อัจฉริยะสมองเพชร 1590-1617

 1590 

“คุณอยากอ่านตอนนี้หรือ?” หวู่เฉินชะงักไปกับคำพูดนั้น


เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มคิดจะทำอะไร


ทุกคนกำลังหารือกันเรื่องที่จะเอาตัวรอดจากผืนทรายแห่งมิติและเข้าสู่พระราชวังเพื่อตามหาเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ คุณกลับบอกผมว่าคุณอยากอ่านหนังสือ…


จะเสนอแนะอะไรที่มันเหมาะสมกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?


“ปรมาจารย์จาง เรากำลังตกที่นั่งลำบากนะ เราเข้าพระราชวังไม่ได้ ถอยกลับก็ไม่ได้ด้วย ทำไมเราไม่หารือกันว่าจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร มันน่าจะดีกว่า” หวู่เฉินแนะนำอย่างกระอักกระอ่วน


พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะหลัวลั่วชิงชอบหมอนี่ เขาคงจะตบอีกฝ่ายให้ตายไปแล้ว!


ถือว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ ก็เลยทำอะไรตามใจอย่างนั้นสิ?


“ผมพูดแบบนั้นก็เพื่อจะพาพวกเราออกจากสถานการณ์นี้” จางเซวียนตอบ “ผมเคยเห็นตระกูลหลัวใช้ความสามารถของสายเลือดและศาสตร์ลับแห่งมิติของพวกเขามาแล้ว ขอแค่คุณมอบหนังสือเกี่ยวกับมิติที่คุณมีอยู่ให้ผม ผมคิดว่าผมพอจะประมวลเทคนิควรยุทธที่มีรูปแบบเดียวกัน คือมีองค์ประกอบของแก่นสารแห่งมิติ และสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ได้!”


“คุณจะฝึกฝนวรยุทธตอนนี้หรือไง?” หวู่เฉินแทบกระอักเลือด


ที่แท้หมอนี่ก็คิดแบบนี้นี่เอง…


เขาช่างฝันกลางวันได้เก่งจริงๆ!


หวู่เฉินสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพุ่งปรี๊ดก่อนจะสงบลงและพูดว่า “ปรมาจารย์จาง ผมรู้ว่าคุณเป็นคนปราดเปรื่อง แต่กฎเกณฑ์แห่งมิตินั้นคือกฎเกณฑ์ที่ยากที่สุดในบรรดากฎเกณฑ์ทั้งหลายแหล่ของโลกใบนี้ โดยเฉพาะสำหรับแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ มีอัจฉริยะมากมายนับไม่ถ้วนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อศึกษาศาสตร์นี้ แต่ก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย…ผมเกรงว่าคุณมาเริ่มฝึกฝนวรยุทธเอาตอนนี้คงจะสายไป!”


ถ้าการทําความเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งมิติมันง่ายดาย ตระกูลหลัวคงไม่มีสถานภาพสูงส่งในทวีปแห่งปรมาจารย์อย่างทุกวันนี้


มาคิดจะศึกษาเล่าเรียนหลังจากที่ตัวเองติดกับแล้ว…คุณคิดว่าแก่นสารแห่งมิตินั้นเหมือนกะหล่ำปลีที่มีขายข้างถนน จะหยิบฉวยเอาเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการหรือไง?


ขณะที่หวู่เฉินกำลังจะพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงเบาๆของหลัวลั่วชิงดังขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก


“ถ้าจางเซวียนพูดแบบนั้น เขาก็คงพิจารณาดีแล้ว มอบหนังสือให้เขาไปเถอะ”


“ขอรับ นายหญิง!”


ในเมื่อหลัวลั่วชิงเอ่ยปาก หวู่เฉินก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาสะบัดข้อมือและนำหนังสือกองใหญ่ที่รวบรวมไว้ตลอดระยะเวลาหลายปีออกมา มันกองทับซ้อนกันขึ้นไปจนเหมือนกับภูเขาขนาดย่อมๆ


ขณะที่นำหนังสือเหล่านั้นเอามา เขาก็อดฮึดฮัดในใจไม่ได้ สงสัยเหลือเกินว่าหมอนั่นใช้เวทมนตร์ชนิดไหน นายหญิงจึงเชื่อใจเขามากขนาดนี้!


จางเซวียนไม่รู้ว่าหวู่เฉินคิดอะไร เขารีบกวาดสายตาผ่านกองหนังสือและถ่ายโอนมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า ขณะที่กำลังประมวลหนังสือเหล่านั้นเป็นศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า ก็ทำทีหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากในกองมาเปิดอ่านเป็นการกลบเกลื่อน


แต่โชคร้ายที่หนังสือเล่มที่เขาหยิบมานั้นมีแต่จะทำให้อารมณ์ของหวู่เฉินเดือดพล่านขึ้นอีก เขาแทบกระอักเลือดออกมา


บนปกหนังสือเขียนไว้ว่า ‘กฎเกณฑ์แห่งมิติสำหรับมือใหม่’


มาอ่านกฎเกณฑ์พื้นฐานของมิติเอาตอนนี้…ผมคงแก่ตายเสียก่อนว่าคุณจะเข้าถึงแก่นสารของมิติ!


ถึงหวู่เฉินจะขัดใจสักแค่ไหน แต่ในเมื่อหลัวลั่วชิงให้ท้ายจางเซวียน เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความหงุดหงิดไว้


ส่วนจางเซวียน ขณะที่พลิกดูกฎเกณฑ์แห่งมิติสำหรับมือใหม่ สมาธิของเขาก็เพ่งอยู่กับหอสมุดเทียบฟ้า


ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาประมวลหนังสือมากมายที่หวู่เฉินมอบให้เขาเพื่อให้กลายเป็นศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า เขาได้กำจัดข้อบกพร่องของมันออกไปจำนวนหนึ่ง ด้วยปริมาณหนังสือที่มีอยู่มากมายในตอนนี้ จางเซวียนจึงประมวลศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติขั้น 4 ได้สำเร็จ และมีความสมบูรณ์แบบถึงระดับของเคล็ดวิชาเทียบฟ้า


“ขั้นการสรรค์สร้างนั้นอยู่กับแนวคิดของการสร้างมิติลี้ลับที่มีความมั่นคง หากใครสักคนสามารถสร้างมิติขึ้นได้ แปลว่าเขาสามารถจะทำให้พื้นที่ที่เกิดขึ้นมีความมั่นคงได้เช่นกัน…”


จางเซวียนปล่อยให้รายละเอียดของหนังสือซึมซาบเข้าสู่หัวสมองของเขา จากนั้นก็หลับตาลงช้าๆ


ทั้ง 5 ขั้นของศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้ามีชื่อว่าการบีบอัด การทะลุมิติ การควบคุม การสรรค์สร้าง และการทำลาย


ความคิดแรกของเขาเมื่อได้เห็นหลักการเหล่านี้ก็คือนักปราชญ์โบราณชิวอู๋น่าจะเรียงลำดับไว้ผิด พูดกันตามตรง ผู้ศึกษาควรจะทำความเข้าใจการทำลายก่อนจะทำความเข้าใจการสรรค์สร้าง ไม่ใช่หรือ?


แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าใจสาระสำคัญของการสรรค์สร้างที่อยู่ในศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า ก็ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีความผิดพลาดอะไร


 


ขั้นตอนการสรรค์สร้างนั้นให้รายละเอียดของการสร้างมิติ โดยจำกัดอยู่แค่การสร้างมิติลี้ลับที่มีขนาดเล็กมากกว่าจะเป็นมิติที่มีความเสถียรแบบทั่วไปอย่างทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่สำหรับการทำลายนั้นเป็นอีกระดับหนึ่ง มันเกี่ยวข้องกับการฉีกกระชากมิติเพื่อให้ก้าวไปสู่อิสระที่แท้จริง


พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ นักรบที่ทำความเข้าใจถึงขั้นการทำลายจะไม่เพียงแต่ทะลุมิติได้อย่างอิสระด้วยจิตวิญญาณของพวกเขา แม้แต่ร่างกายก็สามารถทะลุผ่านมิติได้อย่างง่ายดายด้วย!


มีแต่ผู้ที่เข้าถึงขั้นนั้นถึงจะได้ชื่อว่าเข้าถึงขั้นสุดยอดแห่งมิติ มีอิสระและความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง


แต่การจะสำเร็จความเข้าใจถึงขั้นการทำลายก็เป็นเรื่องยากมาก แม้แต่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋ก็ยังมีความเข้าใจในขั้นการทำลายเพียงบางส่วนเท่านั้นตอนที่เขาทิ้งศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเอาไว้ โดยเข้าถึงเพียงขั้นการประสบความสำเร็จในภาพรวม


โชคดีที่จางเซวียนไม่ได้ต้องการฝึกฝนถึงขั้นที่ 5 ลำพังแค่ขั้นที่ 4 ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาพ้นจากสถานการณ์อันยากลำบากนี้แล้ว


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาศึกษารายละเอียดของศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 4 อีกครั้งก่อนจะเริ่มฝึกฝนวรยุทธ


ฟิ้ววววว!


พลังงานในร่างกายของเขาเริ่มหมุนเวียนไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ในชั่วพริบตา ทั้งทางเดินพลังปราณและพลังปราณของเขาก็ดูจะหายวับไปในมิติลี้ลับ ทำให้ไม่มีทางที่ใครจะรับรู้ถึงมันได้อีก


“ผมเข้าใจแล้ว!”


เมื่อรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย จางเซวียนตาโตเพราะความเข้าใจอย่างล้ำลึกที่ปรากฏขึ้น


ถึงจางเซวียนจะหยุดการฝึกฝนวรยุทธของศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าเมื่อมาถึงขั้น 3 แต่ความเข้าใจเรื่องมิติของเขาก็ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆตามระดับวรยุทธที่สูงขึ้น แน่นอนว่าความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติที่ล้ำลึกขึ้นซึ่งเป็นผลจากการยกระดับวรยุทธนั้นมีความแตกต่างจากความเข้าใจที่เขาได้จากการศึกษาศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า แต่ความรู้ทั้ง 2 แขนงนี้ก็สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้


ความกระจ่างที่เกิดขึ้นใหม่ในสมองของเขาทำให้เขามีความเข้าใจอย่างชัดเจนและมองทะลุถึงรากฐานของมิติได้อย่างถ่องแท้


“มิติที่สมบูรณ์ก็เหมือนกับรังผึ้งที่เชื่อมต่อโครงสร้างของมันเข้าด้วยกัน ต่อให้มีวัตถุบางอย่างร่วงลงไปบนนั้น โครงสร้างของมันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งนี้คือคุณสมบัติที่ทำให้คนคนหนึ่งเคลื่อนที่ผ่านมิติได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผืนทรายแห่งมิติก็เหมือนกับทรายดูดในธรรมชาติ ทันทีที่มันจะเชิญหน้ากับพละกำลังจากภายนอก ก็จะดึงดูดวัตถุแปลกปลอมนั้นเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มันเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้…”


ความเข้าใจอย่างล้ำลึกในธรรมชาติของมิติทำให้จางเซวียนมองเห็นสภาพที่แท้จริงของผืนทรายแห่งมิติ


เหตุผลที่มิติมีความเสถียรก็เพราะมันถูกสร้างขึ้นจากองค์ประกอบเล็กๆที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมือนกับตอกที่ถูกสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นแผ่นใหญ่


ผืนทรายแห่งมิตินั้น แท้ที่จริงแล้วคือเศษเสี้ยวของมิติที่กระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบ ซึ่งการจะเดินทางข้ามมันก็เหมือนกับการพยายามเดินลุยน้ำ ไม่มีพื้นที่ที่แข็งพอจะให้เหยียบย่ำลงไปได้


ผู้ที่ต้องการข้ามมันจะต้องทำให้ผืนทรายแห่งมิติมีความมั่นคงเสียก่อนถึงจะเดินทางผ่านมันไปได้สำเร็จ


ขณะที่จางเซวียนกำลังทำความเข้าใจศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 3 หวู่เฉินก็ส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด “นายหญิง พวกเรารอคอยอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย คนพวกนั้นคงเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว ถ้าพวกมันได้เครื่องรางลำดับแรกไป ก็ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้อีก”


“แล้วเธอมีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้นอกจากการรอคอยหรือ?” หลัวลั่วชิงมองหวู่เฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความกังวลใจแม้แต่น้อย


“ถ้ามันจำเป็นจริงๆล่ะก็ ทำไมถึงไม่ให้ผม…” หวู่เฉินกัดฟันขณะพยายามจะเสนอแนะ


“ไม่ดีหรอก นั่นมีแต่จะทำให้ให้ใครๆระแวง และสถานการณ์ก็จะยุ่งยากขึ้น” หลัวลั่วชิงส่ายหน้า “เลิกกังวลเสียที แล้วเชื่อมั่นในตัวจางเซวียน ในเมื่อเขาพูดว่าเขามีความคิดแล้ว เขาก็จะต้องหาทางจนได้”


“ให้ผมเชื่อมั่นในตัวเขา…” หวู่เฉินพูดไม่ออกกับความไว้วางใจอย่างสุดตัวของหลัวลั่วชิง “เขาแค่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาศาสตร์แห่งมิติ และหนังสือที่ผมมอบให้เขานั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงหลักการพื้นฐาน ใครจะไปรู้ว่าอีกกี่ปีเขาถึงจะเข้าใจแก่นสารของมิติ กว่าจะถึงตอนนั้น มันคงสายไปแล้ว…”


ฟิ้วววว!


ยังไม่ทันที่หวู่เฉินจะพูดจบ สายลมแผ่วๆก็โชยผ่านใบหน้าของเขา


“ลมพัด? มีลมพัดมาจากผืนทรายแห่งมิติได้อย่างไรกัน?” หวู่เฉินนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ


ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้ใครสักคนพยายามกระพือให้เกิดลมอย่างสุดชีวิต ผืนทรายแห่งมิติก็จะไม่ขยับเขยื้อน แต่ทำไมจู่ๆถึงมีสายลมพัดมาจากผืนทรายแห่งมิติได้?


ครืนนนน!


หวู่เฉินยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระแสพลังจิตวิญญาณพุ่งตรงอย่างดุเดือดเข้าใส่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า


พริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น เขายิ้มน้อยๆ


“แข็งตัว!”


เมื่อสิ้นเสียงตะโกน ผืนทรายแห่งมิติที่กระจัดกระจายอยู่ก็แข็งทื่อไปในทันที


ตอนที่ 1591 รองหัวหน้าตระกูลหลัวผู้ตื่นเต้น

“อะ-เอ่อ…” หวู่เฉินแทบปล่อยโฮออกมา


เมื่อครู่นี้เองที่เขายังคิดว่าตัวเขาคงต้องแห้งเหี่ยวตายเหมือนดอกไม้ร่วงเสียก่อนกว่าที่ชายหนุ่มจะทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติได้ แต่ยังไม่ทันรู้ตัว อีกฝ่ายก็ทำให้ผืนทรายแห่งมิติเกิดการแข็งทื่อได้แล้ว


ชายหนุ่มจะต้องรวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?


ในตอนนั้น หวู่เฉินรู้สึกเจ็บแปลบที่ใบหน้า หากมีหลุมมีรูอยู่ที่พื้น เขาคงจะมุดเข้าไปด้วยความอับอายแสนสาหัสแล้ว


เขาคือผู้เชี่ยวชาญนะ! ผู้เชี่ยวชาญ! ผู้เชี่ยวชาญ!


แต่เพียงไม่ถึงครึ่งวันหลังจากที่ได้รู้จักปรมาจารย์จาง เขาก็ถูกตบหน้าไปแล้วถึง 3 ครั้ง และแต่ละครั้งก็ทำให้ต้องงงงันด้วยความไม่อยากเชื่อ


เขาคิดว่าในเมื่อชายหนุ่มมีความเชี่ยวชาญในด้านหนึ่งแล้ว ด้านอื่นๆก็คงจะไม่เก่งกาจเท่าไรนัก แต่ความจริงก็ได้แสดงให้เขาเห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าชายคนนี้มีความแข็งแกร่งในทุกด้าน!


ราวกับความอ่อนแอไม่อาจกล้ำกรายตัวเขาได้เลย


ทุกครั้งที่หวู่เฉินเกิดความไม่มั่นใจในตัวชายหนุ่ม สถานการณ์ก็จะพลิกผันกลับมาเล่นงานเขา และทำให้เขาอับอายขายหน้าจนไม่อยากจะมองหน้าใคร


ว่าแต่…ชายหนุ่มทำได้อย่างไร?


เขาเข้าถึงแก่นสารแห่งมิติได้เพียงแค่อ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎเกณฑ์แห่งมิติขั้นพื้นฐานหรือ?


หรือว่ากุญแจที่นำไปสู่ศาสตร์แห่งมิตินั้น แท้ที่จริงแล้วอยู่ในพื้นฐานของมัน ดังนั้น ความลับทุกอย่างจึงอยู่ในหนังสือขั้นพื้นฐาน?


ดูเหมือนต่อไปเขาจะต้องศึกษามันให้ถี่ถ้วนกว่านี้ บางทีอาจจะเข้าใจอะไรบางอย่างและพัฒนาตัวเองได้!


จางเซวียนไม่รับรู้ถึงความคิดในใจของเด็กชาย เขาโยนหนังสือในมือกลับเข้ากองของมันก่อนจะประกาศด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผมจัดการกับผืนทรายแห่งมิติแล้ว ตอนนี้เราออกเดินทางได้”


“อือ” หลัวลั่วชิงพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง


หวู่เฉินเก็บหนังสือที่จางเซวียนทิ้งไว้และจ้องมองมันอย่างใช้ความคิด ที่ผ่านมา เขาไม่เคยแม้แต่จะเหลือบแลหนังสือในระดับขั้นนี้ แต่ในตอนนั้น เขากอดมันไว้แน่นอย่างหวงแหน เกรงว่าจะพลาดความลับสุดยอดบางอย่างที่อาจช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาได้


…..


ที่ตระกูลหลัว


ศิษย์สายตรง 2 คนกำลังเดินไปยังหอบรรพบุรุษ สถานที่ที่ป้ายชื่อของผู้ก่อตั้งหลัวหยุนเทียนและเหล่าบรรพบุรุษอีกมากมายนับไม่ถ้วนถูกเก็บรักษาไว้


ทั้งสองคนมีหน้าที่ทำความสะอาดหอบรรพบุรุษ เตรียมก้านธูป และจัดแจงเรื่องพิธีการทั่วไปในการบูชาบรรพบุรุษ


“วันนี้พวกเราทำให้ตัวเองอับอายขายหน้ามาก! คงยากแล้วล่ะที่ตระกูลหลัวจะกลับมารุ่งเรืองอย่างแต่ก่อน…” ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเขียวซึ่งเดินอยู่ทางซ้ายบ่นพึมพำพร้อมกับส่ายหน้า


“นับตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลมา ตระกูลหลัวของเราไม่เคยต้องเผชิญกับการถูกเหยียดหยามแบบนี้เลย” ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเทาซึ่งเดินอยู่ทางขวาตอบรับ


“ที่น่าหงุดหงิดกว่านั้นก็คือหัวหน้าตระกูลของเราไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย ทั้งที่ถูกปฏิเสธต่อหน้าผู้คนมากมาย!” ศิษย์สายตรงเสื้อคลุมสีเขียวถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “ในเมื่อเธอไม่เต็มใจจะต่อสู้แล้วพวกเราที่เหลือจะทำอะไรได้?”


ศิษย์สายตรงเสื้อคลุมสีเทาคำราม “เธอยังไม่ได้เป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเราเสียด้วยซ้ำ! พิธีสถาปนายังไม่ได้ถูกจัดขึ้นนะ ลืมไปแล้วหรือไง?”


“มันถูกเลื่อนไปก็เพราะงานหมั้นเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะงานหมั้น ด้วยสายเลือดของเธอและความสามารถในการควบคุมเครื่องเก็บงำมิติ เธอคงขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลไปนานแล้ว” ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเขียวพูด


“แต่หลังจากได้เห็นว่าเธอรับมือกับการถูกเหยียดหยามอย่างไร ผมก็ไม่อยากคิดเลยว่าภายใต้การนำของเธอ ตระกูลหลัวของเราจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน…” ศิษย์สายตรงเสื้อคลุมสีเทาถอนหายใจ


“ต่อให้ตระกูลหลัวของเราจะเสื่อมถอยลงภายใต้การนำของเธอ เราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” ศิษย์สายตรงเสื้อคลุมสีเขียวถอนหายใจ “ทำอย่างกับคุณไม่รู้กฎเกณฑ์ของตระกูลของเราอย่างนั้นแหละ มีแต่ผู้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ถึงขั้นเท่านั้นที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลได้ แล้วก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเธอที่บรรลุเงื่อนไขนี้”


“เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครสักคนที่สามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติของบรรพบุรุษของเราปรากฏตัวขึ้น…แต่ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครสักคนที่ทำได้ ดังนั้น อีกไม่นานเธอก็คงขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลแน่ เราจะฝ่าฝืนคำสอนของเหล่าบรรพบุรุษเพียงเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ครั้งเดียวไม่ได้หรอก!”


“ผมก็รู้อยู่ แต่มันอดไม่ได้…เกิดอะไรขึ้นน่ะ!”


หลังจากพูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ศิษย์สายตรงเสื้อคลุมสีเทาก็พลันรู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงใต้ฝ่าเท้าของเขา


“มาจากหอบรรพบุรุษ เร็วเข้า รีบไปดูกัน!”


เมื่อรู้สึกได้ว่าแรงสั่นสะเทือนนั้นมีต้นกำเนิดจากหอบรรพบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเขียวถึงกับหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึงขณะรีบพุ่งไป มีอีกคนตามไปติดๆ


ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง ก็ถึงกับจังงังกับสิ่งที่ได้เห็น


รูปปั้นของผู้ก่อตั้งตระกูลหลัว, หลัวหยุนเทียน หันหน้ามาทางประตูบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ และกำลังมองไปไกลแสนไกลพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เขาประสานมือและแสดงกิริยาทักทายเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างเป็นทางการ


ในเวลาเดียวกัน ป้ายชื่อของบรรพบุรุษอีกมากมายที่อยู่ด้านหลังก็ดูจะโค้งคำนับด้วยความยำเกรง ราวกับยืนอยู่ตรงหน้าผู้ที่เหนือกว่า ไม่กล้าเงยหน้ามอง


ส่วนตัวอักษร 2 ตัวที่ผู้ก่อตั้งหลัวหยุนเทียนทิ้งไว้ คือคำว่า ‘ความเงียบ’ และ ‘มิติ’ ก็สั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับพร้อมจะหลุดออกจากผนังได้ทุกขณะ


แรงสั่นสะเทือนที่ทั้งคู่รู้สึกได้จากด้านนอกก็มีต้นกำเนิดมาจากตัวอักษร 2 ตัวนี้


“หรือว่า…ผู้ก่อตั้งของเราจะฟื้นคืนชีพ?” ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเขียวพึมพำอย่างตกตะลึง


“ผู้ก่อตั้งหลัวหยุนเทียนเสียชีวิตไปนานนับปีไม่ถ้วนแล้วนะ เขาจะฟื้นคืนชีพได้อย่างไร?” ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเทารับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้ได้สุขุมเยือกเย็นกว่า แต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ “ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่ที่แน่ๆก็คือเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว เราต้องไปรายงานรองหัวหน้าตระกูล ผู้อาวุโสที่ 1 และคนอื่นๆ พวกเขาคงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


“ได้สิ!”


ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเขียวไม่ยอมเสียเวลา เขานำตราหยกสื่อสารออกมาและรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในหอบรรพบุรุษต่อเหล่าผู้อาวุโส ไม่ช้า ลมหอบใหญ่ก็พัดมาจากด้านบน ทั้งรองหัวหน้าตระกูล, ผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉิน, หลัวชวนฉิง และคนอื่นๆมุ่งหน้ามาทางพวกเขาด้วยสีหน้ากังวลและร้อนรน


หลังจากตระกูลจางทิ้งความวุ่นวายเอาไว้ เหล่าสมาชิกของตระกูลหลัวต่างก็ง่วนอยู่ในห้องโถงใหญ่ พยายามจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันจะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านพัก ก็ได้ข่าวว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่หอบรรพบุรุษ


หอบรรพบุรุษมีความสำคัญมากต่อตระกูลหลัว พวกเขาจึงรีบมาที่นี่โดยไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว


“เกิดอะไรขึ้น?”


ยังไม่ทันที่ทั้งกลุ่มจะร่อนลงถึงพื้น รองหัวหน้าตระกูลหลัว, หลัวกั้นเจินก็ตะโกนถามศิษย์สายตรงทั้ง 2 คนที่อยู่ด้านล่าง


“เอ่อ…” เพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ศิษย์สายตรงในเสื้อคลุมสีเทาประสานมือและตอบว่า “รองหัวหน้า ผมคิดว่าคุณมาดูเองจะดีกว่า!”


ทันทีที่ร่อนลงถึงพื้น หลัวกั้นเจินรีบเดินเข้าไปในหอบรรพบุรุษ เมื่อเห็นภาพด้านในก็ถึงกับจังงังไปครู่หนึ่งก่อนจะมือไม้สั่นด้วยความตื่นเต้น สองแก้มของเขาแดงก่ำขณะพูดตะกุกตะกักออกมา “นี่…นี่มัน…”


“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น?” เห็นทีท่าของหลัวกั้นเจิน หลัวชวนฉิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


ผู้อาวุโสคนอื่นๆก็ชะงักไปกับปฏิกิริยาของรองหัวหน้าตระกูล


รองหัวหน้าตระกูลของพวกเขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็นเสมอมา แม้แต่ระหว่างการปะทะกับตระกูลจางเมื่อครู่นี้ เขาก็ยังระงับอารมณ์ไว้ได้ แล้วเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เขาแสดงกิริยาแบบนี้ออกมา?


“ฮ่าฮ่า! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! สวรรค์เมตตาตระกูลหลัวของเราแล้ว! ตระกูลหลัวของเราจะก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง!” หลัวกั้นเจินหัวเราะลั่นก่อนจะหันมามองคนอื่นๆด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “พวกคุณอยากรู้ใช่ไหมว่าปรากฏการณ์นี้หมายความว่าอย่างไร? นี่คือการยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษ แสดงว่ามีใครคนหนึ่งสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติในการสกัดกั้นมิติได้แล้ว!”


“ใครคนหนึ่งทำความเข้าใจแก่นสารของมิติในการสกัดกั้นมิติได้แล้ว? หรือว่า…” หลัวชิงเฉินตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ


“ใช่แล้ว! แก่นสารของมิติในการสกัดกั้นมิติถือเป็นเทคนิควรยุทธหลักของตระกูลหลัวของเรา หากใครสักคนทำความเข้าใจมันได้สำเร็จ ก็จะสามารถสำแดงศาสตร์ลับทั้งหมดของตระกูลหลัวได้! ตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีนับตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลหลัวมา มีเพียงผู้ก่อตั้งหลัวหยุนเทียนคนเดียวเท่านั้นที่สำเร็จวิชานี้ ข้อเท็จจริงที่ว่ามีใครอีกคนหนึ่งทำได้ ก็หมายความว่าตระกูลหลัวของเราจะก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง!” หลัวกั้นเจินอุทานด้วยความตื่นเต้น


เขารีบสั่งการกับฝูงชนที่ยืนอยู่โดยรอบ “เร็วเข้า รีบไปสำรวจและตามหาว่าผู้อาวุโสหรือทายาทคนไหนที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติ หลังจากพบตัวเขาแล้ว เราจะจัดพิธีสถาปนาและแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป!”


ตอนที่ 1592 นักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ

“ขอรับ!” เหล่าผู้อาวุโสรีบพยักหน้าเมื่อได้ยินคำสั่ง ก่อนจะกระจายกำลังกันออกไป


การสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิตินั้นคือการเข้าถึงสุดยอดของศาสตร์แห่งมิติ หากมีผู้เชี่ยวชาญระดับนี้อยู่ในหมู่พวกเขา ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลหลัวได้!


พวกเขาจะสามารถเอาคืนตระกูลจางที่บังอาจมาดูถูกเหยียดหยาม และทำให้พวกเขาต้องอับอายขายหน้าจากการถูกปฏิเสธ


ด้วยสิ่งนี้ โลกทั้งโลกจะได้รู้ว่าจางเซวียนโง่เง่าขนาดไหนที่ปฏิเสธตระกูลหลัว!


“จางเซวียน คุณคงนึกไม่ถึงหรอกว่ามีใครบางคนในตระกูลหลัวของเราฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างรวดเร็วหลังจากการปฏิเสธของคุณ!” หลัวกั้นเจินพึมพำด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ “รอให้เราพบคนผู้นั้นและสถาปนาเขาขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเสียก่อนเถอะ…ผมจะเหยียดหยามคุณกลับคืนเป็น 2 เท่า!”


ผู้ที่ทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้นั้นจะถือว่าได้รับสุดยอดแห่งมรดกของตระกูลหลัว ขอแค่ระดับวรยุทธของบุคคลผู้นั้นถึงขั้น ตำแหน่งทายาทน้อยของตระกูลจางก็ไร้ความหมาย!


“จริงด้วย! ผมคงขจัดความเกลียดชังออกไปไม่ได้ถ้าไม่ได้หั่นหมอนั่นเป็น 2 ท่อน!” หลัวชวนฉิงคำรามกร้าว


เขาเคยมองชายหนุ่มเป็นเพื่อนรัก แต่อีกฝ่ายทำร้ายจิตใจน้องสาวของเขาอย่างสาหัส ราวกับว่าเธอไม่มีความสำคัญอะไรเลย!


ฟึ่บ!


ไม่ช้า เหล่าผู้อาวุโสที่กระจายกำลังกันออกไปก็กลับมา


“เรียนท่านรองหัวหน้าตระกูล พวกเราตรวจสอบเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ทุกคนในตระกูลแล้ว แต่ไม่มีใครสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเลย!”


“เรียนท่านรองหัวหน้าตระกูล ไม่มีสมาชิกคนไหนที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 8 ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ!”


…..


เหล่าผู้อาวุโสรีบรายงานผลการค้นหาของพวกเขา ความผิดหวังครอบงำทั่วทั้งห้อง


ข้อเท็จจริงที่ว่าแม้แต่ผู้ก่อตั้งตระกูลของพวกเขาก็ยังแสดงการคารวะนั้นมากเกินพอที่จะบ่งบอกว่ามีผู้สำเร็จความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติจริงๆ ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ แต่พวกเขาก็ไต่ถามนักรบทุกคนที่อยู่ในตระกูลแล้ว ไม่มีใครสักคนผ่านประสบการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการฝ่าด่านวรยุทธเลย


เรื่องนี้ออกจะน่าสับสนมาก


“ไม่มีใครเลยหรือ? จะไม่มีใครเลยได้อย่างไร? กฏเกณฑ์แห่งมิตินั้นถือเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับการสกัดกั้นมิติ หากปราศจากสายเลือดและมรดกตกทอดของตระกูลหลัว ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะเข้าใจแม้แต่ความรู้ขั้นพื้นฐาน…” หลัวกั้นเจินไม่อยากเชื่อในผลของการค้นหา


ผู้ก่อตั้งหลัวหยุนเทียนประสบความสำเร็จในการทำความเข้าใจวิชานี้เพราะได้รับเครื่องเก็บงำมิติและบังเอิญเจอเข้ากับมรดกตกทอดของนักปราชญ์ชิวอู๋ หากผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติไม่ใช่สมาชิกจากตระกูลของเขา แล้วจะเป็นใครไปได้?


“พวกเราตรวจสอบแล้วแม้กระทั่งกับเหล่านักรบที่เข้าปลีกวิเวก…จะเป็นไปได้ไหมว่าบุคคลนั้นไม่ได้มาจากตระกูลหลัวจริงๆ?” หลัวชิงเฉินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ถ้าคนคนนั้นมาจากตระกูลหลัว ก็จะต้องรู้ดีว่าการสำเร็จวิชานี้มีความหมายอย่างไร ต่อให้พวกเขาไม่ต้องออกไปสอบถาม ผู้นั้นก็จะต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสเพื่อรายงาน แต่นี่ก็ไม่มีใครมาเลย


หลักฐานทุกอย่างดูจะชี้ชัดว่าคนผู้นั้นไม่ได้มาจากตระกูลหลัว


“เราต้องหาให้เจอว่าเขาเป็นใคร ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ต้องพาเขากลับสู่ตระกูลหลัวให้ได้ ต่อให้จะหมายความว่าต้องลากตัวเขามาด้วยการ…” หลัวกั้นเจินหรี่ตา “…การแต่งงานก็เถอะ!”


“การแต่งงาน?” หลัวชวนฉิงชะงัก


“ใช่แล้ว! ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้นั้นสำเร็จเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติย่อมหมายความว่าศาสตร์ลับทั้งหมดของตระกูลหลัวจะไม่เป็นความลับกับเขาอีกต่อไป ซึ่งหากเขากลายเป็นศัตรู ตระกูลของเราจะต้องพังพินาศแน่! ดังนั้น พวกเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำเขาเข้าสู่ตระกูลของเราให้ได้ ต่อให้เขาอยากแต่งงานกับน้องสาวของเจ้า เราก็ต้องอนุญาต!” หลัวกั้นเจินโบกมืออย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว


“ไม่นะ แต่ว่า…” ได้ยินคำนั้น หลัวชวนฉิงนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึง


“ไม่มีความจำเป็นต้องหารืออะไรทั้งนั้น เรื่องจางเซวียนกับน้องสาวของเจ้าน่ะไม่มีหวังแล้ว และในเมื่อเป็นแบบนั้น เราก็จะต้องหาตัวบุคคลที่สำเร็จวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติมาให้ได้ ด้วยวิธีนี้ เราจะได้แก้แค้นตระกูลจาง…เราจะประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าตระกูลหลัวของเราสามารถยืนเป็นที่หนึ่งได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร!” หลัวกั้นเจินคำราม


ได้ยินคำนั้น หลัวชวนฉิงจ้องหน้าท่านพ่อของเขาด้วยแววตาสับสน


เขาเองก็อยากแก้แค้นจางเซวียนกับตระกูลจาง และจะทำแบบนั้นให้ได้หากพวกเขาสามารถหาตัวบุคคลที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติมาเป็นพวกได้สำเร็จ เพราะในเวลาเดียวกัน ตระกูลหลัวก็จะได้เรียกศักดิ์ศรีกลับคืนมาด้วย


แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในงานหมั้น เขาก็ไม่อาจทนดูน้องสาวของเขาต้องกลายเป็นแพะบูชายัญอีก ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว!


“เอาล่ะ เป็นอันจบเรื่องนะ รีบส่งคนออกไปควานหาตัวเขา! ทันทีที่พบ ให้รายงานผมทันที ผมจะไปพบเขาด้วยตัวเอง!” หลัวกั้นเจินสะบัดแขนเสื้ออย่างวางมาด


“ขอรับ!”


เหล่าผู้อาวุโสรีบกระจายกำลังกันออกไป


…..


เมื่อไม่มีผืนทรายแห่งมิติมาขวางทาง ทั้งสามก็รุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว


ไม่ช้า พวกเขาก็มาหยุดที่หน้าประตูพระราชวัง


จางเซวียนเงยหน้าขึ้นและมองขั้นบันไดสูงตระหง่านที่อยู่ตรงหน้า


ทั้งสองด้านของประตูทางเข้ามีรูปปั้นหิน 2 ตัวที่แกะสลักเป็นรูปเด็กชายวัยรุ่น พวกเขาสวมเสื้อผ้าตามแบบยุคสมัยโบราณและไว้ผมยาว ทั้งคู่อยู่ในท่าโค้งคำนับ ดูเหมือนจะแสดงการคารวะผู้ที่มาเยือนพระราชวังแห่งนี้


มีป้ายอยู่เหนือทางเข้าซึ่งมีตัวอักษรขนาดใหญ่ 3 ตัวเขียนไว้บนนั้น มันแผ่รังสีอันคมกริบออกมา ราวกับหอกที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่และฉีกร่างผู้บุกรุกให้แหลกเป็นชิ้นๆ


ช่างเป็นการจับคู่ที่แสนพิลึกพิลั่น – ภาพเด็กชายวัยรุ่น 2 คนที่กำลังโค้งคำนับเพื่อแสดงการคารวะ กับถ้อยคำอันดุร้ายที่อยู่บนป้ายชื่อ


“หอหรันจื่อ!” หวู่เฉินอ่านเสียงดัง


“ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณหรันชิวจะเป็นผู้เขียนด้วยตัวเอง” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า


หากใช้มุมมองของจิตรกร ตัวอักษร 3 ตัวนั้นดูจะไม่ได้เขียนขึ้นด้วยทักษะอันสูงส่งนัก แต่มันมีแนวคิดของความงามสง่าที่แม้แต่ผู้ที่มีสายตาหยั่งรู้ระดับจางเซวียนก็ยังไม่อาจมองทะลุได้ ยากที่จะจินตนาการว่ามันเป็นฝีมือของใครอื่นหากไม่ใช่นักปราชญ์โบราณหรันชิว


จางเซวียนส่ายหน้าและโค้งคำนับอย่างงามให้กับรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นทั้งสอง รวมทั้งป้ายชื่อที่อยู่ตรงกลาง


ภูมิปัญญา ความสามัคคี ความชอบธรรม ความรู้ และความสมบูรณ์แบบ ข้อเท็จจริงที่ว่าความชอบธรรมถูกวางในตำแหน่งที่อยู่ก่อนหน้าความรู้และความสมบูรณ์แบบนั้นบ่งบอกว่าปรมาจารย์ขงให้คุณค่ากับคุณลักษณะข้อนี้ ในเมื่อพวกเขาอยู่ในอาณาจักรโบร่ำโบราณของศิษย์สายตรงคนหนึ่งของปรมาจารย์ขง จึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่หลงลืมเรื่องมารยาท


ครืดดด!


หลังจากคารวะ ก็เกิดการสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ทางซ้ายลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะมองหน้าพวกเขาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


“บรรดาแขกเหรื่อของหอหรันจื่อ ผมขอชื่นชมพวกคุณที่มาได้ไกลขนาดนี้ แต่ก็โชคไม่ดีที่จะต้องบอกว่าพวกคุณยังไม่ได้เข้าถึงใจกลางของหอหรันจื่อ ถ้าพวกคุณอยากเข้าไป ก็ต้องผ่านการทดสอบก่อน” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพูด


“ไม่ทราบว่าการทดสอบคืออะไร?” จางเซวียนถามขณะประสานมือ


“นักปราชญ์โบราณหรันชิวไม่ชอบพิธีการที่ฟุ่มเฟือยวุ่นวาย เพราะฉะนั้นบททดสอบของเขาจึงเรียบง่าย คุณจะต้องท้าทายหนึ่งในนักรบของเราที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับคุณ ซึ่งหากคุณได้ชัยชนะ ก็จะได้เข้าสู่เส้นทางที่นำไปด้านใน ถ้าไม่อย่างนั้น ผมคงต้องขอให้พวกคุณหันหลังกลับแล้วจากไปเสีย!” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพูดขณะยกมือขึ้น


ตุ้บ!


ตัวอักษรขนาดใหญ่ 3 ตัวที่อยู่บนป้ายร่วงลงสู่พื้น จากนั้นพวกมันก็กลายร่างเป็นนักรบเกราะทอง 3 คนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน


“เฮ้ย…” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา เขาบอกได้ว่านักรบทั้งสามคนนี้ไม่ใช่ของล้ำค่าชนิดพิเศษ แต่เป็นร่างที่แท้จริงของตัวอักษรที่อยู่บนป้าย ทั้งสามมีรังสีคุกคามเหมือนกับตัวอักษรที่อยู่บนป้ายนั้น ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง


เห็นสีหน้าประหลาดใจของจางเซวียน หลัวลั่วชิงอธิบาย “พวกนี้คือนักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ!”


“นักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ?” จางเซวียนทวนคำ


เขาเคยได้ยินเรื่องการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์และหัวใจครูบาอาจารย์ แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องนักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณมาก่อน


“ตำนานกล่าวไว้ว่าปรมาจารย์ผู้ทรงพลังบางคนสามารถเก็บรักษาจิตวิญญาณของตัวเองไว้ในรูปของถ้อยคำได้ และภายใต้สภาวะพิเศษบางอย่าง ถ้อยคำเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นนักรบทองคำที่สามารถสู้รบกับคนอื่นๆ” หลัวลั่วชิงอธิบาย “นักรบทองคำเหล่านี้เป็นผลผลิตจากจิตวิญญาณ ของปรมาจารย์ พวกเขามีทั้งสัญชาตญาณการต่อสู้และการเคลื่อนไหวในแบบของปรมาจารย์ ทำให้เป็นคู่ต่อสู้ที่ไร้เทียมทานมาก”


“มีสัญชาตญาณของการต่อสู้และการเคลื่อนไหวในแบบของปรมาจารย์…ในเมื่อถ้อยคำเหล่านี้เป็นฝีมือของนักปราชญ์โบราณหรันชิว นั่นก็หมายความว่านักรบทองคำพวกนี้มีประสิทธิภาพการต่อสู้แบบเดียวกับเขาน่ะสิ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


ตอนที่ 1593 พละกำลังอันน่าทึ่งของหวู่เฉิน

นักปราชญ์โบราณหรันชิวมีชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะศิษย์สายตรงที่แข็งแกร่งที่สุดของปรมาจารย์ขง จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อาจประมาทพละกำลังของเขาได้


ถ้านักรบทองคำเหล่านี้มีสัญชาตญาณในการต่อสู้และการเคลื่อนไหวตามแบบของเขาจริงๆ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่นักรบวรยุทธขั้นเดียวกันจะเอาชนะได้สำเร็จ!


“แต่อันที่จริงน่ะ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถึงนักรบทองคำจะมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ตามแบบของปรมาจารย์ที่เป็นเจ้าของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ แต่สถานการณ์ในการต่อสู้นั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ปฏิกิริยาโต้ตอบที่คลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างมากกับผลของการต่อสู้ หากนักรบทองคำเหล่านี้มีพละกำลังได้เพียงครึ่งหนึ่งของนักปราชญ์โบราณหรันชิวก็ถือว่าน่าทึ่งแล้ว” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ


ลงท้าย ต่อให้ลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณจะได้รับการถ่ายทอดเจตจำนงของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเอาไว้ แต่มันก็เป็นแค่ตัวหนังสือ ไม่ได้น่าสะพรึงอย่างที่ดูเหมือนจะเป็น


“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า “ใครจะเป็นคนแรก?”


“ผมเอง!” หวู่เฉินก้าวออกมาและอาสา “ให้ผมเปิดทางให้นายหญิงกับปรมาจารย์จางนะ”


“ได้สิ!” จางเซวียนพยักหน้า


ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของหวู่เฉินจะดูเหมือนเด็กชายวัยรุ่นที่มีอายุเพียง 13-14 ปี แต่พละกำลังที่เขาสำแดงออกมานั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนอื่นๆที่จางเซวียนเคยเห็น เขาจึงไม่คิดว่าจะมีอะไรให้ต้องกังวล


กลับเป็นโอกาสดีเสียอีกที่จะได้เห็นว่านักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณเหล่านี้มีความสามารถแค่ไหน


“เริ่มกันเถอะ!”


เมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งก้าวออกมา รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพยักหน้า แล้วนักรบทองคำที่แปรสภาพมาจากตัวอักษร ‘หรัน’ ก็ก้าวยาวๆเข้ามา ร่างของมันสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะแผ่รังสีของนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เทียบเท่ากับหวู่เฉิน


“ไร้เทียมทานจริงๆ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างยำเกรง


สำหรับตัวอักษรตัวหนึ่งที่สามารถยกระดับวรยุทธและต่อสู้ได้เหมือนมนุษย์…เขาคงจะไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้จริงหากไม่ได้เห็นกับตา


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ตระกูลต่างๆพากันทุ่มเทอย่างสุดตัวเพียงเพื่อจะให้ได้ลายมือจำนวนน้อยนิดของปรมาจารย์ขง ดูเหมือนทุกถ้อยคำของนักปราชญ์โบราณจะมีความสามารถอย่างน่าทึ่ง


ฟึ่บ!


หลังจากยกระดับพละกำลังของมันให้เทียบเท่ากับหวู่เฉินแล้ว นักรบทองคำก็ชักหอกออกมาและพุ่งเข้าใส่หวู่เฉินโดยไม่ลังเล


ขณะที่หอกกำลังพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของหวู่เฉิน มันก็ฉีกกระชากมิติเป็นทางยาว ก่อเกิดพละกำลังที่น่าสะพรึง


“ช่างเป็นศิลปะเพลงหอกที่น่าทึ่งจริงๆ…” จางเซวียนกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น


ทักษะของผู้เชี่ยวชาญตัวจริงนั้นจะถูกแสดงออกมาในทุกท่วงท่า


ในฐานะนักรบคนหนึ่งที่ได้ถ่ายทอดศิลปะเพลงหอกของตัวเองให้กับเจิ้งหยาง แน่นอนว่าความเชี่ยวชาญเพลงหอกของจางเซวียนนั้นอยู่ในระดับที่ล้ำลึกไม่เบา แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าแม้ศิลปะเพลงหอกของนักรบทองคำจะไม่ได้เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพเหมือนกับศิลปะเพลงหอกของเขา แต่ก็สามารถเข้าถึงแก่นสารของศิลปะเพลงหอกได้ ความเฉียบคมของมันพุ่งตรงเข้าสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ ทำให้ยากที่จะต้านทานหรือหลบเลี่ยง


แน่นอนว่าหวู่เฉินก็รับรู้ถึงอันตรายของหอกนั้น เขาหัวเราะหึๆ “ออกตัวได้ดีนี่!”


แทนที่จะหลบการจ้วงแทงของหอก เขากลับยกนิ้วขึ้นและชี้ตรงไปที่ปลายหอก ดูเหมือนตั้งใจจะเผชิญหน้ากับการโจมตีของนักรบทองคำโดยตรง


ภายใต้สถานการณ์ปกติ การเผชิญหน้ากับหอกด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวก็เท่ากับเอาความตายเข้าแลกแต่หวู่เฉินได้สร้างโดมพลังงานขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา ซึ่งเมื่อปลายหอกสัมผัสกับโดมพลังงาน มันก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีของคลื่นรบกวนของมิติ ทำให้เป็นโอกาสของหวู่เฉินที่จะพลิกผันสถานการณ์มาอยู่เหนือนักรบทองคำได้


บางที นักรบทองคำอาจสัมผัสได้ถึงอันตรายจากโดมพลังงานของหวู่เฉิน แต่มันก็ไม่แสดงสีหน้าหรือความรู้สึกใดๆ กลับชูหอกขึ้น


มันปรับเปลี่ยนท่วงท่าโดยไม่ชักช้าหรือลังเลแม้แต่น้อย ราวกับการจ้วงแทงเมื่อครู่นี้เป็นการสับขาหลอก และคราวนี้เป็นของจริง


การปรับเปลี่ยนกระบวนท่าจากกระบวนท่าหนึ่งไปอีกกระบวนท่าหนึ่งอย่างรวดเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่กับจางเซวียน ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยทีเดียว


“น่าประทับใจมาก ลำพังแค่การปรับเปลี่ยนท่วงท่าครั้งนี้ก็มีความแข็งแกร่งเท่ากับ 1 ใน 3 ของเราแล้ว!” จางเซวียนอดชมเชยไม่ได้


ด้วยหอสมุดเทียบฟ้าและดวงตาหยั่งรู้ เขามองเห็นข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น หากเขาประกาศตัวว่าตัวเองเป็นนักรบผู้มีความสามารถในการโจมตีเป็นอันดับสอง ก็ย่อมไม่มีใครกล้าประกาศตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง! ข้อเท็จจริงที่ว่านักรบทองคำซึ่งทำจากตัวอักษรมีพละกำลังได้ถึง 1 ใน 3 ของเขาถือเป็นวีรกรรมที่น่าทึ่งมาก


“ฮึ่มมม!” หวู่เฉินคำรามขณะชะงักไปครู่หนึ่งกับการเปลี่ยนแปลงท่วงท่าในศิลปะเพลงหอกของนักรบทองคำ เขางอนิ้วและกระดิกมันเบาๆ


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีพุ่งออกจากปลายนิ้วและปะทะกับหอกของนักรบทองคำ เกิดเสียงเคร้งของโลหะกระทบกัน หอกนั้นกระเด็นหลุดจากมือของนักรบทองคำทันที


ในเวลาเดียวกัน นักรบทองคำก็ถูกบีบให้ถอยกรูดไป 4 ก้าว ก่อนที่ร่างของมันจะสลายไปราวกับน้ำไหล กลับไปสู่สภาพของตัวอักษรที่เขียนว่า ‘หรัน’ ก่อนจะลอยกลับสู่ป้ายชื่อ


“น่าทึ่งมาก!” จางเซวียนหรี่ตามองหวู่เฉิน


ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ นักรบทองคำตัวนี้แข็งแกร่งกว่าแม้แต่เจิ้งหยาง แต่หวู่เฉินก็ได้ชัยชนะภายใน 2 กระบวนท่า และเท่าที่เห็น เขาก็ยังไม่อ่อนแรงด้วย ดูเหมือนในตัวเด็กชายคนนี้จะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิด


ข้อบกพร่อง! จางเซวียนเพ่งสมาธิ


ก่อนหน้านี้ เขาพยายามใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบหลัวลั่วชิง แต่ลงท้ายตัวเองก็สลบไป หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็ไม่กล้าส่องเธออีกเลย แต่การใช้หอสมุดเทียบฟ้าส่องหาข้อมูลของเด็กชายวัยรุ่นที่ติดตามเธอมาก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่


เมื่อเขารู้ตัวตนของเด็กชายคนนี้ การจะคาดเดาตัวตนของหลัวลั่วชิงก็คงจะง่ายขึ้น


ฟึ่บ!


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือปรากฏ


เกิดอะไรขึ้น? จางเซวียนประหลาดใจ


หลังจากสู้กับนักรบทองคำแล้ว หวู่เฉินก็ยังคงขับเคลื่อนพลังปราณในร่างของเขาอยู่ ซึ่งการกระทำนั้นก็เทียบเท่ากับการสำแดงเทคนิคการต่อสู้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ หอสมุดเทียบฟ้าจะต้องประมวลหนังสือเกี่ยวกับอีกฝ่ายออกมา โดยบอกทั้งที่มาที่ไปและข้อบกพร่อง แต่ทำไมถึงไม่เกิดอะไรขึ้นเลย?


มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!


นี่หมายความว่าเด็กชายมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายอย่างสิ้นเชิงด้วยหรือ?


จางเซวียนขมวดคิ้ว


มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียวที่หอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจประมวลหนังสือเกี่ยวกับใครคนหนึ่งได้ นั่นก็คือสวรรค์มองไม่เห็นอีกฝ่าย นั่นหมายความว่าหวู่เฉินมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายเหมือนกับตัวเขา!


ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีทั้งผู้เชี่ยวชาญและอัจฉริยะมากมาย แต่จนถึงทุกวันนี้ เท่าที่รู้กัน ก็มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่มีสภาวะดังกล่าว คนแรกคือตัวเขา คนที่สองคือหลัวฉีฉี และในขณะที่คนสุดท้ายยังคงไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ก็มีโอกาสที่สุภาพสตรีลึกลับที่ผู้อาวุโสเฟิงพูดถึงในครั้งนั้นก็น่าจะเป็นหลัวลั่วชิง


ข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าผู้หยั่งรู้ไม่อาจสำรวจตรวจสอบคนรักของเขา และหอสมุดเทียบฟ้าก็ประมวลหนังสือเกี่ยวกับเธอออกมาไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี


การที่หลัวลั่วชิงจะมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายคนนี้จะมีสภาวะแบบเดียวกันด้วย มันน่าสะพรึงเกินไป!


สภาวะนี้กลายเป็นของที่มีกันได้ทั่วไปตั้งแต่เมื่อไหร่?


คงถึงเวลาที่เราจะต้องยกระดับหอสมุดเทียบฟ้าแล้ว…บางทีอาจจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมเยียนศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้…จางเซวียนลูบคางและครุ่นคิด


เขายกระดับวรยุทธของตัวเองแล้ว แต่ก็นานพอสมควรที่ยังไม่ได้ยกระดับหอสมุดเทียบฟ้าอีก


ถึงหอสมุดเทียบฟ้าจะยังคงไร้เทียมทานอยู่แม้ไม่ได้รับการยกระดับ แต่มันก็ออกจะกวนใจเขาอยู่ไม่น้อยที่มีบางอย่างที่เขามองไม่เห็น บางทีปัญหานี้อาจคลี่คลายได้หากมันได้รับการยกระดับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


แต่จนถึงวันนี้ เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าการยกระดับหอสมุดเทียบฟ้านั้นทำงานอย่างไร ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น เขาอยู่กับหลัวลั่วชิง และสลบไปสามวันเต็ม ส่วนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากที่เขาทำลายศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้


จางเซวียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลัวลั่วชิงในวันนั้น แต่ส่วนการทำลายศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้นั้นเป็นเรื่องง่าย เขาสามารถหาศาลเจ้าผู้หยั่งรู้ใหญ่ๆที่ไหนสักแห่งในทวีปแห่งปรมาจารย์และไปเยี่ยมเยียนพวกนั้นสักหน่อย!


แต่แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้จะต้องเอาไว้คิดทีหลัง ตอนนี้เขาต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อน


จางเซวียนเงยหน้าขึ้นและเห็นหลัวลั่วชิงกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาล้ำลึก ดูเหมือนมีบางคำพูดกำลังจะหลุดออกจากปากของเธอ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เธอหันกลับไปมองทหารนักรบทองคำอีก 2 ตัวที่เหลืออยู่แล้วพูดว่า “ฉันจะจัดการตัวที่ 2 เอง”


ตอนที่ 1594 ท้าทายตัวอักษรสองตัว

“ให้ผมจัดการเองดีกว่า!” จางเซวียนตอบ


เขามัวแต่จับสังเกตหวู่เฉินจนลืมเรื่องนี้ แล้วจะปล่อยให้คนรักออกไปต่อสู้ขณะที่ตัวเองนั่งดูเฉยๆได้อย่างไร?


“ใครออกไปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะโบกมือ


ตัวอักษร ‘จื่อ’ แปรสภาพเป็นนักรบทองคำและก้าวออกมา


“สำคัญสิ คุณมีตัวอักษรสามตัวที่พวกเราสามคนจะต้องรับมือด้วย…แต่ถ้าผมเอาชนะตัวอักษรอีกสองตัวที่เหลือได้ นั่นก็หมายความว่าเธอก็ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนตั้งคำถามอย่างสุขุม


“คุณคิดจะรับมือกับตัวอักษรทั้งสองตัวด้วยตัวเอง?” รูปปั้นเด็กชายถึงกับชะงัก “คุณแน่ใจนะ?”


“แน่นอน!” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่น


เขาจับตาดูการต่อสู้ระหว่างหวู่เฉินกับนักรบทองคำตัวแรกแล้ว ซึ่งประสิทธิภาพการต่อสู้ของฝ่ายหลังก็ไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่ ห่างไกลเกินกว่าจะอยู่ในระดับขั้นที่เขาต้องกังวล การที่เขาจะได้ชัยชนะคงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


และในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนหลัวลั่วชิง


ได้ยินคำพูดของจางเซวียน หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว “จางเซวียน นักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณน่ะ แต่ละตัวจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆนะ…”


“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่ตัวอักษรสองตัว ผมจัดการได้” จางเซวียนตอบ


“…ถ้าอย่างนั้นก็ดี ระวังตัวด้วยล่ะ” เห็นจางเซวียนมั่นอกมั่นใจ หลัวลั่วชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่และพยักหน้า


“เริ่มกันเถอะ!”


จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะเดินเข้าหานักรบทองคำทั้งสองตัว เขาเงื้อมือขึ้น แล้วรังสีอันไร้เทียมทานก็พุ่งขึ้นสู่เมฆ เกิดเป็นภาพอันงดงาม


นึกแล้วเชียวว่าเขาต้องมีอะไรดีๆอยู่กับตัว…หวู่เฉินคิด


ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคนที่เก่งกาจอย่างหลัวลั่วชิงถึงมีใจให้ชายหนุ่มธรรมดาสามัญคนนี้ แต่หลังจากได้เห็นชายหนุ่มแสดงความกล้าหาญและเข้าท้าทายตัวอักษรทั้งสองตัวพร้อมๆกันเพื่อหญิงที่เขารัก หวู่เฉินก็รู้สึกว่าเขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของหลัวลั่วชิงได้ดีขึ้น


ถึงหมอนี่ออกจะขี้อวดและชอบโชว์เหนือ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่ไว้วางใจได้ในช่วงเวลาคับขัน


ฟึ่บ!


ในเวลาเดียวกัน นักรบทองคำทั้ง 2 ตัวก็ยกระดับขึ้นเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่จางเซวียนพร้อมๆกันโดยไม่ลังเล กระบวนท่าที่นักรบทั้งสองสำแดงออกมานั้นแตกต่างกัน แต่ช่วงเวลาและการร่วมมือกันของทั้งคู่ถือว่าไร้ที่ติ ราวกับทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว การโจมตีของพวกมันพุ่งตรงเข้าใส่ทั้งข้อบกพร่องและจุดอ่อนของจางเซวียน ทำให้ยากที่เขาจะหลบเลี่ยง


“ไม่เลวนี่!”


ด้วยการร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบของนักรบทองคำทั้งคู่ ประสิทธิภาพการต่อสู้ที่มันสำแดงออกมาจึงน่าสะพรึงกว่านักรบทองคำที่มาจากตัวอักษร ‘หรัน’ แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขายิ้มและเคาะนิ้วไปข้างหน้า


“สกัดกั้น!”


ฟึ่บ!


สายลมอ่อนๆที่โชยมาหายวับไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย พื้นที่โดยรอบถูกสกัดกั้นเอาไว้หมด ราวกับปลาที่ถูกแช่แข็ง นักรบทองคำทั้งสองพบว่าตัวเองไม่อาจก้าวออกมาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว


หากมีอะไรร่วงลงมาในตอนนั้น ก็คงจะแข็งทื่อกลางอากาศเช่นกัน


หลังจากสำเร็จแก่นสารเรื่องมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ถึงจางเซวียนจะยังต้องประสบกับความยากลำบากในการสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่หากจะเอาชนะนักรบที่มีวรยุทธขั้นเดียวกับเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย


กล่าวได้ว่า ด้วยความสามารถข้อนี้ จะไม่มีนักรบที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันกับเขาคนไหนสามารถเอาชนะเขาได้ เขาถือเป็นผู้ไร้เทียมทานในระดับขั้นของตัวเอง


แต่ก็แน่นอนว่า เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติหรืออะไรบางอย่างที่มีความล้ำลึกทัดเทียมกัน อย่างเช่นเคล็ดวิชาแก่นสารของกาลเวลาของตระกูลจาง


“สลายตัว!”


หลังจากสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของนักรบทองคำทั้งสองให้อยู่กับที่แล้ว จางเซวียนก็ยกนิ้วขึ้นอีกครั้งโดยตั้งใจจะจัดการสลายทั้งคู่ ก็พอดีกับที่รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นอุทานขึ้นมา “แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋? คุณคือผู้สืบทอดของชิวอู๋จื่อใช่ไหม? ได้โปรดปรานีนักรบทองคำด้วย!”


นึกไม่ถึงว่ารูปปั้นเด็กชายจะมองทะลุต้นตอของเทคนิควรยุทธของเขา จางเซวียนหันไปมองด้วยความสงสัย


ฟึ่บ!


ขณะที่สภาพจิตของเขาวอกแวกไปเล็กน้อย มิติที่สกัดกั้นนักรบทองคำทั้งสองก็สลายตัวไป สายลมอ่อนพัดโชยมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน การโจมตีของนักรบทั้งคู่ที่เคยแข็งทื่อก็กลับพุ่งเข้าใส่เขา


“ฮึ่มมม!”


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากทั้ง 2 ทาง จางเซวียนคำราม เขายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่แล้วการโจมตีของนักรบทั้งสองก็บิดเบี้ยวเป็นมุมประหลาด ทำให้พลาดเป้าหมายจากตัวเขาไป


“นี่มัน…การขัดขวางมิติ?” หวู่เฉินตาโตด้วยความตกตะลึง


มันคือกระบวนท่าเดียวกันกับที่เขาใช้รับมือกับโดมพิชิตปีศาจของเหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลัว – การขัดขวางมิติ!


พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ จางเซวียนได้ทำให้มิติที่อยู่รอบตัวเขาบิดเบี้ยว การโจมตีที่ควรจะพุ่งตรงเข้าใส่เขาจึงถูกเบี่ยงเบนออกไป


ในฐานะนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หวู่เฉินสำแดงกระบวนท่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด การจะสำแดงกระบวนท่านี้ออกมาเรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย!


แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขากลับทำได้อย่างง่ายดาย แถมอยู่ในระดับขั้นที่ล้ำลึกกว่าเขาด้วย…


ตลอดชีวิตอันยาวนานของหวู่เฉิน เขาได้เห็นผู้เชี่ยวชาญมากมายสำแดงกระบวนท่าการขัดขวางมิติ และได้อ่านหนังสือนับไม่ถ้วนที่อธิบายรายละเอียดว่ากระบวนท่านี้ควรจะถูกสำแดงอย่างไรและผลที่ออกมาน่าจะเป็นอย่างไร แต่หากเปรียบเทียบกับการขัดขวางมิติที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาสำแดงออกมา ทุกอย่างที่เขาเคยรับรู้ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกที่เดินเตาะแตะอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่กำลังออกวิ่ง!


ไม่มีความใกล้เคียงกันแม้แต่น้อย


สามารถสำแดงพละกำลังระดับนี้ออกมาได้ภายใน 10 นาทีหลังจากสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติ เหนือชั้นกว่าแม้แต่เหล่านักรบที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อศึกษาศาสตร์นี้…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


ดูเหมือนรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นจะมีความสงสัยแบบเดียวกันกับหวู่เฉิน เกิดรอยย่นบนหน้าผากของมัน จากนั้นมันก็ตั้งคำถามด้วยความสงสัย “แก่นสารเรื่องมิติของชิวอู๋จื่อนั้นไร้เทียมทานมาก แต่แม้ตัวเขาก็ยังไม่อาจสำแดงการขัดขวางมิติได้ลื่นไหลอย่างที่คุณทำ!”


นักปราชญ์โบราณชิวอู๋มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในบรมครูด้านศาสตร์แห่งมิติซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คน แต่ถึงอย่างนั้น ความเชี่ยวชาญของเขาก็ยังไม่ถึงขั้นนี้


“อ๋อ ผมค้นพบข้อบกพร่องบางอย่างในมรดกตกทอดเรื่องมิติของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ จึงปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย” จางเซวียนตอบ


ศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิตินั้นเรียกได้ว่าเป็นศาสตร์แห่งมิติขั้นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เมื่อตรวจสอบโดยหอสมุดเทียบฟ้า ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก สิ่งที่จางเซวียนฝึกฝนนั้นคือเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์แบบ เป็นเทคนิคเทียบฟ้า จึงแน่นอนว่าประสิทธิภาพของมันจะต้องอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ศาสตร์แห่งมิติเวอร์ชั่นของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ต้องการให้นักรบรวบรวมพลังงาน ส่งผลให้เกิดความล่าช้า แต่เวอร์ชั่นที่จางเซวียนฝึกฝนโดยผ่านหอสมุดเทียบฟ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น


“ปะ-ปรับเปลี่ยน?”


ยังไม่ทันที่รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นจะได้พูดอะไร หวู่เฉินก็แทบสำลักด้วยความไม่อยากเชื่อพร้อมกับเข่าอ่อน


เขาได้เห็นกับตาว่าชายหนุ่มทำความเข้าใจแก่นสารเรื่องมิติผ่านการอ่านหนังสือของเขา และคิดว่าเพียงแค่นั้นก็น่าทึ่งพอแล้วที่อีกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจกฏเกณฑ์แห่งมิติได้อย่างรวดเร็ว แต่ใครจะไปคิดว่าภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังเข้าใจในหลักการของศาสตร์แห่งมิติและแก้ไขข้อบกพร่องของมันได้ด้วย…


ยิ่งไปกว่านั้น การปรับเปลี่ยนของเขาก็ถือว่าตรงจุด ทำให้ประสิทธิภาพของศาสตร์แห่งมิติพุ่งสูงขึ้นถึงอีกระดับหนึ่ง


สวรรค์สร้างปีศาจแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ช่างไม่ยุติธรรมและไม่เหมือนมนุษย์มนาเอาเสียเลย!


หรือว่า…หนังสือเกี่ยวกับศาสตร์แห่งมิติขั้นพื้นฐานจะมีความน่าทึ่งจริงๆ ทำให้ใครคนหนึ่งทำได้ถึงขนาดปรับเปลี่ยนเทคนิคชั้นยอดของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ได้ทันทีหลังจากที่อ่านมัน?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เมื่อกลับไป เขาจะต้องศึกษามันอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่วันหนึ่งจะได้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งมิติอย่างจางเซวียนบ้าง!


“คุณแก้ไขมันหรือ?”


รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นแทบไม่เชื่อคำพูดของจางเซวียน แต่ก็ตัดสินใจที่จะชื่นชมความสำเร็จของอีกฝ่ายเพื่อสนับสนุนศิษย์พี่ของมัน จึงไม่ซักถามอะไรอีก มันกลับเข้าสู่หัวข้อเดิมและพูดว่า “ในเมื่อคุณได้รับมรดกตกทอดของชิวอู๋จื่อและผ่านการทดสอบแล้ว คุณก็ยิ่งกว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เข้าสู่หอหรันจื่อ ได้โปรดกรุณาด้วย!”


ขณะที่รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพูด มันก็โค้งคำนับอย่างงามก่อนจะเดินเข้าสู่หอหรันจื่อเพื่อนำทางไป


แอ๊ดดด!


ประตูที่ปิดตายของหอหรันจื่อค่อยๆเผยออก กลิ่นอายของประวัติศาสตร์โบร่ำโบราณพวยพุ่งออกมาจากด้านใน


1595 ประตูหิน

“ไปกันเถอะ!” เห็นรูปปั้นเดินนำหน้า จางเซวียนกับคนอื่นๆรีบตามเข้าไปในหอหรันจื่อ


ทางเดินนั้นมีไข่มุกกระจ่างราตรีมากมายเรียงรายอยู่บนเพดาน ให้แสงสว่างทั่วทั้งบริเวณ ดังนั้น แม้จะอยู่ในพื้นที่ปิด แต่ก็สว่างไสวราวกับกลางวัน


มีอักษรจารึกโบราณถูกสลักไว้ตามทางเดิน ให้รายละเอียดถึงค่านิยมและมารยาทที่คนๆหนึ่งควรฝึกฝนและจำให้ขึ้นใจ


“ไหนคุณบอกว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวไม่ใส่ใจกับพิธีรีตองยุ่งยากไม่ใช่หรือ? แล้วทำไม…” จางเซวียนอดตั้งคำถามกับรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นไม่ได้


ก่อนหน้านี้ รูปปั้นเด็กชายบอกไว้ว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นผู้ที่ไม่ให้ความสนใจกับพิธีการต่างๆ จึงดูออกจะย้อนแย้งที่เห็นอักษรจารึกเกี่ยวกับค่านิยมและมารยาทมาปรากฏอยู่ในทางเดินของหอหรันจื่อ


“ก็เพราะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้นี่แหละ จึงถูกปรมาจารย์ขงติติง ดังนั้นเขาจึงสลักตัวอักษรเหล่านี้เอาไว้เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้หลงลืมเรื่องค่านิยมและมารยาท” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นตอบ


ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยพูดไว้ว่าแต่ละคนควรจะเรียนรู้จากพฤติกรรมของคนอื่น ในฐานะศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง นักปราชญ์หรันชิวจึงให้ความสำคัญกับคำสอนนั้น


จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบกระซาบ “แล้วสี่คนที่มาก่อนหน้าพวกเราน่ะ ผ่านการทดสอบด้วยหรือเปล่า?”


เพราะที่ผ่านมา พวกเขาไม่เห็นร่องรอยของเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวที่ออกเดินทางมาก่อนหน้าเลย หรือว่าพวกนั้นไม่ผ่านการทดสอบ?


 


แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งสี่ที่เดินทางมาก่อนพวกเขานั้นไม่ได้อ่อนแอ แต่สำหรับอาณาจักรโบร่ำโบราณที่ถูกทิ้งไว้โดยศิษย์สายตรงอันดับ 1 ของปรมาจารย์ขงนั้น อย่างน้อยก็น่าจะมีความละเอียดพอที่จะแยกแยะระหว่างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไม่ใช่หรือ?


ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นล่ะก็ จะน่าผิดหวังสักแค่ไหน?


“พวกเขาผ่านการทดสอบและเข้าไปข้างในแล้ว” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นตอบอย่างสุภาพ


หลังจากรู้ว่าจางเซวียนได้รับมรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ ท่าทีของรูปปั้นเด็กชายก็ดูจะมีมารยาทและอ่อนน้อมขึ้นมาก


“พวกนั้นผ่านการทดสอบเหมือนกัน? แล้ว…คุณรู้สึกถึงความผิดปกติของพวกเขาหรือเปล่า?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ความผิดปกติ?” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นส่ายหน้า “ไม่มีอะไรทำนองนั้นนี่ พวกเขาเอาชนะนักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณและผ่านการทดสอบไปได้อย่างชอบธรรม และคนหนึ่งในหมู่พวกเขายังมีของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนอยู่กับตัวด้วย”


“ของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน?” จางเซวียนนัยน์ตาโตด้วยความประหลาดใจ


นักปราชญ์โบราณเยียนเยียนเป็นหนึ่งในสิบจอมยุทธภายใต้การดูแลของปรมาจารย์ขง มีสถานภาพเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง นักปราชญ์โบราณหรันชิว และคนอื่นๆ เขามีความสามารถพิเศษด้านดนตรี และได้ถ่ายทอดทอดมรดกของตัวเองให้กับสมาคมมือบรรเลงบทเพลงปีศาจ ด้วยเหตุนี้ มือบรรเลงบทเพลงปีศาจส่วนมากจึงยกย่องเขาในฐานะผู้ก่อตั้ง


ไม่น่าเชื่อว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวจะมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของนักปราชญ์เยียนเยียน!


เข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้โดยสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเหล่าปรมาจารย์ ค้นพบอาณาจักรโบร่ำโบราณที่แม้แต่สภาปรมาจารย์ก็ยังไม่รู้ว่ามีอยู่ แถมยังได้ครอบครองของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน…ดูเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้จะเตรียมตัวมาอย่างดี!


จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด


สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกับมวลมนุษย์ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับทั้งสองฝ่ายมาตลอดระยะเวลาหลายปี มนุษย์ต้องสูญเสียของล้ำค่ามากมายให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของนักปราชญ์เยียนเยียนอยู่ในครอบครอง


แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ออกจะประหลาดใจเล็กน้อยกับการเตรียมพร้อมของพวกมัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตบตารูปปั้นเด็กชายวัยรุ่น


เหตุผลที่จางเซวียนตั้งคำถามนี้ก็เพื่อจะเตือนรูปปั้นเด็กชายโดยอ้อมๆ หากทั้งสี่เผยให้เห็นความผิดพลาดในการปลอมตัวของพวกมันออกมา รูปปั้นเด็กชายก็จะได้ใช้มาตรการเล่นงานพวกมันโดยทันที


แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจะไม่มีประโยชน์ เพราะเขาไม่มีหลักฐานมัดตัวสี่คนนั้น การที่เขาจะโน้มน้าวใจรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นให้สนใจเรื่องนี้ไม่สำเร็จก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คงจะเป็นหายนะแน่หากเขาทำให้รูปปั้นเด็กชายเกิดความเป็นปฏิปักษ์ขึ้นมา


แน่นอนว่าเจ้าพวกนั้นคงเตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดพวกมันถึงจับตัวจ้าวหย่ากับพรรคพวกไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ การรับมือกับทั้งสี่ย่อมไม่ง่ายอย่างแน่นอน


“เรามาถึงแล้ว”


ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด จางเซวียนได้ยินเสียงดังมาจากด้านข้าง เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าพวกเขามาถึงห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง


ห้องนั้นมีรูปร่างกลม และมีประตูหลายบานอยู่โดยรอบ มองแวบเดียวก็พอกะได้คร่าวๆว่าน่าจะมีเกือบ 100 บาน


“ที่นี่มีประตู 99 บาน แต่ละบานเปิดออกสู่การทดสอบที่แตกต่างกันไป พวกคุณแต่ละคนจะเข้าสู่ประตูได้เพียงบานเดียวเท่านั้น และไม่สามารถเลือกประตูบานซ้ำกันได้ หากคุณผ่านการทดสอบและไปถึงอีกด้านหนึ่ง ก็จะได้พบสิ่งที่คุณตามหา” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นหันมาอธิบาย “แต่ถ้าคุณไม่ผ่านการทดสอบ ก็จะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับผมที่นี่จนกว่าเวลาของคุณจะหมดลง!”


“เอ่อ…” จางเซวียนมองประตูมากมายที่อยู่รอบตัวขณะถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “แปลว่าเราจะเลือกประตูบานไหนที่เราต้องการก็ได้อย่างนั้นหรือ?”


“ใช่แล้ว เลือกได้ตามสบาย แต่คุณมีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ตัดสินใจให้เร็วด้วย!”


หลังจากพูดจบ รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นก็ถอยหลังไป 2 ก้าวและยืนอยู่เงียบๆ


รู้ดีว่าจะซักถามเพื่อหาเงื่อนงำเพิ่มเติมจากอีกฝ่ายก็คงไม่มีประโยชน์ ทั้งจางเซวียน หลัวลั่วชิง และหวู่เฉินสบตากันขณะเริ่มสำรวจประตูแต่ละบานอย่างถี่ถ้วน


ประตูทุกบานทำจากหินแกรนิตและมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ ไม่มีอะไรที่จะช่วยระบุความแตกต่าง หากพวกเขาหลับตาและหมุนรอบตัวเอง ก็ไม่มีทางบอกได้เลยว่าเคยหมายตาประตูบานไหนไว้


“ไม่ต่างอะไรกับเขาวงกต…” จางเซวียนมองประตูแต่ละบานและรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ เขาจึงเพ่งสมาธิ ดวงตาหยั่งรู้!


วิ้งงงง!


เส้นสายแห่งการหยั่งรู้ปรากฏขึ้นในดวงตาของจางเซวียน เขาสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด


ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 เข้ามาที่นี่ก่อนหน้าพวกเขา พวกมันก็จะต้องมาถึงห้องนี้และทำการตัดสินใจไปแล้วเช่นกัน


ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อการเข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณ ถึงกับนำเรือแห่งเมืองบาดาลและของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนมาด้วย ก็ชี้ให้เห็นว่าพวกมันมีความรู้เรื่องสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงน่าจะปลอดภัยกว่าหากตามรอยพวกมันไป


จางเซวียนสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขมวดคิ้ว เอ๊ะ? ทำไมถึงไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลือเลย?


เขาคิดว่าเขาน่าจะหาเงื่อนงำบางอย่างได้เหมือนอย่างที่เคยทำด้านนอก แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าสี่คนนั่นไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้แม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ดวงตาหยั่งรู้ก็ตรวจจับอะไรไม่ได้สักอย่าง


เหมือนจะล่วงรู้ความคิดของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตหาเขา “อย่าพยายามเลย ในเมื่อนี่เป็นการทดสอบ ก็ไม่มีทางที่มันจะปล่อยให้คุณเห็นอะไรหรอก อีกอย่าง รูปปั้นหินก็บอกแล้วว่าคนสองคนจะเข้าสู่ประตูบานเดียวกันไม่ได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าต่อให้คุณพบประตูบานที่พวกมันเข้าไป เราก็ตามมันเข้าไปไม่ได้อยู่ดี”


“เอ่อ…” จางเซวียนใบ้กิน


จริงด้วย


ในเมื่อนี่คือการทดสอบ ก็ไม่มีทางที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวจะทิ้งช่องโหว่ที่เห็นได้ชัดเอาไว้ อีกอย่าง หลังจากที่ใครคนหนึ่งเข้าสู่ประตูสักบานแล้วทำให้กับดักรวมทั้งค่ายกลในนั้นถูกเปิดใช้งานแล้ว สิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้นก็จะไม่มีอันตรายอีกต่อไป


“แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไร?” จางเซวียนถาม


“ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา เลือกมาสักบานก็แล้วกัน” หลัวลั่วชิงพูดขณะเลือกประตูบานหนึ่งและดึงมันให้เปิดออกโดยปราศจากความลังเล


“คุณ…ระวังด้วยนะ!” เห็นหลัวลั่วชิงพรวดพราดเข้าไปแบบนั้น จางเซวียนอดเป็นห่วงไม่ได้


“วางใจเถอะน่ะ!” หลัวลั่วชิงตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆอย่างมั่นใจ “การทดสอบของนักปราชญ์โบราณหรันชิวย่อมไม่ง่าย แต่จะกักตัวฉันไว้ที่นี่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน!”


หลังจากพูดจบ เธอก็เดินเข้าประตูไป


“ก็จริง…”


จางเซวียนไม่เคยเห็นหลัวลั่วชิงเปิดการโจมตีมาก่อน แต่เมื่อพิจารณาจากความเก่งกาจของหวู่เฉิน ก็แน่นอนว่าหลัวลั่วชิงจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความเก่งกาจไม่เบาเช่นกัน


การทดสอบของนักปราชญ์โบราณหรันชิวอาจเป็นความท้าทายอย่างมากกับเหล่าอัจฉริยะทั่วไป แต่สำหรับเธอ ก็ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามมากมายนัก


“ผมจะเข้าไปละนะ” เห็นหลัวลั่วชิงเข้าประตูบานหนึ่งไปแล้ว หวู่เฉินเลือกประตูอีกบานและเดินเข้าไป


“เหลือคุณเพียงคนเดียวแล้ว…” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“อือ” จางเซวียนพยักหน้า เขากำลังจะเลือกประตูบานหนึ่ง ก็พอดีกับที่นึกบางอย่างได้ ดวงตาหยั่งรู้อาจมองไม่เห็นว่าอะไรอยู่ด้านหลังประตูนั่น แต่หอสมุดเทียบฟ้าล่ะ?


1596 ผมคันไม้คันมืออยากวาดภาพ

 


การทดสอบที่อยู่ด้านหลังประตูทั้ง 99 บานนั้นแตกต่างกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าระดับของความอันตรายจะต้องไม่เท่ากันด้วย คงจะมีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างการเลือกประตูบานที่ถูกกับบานที่ผิด


ไม่อย่างนั้น รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นคงจะไม่ให้เวลาพวกเขาตัดสินใจนานถึง 1ก้านธูป


ในเมื่อเป็นการทดสอบที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวทิ้งไว้ ด้วยระดับวรยุทธที่จำกัดของเขา จางเซวียนก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมดวงตาหยั่งรู้ถึงมองอะไรไม่เห็น แต่กับหอสมุดเทียบฟ้าล่ะ?


ความสามารถของมันคือการมองทะลุทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้สวรรค์


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จะมีเครื่องมืออะไรที่ดีไปกว่าหอสมุดเทียบฟ้าให้เขาเลือกใช้? เขาคงจะตัดสินใจได้ง่ายว่าประตูบานไหนควรเลือกและบานไหนไม่ควรเลือก!


เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็เริ่มดำเนินการ


เขาสะบัดข้อมือ นำกระดาษขาวออกมาหนึ่งแผ่นพร้อมกับพู่กัน แล้วลงมือวาดภาพ


ในฐานะจิตรกรระดับ 8 ดาว ความเร็วและคุณภาพในการวาดภาพของเขาถือว่าเหนือชั้น ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที เขาก็วาดภาพภายในห้องรูปกลมนั้นได้ทั้งหมด


หลังจากวาดเสร็จ จางเซวียนก็เขียนคำว่า ‘ถูกต้อง’ ไว้บนประตูทุกบานในภาพวาด


ในเมื่อที่นี่มีประตูมากมาย ก็จะต้องมีประตูที่เหมาะสมกว่าบานอื่นๆ หอสมุดเทียบฟ้าสามารถวิเคราะห์ข้อบกพร่องและความผิดพลาดของวัตถุได้ ดังนั้น ด้วยการพิจารณาข้อบกพร่อง เขาก็คงจะตัดสินใจได้ว่าควรเข้าประตูบานไหน


ขณะที่จางเซวียนกำลังง่วนกับการวาดภาพ รูปปั้นเด็กชายก็เฝ้ามองด้วยสีหน้างุนงง


เขาคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเลือกประตูสักบานแล้วเข้าไปข้างใน ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะนำพู่กันกับกระดาษออกมาและเริ่มต้นวาดภาพ รวมทั้งเขียนตัวหนังสือด้วย


ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือเลือกประตูสักบาน! แค่เลือกมาบานหนึ่ง คงไม่ยากเย็นไม่ใช่หรือ?


