ข้ามกาลบันดาลรัก 159.1-161.2
ตอนที่ 159.1
บันดาลโทสะ
เมิ่งเสียวเถี่ยก็กำลังลากขาข้างหนึ่งทำงาน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาพูดขึ้น “ฉีเอ๋อร์บอกให้ข้าไปซื้อผักในเมืองกับเขา ข้าคิดดูแล้ว ข้าไม่ไปจะดีกว่า ข้าอยู่ในเมืองมาหลายปี เที่ยวอวดโอ้บารมีรังแกคนไปทั่ว ถ้ามีคนจำได้ จะสร้างความยุ่งยากให้พวกเจ้าเปล่าๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยว เมื่อท่านรับปากพี่รองแล้ว ท่านก็ต้องไป หากท่านไม่อยากไป ท่านก็ไปบอกเขาเอง เรื่องซื้อกับข้าวข้ามอบให้เขาตัดสินใจเองหมดแล้ว ตอนนี้ข้ามีหน้าที่ออกคำสั่ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดอีก”
เมิ่งเสียวเถี่ยจนใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพาเหวินเปียวเดินกลับ พูดกับเขา “พวกเจ้าพยายามอย่าพูดสถานะในอดีตของตัวเองกับคนในหมู่บ้าน หากมีคนอยากรู้อยากเห็นถามพวกเจ้า เจ้าก็บอกว่าครอบครัวประสบเคราะห์กรรม ทั้งครอบครัวเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จำต้องขายตัวเป็นทาส”
เหวินเปียวรับคำอย่างนอบน้อมแล้วถาม “แม่นางไม่อยากรู้ว่าพวกเรากระทำความผิดใด เหตุใดถึงถูกตัดสินเป็นทาสหลวงหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “เรื่องในอดีตของพวกเจ้า ข้าไม่อยากรู้ และไม่จำเป็นต้องรู้ เจ้าจำไว้เพียงว่าตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนของข้าก็พอ”
เหวินเปียวพยักหน้าหนักแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอีก “ยังมี ให้พวกเจ้าใช้ชื่อแซ่เดิม เปลี่ยนมาเปลี่ยนไปยุ่งยาก”
เหวินเปียวไม่คิดว่าตนเองและคนในครอบครัวจะยังรักษาชื่อแซ่เดิมของตัวเองไว้ได้ หากไม่ได้อยู่กลางถนน เขาแทบอยากคุกเข่าให้เมิ่งเชี่ยนโยว พร่ำพูดไม่หยุดปาก “ขอบคุณแม่นางๆ”
เหวินเปียวกลับมาที่พัก บอกข่าวดีนี้กับทุกคน คนทั้งหมดต่างดีอกดีใจ โชคดีที่ได้มาเจอนายหญิงดี
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาบ้านตัวเอง เห็นหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนและเมิ่งชื่อเย็บผ้าห่มเสร็จหลายผืนแล้ว จึงพูดสัพยอกพวกเขา “วันนี้ทำพวกท่านเสียเวลาเย็บกระเป๋านักเรียน พวกท่านไม่ว่าอะไรนะ?”
ผู้หญิงทั้งหมดรีบโบกมืออุตลุด พูดว่า “ที่ไหนกัน ได้ช่วยนายหญิงทำอะไรบ้างพวกเราดีใจเสียไม่ว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “แม้จะพูดเช่นนี้ ข้าจะให้พวกท่านช่วยเปล่าๆ ไม่ได้ เอาอย่างนี้ ถือว่าวันนี้เป็นหนึ่งวันทำงานของพวกท่าน ทุกคนได้รับเงินค่าแรงคนละสามสิบอีแปะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งพูด “ไม่ได้ๆ พวกเราทำงานเพียงครึ่งวัน จะรับค่าแรงหนึ่งวันได้อย่างไร”
ผู้หญิงที่เหลือก็เห็นพ้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ตอนนี้พวกท่านเย็บกระเป๋านักเรียน ได้คนละห้าสิบอีแปะต่อวัน ครึ่งวันก็คือยี่สิบห้าอีแปะ บวกกับช่วงเวลาตอนเช้า ให้พวกท่านสามสิบอีแปะคิดคำนวณแล้วข้ายังเอาเปรียบพวกท่านอยู่เลย”
เมิ่งชื่อก็พูดสมทบ “พวกเจ้าไม่ต้องปฏิเสธแล้ว ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าหากมีเรื่องอะไรจะไม่กล้าขอให้พวกเจ้าช่วยแล้ว”
ผู้หญิงทั้งหมดได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนี้ ก็ไม่บอกปัดอีก
ซุนเหลียงไฉถือแมลงปอไม้ไผ่วิ่งเหงื่อโทรมกายออกมาจากลานใหญ่ เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงบุ้ยปากเดินตามหลัง พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบฟ้อง “ท่านพี่ เขาถือแมลงปอไม้ไผ่คนเดียวไม่ยอมให้พวกเราเล่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองซุนเหลียงไฉเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ซุนเหลียงไฉรีบวางแมลงปอไม้ไผ่ใส่มือเมิ่งเจี๋ย “ให้เจ้า เอาไปเล่น”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไชโยโห่ร้อง เล่นแมลงปอไม่ไผ่อย่างสนุกสนานในลานโล่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อเจ้าว่างไม่มีอะไรทำพอดี ไปเอาการบ้านมาให้ข้าตรวจหน่อย”
ซุนเหลียงไฉทำการบ้านเสร็จแล้ว ย่อมไม่กลัวการตรวจสอบ กลับเข้าบ้านไปเอาการบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวถือโอกาสหยิบไม้กระบองเรียวเล็กที่วางข้างประตูเดินตามเข้าไป
เมิ่งอี้เซวียนกำลังอ่านหนังสือกลอน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถือไม้กระบองเข้ามา มองซุนเหลียงไฉอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ซุนเหลียงไฉยังไม่รู้ตัว หยิบการบ้านทั้งหมดออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน พูดว่า “เจ้าตรวจเถอะ” แต่พอเห็นไม้กระบองในมือเมิ่งเชี่ยนโยวร่างก็สั่นผับๆ ร้องอย่างไม่พอใจ “เจ้าถือมันมาทำอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเคาะไม้กระบองในมือสองครั้ง แสร้งถามอย่างอำมหิต “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
ซุนเหลียงไฉกลับยืดอกพูด “ข้าทำการบ้านเสร็จตามที่เจ้าต้องการแล้ว เจ้าจะตีข้าไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา นั่งบนเก้าอี้ เปิดหนังสือกลอน ให้เขาท่องกลอนประโยคที่นางบอก
ซุนเหลียงไฉก็ลงแรงไปไม่น้อยจริงๆ ไม่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาท่องบทไหน เขาก็สามารถท่องออกมาได้
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพอใจ “ไม่เลว”
ซุนเหลียงไฉมองไม้กระบองในมือนางพูดอย่างลำพอง “แน่อยู่แล้ว ข้าจะไม่ให้เจ้ามีโอกาสตีข้าได้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
ตอนกลางคืนเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาบ้าน ก็ตื่นเต้นดีใจ เอาแต่พูดว่าพรุ่งนี้จะได้ปลูกเรือนแล้ว
เมิ่งชื่อก็ดีใจตามไปด้วย ถามว่า “พ่อเอ๊ย ข้าควรจะไปช่วยสักสองสามวันหรือไม่?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นโบกมือ “ไม่ต้อง ครั้งนี้เรามีคนมาก ล้วนแต่เป็นคนทำงานเป็น เจ้าเย็บกระเป๋านักเรียนอยู่ในบ้านอย่างสบายใจเถอะ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ไม่ว่าอะไรดอก”
เมิ่งชื่อจึงล้มเลิกความคิดจะไปช่วย
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้พูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นเรื่องที่ตัวเองซื้อคนสิบกว่าคนกลับมา
เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินตื่นตกใจถาม “บ้านพวกเราไม่ขาดคน เจ้าซื้อคนกลับมามากเช่นนี้ทำอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ต่อไปคนทั้งหมดของครอบครัวเราจะยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้น การส่งพวกอี้เซวียนไปโรงเรียนจึงเป็นปัญหาใหญ่ ข้าเห็นเหวินเปียวรู้วรยุทธ์ จึงซื้อพวกเขาทั้งครอบครัวไว้ ที่สำคัญก็คือ ครอบครัวพวกเขาน่าเวทนามาก เด็กหลายคนกำลังจะถูกขายไป ข้าทนไม่ได้ ก็เลยซื้อพวกเขามาทั้งหมด”
พอได้ยินว่ายังมีเด็ก เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่ตำหนิว่านางอีก พูดว่า “ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว ตอนนี้ครอบครัวเราก็ไม่อัตคัดถ้าจะมีคนมากินข้าวเพิ่ม”
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่าจะต้องพูดปากเปียกปากแฉะกว่านี้ ไม่คิดว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นก็จะยอมรับง่ายๆ ดีใจลิงโลด ร้องพูดเสียงดังลั่น “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านดีที่สุดเลย!”
สองสามีภรรยาเมิ่งขบขันหัวเราะร่วน
หลังจากหัวเราะ เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ถามขึ้น “วันนี้บ่ายเจ้าพูดอะไรป้าใหญ่ ข้าเห็นหลังจากที่เจ้าออกไปจากที่ดิน นางก็เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด”
อารมณ์รื่นเริงของเมิ่งเชี่ยนโยวพลันหดหาย รอยยิ้มก็จางหายไปด้วย
เมิ่งชื่อเห็นท่าทีเกิดเรื่องขึ้นอย่างชัดแจ้งของนาง ถามอย่างเป็นห่วง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยอรอยยิ้มขึ้นอีกครั้งพูดกับคนทั้งสอง “เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อยกับพี่เมิ่งเหริน ไม่เป็นอะไรมาก อีกประเดี๋ยวข้าจะไปหาท่านปู่และลุงใหญ่ ไปถามความคิดเห็นพวกเขา แล้วค่อยมาเล่าให้พวกท่านอย่างละเอียด”
เมิ่งเหรินเป็นความหวังของสกุลเมิ่งมาตลอด ทุกคนในครอบครัวต่างเฝ้ารอวันที่เขาเป็นใหญ่เป็นโต สร้างชื่อเสียงให้วงศ์สกุล พวกเขาจะได้เชิดหน้าชูตาไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าครอบครัวจะลำบากเพียงใด ก็ไม่เคยให้เขาต้องเสียเวลาเลยสักวัน ตอนนี้มารู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขา เมิ่งเอ้ออิ๋นเริ่มกระวนกระวาย ถามขึ้น “เช่นนั้นตอนบ่ายทำไมเจ้าถึงไม่ไปพูดกับท่านปู่ เสียเวลาเหรินเอ๋อร์ไปหนึ่งวันเต็มๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าสำหรับสกุลเมิ่ง เมิ่งเหรินมีความสำคัญมากแค่ไหน และเข้าใจถึงความทุรนทุรายใจของเมิ่งเอ้ออิ๋น พูดจริงจัง “ข้าคิดว่าเรื่องของพี่เมิ่งเหรินควรให้เขาเป็นคนพูดกับท่านปู่เอง ดังนั้นพอกลับมาบ้านข้าถึงไม่พูดออกมาทันที แต่เวลาล่วงเลยมานานแล้ว เขากลับไม่มีความเคลื่อนไหว ข้าจึงต้องเป็นคนไปทำเรื่องน่าขยะแขยงนี้ พูดเรื่องทั้งหมดของเขาออกมา ให้ท่านปู่และลุงใหญ่ตัดสินใจเอง”
ได้ฟังนางพูดเช่นนี้ เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจตัวลอย ถามขึ้น “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เรื่องไม่ใหญ่ จะใหญ่ก็ตรงท่าทีของพี่เมิ่งเหริน”
สองสามีภรรยาเมิ่งยิ่งทวีความกังขา เมิ่งเอ้ออิ๋นคิดจะถามอีก เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “อีกประเดี๋ยวท่านไปบ้านใหญ่กับข้าด้วยเถอะ ถึงที่นั่นท่านจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นสะกดความว้าวุ่นในใจ กินข้าวอย่างเลื่อนลอย ไม่รอให้เมิ่งชื่อเก็บกวาดเสร็จ ก็เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวให้รีบไปบ้านใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเมิ่งเสียน ทั้งสามพร้อมหน้ามาที่บ้านใหญ่
ตั้งแต่บ่ายหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนั้น หัวใจของภรรยาเมิ่งต้าจินก็ไม่เป็นสุข ตอนค่ำรีบกลับไปทำอาหารแต่หัววัน หลังจากทั้งครอบครัวกินเสร็จ ก็ล้างจาน แล้วนั่งรอเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาด้วยหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ
หญิงชราเมิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง ถามขึ้น “สะใภ้ต้าจิน เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ?”
ภรรยาเมิ่งต้าจินฝืนยิ้มแข็งๆ พูดว่า “ไม่มี โยวเอ๋อร์บอกว่าอีกประเดี๋ยวจะเข้ามา ข้ากำลังรอนางอยู่”
หญิงชราเมิ่งได้ยินก็วางใจ พูดว่า “โยวเอ๋อร์จะต้องเข้ามาเรื่องการแต่งงานของเหรินเอ๋อร์ เด็กคนนี้ ลำบากนางต้องเป็นเดือนเป็นร้อนแทนเหรินเอ๋อร์ไม่น้อย”
ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ้มแหยๆ ไม่พูดอะไร
ตอนที่ 159.2
บันดาลโทสะ
เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ มาถึงบ้านใหญ่ ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นพวกเขาเข้ามา ลุกขึ้นร้องทักทายพวกเขาอย่างเป็นกันเอง “พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามานั่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนร้องเรียกคนตามมารยาท
หญิงชราเมิ่งตบไปที่เตียงข้างตัวพูดว่า “โยวเอ๋อร์ มานั่งข้างๆ ย่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง นั่งลงข้างๆ นาง
หญิงชราเมิ่งดึงแขนนางมาอย่างรักใคร่ พูดว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ไปรับเหรินเอ๋อร์และอี้เอ๋อร์กลับมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ลำบาก ข้าเพียงแค่ผ่านไปรับพวกเขาติดรถกลับมาด้วยเท่านั้น”
หญิงชราเมิ่งตีมือนางอย่างเอ็นดู
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจิน “ท่านปู่ ลุงใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพวกท่านตามลำพัง”
หญิงชราเมิ่งที่ตีมือนางหยุดชะงัก
เมิ่งจงจวี่รู้สึกมาตลอดว่าเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวรับเมิ่งเหรินกลับมามีเงื่อนงำ ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็พยักหน้า
เมิ่งต้าจินพลันตกตะลึง ถามขึ้น “เรื่องอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองทุกคนในบ้าน
เมิ่งจงจวี่เข้าใจความหมายนาง หันไปพูดกับหญิงชราเมิ่ง ภรรยาเมิ่งต้าจินรวมถึงเมิ่งเสียวเถี่ยและเมิ่งอี้ “พวกเจ้าทั้งหมดไปอยู่ในห้องนั้นก่อน”
คนทั้งหมดไม่คัดค้าน หญิงชราเมิ่งลงจากเตียง ภรรยาเมิ่งต้าจินโอบประคองนางเข้าไปในห้องตัวเอง
กระทั่งพวกเขาไปหมดแล้ว เมิ่งจงจวี่ถึงพูดขึ้น “โยวเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรเจ้าพูดมาเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องที่ตัวเองไปกินข้าวที่ภัตตาคาร เจอเมิ่งเหรินทะเลาะกับคนอื่น ตนเองและเมิ่งเสียนเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย กลับเกิดการต่อสู้กับคนพวกนั้น ถูกนำตัวไปศาลาว่าการ จากนั้นยังได้รู้เรื่องที่เมิ่งเหรินไม่เพียงใช้เงินค่าแรงที่เมิ่งอี้หามาอย่างยากลำบากครึ่งปีเต็ม เอาไปซื้อปิ่นปักผมให้คนที่เขา “ถูกตาต้องใจ” ทั้งยังปิดบังคนในครอบครัวช่วยจัดงานหมั้นหมายให้เขา
เมิ่งจงจวี่ฟังจบโมโหจนตัวสั่น สบถด่า “เจ้าสารเลว พวกเราลำบากแสนเข็ญส่งเขาเรียน เขากลับทำเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นได้ สมควรต้องถูกโบย”
เมิ่งต้าจินเองก็โมโหไม่น้อย ร้องตะโกนไปทางห้องเมิ่งเหริน “เมิ่งเหริน ไม่ต้องแกล้งตายแล้ว รีบไสหัวออกมา!”
ตั้งแต่ที่เมิ่งเหรินกลับมาบ้าน ก็เอาแต่นอนอยู่ในห้องตัวเอง ขบคิดว่าจะพูดเรื่องในกับคนในบ้านอย่างไร แต่เผยอปากหลายครั้งกลับพูดไม่ออก เมื่อครู่ได้ยินว่าพวกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็เอาแต่รอยู่ในห้องอย่างว้าวุ่นใจ ได้ยินเมิ่งต้าจินเสียงตะโกนของเมิ่งต้าจิน ก็ลนลานเดินเข้ามา
เมิ่งต้าจินโกรธเกรี้ยว ถีบเขาไปหนึ่งที “สารเลว คุกเข่าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเหรินคุกเข่าตรงหน้าเมิ่งจงจวี่
พวกหญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงร้องเอะอะ คิดจะเข้ามาดู เมิ่งเสียวเถี่ยห้ามพวกเขา “ดูท่าเหรินเอ๋อร์จะทำความผิดร้ายแรง พี่ใหญ่ถึงโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ พวกเรารอเขาคลายโทสะค่อยเข้าไปเถอะ เกิดพวกเราทนไม่ได้พูดอะไรออกไป จะยิ่งกลายเป็นราดน้ำมันบนกองเพลิง”
หญิงชราเมิ่งและคนอื่นๆ เชื่อคำพูดเขา ไม่ได้เข้าไป กลับตะแคงหูฟังเสียงเอะอะของอีกห้อง
เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าตีเมิ่งเหริน ก่นด่า “เจ้าหลานอัปรีย์ กระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้ ที่ร่ำเรียนมาหายไปไหนหมดแล้ว?”
