด้วย!”
ชุยฉานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นั่นข้าเป็นคนให้เจ้าไม่ใช่หรือไง?”
หลี่ไหวพยักหน้ารับ “ใช่สิ ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็ไม่มีแล้วไง”
ชุยฉานนั่งพิงผนังรถ กุมท้องหัวเราะดังลั่น “สมกับเป็นเจ้าลูกหมาน้อยของถ้ำสวรรค์หลีจู โดยเฉพาะคนอย่างพวกเจ้าที่อาศัยความโชคดีและวาสนาจนกระทั่งสุดท้ายกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่ของฉีจิ้งชุน ไม่มีใครเป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันสักคน สือชุนเจียกับต่งสุ่ยจิ่งสองคนนั้นแย่กว่าสักหน่อย ไม่ได้ดีไปกว่าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสักเท่าไหร่”
ชุยฉานเงยหน้ามองไปยังเพดานเหนือศีรษะของตัวเองแล้วจุ๊ปากพูด “ช่างสมกับเป็นลิขิตสวรรค์ที่มองไม่เห็น”
พอดึงสายตากลับมา ชุยฉานก็หันไปมองเด็กชายที่นอนเหม่ออยู่บนพื้นห้องโดยสาร จึงถามอย่างสงสัย “ไม่ต้องการจริงๆ รึ?”
หลี่ไหวอืมตอบหนึ่งที “ไม่ต้องการหรอก เมื่อคืนวานก่อนนอนเฉินผิงอันก็บอกกับข้าแล้วว่า วันหน้าเมื่อไปถึงสถานศึกษาต้าสุยห้ามรับผลประโยชน์จากคนอื่นส่งเดช”
ชุยฉานเอ่ยหยอกเย้า “แต่ว่านี่ยังอยู่ห่างจากชายแดนของต้าสุยอีกตั้งหลายร้อยลี้นะ ต่อให้เข้าไปในขอบเขตของต้าสุยแล้ว กว่าจะไปถึงสถานศึกษาซานหยาแห่งใหม่ก็ยังต้องเดินทางอีกตั้งเจ็ดแปดร้อยลี้ รวมกันแล้วอย่างน้อยก็ต้องเดินทางเป็นพันลี้ เจ้าหลี่ไหวจะรีบร้อนไปไย?”
หลี่ไหวมองฝ้าเพดาน “เฉินผิงอันบอกว่าเขาจะไม่เรียนหนังสืออยู่ที่สถานศึกษา หลังจากส่งพวกเราไปถึงแล้วเขาก็จะกลับไปยังบ้านเกิด”
ชุยฉานยิ้ม “นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลี่ไหวรองมือสองข้างไว้ใต้ศีรษะต่างหมอน เอ่ยเบาๆ “เดินไปเดินมา ข้าก็ลืมไปแล้วนี่นา”
ชุยฉานอึ้งตะลึง
จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ไม่เป็นไร ข้าไม่อยู่ต่อที่สำนักศึกษา ถึงเวลานั้นจะกลับไปเมืองเล็กเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน หลี่ไหว เจ้าอิจฉาข้าหรือไม่?”
หลี่ไหวหันขวับกลับมา ใบหน้าชุยฉานเต็มไปด้วยความลำพองใจ
หลี่ไหวถลันพรวดลุกขึ้นยืน เลิกผ้าม่านหน้ารถ แหกปากเสียงดังด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “เฉินผิงอัน เจ้าชุยฉานผู้นี้จะหลอกเอาเงินจากข้า?”
ชุยฉานรีบพุ่งไปกอดเจ้าลูกหมาไว้อย่างลนลาน เพื่อไม่ให้เขาใส่ร้ายป้ายสีตนต่อไป แล้วหันไปโอดครวญกับเฉินผิงอัน “ข้าถูกใส่ร้าย!”