คุณมีปัญหากับการตัดสินใจหรือไง?


“เวลาใกล้หมดแล้วนะ ถ้าคุณไม่เข้าไปเร็วๆนี้ คุณสมบัติในการเข้าท้าทายการทดสอบจะกลายเป็นโมฆะ” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นส่งเสียงเตือน


“รู้แล้ว ผมจะรีบตัดสินใจเร็วๆนี้แหละ…” จางเซวียนตอบขณะที่เขียนคำว่า ‘ถูกต้อง’ ลงบนประตูบานสุดท้าย


เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ใช้นิ้วแตะภาพวาด


วิ้ง!


ภาพวาดแบบเดียวกันปรากฏในสมองของเขา


ไม่ช้า จางเซวียนก็พบประตูบานที่ถูกต้องซึ่งควรจะเข้าไป เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก


เขาลืมตาขึ้นและพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ ผมตัดสินใจได้แล้ว…”


เห็นสีหน้างุนงงของรูปปั้นเด็กชาย จางเซวียนอธิบายพร้อมกับหัวเราะหึๆ “อันที่จริงผมเป็นจิตรกรด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเห็นทิวทัศน์ที่น่าสนใจ ผมก็จะเกิดคันไม้คันมืออยากวาดมันขึ้นมาทันที…นิสัยที่ไม่ค่อยจะดีนี้เกิดกำเริบขึ้นมาเมื่อผมเห็นห้องที่สวยงามแห่งนี้ ขอให้คุณเข้าใจด้วย!”


“ทิวทัศน์ที่น่าสนใจ? ห้องที่สวยงาม?” รูปปั้นเด็กชายถึงกับพูดไม่ออก


ทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องรูปกลมนี้คือประตูที่ทำจากหินแกรนิต… ถ้าสภาพแบบนี้ยังถือว่าน่าสนใจกับคุณล่ะก็ มือขวาของคุณคงจะคันมากจริงๆ!


“เอาเถอะ ผมไม่ว่าคุณหรอกที่คุณไม่เข้าใจ เพราะคุณเป็นแค่รูปปั้น ก็พอเข้าใจได้ว่าคงไม่อาจสัมผัสสุนทรียภาพได้เหมือนมนุษย์อย่างเราๆ!” จางเซวียนหัวเราะก่อนจะตบไหล่รูปปั้นเด็กชายอย่างเห็นใจและมุ่งหน้าไปยังประตูบานหนึ่ง


“คุณ…” เมื่อรู้ตัวว่าถูกเยาะเย้ย รูปปั้นเด็กชายได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


นักปราชญ์โบราณชิวอู๋เป็นคนเข้มงวดและเถรตรง มันเรื่องอะไรเขาถึงรับชายหนุ่มปากร้ายแบบนี้เป็นลูกศิษย์?


ตัวเจ้าปัญหาอย่างคุณคงต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิต! ไม่น่าเชื่อว่ากะอีแค่เลือกประตูสักบานก็ยังตัดสินใจไม่ได้…ฮึ? รอดูเถอะ!


เมื่อมองตามทิศทางที่ชายหนุ่มมุ่งหน้าไป นัยน์ตาของรูปปั้นเด็กชายเบิกโพลงขึ้นมาทันทีด้วยความประหลาดใจ


แอ๊ดดด!


เขาจ้องเขม็งและอ้าปากค้างขณะที่ชายหนุ่มเปิดประตูและหายวับเข้าไปในนั้น


หมอนั่นเลือกประตูบานนั้น? แต่ว่า…เขารู้ได้อย่างไร? รูปปั้นเด็กชายได้แต่กระพริบตาปริบๆด้วยความไม่อยากเชื่อ


ในจำนวนประตูทั้ง 99 บาน โอกาสที่ชายหนุ่มจะเลือกประตูบานนั้นถือว่ามีน้อยมาก เขาจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเลือก ใครจะรู้ว่าหมอนั่นโชคดีถึงขนาดที่เลือกสุ่มๆก็ได้ประตูบานนั้นมา


ราวกับเทพธิดาแห่งโชคชะตาฉายแสงนำทางให้เขา


ไม่ช้ารูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นก็หายตกตะลึงและคำรามในใจ ถึงเขาจะโชคดี แต่ก็ต้องมีพละกำลังพอตัวถึงจะจัดการได้ เจ้าหมอนั่นที่อยู่หลังประตูทั้งโหดร้ายและไร้ความปรานียิ่งกว่าเราเสียอีก ต่อให้เขาเลือกประตูบานที่ถูกต้อง แต่ก็มีโอกาสที่จะเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น!


…..


ตึ้ง!


ทันทีที่ประตูแกรนิตปิดลง จางเซวียนก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนทางเดิน เขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ตั้งใจจะสำรวจโดยรอบว่ามีอะไรอยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร แรงกดดันมหาศาลก็โถมทับเข้าใส่ ทำให้ร่างของเขาซวนเซไปเล็กน้อย


แรงกดดันนั้นดูจะพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณ แทบจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆในช่วงเวลาที่เขาไม่ทันระวังตัว


มันคือการโจมตีจิตวิญญาณ…จางเซวียนมีสีหน้าไม่สู้ดี


เขาเคยเผชิญหน้ากับการโจมตีจิตวิญญาณมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบการโจมตีที่ทรงพลังขนาดนี้ ดูเหมือนมันจะทะลุกายเนื้อของเขาไป ทำให้รู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่กำลังบ้าคลั่ง ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้กับพละกำลังมหาศาลที่อยู่ตรงหน้า


ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า!


รู้ดีว่าจะต้องแย่แน่หากปล่อยให้การโจมตีดำเนินต่อไป จางเซวียนสูดหายใจลึกและเริ่มขับเคลื่อนพลังจิตวิญญาณอย่างดุเดือดเพื่อปัดป้องการโจมตีนั้น


แม้จิตวิญญาณของเขาจะมีวรยุทธแค่ระดับเซียนขั้น 9 แต่ก็ได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้า ทำให้มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งทนทานกว่าจิตวิญญาณดวงอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ แม้การโจมตีจิตวิญญาณที่พุ่งตรงเข้ามาจะมีอานุภาพรุนแรง แต่จางเซวียนก็ต้านทานมันไว้ได้


เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และรุดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว


จางเซวียนอยากเห็นว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนที่สำแดงการโจมตีจิตวิญญาณอันทรงพลังขนาดนั้นได้


แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ แรงกดดันที่โถมทับจิตวิญญาณของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


หลังจากเดินไปได้ราว 12 ก้าว จางเซวียนก็ต้องหยุด


ลงท้าย ก็ดูเหมือนว่าระดับวรยุทธของเขาจะอ่อนด้อยเกินไปสำหรับการทดสอบ ในเวลานี้ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของเขาใกล้แตกสลายเต็มที


ดูเหมือนเรามาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว…เราควรเรียกพลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงหรือเปล่า? จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนัก


หากได้รับพลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง แน่นอนว่าเขาย่อมปัดป้องการโจมตีจิตวิญญาณออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาก็คือมีหยดเลือดเพียง 3 หยดเท่านั้น ซึ่งเขาก็ใช้ไป 1 หยดแล้ว และที่แน่ๆก็คือเขาต้องใช้อีก 1 หยดตอนที่ปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับพรรคพวกไป


ดังนั้น เขาจึงออกจะลังเลเล็กน้อยหากต้องใช้อีกหยดในตอนนี้


ถึงอย่างไร หยดเลือดก็เป็นไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของจางเซวียน เขาไม่อาจนำมันมาใช้ง่ายๆ!


ครั้งแรกที่เราเผชิญหน้ากับการทดสอบสายฟ้า เราก็จนปัญญา คิดว่าคงจะถูกช็อตตายเสียแล้ว แต่หลังจากนั้นก็กลับพบว่าสามารถซึมซับพลังงานของมันได้! แม้แรงกดดันนี้จะต้านทานได้ยาก แต่เราก็น่าจะใช้มันเป็นสื่อกลางในการบ่มเพาะจิตวิญญาณของเราและทำให้มันบริสุทธิ์ขึ้น บางที…มันอาจจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเชี่ยวชาญการทะลุมิติและการข้ามสิ่งกีดขวางก็ได้!


ครั้งล่าสุดที่จางเซวียนพบลู่ชง อีกฝ่ายได้ถ่ายทอดศาสตร์ลับการทะลุมิติของจิตวิญญาณให้เขา จางเซวียนพยายามศึกษามัน แต่ด้วยข้อบกพร่องมากมายที่มีอยู่ในศาสตร์ลับนั้น ลงท้ายเขาก็หมดแรงบันดาลใจ อีกอย่าง จิตวิญญาณของเขาก็ยังอ่อนด้อยไปสักหน่อยด้วย…แต่ตอนนี้ เมื่อมีแรงกดดันมหาศาลบีบบังคับเขาอยู่ ก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ทดลองบ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเอง


บางที อาจจะได้ผลดีอย่างที่คาดไม่ถึงก็ได้


เอาล่ะ เริ่มเลยดีกว่า…จางเซวียนคิดขณะเพ่งสมาธิเข้าสู่ศาสตร์ลับแห่งการทะลุมิติของจิตวิญญาณที่อยู่ในสมองของเขา


ขณะที่กำลังศึกษาศาสตร์ลับนั้นอีกครั้ง ก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น


การทะลุมิติของจิตวิญญาณคือการนำจิตวิญญาณผ่านเข้าไปในโครงสร้างของมิติ ทำให้ทะลุผ่านขีดจำกัดของมิติได้…ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะความเข้าใจของเราที่ยังอ่อนด้อยว่าอะไรคือ ‘โครงสร้างของมิติ’ เราจึงรู้สึกว่ามันมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ในเมื่อตอนนี้ศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าของเราเข้าถึงขั้น 4 แล้ว เราจะสามารถปรับปรุงการทะลุมิติให้สมบูรณ์แบบได้หรือไม่หากประมวลเอาทั้งสองศาสตร์นี้เข้าด้วยกัน?


แม้การทะลุมิติของจิตวิญญาณจะเป็นศาสตร์ลับของจิตวิญญาณ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการควบคุมคุณสมบัติของมิติชนิดหนึ่งเช่นกัน


เมื่อนึกถึงหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับมิติที่เขาเพิ่งถ่ายโอนไปก่อนหน้านี้ หากประมวลมันเข้ากับศาสตร์ลับแห่งการทะลุมิติของจิตวิญญาณ บางทีเขาอาจจะแก้ไขข้อบกพร่องของมันได้?


ประมวล!


จางเซวียนลงมือทันที เขารวบรวมเอาหนังสือเกี่ยวกับการทะลุมิติของจิตวิญญาณเข้ากับหนังสือศาสตร์ลับอื่นๆที่เกี่ยวกับมิติ


ไม่ช้า หนังสือเล่มใหม่เอี่ยมก็ปรากฏ


1597 พลังของสายเลือดตระกูลจาง

จางเซวียนคว้าหนังสือที่ประมวลได้และรีบพลิกดู


เนื้อหาที่อยู่ในนั้นลอยเข้าสู่สมองของเขาและกลายเป็นความรู้ที่ฝังแน่น


มันเข้าถึงระดับของเคล็ดวิชาเทียบฟ้าจริงๆด้วย! จางเซวียนแทบกระโดดด้วยความดีใจ


เขาอยากฝึกฝนเทคนิคการทะลุมิติของจิตวิญญาณมานานแล้ว และพยายามหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณเพื่อจะปรับปรุงเทคนิคนั้นให้สมบูรณ์ แต่ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่เขายังขาดอยู่ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณ แต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับมิติ!


เราจะบ่มเพาะจิตวิญญาณก่อนแล้วค่อยฝึกฝนเทคนิคการทะลุมิติของจิตวิญญาณ จางเซวียนตัดสินใจ


ดังนั้น เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิแล้วถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้ว


เมื่อปราศจากกายเนื้อคอยคุ้มกัน แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่จิตวิญญาณของจางเซวียนก็เข้มข้นขึ้นทันที ในตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางพายุเฮอริเคนอันบ้าคลั่งที่พยายามจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ


แข็งแกร่งราวหินผา หนักแน่นราวขุนเขา!


รู้ดีว่าคงต้องเสียชีวิตแน่หากผ่านการทดสอบไปไม่ได้ จางเซวียนจึงเพ่งสมาธิและจินตนาการถึงภาพขุนเขาอันยิ่งใหญ่, ภูเขาห้วยขาว


มีการฝึกฝนจิตวิญญาณรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อการฝึกฝนแนวคิด ด้วยการเพ่งสมาธิให้อยู่กับแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง การกระทำนั้นก็จะช่วยขัดเกลาพลังจิตวิญญาณของผู้นั้นให้อยู่ในรูปของแนวคิดที่กำลังเพ่งสมาธิอยู่ ยกตัวอย่าง หากใครคนหนึ่งเพ่งสมาธิโดยจินตนาการถึงเปลวไฟ พลังจิตวิญญาณของผู้นั้นก็จะมีฤทธิ์แผดเผาราวกับภูเขาไฟที่กำลังระเบิด และหากเพ่งสมาธิโดยจินตนาการถึงน้ำแข็ง พลังจิตวิญญาณของผู้นั้นก็จะเย็นเยือกราวกับฤดูหนาวอันไร้หัวใจ


จางเซวียนรู้จักเทคนิคการฝึกฝนแนวคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาเริ่มฝึกวรยุทธ แต่ด้วยการใช้ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าเพื่อยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ เขาพบว่าไม่มีความจำเป็นมากนักที่จะต้องทำแบบนั้น จึงไม่ค่อยใส่ใจ แต่ตอนนี้ เขารู้ตัวว่าจะต้องใช้การฝึกฝนแนวคิดด้วยวิธีดังกล่าวเพื่อไม่ให้เสี่ยงกับการที่จิตวิญญาณต้องถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ


ฟึ่บ!


จางเซวียนเพ่งสมาธิอยู่กับแนวคิดภาพภูเขา จากนั้นจิตวิญญาณที่สั่นไหวก็ค่อยๆมั่นคงขึ้น ราวกับภูเขาที่ตั้งตระหง่านและโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่ว่าจะถูกลมพายุปะทะสักแค่ไหนก็มั่นคงอยู่ได้ ไม่มีวันพังทลาย


หลังจากทำให้จิตวิญญาณมั่นคงได้แล้ว จางเซวียนก็สูดหายใจลึกและดึงเอาแรงกดดันมหาศาลนั้นเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณส่วนที่ยังอ่อนแอ


ภายใต้การบ่มเพาะจากแรงกดดันหนักหน่วงนั้น จิตวิญญาณที่มีขนาดใหญ่โตของจางเซวียนก็แข็งแกร่งและทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ


ตอนนี้แรงกดดันที่ว่าก็ไม่ถึงกับจะทำให้เราทนไม่ไหวอีกแล้ว ลุย!


2-3 นาทีต่อมา เมื่อจางเซวียนเริ่มคุ้นเคยกับแรงกดดันนั้น เขาก็เดินไปข้างหน้าอีก 2-3 ก้าว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งเพื่อดำเนินกระบวนการบ่มเพาะจิตวิญญาณต่อไป


…..


ในห้องรูปทรงกลม รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงลืมตาขึ้นอีกครั้ง


“จะดูซิว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นจะเป็นอย่างไร ต่อให้เจ้าหมอนั่นที่อยู่ข้างในไม่เปิดการโจมตี ลำพังแค่แรงกดดันที่มันแผ่ออกมาก็เกินพอที่จะยับยั้งอีกฝ่ายไม่ให้เดินหน้าไปไหน หรือแม้แต่ทำลายจิตวิญญาณของเขาได้แล้ว!”


รูปปั้นเด็กชายพึมพำขณะยกนิ้วขึ้นและเคาะพื้นที่ตรงหน้า


จอภาพเรืองแสงปรากฏขึ้นกลางอากาศ เผยให้เห็นภาพของจางเซวียนที่อยู่หลังประตู


“ฮ่าาาา เจ้าหนุ่มนั่นคงจะ…ฮะ? มะ-มันเกิดอะไรขึ้น?”


รูปปั้นเด็กชายยังคงเยาะหยันอยู่ตอนที่พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับภาพในจอที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขึ้นทันทีจนแทบปะทุออกจากเบ้า


ในจอภาพนั้น ชายหนุ่มยืนเอาสองมือเท้าสะเอวและประกาศด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความหงุดหงิด “ไอ้แรงกดดันบ้าบอนี่มันมาจากไหน? แก…ไอ้ขี้ขลาด ออกมาเผชิญหน้ากับฉันตรงๆดีกว่า! ฉันยังซึมซับมันไม่พอเลย ถ้าทั้งหมดที่แกมีอยู่คือเท่านี้ล่ะก็ แกยังกล้าเรียกตัวเองว่าการทดสอบหรือ? ถ้าไม่ออกมาตอนนี้ ก็อย่ามาต่อว่าฉันนะถ้าฉันทำลายที่นี่จนราบคาบ!”


“เขากำลังยั่วยุมันจริงๆหรือนี่?” รูปปั้นเด็กชายแทบเป็นลม


เขาเคยคิดว่าหากเจ้าหมอนั่นที่อยู่หลังประตูเปิดการโจมตี ลำพังแค่รังสีที่แผ่ออกมาก็เกินพอที่จะเล่นงานชายหนุ่มแล้ว ใครจะไปคิดว่าไม่เพียงแต่ชายหนุ่มจะยังไม่เป็นอะไร ยังถึงขนาดเยาะเย้ยอีกฝ่ายว่าอ่อนแอด้วย!


ปีศาจตนนี้มาจากไหน?


มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


“ช่างมันเถอะ ถ้าไม่มีแรงกดดันแล้ว เราก็จะเข้าไปข้างใน…” หลังจากเอ่ยปากยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีแรงกดดันตอบกลับมา จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า


พูดกันตามตรง ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะคุยโม้ แต่จู่ๆแรงกดดันก็หายไปอย่างกะทันหัน


เขากำลังอยู่ในอารมณ์ที่เริ่มคุ้นชินกับการฝึกฝน และผลที่ได้ก็ทำให้จิตวิญญาณของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้น แต่แล้วแรงกดดันนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นใครก็ต้องหงุดหงิด!


อีกอย่าง ถ้าเขาได้ฝึกฝนวรยุทธมากกว่านี้ ก็มีโอกาสที่เขาจะเข้าถึงเงื่อนไขของการทะลุมิติของจิตวิญญาณ ซึ่งนั่นจะทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาสูงขึ้นอีกมาก


ขอดูก่อนเถอะว่าแรงกดดันมีต้นตอมาจากไหน บางทีเราอาจทำอะไรบางอย่างได้…จางเซวียนคิดขณะรุดหน้าไป


หลังจากเดินไปได้เพียง 2-3 ก้าว ก็มาถึงทางเลี้ยว จางเซวียนรู้สึกถึงความเย็นเยือกในร่างกายของเขา จากนั้นก็รับรู้ได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่พุ่งตรงมา


เขารีบแนบตัวเข้ากับกำแพง


ฉึก!


รูขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนกำแพงของทางเดินนั้น


“นี่มันอะไร…” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความระแวง


สิ่งที่พุ่งตรงมาไม่ใช่อาวุธที่ถูกซุกซ่อนไว้ ไม่ใช่กระแสดาบฉีหรืออะไรทำนองนั้น แต่เป็นเพียงหยดน้ำธรรมดา!


น้ำเพียงหยดเดียวสามารถสลายการป้องกันตัวของเขาและทำให้กำแพงของทางเดินนั้นเป็นรูได้ แน่นอนว่าคนที่เล่นงานเขาจะต้องมีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างน้อย!


เราจะรอดูก่อนว่าเขาเป็นใคร ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะใช้พลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงหรือไม่


จางเซวียนงอนิ้วไว้เหนือหยดเลือดในมือของเขา พร้อมที่จะแตะมันเพื่อเรียกพลังจากหยดเลือดนั้นได้ทุกขณะ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินต่อไปอย่างหวาดระแวง


เขายังเหลือหยดเลือดของปรมาจารย์ขงแค่ 2 หยด จึงไม่อาจใช้มันอย่างบุ่มบ่ามได้


ฟิ้วววว!


เมื่อถึงทางเลี้ยวอีกครั้ง ก็เห็นหยดน้ำขนาดต่างๆกันหลายสิบหยดพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ปิดกั้นหนทางหลบหนีไว้หมด


หยดน้ำเหล่านี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดพลังปราณไว้ แต่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันจัดว่าน่าสะพรึงมาก ด้วยระดับวรยุทธของจางเซวียนในตอนนี้ หากมันปะทะกับเขาจังๆ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือแม้แต่เสียชีวิตเลยทีเดียว!


“เปิดใช้งานสายเลือด!” รู้ดีว่าไม่มีเวลาให้หนี จางเซวียนปลุกสายเลือดตระกูลจางขึ้นทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่เซียนดาบชิงได้มอบให้เขาไว้ก่อนหน้านี้


ฟึ่บ!


ในชั่วพริบตา กาลเวลาก็ดูเหมือนจะเชื่องช้าลง หยดน้ำที่พุ่งเข้าใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดอยู่เมื่อครู่ปรากฏชัดเจนต่อหน้าต่อตา


โพละ!


จางเซวียนยกนิ้วขึ้นและแตะหยดน้ำที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดเบาๆ หยดน้ำนั้นแตกสลายไปทันที ทำให้นิ้วของเขาเปียกชื้น


จางเซวียนเดินหน้าต่อไปเพื่อจะแตะหยดน้ำอีกหลายสิบหยดที่เหลือ พวกมันแตกสลายและกระจายออกไปโดยรอบ


รู้ดีว่าตัวเองรอดพ้นจากอันตรายแล้ว จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะพยักหน้าด้วยความยำเกรง


สมกับที่เป็นสายเลือดตระกูลจาง อานุภาพของมันน่าสะพรึงยิ่งกว่าสายเลือดตระกูลหลัวเสียอีก มันแสดงออกถึงพละกำลังอันน่าทึ่งเมื่อถูกเปิดใช้งาน


หากเขาไม่ใช้ความสามารถนี้ แน่นอนว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหยดน้ำที่พุ่งเข้าใส่ราวกับห่าฝน แต่ด้วยการหน่วงเวลา ความเร็วของหยดน้ำก็ลดลงจนแทบจะกลายเป็นหอยทากคลาน ไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีก


โชคไม่ดีเลยที่ต้องใช้หยดเลือดปริมาณมาก…


ถึงจางเซวียนจะตื่นเต้น แต่ก็อดส่ายหน้าอย่างจนปัญญาไม่ได้เมื่อเห็นว่าตัวเองต้องเสียพลังไปมากแค่ไหนจากการใช้หยดเลือดของตระกูลจาง


เพียงแค่ทำลายหยดน้ำไม่กี่หยด เขาต้องใช้หยดเลือดของตระกูลจางไปมากกว่าครึ่งหยด พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ด้วยปริมาณหยดเลือดที่เขามีอยู่ตอนนี้ เขาสามารถเปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจางได้อีกแค่ 6 ครั้ง


ช่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน!


ฟึ่บ!


ด้วยการเพ่งสมาธิอีกครั้ง จางเซวียนก็กลับสู่สภาพเดิมของกาลเวลา ภาพตรงหน้าเขากลับคืนสู่ความเร็วปกติ


ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเพิ่งรู้ตัวว่าเขามายืนอยู่ใจกลางห้องโถงขนาดใหญ่


ที่ใจกลางห้องโถงนั้นคือทะเลสาบที่มีรัศมีหลายร้อยเมตร น้ำในทะเลสาบมีฟองฟอดขึ้นมาไม่หยุด ราวกับมันกำลังเดือดพล่าน


ขณะที่จางเซวียนกำลังสงสัยว่าทะเลสาบนี้ปล่อยกระสุนหยดน้ำออกไปได้อย่างไร ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากใต้ผืนน้ำ จากนั้นร่างประหลาดร่างหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นมาจากทะเลสาบ


ซู่!


หยดน้ำมากมายกระเด็นออกไปโดยรอบ


1598 หอกสวรรค์กระดูกมังกร

ฟิ้ววววว!


หยดน้ำที่กระเซ็นออกมานั้นพุ่งผ่านอากาศ มีพละกำลังราวกับจะฉีกกระชากทุกอย่างที่ขวางทาง


ขนาดน้ำที่กระเซ็นออกมายังมีอานุภาพร้ายกาจขนาดนี้! จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขายังสงสัยอยู่ว่าหยดน้ำเหล่านี้มาได้อย่างไร ซึ่งคำตอบก็เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก


หากแม้แต่หยดน้ำที่กระเซ็นออกมาจากอะไรสักอย่างที่อยู่ในทะเลสาบยังมีอานุภาพขนาดนี้ แล้วเจ้านั่นจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหน? ปรมาจารย์หยางจะรับมือไหวหรือเปล่า?


“ปลุกสายเลือด!”


รู้ดีว่าไม่มีเวลาให้ขบคิดนานนัก จางเซวียนรีบแผดเผาสายเลือดตระกูลจางอีกครึ่งหยดที่เหลือ แล้วกาลเวลารอบตัวเขาก็ช้าลงอีกครั้ง


เราต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่อย่างนั้น อีกไม่นานคงตายแน่! จางเซวียนคิดขณะรีบทะลุผ่านหยดน้ำทั้งหมดไปที่ริมทะเลสาบ


ฟึ่บ!


จากนั้น เลือดอีกครึ่งหยดที่เหลือก็เหือดแห้งไป แล้วกระสุนหยดน้ำก็พุ่งเข้าใส่กำแพงที่อยู่โดยรอบ


จางเซวียนเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าอะไรอยู่ตรงหน้าเขา


สิ่งที่โผล่พรวดขึ้นมาจากทะเลสาบนั้นเป็นโครงกระดูกขนาดใหญ่ นับจากหัวจรดหางก็น่าจะมีความยาวหลายสิบเมตร กระดูกทุกชิ้นของมันโปร่งแสงราวกับหยก และถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่ามันแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าการสะบัดตัวเพียงเบาๆของมันก็ทำให้เกิดหยดน้ำที่มีพละกำลังสังหารได้แม้แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด ก็เกินพอที่จะสร้างความน่าสะพรึงแล้ว


หลังจากจับตาดูรูปร่างของโครงกระดูกนั้น จางเซวียนก็ถึงกับชะงัก


นี่มัน…โครงกระดูกมังกร?


เพราะเป็นเจ้าของอสูรมังกรบาดาล จึงพอมีความเข้าใจเรื่องโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ เขาบอกได้เลยว่าโครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้ามีโครงสร้างที่เป็นธรรมชาติและกลมกลืนกันมากกว่าหากจะเปรียบเทียบกับอสูรมังกรบาดาล ทำให้มีความเป็นไปได้ว่ามันน่าจะเป็นโครงกระดูกของมังกร


ต่อให้ไม่ใช่มังกรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ แต่ก็น่าจะบริสุทธิ์กว่าอสูรมังกรบาดาลมาก


เห็นชายหนุ่มหลบเลี่ยงกระสุนหยดน้ำของมันได้สำเร็จ โครงกระดูกมังกรลดสายตาลงจ้องมองอีกฝ่ายขณะส่งเสียงดังสนั่น “คุณมีความสามารถในการควบคุมเวลาหรือ? ไม่ใช่หรอก, พลังของคุณดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับสายเลือด…คุณเป็นใคร? เป็นสายเลือดของตระกูลนักปราชญ์ตระกูลไหน?”


“ผมชื่อจางเซวียน!”


รู้สึกได้ว่าโครงกระดูกมังกรยังไม่คิดจะโจมตีเขาตอนนี้ จางเซวียนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะประสานมือคารวะเจ้ายักษ์ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า และลอบสำรวจมันไปด้วย


โครงกระดูกมังกรมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูทะมึน เสียงพูดของมันดูจะมีต้นกำเนิดมาจากบริเวณศีรษะ ดวงตาของมันคือรู 2 รูที่เรืองแสงสีเขียวจางๆออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะมันพูดได้ ก็คงยากที่จะระบุได้ว่าโครงกระดูกมังกรชิ้นนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดอ่านของตัวเอง


“จาง? คุณไม่ใช่ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงนี่?” โครงกระดูกมังกรตั้งคำถาม


“ผมไม่ใช่” จางเซวียนส่ายหน้า


หลังจากที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปแล้ว ตระกูลจางถึงได้เรืองอำนาจขึ้น ดังนั้นผู้ก่อตั้งตระกูลจางจึงไม่ใช่ผู้สืบทอดมรดกของปรมาจารย์ขง


“คุณเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของกาลเวลา ซึ่งมีแต่ปรมาจารย์ขงเท่านั้นที่ทำได้ แต่คุณก็ไม่ใช่ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง ดูเหมือนคนรุ่นหลังจะเก่งกาจไม่เบานะ!” โครงกระดูกมังกรพยักหน้า


“ผมขอชื่นชมคุณที่ต้านทานแรงกดดันและหลบเลี่ยงหยดน้ำของผมได้ แต่นั่นก็ยังไม่พอ ถ้าคุณอยากได้การยอมรับจากผมล่ะก็ จะต้องเอาชนะผมให้ได้ด้วย!”


“ได้การยอมรับจากคุณ?” จางเซวียนทวนคำ


“ใช่แล้ว ทางเดินนี้มีขุมสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในบรรดาประตูทั้ง 99 บาน และก็อันตรายที่สุดด้วย ผู้ที่ได้การยอมรับจากผมจะสามารถนำตัวผมไป แต่หากไม่ผ่านการทดสอบ ก็ต้องถูกผมกลืนกิน” โครงกระดูกมังกรพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“คุณหมายความว่าคนที่ได้การยอมรับจากคุณจะสามารถนำคุณติดตัวไปด้วยอย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


ขนาดหยดน้ำที่กระเซ็นออกมาจากโครงกระดูกมังกรก็มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดได้อย่างง่ายดายแล้ว ประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าปรมาจารย์หยางเลย ถ้าเขาสามารถนำโครงกระดูกมังกรติดตัวไปได้ ทั้งพละกำลังและอำนาจของเขาจะต้องเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก!


“ใช่ แต่หากคุณต้องการการยอมรับจากผม อันดับแรก คุณจะต้องสำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าผมออกมาก่อน ในครั้งนั้น นักปราชญ์โบราณหรันชิวใช้พละกำลังของเขาหว่านล้อมให้ผมอยู่รับใช้เขาชั่วชีวิต ผมหลับไหลอยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปีแล้ว รอคอยที่จะได้พบใครสักคนที่คู่ควรต่อการรับใช้” โครงกระดูกมังกรตอบ


“นักปราชญ์โบราณหรันชิว…คุณเป็นอาวุธของนักปราชญ์โบราณหรันชิว? หรือว่า…คุณคือ…หอกสวรรค์กระดูกมังกร?” จางเซวียนพลันนึกบางอย่างได้ เขาตัวสั่นด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขาเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับนักปราชญ์โบราณหรันชิว จึงพอรู้เศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์อยู่บ้าง หอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นอาวุธที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวใช้สังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอย่างดุเดือดเลือดพล่านจนได้รับฉายาว่าเทพเจ้าแห่งสงคราม แม้แต่ปรมาจารย์ขงก็ยังยกย่องอานุภาพอันไร้เทียมทานของมัน…


หรือว่ากระดูกมังกรที่เห็นอยู่นี่จะเป็นอาวุธในตำนานชิ้นนั้น?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็ตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกทางเดินนี้!


“ใช่!” โครงกระดูกมังกรตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นักปราชญ์โบราณหรันชิวได้สกัดกั้นพละกำลังของผมไว้ ดังนั้นประสิทธิภาพการต่อสู้ของผมในตอนนี้จึงอยู่ที่ระดับของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น ขอแค่คุณเอาชนะผมได้ ผมก็เต็มใจจะกลับไปกับคุณ แต่ถ้าไม่…ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรือมีภูมิหลังมาจากไหน ผมก็จะฉีกร่างของคุณเสีย ค่าที่บังอาจมาท้าทายผม!”


“ได้, ได้แน่นอน เป็นสิทธิ์ของคุณที่จะทำแบบนั้นได้ เพียงแต่…” จางเซวียนเงยหน้าขึ้นมองโครงกระดูกมังกรอีกครั้ง “อย่างที่คุณเห็น ผมเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด ในเมื่อตอนนี้คุณเป็นนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผมก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับคุณได้…คุณคิดจะลดระดับวรยุทธลงมาให้เท่ากับผมก่อนที่เราจะสู้กันหรือเปล่า?”


“คุณอยากให้ผมลดระดับวรยุทธลงมาให้เท่ากับคุณหรือ?” โครงกระดูกมังกรตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความไม่พอใจ


“คุณถูกขังอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ผมเชื่อว่าคุณคงปรารถนาที่จะได้เห็นโลกกว้างและได้สู้รบกับข้าศึกที่คู่ควร ตอนนี้ผมเป็นเพียงคนเดียวที่เลือกทางเดินนี้ และถ้าไม่มีใครอื่นเข้ามาอีกหลังจากตัวผม นั่นจะไม่หมายความว่าคุณจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ? นั่นจะเป็นจุดจบอันน่าเศร้าสำหรับอาวุธชั้นยอดอย่างคุณเลยนะ!” จางเซวียนพูดอย่างใส่อารมณ์


“ในเมื่อมันเป็นการดวล มันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเราทั้งคู่เท่าเทียมกัน จริงไหม? ไม่อย่างนั้น จะสนุกอะไรถ้าคุณเอาชนะได้ตั้งแต่กระบวนท่าแรก?”


โครงกระดูกมังกรลังเลเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


“ตกลงตามนั้นนะ! คุณน่ะเป็นไม้ตายของนักปราชญ์โบราณหรันชิว เพราะฉะนั้น ประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณก็ต้องจัดว่าเป็นชั้นยอด ไม่มีทางที่นักรบผู้อ่อนด้อยอย่างผมจะเอาชนะคุณได้หรอก ต่อให้คุณลดระดับวรยุทธลงมาเท่ากับผมแล้วก็เถอะ!” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตด้วยความชื่นชม “แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจล่ะก็…ผมก็เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้”


“ฮึ่มมม! ต่อให้ผมลดระดับวรยุทธลง ก็ไม่มีทางแพ้คุณหรอก!” โครงกระดูกมังกรคำรามเพราะคำยั่วยุของจางเซวียน “ก็ได้ ผมจะลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด!”


อันที่จริง โครงกระดูกมังกรก็รู้อยู่แก่ใจว่าจางเซวียนจงใจยั่วยุมัน แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ และมันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องพ่ายแพ้ให้กับจางเซวียน


ฟึ่บ!


ครู่ต่อมา รังสีอันทรงพลังของหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ค่อยๆลดระดับลงจนเท่ากับระดับวรยุทธของจางเซวียน คือระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด


“เอาล่ะ เริ่มกันเถอะ…”


หลังจากลดระดับวรยุทธแล้ว โครงกระดูกมังกรกำลังจะเปิดการโจมตี ก็พอดีกับที่ภาพตรงหน้ามันพร่าเลือนไป จากนั้น ชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ห่างออกไปก็มายืนตรงหน้ามันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วปล่อยหมัดเข้าใส่ส่วนหัวของมัน


“คุณ…”


เมื่อถูกโจมตีอย่างกะทันหันโดยที่ไม่ทันระมัดระวังตัว โครงกระดูกมังกรถึงกับเสียอาการไปเล็กน้อย มันฟาดหางอย่างแรงเพื่อเล่นงานชายหนุ่ม แต่พริบตาต่อมาก็พบว่าพื้นที่โดยรอบมันถูกสกัดกั้นเอาไว้ทั้งหมด ราวกับแม่น้ำที่แข็งตัว มันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้เลย


“ศาสตร์การสกัดกั้นมิติของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋?” โครงกระดูกมังกรอุทานด้วยความตกตะลึง


พริบตาต่อมา มันก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กะโหลก หมัดของชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่ศีรษะของมันอย่างจัง


พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!


ทั้งกำปั้นและลูกเตะรัวๆพุ่งใส่โครงกระดูกมังกรราวกับห่าฝน ทำให้เกิดความเจ็บปวดที่สะท้านไปทั้งตัว มันรู้สึกเหมือนถูกกระแสน้ำเชี่ยวเซาะอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้แทบยืนไม่อยู่ ไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้เลย


ด้วยการโจมตีอย่างไม่ลดละนั้น ไม่เพียงแต่โครงกระดูกมังกรจะได้รับความบอบช้ำ จิตวิญญาณของมันยังสั่นสะท้านอย่างหนักด้วย


โครงกระดูกมังกรแทบคลุ้มคลั่ง หมอนี่ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?


1599 ยอมรับเจ้านายใหม่

ถึงโครงกระดูกมังกรจะลดระดับวรยุทธลงมา แต่ก็แน่นอนว่ามันคือที่สุดของสุดยอดในบรรดานักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด ลำพังแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าร่างกายของมันได้รับการบ่มเพาะจนเหนือกว่าขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แถมสัญชาตญาณการต่อสู้ก็ได้รับการขัดเกลาตลอดระยะเวลาหลายปีในการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักปราชญ์โบราณหรันชิว มันได้เผชิญหน้ากับนักรบมากมายและเทคนิคขั้นสูงที่แตกต่างกันไปนับไม่ถ้วน ว่าแต่…นี่มันบ้าบออะไร?


ทั้งที่ดูเหมือนจะด้อยทักษะ แต่ชายหนุ่มก็สามารถปล่อยการโจมตีใส่มันได้เป็นชุดๆราวกับนักเลงหัวไม้ข้างถนน


และที่ทำให้ปวดใจกว่านั้นก็คือมันไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย!


นี่เป็นการถูกเหยียดหยามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่มันได้รับตั้งแต่เกิดมา!


ด้วยหมัดและลูกเตะรัวๆที่ประเคนเข้าใส่ศีรษะของมันราวกับห่าฝน ในที่สุดโครงกระดูกมังกรก็หมดความอดทน มันคำรามก้องและบีบอัดร่างของตัวเองให้เล็กลง


ฟึ่บ!


โครงกระดูกที่ประกอบกันเป็นร่างกายอันใหญ่โตนั้นแปรสภาพเป็นหอกสีดำเล่มหนึ่ง


“ลุย!”


ด้วยการจ้วงแทงอันทรงพลัง ราวกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกค้อนทุบ มิติที่ถูกสกัดกั้นไว้แตกสลายไปในทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น


แรงปะทะนั้นทำให้จางเซวียนต้องถอยไปหลายก้าวขณะที่รู้สึกเจ็บหน้าอกเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ


ความสามารถในการสกัดกั้นมิติของจางเซวียนนั้นจัดว่าทรงพลัง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ประสิทธิภาพของมันก็ลดลง


แม้พละกำลังที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรสำแดงออกมาจะยังอยู่ในขอบเขตของนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด แต่มันก็สามารถรวบรวมพลังที่ทำให้เกิดการระเบิดรุนแรงเกินกว่าขีดจำกัดของมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้


แน่นอนว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่จางเซวียนเพิ่งสำเร็จความเข้าใจในแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ หากเขามีเวลามากกว่านี้และสามารถยกระดับความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งมิติของตัวเองได้ ก็คงจะใช้มันได้อย่างไหลลื่น หอกสวรรค์กระดูกมังกรคงไม่สามารถทำลายมันได้ง่ายดายอย่างที่เห็น


“คุณกล้าดูถูกผมได้อย่างไร? คุณจะต้องชดใช้!”


หลังจากทำลายมิติที่ถูกสกัดกั้นและได้รับอิสระอีกครั้ง โครงกระดูกมังกรร้องโหยหวนอย่างคลุ้มคลั่ง มันแปรสภาพจากหอกกลับสู่โครงกระดูกมังกรดังเดิมขณะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนพร้อมกับอ้าปากกว้าง


ฟึ่บ!


ทันทีที่มันมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ภาพที่มันมองเห็นก็พร่าเลือนไปอีกครั้ง ชายหนุ่มหายวับไป มันรีบเหลียวมองโดยรอบ แต่ก็เห็นเพียงขาข้างหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของมัน


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


ลูกเตะ 4 ลูกซ้อนพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกมังกร กะโหลกของมันเกือบจะเคลื่อนออกจากลำคอ


“ไปตายซะ…” โครงกระดูกมังกรตวาดก้อง


ในเมื่อนี่เป็นการดวล เราก็ควรจะต่อสู้อย่างชอบธรรมใช่ไหม มันเรื่องอะไรถึงจ้องจะเล่นงานแต่ใบหน้าของผม? คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าตัวเองยังเป็นปรมาจารย์?


ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่โจมตีใบหน้ากัน?


ควั่บ!


โครงกระดูกมังกรฟาดหางหนักอึ้งของมันเข้าใส่ชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศด้วยแรงโทสะ หวังจะทำลายร่างของเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆ แต่ทันทีที่ยกหางขึ้น ก็พลันรู้สึกได้ถึงแรงฉุดที่หาง


ชายหนุ่มเข้าไปอยู่ใต้ร่างของมันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และคว้ากระดูกส่วนหางของมันเอาไว้แน่น


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


ด้วยพละกำลังอันน่าทึ่ง จางเซวียนเหวี่ยงมันไปทางซ้ายทีทางขวาทีราวกับแส้ ทำให้ศีรษะของมันกระแทกกับพื้นไม่หยุดหย่อน เกิดหลุมยุบมากมายกระจายไปทั่ว


…..


“โครงกระดูกมังกร…ถูกซ้อมหรือ?”


รูปปั้นเด็กชายที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ผ่านจอเรืองแสงถึงกับตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงเมื่อเห็นภาพนั้น เขาตกตะลึงเสียจนศีรษะร่วงลงไปและกลิ้งไปกับพื้น


เด็กชายรีบเก็บมันขึ้นมาและต่อกับคอดังเดิมก่อนจะหันกลับไปมองจอภาพ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวาดผวามากขึ้นเรื่อยๆ


แม้โครงกระดูกมังกรจะลดระดับวรยุทธลงจนเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 แต่ก็ยังคงเป็นสุดยอดในหมู่นักรบระดับเดียวกัน แต่ชายหนุ่มก็สามารถทำให้มันอับจนหนทางได้ ราวกับผู้ใหญ่รังแกเด็ก


คุณจะต้องโหดร้ายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?


ถ้าไม่ใช่เพราะโครงกระดูกมังกรได้รับการบ่มเพาะจนถึงระดับที่เรียกว่าแทบไม่มีอะไรทำลายมันได้ การถูกซ้อมอย่างโหดเหี้ยมครั้งนี้คงจะทำให้มันแหลกสลายแน่


รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้มากมายที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการที่ชายหนุ่มจะถูกโครงกระดูกมังกรเล่นงานจนยับเยินด้วย แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาคิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้


มันเป็นไปได้อย่างไร?


นี่คืออาวุธคู่กายของนักปราชญ์โบราณหรันชิวนะ…หอกสวรรค์กระดูกมังกร!


…..


“โว้ยยยย! บ้าที่สุด! บ้าไปแล้ว! ผมจะฆ่าคุณ!”


เมื่อถูกเหวี่ยงอย่างไม่หยุดหย่อนจนหัวหมุนติ้ว ในที่สุดโครงกระดูกมังกรก็ทนไม่ไหวและปลดปล่อยการสกัดกั้นวรยุทธ พละกำลังของมันพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ ในชั่วพริบตา ระดับวรยุทธของมันก็เพิ่มขึ้นจากนักรบระดับเซียนขั้น 9 ไปเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน!


เมื่อมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกมาก โครงกระดูกมังกรก็สะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมของจางเซวียนได้สำเร็จ มันบิดร่างของมันอย่างแรงและอ้าปากเตรียมงับจางเซวียน!


ฟึ่บ!


เกิดลมพัดวูบหนึ่ง แล้วชายหนุ่มก็หายวับไปจากสายตาของมันอีกครั้ง พริบตาต่อมา เขาก็ปรากฏตัวเหนือศีรษะของมันและปล่อยลูกเตะอันทรงพลังเข้าใส่ขมับ


“…..” โครงกระดูกมังกรคลุ้มคลั่งจนพูดอะไรไม่ออก


การที่มันสู้กับชายหนุ่มไม่ได้โดยที่มีวรยุทธระดับเดียวกันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้มันยกระดับวรยุทธขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังหลบการโจมตีของมันได้อย่างง่ายดาย เขาจะต้องเก่งกาจขนาดไหน?


แม้แต่นักปราชญ์โบราณหรันชิวผู้ทรงพลังก็ยังไม่มีประสิทธิภาพการต่อสู้เท่านี้ หากเป็นการต่อสู้ในระดับวรยุทธเดียวกัน แน่นอนว่าต่อให้นักปราชญ์โบราณหรันชิวก็คงสู้กับชายหนุ่มคนนี้ไม่ไหว!


โครงกระดูกมังกรรีบล่าถอยเพื่อหลบการโจมตีนั้น


แม้ความว่องไวและความรวดเร็วของปฏิกิริยาตอบสนองของมันจะเพิ่มขึ้นอีกมากหลังจากการยกระดับวรยุทธมาเป็นขั้นการพักฟื้นภายใน แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความเร็วของชายหนุ่ม


ถ้าชายหนุ่มสำแดงความสามารถของสายเลือดอีกครั้ง มันคงต้องยอมแพ้ ไม่มีกระบวนท่าไหนที่จะเอาชนะกาลเวลาได้


แต่…ชายหนุ่มก็ใช้เพียงศิลปะการเคลื่อนไหวพิเศษบางอย่างและความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขาเพื่อทำให้มันอับจนหนทาง


พูดกันตามตรง โครงกระดูกมังกรยังคงพยายามค้นหาอยู่ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร!


อย่างกับอีกฝ่ายรู้ล่วงหน้าว่ามันจะโจมตีที่จุดไหน แถมยังรู้ทั้งจุดอ่อนและข้อบกพร่องทั้งหมดในการโจมตีของมันด้วย!


ยิ่งโครงกระดูกมังกรสู้ต่อไป มันก็ยิ่งคับอกคับใจขึ้นเรื่อยๆ


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


หลังจากเจอกับลูกเตะ 4 ครั้งซ้อน อารมณ์ของมันก็เดือดถึงขีดสุด ระดับวรยุทธพุ่งพรวดอีกครั้ง


ทั้งที่ตัวเองมีพละกำลังระดับนี้ แต่ชายหนุ่มก็ยังหวานล้อมให้มันลดระดับวรยุทธ แน่นอนว่านี่เป็นการสร้างภาพอย่างร้ายกาจ และเมื่อเจอกับการสร้างภาพแบบนี้ มันก็ไม่จำเป็นต้องยึดถือหลักการอีกแล้ว!


ดังนั้นโครงกระดูกมังกรจึงตัดสินใจไม่สกัดกั้นวรยุทธของตัวเองอีก ในชั่วพริบตา ระดับวรยุทธของมันก็ฝ่าด่านคอขวดจากการพักฟื้นภายใน ไปสู่ร่างอันทรงเกียรติ แรงผลักดันสัญชาตญาณ และชั่วกัลปาวสาน…


ในช่วงเวลาเพียงไม่ถึงอึดใจ มันก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีพละกำลังมหาศาลดังเดิม


“เจ้าหนุ่ม ซ้อมผมนี่สนุกมากไหม? ได้เลย…มาดูกันว่าคุณจะรับมือกับสิ่งนี้อย่างไร!” โครงกระดูกมังกรคำรามก้อง


แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็หายวับไปจากสายตาของมันอีกครั้ง มันรีบเงยหน้าขึ้น และเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่บนม้าหินที่ไม่ห่างจากทะเลสาบมากนัก แถมยังถือถ้วยชาไว้ในมือราวกับสุภาพบุรุษ มารยาทงาม


“ฮะ?” ได้ยินเสียงคำรามของโครงกระดูกมังกร จางเซวียนวางถ้วยชาลงอย่างสุขุมและตอบว่า “คุณไม่คิดว่ามันออกจะไม่สุภาพไปสักหน่อยหรือที่จะพูดถึงเรื่องการซ้อมและการฆ่าฟัน? ในเมื่อคุณเป็นอาวุธคู่กายของนักปราชญ์โบราณหรันชิว ก็ควรจะเข้าใจถึงความเหมาะสมในเรื่องการให้ความเคารพและความเมตตากรุณานะ แต่ในเมื่อคุณไม่มีมัน ก็ควรจะยอมรับผมเป็นเจ้านายของคุณเสียดีๆ!”


“คุณต้องการให้ผมรับคุณเป็นเจ้านาย? คนหนุ่มโอหังอย่างคุณช่างกล้า…”


ถ้าอารมณ์ของมันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ โครงกระดูกมังกรคงจะระเบิดเป็นไฟแล้ว


ก่อนหน้านี้คุณซ้อมผมอย่างไม่บันยะบันยัง แต่พอผมเรียกวรยุทธกลับคืนมา คุณก็กลับพูดว่าไม่อยากต่อสู้อีกแล้ว…โลกนี้มีอะไรง่ายๆแบบนั้นด้วยหรือ?


ฝันไปเถอะ!


ถ้าผมไม่ได้อัดคุณให้และเป็นเนื้อบดล่ะก็ อย่ามาเรียกผมว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรอีกต่อไป!


“คุณแน่ใจหรือว่าไม่อยากรับผมเป็นเจ้านาย?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“เฮ่อออ! ก็ถ้าอยากให้ผมยอมรับคุณเป็นเจ้านายล่ะก็ ทำไมไม่เอาชนะผมให้ได้…?” โครงกระดูกมังกรคำราม


แต่ยังไม่ทันที่มันจะพูดจบ เสียงคำรามกึกก้องก็ดังขึ้นในหัวของมัน


“มู! มูว!”


พลั่ก!


ทันใดนั้น โครงกระดูกมังกรพลันรู้สึกว่าร่างของมันแข็งทื่อ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่มีอำนาจควบคุมมาข่มขู่มันให้ยอมจำนน และเมื่อไม่อาจเคลื่อนไหวได้ มันก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ


“ผมให้เกียรติคุณหรอกนะ ถึงยอมให้คุณสู้กับผม แต่ดูเหมือนคุณจะล้ำเส้นไป!”


จางเซวียนคำรามขณะลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เอาสองมือไพล่หลัง “ยอมรับผมเป็นเจ้านายของคุณเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ก็เผชิญหน้ากับผลที่ตามมาจากความโอหังของตัวเองเถอะ!”


1600 หินวิเศษต้นกำเนิดทองคำ

 


ไม่ว่าเจ้ายักษ์ใหญ่นั่นจะมีสายเลือดมังกรหรือเป็นเพียงแค่โครงกระดูกมังกรกองหนึ่งก็ตาม ในเมื่อมีคำว่า ‘มังกร’ อยู่ในชื่อของมัน และยังไม่ได้ถึงขั้นมีสายเลือดมังกรบริสุทธิ์ ก็จะต้องถูกแปดโน้ตมังกรสวรรค์เล่นงานอยู่ดี


ตั้งแต่ก่อนดวล จางเซวียนก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เพราะความอยากถ่อมเนื้อถ่อมตัวซึ่งเป็นนิสัยของเขา จางเซวียนจึงตั้งใจจะใช้พละกำลังของตัวเองล้วนๆเพื่อเอาชนะหอกสวรรค์กระดูกมังกรให้ได้ แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะหน้าไม่อายถึงขนาดยกระดับวรยุทธของตัวเองหลังจากเห็นแล้วว่าจะต้องพ่ายแพ้?


ผมยังพอเอาหูไปนาตาเอาตาไปไร่ได้หากคุณยกระดับวรยุทธเพียงขั้นเดียว แต่ยกทีเดียวตั้งหลายขั้นแบบนี้ มันมากเกินไป


ต่อให้คนมีใจเมตตากรุณาอย่างผมก็ทำหูหนวกตาบอดไม่ได้หรอก!


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้แปดโน้ตมังกรสวรรค์กับมันอย่างไร้ความปรานี และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ หอกสวรรค์กระดูกมังกรพ่ายแพ้ในทันที


โครงกระดูกมังกรกองอยู่กับพื้นขณะตั้งคำถามด้วยเสียงแผ่ว “คะ-คุณ…คุณมีสายเลือดมังกรบริสุทธิ์หรือ?”


เมื่อเจออำนาจของแปดโน้ตมังกรสวรรค์เล่นงาน มันรู้สึกราวกับสติสัมปชัญญะจะหลุดลอยออกจากร่าง


ตัวมันไม่ใช่เจตจำนงที่แท้จริงของกระดูกมังกร แต่เป็นจิตวิญญาณของอาวุธที่เติบโตขึ้นหลังจากกระดูกมังกรถูกหลอมเป็นหอกแล้ว ดังนั้นจึงยังมีสายเลือดมังกรอยู่ ทั้งยังมีความยำเกรงและความหวาดกลัวอย่างเข้ากระดูกดำต่อสายเลือดมังกรบริสุทธิ์


สายเลือดมังกรบริสุทธิ์จะมีอยู่ในเผ่าพันธุ์มังกรในระดับสูงสุดเท่านั้น และไม่มีมังกรตัวไหนที่มีสายเลือดต่ำกว่าจะกล้าต่อต้านพวกนั้น!


“ผมต้องมีสายเลือดมังกรบริสุทธิ์หรือถึงจะใช้แปดโน้ตมังกรสวรรค์ได้?” จางเซวียนคำรามเยาะ


“เอ่อ…”


โครงกระดูกมังกรถึงกับพูดไม่ออก


ตัวมันสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักปราชญ์โบราณหรันชิว ได้พบกับปรมาจารย์ขงซึ่งเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์มาแล้ว แต่แม้ปรมาจารย์ขงก็ยังไม่มีความสามารถในการเปล่งเสียงแปดโน้ตมังกรสวรรค์แบบนี้…ขณะที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามันทำได้


เขาเป็นใครกัน?


โครงกระดูกมังกรลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนในที่สุดจะก้มศีรษะลง “ผะ-ผมเต็มใจยอมรับคุณเป็นเจ้านาย!”


ลำดับขั้นในเผ่าพันธุ์มังกรนั้นขึ้นอยู่กับสายเลือด เป็นธรรมดาที่ผู้มีสายเลือดเบาบางกว่าจะต้องรับใช้ผู้ที่มีสายเลือดเข้มข้น อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าชายหนุ่มเอาชนะมันได้ เพราะฉะนั้นการยอมจำนนของมันจึงไม่ใช่เรื่องน่าอาย


“ดี!” จางเซวียนพยักหน้า ขณะที่กำลังจะถามว่าขั้นตอนการยอมรับเขาเป็นเจ้านายจะต้องทำอย่างไร โครงกระดูกมังกรก็บีบอัดตัวเองอย่างรวดเร็ว และก็เหมือนกับคราวก่อน มันแปรสภาพเป็นหอกเล่มใหญ่


ฟิ้วววว!


หอกเล่มนั้นหมุนคว้างอยู่กลางอากาศก่อนจะหดลงจนมีความยาวประมาณ 1 จ้างและร่วงลงมาใส่มือของจางเซวียน


จางเซวียนก้มหน้าลงสำรวจชัยชนะของเขาใกล้ๆ หอกเล่มที่อยู่ในมือนั้นมีสีดำสนิท มีประกายเย็นเยือกเปล่งออกมาจากปลายหอก ลำพังแค่การมองหอกก็ทำให้รู้สึกได้ว่าหอกนั้นอาจจะจ้วงแทงเข้ามาได้ทุกขณะ ทำให้ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอรู้สึกเย็นเยือกและสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง


“เป็นหอกชั้นยอดเลย!” จางเซวียนอุทานอย่างตื่นเต้น


เพียงแค่กวัดแกว่งหอกเบาๆ เขาก็ได้ยินเสียงมังกรคำรามดังกึกก้องไปโดยรอบ เมื่อพยายามถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่หอก ก็ได้รับรู้ด้วยความยินดีว่าไม่ปรากฏการต่อต้านเลย ราวกับหอกนั้นเป็นทางเดินพลังปราณอีกส่วนหนึ่งของเขา มันสามารถปลดปล่อยพละกำลังของเขาออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


เลือดหยดหนึ่งของจางเซวียนถูกหยดลงบนปลายหอก มันซึมซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา แสงเจิดจ้าก็ระเบิดออกจากปลายหอก พื้นที่โดยรอบเกิดรอยร้าวไปทั่ว


“ด้วยอาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเราจะต้องเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2 เท่า!” จางเซวียนตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรเล่มนี้เป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังที่สุดที่เขาเคยได้รับนับตั้งแต่เข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ ถึงนักปราชญ์โบราณหรันชิวจะได้สกัดกั้นพละกำลังของมันไว้ แต่พละกำลังเท่าที่มันมีอยู่ก็ยังเรียกว่าไร้เทียมทาน


แน่นอนว่าด้วยระดับวรยุทธที่มีขีดจำกัดของจางเซวียน เขายังไม่อาจดึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของหอกออกมาได้ แต่หากเขาเรียกพลังงานจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงมาเมื่อไหร่ ด้วยหอกเล่มนี้ รับรองว่าจะไม่มีนักรบคนไหนในโลกนี้ที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณจะทัดเทียมกับเขาได้


อันที่จริง ต่อให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นกึ่งนักปราชญ์โบราณ ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะรับมือ


ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมหอสมุดเทียบฟ้าถึงชี้นำให้เราเลือกเส้นทางนี้! ด้วยหอกเล่มนี้เพียงเล่มเดียว การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่าแล้ว!


จางเซวียนหัวเราะร่าอย่างสบายใจ เขาสะบัดข้อมือ แล้วหอกก็แปรสภาพกลับไปเป็นกระดูกมังกร


เพียงชั่ววูบหนึ่งของการใช้ความคิด โครงกระดูกมังกรก็กลายเป็นเข็มขัดที่โอบรอบเอวของเขาไว้


หลังจากที่หอกยอมจำนนแล้ว จางเซวียนก็พบว่าโครงกระดูกมังกรมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอิสระ เมื่อเป็นหอก ก็สามารถจ้วงแทงทุกสิ่งที่เข้าขวางทาง หากเป็นแส้ ก็สามารถทิ้งรอยแผลลึกไว้บนโลกใบนี้


หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะสำรวจพื้นที่โดยรอบอีกครั้ง


ตอนนี้ทะเลสาบสงบลงแล้ว กลับสู่ความราบเรียบดังเดิม ในห้องโถงที่ดูว่างเปล่านั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นให้เห็น


“นี่เรา…ผ่านการทดสอบแล้วหรือ?” จางเซวียนถามโครงกระดูกมังกรด้วยความสงสัย


“ก็ใช่น่ะสิ คุณผ่านการทดสอบแล้ว ผมจะส่งคุณกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่…มีของบางอย่างของผมที่ผมอยากนำไปด้วย” โครงกระดูกมังกรพูด


“ได้สิ ถ้าอย่างนั้น…” จางเซวียนพูด “ไปนำมันมา!”


โครงกระดูกมังกรลอยออกจากเอวของจางเซวียนและโผขึ้นสู่กลางอากาศ แปรสภาพกลับเป็นมังกรตัวใหญ่ที่มีความยาวหลายสิบเมตร มันร่อนลงสู่ผืนน้ำและจ้วงกรงเล็บลงไปในทะเลสาบ


ซู่!


น้ำในทะเลสาบกระเซ็นอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อเจอกับพละกำลังมหาศาลของมัน จากนั้นแผ่นรูปกลมก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศอย่างช้าๆ มันมีรัศมีราว 3 เมตร แผ่พลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นอย่างเหลือเชื่อออกมา ซึ่งทำให้รู้สึกราวกับได้รับการบ่มเพาะจากสายลมอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ


“นี่คือ…ของล้ำค่าชั้นยอดของช่างตีเหล็ก หินวิเศษต้นกำเนิดทองคำ?” จางเซวียนนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ


ถึงเขาจะเป็นช่างตีเหล็กที่ไม่ได้เรื่องซึ่งทำได้เพียงแค่หลอมก้อนอิฐ แต่ความรู้เรื่องการตีเหล็กและสินแร่ของจางเซวียนนั้นสูงกว่ามาตรฐาน หรือถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริง ต่อให้ช่างตีเหล็กระดับ 9 ดาวก็ไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้ในแง่ของความรู้


แม้เมื่อมองจากระยะไกล จางเซวียนก็บอกได้ว่าแผ่นหินรูปกลมนั้นเป็นของล้ำค่าชั้นยอดที่บรรดาช่างตีเหล็กชั้นสูงต่างพากันใฝ่ฝันถึง – หินวิเศษต้นกำเนิดทองคำ!


ในการหลอมของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงโดยทั่วไป หากใส่หินวิเศษต้นกำเนิดทองคำเพียง 1 กรัมลงไประหว่างการหลอม ก็เพียงพอที่จะยกระดับของล้ำค่าชิ้นนั้นให้เป็นระดับเซียนขั้นสูงสุดได้แล้ว…แต่ตอนนี้มีหินวิเศษรูปกลมขนาดใหญ่เบ้อเร่ออยู่ตรงหน้าเขา!


มันหนักกี่ตันกันนี่?


ขนาดคนสุขุมอย่างจางเซวียนก็ยังหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ความปรารถนาที่ไม่อาจควบคุมได้พลุ่งพล่านอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเขา


พูดได้เลยว่าสำหรับแผ่นหินรูปกลมนี้ ในแง่ของราคาค่างวดก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสูงสุดเลย!


“ใช่แล้ว นี่คือหินวิเศษต้นกำเนิดทองคำ ในครั้งนั้น ตอนที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวกักขังผมไว้ที่นี่ เขาได้สั่งไว้ให้ผมรอคอยนักรบคนต่อไปที่ฟ้าจะลิขิตให้มาปรากฏตัวและได้การยอมรับจากผม ซึ่งผมก็รออยู่ที่นี่นานแสนนานจนแทบจะหลงลืมเวลาไปแล้ว! ถึงอย่างไร ในฐานะจิตวิญญาณของอาวุธ อายุขัยของผมก็มีจำกัด เพราะรู้ความจริงข้อนี้ นักปราชญ์โบราณหรันชิวจึงใส่ของล้ำค่าชิ้นนี้ไว้ก้นทะเลสาบ ตราบใดที่ผมยังอาศัยอยู่เหนือมัน ความแข็งแกร่งของผมจะไม่เสื่อมสลาย และอายุขัยของผมก็จะยืนยาวขึ้นอีกมาก!” โครงกระดูกมังกรอธิบาย


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


นี่คือคำตอบของเรื่องที่เขากำลังสงสัยอยู่ แม้หอกสวรรค์กระดูกมังกรจะเป็นหนึ่งในอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่หลังจากที่มันอยู่มาเนิ่นนาน จิตวิญญาณของมันก็ยอมแก่ตัวลงจนถึงจุดที่ไม่อาจทำการต่อสู้ได้อีกต่อไป โชคดีที่ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณหรันชิวจะทำนายปัญหานี้ไว้ล่วงหน้าและเตรียมการไว้พร้อม!


เมื่อมีหินวิเศษต้นกำเนิดทองคำคอยรักษาพละกำลังให้หอกสวรรค์กระดูกมังกร พลังของมันจึงยังคงอยู่แม้จะมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน ถึงจะผ่านไปหลายหมื่นปี ก็ยังสามารถสำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้อย่างเต็มพิกัดได้โดยปราศจากปัญหา


“แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อผมฟื้นคืนชีพแล้ว หินวิเศษต้นกำเนิดทองคำก็ไม่มีประโยชน์กับผมอีกต่อไป ดังนั้นผมจึงเต็มใจมอบให้คุณ, นายท่าน!” โครงกระดูกมังกรสะบัดกรงเล็บ แล้วหินวิเศษต้นกำเนิดทองคำก็ลอยเข้าหาจางเซวียน


จางเซวียนรีบรับไว้และเก็บมันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ “ฮ่าฮ่าฮ่า ผมจะไม่ปฏิเสธของกำนัลของคุณละนะ!”


เมื่อได้เห็นทรัพย์สมบัติของเซียนดาบชิงและความใจกว้างที่เซียนดาบชิงมีให้เขา จางเซวียนก็รู้ตัวว่าเขามีมุมมองต่อคำว่า ‘ล้ำค่า’ ต่างไปจากคนอื่น ถึงหินวิเศษต้นกำเนิดทองคำก้อนนี้จะเป็นทรัพย์สมบัติอันแสนล้ำค่าสำหรับเขา แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์โบราณหรันชิว และในเมื่อโครงกระดูกมังกรเต็มใจมอบให้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะปฏิเสธ


อีกอย่าง ดูเหมือนหินวิเศษต้นกำเนิดทองคำก้อนนี้จะเป็นแหล่งทรัพยากรชั้นเลิศในการเพิ่มพลังให้กับหม้อต้นกำเนิดทองคำ ด้วยหินนี้ เขาจะสามารถยกระดับวรยุทธให้หม้อต้นกำเนิดทองคำได้อีกครั้ง และมันจะช่วยเขาได้ในการสู้รบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


“นายท่าน เราออกไปกันเถอะ!”


หลังจากมอบหินวิเศษต้นกำเนิดทองคำให้จางเซวียนแล้ว โครงกระดูกมังกรก็แปรสภาพเป็นเข็มขัดที่รัดรอบเอวของจางเซวียนอีกครั้ง จางเซวียนเงยหน้าขึ้น และพบว่ามีประตูหินหน้าตาเหมือนกับประตูบานที่เขาเข้ามาตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก


เขารีบเดินตรงไปและผลักประตูให้เปิดออก


แอ๊ดดด!


ทันทีที่ประตูเปิด จางเซวียนก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องรูปทรงกลมอีกครั้ง มีคนสองกลุ่มกำลังยืนเผชิญหน้ากัน พลังปราณของพวกเขาพลุ่งพล่านอยู่ในอากาศ บ่งบอกกลิ่นอายของการต่อสู้ที่ยังอบอวลอยู่


1601 การปรากฏของเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน

คนกลุ่มแรกที่จางเซวียนเห็นคือหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉิน ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียด


ฝั่งตรงข้ามคือชายหนุ่ม 4 คนที่แผ่รังสีที่ประกอบด้วยเจตนาสังหารโหดเหี้ยมออกมา แม้จะยังไม่ได้เคลื่อนไหว รังสีของพวกเขาก็อบอวลไปทั่วทั้งห้อง ราวกับจะประกาศศักดาให้อีกฝ่ายรับรู้


พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นทั้ง 4 ตัวที่กลุ่มของจางเซวียนติดตามมา


เมื่ออยู่ในระยะใกล้ ในที่สุดจางเซวียนก็ได้เห็นรูปลักษณ์ชัดๆของอีกฝ่าย พวกมันสวมเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกทรงสูง และมีหนวดเคราขึ้นครึ้มที่ปลายคาง


“เจ้าพวกนี้คือตัวการที่ลักพาตัวจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และหยวนเทา…” จางเซวียนหรี่ตาอย่างดุร้ายขณะค่อยๆเลื่อนมือไปที่เอวของเขา เตรียมพร้อมจะเปิดการโจมตี


“ผู้เข้าท้าทายคนสุดท้ายผ่านการทดสอบแล้ว”


ในตอนนั้นเอง เสียงเรียบเฉยก็ดังขึ้นกลางอากาศ แหวกทะลุความตึงเครียดอันหนักอึ้งนั้น รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับฝูงชน


“ในเมื่อพวกคุณผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวทิ้งไว้ที่นี่”


ฟึ่บ!


ทันทีที่สิ้นสุดคำพูดนั้น ลำแสงเจิดจ้าก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องขณะที่แผ่นหินแผ่นหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ ที่ใจกลางแผ่นหินนั้นมีเครื่องรางชิ้นหนึ่งซึ่งมีขนาดราวฝ่ามือ


มีตัวอักษรโบราณจารึกไว้บนเครื่องราง แม้มันจะดูเหมือนไม่มีอำนาจพิเศษใดๆ แต่หากใครพยายามจะใช้สติสัมปชัญญะเข้าเพ่งดูภายในเครื่องราง ก็จะรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงหัวใจ


นั่นคือเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานหรือเปล่า? จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว ขณะรีบหันไปมองหลัวลั่วชิง


เครื่องรางลำดับแรกคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขามาที่นี่ ในเมื่อมันปรากฏแล้ว ก็ดูเหมือนว่าคงจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องรักษาเครื่องรางไว้ ยังต้องจับตัวเจ้า 4 คนนั่นและบังคับให้มันเปิดเผยที่อยู่ของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆด้วย


“ในที่สุดมันก็ปรากฏ!”


ชายหนุ่มทั้ง 4 ระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวเมื่อได้เห็นเครื่องรางลำดับแรก นัยน์ตาของพวกมันเป็นประกายลุกโชน


จางเซวียนไม่ใส่ใจพวกนั้น เขามองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆและตั้งคำถาม “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”


ในเมื่อตัวเขาต้องเผชิญกับอันตรายมากมายในการทดสอบ ก็เป็นไปได้ว่าหลัวลั่วชิงคงจะพบปัญหาอยู่ไม่น้อย


“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เป็นอะไร” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าขณะชำเลืองมองเข็มขัดที่อยู่รอบเอวของจางเซวียน “ดูเหมือนคุณจะได้อะไรมากโขอยู่นะจากการทดสอบครั้งนี้!”


นึกไม่ถึงว่าเธอจะสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วขนาดนั้น จางเซวียนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน “ฮ่าฮ่า ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ!”


จริงๆเลยนะ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสักอย่างที่เขาทำแล้วจะหลุดรอดจากสายตาของเธอไปได้!


“หอกสวรรค์กระดูกมังกรนั้นทรงพลังมาก ด้วยระดับความแข็งแกร่งของคุณในตอนนี้ คุณไม่อาจดึงพละกำลังของมันออกมาได้แม้แต่หนึ่งในร้อยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น เพียงเท่านั้นก็เกินพอแล้ว” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับยิ้มให้


“อือ” จางเซวียนพยักหน้า


เขากำลังจะพูดต่อ ก็พอดีกับที่เสียงของรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นดังขึ้นอีกครั้ง


“ผมรู้ว่าพวกคุณทั้งสองฝ่ายปรารถนาเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ควรตัดสินโดยใช้พละกำลัง ใช้ทุกวิถีทางที่คุณมีอยู่เท่าที่จะทำได้ ใครก็ตามที่เป็นผู้ชนะจะได้เป็นเจ้าของคนใหม่ของเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานชิ้นนี้!” รูปปั้นเด็กชายหัวเราะเบาๆขณะจับจ้องทั้งสองกลุ่ม


“ในเมื่อผู้อาวุโสพูดแบบนี้ พวกเราก็จะไม่รั้งรอละนะ”


ชายหนุ่มหน้าตาฉลาดเฉลียวซึ่งเป็นหนึ่งในชายทั้งสี่พุ่งเข้าใส่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานทันที ตั้งใจจะคว้ามันไปให้ได้


วิ้ง!


แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะเอื้อมถึงเครื่องราง ก็พลันกระทบกับบางอย่างที่แข็งกระด้าง ไม่ว่าจะพุ่งเข้าใส่ด้วยพละกำลังหนักหน่วงแค่ไหน ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปสัมผัสเครื่องรางได้


มันเป็นปราการที่แบ่งแยกมิติเอาไว้


“คุณอยากได้เครื่องรางหรือ? ถามผมหรือยัง?” หวู่เฉินคำรามเยาะขณะที่พุ่งเข้าใส่


ไม่เหมือนกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น เป้าหมายของหวู่เฉินไม่ใช่เครื่องราง พลังทำลายล้างในฝ่ามือของเขาพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดที่ยืนอยู่ตรงข้าม


“บังอาจ!”


เห็นหวู่เฉินจงใจโจมตีพรรคพวกคนหนึ่งของตัวเอง ชายหนุ่มที่ดูบอบบางกระโจนเข้ามาพร้อมกับคำรามก้อง พิณโบราณตัวหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา เขาสะบัดปลายนิ้วและบรรเลงพิณอย่างสง่างาม เสียงดนตรีที่มีอานุภาพกรีดแทงระเบิดออกมา


ตริ๊งงงงง!


“มันคือของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนจริงๆด้วย!” จางเซวียนหรี่ตา


พิณตัวนี้ไม่ใช่ของล้ำค่าที่ทรงพลังที่สุดของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน แต่เขาก็เป็นผู้ขัดเกลามันด้วยตัวเอง แม้แต่การดีดมันอย่างแผ่วเบาที่สุดก็สามารถเปล่งเสียงอันสง่างามออกมา ราวกับมีกองกำลังของนักรบจำนวนหลายพันพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลดละ


สำหรับของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้ได้จนถึงวันนี้ ต่อให้เป็นชิ้นที่เรียบง่ายที่สุด ก็เป็นเครื่องมือที่ไม่อาจประมาทประสิทธิภาพของมันได้


“เฮ่ย!”


เมื่อเจอเข้ากับการตอบโต้ของชายหนุ่มท่าทางบอบบาง หวู่เฉินถอนการโจมตีกลับและปล่อยพละกำลังเข้าปะทะกับบทเพลงบรรเลงปีศาจนั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คลื่นความสั่นสะเทือนก็แผ่ออกไปโดยรอบ


จากการปะทะ จางเซวียนบอกได้ว่าทั้งชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดและชายหนุ่มท่าทางบอบบางล้วนมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เทียบชั้นกับปรมาจารย์หยางได้! ทั้งสองสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


ไม่น่าแปลกใจที่คนพวกนี้จะจับตัวจ้าวหย่ากับพรรคพวกไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยพละกำลังที่พวกมันมี ประกอบกับของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนที่มีอยู่ในครอบครอง ก็ย่อมก่อให้เกิดอำนาจที่ยากจะต้านทาน


“ลั่วชิง ผมขอมอบหมายหน้าที่ให้คุณยับยั้งใครก็ตามที่พยายามจะฉกฉวยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน ถ้าเป็นไปได้ พยายามคว้ามันไว้เองนะ ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของหวู่เฉินกับผม!” จางเซวียนสั่งการ


เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็แตะหยดเลือดในฝ่ามือ แล้วคลื่นพลังงานมหาศาลก็ระเบิดออกจากร่างของเขา!


ในเมื่อเจ้าตัวการที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรั้งรออีก เขาจะต้องเค้นให้พวกมันเปิดปากบอกที่อยู่ของจ้าวหย่ากับพรรคพวกออกมาให้ได้


“ได้สิ” รู้ดีว่าสภาวะของจางเซวียนในตอนนี้พร้อมจะรับมือกับชายทั้ง 4 แล้ว หลัวลั่วชิงพยักหน้าก่อนจะพุ่งเข้าใส่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน


“เฮ่ ผมจะปล่อยให้คุณเอาเครื่องรางไปง่ายๆแบบนั้นได้อย่างไร?”


ชายหนุ่มผิวคล้ำคำรามลั่นขณะพุ่งเข้าใส่ หมายจะขัดขวางหลัวลั่วชิง แต่ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่พุ่งเข้าใส่ บีบให้เขาต้องล่าถอย พริบตาต่อมา ก็เห็นจางเซวียนมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น


“เข้าใจตรงกันเสียก่อน คู่ต่อสู้ของแกคือฉัน!”


ชายผิวคล้ำประหลาดใจกับการโผล่พรวดเข้ามาของจางเซวียน และรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคงจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ง่ายๆ จึงหันไปคำรามใส่ชายคนสุดท้ายในกลุ่ม “มัวชักช้าอะไรอยู่ล่ะ? ยับยั้งเธอไว้!”


ชายหนุ่มคนสุดท้ายหายจากอาการจังงังแล้วรีบพยักหน้า “ได้สิ!”


จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้าตัวหลัวลั่วชิง


ชายหนุ่มคนสุดท้ายมีรูปร่างสูงที่สุดในบรรดาทั้ง 4 คน และออกจะเผละผละเล็กน้อย ดูสภาพแล้วไม่น่าประทับใจนัก แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เขาสำแดงออกมาก็เหนือชั้นกว่าธรรมดา ไม่ได้ด้อยกว่าอีก 3 คนที่เหลือเลย


คลื่นความสั่นสะเทือนอันทรงพลังถูกปล่อยออกจากฝ่ามือของชายหนุ่มคนสุดท้าย พละกำลังนั้นมีอานุภาพทำลายล้างเทียบเท่ากับสายฟ้า


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าพยายามให้เหนื่อยเปล่าเลย! แกสองคนน่ะเป็นของฉัน!”


ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มคนสุดท้ายจะได้ทำอะไร เสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นแรงกดดันอันดุเดือดก็ถาโถมเข้าใส่ สลายพละกำลังที่มีอยู่ในมือของเขาจนหมดสิ้น


ชายหนุ่มทั้ง 4 หันมาจ้องจางเซวียนซึ่งถือหอกสีดำสนิทไว้ในมือด้วยความประหลาดใจ หอกนั้นแผ่รังสีอันสง่างามและเยือกเย็นออกมา


รู้ดีว่าจางเซวียนมีพละกำลังเหนือกว่าที่พวกมันจะรับมือด้วยทีละคน ชายผิวคล้ำตะโกนอย่างร้อนรน “พวกเราร่วมมือกันเถอะ!”


ฟึ่บ!


จากนั้น ชายผิวคล้ำกับชายหนุ่มคนสุดท้ายก็ชักดาบออกมาและปล่อยกระแสดาบฉี 2 สายออกมาพร้อมกัน พื้นที่โดยรอบส่งเสียงโหยหวนจากแรงกรีดของกระแสดาบฉีนั้น ดูเหมือนกระแสดาบฉีจะฉีกจางเซวียนเป็นชิ้นๆได้หากมันเข้าปะทะเขา


“ขอฉันแสดงให้พวกแกเห็นหน่อยเถอะว่าแกยั่วโมโหใคร ตอนที่บังอาจลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของฉันไป!”


จางเซวียนสะบัดข้อมือ เสียงเหมือนมังกรคำรามดังออกมาจากหอกของเขาขณะที่มันพุ่งเข้าใส่


ครืนนนน!


เกิดรูสีดำขึ้นเมื่อกระแสดาบฉีกับหอกปะทะกัน ทำให้ห้องนั้นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


แม้มิติลี้ลับที่พวกเขาอยู่จะมีความมั่นคงแข็งแรงเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นมิติเสมือนจริง ไม่อาจต้านทานพละกำลังอันน่าสะพรึงระดับนี้ได้


พลั่ก! พลั่ก!


ทั้งชายผิวคล้ำและชายหนุ่มคนสุดท้ายต่างหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึงขณะถูกสอยกระเด็นไป ราวกับถูกทุบด้วยค้อนอย่างจัง ทั้งคู่กระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง เกิดรูขนาดใหญ่ขณะที่เลือดซึมออกจากมุมปาก


เพียงแค่การกวัดแกว่งหอกครั้งเดียว จางเซวียนก็สลายการโจมตีจากนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานถึง 2 คนได้สำเร็จ


เป็นครั้งแรกที่ประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงและหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้สำแดงอานุภาพให้โลกเห็น!




1602 เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจริงๆ!

“จ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของฉันอยู่ที่ไหน?”


หลังจากสอยชายหนุ่มสองคนกระเด็นไป จางเซวียนก็ย่างสามขุมเข้าหาพร้อมกับหอกที่เปล่งประกายเยือกเย็นออกมา ในตอนนั้น เขาดูเหมือนกับเทพเจ้าแห่งสงครามที่ลงมาจากสวรรค์


ตริ๊งงงงง!


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะคว้าตัวหนึ่งในสองคนนั้นมาสอบสวน คลื่นความสั่นสะเทือนก็แผ่เข้าใส่เขา ตรงเข้ากรีดแทงจิตวิญญาณ เมื่อหันไป ก็เห็นชายหนุ่มท่าทางบอบบางที่ถือของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนไว้กำลังดีดพิณโดยหันหน้ามาทางเขา


จางเซวียนรีบหันไปมองหวู่เฉิน และเห็นอีกฝ่ายถูกนักรบทองคำ 3 ตัวเล่นงาน นักรบทองคำกลุ่มนี้มีพละกำลังมหาศาลจนทำให้พื้นที่โดยรอบพังพินาศไปเพราะพลังจากกำปั้นของพวกมัน แม้ด้วยความแข็งแกร่งระดับหวู่เฉินก็ยังไม่อาจเอาชนะ 3 ตัวนั้นได้ในระยะเวลาอันสั้น


“เจ้าพวกนี้มีของล้ำค่ามากมายจริงๆ…”


นักรบทองคำ 3 ตัวนี้เหมือนกับนักรบทองคำที่พวกเขาได้เผชิญหน้าตอนที่กำลังจะเข้าสู่หอหรันจื่อ พวกมันคือทหารหาญที่แปรสภาพมาจากลายมือของนักปราชญ์โบราณผู้เชี่ยวชาญ มีทั้งความคิดและจิตวิญญาณของเขา


แต่ทั้งสามก็ไม่เหมือนกับนักรบทองคำที่ทั้งกลุ่มได้เจอก่อนหน้า เพราะสามตัวนี้ไม่ได้ลดระดับวรยุทธ และพวกมันก็ผนึกกำลังกันต่อสู้ได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้แม้แต่หวู่เฉินก็ยังรับมือกับพวกมันได้ยาก


จางเซวียนเกิดความสงสัย นักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ, พิณโบราณของนักปราชญ์เยียนเยียน…เจ้าพวกนี้เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจริงๆหรือเปล่า?