เมิ่งเหรินเป็นหลานคนโตของสกุล ได้รับความเอ็นดูรักใคร่จากคนทั้งสกุลแต่เด็ก บวกกับเป็นคนฉลาด คนในครอบครัวไม่เคยต้องว่ากล่าวเขามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตีเขา ตอนนี้ถูกเมิ่งต้าจินและเมิ่งจงจวี่ทุบตีถึงสองครั้งติดกัน เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ พูดโต้แย้งอย่างไม่พอใจ “เมื่อเติบใหญ่ชายต้องแต่งงาน หญิงต้องออกเรือน ข้าอายุสิบแปดปีแล้ว มีคนที่หมายปองผิดตรงไหน?”
เมิ่งจงจวี่โมโหสบถด่า “เมื่อมีคนที่หมายปองแล้วทำไมไม่บอก ยังจะให้ครอบครัวช่วยจัดงานหมั้นหมาย จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่สำนึกผิด ข้าว่าเจ้าไม่ต้องกลับไปเรียนหนังสือแล้ว ทบทวนความผิดอยู่ที่บ้านเถอะ”
เมิ่งเหรินร้องอุทาน “ได้อย่างไรกัน อีกไม่กี่เดือนข้าก็จะเข้าสอบขุนนางแล้ว ตอนนี้ท่านมาให้ข้าอยู่บ้าน จะถ่วงอนาคตข้าได้”
เมิ่งต้าจินทนไม่ไหวก่นด่า “แม้แต่เป็นคนเจ้ายังทำไม่ได้ จะไปมีอนาคตอะไร?”
เมิ่งเหรินโต้เถียงอย่างไม่ยอม “ข้าเป็นคนไม่ได้อย่างไร? ข้าเชื่อฟังคำสอนของท่านปู่อย่างเคร่งครัดมาตลอด ไม่เคยเกียจคร้านมาก่อน ไม่เหมือนท่าน วันๆ เอาแต่เอ้อระเหยลอยชาย ไม่ทำการทำงาน ทำให้ข้าต้องได้รับผลกรรมไปด้วย จนอายุสิบแปดปีก็ยังไม่ได้แต่งงาน หากข้าได้แต่งงาน จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือ?”
เมิ่งต้าจินโมโหจนพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็นเยียบ “พี่ใหญ่หาข้ออ้างให้ตัวเองเก่งจริงๆ ท่านบอกว่าผู้ชายจะมีภรรยากี่คนก็ได้ไม่ใช่หรือ? ต่อให้ครอบครัวจัดงานแต่งให้ท่าน เกรงว่าท่านก็ยังจะทำเรื่องเช่นนี้อยู่ดี”
เรื่องพัฒนามาถึงขั้นนี้ เมิ่งเหรินคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนก่อขึ้น หากไม่ใช่นางดึงรั้นจะให้ตัวเองกลับบ้าน บอกเรื่องนี้กับคนในครอบครัว ตนเองก็คงไม่ต้องถูกด่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทุบตี เลือดขึ้นหน้า พูดโพล่งไม่ยั้ง “เจ้าไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นคนดี หากไม่ใช่เจ้า คนในครอบครัวไม่มีทางรู้เรื่องที่ข้าทำ ข้าก็ไม่ต้องถูกตี ตอนนี้ยังอยู่ที่โรงเรียนประจำอำเภออย่างสุขสบาย เจ้าคิดว่าตัวเองหาเงินสกปรกมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็อวดโอ้บารมีใหญ่คับฟ้า ให้คนทั้งครอบครัวต้องเชื่อฟังเจ้า ตอนนี้ดีแล้ว เห็นข้าถูกทุบตี พอใจเจ้าแล้วใช่ไหม?”
เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าหวดลำตัวเขาอีกครั้ง “สารเลว ตัวเองกระทำผิดยังไม่รู้สำนึก กลับโยนความผิดไปให้คนอื่น วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
เพราะความโมโหทำให้เมิ่งจงจวี่ลงมือค่อนข้างหนัก เมิ่งเหรินถูกตีติดกันสองครั้ง ทนไม่ได้แล้วจริงๆ แผดเสียงร้องเจ็บปวด
หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงร้องเพราะถูกตีของหลานชายคนโตที่ทะนุถนอมดั่งไข่ในหินมาตั้งแต่เด็ก ทนต่อไปไม่ไหว เดินออกมาจากห้องภรรยาเมิ่งต้าจิน เข้ามาในห้องตัวเอง เห็นเมิ่งเหรินคุกเข่าบนพื้นเจ็บจนเหงื่อซึมเต็มหน้า ร้องตำหนิเมิ่งจงจวี่ “เหรินเอ๋อร์มีเรื่องอะไรเจ้าสั่งสอนเขาก็ได้ เหตุใดต้องลงมือลงไม้ด้วย?”
เมิ่งจงจวี่กำลังโมโหถึงขีดสุด ร้องด่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลบไปซะ วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าสารเลวนี่ให้รู้สำนึก”
ถูกเมิ่งจงจวี่พูดใส่เช่นนี้ต่อหน้าลูกหลานมากมาย หญิงชราเมิ่งรู้สึกเสียหน้า โมโหร้องด่ากลับ “เจ้าเฒ่า เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา? เหรินเอ๋อร์ก่อความผิดร้ายแรงแค่ไหน เจ้าก็ไม่ควรทุบตีเขา”
เมิ่งจงจวี่โมโหยกไม้เท้าบดขยี้พื้น
ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นเมิ่งเหรินถูกลงโทษ ก็ปวดใจไม่น้อย แต่เห็นท่าทีเดือดดาลของเมิ่งจงจวี่ จึงไม่กล้าออกมาขอร้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากอธิบาย “ท่านยาย พี่ใหญ่เอาเงินค่าแรงครึ่งปีที่พี่เมิ่งอี้หามาอย่างเหนื่อยยากไปซื้อปิ่นปักผมให้คนที่เขาหมายปอง กลับไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกต้มตุ๋น ท่านปู่โมโหเดือดดาล ถึงลงมือลงไม้กับเขา”
“อะไรนะ?” ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งอี้ร้องอุทานขึ้นพร้อมกัน
ภรรยาเมิ่งต้าจินถามอย่างไม่เชื่อ “เหรินเอ๋อร์ เจ้ามีคนที่หมายปองแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เมิ่งอี้กลับถามอย่างไม่เชื่อ “พี่ใหญ่ ท่านบอกข้าว่ามอบเงินค่าแรงให้ท่านพ่อท่านแม่ไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
เมิ่งต้าจินได้ฟังก็ยิ่งเคืองขุ่น ตรงเข้าไปถีบเมิ่งเหรินเต็มแรง ร้องด่า “ตำรับตำราที่ร่ำเรียนมาไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยใช่ไหม? ถึงกล้าโกหกพ่อแม่เช่นนี้?”
เมิ่งเหรินไม่เคยเห็นพ่อที่ไร้แก่นสารคนนี้อยู่ในสายตา พอโดนถีบก็โมโหแผดเสียงพูด “ก็แค่เงินสิบกว่าตำลึงเท่านั้น รอให้ข้าสอบขุนนางได้ ข้าจะคืนให้พวกท่านเป็นเท่าตัว?”
ได้ยินเขาพูดวาจาเช่นนี้ออกมา ภรรยาเมิ่งต้าจินมองเขาอย่างไม่เชื่อ พูดอย่างปวดใจ “เหรินเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กระทำเรื่องผิดยังพูดคำพูดพวกนี้ออกมาได้อย่างไม่ละอาย”
หญิงชราเมิ่งก็มองเขาเหมือนคนไม่รู้จัก
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาไม่รู้สำนึก ยังเถียงไม่เลิก พูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาด “คนอย่างเจ้า ไม่ต้องเข้าสอบขุนนางแล้ว ทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้านเถอะ”
เมิ่งจงจวี่เป็นผู้นำครอบครัว พูดคำไหนเป็นคำนั้น เมิ่งเหรินได้ฟัง ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น
ในห้องพลันเงียบสนิท เมิ่งเหรินคิดมาตลอดว่าอย่างไรเมิ่งจงจวี่ก็ไม่มีทางตัดสินใจเช่นนี้ ถึงกล้าเถียงคอเป็นเอ็นอย่างไม่กลัว ตอนนี้ได้ยินเขาตัดสินใจเช่นนี้ก็ตะลึงงัน พอได้สติกลับมารีบพูดวิงวอน “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีก ท่านอย่าให้ข้าไม่ได้เข้าสอบขุนนางเด็ดขาด ทำเช่นนั้นความทุ่มเทพยายามที่ผ่านมาหลายปีของข้าจะสูญเปล่า”
เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาว พูดว่า “ครอบครัวของเราภาคภูมิใจในตัวเจ้ามาตลอด คิดว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะได้สลักชื่อบนป้ายทอง[1] เป็นเกียรติแก่วงศ์สกุล ดังนั้นไม่ว่าครอบครัวจะลำบาก แร้นแค้นเพียงใด ก็ต้องหาวิธีให้เจ้าได้ไป แม้แต่อี้เอ๋อร์ยังต้องออกไปทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ก็เพื่อไม่ให้เจ้าต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่คิดว่า เจ้าจะทำให้พวกเราผิดหวังได้เช่นนี้ เงินทองเป็นเรื่องเล็ก ใช้จนหมดพวกเรายังหาใหม่ได้ แต่เจ้าเป็นคน กลับเหลาะแหละไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หากวันใดเจ้าประสบความสำเร็จ ได้เป็นขุนนาง จะต้องกลายเป็นคนที่รู้จักแต่จะเสพสุข เห็นแก่ตัวหลงอำนาจ รีดนาทาเร้น เป็นภัยพิบัติของประชาราษฎร์ เช่นนี้เรายังจะให้เจ้าสอบขุนนางไปอีกทำไม สู้ให้เจ้าทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้าน พวกเรายังพอวางใจได้”
เมิ่งเหรินยังไม่ตัดใจ คร่ำครวญเว้าวอน “ท่านปู่ ข้าไม่มีทางกลายเป็นคนเช่นนั้น ข้าทำตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัดมาตลอด ไม่เคยมีพฤติกรรมเหลวไหล ครั้งนี้เพราะหลานถูกหลอก ถึงได้กระทำเรื่องผิดเช่นนั้น ข้าสาบานกับท่าน ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้าจะอยู่ในกรอบแต่งงานมีลูก เข้าสอบขุนนางอย่างแน่วแน่ จะไม่กระทำเรื่องผิดนั้นอีกแล้ว”
เมิ่งจงจวี่ได้ยินเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน ความโกรธเกรี้ยวเดือดพลุ่งอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ฝืนระงับโทสะให้คลายลง ถึงพูดว่า “จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน เจ้าจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่าภายหน้าเจ้าจะไม่ทำผิดอีก?”
เมิ่งเหรินโขกหัวสุดแรง “หลานรู้ว่าผิดตรงไหน หลานไม่ควรใช้เงินที่น้องรองฝากมาให้ครอบครัวโดยพลการ ยิ่งไม่สมควรปิดบังท่านพ่อท่านแม่ให้พวกเขาจัดงานหมั้นให้ข้า เป็นข้าที่ถูกความชั่วร้ายครอบงำจนไม่ได้สติ คิดว่าผู้ชายมีหลายเมียก็ไม่เป็นไร ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว ท่านปู่ยอมให้ข้าได้เข้าสอบขุนนางเถอะ”
เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาวอีกครั้ง “เจ้ายังไม่ได้เป็นซิ่วไฉ ก็มีความคิดสกปรกเช่นนี้แล้ว ภายหน้าหากสอบได้ตำแหน่งขึ้นมา เกรงว่าจะต้องกลายเป็นข้าราชการฉ้อฉนอย่างที่ข้าคาดคิดไว้ ช่างเถอะ เจ้าอยู่บ้านทำไร่ไถนาเถอะ”
เมิ่งเหรินเห็นว่าอย่างไรก็พูดให้เมิ่งจงจวี่เห็นด้วยไม่ได้ ลนลานคลานไปขอร้องตรงหน้าเมิ่งต้าจิน “ท่านพ่อ ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านช่วยไปพูดกับท่านปู่ ให้เขายอมให้ข้าเข้าสอบขุนนางด้วยเถอะ ข้ารับประกันต่อไปจะไม่กระทำเรื่องผิดอีก”
ในตอนนั้นเมิ่งต้าจินถูกคนให้ร้าย ทำให้ชีวิตนี้ไม่สามารถเข้าสอบขุนนางได้อีก รู้ถึงความเจ็บปวดที่ต้องถูกลิดรอนสิทธิ์เข้าสอบขุนนางดี เห็นสภาพของบุตรชาย ก็ให้อาลัยอาวรณ์ แต่พอคิดสิ่งที่เขากระทำ แล้วคิดถึงคำพูดของเมิ่งจงจวี่ ก็กัดฟัน ตัดใจพูดว่า “เชื่อคำท่านปู่ ทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้านเถอะ ไม่ต้องคิดเรื่องการสอบขุนนางแล้ว”
เมิ่งเหรินเห็นว่าเมิ่งต้าจินก็พูดให้เห็นด้วยไม่ได้ หันไปอ้อนวอนหญิงชราเมิ่ง “ท่านย่า ท่านช่วยข้าขอร้องด้วยเถอะ ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
หญิงชราเมิ่งไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด และไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เห็นหลานรักของตัวเองน่าเวทนาจับใจ เอ่ยปากพูดร้องขอ “ตาเฒ่า ความผิดของเหรินเอ๋อร์ก็ไม่ได้หนักหนา เจ้าทำเช่นนี้เป็นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหรือไม่ ข้าว่านะ เจ้าแค่ลงโทษเขานิดหน่อยก็พอ ไม่จำเป็นต้องลงโทษรุนแรงเช่นนี้”
เมิ่งจงจวี่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พูดว่า “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ พวกเจ้าใครก็ไม่ต้องมาขอร้อง นับจากวันนี้ไป ให้เหรินเอ๋อร์อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเอ่ยเรื่องการสอบขุนนางอีก”
เรื่องในครอบครัวเมิ่งจงจวี่มีสิทธิ์ขาดมาตลอด ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หญิงชราเมิ่งรู้ว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก หันไปพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งเหริน “เหรินเอ๋อร์ ตอนนี้ปู่เจ้ากำลังอารมณ์เสีย อะไรก็ฟังไม่เข้าหูแล้ว ให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อน ย่าจะพูดขอร้องให้เจ้าเอง”
เมิ่งเหรินเห็นการขอร้องหมดหวังแล้ว ลุกพรวดพราดขึ้น เยาะยิ้มอย่างน่าสังเวช พูดว่า “หลายปีมานี้ข้าทุ่มเทบากบั่นเพื่อการสอบขุนนาง พวกท่านกลับไม่ให้ข้าเข้าสอบ ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไรอีก สู้ตายให้จบสิ้นไปเถอะ” พูดจบ เบือนหน้าโขกเข้ากับมุมโต๊ะสุดแรงเกิด
คนทั้งหมดไม่คิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย หวีดร้องขึ้นพร้อมกัน คิดจะห้ามเขาก็ไม่ทันแล้ว
ตอนที่เขาลุกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาผิดแปลกไป เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เห็นเขากำลังจะพุ่งปะทะกับมุมโต๊ะ ก็รีบยื่นมือดึงเขาไว้
เดิมเมิ่งเหรินคิดจะใช้ไม้ตายนี้ข่มขู่คนในครอบครัว จะให้พวกเขายอมประนีประนอม รับปากให้เขาเข้าสอบขุนนาง ตอนนี้ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเหนี่ยวรั้งไว้ แผนการในใจล้มเหลว พลันบันดาลโทสะ ยื่นมือออกไปตบใส่นางอย่างไร้เป้าหมาย ร้องคำราม “มายุ่งเรื่องของข้าทำไม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวต้องใช้พลังกำลังจำนวนมากเพื่อดึงรั้งเขา ไร้ซึ่งการป้องกันตัว มือที่ฟาดลงมาของเมิ่งเหรินตบเข้าที่ใบนางพอดี เสียง “เพี๊ยะ” ดังสนั่น ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงเห่อฉับพลัน
เมิ่งเหรินไม่คิดว่าจะตบโดน นิ่งงันอยู่ตรงนั้น
คนในห้องยังตกใจนิ่งอึ้งกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างฉับพลันนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวคลายมือ มองเมิ่งเหรินด้วยใบหน้ากระด้างเฉยชา
ภรรยาเมิ่งต้าจินตกใจร้องเสียงหลง ตรงเข้ามาตบหน้าเมิ่งเหริน แผดเสียงตำหนิ “เจ้าลงมือกับโยวเอ๋อร์ได้อย่างไร”
หญิงชราเมิ่งก็ได้สติกลับมาแล้ว เห็นรอยนิ้วมือทั้งห้าอย่างชัดเจนบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยื่นมือออกไปอย่างปวดใจ คิดจะสัมผัสกลับไม่กล้า
เมิ่งเอ้ออิ๋นโมโหร้องก่นด่า “เจ้าหลานอัปรีย์ กล้าลงมือทำร้ายคนในครอบครัว ออกไปคุกเข่าในลานบ้าน หากข้าไม่อนุญาตห้ามลุกขึ้น”
เมิ่งเหรินรู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์ ไม่กล้าโต้แย้ง ก้มหน้าเดินออกไปคุกเข่ากลางลานบ้าน
[1] หมายถึงการสอบเคอจวี่ระดับจิ้นซื่อผ่าน
ตอนที่ 159.3
บันดาลโทสะ
ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดอย่างรู้สึกผิด “โยวเอ๋อร์ ขอโทษนะ เพราะป้าไม่ได้สั่งสอนเขาให้ดี ทำให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดห้ามนาง “ป้าใหญ่ ไม่ต้องขอโทษ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นมองบุตรสาวตนเองอย่างร้าวระทมใจ ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในบ้าน มาหยุดตรงหน้าเมิ่งเหริน พูดราบเรียบ “พี่ใหญ่ ท่านโกรธแค้นที่ข้าบอกเรื่องของท่านกับคนในครอบครัว ทำให้ท่านเข้าสอบขุนนางไม่ได้ ข้าเข้าใจ แต่ท่านคิดบ้างหรือไม่ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้ ท่านปู่และลุงใหญ่เหตุใดต้องเช่นนี้? เราต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน หากท่านสอบได้ ข้าก็พลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย การค้าในภายหน้าของข้าก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล แต่ทำไมข้าต้องพาท่านกลับบ้านให้ได้ ท่านคุกเข่าอยู่ที่นี่แล้วคิดทบทวนให้ดี หากท่านคิดไม่ได้ ก็คุกเข่าตายอยู่ที่นี่ไปเถอะ”
พูดจบไม่แม้แต่จะบอกลาคนในบ้าน ก้าวอาดๆ ออกไปจากลานบ้าน
เมิ่งเสียนเห็นนางเดินออกไป ก็ไม่ได้บอกลาทุกคน ถลาตัวตามออกไป เร่งฝีเท้าจนตามเมิ่งเชี่ยนโยวทัน เดินกลับไปพร้อมนาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นลุกขึ้นยืน หันไปพูดกับสองผู้เฒ่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ข้ากลับก่อน”
พูดจบไม่รอให้ทั้งสองขานรับ ก็รีบเดินตามออกไป