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันที่บุกเข้าไปสังหารถึงในห้องโดยสารก็พาหลี่ไหวออกมาจากรถม้า
หลี่ไหวเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เฉินผิงอัน ข้าหลอกเจ้า”
เฉินผิงอันกดเสียงต่ำ ข้ารู้ ก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าไม่หมอนั่น”
ในห้องโดยสาร เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าปูดบวมเขียวช้ำนอนแยกเขี้ยวอยู่ในรถ ไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้าห่อเหี่ยว กลับยังคลี่ยิ้มอารมณ์ดี
บทที่ 159.3 ส่งท่านจากไปไกลนับหมื่นลี้
โดย
ProjectZyphon
ชายแดนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นหวงถิง ริมแม่น้ำสายหนึ่ง หลังจากจ้องมองศาลเทพวารีที่ขนาดด้อยกว่าแม่น้ำหันสือไกลโขอยู่พักหนึ่ง คนทั้งกลุ่มที่ออกเดินทางอีกยี่สิบกว่าลี้ก็เริ่มหยุดพักเตรียมกินอาหารกลางวัน
ตอนนี้เรื่องก่อไฟทำอาหารมีอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยที่ไม่นิ่งเฉยดูดายเหมือนเดิมอีกต่อไปเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือ เฉินผิงอันจึงไปตกปลาอยู่ริมแม่น้ำได้อย่างวางใจ ใบไม้ผลิตกในคันนา ร้อนตกในน้ำลึก ใบไม้ร่วงตกใต้ร่มเงา หนาวตกกลางแดดจ้า นี่ถือสุภาษิตที่สืบทอดต่อกันมาในเมืองเล็ก เวลานี้เป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทาง ตั้งใจหาอ่าวที่มีลมหวนขนาดไม่ใหญ่นักโดยเฉพาะ แล้วถึงเริ่มตกปลา
หนึ่งเค่อต่อมา เฉินผิงอันก็ตกปลาแม่น้ำสีดำที่หางยาวประมาณหนึ่งฉื่อกว่าได้สำเร็จ แต่ด้วยกลัวว่าคันเบ็ดจะหักกลางคันหรือไม่ปลาใหญ่ก็หลุดออกจากเบ็ด การลากปลาขึ้นฝั่งจึงเสียเวลาไปเกือบอีกหนึ่งเค่อ ชุยฉานนั่งยองมองตาไม่กะพริบอยู่ด้านข้างตลอดเวลา ขากลับยังยืนกรานว่าจะช่วยหิ้วปลากลับไปให้ได้ ผลกลับกลายเป็นว่าอาหารเย็นมื้อนี้มีปลาตุ๋นรสชาติเยี่ยมเพิ่มมาอีกหนึ่งหม้อ ชุยฉานที่คิดว่าตัวเองมีคุณความชอบโดดเด่นกว่าใครพุ่ยตะเกียบเร็วราวกับบิน แย่งกินกับหลี่ไหวจนหูตาแดงก่ำ
กินข้าวเสร็จแล้ว อวี๋ลู่ก็เก็บกวาดซากเละเทะ พอมีเวลาว่าง เฉินผิงอันก็เริ่มฝึกเดินนิ่งตรงริมแม่น้ำ
อวี๋ลู่ยืมคันเบ็ดตกปลาไปหาที่ตกปลาเอง
หลินโส่วอีเล่นหมากล้อมกับเซี่ยเซี่ย หลี่เป่าผิงอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ในหีบหนังสือของหลี่ไหมีสาวงามร่างแก้วเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัว เป็นของเดิมพันที่เขาได้มาจากการเอาชนะชุยฉาน นี่ไม่ใช่ว่าชุยฉานยอมอ่อนข้อให้ คนทั้งสองอาศัยการเดาจำนวนมากน้อยของตัวหมากล้อมสีดำและสีขาวอย่างยุติธรรม อวี๋ลู่ที่นั่งหันหลังให้คนทั้งสองเป็นคนหยิบเม็ดหมาก ผลกลับกลายเป็นว่าชุยฉานชนะสองแพ้สาม จึงต้องยกสาวงามร่างกระจกให้กับอีกฝ่ายไป หลี่ไหวไม่เพียงแต่รักษาแมลงเงินก้อนนั้นไว้ได้ แต่กลับมี “ขุนพลแกร่งกร้าว” มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินนิ่งไปตลอดทาง เขาเดินห่างออกไปไกลมาก สุดท้ายนั่งอยู่บนก้อนหินหน้าผาริมแม่น้ำเพียงลำพัง รับลมแม่น้ำที่พัดโชยมา แล้วฝึกวิชาการหายใจสิบแปดหยุดอยู่บนหินหน้าผา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทดลองฝึกเดินนิ่งด้วยความเร็วที่ช้าที่สุด