แม้แต่สภาปรมาจารย์ก็ยังไม่อาจใช้ของล้ำค่าทีเดียวมากขนาดนี้ แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้กลับมี แถมนำมาใช้อย่างง่ายๆ ราวกับของเหล่านี้ไม่ได้มีค่ามากมายอะไรสำหรับพวกมัน


เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์?


แต่ถ้าชายหนุ่มทั้ง 4 มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จริงๆ แล้วหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินเป็นใคร?


ถึงอย่างไร หลัวลั่วชิงก็บอกเขาแล้วว่าเธอไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ และเขาก็อยากจะไว้ใจเธอ


ข้อบกพร่อง!


ด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้น จางเซวียนตัดสินใจใช้หอสมุดเทียบฟ้ากับชายหนุ่มทั้ง 4 เพื่อหวังจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกนั้น


วิ้ง!


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือที่ได้รับการประมวล


เกิดอะไรขึ้น? คงไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนี้มีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายโดยสิ้นเชิงหรอกนะ? ในโลกทั้งใบ คงไม่มีคนมากมายขนาดนั้นหรอกที่มีสภาวะนี้! จางเซวียนหรี่ตา


เขายังพอรับได้ที่ไม่อาจประมวลหนังสือของหลัวลั่วชิงและหวู่เฉิน แต่ทำไมถึงมองทะลุชายหนุ่มกลุ่มนี้ไม่สำเร็จ มันเกิดอะไรขึ้น?


ทั้ง 4 คนกำลังสำแดงเทคนิคการต่อสู้ เขาควรจะอ่านข้อมูลของคนพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย!


หรือว่า…ใช่แล้วล่ะ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ! ถึงคนพวกนี้จะไม่ได้มีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะมีของล้ำค่าบางอย่างที่สามารถปกปิดตัวตนของตัวเองจากสวรรค์ได้ ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่และตระกูลจางจะไม่รู้ว่าพวกนี้มีแผนการจะลักพาตัวจ้าวหย่ากับคนอื่นๆ! จางเซวียนพยักหน้า


ทั้งจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และหยวนเทามีความสำคัญต่อการเข้าถึงวิหารแห่งขงจื๊อ ทางสภาปรมาจารย์จึงได้มอบหมายให้เหล่าผู้หยั่งรู้ที่มีทักษะสูงสุดของพวกเขาเฝ้าจับตาสามคนนี้ หากทั้งสามกำลังจะถูกจับตัว บรรดาผู้หยั่งรู้จะต้องทำนายได้ล่วงหน้า แต่เรื่องนั้นก็ไม่เกิดขึ้น มีเหตุผลเดียวที่อธิบายได้ ก็คือชายหนุ่มทั้ง 4 ใช้กรรมวิธีบางอย่างปกปิดตัวเองไว้จากดวงตาของสวรรค์!


พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นวิธีการเดียวกับที่กระดองเต่าของนักปราชญ์ชีปกปิดตัวเองไว้จากการตรวจจับของสวรรค์โดยอยู่ภายใต้ปราการของศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้


ดูเหมือนเราจะต้องหาทางไปเยือนศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้สาขาต่างๆให้ได้หลังจากที่ออกจากอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้…จางเซวียนคิด


หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ดูเหมือนว่าหอสมุดเทียบฟ้าของเขาจะไร้ประโยชน์


ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เขาควรจะยกระดับหอสมุดเทียบฟ้า แต่หากทำไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะได้เรียนรู้วิธีการต่างๆที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจจับของสวรรค์ เพื่อที่ในอนาคตเขาจะได้รับมือกับคนเหล่านั้นได้!


ช่างมันเถอะ ต่อให้เรามองทะลุพวกเขาไม่ได้ สู้กันเมื่อไหร่ก็คงจะได้รู้เอง! จางเซวียนคิดขณะชำเลืองมองชายหนุ่มทั้ง 3 คนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างเย็นชา


เพียงแค่การที่หอสมุดเทียบฟ้ามองทะลุคนเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหมดหนทาง


ถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจจะสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่อาจปรับเปลี่ยนธรรมชาติพื้นฐานของพลังปราณของพวกมัน เมื่อเผชิญกับช่วงเวลาคับขัน สัญชาตญาณแห่งการตอบโต้จะเปิดเผยตัวเองออกมาทันที ทำให้ตัวตนที่แท้จริงปรากฏ


เว้นเสียแต่พวกมันจะทรงพลังเสียจนสามารถรับมือกับการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย…


แต่ด้วยความแข็งแกร่งของชายหนุ่มทั้ง 4 ในเวลานี้ โอกาสที่สถานการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นก็ไม่น่าเป็นไปได้


ถึงอย่างไร จางเซวียนก็ไม่เชื่อว่าจะมีนักรบคนไหนที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณจะสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงจากเขา!


“พวกแกสามคนน่ะ เข้ามาหาฉันพร้อมๆกันเลย!” จางเซวียนคำรามลั่นขณะกวัดแกว่งหอกและทิ่มปลายหอกไปข้างหน้า


วิ้ง!


คลื่นความสั่นสะเทือนที่ชายหนุ่มท่าทางบอบบางแผ่ออกมาถูกปลายหอกจัดการจนเสื่อมสลาย จางเซวียนก้าวยาวๆเข้าไปและกวัดแกว่งหอกของเขาอีกครั้ง


ฟึ่บ!


ปลายหอกพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผิวคล้ำที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด


“ฮึ่มมม!” อีกฝ่ายคำรามและสะบัดข้อมือ เขานำพู่กันด้ามหนึ่งออกมาปัดป้องการกวัดแกว่งหอกของจางเซวียน


พู่กันด้ามนั้นเบี่ยงเบนพละกำลังของหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกไปได้ขณะที่ชายผิวคล้ำถูกบีบให้ถอยไป 8 ก้าว เขารอดพ้นการโจมตีไปได้โดยปราศจากบาดแผล


พู่กันนั้นเป็นของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณอีกชิ้นหนึ่งหรือเปล่า? จางเซวียนถึงกับประหลาดใจ


แต่ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาจะมาสงสัย เขากวัดแกว่งหอกอีกครั้งโดยมีเป้าหมายในการจ้วงแทงชายหนุ่มคนสุดท้าย


ฟิ้ววววว!


พายุดุเดือดพัดหวีดหวิวราวกับพายุเฮอริเคน ชายหนุ่มคนสุดท้ายหน้าซีดเผือดเมื่อต้องเผชิญกับหอกนั้น


ตริ๊งงงงง!


แต่ขณะที่หอกกำลังจะจ้วงแทงเขา เสียงพิณของชายหนุ่มท่าทางบอบบางก็ดังขึ้นอีกครั้ง


คราวนี้ จางเซวียนไม่ต้านทานบทเพลงบรรเลงปีศาจนั้น เขาดึงการโจมตีจิตวิญญาณทั้งหมดเข้าสู่ร่าง


ในชั่วพริบตา การซึมซับแรงกดดันจากหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็เสร็จสมบูรณ์ จิตวิญญาณของเขาแปรสภาพไปโดยมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกมาก


จางเซวียนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่ แม้จะยังไม่ถึงขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็บริสุทธิ์กว่าเดิมมาก ขนาดของจิตวิญญาณก็ลดลงไปเกือบครึ่ง


ด้วยจิตวิญญาณที่อยู่ในสภาวะนี้ เขาสามารถทำการทะลุมิติและข้ามสิ่งกีดขวางได้


ความแช่มชื่นจากการฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จทำให้จางเซวียนหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า แกได้รับความขอบคุณอย่างสูงจากฉันนะ!”


จากนั้นเขาก็รุดหน้าต่อไป


เหงื่อหยดเป็นทางจากศีรษะของชายหนุ่มคนสุดท้ายขณะที่รู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย เขารีบล่าถอย แต่ปลายหอกของจางเซวียนก็ตามติดราวกับเงา ไม่ว่าชายหนุ่มคนสุดท้ายจะเคลื่อนที่ไปทางไหนหรือใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวชนิดไหนก็ตาม ก็ไม่อาจสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากปลายหอกที่พุ่งเข้าใส่ได้


“บ้าที่สุด!” ชายหนุ่มผิวคล้ำสบถออกมาขณะที่ราดหมึกทั่วทั้งพื้นที่และเริ่มวาดภาพอย่างรวดเร็ว


ในชั่วพริบตา เขาก็วาดโล่อันหนึ่งให้ชายหนุ่มคนสุดท้ายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง


แคว่ก!


หอกสวรรค์กระดูกมังกรทำลายโล่ที่เกิดจากภาพวาดนั้นและฉีกมันเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดาย


 


แต่โล่ที่เกิดจากภาพวาดก็ดูดเอาพลังจากการจ้วงแทงของหอกให้ลดลงไปมาก ชายหนุ่มคนสุดท้ายหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาชักดาบแทงสวนออกมาด้วยพละกำลังเต็มพิกัด จึงรอดพ้นจากสภาวะคับขันครั้งนี้ไปได้หวุดหวิด


เห็นอีกฝ่ายไม่ได้นำของล้ำค่าชนิดไหนออกมาทั้งๆที่ถูกต้อนให้จนมุม จางเซวียนคิด ดูเหมือนหมอนี่จะไม่มีของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณอยู่ในครอบครอง…


พูดกันตามตรง แม้พละกำลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงและหอกสวรรค์กระดูกมังกรจะทำให้จางเซวียนมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อยหากจะจับตัวชายหนุ่มทั้ง 3 แบบเป็นๆ


โชคร้ายที่พลังจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขงนั้นมีระยะเวลาจำกัด จางเซวียนจึงไม่อาจใช้เวลาอย่างฟุ่มเฟือยได้


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็คงจะดีที่สุดหากเขาจะพุ่งความสนใจไปที่ชายหนุ่มคนสุดท้ายที่อ่อนแอที่สุดและไม่มีของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณอยู่ในครอบครอง


หากคนหนึ่งพ่ายแพ้ การเล่นงานอีก 2 คนที่เหลือก็คงไม่ยากนัก


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนตัดสินใจพุ่งหอกเข้าใส่ชายหนุ่มคนสุดท้ายอีกครั้ง


ถ้าการโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบความสามารถของชายหนุ่ม คราวนี้ก็ถือเป็นของจริง ยังไม่ทันที่ปลายหอกจะถึงตัวชายหนุ่มคนสุดท้าย คลื่นความสั่นสะเทือนดังสนั่นก็แผ่ไปทั่วทั้งห้องนั้น มิติระหว่างปลายหอกกับจุดที่ชายหนุ่มคนสุดท้ายยืนอยู่ฉีกขาดออกจากกันราวกับแผ่นกระดาษบางๆ ที่ฉีกขาด ทำให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติมากมายแผ่ออกไปโดยรอบ


ตริ๊งงงงง! ตริ๊งงงงงง!


นึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะไม่สนใจอีก 2 คนและตั้งหน้าตั้งตาเล่นงานชายหนุ่มคนสุดท้าย ชายหนุ่มท่าทางบอบบางรีบดีดพิณของเขา แต่ถึงบทเพลงบรรเลงปีศาจที่เขาบรรเลงจะมีอานุภาพน่าสะพรึง แต่ก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สร้างรอยแยกของมิติเท่านั้น


การขัดขวางมิติ!


“โว้ยยยย!”


ชายผิวคล้ำรีบพุ่งเข้าไปเพื่อปกป้องชายหนุ่มคนสุดท้าย แต่ด้วยการกวัดแกว่งหอกสวรรค์กระดูกมังกรเพียงครั้งเดียว พู่กันของเขาก็กระเด็นหลุดมือไป


“ขอฉันสังหารพวกแกสักคนให้หายแค้นก่อนเถอะ!” จางเซวียนตวาดขณะรุดหน้าเข้าไปพร้อมหอกในมือ


ชายหนุ่มคนสุดท้ายหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึง รู้ดีว่าต้องถูกสังหารแน่หากไม่ลงมือทำอะไร จึงเงยหน้าขึ้นและคำราม


“อ๊ากกกกก!”


ท่ามกลางเสียงคำรามโหยหวนดังสนั่นนั้น ร่างของเขาก็ขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างที่สูงอยู่แล้วสูงขึ้นไปจนเกินกว่า 2 เมตร เจตนาสังหารแรงกล้าแผ่ออกมาจากร่างของเขา พุ่งขึ้นสู่สวรรค์


“แกเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจริงๆ…” จางเซวียนหรี่ตาอย่างอาฆาตแค้น


1603 หลบหนี

ข้อสันนิษฐานของจางเซวียนเริ่มสั่นคลอนเมื่อเห็นอีกฝ่ายนำของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า จางเซวียนนึกสงสัยว่าเขาอาจคิดผิด แต่เมื่อชายร่างสูงกลายสภาพกลับสู่ร่างเดิม ก็ชัดเจนว่าชายหนุ่มทั้งกลุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ!


พูดตามตรง ถึงเขาจะอยากไว้ใจหลัวลั่วชิง แต่ก็ยังมีเสี้ยวของความสงสัยอยู่ในหัวใจที่สลัดไม่หลุด ทำให้เขาพยายามตรวจสอบหวู่เฉินด้วย


จางเซวียนหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ


หลัวลั่วชิงไว้ใจเขาโดยปราศจากเงื่อนไข บอกทุกเรื่องที่เธอรู้ให้เขาฟังโดยไม่ลังเล ถึงกับมอบของล้ำค่าอย่างลายมือปรมาจารย์ขงให้เขาราวกับมันไม่ได้มีค่าอะไรเลย แต่เขากลับสงสัยในตัวเธอ…


ยิ่งคิด จางเซวียนก็ยิ่งละอายใจ


ในเวลาเดียวกัน หลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าชายหนุ่มคนสุดท้ายกลายสภาพกลับสู่สภาพของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นแล้ว ทั้งคู่ถึงกับจังงังไปชั่วขณะ


“ในเมื่อแกเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ ฉันก็จะไม่รั้งรอละนะ!”


เมื่อแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่าย จางเซวียนไม่อยากเสียเวลาพูดอะไรอีก เขาตวาดก้อง จากนั้นก็เงื้อหอกเข้าใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง


เมื่อกลับคืนสู่ร่างเดิม ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งกว่าที่เคย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่างไกลกับการเทียบชั้นกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรที่เป็นอาวุธของจางเซวียน


ฉึกกก!


ไม่ช้า เขาก็ถูกแทงเข้าที่หัวไหล่ เลือดสดๆทะลักออกมาจากบาดแผลที่เปิดอ้า


ในเวลาเดียวกันนั้น ทั้งชายหนุ่มท่าทางบอบบางและชายหนุ่มผิวคล้ำต่างก็ง่วนอยู่กับการรับมือกับการโจมตีอันทรงพลังของจางเซวียนที่โถมเข้าใส่ระลอกแล้วระลอกเล่า แม้แต่จะหาเวลาหายใจก็ยังยาก นับประสาอะไรกับจะช่วยเหลือชายหนุ่มคนสุดท้าย!


รู้ดีว่าจะต้องพ่ายแพ้แน่หากปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไป ชายหนุ่มท่าทางบอบบางตะโกนอย่างร้อนรนเร็ว “เร็วเข้า คว้าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมาให้ได้!”


“ได้สิ!” ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดที่อยู่ตรงหน้าเครื่องรางรีบตอบรับ


เขากำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้กับหลัวลั่วชิง


การโจมตีของสาวน้อยไม่ได้รวดเร็วหรือทรงพลังมากนัก แต่ทุกกระบวนท่าก่อให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงซึ่งสามารถสังหารเขาได้ทุกวินาทีหากเขาไม่ระวังตัว หลังจากแลกเปลี่ยนกันไปได้สองสามกระบวนท่า ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดก็พบว่าแขนของเขาเริ่มชา ใบหน้าซีดเผือดจากความบอบช้ำที่สะสมไว้


พวกเขาล้วนเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง อีกฝ่ายซึ่งมีสมาชิกเพียง 3 คนต่างมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่น่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ!


ทิศทางของการต่อสู้ไม่ได้เข้าข้างพวกเขาเลย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป จะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้แน่ ดังนั้น ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดจึงกัดฟันและโยนหนังสือเล่มหนึ่งออกไป


ฟึ่บ!


ทันทีที่หนังสือเล่มนั้นปรากฏ มันก็แปรสภาพเป็นผืนผ้าที่สามารถปกปิดได้แม้แต่สวรรค์ มันร่วงลงบนร่างของหลัวลั่วชิง บดบังเธอไว้จากโลกภายนอก


“ลายมือของนักปราชญ์โบราณหรือนี่?” หลัวลั่วชิงหน้าดำคร่ำเครียดขณะรีบยกมือขึ้นเพื่อต้านทานผืนผ้าที่คลุมตัวเธอไว้


 


แต่พละกำลังทั้งหมดที่เธอสำแดงออกมาก็ถูกผืนผ้าซึมซับไป ไม่อาจฝ่าด่านป้องกันนั้นออกมาได้


ลายมือของนักปราชญ์โบราณมีพละกำลังมหาศาล ต่อให้นักรบขั้นกึ่งนักปราชญ์โบราณก็ไม่อาจเป็นอิสระจากมัน นับประสาอะไรกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน!


“เฮ่อออ!” ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะหันไปที่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน


ด้วยการสะบัดข้อมือเพียงครั้งเดียว เขาก็นำตราสัญลักษณ์อันหนึ่งออกมาและกดตรานั้นเข้ากับฉนวนที่ปิดกั้นเครื่องรางไว้


วิ้ง!


ทันทีที่ตราสัญลักษณ์สัมผัสกับฉนวน ฉนวนก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว


ฟึ่บ!


จากนั้นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็มาอยู่ในมือของเขา


“ไปกันเถอะ!” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดรีบร้องเรียกเพื่อนร่วมทีมขณะนำตราหยกอีกอันหนึ่งออกมา


เขาหักตราหยกนั้นอย่างแรง แล้วรอยแยกของมิติก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา กลืนกินเขาลงไป


“ไปกันเถอะ!”


เมื่อเห็นว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการในอาณาจักรโบร่ำโบราณแล้ว ชายหนุ่มท่าทางบอบบางและชายหนุ่มผิวคล้ำรีบคว้าตัวเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก่อนจะนำสิ่งที่ดูเหมือนกับตราหยกอีกอันหนึ่งออกมาและหักมัน


“พวกแกคิดจะไปไหนน่ะ?”


นึกไม่ถึงว่าทั้งกลุ่มจะมีอุปกรณ์หลบหนี จางเซวียนรีบเคาะนิ้วไปยังพื้นที่ตรงหน้า


วิ้ง!


มิติที่อยู่ล้อมรอบชายหนุ่มทั้ง 3 แข็งทื่อไปในทันที


ความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิตินั้นทำให้จางเซวียนสามารถสกัดกั้นคลื่นรบกวนภายในมิติได้ ตราหยกที่ชายหนุ่มนำออกมาใช้มีลักษณะเหมือนกับค่ายกลทะลุมิติ ดังนั้น เมื่อมิติถูกสกัดกั้น ก็ไม่อาจหลบหนีได้


เป็นไปตามคาด ชายหนุ่มทั้ง 3 ที่กำลังจะหลบหนีผ่านทางรอยแยกของมิติต่างตัวแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่อาจเคลื่อนไหวหรือหลบหนี


“บอกมา! แกเอาจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของฉันไปไว้ที่ไหน?” จางเซวียนคำรามพร้อมกับแผ่เจตนาสังหารเยือกเย็นออกมา


“จ้าวหย่า? แกหมายถึงคนที่มีสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์หรือ?” ชายหนุ่มท่าทางบอบบางถามกลับ


“ใช่!” จางเซวียนหรี่ตามองทั้ง 3 ด้วยสายตาข่มขู่


“ถ้าแกอยากเจอพวกนั้นล่ะก็ ไปพบกับพวกเราที่วิหารแห่งขงจื๊อ!”


ชายหนุ่มท่าทางบอบบางหักเครื่องรางอีกอันหนึ่งที่อยู่ในมือของเขาพร้อมกับคำรามเยาะ


บึ้มมมม!


กระแสดาบฉีอันเกรี้ยวกราดระเบิดออกมาจากเครื่องรางที่ถูกหัก ทำลายมิติที่ถูกสกัดกั้นในชั่วพริบตา


เมื่อมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ถูกทำลาย ร่างของทั้งสามก็พร่าเลือน บ่งบอกว่าการทะลุมิติของพวกมันกำลังจะประสบความสำเร็จในอีกเสี้ยววินาที


“ในเมื่อแกไม่เต็มใจพูด ก็ตายซะเถอะ!” จางเซวียนนัยน์ตาแดงก่ำและชี้หอกเข้าใส่ชายทั้ง 3


เขาออมมือให้พวกมันเพื่อจะหาข้อมูลเรื่องจ้าวหย่า แต่ในเมื่อชัดเจนแล้วว่าเจ้าพวกนี้ลักพาตัวเธอไปและพร้อมจะหลบหนีได้ทุกวินาที เขาก็ไม่อาจยับยั้งเจตนาสังหารไว้ได้อีก


ทั้งสามอาจทรงพลัง แต่หากต้องปะทะกับจางเซวียนในสภาวะนี้ ก็ไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้


ฟิ้วววว!


หอกพุ่งออกไปอย่างเกรี้ยวกราด


“ฮึ่มมม!”


ชายหนุ่มท่าทางบอบบางคำราม เขากระดิกนิ้ว แล้วกระแสดาบฉีอีกสายหนึ่งก็ระเบิดเข้าใส่จางเซวียนอีกครั้ง


จางเซวียนกำลังจะใช้หอกทำลายกระแสดาบฉี แต่พละกำลังบางอย่างที่อยู่ด้านหลังเขาก็ฉุดตัวเขาออกมา


ฟึ่บ!


พื้นที่ที่กระแสดาบฉีพุ่งผ่านพังพินาศอย่างสิ้นเชิง เกิดรอยดำมืดเป็นทางยาว


เมื่อเห็นภาพนั้น จางเซวียนถึงกับเหงื่อตก


ถ้าใครสักคนไม่ดึงเขากลับไป เขาคงถูกตัดขาดเป็นสองท่อนแน่


แต่ในขณะเดียวกันกับที่เขาหลบการโจมตี ชายหนุ่มทั้งสามก็ผ่านรอยแยกของมิติไปได้สำเร็จและหายวับไป


อารมณ์หลากหลายพรุ่งพล่านในหัวใจของจางเซวียน ทั้งความอับจน ความท้อแท้ และความโกรธเกรี้ยว…มันหลอมรวมกันกลายเป็นการถอนหายใจยาว เมื่อเขาหันกลับไป ก็เห็นหลัวลั่วชิงยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับย่นหน้าผาก


“คุณอยากตายหรือไง? นั่นเป็นเครื่องรางที่นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งทิ้งไว้ มีพละกำลังของนักปราชญ์โบราณคนนั้นถึง 1 ใน 10 ไม่มีทางที่คุณจะต้านทานพละกำลังระดับนั้นได้หรอก!”


“พละกำลัง 1 ใน 10 ของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าเพิ่งเผชิญหน้ากับอะไร


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่กระแสดาบฉีจะทรงพลังถึงขนาดนั้น แม้จะเป็นเพียง 1 ใน 10 ของพละกำลังที่นักปราชญ์โบราณผู้นั้นมี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะต้านทานได้


“ฮึ่มมม! นึกไม่ถึงเลยว่าพวกนั้นจะมีเครื่องรางที่มีอักษรจารึกของนักปราชญ์โบราณ มีแม้กระทั่งเครื่องรางทะลุมิติ!” หวู่เฉินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ดูสับสน ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนักในเรื่องอะไรสักอย่าง


“เครื่องรางทะลุมิติ?”


“มันเป็นเครื่องรางชนิดพิเศษที่มีอักษรจารึกของนักปราชญ์โบราณที่เชี่ยวชาญในเรื่องศาสตร์แห่งมิติ มันทำงานเหมือนกับค่ายกลทะลุมิติ เมื่อถูกหัก จะสามารถนำพาผู้ใช้ทะลุมิติไปได้ไกลถึง 1 ล้านลี้…มีของล้ำค่าระดับนั้นอยู่ในครอบครอง ดูเหมือนพวกมันจะใช้เวลาเตรียมตัวสำหรับปฏิบัติการครั้งนี้นานทีเดียว” หลัวลั่วชิงอธิบายอย่างเคร่งขรึม


“สามารถพาผู้ใช้ทะลุมิติไปได้ถึง 1 ล้านลี้?” จางเซวียนกำหมัดแน่น


หากเขารู้ว่าเจ้าพวกนั้นมีของล้ำค่าระดับนี้อยู่ในครอบครอง คงจะสังหารพวกมันเสียตั้งแต่แรกแล้ว


หรือหากเขาเพียงแค่ทำลายวรยุทธของมัน พวกมันก็คงไม่มีทางใช้เครื่องรางทะลุมิติได้!


เพราะถึงเครื่องรางทะลุมิติจะทำให้ผู้ใช้เดินทางข้ามมิติได้ แต่หากระดับวรยุทธของผู้นั้นต่ำเกินไป ก็คงไม่มีทางรอดชีวิตจากคลื่นรบกวนของมิติระหว่างการเดินทาง


“พวกเราทุ่มเทกันมากมาย แต่ลงท้าย…เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็ตกไปอยู่ในมือของพวกมัน…” หวู่เฉินส่ายหน้าอย่างขมขื่นใจ


“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าใครจะได้เครื่องรางไป ก็จะต้องถอดรหัสฉนวนที่วิหารแห่งขงจื๊ออยู่ดี ถ้าเราเดินทางไปที่นั่น ก็คงจะเข้าไปได้”


มันเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างมากที่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานต้องหลุดมือของพวกเขาไป จึงทำได้แค่ปลอบใจตัวเอง


“ไม่หรอกน่ะ พวกมันอาจหนีไปได้ก็จริง แต่ไม่ได้นำเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานไปด้วยหรอก” จางเซวียนพูด


“พวกนั้นไม่ได้นำเครื่องรางไปด้วย?” หลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มพูดอะไร


“ฮ่าฮ่า!”


แทนที่จะอธิบายข้อสงสัยของทั้งคู่ จางเซวียนหันไปมองรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนักและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าผมพูดถูกไหม…เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน?”


1604 เครื่องรางลำดับแรก

 


รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นถึงกับผงะก่อนจะหัวเราะเจื่อนๆ “คะ-คุณพูดอะไรน่ะ? ผมเป็นแค่ของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งนักปราชญ์โบราณหรันชิวทิ้งไว้ มีหน้าที่พาผู้ที่มาเยี่ยมเยียนเข้าชมพื้นที่เท่านั้น!”


หลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินต่างก็งุนงง


รูปปั้นเด็กชายตัวนี้เดินทางมาพร้อมกับพวกเขาตั้งแต่เข้าสู่หอหรันจื่อจนมาถึงที่นี่ ทั้งคู่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่รูปปั้นที่ได้รับการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ แล้วจะกลายเป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานได้อย่างไร?


และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมชายหนุ่มทั้ง 4 ที่มาก่อนหน้าถึงไม่รู้ ทั้งๆที่พวกนั้นมีของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณมากมายอยู่กับตัว?


“ของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณ? ไม่ทราบว่าคุณเป็นของล้ำค่าชนิดไหน? รังเกียจไหมถ้าจะบอกผมสักหน่อย?” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


“ผมเป็นของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งเกิดจากรูปปั้นหินตัวนี้!” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นอุทาน


“ของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งเกิดจากรูปปั้นหินตัวนี้?” จางเซวียนเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะเอาสองมือไพล่หลังและเดินวนรอบตัวรูปปั้น “ตัวคุณน่ะทำจากสิ่งที่เรียกว่าหินมากิ พบได้ที่ภูเขาหลู่ชู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแห่งนี้ มันผ่านการบ่มเพาะโดยใช้ระยะเวลายาวนานนับไม่ถ้วน ต้องเผชิญกับทั้งกระแสน้ำในมหาสมุทรและความร้อนแผดเผาของลาวาใต้ดิน ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีหินแบบนี้อยู่ไม่กี่ชนิดหรอก นับอย่างไรก็ได้ไม่เกินสิบ!”


“คุณสมบัติพิเศษสุดของหินมากิก็คือความสามารถในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ได้รับอานุภาพจากหินนี้จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่ด้วยพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่อยู่ในหินมากิ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมพลังจิตวิญญาณให้ได้มากพอเพื่อก่อกำเนิดเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ…ต่อให้ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณผู้นั้นจะเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณใส่หินมากิได้! คุณบอกว่าคุณคือของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งเกิดจากรูปปั้นหินนี้ แล้วทำไมไม่บอกหน่อยล่ะว่าใครคือผู้มอบชีวิตให้คุณ?”


“ผม…” รูปปั้นเด็กชายจังงังอย่างเห็นได้ชัดกับถ้อยคำนั้น ไม่คิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะแยกแยะหินที่หายากอย่างตัวมันได้ มันถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวขณะตอบว่า “ก็นักปราชญ์โบราณหรันชิวไงล่ะ…ความสามารถระดับนักปราชญ์โบราณนั้นเหนือกว่าที่คุณคิดนะ! เพียงเพราะคุณทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า!”


ได้ยินคำตอบนั้น จางเซวียนเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะรุกคืบต้อนเหยื่อให้จนมุม “นักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นหนึ่งในสิบจอมยุทธ และผมก็หยั่งถึงความเก่งกาจของเขา แต่ของล้ำค่าที่ได้รับการร่ายมนต์นั้นจะมีความรู้สึกผูกพันล้ำลึกกับผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่มอบชีวิตให้มัน ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจึงสามารถทำให้ของล้ำค่าชิ้นนั้นยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวมอบหอหรันจื่อไว้ในมือของคุณและไว้วางใจให้คุณปฏิบัติภารกิจในการนำผู้มาเยือนเข้าเยี่ยมชมโดยรอบ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ทำให้คุณยอมจำนน อีกอย่าง…ก็มีโอกาสที่คุณอาจจะทรยศเขาด้วย ตั้งแต่พบคุณครั้งแรก ผมก็รู้สึกแล้วตั้งแต่ตอนที่คุณเรียกเขาว่า ‘นักปราชญ์โบราณหรันชิว’ แทนที่จะเรียกว่า…นายท่าน”


ของล้ำค่าที่ได้รับการร่ายมนต์จะมีความรู้สึกผูกพันล้ำลึกกับผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่ร่ายมนต์ใส่พวกมัน และนั่นก็เป็นคุณสมบัติที่ทำให้ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณสามารถควบคุมของล้ำค่าที่พวกเขาร่ายมนต์ใส่ได้อย่างง่ายดาย


เหมือนกับหุ่นอารักขาที่จางเซวียนเคยร่ายมนต์ใส่ก่อนหน้านี้ ซึ่งยินดีรับฟังเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ไม่ฟังใครอื่น


แม้แต่ลูกเป็ดลูกไก่ที่ฟักจากไข่ออกมาก็จะถือเอาสิ่งที่มันพบเจอเป็นสิ่งแรกเป็นพ่อแม่ของมัน นับประสาอะไรกับจิตวิญญาณที่ได้รับการร่ายมนต์


ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวมอบหอหรันจื่อซึ่งเป็นสถานที่สำคัญ เป็นที่เก็บรักษาอาวุธคู่กายของเขาให้รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นตัวนี้ดูแล ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน โดยเฉพาะในเมื่อเขาสามารถทำแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่…ตั้งแต่พวกเขาเข้าสู่หอหรันชิวมา ไม่มีสักครั้งที่รูปปั้นเด็กชายจะเรียกขานนักปราชญ์หรันชิวว่า ‘นายท่าน’


อันที่จริง ท่าทีของมันที่มีต่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวนั้นเรียกได้ว่าไม่ให้ความเคารพเสียด้วยซ้ำ!


“ผม…” หุ่นรูปปั้นเด็กชายไม่รู้จะหักล้างคำพูดของจางเซวียนอย่างไร เกิดความเงียบเข้าครอบงำอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายมันก็ปฏิเสธอย่างร้อนรน “ถึงผมจะไม่ได้ยอมรับเขาเป็นเจ้านาย แต่ผมก็เป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานไม่ได้หรอก ข้อสันนิษฐานของคุณน่ะไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่หนักแน่นพอ!”


“ดูเหมือนคุณจะไม่ยอมรับจนกว่าผมจะพูดให้ชัดเจนใช่ไหม?” จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกายขณะยิ้มและส่ายหน้า “ตอนที่พวกเรามาถึงหอหรันจื่อ ผมสู้กับนักรบทองคำ 2 ตัวพร้อมกันและสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวพวกมัน แล้วคุณก็พูดออกมาว่าผมเป็นผู้สืบทอดมรดกของชิวอู๋จื่อและร้องขอให้ผมแสดงความเมตตา!”


“ก็ใช่ แล้วมันมีอะไรผิดปกติหรือ?” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพึมพำด้วยความสงสัย


มันพูดแบบนั้นออกมาจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร


“ถึงนักปราชญ์โบราณชิวอู๋จะเป็นเป็นบริวารของปรมาจารย์ขง แต่เขาก็แก่กว่าปรมาจารย์ขงหลายปี และปรมาจารย์ขงก็เรียกขานเขาเป็นมิตรสหายรุ่นเดียวกัน ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง ก็ควรจะเรียกขานนักปราชญ์ชิวอู๋ด้วยความเคารพเช่นกัน ไม่ควรล้ำเส้น!” จางเซวียนพูด


เรื่องนี้ก็เหมือนกับการที่แม้ว่าซุนฉางจะเป็นลูกน้องของเขา แต่เจิ้งหยางกับลูกศิษย์คนอื่นๆก็ยังคงเรียกขานอีกฝ่ายอย่างเคารพว่า ‘ลุงซุน’


เรื่องนี้ยิ่งสาหัสกว่าสำหรับนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ซึ่งแก่กว่าปรมาจารย์ขงหลายปี ขนาดปรมาจารย์ขงยังเรียกขานอีกฝ่ายด้วยความเคารพ แล้วนักปราชญ์โบราณหรันชิวซึ่งเป็นลูกศิษย์ปรมาจารย์ขงจะกล้าเรียกขานเขาอย่างไม่เคารพได้อย่างไร?


“คุณเรียกนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ว่า ‘ชิวอู๋จื่อ’ ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกขานผู้ที่ถือเป็นมิตรสหายรุ่นเดียวกัน” จางเซวียนพูดต่อ “ในฐานะของล้ำค่าที่ได้รับการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณโดยนักปราชญ์โบราณหรันชิว คุณไม่คิดบ้างหรือว่าพูดจาแบบนั้นมันไม่เหมาะสม?”


“คะ-คุณ…” รูปปั้นเด็กชายถึงกับผงะและถอยไปหลายก้าว มันจ้องหน้าจางเซวียนอย่างพรั่นพรึง


สามารถสรุปได้ว่าตัวมันเป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน…เพียงแค่จากวิธีการเรียกขานผู้อื่น ชายหนุ่มช่างมีหัวสมองเฉียบแหลมเสียจริง!


เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางปกปิดตัวตนที่แท้จริงของมันอีกต่อไป รูปปั้นเด็กชายเงยหน้าขึ้นและถามว่า “คุณมองผมออกตั้งแต่เมื่อไหร่?”


มันมั่นใจในการปลอมตัวของตัวเอง ต่อให้นักปราชญ์โบราณสักคนมายืนอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทางมองทะลุการปลอมตัวของมันได้ แล้วชายหนุ่มมองทะลุมันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


“ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเข้าสู่ทางเดินน่ะ ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในวัสดุที่ใช้สร้างตัวคุณตอนที่ผมตบไหล่คุณ ตอนนั้นแหละที่ผมเริ่มสงสัย” จางเซวียนตอบ


ก่อนที่จะเข้าสู่ประตูแกรนิต เขาได้เดินไปตบไหล่รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเพื่อใช้หอสมุดเทียบฟ้ากับมัน


จากหนังสือที่ประมวลได้ จางเซวียนได้รู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำรูปปั้นนั้นไม่เหมาะสมกับการร่ายมนต์ใส่ แต่เขาก็ยังไม่ได้คิดมาก เพราะในตอนนั้นอันตรายก็รออยู่ จึงไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องนี้


แต่หลังจากที่รอดพ้นจากชายหนุ่มทั้ง 4 เขาก็หวนคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำมารวมกับการเรียกขานอย่างแปลกๆที่รูปปั้นเด็กชายใช้เรียกนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ จางเซวียนก็มั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิด


ในเมื่อเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นของล้ำค่าที่นักที่ปรมาจารย์ขงหลอมขึ้น ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่อีกฝ่ายจะเรียกขานนักปราชญ์โบราณชิวอู๋อย่างไม่เป็นทางการว่าชิวอู๋จื่อ หรือต่อให้มันแสดงความไม่เคารพต่อนักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณหรันชิวก็คงไม่คิดอะไร


หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ทำให้จางเซวียนสรุปได้ก็คือเขารู้สึกได้ถึงรังสีอันคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่น


เครื่องรางชิ้นอื่นๆอีก 6 ชิ้นนั้นถูกหลอมขึ้นโดยใช้หยดเลือดของผู้ที่มีสภาวะพิเศษ แต่สำหรับเครื่องรางลำดับแรก ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด มันน่าจะหลอมขึ้นจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง! ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็คือ รังสีที่เขาคุ้นเคยนั้นคือรังสีของปรมาจารย์ฟ้าประทาน


เมื่อมีความรู้สึกนี้นำทาง ก็ไม่ยากเกินไปที่จะระบุได้ว่าแท้ที่จริงแล้วรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเป็นอะไร


“ผมเข้าใจแล้ว…สมกับที่เป็นผู้สืบทอดมรดกของชิวอู๋จื่อ! ไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ ยังทำให้หอกสวรรค์กระดูกมังกรยอมจำนนได้ด้วย ความสามารถในการเรียนรู้ของคุณก็เหนือชั้นกว่าธรรมดา…” ได้ฟังคำอธิบายของจางเซวียน รูปปั้นเด็กชายรับสารภาพ “คุณพูดถูกแล้ว ผมคือเครื่องรางลำดับแรกที่หลอมโดยปรมาจารย์ขง สิ่งที่ชายหนุ่มกลุ่มนั้นนำไปเป็นเพียงของทำเลียนแบบ!”


รูปปั้นเด็กชายหัวเราะเบาๆ รังสีบางเบาแผ่ออกมาจากศีรษะของมันและสลายไปกับอากาศ เพียงครู่เดียวมันก็แปรสภาพเป็นเครื่องรางชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับเครื่องรางฟ้าประทานที่ชายหนุ่มกลุ่มนั้นนำไปก่อนหน้านี้


“ผมคือเครื่องรางลำดับแรกที่ปรมาจารย์ขงหลอมขึ้น มีแต่ผู้ที่ถือผมไว้เท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่หอลำดับแรกของวิหารแห่งขงจื๊อได้ แต่นายท่านที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของผมคือปรมาจารย์ขง และผมก็จะไม่ก้มศีรษะให้ใครทั้งนั้น ถึงคุณจะเป็นผู้สืบทอดมรดกของชิวอู๋จื่อก็เถอะ หรือต่อให้ชิวอู๋จื่อมายืนตรงหน้าผมตอนนี้ ก็ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ผมยอมจำนนได้!” เครื่องรางประกาศอย่างอาจหาญ


จางเซวียนหัวเราะหึๆ “คุณจะไม่ยอมจำนนให้ผมหรือ?”


“ไม่อย่างแน่นอน!” เครื่องรางตอบอย่างภาคภูมิใจ


“ก็ดี งั้นผมจะให้คุณดูอะไรอย่างหนึ่ง ส่วนคุณจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ผมก็จะยอมรับ” จางเซวียนยกนิ้วขึ้นแตะเครื่องรางอย่างแผ่วเบา


“คุณจะเอาอะไรให้ผมดูก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจผมได้หรอก ผมเป็นเครื่องรางที่ปรมาจารย์ขงหลอมนะ จะให้ยอมจำนนได้ยะ-อย่าง…”


ขณะที่เครื่องรางกำลังประกาศศักดาอย่างภาคภูมิใจ มันก็พลันตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง จากนั้นก็รีบมาปรากฏตรงหน้าจางเซวียนและพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง


“เครื่องรางน้อยคารวะนายท่าน!”