เมิ่งต้าจินโมโหคว้าไม้กวาดอันหนึ่ง สาวเท้าเดินออกไป หวดเมิ่งเหรินที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ยั้ง ทั้งร้องก่นด่า “เจ้าลูกจัญไร ไม่แยกแยะถูกผิดก็ลงมือ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
แม้เมิ่งเหรินจะกระทำผิด แต่ก็เป็นหลานที่ตัวเองฟูมฟักมาแต่อ้อนแต่ออก เห็นเมิ่งต้าจินลงมืออย่างไม่ออมแรง หญิงชราเมิ่งปวดใจจนทนไม่ไหว รีบเดินออกไปข้างออก เข้าปกป้องเบื้องหน้าเมิ่งเหริน “เหรินเอ๋อร์ถูกลงโทษคุกเข่าแล้ว เจ้าไม่ต้องตีเขาแล้ว เขาเป็นคน ร่างกายอ่อนแอ หากเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
เมิ่งต้าจินเห็นมารดาเข้ามาขวางตรงหน้า จำใจยอมรามือ
เมิ่งอี้มองทั้งหมดนี้เงียบๆ ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับมาถึงบ้านมีเมิ่งเสียนเดินตามติดมาด้วยเงียบๆ ตลอดทาง เดินเข้าไปในห้องตัวเอง
เมิ่งชื่อที่รออย่างกระสับกระส่ายในห้อง ได้ยินเสียงจากข้างนอก รีบเดินออกมา เจอเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาพอดี เผยอปากจะซักถาม เมิ่งเสียนหันไปโบกมือให้นาง เมิ่งชื่อถามอย่างไม่เข้าใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งเสียนไม่พูด
ต่อมาเมิ่งเอ้ออิ๋นก็เดินเข้ามา เมิ่งชื่อร้อนใจถามเขา “พ่อเอ๊ย เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถอนหายใจ เดินเข้าไปในห้องตัวเอง
เมิ่งชื่อรีบเดินตามเข้าไป ว้าวุ่นใจถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นนั่งบนเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าลึก ถึงพูดเรื่องที่เมิ่งเหรินใช้เงินค่าแรงกว่าครึ่งปีของเมิ่งอี้ไปซื้อปิ่นปักผมให้คนที่เขาหมายปอง ทั้งยังปิดบังเรื่องที่ครอบครัวจัดพิธีหมั้นให้ รวมถึงเรื่องที่หลังจากเมิ่งจงจวี่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากเมิ่งเชี่ยนโยวก็โมโห ตำหนิสั่งสอนเขา เขากลับไม่สำนึกผิด เถียงเมิ่งต้าจินคอเป็นเอ็น ทำให้เมิ่งจงจวี่ยิ่งโกรธเกรี้ยว ไม่อนุญาตให้เขาเข้าร่วมการสอบขุนนางอีก
เมิ่งชื่อได้ยินก็ร้องอุทาน “ไม่อนุญาตให้เขาเข้าร่วมการสอบขุนนาง ท่านพ่อทำเช่นนี้เกินไปหรือไม่?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นส่ายหน้า “ครั้งนี้เหรินเอ๋อร์ทำเกินเหตุไปจริงๆ ได้ยินโยวเอ๋อร์บอกว่า ตอนที่นางตำหนิเหรินเอ๋อร์ปิดบังคนในครอบครัวให้จัดพิธีหมั้นหมายให้เขา เหรินเอ๋อร์กลับพูดว่าผู้ชายมีภรรยามากเป็นเรื่องปกติธรรมดา ท่านพ่อถึงได้บันดาลโทสะ ตัดสินใจไม่ให้เขาเข้าสอบขุนนาง”
เมิ่งชื่อถลึงตาโต “เหรินเอ๋อร์พูดเช่นนั้น?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า
เมิ่งชื่อพูดว่า “ถึงว่าท่านพ่อห้ามไม่ให้เขาเข้าสอบขุนนาง เด็กคนนี้ทำเกินไปแล้ว ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งซิ่วไฉยังไม่มี ก็คิดจะมีหลายภรรยาแล้ว หากได้สลักชื่อบนป้ายทอง จะไม่ยิ่งกระทำเรื่องเกินกว่านี้หรือ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “ท่านพ่อก็คงจะคิดเช่นนี้ ถึงยอมตัดสินใจเด็ดขาดแบบนี้ ไม่คิดว่าเหรินเอ๋อร์กลับโยนความผิดทั้งหมดมาที่โยวเอ๋อร์ บอกว่าโยวเอ๋อร์ทำให้เขาหมดอนาคต ตอนที่เขาจะโหม่งศีรษะเข้าหามุมโต๊ะฆ่าตัวตายถูกโยวเอ๋อร์ดึงรั้งเอาไว้ จึงหันกลับมาตบหน้าโยวเอ๋อร์”
เมิ่งชื่อได้ฟังถลึงตัวลุกขึ้น ร้องเสียงหลง “หันมาตบหน้าโยวเอ๋อร์ ตัวเองทำผิดเองยังจะตำหนิโทษคนอื่น เขามีสิทธิ์อะไร?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านพ่อลงโทษให้เขาคุกเข่าแล้ว เจ้าอย่าโมโหเลย”
เมิ่งชื่อพูดอย่างเคืองแค้น “แค่คุกเข่าก็พอหรือ คนไม่รู้จักสำนึกอย่างเขาสมควรตีสั่งสอนให้เข็ดหลาบ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดว่า “อย่างไร เขาก็ยังเป็นเด็ก โยวเอ๋อร์ยังไม่คิดหยุมหยิมกับเขา เจ้าเลิกโมโหได้แล้ว”
เมิ่งชื่อระงับสติอารมณ์ แล้วเดินออกไปข้างนอก พูดว่า “ข้าจะไปดูว่าโยวเอ๋อร์เป็นอย่างไร”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่ห้ามปราบ
เมิ่งชื่อเดินมาเคาะประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยว พูดขึ้น “โยวเอ๋อร์ แม่เอง เจ้าเปิดประตู ให้แม่ดูว่าหน้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงหน่ายแหนงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมา “ท่านแม่ ใบหน้าข้าไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็หายแล้ว ข้านอนแล้ว ท่านก็รีบนอนเถอะ”
เมิ่งชื่อรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากเปิดประตู จำต้องกลับมาที่ห้องตัวเอง
พอสองสามีภรรยาเมิ่งเข้าไปในห้อง เมิ่งเสียนก็กลับเข้าห้องตัวเอง นั่งบนเก้าอี้ไม่พูดไม่จา
เมิ่งอี้เซวียนถามเสียงแผ่ว “พี่ใหญ่ เรื่องพี่เมิ่งเหรินจัดการยากหรือ?”
เมิ่งเสียนมองเขา ริมฝีปากสั่นไหว กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งอี้เซวียนมองเขาเงียบๆ
เมิ่งเสียนถอนใจเบาๆ พูดว่า “อี้เซวียน โยวเอ๋อร์ถูกตบหน้า เจ้าไปดูหน่อยเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนอารามตกใจลุกพรวด เดินมาหน้าห้องเมิ่งเชี่ยนโยว เคาะประตูเบาๆ สองสามครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่าเป็นเมิ่งชื่อ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ท่านไปพักผ่อนเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปากพูดว่า “ข้าเอง”
ด้านในไม่มีเสียง
“เจ้าเปิดประตูเดี๋ยวนี้ ข้าจะดูว่าบาดแผลที่ใบหน้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เมิ่งอี้เซวียนพูด
น้ำเสียงระอาของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมา “ไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบไปนอน พรุ่งนี้ยังต้องไปโรงเรียนเรียนหนังสือ”
เมิ่งเหรินไม่ขยับ พูดว่า “เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ข้าเห็นใบหน้าเจ้าไม่เป็นอะไรข้าถึงจะกลับไปนอน”
ด้านในยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
เมิ่งอี้เซวียนข่มขู่นาง “หากเจ้าไม่เปิดประตู วันนี้ข้าจะยืนอยู่หน้าห้องเจ้าทั้งคืน”
น้ำเสียงฉุนเฉียวของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมา “เจ้าอยากยืนก็ยืนไป เหนื่อยตายข้าจะสมน้ำหน้าให้”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปากอีกครั้ง รวบรวมความกล้า เตะประตูห้องหลายครั้ง พูดว่า “เปิดประตู”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อได้ยินเสียงเอะอะสะดุ้งตกใจ รีบเดินออกมา เห็นเมิ่งอี้เซวียนกำลังเตะประตู เมิ่งชื่อรีบเข้าไปห้ามเขา “อี้เซวียน โยวเอ๋อร์อารมณ์ไม่ดี เจ้าอย่าเพิ่งรบกวนนางเลย”
เมิ่งอี้เซวียนพูดเสียงเบา “ท่านแม่ โยวเอ๋อร์มีเรื่องในใจควรจะระบายออกมา ไม่เช่นนั้นจะล้มป่วยเอาได้”
เมิ่งชื่อพูดอย่างลำบากใจ “แต่นิสัยโยวเอ๋อร์เจ้าก็รู้ดี หากว่านาง” พูดยังไม่ทันจบ ประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยวก็เปิดออก
เมิ่งชื่อสะดุ้งโหยง พูดทันควัน “โยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับคว้าคอเสื้อเมิ่งอี้เซวียน พูดอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าอยากถูกอัดใช่ไหม? ไม่บอกให้เร็วกว่านี้” พูดจบ ยกตัวเขาเดินออกไปด้านนอก
เมิ่งชื่อร้อนใจ รีบเดินตามหลังไปพูดโน้มน้าว “โยวเอ๋อร์ อย่าเพิ่งโมโห อี้เซวียนหวังดีกับเจ้า กลัวเจ้าเอาแต่เก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในใจแล้วจะป่วยเอาได้ เจ้าอย่าได้ลงมือลงไม้กับเขาเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้าเข้มไม่พูดอะไร กระชากเมิ่งอี้เซวียนเดินไปลานใหญ่
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ตกใจไม่น้อย รีบเดินไปขวางหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร? ปล่อยอี้เซวียนเดี๋ยวนี้”
เมิ่งอี้เซวียนส่งรอยยิ้มปลอบใจพวกเขาอย่างน่าเวทนา พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง โยวเอ๋อร์ไม่ทำอะไรข้าดอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดอย่างเกรี้ยวกราด “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องยุ่ง วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ให้รู้สำนึกให้ได้”
ตอนที่ 160.1
จัดการ
เมิ่งเสียนได้ยินเสียงเอ็ดตะโรวิ่งออกมา เห็นการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบวิ่งมาหาเมิ่งเชี่ยนโยว ร้อนรนพูด “น้องสาว ข้าเป็นคนบอกอี้เซวียนเรื่องเจ้าถูกตบหน้า ให้เขามาปลอบใจเจ้า หากเจ้ามีความอัดอั้นอะไร ก็มาระบายกับข้า อย่าได้ลงมือกับอี้เซวียนเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วกระชากคอเสื้อเมิ่งอี้เซวียนเดินไปลานใหญ่ ทั้งพูดว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่ก็อยู่ว่างๆ เช่นนั้นก็ตามมาเถอะ วันนี้ข้าจะได้ทดสอบว่าฝีมือพวกท่านเป็นอย่างไรกันบ้าง”
เมิ่งเสียนสาวเท้าเดินตามไป
สองสามีภรรยาเมิ่งเดินตามติดมาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องมาแล้ว เดี๋ยวจะทำพวกท่านบาดเจ็บไปด้วย”
เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้สะดุ้งกลัว พูดโน้มน้าว “โยวเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าอึดอัดคับแค้นใจ แต่นั่นเป็นเรื่องผิดที่เหรินเอ๋อร์ทำ เจ้าอย่าได้พาลมาลงกับพี่ใหญ่และอี้เซวียน หากเจ้าอัดอั้นตันใจจริงๆ พรุ่งนี้แม่จะไปคิดบัญชีกับเขาเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ต้อง เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราประลองกันสักยกก็หายแล้ว”
เมิ่งชื่อยิ่งทวีความเป็นกังวล เร่งฝีเท้าหมายจะตามพวกเขาให้ทัน เมิ่งเอ้ออิ๋นรั้งนางไว้ พูดเตือน “พวกเราอย่าเข้าไปเลย ข้าว่าวันนี้เสียนเอ๋อร์ก็คับแค้นใจไม่น้อย ให้พวกเขาสู้กันสักตั้งก็ดี”
เมิ่งชื่อหยุดฝีเท้า มองพวกเขาอย่างกลัดกลุ้มใจ
เดินมาถึงหน้าท่อนไม้ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงปล่อยเมิ่งอี้เซวียน ชักสีหน้าอึมครึม พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากล้าหาญเกินไปหน่อยแล้ว ถึงกับกล้าเตะประตูห้องข้า วันนี้ข้าจะอัดเจ้าจนกรีดร้องโหยหวน ให้เจ้าจำบทเรียนนี้ไม่มีวันลืม”
เมิ่งอี้เซวียนยืนอก มองนางอย่างแน่วแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกมองจนหัวใจสั่นไหว สะท้อนแววตา รีบพูดกลบเกลื่อน “ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? เข้ามาพร้อมกันทั้งสองคน”
เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเสียนสบตากัน แยกขาตั้งกระบวนท่า ออกอาวุธจู่โจมนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ่อนข้อให้ ออกอาวุธโต้กลับ
ผ่านไปสองเค่อ เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนฟุบไปกับพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือให้คนทั้งสอง “ลุกขึ้น สู้กันต่อ”
ทั้งสองเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ส่ายหน้าพร้อมกัน
ได้ต่อสู้อย่างสะใจหนึ่งยก สลัดความคับข้องขุ่นมัวในใจออกไปได้ไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง พูดอย่างจริงจังกับคนทั้งสอง “พวกเจ้าจำไว้ให้ดี หากข้ารู้ว่าภายหน้าพวกเจ้ามีความคิดจะมีหลายเมีย ข้าจะอัดพวกเจ้าให้ไม่มีวันลุกขึ้นได้อีก”
ทั้งสองลนลานพยักหน้า
เมิ่งชื่อคอยชะเง้อมองอยู่ไกลๆ เห็นเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนสู้จนกองไปกับพื้น รีบร้อนวิ่งเข้ามาดูอาการของคนทั้งสอง
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน พูดกับเมิ่งชื่อที่วิ่งเข้ามา “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ลงมือหนัก ท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เมิ่งชื่อเห็นทั้งสองไม่เหมือนเป็นอะไรมาก ก็วางใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ปลดปล่อยแล้ว อารมณ์ย่อมดีตามไปด้วย พูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน “ดึกมากแล้ว กลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้ามาฝึกวรยุทธ์อีก”
ทั้งสองถูกตีจนปวดแสบไปทั้งร่าง เดิมคิดจะพักผ่อนให้สบายสักคืน ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ต่างร้องโอดครวญออกมาพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยอมุมปาก กลับเข้าห้องตัวเองอย่างสบายอารมณ์
เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนค่อยๆ เดินกลับไป เมิ่งชื่อมองดูสภาพพวกเขา พูดอย่างอดไม่ได้ “ต่อไปถ้าพวกเจ้าเห็นโยวเอ๋อร์อารมณ์ขึ้นอีก อย่าได้ยั่วโมโหนางเด็ดขาด ดูสภาพน่าสังเวชของพวกเจ้าเถิด คาดว่าอีกหลายวันก็ยังไม่หายดี”
เมิ่งเสียนยิ้มพูด “ท่านแม่ การได้ประลองกับน้องสาวที่กำลังบันดาลโทสะเป็นเรื่องดี แม้พวกเราจะถูกตี แต่วรยุทธ์ของพวกเราก็ได้พัฒนาเร็วขึ้น คุ้มค่า”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าสนับสนุน
เมิ่งชื่อเห็นพวกเขาถูกตียังสุขใจเช่นนี้ ก็ให้คับข้องใจไม่คลาย
เช้าวันรุ่งขึ้น เหวินเปียวและเหวินหู่เข้ามาแต่เช้า จัดเตรียมรถม้า ออกมารอด้านนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนทั้งครอบครัว “วันนี้ข้าจะพาพวกเขาสองคนไปทำความคุ้นเคยเส้นทาง ต่อไปเรื่องรับส่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉจะได้มอบให้พวกเขา พวกเราจะได้ว่างไปทำเรื่องอื่น”
คนทั้งครอบครัวต่างรู้ว่าพวกเขามีวรยุทธ์ ไม่มีใครคัดค้าน มีเพียงเมิ่งเอ้ออิ๋นที่กำชับเมิ่งเชี่ยนโยว “ส่งคนเสร็จแล้วก็รีบกลับมา วันนี้ช่วงเช้าจะเริ่มก่อสร้างแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าทราบแล้ว ท่านพ่อ ส่งอี้เซวียนเสร็จจะรีบกลับมาทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนรวมถึงซุนเหลียงไฉขึ้นนั่งบนรถม้า เหวินเปียวบังคับรถ เหวินหู่นั่งอีกฝั่ง ค่อยๆ มุ่งหน้าเข้าเมือง
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ บอกคนทั้งสองว่าต้องไปอย่างไร เหวินเปียวจดจำอย่างตั้งใจ
ไม่นานรถม้าก็มาถึงหน้าโรงเรียน
เหวินเปียวจอดรถม้า เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉลงจากรถม้า เดินเคียงบ่ากันเข้าไปในโรงเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ “พอตอนเย็นเลิกเรียน พวกเจ้าคนหนึ่งเฝ้ารถม้า อีกคนไปรับพวกเขาหน้าประตู โดยเฉพาะซุนเหลียงไฉ พวกเจ้าต้องคุ้มกันเขาให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดเด็ดขาด”
ทั้งสองรับประกันหนักแน่น “นายหญิงวางใจ พวกเราจะคุ้มกันนายน้อยทั้งสองเป็นอย่างดี”
คุ้นเคยเส้นทางแล้ว ขากลับเหวินเปียวจึงบังคับรถม้าเร็วขึ้น ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงสถานที่ปลูกเรือนหลังใหม่
พิธีบวงสรวงยังไม่เริ่ม เมิ่งจงจวี่กำลังกล่าวความรู้สึก
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งอยู่อีกด้าน
เมื่อเมิ่งจงจวี่พูดจบ หยิบเสียมขึ้น ฟันฉับดินก้อนหนึ่งโยนไปบนที่ดิน คนทั้งหมดถึงลงมือทำการก่อสร้างอย่างเปรมปรีดิ์