ท่ามกลางเสียงเคลื่อนไหวรอบด้าน ปราณนิ่งจิตสงบ
……
หลังออกจากเส้นทางทางน้ำมาได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็ได้ไปเจอกับโจรภูเขาฝีมือกระจอกงอกง่อยกลุ่มหนึ่งบนภูเขารกร้างห่างไกลผู้คน หลินโส่วอีเผยวิชาสายฟ้าที่เพิ่งฝึกได้ไม่นาน คนชั่วก็ตกใจจนขี้เยี่ยวราด
การตกปลายามค่ำคืนของเฉินผิงอันครั้งหนึ่งเขาตกได้ปลาดำตัวใหญ่สูงครึ่งตัวคน ต้องลงน้ำถึงจะสามารถจับปลาใหญ่หายากตัวนั้นได้สำเร็จ เฉินผิงอันอารมณ์ดีถึงขนาดที่ว่าพอกลับไปถึงข้างกองไฟแล้วเห็นอวี๋ลู่ที่นั่งอยู่ยามก็ฉีกยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย อวี๋ลู่มองเจ้าคนที่ทั้งร่างเปียกมะลอกมะแลกแล้วชูนิ้วโป้งให้
ระยะทางหลังจากนั้นมีครั้งหนึ่งที่ผ่านสุสานไร้ญาติซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้าย เจอผีและวิญญาณล้อมโจมตี หลินโส่วอีที่ฝึกเวทสายฟ้าจนเริ่มประสบความสำเร็จเผยให้เห็นบารมีน่าเกรงขาม ทุกครั้งที่ลงมือก็เหมือนจะมีเสียงฟ้าผ่าดังให้ได้ยินแว่วๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าของเขายังเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเรืองรอง ทั่วร่างมีปราณสีม่วงจางโอบล้อม มองดูคล้ายขุนพลเทพสายฟ้าองค์หนึ่ง ภูตผีวิญญาณร้ายถูกเวทสายฟ้าสังหารไปหลายสิบตน จุดลึกในสุสานไร้ญาติก็พลันมีแสงไฟสว่างไสวตามมาด้วยเสียงแผดคำรามน่าขนลุก เกี้ยวขนาดใหญ่ยักษ์ที่สี่มุมแขวนโคมไฟลอยล่องขึ้นมาพร้อมปราณน่าสยดสยอง
ภายใต้สถานการณ์ที่เฉินผิงอันและเซี่ยเซี่ยร่วมกันให้การคุ้มกันอยู่ข้างกาย หลินโส่วอีที่ยังใช้วิชาสายฟ้าได้อย่างไม่คุ้นมือยืนหยัดได้ครู่หนึ่งก็ยังไม่อาจเอาชนะงูเจ้าถิ่นของสุสานไร้ญาติที่อยู่ในเกี้ยวซึ่งเป็นภูตผีที่ฝึกตนมาหนึ่งร้อยปี จนกระทั่งรวบรวมร่างวิญญาณแท้จริงขึ้นมาได้
ผลกลับกลายเป็นว่าอวี๋ลู่ที่ไม่เคยลงมือพุ่งทะยานออกไป ต่อยหมัดเดียวออกไปอย่างผ่อนคลายก็สลายปราณวิญญาณทั้งหมดของผีตนนั้น จนมันไม่เหลือสภาพเดิมอยู่อีก
หลังจากนั้นมาหลินโส่วอีก็เปิดอ่านตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ถี่ยิ่งขึ้น
แล้วก็เป็นเช่นนี้จนกระทั่งคนทั้งกลุ่มไปถึงหน้าด่านของต้าสุย ผ่านประตูเมืองหน้าด่านที่ไม่สูงใหญ่โอ่อ่ามาได้แล้ว หลี่ไหวก็บ่นพึมว่าสถานที่แห่งนี้สู้ด่านเหย่ฟูต้าหลีไม่ได้เลยจริงๆ แตกต่างกันอักโขนัก
ทว่านาทีถัดมาก็มีเสียงกีบม้าดังขึ้นบนถนนในด่านเป็นระลอก จากไกลขยับมาใกล้ ยิ่งนานก็ยิ่งสั่นสะเทือนใจคน
เฉินผิงอันบอกให้ทุกคนรอนิ่งๆ อยู่ข้างทางห้ามไม่ขยับ หลีกทางให้กับอีกฝ่าย