1605 ผมอยากแวะตระกูลหลัว

“ต้องแบบนี้สิ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจขณะใช้ปลายนิ้วคีบเครื่องรางไว้


ในเมื่ออีกฝ่ายถูกหลอมขึ้นจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง เขาก็มั่นใจว่าปรมาจารย์ฟ้าประทานอย่างตัวเขาจะทำให้มันยอมจำนนได้ด้วยการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง


และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดไว้


“….” หวู่เฉินนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ


เขาเป็นผู้โชกโชนในวงการ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้รอบรู้ที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์เลยทีเดียว แต่ความตกตะลึงที่เขาได้รับตลอดทั้งวันนั้นมากเกินกว่าที่เขาพบมาทั้งชีวิตเสียอีก ถึงตอนนี้ เขาต้องโค้งคำนับให้กับชายหนุ่ม


เครื่องรางที่หลอมโดยปรมาจารย์ขงนั้นไม่ยอมจำนนให้แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณชิวอู๋หรือนักปราชญ์โบราณหรันชิว แต่ด้วยการแตะต้องอย่างแผ่วเบา มันก็ยอมจำนนให้ชายหนุ่มแต่โดยดี!


มีอะไรบ้างที่คุณทำให้มันยอมจำนนไม่ได้ด้วยปลายนิ้วของคุณ?


แต่สิ่งที่ทำให้หวู่เฉินตกตะลึงอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ หลังจากที่ทำให้เครื่องรางลำดับแรกซึ่งผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนพร้อมจะฆ่าฟันกันเพื่อให้ได้มันมายอมจำนนได้แล้ว จางเซวียนก็ยื่นมันให้หลัวลั่วชิง!


“ลั่วชิง ผมฝากเครื่องรางลำดับแรกไว้กับคุณนะ ตอนนี้อยู่กับผมก็ไม่มีประโยชน์มากนักหรอก”


หวู่เฉินตัวแข็งทื่อด้วยความไม่อยากเชื่อ


ชายหนุ่มทั้ง 4 ที่มาก่อนหน้าพวกเขาต้องนำของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าเพื่อให้ได้เครื่องรางลำดับแรกไป ซึ่งนั่นก็เกินพอที่จะบ่งบอกแล้วว่าเครื่องรางลำดับแรกมีค่าแค่ไหน แต่ชายหนุ่มกลับมอบมันให้หลัวลั่วชิงโดยไม่ลังเล…


แต่เรื่องที่น่าตกตะลึงกว่านั้นยังมีอีก…


“ในเมื่อเครื่องรางลำดับแรกยอมรับคุณเป็นเจ้านายแล้ว คุณก็เก็บมันไว้เถอะ อยู่กับฉันก็ยิ่งไม่มีประโยชน์” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าก่อนจะยื่นเครื่องรางกลับให้จางเซวียน “แค่คุณพาฉันไปวิหารแห่งขงจื๊อตอนที่มันเปิดก็พอแล้ว”


จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับเครื่องรางลำดับแรกกลับมาแล้วพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้”


ต่อให้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะมีอานุภาพไร้เทียมทานสักแค่ไหน ในฐานะผู้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนก็ไม่คิดว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ นับประสาอะไรกับเครื่องรางลำดับแรก


เหตุผลที่เขามาที่อาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้ก็เพราะหลัวลั่วชิงชวนมา และเขาก็ตั้งใจจะเปิดโปงโฉมหน้าของเจ้าพวกที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาไป รวมทั้งแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานหมั้นให้เธอได้รับรู้


ตราบใดที่เธอไม่ใช้เครื่องรางเพื่อทำร้ายมวลมนุษย์ เขาก็ไม่รู้สึกอะไรที่จะมอบเครื่องรางอันล้ำค่าให้เธอ


เห็นตัวเองถูกผลักไสไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า เครื่องรางแทบปล่อยโฮ


ในฐานะของล้ำค่าที่ปรมาจารย์ขงเป็นผู้หลอม แม้แต่นักปราชญ์โบราณหรันชิวก็ยังทำให้มันยอมจำนนไม่ได้ แต่ตอนนี้มันถูกโยนกลับไปกลับมาราวกับเป็นขยะไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการ…


อย่าห้ามผม ให้ผมเอาหัวโขกเสาตายไปเถอะ!


อ้อ ใช่…เราเป็นเครื่องราง ต่อให้เอาหัวโขกกำแพงก็คงไม่ตาย…


 


ขณะที่มันคับอกคับใจจนบอกไม่ถูก เจ้านายคนใหม่ก็หันมามองมันด้วยแววตาที่บ่งบอกความกระหาย


“เครื่องรางน้อย ในเมื่อแกรับฉันเป็นเจ้านายแล้ว แกช่วยแสดงความจริงใจกับฉันหน่อยได้ไหม? ในอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้จะต้องมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่อีกแน่ๆ พาฉันไปดูที!”


“….” เครื่องรางถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น “ที่นี่ไม่มีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอื่นอีกแล้ว…”


“จะไม่มีได้ไง? มีประตูตั้ง 99 บานไม่ใช่หรือ? ในเมื่อประตูบานที่ฉันเลือกมีหอกสวรรค์กระดูกมังกร ก็แน่นอนว่าประตูบานอื่นจะต้องมีของล้ำค่าบางอย่างเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะ?” จางเซวียนอุทานด้วยความตื่นเต้น


“ทางเดินอื่นน่ะเป็นแค่การทดสอบที่มีค่ายกลสังหารหรือค่ายกลภาพลวงตา ไม่มีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่ที่ปลายทางหรอก” เครื่องรางตอบ


“จริงหรือ?” จางเซวียนหันไปมองหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินด้วยความสงสัย ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้ารับ


“ใช่ ทางเดินที่พวกเราเข้าไปน่ะเป็นแค่การทดสอบ ไม่มีทรัพย์สมบัติอยู่ที่ปลายทาง”


“เป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะ?” จางเซวียนอดก้มหน้าด้วยความผิดหวังไม่ได้


เขาคิดว่าด้านหลังประตูแกรนิตทั้ง 99 บานจะต้องมีของล้ำค่าชั้นยอดที่เทียบเท่ากับหอกสวรรค์กระดูกมังกร แต่ดูเหมือนจะคาดหวังสูงเกินไป


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมจำนน


“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นแกช่วยฉันเอาตัวอักษรสามตัวนั้นลงมา ‘หอหรันจื่อ’ ที่อยู่บนป้ายชื่อตรงทางเข้าน่ะ ได้สามตัวนั้นมาก็ดีแล้ว!”


“….” เครื่องราง


 


มันเคยพบเจอคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก็มาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนแบบนี้


นั่นคือป้ายชื่อที่อยู่บริเวณทางเข้าหอหรันจื่อนะ หมอนี่ยังไม่ยอมละเว้น…


คนอื่นๆเขาเสาะแสวงหาดาบ หอก และทรัพย์สมบัติล้ำค่าในตำนานจากอาณาจักรโบร่ำโบราณ แต่จางเซวียนคว้าเอาทุกอย่างที่พอจะหาได้จากหอหรันจื่อ


…..


จางเซวียนไม่ใส่ใจเครื่องรางที่กำลังจะปล่อยโฮ เขาทำตามที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างพึงพอใจ


ก็อย่างที่สำนวนเก่าแก่ว่าไว้ มีแต่ผู้หาเลี้ยงครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าข้าวทุกเม็ดมีค่าแค่ไหน


ไม่ง่ายเลยกว่าจางเซวียนจะได้ทรัพย์สมบัติอะไรมา ดังนั้นเขาจึงต้องเติมกระเป๋าของตัวเองให้เต็มไว้เสมอ เผื่อไว้ในวันเวลาที่ต้องยากลำบาก!


“พาพวกเราทะลุมิติออกไป!” จางเซวียนสั่งการกับเครื่องราง


เครื่องรางจัดการทำตามคำสั่ง พริบตาต่อมา ทุกคนก็มายืนอยู่ท่ามกลางภูเขาห้วยขาวอีกครั้ง


ทันทีที่หวู่เฉินทรงตัวได้ เขาก็ประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม “นายหญิง, ปรมาจารย์จาง ผมมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ตอนนี้ต้องขอตัวก่อน ผมจะมาพบคุณทั้งคู่อีกครั้งหลังจากจัดการธุระเสร็จลุล่วงแล้ว!”


เขามีสีหน้าวิตกกังวลอย่างล้ำลึก


“เกิดอะไรขึ้น? คุณต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


“มันเป็นแค่เรื่องจุกจิก 2-3 เรื่องน่ะ ผมขอบคุณปรมาจารย์จางมากที่เสนอความช่วยเหลือ แต่ผมต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง” หวู่เฉินพยักหน้า


“ตามนั้นเถอะ” จางเซวียนพยักหน้าตอบ


“ไปเถอะ เสร็จธุระแล้วก็มาหาฉันนะ” หลัวลั่วชิงพูด


“ขอบคุณนายหญิง!”


หวู่เฉินเคาะนิ้ว แล้วหลุมแห่งมิติก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขากระโจนเข้าไป เพียงชั่วพริบตาก็หายวับไปจากสายตา


เมื่อหวู่เฉินจากไปแล้ว จางเซวียนมองสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าและยิ้มให้ “ลั่วชิง ตอนนี้คุณคิดจะทำอะไรต่อ?”


เมื่อได้เครื่องรางลำดับแรกมาแล้ว ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปว่าทั้งคู่จะหาเครื่องรางบริวารชิ้นอื่นๆพบหรือไม่ สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือรอให้วิหารแห่งขงจื๊อเปิด


“ตอนนี้ฉันไม่มีภารกิจอะไร” หลัวลั่วชิงตอบพร้อมกับส่ายหน้า


“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณไม่กลับไปตระกูลจางกับผมล่ะ?” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “คราวก่อนเรารีบร้อนออกมา ผมยังไม่ได้แนะนำคุณให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของผมรู้จักเลย!”


พูดตามตรง เขาก็ยังออกจะรู้สึกแปลกๆกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาอยู่ เพราะเพิ่งจะได้กลับมาพบหน้ากันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น


แต่ถึงอย่างไร ทั้งสามก็มีสายเลือดเดียวกัน และก็เป็นเรื่องสมควรที่เขาจะแนะนำคนรักของตัวเองให้ทั้งคู่รู้จัก อีกอย่าง สิ่งนี้จะได้แสดงให้หลัวลั่วชิงเห็นด้วยว่าเขาจริงจังกับเธอแค่ไหน


“เอ่อ…” หลัวลั่วชิงหน้าแดงเรื่อก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงความปั่นป่วนใจเล็กน้อย “ฉันชิงตัวคุณมาจากตระกูลหลัว สร้างความแตกแยกระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหลัว…นี่มันใช่เวลาที่ฉันควรจะไปเยี่ยมเยียนพวกเขาหรือ?”


“จะเป็นเวลาไหนก็ไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก ไม่ต้องห่วง ท่านพ่อท่านแม่ของผมน่ะเป็นคนใจกว้าง” จางเซวียนยืนยันพร้อมกับยิ้ม


ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก จางเซวียนยังไม่ได้เรียกเซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงว่าท่านพ่อและท่านแม่ด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่ดูแลและตามใจเขามาก


สิ่งที่เขาทำลงไปที่ตระกูลหลัวนั้นไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลัว แต่ยังทำลายชื่อเสียงของตระกูลจางด้วย ถ้าเป็นพ่อแม่คู่อื่น คงจะสังหารเจ้าลูกชายเนรคุณเสียแล้ว แต่ท่านพ่อท่านแม่ของเขากลับสนับสนุนเขาทุกวิถีทาง!


ลำพังสิ่งนี้ ก็ทำให้เขาก็อยากเปิดใจยอมรับทั้งคู่เป็นท่านพ่อและท่านแม่แล้ว


“คือ…” หลัวลั่วชิงลังเลเล็กน้อยและกังวลใจที่จะต้องพบท่านพ่อกับท่านแม่ของจางเซวียน


เธอทำตัวเย็นชาและวางเฉยกับทุกสิ่งในโลกได้ แม้แต่เครื่องรางลำดับแรกอันล้ำค่าก็ยังไม่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย แต่เรื่องเล็กๆแบบนี้กลับทำให้เธอจนปัญญา


“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก ผมก็อยู่ด้วย มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องไปพบพวกเขาเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของเรา” รู้ดีว่าหลัวลั่วชิงกังวลเรื่องอะไร จางเซวียนบีบมือของเธอแน่นและปลอบใจ “ไปพบท่านพ่อกับท่านแม่ของผมนะ ตกลงไหม?”


“ฉัน…” หลัวลั่วชิงมองตาจางเซวียน เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนในที่สุดจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็ได้ ฉันจะไปพบท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณ”


“อือ!” เห็นหลัวลั่วชิงตกลง จางเซวียนยิ้มแป้น แต่ในตอนนั้นก็พลันนึกอะไรบางอย่างได้ จึงพูดเสริม “แต่ก่อนที่เราจะกลับไปตระกูลจาง ผมอยากแวะตระกูลหลัวก่อน!”


“คุณอยากแวะตระกูลหลัว?” หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว


1606 หลัวเทียนหยา

หลังจากสร้างความเจ็บช้ำแสนสาหัสให้กับตระกูลหลัว ฝ่ายนั้นคงอยากถลกหนังจางเซวียนทั้งเป็นถ้าทำได้ แล้วทำไมเขาถึงอยากไปที่นั่น?


แม้หลัวลั่วชิงจะมีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจางเซวียนจะอยากกลับตระกูลหลัวเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับหลัวฉีฉี


เธออาจไม่คุ้นเคยกับความรักมากนัก แต่แน่ใจว่าความรู้สึกที่จางเซวียนมีให้หลัวฉีฉีนั้นไม่ได้เกินเลยไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า “ผมทำอะไรไม่เหมาะสมไว้เยอะระหว่างงานหมั้น และในเมื่อผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ผมก็อยากจะถ่ายทอดให้พวกเขาเพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่ผมทำลงไป!”


“การที่ตระกูลหลัวต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ถือเป็นความไม่ยุติธรรมจริงๆนั่นแหละ และคุณก็ควรชดใช้ให้พวกเขา แต่ฉันเกรงว่าหากคุณโผล่หน้าไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่พวกนั้นจะไม่ชื่นชมยินดีกับความช่วยเหลือของคุณ ยังอาจจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลเลวร้ายลงไปอีกก็ได้” หลัวลั่วชิงตอบอย่างเคร่งขรึม


ถ้าไม่ใช่เพราะมีปรมาจารย์หยางและสภาปรมาจารย์เป็นคนกลาง สงครามเต็มรูปแบบระหว่างทั้งสองตระกูลคงจะเกิดขึ้นระหว่างงานหมั้นเป็นแน่!


ถึงจางเซวียนจะไม่มีเจตนาร้ายกับตระกูลหลัว แต่ความหวังดีของเขาก็อาจไม่ได้ดูดีในสายตาของอีกฝ่าย


และในกรณีเลวร้ายที่สุด จางเซวียนกับตระกูลหลัวอาจต้องต่อสู้กันเสียด้วยซ้ำ!


“เรื่องนี้ผมเองก็กังวลอยู่ จึงคิดว่าจะปลอมตัวไปเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด” รู้ดีว่าตัวเองกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของสมาชิกทุกคนในตระกูลหลัวแล้ว จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


“แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติเป็นศาสตร์ลับขั้นสุดยอดของตระกูลหลัว เท่าที่ผมรู้ ยังไม่มีใครในตระกูลหลัวที่สำเร็จวิชานี้นับตั้งแต่ผู้ก่อตั้งของพวกเขาเป็นต้นมา ผมจึงเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะชดเชยให้คนพวกนั้น”


หากเขาพยายามตรวจสอบเสียก่อนว่าใครคือองค์หญิงน้อยแทนที่จะพรวดพราดรีบร้อนเข้าสู่งานหมั้น ความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงแบบนี้ก็คงไม่เกิด และตระกูลหลัวก็คงไม่ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างที่ผ่านมา


เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หลัวลั่วชิงจะพยักหน้า “ฉันว่าก็เป็นความคิดที่ดี”


เห็นสาวน้อยแสดงความเห็นชอบ จางเซวียนอดถามต่อไม่ได้ “คุณ…ไม่พอใจหรือเปล่า?”


พูดตามตรง จากเหตุการณ์ที่ตัวเขากับหลัวฉีฉีเกือบจะกลายเป็นคู่หมั้นกันอยู่แล้ว เขาก็พอเข้าใจถ้าหลัวลั่วชิงจะไม่สะดวกใจกับเรื่องนี้ การที่เธอตอบรับอย่างง่ายๆ แปลว่าเธอไม่มีความแคลงใจใดๆจริงหรือเปล่า?


“ไม่มีปัญหา!” หลัวลั่วชิงตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ทีท่าของเธอสดใสราวกับดอกไม้บาน


พูดกันตามตรง นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอชอบจางเซวียนตั้งแต่แรก เขายังคงถ่อมตัวอยู่ทั้งๆที่ตัวเองประสบความสำเร็จ เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบอยู่เสมอ ไม่เคยรีรอที่จะยอมรับความผิดของตัวเอง และมีจิตใจที่เมตตากรุณาต่อโลกใบนี้…


ทั้งหมดทั้งมวลคือคุณลักษณะที่สุภาพบุรุษที่แท้จริงคนหนึ่งควรมี!


และนี่ก็คือรูปแบบของชายที่ตัวเธอ, หลัวลั่วชิง หลงรัก


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!” จางเซวียนหัวเราะลั่นและจับมือหลัวลั่วชิงไว้แน่นขณะที่รู้สึกได้ถึงกระแสของความแช่มชื่นยินดีที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจของเขา


…..


ด้วยความเข้าใจเรื่องมิติที่ล้ำลึกกว่าเดิมของจางเซวียน เพียงแค่ดึงเอาพละกำลังของหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา เขาก็ค้นพบหลุมแห่งมิติและใช้มันเดินทางได้ ด้วยสิ่งนี้ ความเร็วในการเดินทางของพวกเขาจึงรวดเร็วขึ้นมาก


ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงอาณาบริเวณของตระกูลหลัว


“จริงอยู่ว่าแม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็ยังมองทะลุการปลอมตัวของคุณได้ยาก แต่คุณก็ยังไม่อาจตบตาของล้ำค่าชนิดพิเศษบางอย่างได้ ฉันมีเครื่องรางอยู่ชิ้นหนึ่งที่ใช้เพื่อการปลอมตัวโดยเฉพาะ มันจะช่วยให้คุณผ่านการตรวจจับจากของล้ำค่าที่ใช้แยกแยะลักษณะของบุคคล”


หลังจากตรวจสอบการปลอมตัวของจางเซวียนอย่างถี่ถ้วน หลัวลั่วชิงก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา


“นั่นจะช่วยได้มากทีเดียว!” จางเซวียนรับเครื่องรางมาด้วยความตื่นเต้น


ครั้งก่อนที่เขาพยายามปลอมตัวอย่างพิถีพิถัน ก็ยังถูกปรมาจารย์หยางจับได้ ดังนั้น หากมีอะไรที่จะสามารถยกระดับการปลอมตัวของเขาให้แนบเนียนขึ้นอีก เขาก็พร้อมที่จะใช้มันเพื่อลดความเสี่ยงของการถูกเปิดโปง


จางเซวียนจ้องดูเครื่องรางนั้นอย่างถี่ถ้วน และเห็นตัวอักษรในรูปแบบที่ไม่คุ้นเคยจารึกอยู่บนนั้น เขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่มันแผ่ออกมา


เขาพยายามเพ่งดูตัวอักษรโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย


ด้วยความสงสัย จางเซวียนลองทาบมันกับหน้าผากของเขา


วิ้ง!


ทันทีที่แผ่นกระดาษสัมผัสกับใบหน้า มันก็สลายตัว กลายเป็นกระแสพลังงานที่ซึมซาบเข้าสู่ร่าง เพียงชั่ววูบหนึ่งของความคิด ร่างของจางเซวียนก็แปรสภาพไป กลายเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 40 ปี


เขามีรูปร่างผอมเก้งก้าง ผิวออกเหลืองและเหี่ยวย่น ไม่มีบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นเตะตาใคร แต่หากมองอีกครั้ง ผู้นั้นก็จะรู้สึกได้ว่าเขามีนัยน์ตาที่คมกริบราวกับนกอินทรี บ่งบอกถึงภูมิปัญญาและความเฉลียวฉลาด


“เยี่ยมจริงๆ!” จางเซวียนอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบรูปลักษณ์ใหม่ของตัวเองหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบจุดอ่อนที่จะบ่งบอกว่ามีบางอย่างแตกต่างจากรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏ อันที่จริง ต่อให้ดวงตาหยั่งรู้ก็ยังมองทะลุการปลอมตัวของเขาไม่ได้!


เครื่องรางสำหรับการปลอมตัวนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าเทคนิคการปลอมตัวที่เขาเคยใช้ ด้วยเครื่องรางนี้ ต่อให้เขาพบปรมาจารย์หยางอีกครั้ง ฝ่ายนั้นก็คงไม่สงสัยตัวตนที่แท้จริงของเขาแน่!


หลังจากตรวจสอบตัวเองเรียบร้อย จางเซวียนก็หันไปมองสาวน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และเห็นว่าเธอก็ปลอมตัวกลายเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีอายุพอๆกันกับเขา แม้เธอจะปกปิดความงดงามอันน่าทึ่งของตัวเองไว้แล้ว แต่ท่าทีของเธอก็ยังบ่งบอกความสง่างามอยู่


“ฮ่าฮ่าฮ่า การปลอมตัวของพวกเราช่างน่าทึ่งจริงๆ พูดก็พูดเถอะ ทำไมเราไม่ตั้งสมญานามให้ตัวเองล่ะ อย่างเช่น ‘คู่รักมหากาฬ’ คู่ต่อไป?” จางเซวียนเสนอพร้อมกับหัวเราะร่า


ในฐานะนายใหญ่และนายหญิงแห่งตระกูลจาง อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงไม่มีใครกล้าตั้งสมญาให้เซียนดาบชิงเหมิงตรงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้า ทุกคนจะเรียกขานทั้งคู่อย่างเคารพว่าเซียนดาบชิงและเซียนดาบเหมิง แต่เมื่ออยู่ลับหลัง ก็แอบตั้งสมญานามให้ทั้งคู่ว่า ‘คู่รักมหากาฬ’!


ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเป็นคู่รักวัยกลางคน และมีประสิทธิภาพการต่อสู้เป็นชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์เช่นกัน ไม่ช้าไม่นานก็คงได้สมญานี้มาเป็นของตัวเอง!


“คุณเรียกใครว่าคู่รัก? เราเป็นแค่…พี่น้องกัน!” หลัวลั่วชิงหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


“พี่น้องกัน? แต่พี่น้องกันน่ะควรจะมีหน้าตาคล้ายกันไม่ใช่หรือ? หรือว่าผมหล่อเกินไป? นั่นคือเหตุผลที่ผมควรจะหน้าเหมือนใครหรือไง?” จางเซวียนทำท่าครุ่นคิด


“คนหลงตัวเอง!” หลัวลั่วชิงหัวเราะ


เธอออกจะไม่เต็มใจนักที่จะสวมบทบาทเป็นคู่รัก แต่แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายเกินไป “ก็ได้ เราเป็นคู่รักกันก็ได้ แต่ควรจะมีชื่อเอาไว้เรียกขานตัวเรานะ ไม่อย่างนั้น คงจะน่าสงสัยมากหากแม้แต่ตัวเรายังไม่สามารถแนะนำตัวเองได้ตอนที่คนอื่นๆถามว่าเราเป็นใคร”


“ท่านพ่อกับท่านแม่ของผมเอาชื่อของตัวเองมารวมกันเพื่อตั้งเป็นสมญานามเซียนดาบชิงเหมิง ผมว่าเราน่าจะทำแบบเดียวกันนะ…ชื่อเซียนดาบเซวียนชิง คุณฟังแล้วเป็นไง?” จางเซวียนถาม


หลัวลั่วชิงกลอกตา “ใช่ชื่อนั้นแล้วจะปลอมตัวไปเพื่ออะไรล่ะ?”


“ก็จริง…ผมเคยใช้ชื่อหยางชวน ซุนฉาง อู๋จางเซวียน และอีกหลายชื่อ…เพราะฉะนั้นคราวนี้ก็ควรจะมีชื่อใหม่ นึกออกแล้ว…ผมควรจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลัว พวกนั้นคงรู้สึกปลอดภัยกว่าหากผมเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อผมกำลังจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้พวกเขาด้วย ไม่อย่างนั้น พวกตระกูลหลัวอาจคิดว่าผมขโมยมรดกตกทอดของพวกเขามาและพยายามจะฆ่าผม!” จางเซวียนตาโต


ถึงอย่างไรเขาก็ต้องปลอมตัวอยู่แล้ว ก็คงจะช่วยได้มากกว่าหากเขาใช้ตัวตนของสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลหลัว


เพราะมรดกตกทอดเรื่องการสกัดกั้นมิตินั้นเป็นมรดกเฉพาะของตระกูลหลัวมาเนิ่นนานหลายปี


อีกอย่าง ตระกูลหลัวก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นมากตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ใหญ่เกินกว่าจะตามสำรวจจำนวนสมาชิกของตัวเองได้ทั้งหมด คงไม่มีทางที่พวกนั้นจะระบุได้หากเขากล่าวอ้างว่าตัวเองมาจากครอบครัวสาขาที่ห่างออกไป


กรณีแบบนี้เกิดขึ้นกับตระกูลจางเช่นกัน มีสมาชิกของตระกูลจางซึ่งมาจากครอบครัวสาขาที่อยู่ห่างออกไป และเนื่องจากสายเลือดตระกูลจางที่มีอยู่ในตัวพวกเขาเบาบางมาก จึงไม่ได้รับการบันทึกไว้แม้แต่ในบัญชีรายชื่อของสมาชิกตระกูลจาง


“ฉันว่าก็เป็นความคิดที่ดี ฉันควรตั้งชื่อให้ตัวเองเหมือนกัน…ชื่อหลิงชีเป็นไง?” หลัวลั่วชิงถาม


“หลิงชี? สองหัวใจร้อยเรียงเป็นหนึ่งเดียวด้วยความผูกพันอันล้ำลึก…ช่างเป็นชื่อที่น่าอัศจรรย์เสียจริง! เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมจะใช้ชื่อหลัวเทียนหยา! ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหน ต่อให้โลกแยกเราออกจากกัน หัวใจของเราก็จะยังคงผูกพันกันไม่เปลี่ยนแปลง!” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


“ฟังดูดีเลยล่ะ” หลัวลั่วชิงพยักหน้า


หลังจากจัดการเรื่องชื่อแล้ว ทั้งคู่ก็รีบบินตรงไปยังตระกูลหลัว


ในเวลานี้ ตระกูลหลัวกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะตึกรามบ้านช่องที่เสียหายและส่งของขวัญต่างๆกลับคืนไปยังกลุ่มอำนาจมากมายที่มอบให้พวกเขา


มีผู้คนกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ทั่วทั้งบริเวณดูวุ่นวายไปหมด


จางเซวียนตั้งใจจะใช้ความวุ่นวายครั้งนี้กลบเกลื่อนตัวเองและตามหาตัวหลัวชวนฉิงหรือหลัวฉีฉี เพื่อถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้พวกเขา ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงสายลมหอบใหญ่ที่พัดอยู่เหนือศีรษะ


ร่าง 2-3 ร่างพลันปรากฏ เกิดเสียงดังสนั่นกลางอากาศ


“หนานกงหยวนเฟิงจากสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่แห่ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ พร้อมกับศิษย์น้องอีกจำนวนหนึ่งมาขอพบหัวหน้าตระกูลหลัว!”


1607 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ต้องการดวล

“พวกนั้นมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หรือ?” จางเซวียนถึงกับชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นและประเมินชายทั้ง 5 ที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างถี่ถ้วน


ผู้พูดเป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 40 ปี เขามีเคราสีเทาปลิวไสวและสวมหมวกทรงสูง ดูคล้ายกับผู้ทรงภูมิปัญญาในสมัยโบร่ำโบราณ เสื้อคลุมตัวยาวที่เขาสวมเหมือนกับเสื้อคลุมปรมาจารย์ ต่างกันตรงที่เป็นสีดำ เมื่อมองจากระยะไกล ก็ดูออกจะดุร้ายอยู่สักหน่อย


“เขาสวมเสื้อผ้าเหมือนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวที่พาตัวจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไป!” จางเซวียนเลิกคิ้ว


เครื่องแต่งกายของชายวัยกลางคนผู้นั้นเหมือนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ที่พวกเขาได้เผชิญหน้าด้วยในอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์หรันชิว เท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนว่าชายหนุ่มทั้ง 4 พยายามจะปลอมตัวให้เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญที่มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เพื่อตบตาเครื่องรางน้อย!


แต่เพราะการโจมตีของหอกสวรรค์กระดูกมังกร พวกมันจึงถูกบีบให้ต้องเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา


ชายหนุ่มอีก 4 คนที่เหลือดูจะมีอายุราว 20 ปลายๆ กำลังยืนล้อมรอบหนานกงหยวนเฟิง แต่ละคนแผ่รังสีอันโดดเด่นของผู้เชี่ยวชาญออกมา


“พวกนั้นล้วนแต่เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 การพักฟื้นภายใน” หลัวลั่วชิงตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า “ถ้าฉันจำไม่ผิด หนานกงหยวนเฟิงเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อร่ง, ปรมาจารย์ผู้ปราดเปรื่องแห่งสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่”


“นักปราชญ์โบราณจื่อร่ง?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


นักปราชญ์โบราณจื่อร่งเป็นหนึ่งในศิษย์สายตรง 72 คนของปรมาจารย์ขง และมีชื่อเสียงในฐานะนักปราชญ์ แม้ชื่อเสียงของเขาจะไม่โด่งดังเท่านักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง หรือนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน แต่ชื่อของเขาก็ยังคงเป็นที่จดจำแม้ตัวเขาจะจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว อีกทั้งยังคงได้รับความเคารพจากนักรบมากมาย


ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนานกงหยวนเฟิงจะเป็นทายาทของเขา!


“สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่คืออะไร?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


“สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่คือบางสิ่งที่เหมือนกับสภาปรมาจารย์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ในขณะที่สภปรมาจารย์มุ่งมั่นถ่ายทอดความรู้และค่านิยมให้กับมวลมนุษย์และเหล่านักรบ สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่จะให้ความสำคัญเฉพาะกับการค้นคว้าและถ่ายทอดคำสอนของปรมาจารย์ขงให้เหล่านักรบเท่านั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีแต่นักรบที่เข้าถึงวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมสำนักของพวกเขา” หลัวลั่วชิงอธิบาย


“มีแต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เข้าร่วมกับสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่?” จางเซวียนทึ่ง


เขาคิดว่าปูชนียสถานนักปราชญ์เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ใครจะไปรู้ว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยังมีสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือชั้นไปกว่า!


จางเซวียนกำลังจะถามต่อ ก็พอดีกับที่เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ “ผมคือรองหัวหน้าตระกูลหลัว, หลัวกั้นเจิน ยินดีที่ได้พบคุณ ผู้อาวุโสหนานกง เชิญทางนี้เลย!”


จากนั้น ท่านพ่อของหลัวชวนฉิง ซึ่งมีหลัวชิงเฉินกับเหล่าผู้อาวุโสอีกนับไม่ถ้วนของตระกูลหลัวเป็นผู้ติดตามก็บินออกมาและประสานมือให้อย่างมีมารยาท


“พวกเราลงลงไปข้างล่างกันเถอะ” เห็นรองหัวหน้าตระกูลออกมาต้อนรับ หนานกงหยวนเฟิงทักทายตอบก่อนจะร่อนลงสู่พื้นพร้อมกับชายหนุ่มทั้ง 4


ฝูงชนจากตระกูลหลัวรีบทำแบบเดียวกัน


“100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเยือนตอนนี้ จะต้องมีอะไรแน่ เราตามพวกเขาไปเถอะ!” จางเซวียนส่งโทรจิตหาหลัวลั่วชิง


เขารู้ว่ามีคนบางส่วนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาเยือนทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ไม่คาดคิดว่าคนทั้งห้าจะแวะมาที่ตระกูลหลัวอย่างกะทันหันแบบนี้ ดูจากช่วงเวลา เป็นไปได้ว่าการมาเยือนของพวกเขามีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการเปิดวิหารแห่งขงจื๊อ


“ได้สิ” หลัวลั่วชิงพยักหน้า


ด้วยความแข็งแกร่งอย่างเหนือชั้นของทั้งคู่และความสับสนวุ่นวายของตระกูลหลัว พวกเขาจึงเล็ดลอดเข้าสู่ส่วนลึกของตระกูลหลัวได้โดยไม่ดึงดูดความสนใจของใคร แต่เพื่อความปลอดภัย ทั้งสองก็พยายามอยู่ห่างจากหลัวกั้นเจินและหนานกงหยวนเฟิงเอาไว้


แก๊ง แก๊ง แก๊ง แก๊ง!


ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะแอบเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เสียงระฆังก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งตระกูลหลัว


“นั่นคือระฆังรวมพลของตระกูลหลัว? เกิดอะไรขึ้น?”


จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจขณะที่ตัวเขากับหลัวลั่วชิงรีบตามฝูงชนจากตระกูลหลัวไปยังต้นเสียงที่ระฆังดังขึ้น


ไม่ช้า ทั้งคู่ก็มาถึงจัตุรัสกว้างใหญ่ ในตอนนั้น ฝูงชนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันอยู่ในพื้นที่แล้ว ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น สมาชิกทั้งหมดของตระกูลหลัวจะรีบตรงมาที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


ท่ามกลางฝูงชน จางเซวียนเห็นหนานกงหยวนเฟิงกับคนอื่นๆจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั่งอยู่บนยกพื้นที่อยู่ใจกลางจัตุรัส ส่วนหลัวกั้นเจิน หลัวชิงเฉิน และผู้อาวุโสคนอื่นๆนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


จางเซวียนกวาดสายตาดูฝูงชนบริเวณนั้น และพบคู่สามีภรรยาตระกูลหลัวคู่หนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเป็นสมาชิกหลักของตระกูล ทั้งคู่กำลังปรึกษาหารือกันอย่างเงียบเชียบ จึงเดินเข้าไปหาและตั้งคำถาม “ขออภัยเถอะ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมระฆังรวมพลถึงส่งเสียง?”


สมาชิกตระกูลหลัวทุกคนต่างมารวมตัวกันที่นี่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะรู้จักทุกคนที่ปรากฏตัว


“คุณคือ…” เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า คนหนึ่งขมวดคิ้ว


“ผมคือหลัวเทียนหยา สมาชิกคนหนึ่งจากตระกูลสาขา” จางเซวียนตอบ


“อ้อ!” สมาชิกหลักของตระกูลหลัวพยักหน้า “เท่าที่ผมได้ยินมา ดูเหมือน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อยากได้บางอย่างที่ตระกูลหลัวของเรามี แต่รองหัวหน้าตระกูลของเราไม่เต็มใจจะมอบให้ ด้วยเหตุนี้ หนานกงหยวนเฟิงจึงเสนอให้มีการดวลศาสตร์แห่งมิติระหว่างลูกศิษย์ทั้ง 4 ของเขาที่เขาพามากับทายาทตระกูลหลัวที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปี หากพวกเขาชนะ เราจะต้องมอบของล้ำค่าที่เรามีอยู่ให้กับสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ แต่หากพวกเขาแพ้ ก็จะมอบทรัพย์สมบัติที่มีค่าทัดเทียมกันให้กับตระกูลหลัวเพื่อเป็นการชดเชยที่พวกเขาแสดงความไม่เคารพต่อเรา!”


“ทรัพย์สมบัติอะไรที่หนานกงหยวนเฟิงเสนอให้?” จางเซวียนถามต่อ


แน่นอนว่าของล้ำค่าที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ต้องการจะต้องเป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่เพื่อบีบบังคับให้ตระกูลหลัวเต็มใจรับคำท้าดวล ของล้ำค่าที่พวกเขาเสนอเป็นเดิมพันก็คงจะมีค่าไม่น้อยเช่นกัน


“มันคือดาบที่ครั้งหนึ่งนักปราชญ์โบราณจื่อร่งเคยใช้!” สมาชิกหลักของตระกูลหลัวตอบขณะชี้นิ้วไปยังยกพื้นที่อยู่ตรงหน้า “นั่นไง คุณน่าจะเห็นนะ”


เมื่อมองตามนิ้วของอีกฝ่าย จางเซวียนเห็นดาบเล่มหนึ่งลอยสงบนิ่งอยู่เหนือยกพื้น แม้จะยังไม่ถูกชักออกจากฝัก แต่ก็รู้สึกได้ถึงรังสีเย็นเยือกที่มันแผ่ออกมา


หลัวลั่วชิงชำเลืองมองดาบนั้นก่อนจะส่งโทรจิตหาจางเซวียน “มันเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในเมื่อครั้งหนึ่งนักปราชญ์โบราณจื่อร่งเคยใช้มัน พละกำลังของมันก็น่าจะเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีทางเทียบชั้นกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรของคุณได้!”


“อือ” จางเซวียนพยักหน้า


เขาอยู่ไกลจากดาบนั้นเกินกว่าที่จะสัมผัสมัน ทำให้ไม่มีทางกะประมาณลำดับขั้นที่แท้จริงของดาบนั้น แต่ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของจางเซวียนในตอนนี้ เขาบอกได้ว่ามันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับหอกสวรรค์กระดูกมังกรของเขา


หอกสวรรค์กระดูกมังกรเป็นอาวุธที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวใช้เมื่อครั้งที่เขามีพละกำลังสูงสุด หากย้อนกลับไปในยุคสมัยโบร่ำโบราณ ไม่มีใครที่จะไม่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวหากต้องเผชิญหน้ากับหอกสวรรค์กระดูกมังกร ด้วยเหตุนี้ ลำพังดาบของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งซึ่งถูกใช้ไปเพียงครั้งเดียวจะมาเทียบชั้นกับมันได้อย่างไร?


หลัวกั้นเจินกวาดสายตามองฝูงชนและประกาศก้อง “เหล่าทายาทตระกูลหลัว ผู้อาวุโสหนานกงจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้พาลูกศิษย์มาที่นี่เพื่อท้าทายเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวของเราเข้าสู่การดวลศาสตร์แห่งมิติ ขอแค่คุณอายุต่ำกว่า 100 ปี ก็สามารถรับคำท้าของพวกเขาได้ มีใครอยากจะท้าทายแขกของเราหรือไม่?”


น้ำเสียงของเขาสง่างาม แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายพยายามกลบเกลื่อนไว้


ดูเหมือนว่าแม้ทาง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะเสนอของล้ำค่าให้ แต่เขาก็ไม่เต็มใจจะยอมรับการดวล เป็นไปได้ว่าทั้งกลุ่มจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีแผนที่จะแบล็คเมล์หรือตลบหลังอะไรสักอย่างเพื่อบังคับให้ตระกูลหลัวดวลกับพวกเขา


ตระกูลหลัวเพิ่งเผชิญกับความยุ่งยากครั้งใหญ่มา พวกเขาไม่อยู่ในสถานภาพที่เหมาะสมจะปะทะกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ในตอนนี้


“ขอผมทดสอบพละกำลังของแขกของเราหน่อย!” มีเสียงตวาดก้อง ร่างหนึ่งกระโจนขึ้นไปบนแท่นที่อยู่ตรงกลาง


เมื่อมองไป จางเซวียนก็เห็นว่าผู้ที่เสนอตัวนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลัวชวนฉิง


“ผมจะเผชิญหน้ากับพวกเขาเหมือนกัน!”


“ผมก็เต็มใจจะลองดู!”


“พวกเขาอาจเป็นแขกของเรา แต่ทำเกินไปหรือเปล่าที่มาท้าตระกูลหลัวดวลเรื่องศาสตร์แห่งมิติ ฮึ่มมม! ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!”


…..