โหย่วเหรินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวแต่แรกแล้ว พอพิธีบวงสรวงเสร็จสิ้น รีบเดินเข้ามา ร้องทักนางด้วยความยินดี “แม่นางเมิ่ง ข้าพาคนมาแล้ว ทั้งช่างใหญ่และคนงานจับกัง ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคนพอดี ท่านวางใจ ไม่เกินหนึ่งเดือน เรือนใหญ่นี้ก็จะสร้างเสร็จ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ขอบคุณท่านอาโหย่วเหริน ข้ายังพูดเหมือนเดิม เวลาก่อสร้างนานหน่อยไม่เป็นไร แต่ต้องรับประกันคุณภาพของเรือน”
มีคนตบหน้าอกรับประกัน “ไม่มีปัญหาแน่นอน ช่างใหญ่ที่ข้าหามาล้วนเป็นยอดฝีมือ ทำออกมาได้สวยงามไร้ที่ติ”
เมิ่งต้าจินก็เดินเข้ามา
โหย่วเหรินเห็นพวกเขามีเรื่องจะพูดกัน บอกลาคนทั้งสอง หันหลังไปควบคุมคนงานต่อ
ไม่รอให้เมิ่งต้าจินเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้น “ลุงใหญ่ ข้ายังจ้างคนอีกจำนวนมากมาแผ้วถางภูเขาร้างที่หมู่บ้านหลี่ ข้าต้องไปดูบ่อยๆ เรื่องสร้างบ้านต้องมอบให้ท่านแล้ว”
เมิ่งต้าจินพูด “เจ้ายุ่งเรื่องของเจ้าเถอะ เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทุ่มเทกำลัง เพียงแต่เรื่องของเหรินเอ๋อร์…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา “ลุงใหญ่ เรื่องในครอบครัวเรากลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ ที่นี่มากคนมากปาก หากเรื่องแพร่งพรายออกไปจะไม่ดี”
เมิ่งต้าจินจำต้องเงียบปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินกลับมาที่รถม้า สั่งเหวินเปียวเหวินหู่บังคับรถม้าไปภูเขาร้างหมู่บ้านหลี่
พอมาถึงตีนเขา เหวินเปียวจอดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขารอที่ตีนเขา ตัวเองขึ้นภูเขาร้างไปลำพัง
ผู้ใหญ่บ้านกำลังจดบันทึกคนที่ทำงานเสร็จแล้วอย่างแข็งขัน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดกับนางอย่างยินดี “แม่นางเมิ่ง เจ้ามาแล้ว มีหลายครอบครัวทำงานเสร็จแล้ว เจ้ามาดูก่อน พวกเขาทำได้มาตรฐานหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปยังที่ดินร้างที่แผ้วถางเสร็จแล้วเบื้องหน้าผู้ใหญ่บ้าน เริ่มจากดูระดับความสะอาดที่พวกเขาเก็บกวาด จากนั้นนั่งยอง ใช้มือวัดคร่าวๆ ถึงความหนาของดินที่พวกเขาพลิกขึ้นมา ลุกขึ้นยืน พูดกับผู้ใหญ่บ้านอย่างพึงพอใจ “ทำได้ดีมาก ตรงกับที่ข้าต้องการทุกประการ”
ผู้ใหญ่บ้านค่อยวางใจลง พูดว่า “ทุกแปลงที่แผ้วถางเสร็จ พวกเขาจะทำการตรวจวัดก่อน เมื่อคิดว่าได้มาตรฐานแล้ว ถึงจะให้ข้ามาลงบันทึก ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หากมีที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเล็กน้อย ก็จะให้พวกเขาทำใหม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน”
ผู้ใหญ่บ้านโบกมือ “เจ้าซื้อภูเขาร้าง ให้โอกาสทุกคนได้หาเงิน ทำให้คนทั้งหมดหมู่บ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยขจัดปัญหายากเข็ญนี้แทนข้า ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี มีเพียงการตรวจตราให้คนในหมู่บ้านแผ้วถางภูเขาร้างให้ดี ถึงจะตอบแทนน้ำใจเจ้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าซื้อภูเขาเพราะข้าต้องการ หาได้มาช่วยเหลืออะไรพวกท่านเป็นพิเศษไม่”
ภรรยาจางจู้นำน้ำร้อนขึ้นมาส่งพอดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย แย้มยิ้มพูด “ข้าเห็นรถม้าที่ตีนเขา ก็รู้ทันทีว่าเจ้ามา รอข้าส่งน้ำหาบนี้เสร็จ พวกเรากลับบ้านด้วยกัน เจ้าไม่มาหลายวัน ท่านยายบ่นอุบแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มตอบ “ท่านป้าใหญ่ วันนี้ข้าไม่ไปบ้านพวกท่านแล้ว วันนี้ที่บ้านเริ่มปลูกเรือนวันแรก ข้าจะต้องกลับไปควบคุมดูแล”
ภรรยาจางจู้รู้สึกผิดหวัง แต่ก็รู้ว่าปลูกเรือนเป็นเรื่องใหญ่ จะปล่อยปะไม่ได้ จึงไม่ดึงรั้งนาง
ชายสวมเสื้อผ้ามอซอคนหนึ่งเดินเข้ามา ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระวัง “แม่นางเมิ่ง พวกเราแผ้วถางเสร็จแล้วหนึ่งแปลง ท่านพอจะตัดเงินค่าแรงให้พวกเราก่อนได้หรือไม่ บ้านข้าแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าตนเองลืมพกเงินอีแปะติดตัวมาจ่ายค่าแรงให้คนที่จำเป็นใช้ จึงพูดกับชายหนุ่มอย่างรู้สึกผิด “ย่อมได้ ค่าแรงเป็นเงินเท่าใด?”
ชายหนุ่มมองผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเปิดสมุดบันทึกดู พูดว่า “ทั้งหมดสามร้อยห้าสิบอีแปะ”
ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมากเช่นนี้ แววตาปิติยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินหนึ่งตำลึงออกมา ส่งให้ชายหนุ่ม “วันนี้ข้าลืมนำเงินอีแปะมาด้วย นี่เป็นเงินหนึ่งตำลึง เจ้ารับไปก่อน”
ชายหนุ่มตกใจหุนหันโบกมือ “ไม่ๆๆ แม่นางให้ข้ามาไม่กี่สิบอีแปะก่อนก็ได้ ให้พวกเรามีพอซื้อเสบียงอาหารสำหรับสองวันก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดว่า “เจ้ารับเงินหนึ่งตำลึงนี้ไปก่อนเถอะ ซื้ออาหารกลับบ้านมากหน่อย กินให้อิ่มถึงจะมีแรงแผ้วถางภูเขาร้างได้มากขึ้น ถึงจะหาเงินได้มากขึ้น”
ชายหนุ่มยังคงไม่รับ พูดอย่างกระดากอาย “แต่เงินค่าแรงทั้งหมดของข้าเพียงแค่สามร้อยห้าสิบอีแปะเท่านั้น จะรับเงินท่านหนึ่งตำลึงได้อย่างไร? ไม่อย่างนั้นข้าไปขอยืมข้าวสารจากข้างบ้านมาก่อน เอาไว้ท่านมีเงินอีแปะเมื่อไหร่ค่อยมาจ่ายค่าแรงข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเกลี้ยกล่อมเขา “เงินหนึ่งตำลึงนี้นอกจากเงินค่าแรงเจ้า ส่วนที่เหลือถือว่าข้าให้เจ้ายืม แล้วจะค่อยๆ หักออกจากเงินค่าแรงเจ้า เจ้าไม่ต้องรู้สึกมีแรงกดดัน รีบรับเงินแล้วไปซื้ออาหารเถอะ”
ชายหนุ่มยังคงไม่กล้ารับ
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยปากพูด “รับไปเถอะ ครอบครัวเจ้าไม่ได้กินอิ่มท้องมาหลายวันแล้ว นำเงินนี้ไปซื้ออาหารกลับมามากหน่อย จะได้กินให้อิ่มหนำกันทั้งครอบครัว ส่วนเงินค่าแรงที่แม่นางเมิ่งให้เกินมา ข้าจะลงบันทึกไว้ ถึงตอนนั้นค่อยหักจากเงินค่าแรงเจ้า”
ในหมู่บ้านนี้ผู้ใหญ่บ้านมีบารมีค่อนข้างสูง ชายหนุ่มเห็นเขาพูดเช่นนี้ รับเงินมาอย่างรู้สึกไม่ดี โค้งคำนับให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ
ชายผู้นั้นถือเงินเดินยินดีไปตรงหน้าคนในครอบครัวที่ร่างกายผอบซูบใบหน้าเหลืองซีดไม่ไกลออกไป พูดบางอย่างสองสามคำ คนในครอบครัวก็ดีใจลิงโลด หลังจากที่ชายหนุ่มกำชับพวกเขาให้ทำงานอย่างตั้งใจ ก็รีบร้อนถือเงินลงไปซื้ออาหาร
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจแผ่ว พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางอย่าถือสา ครอบครัวพวกเขาลำบากแสนเข็ญจริงๆ มีผู้เฒ่าชรานอนเป็นผักอยู่บนเตียงแรมปี ก่อนหน้านี้ยายเฒ่าก็เพิ่งล้มป่วยหนัก สิ่งของที่พอจะขายได้ก็เอาไปขายจนหมด ถึงพอจะยื้อชีวิตกลับมาได้ ตอนนี้ยังคงพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน แม้ลูกๆ พวกเขาจะรู้ความ แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ออกไปทำงานไม่มีใครต้องการ เรื่องในบ้านนอกบ้านล้วนพึ่งพาเงินค่าแรงเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาบากบั่นเข้าเมืองไปทุกวัน ปกติครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้อ คงเพราะสองสามวันมานี้เอาแต่แผ้วถางภูเขาร้าง ไม่ได้ตัดเงินทันที ไม่มีเงินไปซื้ออาหาร ถึงต้องมาเอ่ยปากขอเงินค่าแรงจากแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เรื่องนี้ข้าผิดเอง เดิมข้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว บ้านไหนแผ้วถางเสร็จหนึ่งแปลง อยากจะรับเงินค่าแรง สามารถตัดจ่ายให้ได้ทันที แต่สองสามวันมานี้ยุ่งมาก ข้าลืมไปเสียสนิท พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำมามากหน่อย รบกวนท่านบอกคนในหมู่บ้านด้วย หากยังมีบ้านไหนลำบาก พรุ่งนี้ให้มาตัดเงินกับลุงใหญ่ข้า”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า พูดซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นางเมิ่ง ประเดี๋ยวข้าจะนำข่าวดีนี้ไปบอกทุกคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกภรรยาจางจู้ แล้วเดินไปดูภูเขาร้างลูกอื่นๆ พร้อมผู้ใหญ่บ้าน จางจู้และจางเกินเห็นนางก็ดีใจ ให้นางตรวจดูเล็กน้อย ว่าคนงานแผ้วถางภูเขาร้างได้ตรงตามหลักเกณฑ์หรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เมื่อครู่ข้าตรวจสอบแปลงหนึ่งแล้ว ทำตรงตามความต้องการที่ข้าบอกทั้งหมด ข้าวางใจแล้ว ที่เหลือข้าจะไม่ตรวจสอบอีก พวกท่านกับผู้ใหญ่บ้านทำงาน ข้าวางใจ”
คนที่เหลือเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเชื่อใจพวกเขาเช่นนี้ เริ่มรู้สึกฮึกเหิม แอบตัดสินใจ ต่อไปจะตรวจสอบให้ละเอียดกว่านี้ จะต้องไม่ทำให้ความเชื่อใจของแม่นางเมิ่งที่มีต่อพวกเขาต้องสูญเปล่า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับจางจู้ “ท่านลุงใหญ่ พรุ่งนี้ข้าจะส่งเงินอีแปะมาให้ ใครอยากตัดเงินค่าแรงเข้ามาได้ทุกเมื่อ”
จางจู้พยักหน้าพูด “ท่านตาท่านยายเจ้าอยู่บ้านทุกวัน พรุ่งนี้เจ้าให้คนนำเงินอีแปะส่งไปที่บ้าน ที่นี่งานยุ่ง ข้าจะได้ไม่ต้องกลับบ้านไปอีกรอบ เจ้าจำตัวเลขมาให้ดีก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะรับคำ
เหวินเปียวและเหวินหู่รอที่เชิงเขามาตลอด เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เหวินหู่เลิกม่านบังรถออกอย่างอ่อนน้อม ให้เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถ
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนข้างรถ พูดกับคนทั้งสอง “ข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นคนรับใช้ ดังนั้นเรียนทำนองนี้นอกจากข้าสั่ง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอีก”
เหวินหู่เงยหน้ามองนางอย่างตกใจแวบหนึ่ง แล้วรีบก้มหัวขานรับอย่างนอบน้อม “ทราบแล้ว แม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนรถม้า สั่งการพวกเขา “ไปที่พักของพวกเจ้า ข้าจะดูว่าอาหารกลางวันตระเตรียมไปถึงไหนแล้ว”
ทั้งสองขานรับอย่างนบนอบ บังคับรถม้าตรงมาถึงบ้านหลี่ต้าฉุย
เมิ่งฉีและเมิ่งเสียวเถี่ยซื้อผักของวันนี้กลับมาแล้ว ภรรยาเมิ่งต้าจินนำผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสาละวนกับการเตรียมทำกับข้าว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดขึ้นทันที “โยวเอ๋อร์ โชคดีที่เจ้าหาคนเข้ามาช่วย ไม่เช่นนั้นอาหารเที่ยงวันนี้ทำออกมาไม่ทันเป็นแน่”
เดิมทีภรรยาเมิ่งต้าจินไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาปลูกเรือนมากเช่นนี้ จึงให้เมิ่งฉีไปหาหญิงสาวสี่คนเข้ามาทำอาหาร แค่พวกเขาไม่กี่คนนี้ อย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แค่หุงข้าวก็ทำไม่ทันแล้ว โชคดีได้ภรรยาของเหวินเปียว เหวินหู่และเหวินเป้ามาช่วย จนถึงตอนนี้ถึงยังไม่วุ่นวายมาก
ได้ยินคำพูดภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งฉีที่อยู่อีกด้าน ขยี้หัว หันไปยิ้มให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเก้อเขิน
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง แย้มยิ้มพูด “ท่านป้าใหญ่ พวกท่านคนเพียงเท่านี้ยังไม่พอ พอตกบ่ายท่านต้องหาคนอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาช่วยทำอาหาร”
ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้าพูด “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แค่พวกเราไม่กี่คนเหนื่อยเกินไป ผ่านไปนานเข้าจะต้องทำไม่ไหว ข้าคิดไว้แล้วว่าจะชวนใครมา ตอนบ่ายจะลองไปถามดู ว่าพวกเขายินดีมาหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พี่รองไม่รู้อะไรเลย เรื่องนี้ให้ป้าใหญ่เป็นคนตัดสินใจก็พอ”
เมิ่งฉีได้แต่หัวเราะแหะๆ อยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “พี่รอง ท่านลงทะเบียนคนที่มาทำงานในวันนี้หมดแล้ว?”
เมิ่งฉีตะลึงเล็กน้อย ถามขึ้น “เรื่องลงทะเบียนก็เป็นหน้าที่ข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ไม่เช่นนั้นเล่า?”
เมิ่งฉีแคลงใจ “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ลุงใหญ่ไม่ใช่หรือ? ตอนที่ครอบครัวเราปลูกเรือนลุงใหญ่เป็นคนลงทะเบียน”
“ตอนนี้ลุงใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้าน คนในหมู่บ้านมีเรื่องอะไรก็จะมาหาเขา แล้วไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อยของการปลูกเรือน ก็ต้องพึ่งพาเขา ท่านคิดว่าเขายังจะมีเวลาลงทะเบียนหรือ?”
เมิ่งฉีขยี้หัว พูดอย่างลำบากใจ “แต่ทุกเช้าข้าต้องไปซื้อผัก จะเอาเวลาที่ไหนมาลงทะเบียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านหาคนมาช่วยสิ”
เมิ่งฉียิ่งลำบากใจ “พี่ใหญ่ยุ่งเรื่องโรงงาน อี้เซวียนต้องไปโรงเรียน ข้าจะไปหาคนที่ไหนมาช่วย?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เหวินซงบุตรชายคนโตของเหวินเปียวที่กำลังช่วยเด็ดผัก พูดกับเขา “นั่นมิใช่ผู้ช่วยที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วหรือ?”
เมิ่งฉีเข้าใจพลัน สาวเท้าเดินไปตรงหน้าเหวินซงถามขึ้น “เจ้ารู้หนังสือหรือไม่?”
เหวินซงปีนี้อายุสิบสามปี ต้องประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวในชั่วข้ามคืน จากนายน้อยสำนักคุ้มภัยที่ใครก็รักใคร่กลายเป็นทาสหลวง แล้วกลายมาเป็นคนรับใช้ จิตใจหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาตลอด ได้ยินเมิ่งฉีถามเขา รีบลุกขึ้นยืนแล้วตอบอย่างนบนอบ “ข้ารู้หนังสือ นายน้อย”
คนโดยรอบได้ยินคำเรียกแปลกประหลาดของเขา ต่างเงยหน้ามอบเขาอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งฉีก็ไม่คิดว่าเขาจะขานเรียกตัวเองเช่นนี้ ชะงักเล็กน้อย แล้วขยี้หัวพูดว่า “เมื่อเจ้ารู้หนังสือ ก็ตามข้ามาลงบันทึกจำนวนคนที่มาปลูกเรือนเถอะ”
เหวินซงรับคำอย่างอ่อนน้อม “ขอรับ นายน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว
เมิ่งฉีขยี้หัวเก้อเขินอีกครั้ง พาเหวินซงไปยังสถานที่ลงทะเบียนปลูกเรือน
ตอนที่ 160.2
จัดการ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองผู้คนในลานบ้าน นอกจากผู้หญิงที่ชวนมาทำงานและหลี่ต้าฉุยและภรรยา ที่เหลือเป็นครอบครัวของเหวินเปียวที่เข้ามาช่วยงาน ไม่เพียงแค่ภรรยาพวกเขา แม้แต่ลูกๆ ต่างก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง แม้แต่เด็กน้อยอายุสี่ห้าขวบสองคนที่เป็นลูกเหวินเป้าและเหวินหู่ เหมือนก็จะรู้สถานภาพของตนเองในตอนนี้ ต่างคอยช่วยเด็ดผักอยู่ข้างผู้ใหญ่เงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือให้เด็กน้อยทั้งสองคน ยิ้มแล้วพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าสองคนมาทางนี้หน่อย”
เด็กน้องทั้งสองอิงแอบมารดาของตัวเองอย่างหวาดกลัว
ภรรยาเหวินหู่และภรรยาเหวินเป้าพูดเสียงเบา “นายหญิงเรียกพวกเจ้า รีบเข้าไปหาเถอะ”
เด็กน้อยทั้งสองเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสั่นกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง แย้มยิ้มถามพวกเขา “พวกเจ้าชื่ออะไร?”