เห็นเพียงว่าทหารม้ายี่สิบว่านายห้อตะบึงมาถึงราวกับสายฟ้า มีขุนพลฝ่ายบู๊ที่สวมเกราะเงินถือทวนยาวเป็นผู้นำ นอกจากนี้แล้วยังมีนักพรตเฒ่าที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความเป็นเซียน ด้านหลังแบกกระบี่ไม้ท้อเล่มหนึ่ง ผิวพรรณขาวนวลไร้ขน กุมมือสองข้างอยู่ในชายแขนเสื้อนั่งบนหลังมาอย่างนิ่งสงบอีกหนึ่งคน เทพเซียนผู้เฒ่าที่มีท่วงท่าสูงส่งเหนือโลกีย์สองคนหนึ่ง คนหนึ่งอยู่ซ้าย อีกคนอยู่ขวาให้การปกป้องเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดุจหยกเอาไว้
พอเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ เฉินผิงอันก็พลันใจสั่น
กลัวอะไรก็เจอสิ่งนั้น
ส่วนเด็กหนุ่มชุดแพรที่เคยปรากฎตัวในเมืองเล็กเห็นพวกเฉินผิงอันก็หัวเราะร่าพุ่งนำจากกลุ่มทหารม้ามาเป็นคนแรก ขณะที่ยังอยู่ห่างจากพวกเฉินผิงอันอีกสิบกว่าก้าวก็รีบหยุดบังเหียน ครั้นจึงพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างคุ้นเคย เขาเดินก้าวยาวๆ มาเบื้องหน้า พอเดินวนครบหนึ่งรอบแล้วก็หันไปเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ “พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว!”
เด็กหนุ่มกำแส้เฆี่ยนม้าไว้ในมือ เอามันตีฝ่ามืออีกข้าง พลางพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้ารู้หรือไม่เพราะปลาหลีสีทองตัวนั้น รวมไปถึงสมบัติที่ข้าเพิ่งรู้ทีหลังว่าชื่อ ‘ข้องราชามังกร’ นั่น ทำเอาข้าเกือบตายอยู่ที่ชายแดนต้าหลี”
แล้วเด็กหนุ่มก็พลันหัวเราะร่าเสียงดัง “แต่ข้ายังต้องขอบคุณเจ้า! ต่อให้ตอนนั้นข้าจะให้เงินแก่นทองเจ้าไปหนึ่งถึงแล้ว ตอนนี้มาคิดๆ ดูก็ยังเหมือนว่าข้าเอาเปรียบเจ้าอยู่ดี ข้าเคยสาบานว่าเมื่อพบเจ้าในวันหน้า จะต้องตอบแทนเจ้าให้มากกว่าเดิม…”
เด็กหนุ่มตบหัวตัวเอง แล้วแนะนำตัวเองอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้าคือลูกหลานสกุลเกาแห่งนครอี้หยางต้าสุย เจ้าเรียกข้าตรงๆ ว่าเกาเซวียนก็ได้”
ผู้เฒ่าไร้หนวดที่เคยพบเฉินผิงอันมาก่อนเช่นกันขยับปากจะพูด แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเกาเซวียนกลับโบกมือตัดบท “ไม่เป็นไร ก็แค่ชื่อเท่านั้น เดิมทีก็มีไว้ให้คนเรียกอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มมองมายังกลุ่มพวกเขา พูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามารับพวกเจ้าด้วยตัวเอง เพื่อเดินทางไปยังสถานศึกษาซานหยาต้าสุย”
……
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่องค์รักษ์ส่วนพระองค์สามสิบกว่านายที่เด็กหนุ่มแซ่เกาพามา ไปจนถึงทหารม้าเฝ้าพิทักษ์ชายแดนสองร้อยกว่านาย จนสุดท้ายถึงกลุ่มองค์รักษ์คุ้มครองพระองค์อีกหนึ่งพันกว่าคนก็พากันข้ามผ่านขอบเขตของเจ็ดเมืองสองเขตการปกครอง เร่งรุดเดินทางไปยังเมืองหลวงของต้าสุยอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ในที่สุดกลุ่มคนที่เดินทางไกลไปขอศึกษาต่อก็ไม่ต้องเดินขึ้นเขาลงห้วยไปทีละก้าวอีกแล้ว ต่อให้เป็นหลี่ไหวก็ยังได้นั่งรถม้าอย่างมีหน้ามีตา สองข้างฝั่งและหน้าหลังของรถม้าต่างก็มีทหารกล้าฝีมือแข็งแกร่งของต้าสุยขนาบล้อม บางครั้งสายตาของผู้คนรอบด้านที่มองมายังรถม้าก็ล้วนเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อมและอิจฉาอย่างที่หลี่ไหวไม่อาจเข้าใจ