ชายหนุ่มอีก 3 คนกระโจนขึ้นไปบนแท่นที่อยู่ใจกลางจัตุรัส


ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัว แต่ละคนแผ่รังสีอันทรงพลังออกมา อันที่จริง 2 ใน 3 คนนั้นเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว, เหมือนกับจางเซวียน และกำลังจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสในตระกูลหลัว


“ดี!” เห็นคนของตัวเองพร้อมรับการท้าทาย หลัวกั้นเจินพยักหน้า


เขาหันไปมองหนานกงหยวนเฟิงและถามว่า “ผู้อาวุโสหนานกง รูปแบบของการดวลศาสตร์แห่งมิติที่คุณคิดไว้คืออะไร?”


1608 ลูกข่างมิติ

“ผมมีลูกข่างมิติอยู่อันหนึ่ง สามารถประเมินความแข็งแกร่งของมิติและชี้วัดระดับความสามารถของคนๆหนึ่งในการควบคุมมิติได้ ใครที่สามารถทำให้ลูกข่างนี้ตั้งตรงอยู่ได้นานที่สุดก็แปลว่าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจเรื่องมิติล้ำลึกที่สุด”


ขณะที่หนานกงหยวนเฟิงพูด เขาก็กระดิกนิ้ว แล้วลูกข่างที่มีความยาวราว 1 สือก็ปรากฏตรงหน้า มันยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนแท่นนั้น และแม้จะไม่มีพลังงานแผ่ออกมา แต่ก็มีรอยแยกบางๆของมิติอยู่รอบตัวมัน


การปรากฏขึ้นของรอยแยกแห่งมิติบ่งบอกว่ามิตินั้นไม่เสถียรนัก การที่จะทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงอยู่ได้ ผู้นั้นจะต้องทำให้มิติเกิดความเสถียรขึ้นมาใหม่ หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ ซ่อมแซมรอยแยกแห่งมิติที่อยู่รอบๆนั่นเอง


ฟังเหมือนง่าย แต่อันที่จริงแล้วพูดนั้นง่ายกว่าทำ การซ่อมแซมรอยแยกแห่งมิติต้องการความรู้ถึงขั้น 4 ของศาสตร์แห่งมิติเทียบฟ้า คือการสรรค์สร้าง


“เอ่อ…” หลัวกั้นเจินเข้าใจสิ่งนี้เช่นกัน สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก


ถึงเหล่าทายาทตระกูลหลัวจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติ โดยเฉพาะเมื่อสายเลือดของพวกเขามาพร้อมกับความถนัดในด้านนี้โดยธรรมชาติ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ


ถ้าลูกศิษย์ของหนานกงหยวนเฟิงปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จจริงๆ ทุกอย่างก็จะดูแย่สำหรับพวกเขา


“โม่เอ๋อ คุณออกไปก่อนเลย สาธิตให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญของตระกูลหลัวได้เห็นหน่อย!” หนานกงหยวนเฟิงชำเลืองมองสีหน้าเคร่งเครียดของหลัวกั้นเจิน เขาหัวเราะหึๆก่อนจะสั่งการให้หนึ่งในชายหนุ่มทั้ง 4 ที่มาด้วยกันก้าวออกมา


“ขอรับ!”


ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าโม่เอ๋อดูจะมีอายุราว 20 ปลายๆ เขาก้าวออกมาจากกลุ่มอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็เดินไปที่ลูกข่างมิติ แล้วกำหมัดแน่น


เกิดเสียงหึ่งเบาๆกลางอากาศขณะที่กระแสของพลังงานมิติตรงเข้าโอบล้อมลูกข่างมิติไว้


ในชั่วพริบตา พื้นที่ที่แตกร้าวซึ่งอยู่รอบลูกข่างมิติก็ได้รับการซ่อมแซม จากนั้นลูกข่างก็ค่อยๆตั้งขึ้น แต่มันก็อยู่ได้ไม่ถึง 3 วินาที ก็ล้มลงและกลับไปแน่นิ่งอยู่กับพื้นดังเดิม


ฟู่!


กว่าจะเสร็จสิ้นการสาธิต ร่างของชายหนุ่มที่ชื่อโม่เอ๋อก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อและหายใจหอบด้วยความเหนื่อย เขาหันไปประสานมือให้พวกตระกูลหลัว ก่อนจะถอยกลับเข้ากลุ่มของตัวเอง


“โม่เอ๋อคือลูกศิษย์ที่อ่อนด้อยที่สุดในบรรดาทั้ง 4 คนที่อยู่ตรงนี้ จึงออกจะยากสำหรับเขาที่จะทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้ ผมต้องขออภัยพวกคุณสำหรับการสาธิตอันน่าอับอายครั้งนี้ด้วย!” หนานกงหยวนเฟิงหัวเราะหึๆขณะประกาศกับฝูงชน จากนั้นก็หันมาพูดกับหลัวกั้นเจิน “รองหัวหน้าหลัว เราจะเริ่มการดวลได้หรือยัง?”


สีหน้าของหลัวกั้นเจินย่ำแย่อย่างหนัก


อีกฝ่ายต้อนเขาให้จนมุมได้จริงๆ


ด้วยการสาธิตที่เพิ่งเกิดขึ้น มันจะส่งผลกระทบอันย่ำแย่ต่อตระกูลหลัวหากพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับคำท้าดวล ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยาก ก็จำเป็นต้องรับคำท้าครั้งนี้


“รองหัวหน้า ขอผมลองดู!”


1 ใน 2 ผู้อาวุโสที่เสนอตัวเข้ารับการท้าทายเมื่อครู่ก่อนประสานมือและอาสาออกไป


“ผมขอรบกวนคุณด้วย ผู้อาวุโสหลัวฝู!” หลัวกั้นเจินพยักหน้า


 


ผู้อาวุโสหลัวฝูก้าวออกไปและสูดหายใจลึกก่อนจะกำหมัดแน่นเหมือนกับที่โม่เอ๋อทำเมื่อครู่


เกิดเสียงหึ่งแบบเดียวกันดังขึ้นรอบลูกข่าง มันสั่นสะท้านเล็กน้อย


เหงื่อหยดเป็นทางจากศีรษะของเขา ผู้อาวุโสหลัวฝูสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดจนถึงจุดที่เขากระอักเลือดออกมาและเซถอยหลังไปอย่างอ่อนแรง


แต่จนแล้วจนรอด ลูกข่างมิติก็ไม่สามารถตั้งตรงได้


ผู้อาวุโสหลัวฝูหน้าซีดเผือดและตัวสั่น เขาเอ่ยปากขอโทษอย่างอ่อนแรง “ผมเสียใจ, รองหัวหน้า”


ตอนที่เขาเห็นโม่เอ๋อคนนั้นทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย ก็คิดว่าตัวเองคงจะทำได้ไม่ยาก แต่ทั้งๆที่ใช้พละกำลังเต็มพิกัดแล้ว ก็ยังไม่สามารถบังคับลูกข่างมิติให้ตั้งตรงได้ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงกล้าท้าทายตระกูลหลัวในด้านที่พวกเขาถนัด เพราะคนพวกนี้มั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะได้นี่เอง!


“ขอผมลองดู!”


ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของตระกูลหลัวก้าวออกมาและพยายามประสานรอยร้าวแห่งมิติที่อยู่รอบลูกข่างนั้น แต่แล้วครู่ต่อมาเขาก็กระอักเลือดเหมือนกับผู้อาวุโสหลัวฝู ไม่สามารถทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้เช่นกัน


นี่คือการท้าทายที่ดูเผินๆแล้วเหมือนจะง่าย มีแต่ผู้ที่ได้ทดลองใช้ประสิทธิภาพด้านมิติของตัวเองเพื่อยกลูกข่างมิติให้ตั้งตรงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าใจว่ามันหนักยิ่งกว่าภูเขา! หากความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของผู้นั้นไม่ล้ำลึกพอ อย่าว่าแต่จะทำให้มันตั้งตรงเลย แค่จะทำให้มันขยับก็ถือเป็นภารกิจที่ยากมากแล้ว


เห็นสมาชิก 2 คนของตระกูลหลัวล้มเหลว หลัวกั้นเจินมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นไปอีก


100 สำนักแห่งนักปราชญ์จงใจมาเยือนตระกูลของเขาเพื่อฉกฉวยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่เมื่อคำนึงถึงว่าเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาต้องฝ่าฟันอันตรายมากมายเพียงใดเพื่อให้ได้มันมา ก็ย่อมไม่มีทางที่ตระกูลหลัวจะมอบมันให้อีกฝ่ายโดยง่ายแน่


แต่อีกฝ่ายก็ใช้ข้อกำหนดของเหล่านักปราชญ์โบราณที่บรรดาบรรพบุรุษของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ทิ้งไว้ ซึ่งเป็นไปตามกฎที่ปรมาจารย์ขงได้ตั้งไว้ในยุคสมัยของเขา ตระกูลหลัวจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับคำท้าดวล


หลัวกั้นเจินคิดว่าต่อให้ไม่มีใครสักคนในตระกูลที่สำเร็จเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ แต่ด้วยความเชี่ยวชาญในกฎเกณฑ์แห่งมิติของพวกเขา การจะได้ชัยชนะก็คงไม่ยากเกินไป ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะมาพ่ายแพ้แบบนี้?


100 สำนักแห่งนักปราชญ์ช่างน่าสะพรึงจริงๆ!


“รองหัวหน้าหลัว ไม่มีทายาทตระกูลหลัวคนไหนทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้ใช่ไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะไม่มีพิธีรีตองแล้วนะ!” เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ หนานกงหยวนเฟิงลูบเคราและหัวเราะหึๆ


“เดี๋ยวก่อน!” เสียงตวาดเสียงหนึ่งดังมาจากยกพื้น แล้วหลัวชวนฉิงก็ก้าวเข้ามา “ลูกข่างมิติเป็นของล้ำค่าที่คุณนำมาเอง เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่เราจะแน่ใจได้เลยว่าคุณไม่ได้ทำอะไรกับมันไว้ เพื่อให้สมาชิกตระกูลหลัวของเราไม่สามารถทำให้มันตั้งตรงได้!”


“อีกอย่าง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด คุณไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสู้รบก็คือการที่นักรบสามารถใช้ศาสตร์แห่งมิติของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมเราไม่ใช้การดวลแทนล่ะ? ลูกศิษย์ของคุณจะต้องลดระดับวรยุทธของพวกเขาเพื่อดวลกับเรา หากพวกเขาชนะ พวกเราก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็เกรงว่าเราคงไม่อาจยอมรับเกณฑ์การตัดสินของคุณได้!”


“คุณกำลังเสนอการดวลหรือ?” หนานกงหยวนเฟิงตั้งคำถาม


“ใช่แล้ว” หลัวชวนฉิงพยักหน้า


ถึงที่สุดแล้ว วัตถุประสงค์หลักของการทําความเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งมิติก็เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ และในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมตระกูลหลัวถึงจะต้องมาเสียเวลาและความพยายามในการทำอะไรไม่เข้าท่าอย่างการบังคับลูกข่างมิติ? การดวลน่าจะเป็นวิธีที่ตรงจุดมากกว่าที่จะวัดคุณสมบัติของพวกเขา


“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจมากนะ ก็ได้…100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราจะทำตามข้อเสนอของคุณ” หนานกงหยวนเฟิงหัวเราะอย่างมั่นใจ


มรดกตกทอดของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั้นมีต้นกำเนิดจากปรมาจารย์ขง พวกเขาได้รับมรดกที่สมบูรณ์จากเหล่าบรรพบุรุษ อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็ล้วนมาจากสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นชนชั้นสูงที่สามารถเล่นงานคนเป็นร้อยๆได้ด้วยตัวเอง ไม่มีทางที่จะหวาดกลัวการต่อสู้


การท้าพวกเขาดวลถือเป็นความโง่เง่าสิ้นดี!


“รองหัวหน้าหลัว ผมจะรับข้อเสนอของเขานะ?” หนานกงหยวนเฟิงหันไปถามย้ำกับหลัวกั้นเจิน


“…แน่นอน!” หลัวกั้นเจินพยักหน้า


ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ ดูเหมือนจะไม่มีสมาชิกตระกูลหลัวคนไหนสามารถทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้ อันที่จริง แม้ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าจะทำสำเร็จ


อย่างน้อยที่สุด หากเป็นแค่การดวลแบบธรรมดา ก็ยังพอมีหวังอยู่


“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น…โม่เอ๋อ คุณจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา!”


เมื่อได้ยินหลัวกั้นเจินตอบตกลง หนานกงหยวนเฟิงพยักหน้า “ถึงโม่เอ๋อจะสูญเสียพละกำลังไปสักหน่อยตอนที่พยายามทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรง แต่เขาก็ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเพียงพอที่จะรับมือกับสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัว!”


ได้ยินคำพูดของหนานกงหยวนเฟิง หลัวกั้นเจินถึงกับของขึ้น


นี่มันดูถูกเหยียดหยามพวกเขาชัดๆ!


เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่ตระกูลจางทำลายศักดิ์ศรีและเหยียบย่ำดูถูกพวกเขา มาตอนนี้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็กำลังทำแบบเดียวกันอีก สวรรค์จะลงโทษตระกูลหลัวไปถึงไหน?


อีกคนหนึ่งที่โมโหกับคำพูดของหนานกงหยวนเฟิงก็คือหลัวชวนฉิง เขาตวาดก้องและเดินไปยังใจกลางยกพื้นก่อนจะคำราม “มาเลย ขอผมดูหน่อยว่าคุณทรงพลังแค่ไหน!”


“ฮ่า!” ชายหนุ่มที่ชื่อโม่เอ๋อหัวเราะหึๆขณะเดินออกมาและพูดว่า “คุณเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 การแบ่งแยกมิติ ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ จะลดระดับวรยุทธของผมให้เท่ากับคุณ!”


ฟึ่บ!


หลังจากพูดจบ รังสีของโม่เอ๋อก็ลดระดับลงจนเท่ากับหลัวชวนฉิง


“เอาล่ะ เริ่มเถอะ!”


เห็นโม่เอ๋อลดระดับวรยุทธเสร็จแล้ว หลัวชวนฉิงพุ่งเข้าใส่ทันทีและปล่อยพละกำลังจากฝ่ามือ


ครืนนนน!


คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกไปทั่วทั้งบริเวณนั้น พละกำลังทำลายล้างถูกปล่อยออกจากฝ่ามือของหลัวชวนฉิง


ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาปะทะกับจางเซวียนที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ถึงจะยังฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ แต่ก็ใกล้จะได้เป็นนักรบการแบ่งแยกมิติขั้นกลางเต็มทีแล้ว


1609 ทำไมผมไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ?

“หลัวชวนฉิงสู้เขาไม่ได้หรอก” จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า


“การที่ชายหนุ่มคนนั้นมาจากสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่และสามารถทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงอยู่ได้หลายวินาที ก็หมายความว่าความเข้าใจเรื่องมิติของเขาเกือบจะเทียบเท่ากับระดับของแก่นสารแห่งมิติแล้ว” หลัวลั่วชิงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “หากเปรียบเทียบกัน หลัวชวนฉิงยังต้องพัฒนาอีกมาก อีกอย่าง เทคนิคการต่อสู้ที่พวกเขาฝึกฝนก็เป็นคนละระดับกันด้วย ไม่ช้า หลัวชวนฉิงต้องแพ้แน่”


100 สำนักแห่งนักปราชญ์คลาคล่ำไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดมรดกของปรมาจารย์ขง พวกเขามีเทคนิคการต่อสู้อันทรงพลังทุกชนิดที่เทียบเท่ากับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แม้จะไม่เหนือชั้นกว่าก็ตาม ต่อให้เทคนิคการต่อสู้ของตระกูลหลัวจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่มีทางจะแข่งขันกับพวกเขาได้


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเฝ้าดูการต่อสู้บนเวที


ตอนนี้โม่เอ๋อเริ่มตอบโต้แล้ว การเคลื่อนไหวของเขาเรียบง่าย เขายกนิ้วขึ้นและเคาะพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบา


ฟึ่บ!


มิติรอบตัวหลัวชวนฉิงถูกสกัดกั้นในทันที ไม่อาจแตกสลายได้ไม่ว่าเขาจะใช้พละกำลังทำลายล้างสักแค่ไหน หลัวชวนฉิงรีบปล่อยการโจมตีอย่างดุเดือดออกมาเป็นชุดเพื่อทำลายการสกัดกั้นมิตินั้น แต่ก็ไม่ได้ผล


เมื่อเห็นเทคนิคที่โม่เอ๋อใช้ หลัวลั่วชิงอธิบาย “นี่เป็นศาสตร์แห่งมิติที่รู้จักกันในชื่อ ‘ศิลปะการสกัดกั้นกระจกเงา’”


“ศิลปะการสกัดกั้นกระจกเงา?”


 


“มันใช้กักขังคนคนหนึ่งไว้ในมิติที่ถูกแยกตัวออกไปอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับโลกที่อยู่ภายในกระจกเงา ไม่ว่าผู้ที่อยู่ในกระจกเงาจะพยายามดิ้นรนต่อสู้สักแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำลายการสกัดกั้น หรือทำอันตรายผู้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของกระจกเงาได้ นี่คือหลักการพื้นฐานของเทคนิคการต่อสู้นี้…คือใช้อำนาจของมิติสกัดกั้นอีกฝ่ายไว้ในอีกมิติหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถฝ่ามันออกมาได้” หลัวลั่วชิงอธิบายอย่างเคร่งขรึม “ในแง่ของพละกำลัง มันยังอ่อนด้อยกว่าแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติของคุณ แต่ผลที่ได้ถือว่าใกล้เคียงกัน”


“มันเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังมาก แต่…จริงอยู่ที่หลัวชวนฉิงไม่สามารถทำอันตรายอีกฝ่ายได้เพราะถูกสกัดกั้นไว้ในมิติที่เหมือนกับกระจกเงา แล้วอีกฝ่ายจะโจมตีเขาได้หรือเปล่า?”


ถึงเทคนิคการต่อสู้นี้จะดูทรงพลัง แต่ก็มีข้อบกพร่องใหญ่หลวงอยู่


ผลกระทบนั้นทำงานทั้ง 2 ด้าน ขณะที่นักรบซึ่งอยู่ด้านในมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ไม่สามารถทำอันตรายผู้ที่อยู่ด้านนอก ผู้ที่อยู่ด้านนอกก็ไม่สามารถทำร้ายนักรบที่อยู่ด้านในได้เช่นกัน


แน่นอนว่ามันเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่ไร้เทียมทานหากใช้กับการต่อสู้เป็นกลุ่ม แต่สำหรับการดวลตัวต่อตัว ก็ดูเหมือนจะสิ้นเปลืองเวลาและพลังงาน เพราะลงท้ายก็ไม่ได้อะไรจากกระบวนท่านี้


ในทางตรงกันข้าม ยังมีศาสตร์การสกัดกั้นมิติอีกมากมายที่ผู้ใช้สามารถเข้าออกมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ได้อย่างอิสระ ทำให้มีประสิทธิภาพที่สูงกว่าในการดวลตัวต่อตัว


“ก็จริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำอันตรายหลัวชวนฉิงได้ เว้นเสียแต่มิติที่เหมือนกับกระจกเงานั้นจะถูกทำลาย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถควบคุมกระจกเงาได้ ก็หมายความว่าเขาถือไพ่เหนือกว่าในการต่อสู้ ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ทำอะไรๆได้มากกว่า” หลัวลั่วชิงตอบ


“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเงียบไป


การที่โม่เอ๋อสามารถควบคุมมิติที่เหมือนกับกระจกเงาได้ ก็หมายความว่าตัวเขามีอำนาจการตัดสินใจว่าเมื่อไหร่และที่ไหนที่มิติควรจะถูกทำลาย ทำให้เขาสามารถแสดงกระบวนท่าได้ทุกเมื่อที่ต้องการ และกำราบคู่ต่อสู้ให้อยู่หมัดได้


“ผมยอมรับว่ามิติที่เหมือนกับกระจกเงานี้เป็นแนวคิดที่ดี แต่การจะกักขังหลัวชวนฉิงไว้คงไม่ง่ายนักหรอก” จางเซวียนพูด


ทันทีที่เขาพูดจบ เส้นผมของหลัวชวนฉิงก็ตั้งชัน พละกำลังพิเศษห่อหุ้มร่างของเขาไว้ รังสีของเขาทรงพลังขึ้นอีกมาก ดูราวกับเสือร้ายที่กำลังเกรี้ยวกราด


เขาปล่อยพลังจากฝ่ามือออกมาอย่างรุนแรง


เพล้งงงงง!


มิติที่เหมือนกับกระจกเงานั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ นับชิ้นไม่ถ้วน


“เขาเปิดใช้พลังของสายเลือดหรือ?” หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเธอ เธอบอกได้ว่าความเชี่ยวชาญเรื่องมิติของโม่เอ๋อนั้นเหนือชั้นกว่าหลัวชวนฉิงมาก และหลัวชวนฉิงเองก็คงรู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้ดี เมื่อจนมุม เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเปิดใช้ความสามารถของสายเลือด


เมื่อมีความสามารถของสายเลือดตระกูลหลัวเข้ามาเสริม ความเข้าใจเรื่องมิติของหลัวชวนฉิงก็เพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้เขาสามารถทำลายมิติที่เหมือนกระจกเงาและโจมตีโม่เอ๋อได้โดยตรง


วิ้วววว!


ทันทีที่ 2 ฝ่ามือปะทะกัน พายุดุเดือดก็พัดหวีดหวิวไปโดยรอบ


เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วนบนเวทีนั้น ดูเหมือนกับใยแมงมุม


“หลัวชวนฉิงแพ้แล้ว…” จางเซวียนส่ายหน้า


“ทั้งความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติ ระดับวรยุทธ และเทคนิคการต่อสู้ของอีกฝ่ายล้วนแต่เหนือกว่าเขา ไม่มีทางที่หลัวชวนฉิงจะชนะอย่างแน่นอน…” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าและถอนหายใจ


ทันทีที่เธอพูดจบ หลัวชวนฉิงก็ถูกบีบให้ถอยไป 8 ก้าวก่อนจะกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา ร่างของเขาซวนเซเล็กน้อย จากนั้นก็ทรุดฮวบลงกับพื้น


“ท่านอาจารย์!”


หลังจากเอาชนะหลัวชวนฉิงได้ด้วยพลังฝ่ามือเดียว โม่เอ๋อประสานมือก่อนจะหันไปรอบๆ และเดินกลับเข้ากลุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเพิ่งทำบางอย่างที่ไม่ได้สลักสำคัญเสร็จสิ้นไป


“นายน้อยชวนฉิง!”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบเข้ามาป้อนยาให้หลัวชวนฉิงและถ่ายทอดพลังปราณบางส่วนให้ อีกฝ่ายถึงได้ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย


อาการบอบช้ำที่เขาได้รับและผลข้างเคียงจากการเปิดใช้งานสายเลือดทำให้แขนขาของเขาอ่อนแรง ปราศจากพละกำลังโดยสิ้นเชิง


“ผมทำให้ตระกูลต้องอับอาย ได้โปรดลงโทษผมด้วย…” หลัวชวนฉิงหน้าซีดเผือดขณะคุกเข่าลงตรงหน้าท่านพ่อของเขา


“ลุกขึ้นเถอะ ไม่มีใครตำหนิเจ้าในเรื่องนี้หรอก…”


ในตอนนั้น หลัวกั้นเจินดูแก่กว่าเดิมไปอีกหลายสิบปี


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่รู้สึกว่าเป็นการโอ้อวดหากจะพูดว่ามรดกตกทอดของตระกูลหลัวถือเป็นสุดยอดของโลก เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงนัก แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินในศาสตร์ที่ถือเป็นความถนัดของตัวเอง


 


ตลอดทั้งการต่อสู้ โม่เอ๋อคนนั้นใช้เพียงการสำแดงศาสตร์แห่งมิติ แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความพ่ายแพ้


“ขอรับ…” หลัวชวนฉิงก้มศีรษะลงอย่างอับอาย


การที่เขาจะสู้กับจางเซวียนในวรยุทธระดับเดียวกันไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสู้กับคนพวกนี้ไม่ได้ด้วย…ความรู้สึกหยิ่งผยองที่เขาเคยภาคภูมิใจในฐานะอัจฉริยะของตระกูลหลัวหายวับไปราวกับฟองสบู่แตก ไม่หลงเหลือร่องรอยแม้แต่น้อย


“ท่านพ่อ แล้วคราวนี้เราจะทำอย่างไร?” หลัวชวนฉิงกำหมัดแน่นขณะส่งโทรจิตถาม


ถึงระดับวรยุทธของเขาจะเป็นแค่นักรบการแบ่งแยกมิติขั้นต้น แต่ด้วยความบริสุทธิ์ของสายเลือด จึงถือได้ว่าเขาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัว แม้จะมีทายาทตระกูลหลัวมากมายที่อายุต่ำกว่าร้อยปีซึ่งมีวรยุทธเหนือกว่าเขา แต่ก็ไม่น่าจะสู้กับกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้หากลดระดับวรยุทธลงมาให้เท่ากัน


อีกอย่าง ตามที่หนานกงหยวนเฟิงพูด ดูเหมือนคนที่เขาเผชิญหน้าด้วยเมื่อครู่นี้เป็นนักรบที่อ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างไม่เข้าข้างตระกูลหลัวแม้แต่น้อย!


หลัวกั้นเจินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เราทำอะไรไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่…น้องสาวของเจ้าจะเต็มใจออกโรงด้วยตัวเอง!”


ตอนนี้ ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในการควบคุมมิติไม่ใช่ตัวเขาหรือผู้อาวุโสคนอื่นๆ แต่เป็นลูกสาวของเขา


ด้วยการซึมซับวิชาผู้เก็บงำมิติ ถึงเธอจะยังไม่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ แต่ความสามารถในการควบคุมมิติของเธอก็ไม่เป็นรองอีกฝ่าย


“แต่ว่า…ตั้งแต่พวกตระกูลจางกลับไป เธอก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมา” หลัวชวนฉิงพูดอย่างหม่นหมอง


ในฐานะพี่ชายของหลัวฉีฉี เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกล้ำลึกที่เธอมีให้จางเซวียน ซึ่งการที่จางเซวียนปฏิเสธเธอต่อหน้าสาธารณชน ทั้งยังจากไปพร้อมกับผู้หญิงคนอื่น…เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่สาวน้อยอย่างเธอจะรับไหว


เธอคงต้องการเวลาสักระยะเพื่อทำใจ และเขาก็ไม่อยากไปรบกวนเธอในช่วงเวลาแบบนี้


“แต่นี่สถานการณ์ฉุกเฉินนะ จะมัวมานั่งเสียอกเสียใจอยู่ไม่ได้หรอก เร็วเข้า ไปเรียกตัวเธอมา!” หลัวกั้นเจินสั่งการ


“…ขอรับ!”


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลัวชวนฉิงก็พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะไปพบน้องสาวของเขา แต่ในตอนนั้นเอง หนานกงหยวนเฟิงก็หัวเราะหึๆขึ้นมาแล้วพูดว่า “รองหัวหน้าหลัว ถ้านี่คือความสามารถทั้งหมดที่ตัวคุณกับตระกูลของคุณมีอยู่ล่ะก็ อย่าพาใครมาให้ต้องอับอายขายหน้าอีกเลย ต่อให้จะมีอีกกี่คนมาท้าทายลูกศิษย์ของผม ก็คงจะเสียเวลาและเปลืองแรงเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่มีใครอื่นที่เก่งกว่าเขา ผมขอแนะนำให้คุณยอมแพ้ อย่างน้อยที่สุด คุณก็ยังรักษาเศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีไว้ให้ตระกูลหลัวของคุณได้!”


“คุณ…” ได้ยินคำพูดของหนานกงหยวนเฟิง หลัวกั้นเจินโมโหจนแทบระเบิด เขากำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ ก็พอดีกับที่เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านล่าง


“มันก็แค่การดวล ทำไมผมถึงไม่…”


จากนั้น ชายวัยกลางคนที่มีผิวออกเหลืองและเหี่ยวย่นคนหนึ่งก็กระโจนจากฝูงชนด้านล่างขึ้นมาบนเวที


“…ลองดูสักหน่อยล่ะ?”


1610 ลูกข่างมิติหมุนติ้ว

“หมอนั่นเป็นใครน่ะ?”


“ผมก็ไม่รู้!”


“นึกไม่ออกเลยว่าเคยเห็นใครหน้าตาแบบนี้มาก่อน เขาต้องมาจากครอบครัวสาขาแน่ ใช่ไหม?”


“ผมรู้จักคนดังๆเกือบทุกคนจากครอบครัวสาขานะ แต่หน้าตาแบบนี้ไม่คุ้นเลย ทำไมถึงโผล่มาตอนนี้ล่ะ?”


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าทางเขาก็ไม่อ่อนแอเท่าไหร่ บางทีอาจจะทำสำเร็จก็ได้”


…..


เห็นชายวัยกลางคนโผล่มาจากที่ไหนสักแห่ง ฝูงชนต่างส่งเสียงเซ็งแซ่อยู่ด้านล่างเวที แต่ละคนมองหน้ากันอย่างสงสัย ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น


บรรดาผู้ที่มีชื่อเสียงในครอบครัวสาขาต่างก็รู้จักกันดี แต่หน้าตาของชายวัยกลางคนผู้นี้ดูจะไม่สะกิดความทรงจำของใครเลย น่าประหลาดใจว่าดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักเขาสักคนด้วยซ้ำ!


“คุณคือ…?” หลัวกั้นเจินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ผมชื่อหลัวเทียนหยา ทายาทจากครอบครัวสาขาอันห่างไกลของตระกูลหลัว ผมไม่ค่อยได้อยู่ในตระกูล จึงเป็นธรรมดาที่คุณจะไม่รู้จักผม, ท่านรองหัวหน้า!” จางเซวียนประสานมือและรายงาน


ในเมื่อเขามาที่นี่เพื่อชดใช้ให้ตระกูลหลัว นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียกชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับคืนมา


ดังนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของหนานกงหยวนเฟิง เขาก็ไม่ลังเลที่จะกระโจนขึ้นไป


“หลัวเทียนหยา?” หลัวกั้นเจินชำเลืองมองผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉิน แต่เห็นอีกฝ่ายก็งงงันไม่แพ้กัน


ดูเหมือนแม้แต่ผู้อาวุโสที่ 1 ก็ยังไม่รู้ว่าหลัวเทียนหยาคนนี้เป็นใคร


หลัวชิงเฉินจ้องชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอยู่นาน แต่ดูอย่างไรก็ไม่คุ้นหน้า จึงได้แต่ตอบรับด้วยการหัวเราะเจื่อนๆ “มรดกตกทอดของตระกูลหลัวได้รับการถ่ายทอดมาหลายชั่วคนเป็นเวลาหลายหมื่นปี ทายาทของพวกเราก็กระจายตัวกันออกไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ เราไม่มีบัญชีรายชื่อของสมาชิกในครอบครัวสาขา ดังนั้นจึงไม่มีทางยืนยันตัวตนที่ชัดเจนของเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่ปฏิเสธว่ามีโอกาสที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาที่ฝึกฝนอย่างหนักจะสามารถพัฒนาความสามารถของเขาได้เช่นกัน…”


นี่คือปัญหาที่เกิดกับตระกูลซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไป ในแต่ละปีจะมีศิษย์สายตรงจำนวนมากมุ่งหน้าออกไปเผชิญโลกกว้าง และไม่มีใครรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ไปมีความสัมพันธ์กับใครอื่น ซึ่งหากเกิดทายาทขึ้นมา ก็ยากที่จะบอกได้ว่าทายาทที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นสมาชิกของตระกูลหลัวจริงหรือไม่หากไม่มีการตรวจสอบสายเลือด


“อือ!” หลัวกั้นเจินก็เข้าใจความจริงข้อนี้ จึงส่ายหน้าอย่างจนปัญญาก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า “เทียนหยา ผมเข้าใจดีว่าคุณอยากยืนหยัดเพื่อตระกูลของเรา แต่คนพวกนั้นล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และหัวข้อของการดวลก็คือความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขด้วยการใช้พละกำลังเพียงอย่างเดียวได้…”


พูดตามตรง เขาไม่คิดว่าสมาชิกจากครอบครัวสาขาจะมีความสามารถพอที่จะเอาชนะกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์


ขนาดหลัวชวนฉิงซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสายเลือดตระกูลหลัวบริสุทธิ์ที่สุด ก็ยังต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เขาจึงไม่กล้าคาดหวังว่าสมาชิกจากครอบครัวสาขาจะมีโอกาสได้ชัยชนะ


“แล้วทำไมคุณไม่ให้ผมลองดูล่ะ? ผมเป็นแค่สมาชิกจากครอบครัวสาขา ต่อให้ผมแพ้ ตระกูลหลัวก็ไม่อับอายขายหน้าหรอก” จางเซวียนพูด


หลัวกั้นเจินครุ่นคิดหนัก


อีกฝ่ายพูดถูก เท่านี้พวกเขาก็อับอายขายหน้าพออยู่แล้ว ต่อให้มีสมาชิกจากครอบครัวสาขาอีกคนหนึ่งพ่ายแพ้ ก็ไม่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปกว่าที่เป็นอยู่


อีกอย่าง ก็คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะพาตัวลูกสาวของเขามาที่นี่ได้


“เอาอย่างนั้นก็ได้!” หลัวกั้นเจินพยักหน้า เขาหันไปพูดกับหนานกงหยวนเฟิง “ผู้อาวุโสหนานกง หลัวเทียนหยาคนนี้อยากท้าทายลูกศิษย์ของคุณ…”


แต่ยังไม่ทันที่หนานกงหยวนเฟิงจะได้พูดอะไร โม่เอ๋อก็อุทานด้วยความสงสัยสุดขีด “ท้าทาย? คุณจะให้พวกเราสู้กับผู้ที่มาจากครอบครัวสาขาของตระกูลหลัวอย่างนั้นหรือ?”


ดูเหมือนตระกูลหลัวจะสิ้นหวังเสียจนยอมคว้าฟางทุกเส้นที่พวกเขามี


หนานกงหยวนเฟิงก็เลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ “สายเลือดของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งไหลพล่านอยู่ในเส้นเลือดของทายาทตระกูลหนานกงของเรา กฎเกณฑ์เรื่องความชอบธรรมที่ปรมาจารย์ขงกำหนดไว้ก็คือเราควรต้อนรับแขกด้วยมารยาทและความเคารพ คุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันไม่เหมาะสมที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาของตระกูลหลัวจะมาท้าทายพวกเรา ตระกูลหลัวพยายามจะเหยียดหยามเราด้วยวิธีนี้หรือ?”


ขนาดสมาชิกจากครอบครัวหลักก็ยังสู้พวกเขาไม่ได้ แล้วคว้าใครก็ไม่รู้จากครอบครัวสาขามาท้าทายพวกเขา ตระกูลหลัวช่างไม่ไว้หน้าพวกเขาเสียเลย!


“เหยียดหยาม?” ยังไม่ทันที่หลัวกั้นเจินจะได้ตอบโต้ จางเซวียนก็ส่ายหน้าและคำรามเยาะ “คุณก็ช่างยกยอปอปั้นตัวเองเสียเหลือเกิน! ไม่ต้องห่วงน่ะ กลุ่มคนอ่อนแออย่างพวกคุณน่ะไม่มีค่าพอจะให้ผมต้องไปเหยียดหยามหรอก!”


“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าผู้ที่เป็นแค่ทายาทจากครอบครัวสาขาจะอาจหาญตอบโต้ หนานกงหยวนเฟิงหรี่ตาอย่างข่มขู่


“ถ้าคุณไม่กล้าดวลกับผม ก็แค่พูดออกมา ไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวให้มากมาย” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังไว้และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“ความหยิ่งผยองของคนโง่!” โม่เอ๋อคำรามเสียงเย็น


การที่สมาชิกของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างพวกเขาจะลดตัวลงมาเยือนพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าคนเซ่อซ่าบ้านนอกพวกนี้จะบังอาจพูดจาโอหังใส่พวกเขาด้วย! หมอนั่นไม่รู้จริงๆหรือว่าตัวเองไร้ความสำคัญแค่ไหน?


ไม่ใช่โม่เอ๋อคนเดียวที่คิดแบบนั้น หลัวกั้นเจินก็ถึงกับกุมหน้าผากอย่างกลุ้มใจ


สมาชิกจากครอบครัวสาขาคนนี้ไม่รู้จริงๆหรือว่าคำว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีความสำคัญต่อทวีปแห่งปรมาจารย์แค่ไหน?


ถ้ารู้ แล้วอวดโอ้ตัวเองด้วยถ้อยคำเหลวไหลแบบนั้นได้อย่างไร?


หมอนี่หน้าไม่อายเหมือนจางเซวียนเลย! หลัวชวนฉิงคำรามอยู่ในใจ


ในฐานะอดีตสหายของจางเซวียน เรารู้ดีว่าหมอนั่นหน้าไม่อายขนาดไหน แต่ถึงจะหน้าไม่อายอย่างไร เขาก็เก่งกาจพอที่จะโอ้อวด แต่คุณน่ะ…คิดดีแล้วหรือที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา?


ถึงโม่เอ๋อจะโมโหจนแทบจะสังหารอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ยังต้องรักษาชื่อเสียงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ จึงชี้นิ้วไปที่ลูกข่างมิติที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “เอาล่ะ ผมจะดวลกับคุณก็ได้ถ้าคุณต้องการ แต่อย่างน้อย คุณจะต้องแสดงให้เห็นก่อนว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะท้าทายผม ถ้าคุณทำให้ลูกข่างมิตินั้นตั้งตรงได้ ผมจะให้โอกาสคุณ!”


“คุณต้องการให้ผมทำให้มันตั้งตรงหรือ?” จางเซวียนถามขณะชำเลืองมองลูกข่างมิติ ในตอนนั้นเอง ลูกข่างที่นอนอยู่กับพื้นก็พลันตั้งตรงและหมุนติ้วไม่หยุด ราวกับกลัวว่ามันจะถูกสังหารถ้าแสดงความกระด้างกระเดื่องออกมาแม้แต่น้อย “คุณหมายถึงแบบนี้ใช่ไหม?”


โม่เอ๋อขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ


ด้วยความสามารถที่เขามีอยู่ในตอนนี้ ดีที่สุดที่เขาทำได้ก็คือทำให้ลูกข่างตั้งตรงเท่านั้น เขาไม่สามารถทำให้มันหมุนได้ อันที่จริง คนเดียวที่ทำได้มีแต่ท่านอาจารย์ของเขา, หนานกงหยวนเฟิง แต่ถึงอย่างนั้น ท่านอาจารย์ของเขาก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ลูกข่างมิติหมุนติ้วทันทีเพียงแค่หมอนั่นชำเลืองมอง…


หมอนั่นยิงแสงเลเซอร์ออกจากดวงตาของเขาหรืออย่างไร?


หนานกงหยวนเฟิงก็จังงังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ


เขาคิดว่านี่เป็นการเล่นตุกติกของหลัวกั้นเจิน เพื่อพยายามลดราคาของการดวลครั้งนี้ให้ดูอ่อนด้อย แต่หลังจากเห็นภาพนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่าชายวัยกลางคนที่ไร้ความโดดเด่นคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง


ในเวลาเดียวกัน หลัวกั้นเจิน หลัวชวนฉิง และสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลหลัวต่างก็พากันอ้าปากค้างขณะจ้องมองภาพนั้น ราวกับเห็นผี


“หรือว่า…” หลัวกั้นเจินพลันนึกขึ้นได้ เขารีบหันไปมองผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉิน


“น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ นอกเสียจากคนที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครอื่นที่สามารถทำให้ลูกข่างมิติหมุนติ้วได้แบบนั้น!” หลัวชิงเฉินพยักหน้า


“เราพยายามตามหาตัวเขาในบรรดาสมาชิกฝ่ายใน แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะมาจากครอบครัวสาขาที่ห่างไกล!” หลัวกั้นเจินหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น


เขาเตรียมใจยอมรับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินไว้แล้ว และคิดว่าตระกูลหลัวคงจะถูกเหยียบย่ำอย่างไม่มีชิ้นดี ไม่นึกไม่ฝันแม้แต่น้อยว่าผู้เชี่ยวชาญนิรนามคนหนึ่งที่พวกเขาควานหาตัวมาตลอดจะปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาคับขันเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้!


แถมอีกฝ่ายยังเป็นสมาชิกของครอบครัวสาขาที่แม้แต่ผู้อาวุโสที่ 1 ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ!