เด็กชายที่โตกว่าตอบก่อน “ข้าชื่อเหวินจง”
เด็กหญิงที่ตัวเล็กกว่าตอบด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ “ข้าชื่อเหวินจิ้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยน้ำเสียงละมุน “พวกเจ้าตามข้าไปเล่นดีไหม?”
เหวินจงและเหวินจิ้งมองบิดามารดาตัวเองอย่างหวาดกลัว
ภรรยาเหวินเป้าไม่วางใจ พูดอย่างระวัง “นายหญิง จิ้งเอ๋อร์ยังไม่รู้ความ ให้นางอยู่ข้างข้า ให้ข้าดูแลนางเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “อีกประเดี๋ยวพวกเจ้ายังต้องทำอาหาร ไม่มีเวลาดูแลพวกเขา ข้าจะพาพวกเขาไปที่บ้านข้า ให้พวกเขาเล่นกับเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ พอพวกเจ้าเสร็จงาน ไปรับพวกเขากลับมาก็ได้แล้ว”
ภรรยาเหวินเป้าได้ฟังก็วางใจ พูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณนายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขึ้นรถม้า พาเด็กน้อยทั้งสองเดินกลับบ้าน เหวินเปียวและเหวินหู่จูงรถม้าเดินตามหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปพูดกับเด็กน้อยทั้งสองไป
เหวินจิ้งและเหวินจงเริ่มแรกยังระแวดระวัง ตอบกลับนางอย่างสุภาพนบนอบ ผ่านไปครู่หนึ่งพอเริ่มคุ้นเคยกับนาง เริ่มมีความกล้า สะบัดมือนาง วิ่งไล่ไปตามท้องถนน
เหวินหู่คิดจะห้ามปราบพวกเขา เหวินเปียวรั้งเขาไว้ พูดเสียงเบา “ช่วงที่ผ่านมาเด็กๆ ตกใจเสียขวัญ ตอนนี้เพิ่งจะได้คลายลงบ้าง เจ้าอย่าตำหนิพวกเขาเลย เชื่อว่านายหญิงก็คงไม่ตำหนิโทษพวกเขา”
เหวินหู่มองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางยิ้มตาหยีมองเหวินซงและเหวินจิ้ง ก็วางใจลง
เมิ่งเชี่ยนโยวพาพวกเขากลับมาบ้าน เห็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่ในลานบ้าน กวักมือเรียกพวกเขามา พูดกับคนทั้งสอง “นี่คือเหวินจิ้งและเหวินจง พ่อแม่พวกเขากำลังทำงานยุ่ง ไม่มีเวลาดูแลพวกเขา พวกเจ้าพาพวกเขาไปเล่นด้วยกันเถอะ”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงมองประเมินเหวินซงและเหวินจิ้งอย่างประหลาดใจ
เหวินซงและเหวินจิ้งอิงแอบเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความสั่นกลัว
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงต่างยื่นมือออกมาคนละข้าง แยกกันจับมือเด็กน้อยทั้งสอง พูดอย่างเริงร่า “พวกเราจะสอนพวกเจ้าเล่นแมลงปอไม้ไผ่นะ”
ตอนที่เหวินซงและเหวินจิ้งเดินพ้นประตูเข้ามาก็เห็นพวกเขากำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่ เอาแต่มองพวกเขาอย่างอิจฉา ตอนนี้ได้ยินพวกเขาบอกว่าจะสอนตัวเองเล่น ก็ดีอกดีใจ ตามพวกเขาไปเล่นกลางลานบ้านอย่างมีความสุข
เมิ่งชื่อเดินออกมาจากในบ้าน เข้ามาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างร้อนใจ “เมื่อครู่ปู่เจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง บอกว่ามีเรื่องกับเจ้า นั่งสักประเดี๋ยวเห็นเจ้ายังไม่กลับมา จึงกลับบ้านไปก่อน บอกว่าพอเจ้ากลับมาให้ตามไปเรือนใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้วท่านแม่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมิ่งชื่อพูดอย่างเป็นกังวล “ท่านปู่คงไม่ได้มาหาเจ้าเพราะเรื่องเหรินเอ๋อร์หรอกนะ ไม่ได้ แม่ต้องตามเจ้าไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ไม่ต้องแล้ว ท่านแม่ ข้าไปเองก็พอ ไม่มีอะไรดอก”
เมิ่งชื่อไม่วางใจ จะตามไปให้ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวจำต้องพูดว่า “หากท่านไม่วางใจ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่ พวกเราไปด้วยกันน่าจะได้แล้วนะ?”
เมิ่งชื่อครุ่นคิด พยักหน้าเห็นชอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวไปหาเมิ่งเสียนที่โรงงานกุนเชียง ให้เขาตามตัวเองไปเรือนใหญ่
เมิ่งเสียนไม่พูดพร่ำทำเพลง ถอดชุดทำงานออก ล้างมือล้างไม้ แล้วมายังเรือนใหญ่พร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
เมื่อคืนวานพอครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับไป เมิ่งจงจวี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงสั่งให้เมิ่งเหรินคุกเข่าในลานบ้านทั้งคืน หญิงชราเมิ่งที่หลังจากรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด ก็โมโหขุ่นเคือง ไม่สนใจไยดีเขาอีก
เมิ่งเหรินคุกเข่าได้ค่อนคืนก็ทนไม่ไหว เอาแต่ร้องฟูมฟายเว้าวอน
เมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งต้าจินและภรรยารวมถึงเมิ่งอี้และเมิ่งเสียวเถี่ยที่เดิมก็ยังไม่นอน ได้ยินเสียงร้องอ้อนวอน ต่างคลุมเสื้อลุกขึ้น
เมิ่งจงจวี่ให้เมิ่งต้าจินเรียกเมิ่งเหรินกลับเข้าห้อง เมิ่งเหรินหนาวจนสั่นไปทั้งตัว คุกเข่าขอร้องตรงหน้าเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าทำเช่นนี้แล้ว ท่านให้อภัยข้าเถอะ”
เมิ่งจงจวี่ถามเสียงเข้ม “เจ้าผิดที่ตรงไหน?”
เมิ่งเหรินคุกเข่ามาค่อนคืน ไม่เหลือความหึกเหิมลำพองใจนั้นแล้ว ร้องไห้สะอื้นพูด “ข้าไม่ควรทำเพื่อหน้าตา ใช้เงินค่าแรงที่น้องรองลำบากหามากว่าครึ่งปีจนหมด ข้ายิ่งไม่ควรมีความคิดมากภรรยา ด้านหนึ่งท่านพ่อท่านแม่ช่วยจัดงานหมั้นให้ข้า อีกด้านไปมีความสัมพันธ์กับพวกนักต้มตุ๋น ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ท่านปู่อภัยให้ข้าเถอะ”
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาตกตะกอนความผิดของตัวเองได้จริงๆ แล้ว โทสะในใจสลายไปได้บ้าง แผดเสียงพูด “เมื่อเจ้ารู้ว่าตัวเองผิดที่ตรงไหนแล้ว เจ้าพูดมาสิว่าเจ้าควรทำอย่างไร?”
เมิ่งเหรินตอบ “ต่อไปข้าจะแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต ไม่ถูกใครยั่วเย้า ไม่กระทำเรื่องผิดพลาดอีก และข้ารับประกันภายหน้าจะแต่งอิงจื่อเป็นภรรยาเพียงคนเดียว ไม่ว่ายากดีมีจนก็จะไม่มีวันทอดทิ้งนาง”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้าพอใจ “ดูท่าที่เจ้าคุกเข่ามาค่อนคืนจะไม่เสียเปล่า คิดตกแล้วจริงๆ เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ครอบครัวเราจะเริ่มปลูกเรือน เจ้ากับอี้เอ๋อร์ไปช่วยพ่อเจ้าตรวจตราที่นั่นด้วยกันเถอะ”
เมิ่งเหรินส่ายหน้า คลานเข่าไปหลายก้าว จับชายเสื้อเมิ่งจงจวี่คร่ำครวญขอร้อง “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ท่านเมตตาข้าสักครั้ง ให้ข้ากลับไปเรียนหนังสือ ข้าขอสาบานต่อฟ้า ปีนี้ข้าจะต้องสอบซิ่วไฉได้ เป็นเกียรติให้แก่วงศ์สกุล”
เดิมเมิ่งจงจวี่นึกว่าเมิ่งเหรินจะปลงตกแล้ว ยังรู้สึกปลาบปลื้มใจ คิดว่าการอบรมสั่งสอนที่ผ่านมาหลายปีของตัวเองไม่เสียเปล่า เขาเพียงแค่ไม่ได้สติไปชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ได้รุนแรงเหมือนที่ตนเองคิด ไม่คิดว่าเขายังจะดึงดันไม่ได้สติ เอาแต่คิดจะไปสอบขุนนาง โทสะพลุกพล่านอีกครั้ง พูดอย่างแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องสอบซิ่วไฉแล้ว ข้าและพ่อเจ้าตัดสินใจให้เจ้าไปทำไร่ไถนา เจ้าล้มเลิกความคิดนี้ ทำตัวให้ดีอยู่ที่บ้านเถอะ”
เมิ่งเหรินคุกเข่ามาค่อนคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว สิ่งเดียวที่ค้ำยันเขาไว้ก็คือหลังจากยอมรับผิดตนเองจะยังได้กลับไปเรียนต่อ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งจงจวี่ตัดสินใจแบบนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง โมโหกรีดร้อง “เพราะข้ากระทำผิดเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ พวกท่านก็ไม่ยอมให้ข้าเข้าสอบขุนนาง พวกท่านทำเกินไปแล้ว ฟังข้าให้ดี วันนี้หากพวกท่านไม่ยอมให้ข้ากลับไปเรียน ข้าจะคุกเข่าจนตายต่อหน้าพวกท่าน”
เห็นเขากล้าข่มขู่ตัวเอง เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าหวดเขาเต็มแรง “ไป ไสหัวไป คุกเข่าจนตายก็ไม่ต้องเข้ามา”
เมิ่งเหรินลุกพรวด เดินกลับไปลานบ้านตั้งตัวตรงคุกเข่าอีกครั้ง
หญิงชราเมิ่งเห็นท่าทีดื้อรั้นของเขา เจ็บปวดรวดร้าวใจ หมายจะพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งจงจวี่ “ตาเฒ่า เหรินเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว เจ้าก็อภัยให้เขาสักครั้งเถอะ ให้เขาเข้าสอบขุนนาง หากเขาสอบได้จริงๆ สกุลเมิ่งของเราก็จะพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วยไม่ใช่หรือ”
เมิ่งจงจวี่พูดเกรี้ยวกราด “เจ้าคิดแต่ว่าพอเขาสอบได้ จะนำมาชื่อเสียงเกียรติยศมาให้สกุลเมิ่ง แต่เจ้าคิดบ้างหรือไม่ ด้วยจิตใจของเขา หลังจากได้รับราชการ หากสะกดใจต่อสิ่งยั่วยุไม่ได้ จะนำหายนะมาสู่ครอบครัวพวกเรากระทั่งถูกฆ่าล้างโคตร”
หญิงชราเมิ่งตกใจตัวโยน ถามอย่างตื่นตกใจ “รุนแรงเช่นนั้นเลย?”
เมิ่งจงจวี่ตอบ “เจ้าคิดว่าโยวเอ๋อร์เรียกเขากลับมาเพียงเพราะเรื่องที่เขาใช้จ่ายเงินไม่กี่ตำลึงเท่านั้นหรือ? นั่นเพราะนางมองทะลุจิตใจของเหรินเอ๋อร์ เขาภายหน้าเขาจะนำพาหายนะมาสู่พวกเราทั้งครอบครัว ถึงต้องกันไว้ก่อน นำตัวเขากลับมา เด็กคนนั้นมักจะเดินหนึ่งก้าวคิดไปอีกสามก้าวเสมอ คอยปูทางในอนาคตข้างหน้าไว้ให้สกุลของพวกเราเป็นอย่างดี พวกเราจะเป็นภาระของนาง ให้เจ้าหลานอัปรีย์นี้กลับไปอีกได้อย่างไร”
สิ้นเสียงเขา ภายในห้องเงียบสงัด
ครู่ใหญ่ถึงมีเสียงถอนหายใจยาวของหญิงชราเมิ่งดังขึ้น “เสียแรงที่ข้ามีอายุมาถึงปูนนี้ ยังมองอะไรไม่ขาดสู้เด็กคนหนึ่งยังไม่ได้ ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งแล้ว พวกเจ้าจะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินเดิมก็คิดจะขอร้อง ได้ยินคำพูดเมิ่งจงจวี่ จำต้องกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นลงไป
เมิ่งต้าจินถอนหายใจยาว เสียใจที่ในอดีตตัวเองเอาแต่ใช้ชีวิตลอยชายไปวันๆ ไม่สั่งสอนอบรมลูกให้ดี ทำให้ตอนนี้เขากระทำผิดแล้วก็ยังสำนึกไม่ได้ ทำลายอนาคตตัวเอง
เมิ่งเหรินคุกเข่าในลานบ้านหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งฟ้าสางถึงทนต่อไปไม่ไหว ร่างหดห่อนอนแน่นิ่งไปกับพื้น
ภรรยาเมิ่งต้าจินที่ไม่ได้นอนทั้งคืน เอาแต่ตะแคงหูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก ตอนที่ฟ้าใกล้สางรู้สึกด้านนอกไม่มีเสียงแล้ว ตกใจรีบคลุมเสื้อลงจากเตียง ออกมาดูที่ลานบ้าน กลับเห็นเมิ่งเหรินเหนื่อยล้านอนฟุบไปกับพื้น ปวดใจเข้าไปเอาผ้าห่มให้เขา ค่อยๆ คลุมร่างให้เขา
คนในเรือนใหญ่แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เมิ่งจงจวี่ก็ลุกขึ้นมาแต่เช้า เปิดประตูบ้าน เห็นเมิ่งเหรินนอนหลับมีผ้าห่มปกคลุมร่าง พลันโมโหฉุนเฉียว ก้าวเท้าเดินไปเลิกผ้าห่มออก ก่นด่า “เจ้าเด็กไม่รู้สำนึก ยังกล้านอนหลับอีก?”
เมิ่งเหรินไม่ขยับ
เมิ่งจงจวี่ใช้ไม้เท้าตีเขา “รีบลุกขึ้นมาคุกเข่า”
เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่ขยับ
เมิ่งจงจวี่ทวีความเกรี้ยวกราด ใช้ไม้เท้าตีเขาอีกหลายที เมิ่งเหรินยังคงไม่ขยับเขยื้อน
เมิ่งจงจวี่ถึงรู้สึกถึงความผิดปกติ ตะโกนร้องเรียก “จินเอ๋อร์ เข้ารีบออกมาดู เหรินเอ๋อร์เป็นอะไรไปแล้ว?”
เมิ่งต้าจินได้ยินเสียงรีบวิ่งออกมา เห็นเมิ่งเหรินดวงตาปิดสนิท ใบหน้าแดงเรื่อ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น รีบย่อตัวลง แตะหน้าผากเขา แหงนหน้าพูดกับเมิ่งจงจวี่อย่างร้อนรน “ท่านพ่อ เหรินเอ๋อร์จับไข้แล้ว”
แม้เมิ่งเหรินจะกระทำความผิดร้ายแรง เมิ่งจงจวี่แทบอยากจะตีเขาให้ตาย แต่พอได้ยินว่าเขาจับไข้มือไม้ก็สั่น ร้องคำรามใส่เมิ่งต้าจิน “ยังไม่รีบไปตามหมอมา”
เมิ่งต้าจินลุกพรวดแล้ววิ่งออกไป
เมิ่งจงจวี่หันไปตะโกนบอกคนในบ้าน “สะใภ้ต้าจิน อี้เอ๋อร์ เหรินเอ๋อร์จับไข้ พวกเจ้ารีบมาประคองเขาเข้าไปในบ้าน”
ภรรยาเมิ่งต้าจินลนลานวิ่งออกมาจากในบ้าน เห็นบุตรชายแน่นิ่งไม่ได้สติ น้ำตาก็ไหลเป็นทางทันที เมิ่งอี้ก็ตามติดออกมา เห็นสภาพเมิ่งเหริน รีบเข้าไปอุ้มเขาเข้ามาในบ้าน
หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงร้องเอ็ดตะโรของเมิ่งจงจวี่ ก็เดินเข้ามาในห้องเมิ่งเหริน มองดูสภาพเมิ่งเหริน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลเป็นสายเช่นกัน
เมิ่งจงจวี่เอ็ดนาง “เหรินเอ๋อร์เพียงแค่จับไข้ ไม่ได้ใกล้ตาย เจ้าจะร้องคร่ำครวญหาอะไร?”
หญิงชราเมิ่งเช็ดน้ำตาแล้วตำหนิเขา “ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้ว เหรินเอ๋อร์สุขภาพอ่อนแอ เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้เหรินเอ๋อร์จับไข้แล้ว เจ้าดีใจแล้วสิ”
เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าเคาะขยี้พื้น “เหลวไหลทั้งเพ เหรินเอ๋อร์จับไข้ทำไมข้าต้องดีใจด้วย?”