เดินทางต่อมาจนกระทั่งมองเห็นเค้าโครงของกำแพงเมืองหลวงต้าสุยได้รำไร หลี่ไหวถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองคล้ายพระโพธิสัตว์ที่ถูกคนยกขึ้นบูชาบนหิ้ง
ตอนแรกเริ่มหลี่ไหวยังรู้สึกสนุกและแปลกใหม่อยู่บ้าง แต่ยิ่งขยับเข้าใกล้จุดหมายปลายทาง หลี่ไหวก็ยิ่งรู้สึกไม่ร่าเริงเป็นตัวเอง
หลี่เป่าผิงยิ่งเงียบงัน ทุกคนต้องคอยทำตัวติดกับเฉินผิงอัน
หลินโส่วอีไม่สนอะไรทั้งสิ้น ทุกวันเอาแต่หลบอยู่ในห้องโดยสารของตัวเอง สงบใจฝึกตนเพียงลำพัง
อวี๋ลู่ที่ยังคงขับรถม้าให้ชุยฉานมองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
ชุยฉานที่อยู่ในห้องโดยสารเบื่อหน่ายสุดขีด ทุกวันหากไม่นอนตื่นสายก็หาวหวอดๆ ไร้ชีวิตชีวาและความสดชื่น ได้แต่เรียกเซี่ยเซี่ยให้เข้าไปเล่นหมากล้อมด้วยกันในห้องโดยสาร
สุดท้ายเหลือกองทัพม้าแค่ร้อยกว่านายที่ขับควบเข้าไปในเมืองหลวง หลี่ไหวค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าบนถนนหลวงที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นมีประชาชนชาวต้าสุยยืนออกันแน่นขนัดเต็มไปหมด เมืองหลวงแห่งนี้เหมือนมีคนมารวมตัวกันนับหมื่น กินอิ่มแล้วว่างงานจึงพากันมาดูเรื่องสนุก
หลินโส่วอีลืมตาขึ้น ไม่มุ่งมั่นฝึกตนอีกต่อไป เลิกผ้าม่านขึ้นมุมหนึ่ง มองเห็นภาพผู้คนเบียดเสียดนอกหน้าต่าง เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจหนึ่งที
ที่แท้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ฉีก็ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้
สำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่ย้ายมาอยู่ต้าสุยตั้งอยู่บนภูเขาตงหัวที่มีทัศนียภาพงดงามที่สุดของเมืองหลวงต้าหลี สำนักศึกษาแห่งนี้สร้างขึ้นตามแนวเขา ค่อยๆ ไล่ระดับให้สูงขึ้นทีละนิด ขนาดใหญ่โตเกินกว่าเมื่อครั้งที่เป็นสถานศึกษาอยู่ในต้าหลี
ว่ากันว่าฮ่องเต้ต้าสุยไม่เพียงแต่เชิญปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่มีความรู้มากที่สุดของต้าสุยมาสอน ยังขอให้แคว้นพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์อันดีกับต้าสุยส่งขุนนางกรมพิธีการถึงครึ่งหนึ่งโดยมีซือหลางฝ่ายซ้ายเป็นผู้นำให้เดินทางไปหาปัญญาชนที่มีชื่อเสียงของพื้นที่ต่างๆ ส่งคำเชื้อเชิญไปพร้อมของขวัญชิ้นใหญ่ สุดท้ายเชิญอาจารย์และผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วราชสำนัก และบางคนยังเป็นถึงจ้าวแห่งวงการวรรณกรรมของแคว้นมาได้ถึงสามสิบกว่าคน เพื่อมารับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนของสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัวเมืองหลวงต้าสุย