เมิ่งเสียวเถี่ยเดินลากขาเข้ามา พูดเตือน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว คงเพราะเมื่อคืนวานเหรินเอ๋อร์ตากลมหนาวถึงได้จับไข้ รอหมอมาจัดยาให้ พวกเราต้มยาให้เขาดื่ม ก็น่าจะหมดเรื่องแล้ว”
สองผู้เฒ่าไม่พูดอะไรอีก
หมอตะลีตะลานตามเมิ่งต้าจินเข้ามา ทำการจับชีพจรให้เขาแล้วพูดว่า “คนไข้เพียงแค่ได้รับลมเย็น ปัญหาไม่รุนแรง ออกยาให้สองสามขนาน พวกท่านต้มยาให้เขาดื่มพอเหงื่อออกก็จะหายเอง”
คนในห้องต่างถอนใจโล่งอก ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าวขอบคุณหมอไม่หยุด
หมอเขียนใบสั่งยา ให้เมิ่งต้าจินรีบไปจัดยา
เมิ่งอี้รับใบสั่งยามาพูดว่า “ให้ข้าเถอะ ข้าวิ่งไปกลับจะยังเร็วกว่า”
เมิ่งต้าจินพยักหน้า เมิ่งอี้วิ่งทะยานออกไป
หมอกำชับอีกสองสามคำ ถึงลุกขึ้นจากไป
เมิ่งเสียวเถี่ยเดินลากขาไปส่งเขาถึงนอกประตู
หมอมองเมิ่งเสียวเถี่ยอย่างเวทนา แล้วถอนใจสะพายกระเป๋ายาจากไป
ไม่นานเมิ่งอี้ก็จัดยากลับมา ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบไปต้มยา เมิ่งต้าจินและเมิ่งอี้นำมาให้เมิ่งเหรินกิน
ไม่นานเท่าไหร่ เมิ่งเหรินก็เหงื่อออกไปทั้งตัว ใบหน้าแดงฝาดจางหายไป ลมหายใจค่อยๆ เข้าสู่สภาวะปกติ
ทุกคนถอนใจโล่งอก
ภรรยาเมิ่งต้าจินกำชับเมิ่งอี้ให้ดูแลเมิ่งเหรินให้ดี ตนเองจะไปทำอาหารเช้า
เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งก็กลับเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้อง
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ก็สายมากแล้ว เมิ่งต้าจินพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านพ่อ โมงยามนี้แล้ว คาดว่าคนงานปลูกเรือนคงจะมากันแล้ว พวกเรารีบไปเถอะ”
เมิ่งจงจวี่ลุกขึ้น เมิ่งต้าจินประคองเขาเดินออกไป เมิ่งเสียวเถี่ยตามหลังไป
หญิงชราเมิ่งพูดกับภรรยาเมิ่งต้าจิน “สะใภ้ต้าจิน เจ้าก็รีบไปเถอะ งานในบ้านข้าเก็บกวาดเอง”
ภรรยาเมิ่งต้าจินจึงผลุนผลันตามไป
คนทั้งหมดมองดูสถานที่ปลูกเรือน คนงานมาถึงกันแล้วจริงๆ เมิ่งจงจวี่พักเล็กน้อย กล่าวคำขอบคุณทุกคนในที่นั้นหนึ่งบท ถึงจับยามดูฤกษ์ดีเริ่มพิธีบุกเบิกที่ดินลงมือก่อสร้าง
หลังจากเสร็จพิธี คนทั้งหมดก็เริ่มลงมือปลูกเรือน การทำงานเป็นไปอย่างคึกคัก กระฉับกระเฉง หลังจากเดินวนหนึ่งรอบ เมิ่งจงจวี่เห็นว่าไม่มีเรื่องของตัวเองแล้ว จึงบอกเมิ่งต้าจินแล้วค่อยๆ เดินกลับบ้าน
พอคนทั้งหมดไป หญิงชราเมิ่งเก็บกวาดเรียบร้อย ก็เดินเข้ามาในห้องเมิ่งเหริน เห็นเมิ่งอี้คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
หลังจากนั้นราวสองเค่อได้ อยู่ๆ เมิ่งเหรินก็หายใจกระหืดกระหอบ สีหน้ากลับมาแดงฝาดอีกครั้ง
หญิงชราเมิ่งตื่นตกใจ รีบบอกให้เมิ่งอี้ไปตามหมอมาใหม่
เมิ่งอี้ก็ตกใจมาก ก้าวขาวิ่งไปบ้านหมอทันที แม้แต่เมิ่งจงจวี่ที่เดินมาเกือบจะถึงหน้าประตูบ้านแล้วก็ไม่สนใจทักทาย
เมิ่งจงจวี่มองเขาลนลานจากไป รู้ทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเมิ่งเหริน รีบเดินเข้าไปในบ้าน เห็นสภาพเมิ่งเหรินกลับไปเป็นเหมือนเมื่อตอนเช้า ถามอย่างว้าวุ่นใจ “เพิ่งกินยาไปไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้อีก?”
หญิงชราเมิ่งตื่นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้ว เห็นเมิ่งจงจวี่เข้ามา ถามขึ้นอย่างหวาดกลัว “ตาเฒ่า เหรินเอ๋อร์จะไม่เป็นอะไรนะ?”
หมอวิ่งกระหืดกระหอบตามเมิ่งอี้มาอีกครั้ง เห็นสภาพของเมิ่งเหรินก็สะดุ้งตกใจ รีบนั่งลงจับชีพจรที่มือเมิ่งเหรินทั้งสองข้าง ถึงขมวดคิ้วมุ่นพูดกับเมิ่งจงจวี่ “เมิ่งซิ่วไฉ สถานการณ์ของหลานชายท่านไม่สู้ดี!
ตอนที่ 161.1
ไม่เจอกันนาน คิดถึงเหลือเกิน
เมิ่งจงจวี่ตกตะลึงพรึงเพริด
หมอยังพูดต่อ “เมื่อครู่ข้าตรวจชีพจรเขาอย่างละเอียด พบว่าหลานชายของท่านจับไข้ไปถึงปอดแล้ว หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที เกรงจะมีอันตรายถึงชีวิตได้”
เมิ่งชื่อตะลึงลานกับคำพูดของหมอ ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
เมิ่งจงจวี่กระวนกระวายพูด “เช่นนั้นเจ้าจงรีบเขียนใบยาสั่ง ขอเพียงรักษาชีวิตเขาไว้ได้ ยาดีแค่ไหนพวกเราก็จะใช้”
หมอถอนใจ “ข้าเป็นหมอมาหลายสิบปี น้อยครั้งที่จะเจออาการร้ายแรงเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาเขาได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ก่อนหนึ่งขนาน พวกเจ้ารีบนำไปต้มให้เขาดื่ม หากเขาไข้ลดลงภายในครึ่งชั่วยาม แสดงว่าได้ผล หากไข้ไม่ลด ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกเจ้าคงต้องเชิญยอดฝีมือท่านอื่นแล้ว”
เมิ่งจงจวี่ร้อนรนพยักหน้า “ได้ๆๆ ท่านออกๆ”
หมอจับพู่กันเขียนใบสั่งยา มองให้เมิ่งอี้รีบไปจัดยา
เมิ่งอี้ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งแนบไปจัดยากลับมา
หญิงชราเมิ่งตะลีตะลานเตรียมการต้มยา เกือบจะทำหม้อยาหก เมิ่งอี้เห็นเช่นนั้นยังไม่ทันหายใจหายคอ รีบรับหม้อยามาจากมือหญิงชราเมิ่ง พูดว่า “ท่านย่า ข้าทำเอง”
หญิงชราเมิ่งขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี ได้ยินดังนั้นมอบหม้อยาให้เขา กลับเข้ามาดูเมิ่งเหรินในห้อง
อาการของเมิ่งเหรินรุนแรงมาก หมอคอยเฝ้าดูเขาไม่ห่าง
เมิ่งอี้ต้มยาเสร็จ ยกเข้ามา นำมาป้อนให้เมิ่งเหรินพร้อมสองผู้เฒ่าเมิ่ง
ป้อนเสร็จ คนทั้งหมดคอยจ้องมองเมิ่งเหรินข้างๆ อย่างกระวนกระวายใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงฝาดของเมิ่งเหรินค่อยๆ จางหายไป
หมอพูดอย่างโล่งใจ “ดูท่าจะได้ผล พอเขาฟื้นขึ้นมา พวกท่านให้เขาดื่มน้ำเยอะๆ ไม่ว่าเขาจะพูดว่าร้อนแค่ไหน ก็ห้ามให้เขาเลิกผ้าห่มบนตัวออก ภายในสองชั่วยามหากไม่จับไข้อีก แปลว่าไม่เป็นอะไรแล้ว”
เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งกล่าวคำขอบคุณไม่หยุด
หมอโบกมือพูดว่าไม่ต้อง สะพายกระเป๋ายาแล้วเดินออกไป
เมิ่งจงจวี่ออกมาส่งเขาถึงหน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจอีกครั้ง
หลังจากหมอจากไป หญิงชราเมิ่งนั่งข้างเตียง หยิบผ้าขนหนูคอยซับเหงื่อที่ซึมออกมาไม่หยุด
คงเพราะร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว เมิ่งเหรินเริ่มเลิกผ้าห่มบนตัวออกอย่างไม่รู้ตัว เมิ่งอี้ก็นั่งอยู่อีกด้านของเตียงคอยกดผ้าห่มไว้แน่น ไม่ให้เขาเลิกออก
เมิ่งจงจวี่กลับเข้ามาในห้อง เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ทอดถอนใจยาว
อาการป่วยของเมิ่งเหรินดีขึ้น หญิงชราเมิ่งก็ได้สติสตังกลับมาแล้ว ได้ยินเสียงทอดถอนใจของเมิ่งจงจวี่ อดไม่ได้บ่นกระปอดกระแปดค่อนขอดเขา “เพราะเจ้าคนเดียว เหรินเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ เจ้ายังจะให้เขาคุกเข่าทั้งคืน ครานี้พอใจเจ้าแล้วสิ”
เมิ่งเหรินล้มป่วยถึงขั้นนี้ เมิ่งจงจวี่เองก็เจ็บปวดใจ ได้ยินเสียงติเตียนจากหญิงชราเมิ่ง หงุดหงิดใจ โพล่งปากตำหนิ “เขากระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ หากข้าไม่ลงโทษสถานหนัก เขาจะจำบทเรียนนี้ไม่ขึ้นใจ ภายหน้าไม่แน่ว่าจะยิ่งกระทำความผิดร้ายแรงกว่านี้ ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อเขา เจ้าอย่าดีแต่ติเตียนข้า หากไม่เพราะหลายปีมานี้เจ้าตามใจเขาจนเสียเด็ก งานอะไรก็ไม่ยอมให้เขาทำ เขาจะร่างกายอ่อนแอเช่นนี้หรือ? จะว่าไป ที่เหรินเอ๋อร์กลายเป็นแบบนี้ คนที่ผิดก็คือเจ้า”
หญิงชราเมิ่งเพียงแค่เป็นกังวลจนอดไม่อยู่ ถึงพลั้งปากพูดติเตียนเขา ไม่คิดว่าเมิ่งจงจวี่จะหันมาตำหนินาง อารมณ์พลุ่งพล่าน แผดเสียงพูด “จะเป็นความผิดข้าได้อย่างไร? ใครกันที่พูดตั้งแต่เขายังเด็กว่า เด็กคนนี้ฉลาดปราดเปรื่อง ภายหน้าจะต้องเป็นหัวหอกด้านการศึกษา เมื่อเติบใหญ่รู้หนังสือ ไม่ต้องให้เขายุ่งงานน้อยใหญ่ในบ้าน ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ภายหน้าเมื่อสอบขุนนางได้ จะได้นำพาเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูล”
เมิ่งจงจวี่ถูกแย้งจนพูดไม่ออก โมโหจนหนวดกระตุกนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง
หญิงชราเมิ่งแค่นเสียงหึ ไม่สนใจเขาอีก หันมาซับเหงื่อที่หน้าผากเมิ่งเหรินอย่างใจจดจ่อ
เหงื่อบนตัวเมิ่งเหรินค่อยๆ ลดลง ไม่ร้อนเช่นเดิมแล้ว จึงไม่ได้เลิกผ้าห่มออกอีก
เมิ่งอี้ถอนใจโล่งอก จัดแจงห่มผ้าให้เมิ่งเหรินใหม่ แล้วใช้มือเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาตรงหน้าผากตัวเองลวกๆ
หญิงชราเมิ่งจ้องเมิ่งเหรินเขม็งอย่างเจ็บปวดใจ ไม่ทันสังเกตเห็นพฤติกรรมของเมิ่งอี้ เป็นเมิ่งจงจวี่ที่พูดขึ้น “อี้เอ๋อร์ เจ้าเองก็เหงื่อออกไม่น้อย รีบเอาผ้าขนหนูมาซับเถอะ”
เมิ่งอี้ขานรับ หยิบผ้าขนหนูข้างๆ มาซับอย่างขอไปที
เมิ่งจงจวี่มองเมิ่งอี้ที่รู้ความ กล่าวตำหนิตัวเอง “อี้เอ๋อร์ หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว เพื่อให้พี่ใหญ่เจ้าได้สอบขุนนาง เจ้าอายุแค่นี้ก็ต้องทุ่มเทเพื่อครอบครัวมากมาย ครอบครัวเราละอายใจต่อเจ้าแล้ว!”
เมิ่งอี้ไม่คิดว่าเมิ่งจงจวี่จะพูดเช่นนี้กับตนเอง พลันไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
เมิ่งจงจวี่ทอดถอนใจ
เมิ่งอี้ได้สติกลับมา รีบพูดขึ้น “ท่านปู่ ท่านอย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาด พี่ใหญ่ฉลาดหัวไวแต่เด็ก สมควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียนแล้ว สำหรับข้า อย่างไรก็ไม่สนใจเล่าเรียน ออกไปทำงานตรงตามความต้องการของข้าพอดี”
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาอ่อนน้อมรู้ความ ยิ่งทวีความละอายใจ “เด็กดี เจ้ากลับมาครั้งนี้ก็ไม่ต้องกลับไปอีก ตอนนี้ฐานะในบ้านเราดีแล้ว พี่ใหญ่เจ้าก็ไม่ต้องกลับไปเรียนหนังสือ เจ้าอยู่บ้านให้สบาย รอแต่งงานมีลูกเถอะ”
เมิ่งอี้หน้าแดง พูดเสียงแผ่ว “ข้าแล้วแต่ท่านปู่”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้าปลาบปลื้มใจ
หญิงชราเมิ่งได้ยินว่าต่อไปเมิ่งอี้ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว ก็ดีอกดีใจ พูดอย่างอิ่มเอมใจ “ใช่ๆๆ อี้เอ๋อร์อายุก็ไม่น้อยแล้ว รอให้ปลูกเรือนเสร็จ ค่อยให้แม่เจ้าและอาสะใภ้ออกไปจัดแจงให้ สักช่วงเวลาปีใหม่ แต่งสะใภ้เข้ามา”
เมิ่งอี้ยิ่งหน้าแดงก่ำ
เมิ่งเหรินส่งเสียงไอ หญิงชราเมิ่งนึกว่าเขาฟื้นแล้ว ถามอย่างตื่นตระหนก “เหรินเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว?”
เมิ่งเหรินไม่ตอบ ส่งเสียงไออีกหลายครั้ง
หญิงชราเมิ่งรู้สึกผิดปกติ ร้อนใจถาม “เหรินเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกไม่สบายตัวตรงไหน?”
เมิ่งอี้รีบเข้ามาตะแคงตัวเมิ่งเหรินช่วยตบหลังเขา เมิ่งเหรินกลับไอรุนแรงกว่าเดิม
เมิ่งจงจวี่ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามา เห็นสภาพเมิ่งเหรินร้อนรนบอกเมิ่งอี้ “เจ้ารีบไปถามหมอ เหรินเอ๋อร์เป็นอะไรกันแน่?”
เมิ่งอี้วางเมิ่งเหรินนอนราบ รีบวิ่งไปหาหมออีกครั้ง
เมิ่งจงจวี่นั่งลงข้างเตียง เลียนแบบท่าทางเมิ่งอี้คอยตบหลังให้เมิ่งเหริน
ครู่เดียวเมิ่งอี้ก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา กระวีกระวาดพูดกับเมิ่งจงจวี่ “หมอบอกว่า เขาเองก็ไม่แน่ใจในสภาพอาการของพี่ใหญ่ ให้พวกเรารีบพาเขาไปโรงหมอในเมือง อย่าได้รอช้าต่ออาการป่วยของพี่ใหญ่”
เมิ่งจงจวี่ลุกขึ้นพูด “พวกเจ้าดูแลเหรินเอ๋อร์ก่อน ข้าจะไปเรียกโยวเอ๋อร์ ให้นางเข้ามาดูเหรินเอ๋อร์”
หญิงชราเมิ่งพูดอย่างกระวนกระวาย “เรียกโยวเอ๋อร์มาจะมีประโยชน์อะไร ให้อี้เอ๋อร์ไปตามจินเอ๋อร์และสะใภ้กลับมา แล้วรีบพาเหรินเอ๋อร์เข้าเมืองเถอะ”
เมิ่งจงจวี่พูด “เพิ่งจะเริ่มงานก่อสร้าง จินเอ๋อร์และสะใภ้ปลีกตัวมาไม่ได้ โยวเอ๋อร์พอรู้วิชาแพทย์ ให้นางเข้ามาดูก่อน หากไม่ไหว ค่อยให้นางพาเหรินเอ๋อร์เข้าเมือง”
พอหญิงชราเมิ่งได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้วิชาแพทย์ ก็ไม่ได้ตกใจว่านางรู้ได้อย่างไร รีบร้อนพูด “เช่นนั้นเจ้าจงรีบไป!”
เมิ่งจงจวี่มาถึงบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่อยู่ เมิ่งชื่อบอกว่านางไปส่งพวกอี้เซวียนไปโรงเรียน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา นางก็ไม่รู้ว่านางไปที่ไหน
เมิ่งจงจวี่รอด้วยความกระวนกระวายใจครู่หนึ่ง เห็นนางยังไม่กลับมา จึงกำชับเมิ่งชื่อพอเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาให้รีบไปบ้านใหญ่ แล้วผลุนผลันไปหาเมิ่งต้าจินที่สถานที่ปลูกเรือน บอกเขาถึงอาการป่วยขั้นร้ายแรงของเมิ่งเหริน
เมิ่งต้าจินฟังเมิ่งจงจวี่พูดจบสาวเท้าวิ่งกลับมาบ้าน เมิ่งจงจวี่ก็เร่งฝีเท้าตามหลังกลับมาถึงบ้าน
เมิ่งเหรินไอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หญิงชราเมิ่งและเมิ่งอี้ต่างกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข เมิ่งต้าจินเพิ่งเข้าบ้านมายังไม่ทันยืนนิ่ง หญิงชราเมิ่งก็ลนลานพูดกับเขา “จินเอ๋อร์ เหรินเอ๋อร์อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เจ้ารีบไปบังคับรถม้าบ้านอิ๋นเอ๋อร์มา พาเขาไปส่งโรงหมอในเมืองเถอะ”
เมิ่งต้าจินหายใจหอบมองเมิ่งเหรินที่ดวงตาปิดสนิท สีหน้าแดงฝาด เอาแต่ไอไม่หยุด กลับหลังหันแล้ววิ่งออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนมาถึงหน้าประตูบ้านใหญ่แล้ว เห็นเมิ่งต้าจินหุนหันจะวิ่งออกมา ร้องถามอย่างประหลาดใจ “ลุงใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งต้าจินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวราวกับเห็นดาวช่วยชีวิตพูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ามาพอดี เหรินเอ๋อร์จับไข้ กินยาไปสองขนานแล้วก็ยังไม่เห็นผล เจ้ารู้วิชาแพทย์ ช่วยไปดูเขาให้หน่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังรีบเร่งฝีเท้า เข้ามาถึงในบ้านโดยไว เห็นอาการของเมิ่งเหรินก็ขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งเสียนก็ตามหลังมาติดๆ เห็นอาการเมิ่งเหรินก็ให้ตื่นตกใจถาม “เหตุใดพี่เมิ่งเหรินถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้?”
หญิงชราเมิ่งคร่ำครวญพูดว่า “ก็เพราะปู่เจ้านะสิ เมื่อวานให้เหรินเอ๋อร์คุกเข่าในลานบ้านทั้งคืน วันนี้เช้าตื่นมาเหรินเอ๋อร์ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว”
เมิ่งจงจวี่ร้อนใจกระสับกระส่าย ไม่ได้พูดโต้ตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยอง จับมือเมิ่งเหริน จับชีพจรของเขาอย่างละเอียด แล้วจึงเปลี่ยนไปจับมืออีกข้าง
ทุกคนในห้องต่างกลั้นหายใจ มองนางอย่างกระวนกระวายใจ
จับชีพจรเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน พูดกับเมิ่งต้าจิน “ลุงใหญ่ ท่านไปเอากระดาษพู่กันมา ข้าจะบอกตัวยา ท่านเขียนแล้วรีบไปจัดยามาสองสามเทียบ”
เมิ่งจงจวี่เข้ามาหยิบกระดาษพู่กันในห้องเมิ่งจงจวี่ เขียนใบสั่งยาตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก
เมิ่งเสียนรับใบสั่งยามาพลางพูด “ข้าไปเอง ข้าวิ่งไปเร็วกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งเขา “ให้ลุงใหญ่ไปเถอะ ท่านยังมีเรื่องต้องทำ”
เมิ่งต้าจินหยิบใบสั่งยาวิ่งออกไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหญิงชราเมิ่ง “ท่านย่า ขอตัดเส้นผมบางส่วนของท่านได้หรือไม่”
หญิงชราเมิ่งรีบร้อนพูด “ได้ๆๆ เจ้ารอเดี๋ยว ย่าจะไปตัดเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ในบ้านมีเหล้าขาวหรือไม่?”
ยามว่างเมิ่งจงจวี่มักจะชอบจิบเหล้าเป็นกระสัย ในบ้านย่อมมีเหล้าติดไว้เสมอ ได้ยินนางถาม ก็รีบพยักหน้า “มีๆๆ ข้าจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้”
หญิงชราเมิ่งถือเส้นผมหนึ่งกำกลับมา ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เท่านี้พอหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือกำดู พูดว่า “ขอเพิ่มอีกหน่อย”
หญิงชราเมิ่งรีบร้อนตัดออกมาอีกกำ
เมิ่งจงจวี่ถือเหล้าขาวมา เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเมิ่งอี้ “ไปเอาชามขาวและหินติดไฟเข้ามา”
เมิ่งอี้นำสิ่งของเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวเทเหล้าขาวลงในชาม ฉีกกระดาษที่เมื่อครู่เมิ่งต้าจินถือมาเป็นแผ่นใหญ่ใช้หินติดไฟเผาแล้ววางลงในชาม เหล้าขาวติดไฟลุกพรึ่บ เกิดเป็นประกายไฟสีฟ้า
รอครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าพอใช้ได้แล้ว หันไปสั่งเมิ่งอี้และเมิ่งเสียน “พวกท่านถอดเสื้อของเขาออก แล้วนอนคว่ำไปบนเตียง”
เมิ่งอี้และเมิ่งเสียนตะลึงค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งเร้าพวกเขา “เร็วเข้า!”
ทั้งสองสบตากัน เลิกผ้าห่มออก ถอดเสื้อของเมิ่งเหรินออกโดยเร็ว จากนั้นค่อยๆ พลิกตัวเขาอย่างระวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือจุ่มเหล้าขาวที่ยังเผาไหม้ ใช้มือที่มีประกายไฟสีฟ้าตบไปที่หลังเมิ่งเหริน
หญิงชราเมิ่งร้องอุทานอย่างหวาดกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ ใช้มือจุ่มเหล้าขาวที่มีประกายไฟสีฟ้าตบไปที่หลังเมิ่งเหรินอย่างว่องไว
เมิ่งเสียนนึกว่ามือนางจะบาดเจ็บ พูดอย่างปวดใจ “ข้าทำเอง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับคำ กระทั่งแผ่นหลังเมิ่งเหรินปรากฏรอยจ้ำเลือดสีแดงฝาด ถึงพูดว่า “ไปเอาผ้าขนหนูร้อนมา”
เมิ่งเสียนไปเอาผ้าขนหนูร้อนมา เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเช็ดหลังเมิ่งเหรินจนแห้ง แล้วสั่งการอีกครั้ง “พลิกตัวเขากลับมา!”
เมิ่งอี้พลิกตัวเมิ่งเหรินกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเป่าไฟในชามดับ ขยำเส้นผมทั้งหมดเป็นก้อน จุ่มลงในเหล้าร้อน ออกแรงถูนวดไปมาทั่วหน้าอกเมิ่งเหริน แล้วพูดกับเมิ่งอี้กับเมิ่งเสียน “พวกท่านทำตามวิธีนี้ ถูที่หน้าอกเขาจนกว่าจะมีจ้ำเลือดออกมาก็พอ”
ทั้งสองพยักหน้า เมิ่งอี้รับเส้นผมในมือเมิ่งเชี่ยนโยวมา ออกแรงถูไปมา
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเมิ่งเสียน “ประเดี๋ยวพอถูหน้าอกเสร็จ ให้พวกท่านทำเหมือนกันออกแรงถูไปที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าของเขา”
เมิ่งเสียนรับคำ “ได้”
เมิ่งต้าจินถือห่อยาสองสามเทียบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดออกตรวจสอบเล็กน้อย แล้วให้เมิ่งต้าจินรีบไปต้มมา
เมิ่งต้าจินไหนเลยจะเคยทำงานพวกนี้ ทุลักทุเลทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จุดไฟก็ยังไม่ติด
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีทางเลือก จำต้องไปต้มยาด้วยตัวเอง
เห็นนางเทยาใส่ชาม เมิ่งต้าจินพูดอย่างละอาย “ข้ายกไปเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ห้ามเขา
เมิ่งต้าจินยกยาเข้ามาในห้องอย่างระวัง
เมิ่งอี้และเมิ่งเสียนเช็ดตัวใส่เสื้อให้เมิ่งเหรินเสร็จแล้ว เห็นเมิ่งต้าจินยกยาเข้ามา เมิ่งอี้ประคองเมิ่งเหรินขึ้น ค่อยๆ ให้เขาดื่มชาหนึ่งชามใหญ่เข้าไป
เห็นเมิ่งเหรินดื่มยาหนึ่งชามจนหมด เมิ่งเชี่ยนโยวถึงโล่งอก พูดว่า “ให้เขาดื่มยาหนึ่งเทียบทุกสองชั่วยาม ขอเพียงเขาไม่จับไข้อีก ยามค่ำก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ คนในห้องต่างก็โล่งอก
เมิ่งจงจวี่นั่งแน่นิ่งบนเก้าอี้ หญิงชราเมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทิ้งตัวนั่งซึมกระทื่อไปบนเตียง
ครู่ใหญ่ความรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้ามของทุกคนถึงสงบลงได้
ในตอนนี้เมิ่งอี้ถึงกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด “ขอบคุณน้องโยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่เมิ่งอี้เกรงใจไปแล้ว”
ผ่านไปสองเค่อ หน้าผากเมิ่งเหรินเริ่มปรากฏเหงื่อเม็ดโป้งซึมออกมาเต็มแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องยินดี “พี่เมิ่งอี้ ท่านใช้มือจับตัวพี่เมิ่งเหรินหน่อย ก็มีเหงื่อออกมาใช่หรือไม่”
เมิ่งอี้ยื่นมือออกไปลูบคลำตัวเมิ่งเหริน พยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ดีแล้ว ขอเพียงดื่มยาอีกสองสามเทียบ พี่เมิ่งเหรินก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
เมิ่งต้าจินถึงวางใจเป็นปลิดทิ้ง หันไปพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านพ่อ เมื่อเหรินเอ๋อร์ไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะไปดูคนงานก่อสร้างบ้านต่อ”
เมิ่งจงจวี่รู้ว่าครั้งนี้ก่อสร้างเรือนหลังใหญ่ จะสะเพร่าไม่ได้ พยักหน้าเห็นพ้อง “เหรินเอ๋อร์ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ต้องบอกพวกน้องๆ เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล”
เมิ่งต้าจินรับคำ “ข้าทราบท่านพ่อ” พูดจบก็หุนหันจากไป
เมิ่งอี้เดินมาต้มยาในลานบ้าน
หญิงชราเมิ่งจิตใจสงบแล้วถึงถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปเรียนรู้วิชาแพทย์มาแต่เมื่อใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “หลังจากที่ข้าตกเขาสลบไปหลายวัน พอตื่นขึ้นมา อยู่ๆ ก็เป็นขึ้นมาเอง”
หญิงชราเมิ่งตกตะลึงประนมสองมือขึ้น กล่าวขอบคุณสวรรค์อย่างเลื่อมใสศรัทธา
เห็นท่าทางของนางแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำพรืด
ตอนที่ 161.2
ไม่เจอกันนาน คิดถึงเหลือเกิน
เมิ่งอี้ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งป้อนยาให้เมิ่งเหรินกินหนึ่งเทียบทุกๆ สองชั่วยาม ตอนที่ใกล้พลบค่ำ เมิ่งเหรินก็ไม่จับไข้อีก
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนเห็นอาการเมิ่งเหรินทรงตัวดีขึ้น ถึงออกจากบ้านใหญ่กลับมาบ้าน
เมิ่งชื่อรอคอยอย่างกระวนกระวายใจในบ้าน เห็นพวกเขากลับมา รีบเดินออกไปถามไถ่ “ไปตั้งนานเช่นนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งเสียนตอบ “เมื่อวานพี่เมิ่งเหรินถูกท่านปู่ลงโทษคุกเข่าทั้งคืน ได้รับเชื้อลมเย็น จับไข้ขึ้นสูง น้องสาวเขียนใบสั่งยาให้เขา รอจนเขาไม่เป็นไรแล้วพวกเราถึงกลับมา”
เมิ่งชื่อถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านปู่ท่านย่าเจ้าคงร้อนใจแย่แล้ว?”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งชื่อถอนใจ “ดูท่าครั้งนี้ท่านปู่เจ้าจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะลงโทษเขา ขอให้หลังจากผ่านครั้งนี้ไป เขาจะเข้าใจถึงความตั้งใจจริงที่คนในครอบครัวมีต่อเขา จะยอมตัดใจ ทำงานที่บ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ”
เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้ารับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมา
เมิ่งอี้เซวียนไม่รอให้รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงมา วิ่งหน้าตาเบิกบานไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว จ้องมองนางโดยไม่พูดสักคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการลำพองใจของเขา กรอกตาขาวใส่แล้วพูดว่า “รู้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปรับส่งเจ้าไปโรงเรียน”
เมิ่งชื่อฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ถามอย่างงงๆ “พวกเจ้าเล่นทายปริศนาใบ้อะไรกัน ทำไมแม่ถึงฟังไม่เข้าใจ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านแม่ ดูท่าทีของเขาเถิด จะต้องสอบผ่านระดับอำเภอแล้ว”
เมิ่งชื่อถามด้วยอารามดีใจระคนตกใจ “อี้เซวียน เป็นความจริงหรือ?”
เมิ่งอี้เซวียนยิ้มพรายพยักหน้า เมิ่งชื่อดีใจจนเก็บไม่อยู่ เดินตื่นเต้นยินดีเข้าไปกอดเมิ่งอี้เซวียน “ดีเหลือเกินแล้ว อี้เซวียนของเราปราดเปรื่องที่สุด”
เมิ่งเสียนเองก็ดีใจลิงโลด
เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะกอดตัวเอง พลันทำตัวไม่ถูก
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นอาการเก้อกังของเขา ช่วยพูดแก้ไขสถานการณ์ “ท่านแม่ เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ท่านยังไม่รีบไปทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ครอบครัวเราจะได้ฉลองกันอย่างมีความสุข”
เมิ่งชื่อคลายมือ พูดว่า “ใช่ๆๆ อี้เซวียนอยากกินอะไรบอกแม่ แม่จะไปทำให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งอี้เซวียนตอบอย่างรู้ความ “อะไรก็ได้ ขอเพียงท่านแม่ทำข้าชอบกินทุกอย่าง”
เมิ่งชื่อดีใจหน้าบาน “อี้เซวียนของแม่ปากหวานที่สุด” พูดจบก็ไปทำอาหารอย่างเบิกบานใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาประจบออดอ้อนเมิ่งชื่อ แอบค่อนขอดในใจอีกหลายคำ
เมิ่งเสียนก็ดีใจจนกลั้นไม่อยู่ พูดว่า “อี้เซวียน นับแต่วันนี้ไป เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น จงตั้งใจจดจ่อ ต้องการอะไรก็บอกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะจัดการให้เจ้าเอง”
ไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่เห็นด้วย “พี่ใหญ่ ไม่ได้นะ หนังสือต้องเรียน งานก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นภายหน้าเขาจะถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อได้”
เมิ่งเสียนไม่เห็นด้วย “จะเป็นไปได้อย่างไร? รอถึงตอนที่อี้เซวียนเติบใหญ่ย่อมจะช่วยพวกเราทำงานเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน “จะไม่เป็นได้อย่างไร ท่านไม่เห็นสภาพของพี่เมิ่งเหรินหรือ? หากเขาเป็นเหมือนพี่เมิ่งอี้ช่วยที่บ้านทำงานแต่เด็ก จะมีสภาพเหมือนในตอนนี้หรือ?”
พูดถึงเมิ่งเหริน เมิ่งเสียนถึงกับพูดไม่ออก
ซุนเหลียงไฉเพิ่งจะเดินอืดอาดเข้ามา บุ้ยปากไม่พอใจเดินมาตรงหน้าพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้วถาม “เจ้าเป็นอะไรอีก?”
ซุนเหลียงไฉตอบอย่างไม่พอใจ “วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้อีกหลายใบ พวกเจ้าไม่เห็นชมเชยข้า ทั้งไม่ถามข้าว่าอยากกินของอร่อยอะไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังพูดอย่างขอไปที “เหลียงไฉก็เก่งมาก ไม่รู้ว่าคืนนี้เจ้าอยากกินอะไร?”