แต่นับจากฮ่องเต้ต้าสุยมาจนถึงชาวบ้านทั่วไปล้วนรู้ดีว่าสำนักศึกษาซานหยาที่มีและไม่มีฉีจิ้งชุนนั้นคือสถานศึกษาซานหยาสองแห่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ฉีจิ้งชุนผู้เป็นเจ้าขุนเขาเงียบหายไร้ร่องรอย ได้ยินว่าป่วยตายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นสำนักศึกษาที่มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุนเป็นผู้ “บัญชาการณ์” ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญในความสำคัญ หาไม่แล้วจะกลายเป็นว่านามไม่เที่ยง วาจาไม่ราบรื่น ยากที่จะสยบผู้คนได้อย่างเด็ดขาด
ตอนนี้พวกเขามาถึงแล้ว มาถึงเมืองหลวงต้าสุยดุจถ่านร้อนที่ยื่นให้ท่ามกลางหิมะ ดังนั้นฮ่องเต้ต้าสุยจึงรู้สึกว่าไม่ว่าจะใช้พิธีต้อนรับที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหนก็ล้วนไม่มากเกินไป
แม้ว่าจะมีเพียงเด็กสามคน แต่แค่นี้ก็เกินพอแล้ว!
พวกเขาที่ว่านี้แบ่งออกเป็นหลินโส่วอี หลี่ไหว หลี่เป่าผิง
นอกจากนี้แล้วยังมีอีกสองคนที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด แน่นอนว่าน้ำหนักของพวกเขาย่อมเทียบกับสามคนแรกไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพร
อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
……
เส้นทางที่ทอดยาวไปยังภูเขาตงหัวถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมนานแล้ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเดินโดยพลการ ดังนั้นต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงก็ยังได้แค่ยืนอยู่บนหอสูงสองฟากทาง มองไกลๆ มายังกลุ่มทหารที่มีความหมายไม่ธรรมดากลุ่มนั้น
ฮ่องเต้สกุลเกาแห่งต้าสุยสวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดที่เป็นทางการที่สุดยืนอยู่นอกประตูสำนักศึกษาตรงตีนเขา ทอดสายตามองเด็กห้าคนที่แยกกันเดินลงมาจากรถม้าสองคันด้วยรอยยิ้มเมตตา
ด้านหลังฮ่องเต้ก็คือคนกลุ่มเล็กที่มีอำนาจมากที่สุดของต้าสุย
บรรยากาศของตลอดทั้งภูเขาตงหัวเคร่งขรึมเป็นการเป็นงาน
ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบที่เลิกแก่งแย่งชิงดีกับผู้คนบนโลกนานแล้วซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณของภูเขาตงหัวก็มีมากถึงหกท่าน ทุกคนต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
หลี่เป่าผิงถาม “อาจารย์อาน้อยล่ะ?”
ทุกคนต่างก็หันมามองหน้ากัน ไม่เว้นแม้แต่อวี๋ลู่
แล้วเด็กๆ เหล่านี้ก็ทิ้งฮ่องเต้ต้าสุยให้คอยเก้ออยู่ตรงนั้น
……
บนถนนบางเส้นของเมืองหลวงต้าสุย เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าตาชวนมองเดินถอยหลังมองคนวัยเดียวกันที่แบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมรองเท้าหุ้มแข้ง ปักปิ่นบนมวยผมแล้ว ทำไมถึงไม่เข้าสถานศึกษาไปพร้อมกับพวกเขาล่ะ?”
เด็กหนุ่มที่ในที่สุดก็ไม่สวมรองเท้าแตะไม่เอ่ยคำใด เพียงหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น