ซุนเหลียงไฉดวงตาเปล่งประกาย พูดว่า “ข้าอยากกินมันฝรั่งเส้นผัดพริก อยากกินมันฝรั่งตุ๋นเนื้อ แล้วก็อยากกิน”
“หยุด” เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดยั้งเขา “มันฝรั่งในบ้านข้าจะใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ จะกินอีกไม่ได้แล้ว เจ้าคิดอาหารอื่นเถอะ”
รอยยิ้มบนหน้าซุนเหลียงไฉหุบคว่ำลงทันที ถามอย่างไม่พอใจ “ทำไมอี้เซวียนอยากกินอะไรก็ได้ แต่ทุกครั้งข้ากลับไม่ได้กินอาหารที่ตัวเองชอบ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจของเขา พูดประนีประนอม “ก็ได้ ทำให้เจ้า แต่อาหารสองอย่างนี้ทำให้เจ้ากินได้เพียงอย่างเดียว”
ซุนเหลียงไฉได้ฟังดีใจเริ่งร่าอีกครั้ง พูดว่า “อย่างเดียวก็อย่างเดียว ข้าอยากกินมันฝรั่งตุ๋นเนื้อ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกลง
ซุนเหลียงไฉไชโยโห่ร้อง ล้วงเงินสามสิบตำลึงออกมาจากกระเป๋านักเรียน ส่งให้ต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “ให้ นี่เป็นเงินที่ขายกระเป๋านักเรียนได้วันนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา กลับเข้าไปในห้อง เก็บเงินให้ดีแล้วหยิบเงินหกสิบอีแปะออกมา
ซุนเหลียงไฉรับเงินอีแปะมาใส่ในกระเป๋านักเรียนของตัวเองอย่างชื่นบาน พูดโอ้อวดกับทุกคน “ข้ามีหลายร้อยอีแปะแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนให้ความร่วมมือคอยพูดชื่นชมเขา
ซุนเหลียงไฉดีใจถือกระเป๋านักเรียนเข้าห้อง
เมิ่งเอ้ออิ๋นที่กลับมาตอนกลางคืน ทราบเรื่องที่เมิ่งอี้เซวียนสอบผ่านระดับอำเภอ ก็ดีใจลิงโลดไม่แพ้กัน กล่าวชื่นชมเมิ่งอี้เซวียนพักใหญ่
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนเตรียมข้าวของเสร็จแต่เนิ่นๆ ยืนรออยู่ในลานบ้าน
เหวินเปียวและเหวินหู่จูงรถม้าออกมาแล้ว ซุนเหลียงไฉเห็นเขาไม่ขยับ ถามอย่างประหลาดใจ “อี้เซวียน เหตุใดเจ้ายังไม่รีบขึ้นรถม้า?”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปากพูดว่า “ข้าจะรอนางก่อน”
“นางยังไม่ออกมา พวกเราไปรอบนรถม้าก็ได้” ซุนเหลียงไฉพูดอย่างหวังดี
เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในบ้าน เห็นเมิ่งอี้เซวียนยืนกลางลานบ้าน เดินตรงไปจูงมือเขาอย่างไม่คิดอะไร “ไปเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนดีใจยิ้มร่า
ซุนเหลียงไฉถึงตระหนักได้ เบ้ปาก บ่นเสียงต่ำ แล้วเดินตามหลังออกไปจากลานบ้าน
เหวินเปียวและเหวินหู่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือเมิ่งอี้เซวียนออกมา ก็ให้นิ่งอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ปรับใบหน้าเป็นปกติให้ทั้งสามคนขึ้นบนรถม้า
เมิ่งชื่อมองเห็นทั้งหมดนี้ ครุ่นคิดอย่างปลาบปลื้มใจ ดูท่าโยวเอ๋อร์จะยอมรับอี้เซวียนแล้ว ในที่สุดตัวเองก็วางใจได้เสียที
รถม้าของเหวินเปียวทั้งเร็วและสงบนิ่ง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงโรงเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า จูงมือเมิ่งอี้เซวียนมาส่งถึงหน้าประตูโรงเรียน
อาจารย์เวรเห็นพวกเขาเข้ามา พูดทักทายคนทั้งสองอย่างเป็นมิตร แล้วพูดชื่นชมกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมิ่งอี้เซวียนเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวของโรงเรียนนี้ที่สอบถงเซิงระดับอำเภอได้ตั้งแต่อายุน้อยเท่านี้ อนาคตจะต้องไม่อาจคาดเดา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับอาจารย์ “พูดเช่นนี้ในตอนนี้อาจจะเร็วเกินไป รอให้เขาสอบผ่านระดับจังหวัด ค่อยชมเขาก็ยังไม่สาย”
อาจารย์เห็นนางถ่อมตนเช่นนี้ ลอบคิดว่าซิ่วไฉเมิ่งอบรบเลี้ยงดูมาอย่างดี
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “ตอนเย็นข้าค่อยมารับเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าดีใจ ดวงตาคู่โตเปล่งประกายแสงระยิบระยับเย้ายวน
ซุนเหลียงไฉเห็นอาการเช่นนั้นของเขา เบะปากดูแคลน ไม่แม้แต่จะพูดทักเมิ่งเชี่ยนโยว จงใจสะพายกระเป๋านักเรียนเดินผ่านข้างตัวเมิ่งอี้เซวียนเข้าไป
เมิ่งอี้เซวียนถูกร่างอวบอัดของเขาเบียดจนตัวเซ
ซุนเหลียงไฉแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สะพายกระเป๋านักเรียนเดินหน้าต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น คิดจะเอ่ยปากพูดตำหนิเขาอย่างไม่พอใจ
เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนพูด “ข้าไม่เป็นไร เจ้ากลับไปเถอะ ค่อยๆ เดินทางกลับ” พูดจบ สะพายกระเป๋านักเรียนวิ่งไม่กี่ก้าวก็ตามซุนเหลียงไฉทัน เดินเข้าห้องเรียนไปพร้อมเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวลาอาจารย์ตามมารยาท เดินกลับมาข้างรถม้า พูดว่า “พวกเราไปธนาคาร แลกเงินอีแปะมาสักหน่อย จะได้จ่ายเงินค่าแรงให้คนงานที่มาแผ้วถางภูเขาร้าง”
เหวินเปียวรับคำอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รู้ว่าที่ไหนมีธนาคาร หลังจากนางขึ้นนั่งบนรถม้าแล้ว เหวินเปียวจำต้องบังคับรถม้าแล้วคอยเสาะหาไปตามถนนในเมือง
ออกมาไม่ไกล ตอนที่ใกล้จะถึงตลาดสด หางตาของเหวินหู่ก็สังเกตเห็นธนาคาร ร้องพูดอย่างยินดี “แม่นาง หาเจอแล้ว”
เหวินเปียวนำรถม้าไปจอดหน้าธนาคาร
พนักงานธนาคารเห็นพวกเขาบังคับรถม้าเข้ามา นึกว่าเป็นเศรษฐีใหญ่ รีบเข้ามาต้อนรับ พาเมิ่งเชี่ยนโยวที่ลงจากรถม้าแล้วเข้าไปในร้านอย่างกระตือรือร้น หลังจากชงชามาให้ ถึงถามขึ้น “แม่นาง จะจำนองหรือฝากเงินขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ล้วนไม่ใช่ ข้าจะมาแลกเงินอีแปะ”
ได้ยินนางจะมาแลกเงินอีแปะ ความกระตือรือร้นของพนักงานเริ่มหดหาย แต่ยังคงถามขึ้น “แลกเท่าไหร่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินห้าสิบตำลึงออกมาวางบนโต๊ะ “ขอแลกห้าสิบตำลึงก่อน”
พยักงานนิ่งอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “แลกไม่ได้หรือ?”
พนักงานได้สติกลับมา พูดอย่างลำบากใจ “ได้ก็ได้ ทว่าเช้าตรู่เช่นนี้ พวกเราอาจจะไม่มีเงินอีแปะมากเช่นนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “พอจะแลกได้เท่าไหร่?”
พนักงานตอบ “ข้าก็ไม่รู้ ข้าจะไปถามที่โต๊ะแลกเงินให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
พนักงานเดินกลับไปข้างโต๊ะแลกเงิน สอบถามกับพนักงานด้านในเสียงเบา คนด้านในหยิบสมุดบัญชีออกมาตรวจดู พูดตัวเลขหนึ่งออกมา
พนักงานเดินกลับมาข้างเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างรู้สึกผิด “แม่นาง มีให้ท่านแลกได้เพียงสิบตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเล็กน้อย เอนตัวพึงพนักเก้าอี้ด้านหลัง ยกน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ธนาคารใหญ่เช่นนี้มีเงินอีแปะให้แลกได้เพียงสิบตำลึง พวกเจ้าคงไม่ได้เห็นข้าเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จงใจพูดอย่างขอไปทีกับข้าดอกนะ”
พนักงานรีบร้อนอธิบาย “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว เป็นเพราะท่านมาแต่เช้าตรู่จริงๆ พวกเราไม่มีเงินอีแปะมากเช่นนั้นเตรียมไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจิบน้ำชาอีกคำแล้วพูดว่า “เช่นนั้นไม่เป็นไร พวกเจ้าไปขนถ่ายเข้ามาเพิ่ม ข้ารอที่นี่ได้”
เดิมการที่ร้านเพิ่งเปิดตอนเช้าก็มีเด็กสาวเข้ามาขอแลกเงินอีแปะ พนักงานก็รู้สึกหงุดหงิดใจแล้ว ตอนนี้ได้ยินนางพูดว่าแลกสิบตำลึงไม่พอ ท่าทีของพนักงานจึงยิ่งเย็นชาหมางเมิน พูดว่า “ธนาคารของเรามีแต่ทำการค้าใหญ่ ไม่ได้เตรียมเงินอีแปะมากเช่นนั้นไว้ หากแม่นางไม่พอใจ จะไปแลกที่อื่นก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวสะท้อนสีหน้าขุ่นมัว หันตะโกนออกไปด้านนอก “เหวินหู่!”
เหวินหู่ขานรับ เดินเข้ามา ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง มีสิ่งใดจะสั่งการ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เจ้าไปถามตามท้องถนน ธนาคารที่แม้แต่เงินอีแปะห้าสิบตำลึงก็ไม่มีให้แลก ทั้งยังขับไล่ลูกค้าให้ไปที่อื่น พวกเขายังยินดีจะฝากเงินหรือไม่?”
เหวินหู่รับคำอย่างนอบน้อม สาวเท้าเดินออกไป
พนักงานได้ยินคำพูดนางตกใจตัวลอย หากเรื่องนี้ถูกป่าวประกาศออกไป ธนาคารของพวกเขาเกรงจะไม่มีใครเข้ามาแล้ว รีบเข้าไปขวางเบื้องหน้าเหวินหู่พลัน “แม่นางช้าก่อน ข้าจะไปถามหลงจู๊ ดูว่าพอจะขนถ่ายเงินอีแปะเข้ามาเพิ่มได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวนำเงินห้าสิบตำลึงกลับมาเก็บไว้ที่ตัว พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปแลกเงินที่ธนาคารอื่นดีกว่า ที่นี่ทำแต่การค้าใหญ่เกรงจะเสียเวลาพวกเจ้าเปล่าๆ”
พนักงานโบกมืออุตลุด “ไม่ยุ่งยากๆ ข้าจะไปถามหลงจู๊เดี๋ยวนี้ รบกวนท่านให้เขารอประเดี๋ยว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้นจิบอีกคำ ถึงพูดว่า “ก็ได้ ข้าจะรออีกเดี๋ยว”
พนักงานโล่งอก ตะลีตะลานเดินไปด้านหลัง
เหวินหู่หันกลับมายืนข้างหลังเมิ่งเชี่ยนโยว
ไม่นานหลงจู๊ก็กุลีกุจอเดินตามพนักงานออกมา พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบร้อนพูด “แม่นางน้อย ท่านอย่าใจร้อน ข้าจะแลกเงินอีแปะให้ท่านเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “มีเงินอีแปะมากเช่นนั้นหรือ?”
หลงจู๊ถลึงตาโพล่งจนพนักงานตกใจตัวสั่นผับๆ พูดว่า “แม่นางพูดล้อเล่นแล้ว ธนาคารพวกเราใหญ่เช่นนี้ จะไม่มีเงินอีแปะห้าสิบตำลึงให้แลกได้อย่างไร เพราะคนงานขี้เกียจพวกนี้ กลัวยุ่งยากถึงได้พูดเช่นนี้ ท่านวางใจ อีกประเดี๋ยวข้าจะลงโทษพวกเขาให้หลาบจำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงนำเงินห้าสิบตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง พูดอย่างมีนัยแฝง “เช่นนั้นก็รบกวนหลงจู๊แล้ว”
หลงจู๊ยิ้มรับ “นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา ไม่รบกวน”
พูดจบ เตะพนักงาน พูดตวาด “ยังยืนบื้อทำอะไร? ยังไม่รีบไปแลกเงินอีแปะมาให้แม่นาง?”
พยักงานลนลานรับคำ นำเงินบนโต๊ะเดินเข้ามาในโต๊ะแลกเงิน
คนในโต๊ะแลกเงินเห็นหลงจู๊มาถึงก็โมโหเดือดดาล ต่างก็ตกใจไม่น้อย รีบบอกพนักงานเข้าเวรให้ไปยกเงินอีแปะออกมา
พนักงานสองคนวิ่งไปยกเงินมาทันที คนในโต๊ะแลกเงินชั่งน้ำหนักเงิน ไม่ขาดไม่เกินได้ห้าสิบตำลึงพอดี
เงินอีแปะหนึ่ง**บหนักมาก พนักงานสองคนเดินโยกไปเยกมาพักใหญ่ถึงแบกออกมา
คนที่มีหน้าที่รับแลกเงินนับเงินอีแปะห้าสิบตำลึงเสร็จ บรรจุใส่**บ พยักหน้าให้พนักงาน
พนักงานวิ่งออกมา พูดกับหลงจู๊ “หลงจู๊ แลกเสร็จแล้วขอรับ”
หลงจู๊ตวาดกลับ “ยังไม่รีบยกออกมา?”
พนักงานรับคำ เดินเข้าไปในโต๊ะแลกเงินยก**บเงินอีแปะพร้อมพนักงานอีกคนออกมาอย่างทุลักทุเล วางไว้เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
หลงจู๊เปิด**บออก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง นับจำนวนดูก่อนว่าครบหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว เชื่อว่าสถานประกอบการใหญ่โตอย่างธนาคารของท่านจักต้องไม่ทำเรื่องบกพร่อง”
หลงจู๊ได้ฟังปิด**บลง พูดว่า “ขอบคุณแม่นางที่ไว้วางใจพวกเรา ภายหน้าหากมีธุรกรรมการเงินใด ขอให้มาดำเนินการที่ธนาคารของพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “หากครั้งหน้าข้ายังจะแลกเงินอีแปะมากกว่านี้เล่า? ยังมาที่ธนาคารของพวกท่านอีกได้หรือไม่?”
หลงจู๊ชะงักอึ้ง แล้วพูดว่า “ย่อมได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะแลกเงินอีแปะเท่าไหร่ พวกเราก็มีให้ท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาพูด “เช่นนั้นก็ดี ข้ายังนึกกลัดกลุ้มใจอยู่ว่าครั้งหน้าจะแลกเงินสองร้อยตำลึงที่ไหนดี”
หลงจู๊ได้ฟังเข่าทรุดเข่าอ่อน เกือบจะล้มคมำ
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พูดสั่งเหวินหู่ “ยกเงินอีแปะนี้ไปไว้บนรถม้า”
เหวินหู่รับคำ ยก**บบรรจุเงินอีแปะเดินออกไป
หลงจู๊และพนักงานเห็นเขายก**บเงินออกไปคนเดียว ก็ตะลึงอ้าปากค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มเดินออกไป
เหวินหู่วาง**บไว้บนรถม้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งการเหวินเปียว “ไปหมู่บ้านหลี่”
เหวินเปียวขานรับ คิดจะบังคับรถม้าเดินทางกลับ ไม่คิดว่าบนท้องถนนจะมีคนจำนวนมากวิ่งตรงมา วิ่งไปพลางร้องตะโกนบอกคนรู้จัก “รีบไปดูเถอะ ทางนั้นมีคนวิวาทกันแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ
กระทั่งกลุ่มคนจากไป เหวินเปียวถึงบังคับรถม้าค่อยๆ เดินทางกลับ
ตามท้องถนนมีคนทยอยวิ่งไปดูเรื่องสนุกไม่ขาด
มีสองคนในนั้นวิ่งไปพลางพูดขึ้นว่า “หลายปีก่อนเขาอวดเบ่งบารมีอยู่ในเมืองมานาน กระทำแต่เรื่องต่ำช้า วันนี้ถูกตีจนตาย ก็สมน้ำหน้าแล้ว”
อีกคนพูดขึ้นอีกว่า “ก็ใช่นะสิ ทว่าข้าได้ยินว่าคนที่ตีเขาเคยเป็นเพื่อนรักของเขา ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมีความแค้นอะไรต่อกัน ถึงต้องลงมือเ**้ยมโหดเช่นนั้น แม้แต่เด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับเขาก็ถูกตีไม่น้อยด้วย”
ทั้งสองวิ่งไกลออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ร้องตะโกนเสียงลั่น “เหวินเปียว!”
เหวินเปียวหยุดรถม้า ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง มีอะไรจะสั่งการ?”
“หันหัวม้า ไปดูที่ตลาดสดว่าใครทะเลาะวิวาท?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวรีบหันหัวม้า วิ่งตามผู้คนที่วิ่งไปเบื้องหน้า มองเห็นฝูงชนล้อมตลาดสดเบียดเสียดจนแน่นขนัด ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง
พอจอดรถม้าสนิท เหวินเปียวบอกเหวินหู่ “เจ้าเข้าไปดู”
เหวินหู่พยักหน้า เบียดกลุ่มคนเข้ามาถึงด้านหน้าอย่างยากลำบาก เห็นสถานการณ์ด้านใน ก็ให้ตกใจอ้าปากค้าง ได้เห็นเมิ่งเสียวเถี่ยในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นนอนฟุบไปกับพื้น ส่วนเมิ่งฉีที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยกำลังถูกพวกที่คล้ายนักเลงสองสามคนรุมจนไร้หนทางตอบโต้กลับ
เหวินหู่ร้องตะโกน “นายน้อย!” ทะยานเข้าไปร่วมวงกับพวกเขา ทั้งสองร่วมมือกันจัดการคนพวกนั้นล้มมอบไปกับพื้น
เมิ่งฉีวิ่งกระหืดกระหอบมาข้างกายเมิ่งเสียวเถี่ย กัดฟันประคองเขาขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวคลับคล้ายคลับคลาจะได้ยินเสียงร้องตะโกนของเหวินหู่ เลิกม่านบังรถออก ลงจากรถม้า สาวเท้าเดินไปยังฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่
เดินมาถึงด้านนอกกลุ่มคน เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะเข้าไป จำใจที่คนมาดูเรื่องสนุกมากเกินไป ด้วยรูปร่างของนางไม่อาจเบียดเข้าไปได้เลย ขบคิดครู่หนึ่ง แผดเสียงร้องดังลั่น “เจ้าหน้าที่มาแล้ว ทุกคนหลีกทางเดี๋ยวนี้”
ได้ยินเสียงตะโกนของนาง คนที่รายล้อมแยกออกเป็นทางโดยอัตโนมัติ เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปด้านใน
พอเห็นว่ามีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามา ผู้คนต่างคลางแคลงใจ “ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่มาแล้วชัดๆ ทำไมถึงมีแค่เด็กสาวเดินเข้ามาคนเดียว”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว แววตาล่อกแล่ก
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งฉีร้องตะโกนอย่างยินดี “น้องสาว!”
เห็นสภาพของพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วยู่ย่น เดินมาข้างพวกเขา ถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งฉีด้านหนึ่งประคองเมิ่งเสียวเถี่ยอย่างทุลักทุเล อีกด้านชี้คนพวกนั้นแล้วตอบ “วันนี้ข้ากับอาสี่เพิ่งจะซื้อกับข้าวเสร็จ กลับเจอพวกเขาเข้า ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ พวกเข้าต้องพุ่งตรงเข้ามาลงมือกับพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวช้อนนัยน์ตามอง แสยะยิ้มอำมหิต เดินไปตรงหน้าคนพวกนั้นพูดอย่างคลุมเครือลับเร้น “หวังจิ่ว ไม่เจอกันนาน คิดถึงเหลือเกิน”
หวังจิ่วจ้องนางอย่างเคืองขุ่น
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มถาม “เหมือนข้าจะจำได้ว่าข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้วอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าคนในครอบครัวข้าอีก หรือช่วงเวลาสั้นๆ นี้เจ้าก็ลืมไปหมดแล้ว จะให้ข้าช่วยฟื้นความจำหรือไม่?”
หวังจิ่วเห็นรอยยิ้มนางขนลุกชูชัน ตัวสั่นเทิ้มก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น