“ผมประเมินตระกูลหลัวต่ำไป ดูเหมือนในหมู่พวกเขาจะยังมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งอีกมากมายซ่อนอยู่…”


หนานกงหยวนเฟิงสูดหายใจลึกและข่มความประหลาดใจไว้ก่อนจะสั่งการ “โม่เอ๋อ คุณต้องระวังนะ ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขาน่ะไม่ได้ด้อยกว่าคุณเลย”


“ขอรับ ท่านอาจารย์!” รู้ดีว่าชายวัยกลางคนที่ยืนตรงหน้าเขาไม่ใช่เป้าหมายที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ โม่เอ๋อรีบกลืนความจังงังทั้งหมดลงไปและเดินไปที่ใจกลางเวที เขาประสานมือให้และโค้งคำนับ “เลือกรูปแบบการดวลที่คุณต้องการมาได้เลย!”


“รูปแบบการดวล?” ด้วยสองมือที่ยังคงไพล่หลังอยู่ จางเซวียนวางท่าแบบคนที่ไม่คิดจะระมัดระวังตัว เขาชำเลืองมองโม่เอ๋อด้วยสายตาเรียบเฉยและตั้งคำถาม “คุณคิดว่าคุณคู่ควรพอที่จะดวลกับผมหรือ?”


“คุณ…” โม่เอ๋อหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด


“ให้ตาเฒ่านั่นมาดวลกับผม หรือถ้าคุณยังรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลล่ะก็ ผมจะให้พวกคุณ 5 คนเข้ามาดวลกับผมพร้อมกันทีเดียวเลย” จางเซวียนพูดอย่างสุขุม


1611 ผมให้เวลาคุณหนึ่งวินาที

“บังอาจมาก!”


“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร?”


“ผมขอแนะนำคุณว่าอย่ายโสโอหังให้เกินตัวนัก เพียงแค่มีความเก่งกาจเล็กน้อย ก็หลงตัวเองจนคิดว่ามีดีกว่าทุกคนในโลกเสียแล้ว ดูเหมือนผมจะต้องเล่นงานให้กระดูกกระเดี้ยวของคุณรู้จักความถ่อมตัวเสียบ้าง!”


…..


หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ลูกศิษย์อีก 3 คนของหนานกงหยวนเฟิงก็จ้องหน้าจางเซวียนอย่างโกรธแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะสถานภาพของพวกเขา แต่ละคนคงจะพุ่งเข้าใส่และฉีกปากอีกฝ่ายเสียแล้ว


กล้าท้าทายพวกเขาทั้ง 5 คนพร้อมกัน…คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?


นึกว่าตัวเองเป็นขงซือเหยาหรือ?


หลัวกั้นเจินกับหลัวชวนฉิงก็อ้าปากค้าง


หมอนั่นก็อาจหาญเสียจริง! กล้าดูถูกแม้แต่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ไม่กลัวตายเลยหรือไง?


แต่พูดก็พูดเถอะ…ทำไมฟังหมอนั่นพูดแล้วช่างมีความสุขเหลือเกิน?


เย็นไว้…เย็นไว้ เราจะหัวเราะออกมาตอนนี้ไม่ได้ นั่นจะยิ่งทำให้น่าอายมากขึ้นอีก!


อันที่จริง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์มาแล้วหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ทำตัวสูงส่งและวางอำนาจมาตลอด ซึ่งนั่นก็พอเข้าใจได้ เพราะพวกเขาได้รับมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงและศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนของเขา แต่จากน้ำเสียงของชายวัยกลางคน ดูเหมือนทั้งกลุ่มที่มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะเป็นแค่ไอ้บ้านนอกเซ่อซ่าเท่านั้น!


จริงๆนะ…ต่อให้พวกเขามาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ก็แล้วอย่างไรล่ะ? มีอะไรให้น่าโอ้อวดอย่างนั้นหรือ?


“พูดได้ดี!”


“เล่นงานพวกนั้นให้หมอบเลย! นี่คือความเป็นผู้นำแบบที่ตระกูลหลัวของเราควรจะมี! ถ้าเราใช้ท่าทีอย่างนี้ตั้งแต่แรก คุณคิดว่าเจ้าจางเซวียนคนนั้นจะกล้าปฏิเสธการหมั้นหมายกับองค์หญิงน้อยของเราหรือ?”


“ใช่! ต่อให้เจ้าจางเซวียนนั่นกล้าหาญกว่านี้อีก 10 เท่า ก็คงไม่กล้าพูดอะไรแบบนั้นหรอก!”


ขณะที่กลุ่มคนบนเวทีกำลังอัศจรรย์ใจกับการพลิกผันของเหตุการณ์ บรรดาผู้ชมที่อยู่ด้านล่างก็ตื่นเต้นเสียจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นระบำ


หลังจากความอับอายขายหน้าที่พวกเขาได้รับ ในที่สุดก็มีหนทางให้ระบายความแค้นแล้ว


“การดวลน่ะไม่ได้เอาชนะกันด้วยฝีปากที่เฉียบคมหรอกนะ ผมหวังว่าคุณจะมีพละกำลังสมกับที่คุณพูด!”


หนานกงหยวนเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาสะบัดข้อมือแล้วเงยหน้าขึ้น “ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสามารถทำให้ลูกข่างมิติหมุนติ้วได้บ่งบอกว่าความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติของคุณเข้าถึงขั้น 4 แล้ว ดังนั้นจึงเป็นความจริงว่าโม่เอ๋อไม่อาจเทียบชั้นกับคุณได้ แล้วทำไมคุณถึงไม่เลือกรูปแบบการดวลที่เป็นธรรมกับพวกเราทั้งสองฝ่ายล่ะ?”


“ไม่ต้องห่วงน่ะ ผมจะไม่เอาเปรียบพวกคุณหรอก แข่งขันกันด้วยลูกข่างน่ะไม่ได้มีสาระอะไรเลย เพราะฉะนั้นผมขอเสนอเหมือนหลัวชวนฉิง ขอท้าทายพวกคุณเข้าสู่การดวลโดยใช้พละกำลัง”


หากจางเซวียนต้องการ เขาก็สามารถทำให้ลูกข่างมิติหมุนติ้วอยู่ได้อีกหลายวันโดยที่ไม่ล้มลงไป แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะเรียกชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับคืนมา ในเมื่อเขาเลือกที่จะรับมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แล้ว ก็ต้องไปให้สุด!


ยังไม่ทันที่หนานกงหยวนเฟิงจะได้พูดอะไร โม่เอ๋อก็หรี่ตา “คุณคิดจะท้าพวกเราดวลโดยใช้พละกำลังหรือ? แน่ใจหรือเปล่า?”


ความเข้าใจเรื่องมิติของเขาอาจเทียบชั้นกับอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ในฐานะอัจฉริยะของสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ เขามีทักษะในเทคนิคการต่อสู้ชั้นยอดทุกชนิด ยิ่งไปกว่านั้น ระดับวรยุทธของเขาก็สูงกว่าอีกฝ่าย ดังนั้น ถ้าทั้งคู่ต่อสู้กันโดยใช้การดวลแบบทั่วไป เขาก็มั่นใจว่าตัวเองจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน


นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสอนเจ้าคนโอหังให้ได้รับบทเรียนและรู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสียบ้าง!


“ผมมั่นใจ คุณสำแดงกระบวนท่ามาได้เลย” จางเซวียนตอบอย่างวางมาด


โม่เอ๋อหัวเราะหึๆ นัยน์ตาของเขาฉายแววของความโหดร้าย “ได้เลยถ้าคุณต้องการ แต่ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ ผมจะลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด…”


เขาลดระดับความแข็งแกร่งลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา วรยุทธของโม่เอ๋อก็ลดลงไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด


หลังจากเสร็จสิ้น โม่เอ๋อก็กำหมัดแน่นและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน ตั้งใจจะสำแดงกระบวนท่าแรก


“โม่เอ๋อ ยั้งมือไว้บ้างนะตอนที่โจมตีเขา อย่าทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสจนเกินไป…” หนานกงหยวนเฟิงส่งโทรจิตหา


“ท่านอาจารย์วางใจเถอะ ผมเข้าใจแล้ว!” โม่เอ๋อส่งโทรจิตตอบขณะที่สลายตัวกลายเป็นลมหอบใหญ่ ร่างของเขาหายวับไปจากจุดนั้นทันที


“เขาอยู่ไหนน่ะ?”


“ทำไมจู่ๆถึงหายไปได้?”


ฝูงชนต่างส่งเสียงเซ็งแซ่


เห็นได้ชัดว่าโม่เอ๋อไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มที่ตอนที่สู้กับหลัวชวนฉิงก่อนหน้านี้ บางที อาจเป็นเพราะเขามองว่าจางเซวียนเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย จึงทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่มและหายวับไปจากเวที ทิ้งให้จางเซวียนยืนอยู่คนเดียวที่ใจกลางเวทีนั้น


“นี่คือศาสตร์แห่งมิติชนิดพิเศษ มันใช้การบิดเบี้ยวของมิติเพื่อสลายการมีอยู่ของคนคนหนึ่งจากพื้นที่โดยรอบ ทำให้สามารถปกปิดตัวเองได้” หลัวกั้นเจินมีสีหน้าเคร่งเครียด


อย่าว่าแต่หลัวชวนฉิงเลย ต่อให้ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะกระบวนท่านี้!


“ใช้การบิดเบี้ยวของมิติ?” หลัวชวนฉิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“แสงเดินทางเป็นเส้นตรง เช่นเดียวกับการมองเห็นของคนเรา อีกฝ่ายใช้คุณสมบัตินี้ของแสงบิดเบือนมิติที่อยู่รอบตัวเขา ทำให้พวกเรามองไม่เห็น แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะมันเป็นการบิดเบือนอย่างสมบูรณ์ของมิติ การรับรู้จิตวิญญาณของเราจึงใช้การไม่ได้ด้วย การควบคุมมิติในลักษณะนี้ต้องใช้พละกำลังมาก ทำให้ไม่อาจคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน แต่ในเมื่อการดวลสามารถตัดสินกันได้ภายในเสี้ยววินาที ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังหากใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม” หลัวกั้นเจินอธิบาย


“แบบนี้…ก็หมายความว่าอัจฉริยะของตระกูลเราไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยน่ะสิ?” หลัวชวนฉิงหน้าซีด


ถ้าหาตำแหน่งที่อยู่ของคู่ต่อสู้ไม่ได้ แล้วจะเอาชนะได้อย่างไร?


“โอกาสที่เราจะชนะมีน้อยมาก” หลัวกั้นเจินส่ายหน้าอย่างหม่นหมอง


ในตอนนั้นเอง ที่ใจกลางเวที หลัวเทียนหยาเลิกคิ้วอย่างหงุดหงิดขณะบ่นพึม “คุณจะกระโจนไปรอบๆเพื่ออะไรกันนี่? คุณทำให้ผมปวดหัวนะ!”


ทันทีที่พูดจบ เขาก็สะบัดฝ่ามือ แล้วตบไปที่กลางอากาศ


เพียะ!


เกิดเสียงเพียะจากการตบนั้น ร่างหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากพื้นที่ที่ดูเหมือนจะว่างเปล่า ร่างนั้นร่วงลงไปจากเวทีและกระอักเลือดออกมากองใหญ่ก่อนจะสลบไป


“โม่เอ๋อ!”


“ศิษย์น้องโม่!”


เห็นร่างงอหงิกที่สลบไสลอยู่กับพื้น หนานกงหยวนเฟิงกับลูกศิษย์อีก 3 คนต่างหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง


พวกเขายังแทบจับตำแหน่งของโม่เอ๋อไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายใช้เทคนิคนั้น แต่ชายวัยกลางคนไม่ได้ก้าวไปไหนสักก้าวเดียวด้วยซ้ำ แต่กลับสอยโม่เอ๋อกระเด็นได้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว…มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?


หลัวกั้นเจินก็พูดไม่ออกกับวีรกรรมนั้น


เขาเพิ่งพูดไปหยกๆว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้ชัยชนะมีน้อยมาก แต่จากนั้น ผู้เชี่ยวชาญของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ถูกสอยกระเด็นลงมา…หลัวเทียนหยาออกจะน่าสะพรึงไปหน่อยไหม?


ชายหนุ่มทั้ง 3 คนรีบเข้าไปป้อนยาให้โม่เอ๋อ ครู่ต่อมาอีกฝ่ายก็ค่อยๆฟื้นคืนสติ เขาเหม่อมองท้องฟ้าด้วยนัยน์ตาเลื่อนลอย ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว


แม้กระทั่งตอนนั้น โม่เอ๋อก็ยังไม่เข้าใจว่าชายวัยกลางคนหาตัวเขาพบและตบเขาให้กระเด็นออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวได้อย่างไร


“ท่านอาจารย์ ผมอยากดวลกับเขา!” รู้ดีว่าโม่เอ๋อได้รับความบอบช้ำและต้องการเวลาฟื้นตัว ชายหนุ่มคนหนึ่งจาก 3 คนที่เหลือประสานมือและคารวะ


“ได้สิ ออกไปเลย!” หนานกงหยวนเฟิงพูดขณะกำหมัดแน่น “หมอนั่นมีบางอย่างแปลกๆนะ ระวังตัวด้วย”


ตอนนี้ เขารู้ดีเกินกว่าที่จะสบประมาทชายวัยกลางคนอีกต่อไป


“ท่านอาจารย์วางใจเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้า


เขาหันไปมองจางเซวียน นัยน์ตาเปล่งประกายเย็นเยียบ “ผมขอท้าคุณดวล คุณจะรับคำท้าของผมไหม?”


“คุณ?” จางเซวียนเดาะลิ้นอย่างหมดความอดทนและส่ายหน้า “อย่างที่ผมบอก พวกคุณน่ะควรจะเข้ามาหาผมพร้อมกันทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะถูกผมซ้อม…เอาเถอะ ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ ผมให้เวลาคุณ 1 วินาที ทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ และผมจะไม่ตอบโต้เลย!”


1612 พละกำลังเต็มพิกัด

คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มโมโหเดือด ความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง ใบหน้าแดงก่ำจนดูเหมือนพร้อมระเบิดได้ทุกขณะ


เขารู้สึกว่าตัวเองคงจะโมโหจนขาดใจตายหากพูดอะไรออกไปอีกคำ


สำหรับคนที่มีวรยุทธระดับพวกเขา อย่าว่าแต่ 1 วินาทีเลย ต่อให้แค่ 1 ใน 10 ของ 1 วินาทีระหว่างการสู้รบก็เกินพอที่เขาจะสังหารใครสักคนได้แล้ว มาให้เวลาเขา 1 วินาทีให้เขาทำอะไรก็ได้ตามต้องการโดยจะไม่ตอบโต้ ช่างเป็นการแสดงความเมตตากรุณาเสียจริง!


“ผมไม่ต้องการ! ผมขอท้าให้คุณงัดทุกอย่างที่มีออกมา ขอผมดูพละกำลังเต็มพิกัดของคุณหน่อย!” ชายหนุ่มกัดฟันและคำรามกร้าว


“คุณแน่ใจนะ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ทำไมจะไม่แน่ใจล่ะ? ผมไม่ใช่โม่เอ๋อนี่ที่จะมีแต่เทคนิคการเคลื่อนไหว อย่าห่วงน่ะ ผมก็จะใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของผมเหมือนกัน เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าพวกเราจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ใช่คนที่ใครจะดูถูกเหยียดหยามได้!”


ฟิ้วววว!


ชายหนุ่มคำราม รังสีของเขาพุ่งออกมา แม้ระดับวรยุทธจะลดลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แต่รังสีของเขาก็ยังเทียบชั้นได้แม้แต่กับผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งทรงพลังและไม่มีผู้ใดทำลายล้างได้


“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเริ่มโจมตีละนะ!” ได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


“ตามสบายเลย ผมจะ…”


ชายหนุ่มเงื้อมือขึ้น ตั้งใจจะปล่อยพลังจากฝ่ามือ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีลำแสงวาบขึ้นตรงหน้าจนภาพที่เห็นดูพร่าเลือน จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบจากการถูกโจมตีเข้าที่หน้าอก


แคร่กกก!


กระดูกซี่โครงหลายซี่แตกละเอียด เขาถูกสอยกระเด็นไปไกล จากนั้นก็ตกลงมากระแทกพื้น และก็เหมือนกับโม่เอ๋อ สุดท้ายก็สลบเหมือด แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งร่างก็ยังบิดงอไม่หยุดราวกับยังคงทุกข์ทรมานจากแรงปะทะ


“คุณบอกผมเองนะว่าให้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ไม่ให้ยั้งมือ” จางเซวียนพูดขณะลดสายตาลงมองชายหนุ่มที่แน่นิ่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “พวกคุณทุกคนคงได้ยินแล้วว่าผมให้โอกาสเขาโจมตี 1 วินาที แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ผมคิดว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ให้ราคากับชื่อเสียงของตัวเองมากไปนะ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปหรอก เพราะมันอาจเสื่อมสลายไปได้ในไม่ช้า!”


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!” ได้ยินชายวัยกลางคนพูดจาโอหังหลังจากเล่นงานสหายของเขาจนสลบไป ชายหนุ่มอีก 2 คนที่เหลือคำรามกร้าว


ทั้งคู่ก้าวออกมาพร้อมกับกัดฟัน ตั้งใจจะฉีกชายที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ


ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีใครหน้าไหนในทวีปแห่งปรมาจารย์กล้าดูถูก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์!


ชายหนุ่มทั้งสองเข้ามายืนขนาบข้างจางเซวียน คนที่อยู่ด้านซ้ายคำรามก้อง “คุณคือหลัวเทียนหยาใช่ไหม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถ้าจะต้องดวลกับพวกเรา?”


หากสายตาฆ่าคนได้ จางเซวียนคงมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเพราะสายตาแผดเผาของพวกเขาแล้ว


“ไม่มีปัญหาหรอก แต่คุณทั้งคู่น่ะควรจะเข้ามาหาผมพร้อมๆกัน วิธีนี้จะทำให้เราประหยัดเวลาได้ ผมไม่รู้ว่าสำหรับคุณทั้งสองจะเป็นอย่างไร แต่เอาจริงๆนะ ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้ว!” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือด้วยความรำคาญ


“เหนื่อย?”


เหนื่อยบ้าเหนื่อยบออะไร! ทั้งหมดที่คุณทำลงไปก็แค่ตบกับเตะอย่างละครั้ง แล้วมาบอกว่าเหนื่อยหลังจากใช้พลังเพียงเท่านี้นี่นะ?


ชายหนุ่มทั้งสองอ้าปากค้าง


คุณสอยโม่เอ๋อกระเด็นไปด้วยหมัดเดียว และเล่นงานศิษย์น้องอีกคนหนึ่งของเราด้วยการเตะ…แล้วยังมีหน้ามาบ่นว่าตัวเองเหนื่อย?


อย่างน้อยก็ควรจะพูดจาให้มันมีสาระกว่านี้หน่อย?


“ไอ้ทีท่ายียวนกวนประสาทแบบนี้…ทำไมเราถึงรู้สึกคุ้นหูคุ้นตาเหลือเกิน?” หลัวชวนฉิงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปและหันกลับไปมองการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสาม


เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มทั้งสองแข็งแกร่งกว่า 2 คนที่ขึ้นมาก่อนหน้า และทั้งคู่จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่ไร้เทียมทานหากผนึกพละกำลังกัน ถึงเขาจะมั่นใจในตัวหลัวเทียนหยา แต่ก็อดกังวลไม่ได้


ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ดูเหมือนการต่อสู้พร้อมจะระเบิดขึ้นได้ทุกวินาที แต่ในตอนนั้นเอง เสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้นกลางอากาศ “คุณทั้งสองคนน่ะ ยืนอยู่ตรงนั้นก่อน!”


ชายหนุ่มทั้งคู่รีบหันกลับไป เห็นท่านอาจารย์ของพวกเขาลุกขึ้นยืนและกำลังมองมา


“ท่านอาจารย์…”


“สหายของเราคนนี้น่ะ ไม่เพียงแต่จะสำเร็จความเข้าใจเรื่องการสกัดกั้นมิติถึงขั้น 4, วรยุทธของเขายังเหนือชั้นด้วย คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะกล่าวว่าเขาเป็นผู้ไร้เทียมทานในระดับขั้นของเขา ต่อให้คุณทั้งคู่ผนึกกำลังกันโจมตี ก็มีโอกาสสูงที่คุณจะสู้เขาไม่ได้” หนานกงหยวนเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม


ถึงหมอนี่จะโผล่พรวดออกมาจากตระกูลหลัวโดยที่ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตาเขามาก่อน แต่พละกำลังของอีกฝ่ายก็ถือว่าน่าสะพรึงมาก


ลูกศิษย์ที่เขาพามานั้นล้วนได้รับการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนจากบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด เป็นกลุ่มคนชั้นสูงของสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ สามารถรับมือกับเหล่าปรมาจารย์และยอดขุนพลที่ปราดเปรื่องที่สุดได้อย่างง่ายดาย


แต่ทั้งคู่กลับมาพ่ายแพ้ยับเยินแบบนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของชายวัยกลางคนนั้น เรียกได้คำเดียวว่า – น่าสะพรึง!


ถึงลูกศิษย์อีก 2 คนที่เหลือของเขาจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่น่าจะรับมือกับชายวัยกลางคนได้


“แต่เขาดูถูกเหยียดหยาม 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นะ!” ได้ยินท่านอาจารย์คาดการณ์ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ ชายหนุ่มทั้งสองกำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิด


“ชื่อเสียงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์สั่งสมขึ้นจากพละกำลังของพวกเรา มันไม่เปราะบางถึงขนาดจะถูกทำลายเพียงเพราะคำดูถูกสองสามคำหรอก!” หนานกงหยวนเฟิงคำราม


จากนั้นเขาก็หันไปมองจางเซวียนอย่างเคร่งเครียดและพูดว่า “ผมรู้ว่ามันไม่เหมาะสมสำหรับชายชราอย่างผมที่จะท้าทายคุณ แต่ของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้มันมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรเท่าไหร่ก็ตาม ผมไม่อาจกลับไปมือเปล่าได้จริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องขออภัยคุณไว้ล่วงหน้า…”


บึ้มมมม!


รังสีอันทรงพลังระเบิดขึ้นสู่เมฆ ทำให้พื้นที่บริเวณโดยรอบดูบิดเบี้ยว ดูราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ก็อาจถูกทำลายได้จากพลังงานมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกไป


นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสูงสุด, ชั่วกัลปาวสาน!


เขาคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวที่จางเซวียนเจอก่อนหน้านี้


“ก็อย่างที่ผมพูดไปแล้ว พวกคุณทั้งห้าคนควรจะเข้ามาหาผมพร้อมกันทีเดียว เห็นไหมล่ะ? ลงท้ายมันก็ต้องเข้าอีหรอบนั้นอยู่ดี” จางเซวียนชำเลืองมองหนานกงหยวนเฟิงอย่างเฉยเมย


หากเป็นการดวลระหว่างผู้ที่มีระดับวรยุทธเดียวกัน ต่อให้หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็สู้เขาไม่ได้ ชายหนุ่มทั้ง 4 ไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็ยังห่างไกลนักที่จะเทียบชั้นกับจางเซวียน บางที หนานกงหยวนเฟิงคนนี้อาจจะทำให้เขาบันเทิงใจขึ้นบ้าง


“ก็ดี!” หนานกงหยวนเฟิงสูดหายใจลึกและกดข่มพลังงานในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา ระดับวรยุทธของเขาก็ลดลงจนเท่ากับจางเซวียน


ด้วยสถานภาพและความอาวุโสของหนานกงหยวนเฟิง ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างมากที่ตัวเขาจะมาท้าทายนักรบระดับเซียนขั้น 9


แต่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็เป็นของสำคัญสูงสุดสำหรับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ นี่เป็นภารกิจที่เบื้องบนมอบหมายให้ ซึ่งหากเขากลับไปมือเปล่า ต่อให้เขาจะเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ไม่อาจแบกรับผลกระทบที่จะตามมาได้


“เชิญเลย!” หนานกงหยวนเฟิงโบกมือเป็นสัญญาณให้จางเซวียนเริ่มการโจมตี


จากการดวลสองนัดก่อน เขาบอกได้ว่าทันทีที่เขาลดระดับวรยุทธ ก็คงยากที่จะเทียบชั้นกับชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ หากเขาอยากเอาชนะ ก็ต้องทุ่มเทให้สุดตัว แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็คือชายวัยกลางคนได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัดในการต่อสู้กับลูกศิษย์ทั้งสองคนของเขา


ด้วยความคิดนั้น หนานกงหยวนเฟิงประสานมือและพูดว่า “น้องเทียนหยา ผมมีคำขอข้อหนึ่ง ผมหวังว่าคุณจะสู้กับผมด้วยพละกำลังเต็มพิกัดของคุณ!”


“ด้วยพละกำลังเต็มพิกัดของผม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “คุณแน่ใจนะ?”


เขาไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัดด้วยซ้ำตอนที่สู้พร้อมกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร แล้วอีกฝ่ายจะต้านทานพละกำลังเต็มพิกัดของเขาได้จริงๆหรือ?


“แน่นอน! ผมเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อร่ง เพราะฉะนั้น ต่อให้พละกำลังของผมจะอ่อนด้อย ผมก็ยังต้องรักษาศักดิ์ศรี…หวังว่าคุณจะยอมทำตามคำขอของผม!” หนานกงหยวนเฟิงประสานมือ


ถ้าใครต่อใครรู้ว่าอาจารย์ของสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่, ทายาทของนักปราชญ์โบราณ เอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยที่ให้อีกฝ่ายออมมือให้ เขาคงไม่มีวันเชิดหน้ามองใครได้อีก แม้จะกลับสู่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แล้วก็ตาม


“เอ่อ…ได้สิ ผมจะทำตามคำขอของคุณ!” เห็นสีหน้าจริงจังของหนานกงหยวนเฟิง จางเซวียนพยักหน้า “จากนี้ไป ผมจะสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดละนะ…”


“ขอผมดูหน่อยว่าผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานอย่างคุณที่สำเร็จขั้น 4 ของกฎเกณฑ์แห่งมิติแล้วจะมีพละกำลังแค่ไหน” หนานกงหยวนเฟิงโบกมือขณะขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง


แต่ทันทีที่เขาพูดจบ ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ร้องออกมา “ท่านอาจารย์ ระวังด้วย!”


พลั่ก!


ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบโต้ หนานกงหยวนเฟิงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าโจมตีแผงอกของเขาพริบตาต่อมา ทัศนียภาพโดยรอบก็พุ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ตึกรามบ้านช่องของเมืองสวรรค์บังอันใหญ่โตหดเล็กลงจนเหมือนกับจุดดำเล็กๆ ก่อนที่จะหายวับไปจากสายตา


1613 ได้โปรดรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเราเถอะ!

ในตอนนั้นเองที่หนานกงหยวนเฟิงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเขาไร้พละกำลังแค่ไหน มีกระแสพลังงานที่ทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจตอบโต้ได้ ร่างของเขาแทบระเบิดจากพลังงานนั้น


เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป หนานกงหยวนเฟิงกระอักเลือดออกมากองใหญ่ รู้ดีว่าจะต้องตายแน่หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป จึงรีบปลดปล่อยการสกัดกั้นวรยุทธทันที


ฟึ่บ!


การพักฟื้นภายใน ร่างอันทรงเกียรติ แรงผลักดันสัญชาตญาณ…


ในชั่วพริบตา ระดับวรยุทธของเขาก็กลับคืนสู่ขั้นชั่วกัลปาวสาน และด้วยการขับเคลื่อนพลังปราณอย่างเต็มกำลัง ในที่สุดก็สามารถทรงตัวได้ แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดเผือดจากประสบการณ์เฉียดตายที่ได้รับไปเมื่อครู่


เขาเหลียวมองโดยรอบและพบว่าตัวเองอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย นี่เขากระเด็นออกมาไกลเกินกว่าอาณาเขตของดินแดนที่กว้างใหญ่อย่างเมืองสวรรค์บังของตระกูลหลัว ถึงขนาดที่เมืองนั้นหายลับไปจากสายตาเชียวหรือ?


“นี่…เรากระเด็นมาหลายหมื่นลี้เลยใช่ไหม?” หนานกงหยวนเฟิงคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหมือนกับมีลูกระเบิดลูกย่อมๆระเบิดโพละในสมอง


เมื่อครู่นี้เองที่เขาบอกอีกฝ่ายให้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด พูดตามตรง เขาเองก็เตรียมใจรับความพ่ายแพ้ไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะรวดเร็วและชัดเจนขนาดนี้!


พละกำลังที่เขาเพิ่งเผชิญนั้นอยู่ในระดับที่แม้แต่นักรบการพักฟื้นภายในซึ่งเข้าถึงระดับสูงสุดแล้วก็ยังไม่อาจต้านทานได้


“มันคือพละกำลังที่แท้จริงของเขาหรือ? ไม่แปลกใจแล้วที่หมอนั่นเรียกร้องให้เราทั้งห้าคนดวลกับเขาพร้อมๆกัน พวกเราสู้เขาไม่ได้จริงๆ!” หนานกงหยวนเฟิงอดตัวสั่นไม่ได้เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


หากเขาไม่ปลดปล่อยวรยุทธออกมาในช่วงเวลาคับขันและเรียกพละกำลังกลับคืนสู่ขั้นชั่วกัลปาวสาน เขาคงต้องแหลกเป็นชิ้นๆแน่


ที่สำคัญกว่านั้น หากอีกฝ่ายไม่ได้คิดเพียงแค่จะทำร้าย แต่จงใจจะฆ่าเขา ต่อให้ร่างกายของเขาจะเข้าถึงระดับของวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว แต่แรงปะทะนั้นก็คงจะทะลุทะลวงเข้าสู่ภายใน ทำให้เขาตายได้ในทันที…


น่าสะพรึงที่สุด!


ในโลกนี้มีนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดที่ทรงพลังขนาดนี้ด้วยหรือ?


ในแง่ของความปราดเปรื่อง ดูเหมือนเขาจะทัดเทียมได้แม้แต่กับขงซือเหยา…ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์! หนานกงหยวนเฟิงรำพึงอย่างอัศจรรย์ใจ


แค่หมัดเดียว ก็ชัดเจนแล้วว่าใครคือผู้ชนะ


ดูเหมือนเขาคงจะต้องได้รับโทษเมื่อกลับสู่สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่


แต่นั่นแหละ ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ แพ้ก็คือแพ้ ในฐานะทายาทของนักปราชญ์โบราณ เขาไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองและฉกฉวยของล้ำค่าจากตระกูลหลัวมาเพียงเพราะเขาพ่ายแพ้


“ช่างมันเถอะ ค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลัง!” หนานกงหยวนเฟิงถอนหายใจเฮือกขณะรีบมุ่งหน้ากลับตระกูลหลัว


…..


“คุณกลับมาเสียที!”


ทันทีที่หนานกงหยวนเฟิงกลับถึงจัตุรัสนั้น ก็เห็นหลัวเทียนหยากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของเขา มีหม้อร้อนควันขึ้นฉุยอยู่ตรงหน้า หลัวเทียนหยาถือตะเกียบคู่หนึ่งไว้ในมือ กำลังสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะกละตะกรามขณะพูดว่า “พวกเราเกิดหิวขึ้นมาระหว่างที่รอให้คุณกลับมาที่นี่ ก็เลยตัดสินใจหาอะไรกินก่อน คุณจะร่วมวงกับเราไหม?”


“…..” หนานกงหยวนเฟิงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอก


ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง!


ชัดเจนว่าหลัวเทียนหยาคนนี้จงใจนั่งกินอาหารดีๆเพื่อทำให้พวกเขาอับอาย


หากใครต่อใครรู้ว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เข้าท้าทายตระกูลหลัว แต่แล้วก็ถูกสอยกระเด็นไปไกลด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และในตอนที่พวกเขากลับมา ตระกูลหลัวก็พากันกินอาหารมื้อเย็นแล้ว…


ชื่อเสียงของพวกเขาคงป่นปี้ไม่มีเหลือ!


รู้ดีว่ามีแต่จะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้ามากขึ้นอีกหากยังอยู่ต่อ หนานกงหยวนเฟิงเก็บลูกข่างมิติเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขาและประสานมือ “ผม, หนานกงหยวนเฟิง, ยอมรับความพ่ายแพ้ ลาก่อน!”


จากนั้นเขาก็ร้องเรียกลูกศิษย์ทั้ง 4 “ไปกันเถอะ!”


หลังจากพูดจบ ทั้งกลุ่มก็ออกบินและหายวับไปในชั่วพริบตา


“ไปให้พ้นเลย…”


“นี่เราเพิ่งเอาชนะ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้ใช่ไหม?”


“เทียนหยาจงเจริญ!”


“เทียนหยา คุณทำให้ฉันหลงใหลใฝ่ฝันในตัวคุณ ฉันอยากมีลูกกับคุณ!”


“นับจากนี้ไป เทียนหยาคือต้นแบบของผม ผมจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้เป็นได้แบบเขา…”


…..


เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงเซ็งแซ่จะดังอื้ออึงไปทั่วตระกูลหลัว


ทุกคนคิดว่าตระกูลหลัวคงจะต้องอับอายขายหน้าเหมือนอย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อคู่ต่อสู้ของพวกเขามาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ใครจะไปคิดว่าหลัวเทียนหยาเพียงคนเดียวจะพลิกผันสถานการณ์และกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนสู่ตระกูลหลัวได้สำเร็จ?


ในชั่วพริบตา จากคนคนหนึ่งซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักหรือได้ยินชื่อ หลัวเทียนหยากลับกลายเป็นผู้ที่ได้รับความยกย่องและเคารพมากที่สุดในตระกูลหลัว เป็นต้นแบบของทั้งผู้อาวุโสและคนรุ่นเยาว์


“เอ่อ…” เห็นสีหน้าตื่นเต้นและแช่มชื่นของเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวที่อยู่รอบตัวเขา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


การที่เขาปฏิเสธการหมั้นหมายกับตระกูลหลัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่กับชื่อเสียงของตระกูลหลัว ยังสร้างความแตกแยกด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะช่วยให้พวกเขาฟื้นคืนจากความบอบช้ำและกลับรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง


“น้องเทียนหยา ผมขอขอบคุณแทนพวกเราทั้งตระกูลที่คุณช่วยปกป้องพวกเราไว้จากการเสื่อมเสียเกียรติครั้งนี้” หลัวกั้นเจินพูดขณะเดินไปยังใจกลางเวที


เขาโบกมือ แล้วดาบของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็ลอยเข้าสู่มือของเขา เขามอบมันให้จางเซวียน “นี่คือเดิมพันที่หนานกงหยวนเฟิงให้ไว้ ในบรรดาทั้งตระกูลหลัว ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าของมันมากไปกว่าคุณอีกแล้ว!”


จางเซวียนถึงกับผงะกับความใจกว้างของหลัวกั้นเจิน


พูดตามตรง เขาช่วยเหลือตระกูลหลัวก็เพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจ จึงไม่คาดหวังว่าจะต้องได้อะไรตอบแทน จึงรีบโบกมือและพูดว่า “นี่เป็นความรับผิดชอบของผมในฐานะทายาทตระกูลหลัว ดาบนี้เป็นของตระกูลหลัว ผมไม่ควรล้ำเส้น…”


“ไม่ต้องมีพิธีรีตองไปหรอก, น้องเทียนหยา คุณได้ช่วยเหลือทั้งตระกูลของเราไว้และทำให้พวกเรารวมกันเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง คุณเป็นเพียงคนเดียวในหมู่พวกเราที่คู่ควรกับการได้รับดาบนี้” หลัวชิงเฉินยืนกรานพร้อมกับยิ้มให้


“เอ่อ…” เห็นสายตาจริงจังที่อีกฝ่ายจ้องมองเขา จางเซวียนรู้ทันทีว่าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่พยักหน้าและรับดาบมา “ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น ผมก็จะรับไว้ละนะ”


เขาเป็นเจ้าของหอกสวรรค์กระดูกมังกร จึงไม่สนใจดาบของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไร เขาก็สามารถส่งคืนมันกลับสู่คลังสมบัติของตระกูลหลัวได้ในภายหลัง หรือไม่…ก็คงจะเป็นอาวุธที่ดีสำหรับจ้าวหย่าเมื่อเขาช่วยเหลือเธอกลับมาได้สำเร็จ


หลัวกั้นเจินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นจางเซวียนรับดาบไป เขาตั้งคำถาม “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผู้ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษก่อนหน้านี้ก็คือคุณใช่ไหม?”


“การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษ?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความสงสัย


“คุณมาจากครอบครัวสาขา ก็ไม่แปลกหรอกที่จะไม่รู้เรื่องนี้ ตระกูลหลัวของเราก่อตั้งขึ้นจากแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ ซึ่งหากใครสักคนในโลกใบนี้สำเร็จวิชาแก่นสารแห่งมิติ เขาก็จะได้การยอมรับจากผู้ก่อตั้งและทำให้บรรดาบรรพบุรุษของเรายอมจำนน” หลัวกั้นเจินอธิบาย


“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นผม” จางเซวียนตาโตเมื่อนึกได้


หลังจากที่ออกจากตระกูลหลัวไปในวันนั้น เขาก็เดินทางไปยังภูเขาห้วยขาวพร้อมกับหลัวลั่วชิง ในเมื่อปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษเกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลานั้น และเกี่ยวข้องกับการสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเพราะเขา


“ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ ทำให้คุณมีความชอบธรรมที่จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว!” หลัวกั้นเจินพูดก่อนจะรีบประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม “น้องเทียนหยา ผมหวังว่าคุณจะนำพาตระกูลหลัวของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด!”


“อะไรนะ? คุณต้องการให้ผมเป็นหัวหน้าตระกูล? ไม่ ไม่ได้หรอก จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?” จางเซวียนกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พอดีกับที่ได้ยินอีกฝ่ายขอร้องให้เขารับตำแหน่งหัวหน้าตะกูลหลัว เขาถึงกับกระโดดหนีด้วยความพรั่นพรึง


เขาไม่ได้เป็นสมาชิกตระกูลหลัวด้วยซ้ำ จะเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขาได้อย่างไร?


“ตระกูลหลัวเพิ่งเผชิญหน้ากับการถูกเหยียดหยามครั้งร้ายแรงที่สุดตลอดประวัติศาสตร์หลายหมื่นปีของพวกเรา เจ้าทายาทน้อยแห่งตระกูลจางยกเลิกงานหมั้นกับตระกูลของเราต่อหน้ากลุ่มอำนาจชั้นนำมากมายของทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำลายศักดิ์ศรีของเราจนป่นปี้ไม่มีเหลือ คุณเป็นเพียงคนเดียวที่มีเกียรติและเก่งกาจพอที่จะทำให้ตระกูลหลัวของเรารวมกันเป็นหนึ่ง รวมทั้งเรียกความมั่นใจกลับคืนให้เราอีกครั้ง ได้โปรดพาตระกูลหลัวของเราไปสู่ความยิ่งใหญ่ด้วยเถิด!” หลัวกั้นเจินโค้งคำนับจนแทบจะขนานกับพื้น แสดงการร้องขออย่างจริงใจ


“ได้โปรดเป็นผู้นำตระกูลของเราเถอะ!”


หลัวชิงเฉินกับผู้อาวุโสคนอื่นๆประสานเสียงกับหลัวกั้นเจินและพากันโค้งคำนับอย่างงาม


“เอ่อ…” จางเซวียนหวิดจะคลุ้มคลั่ง


เขามาที่นี่เพื่อชดเชยความผิดที่ตัวเองเคยทำไว้กับตระกูลหลัว ไม่ได้มาเพื่อเป็นหัวหน้าตระกูล…


นี่มันบ้าบออะไร?


เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไรกัน?


ความยุติธรรมและความชอบธรรมของโลกนี้อยู่ที่ไหน?


มันเป็นความผิดของเราหรือที่มีทั้งความโดดเด่นและน่าสนใจขนาดนี้?


ถ้าเรารู้ล่วงหน้า เราจะทำตัวแบบธรรมดา ว่าแต่…ไอ้ทำตัวธรรมดานี่มันทำอย่างไร?


เป็นความผิดของเราใช่ไหมที่ไม่รู้ว่าแบบไหนเรียกว่าธรรมดา?


ได้โปรดเถอะ ใครก็ได้ ช่วยพาเราออกจากสถานการณ์นี้ที…


ทำไมการทำตัวธรรมดามันถึงได้ยากนัก?


1614 จางเซวียนมาจากตระกูลหลัว?

ด้วยความจนปัญญา จางเซวียนเหลียวซ้ายแลขวามองหาหลัวลั่วชิงท่ามกลางฝูงชน เห็นเธอเอาแต่ส่งยิ้มสดใสพร้อมกับแสดงกิริยาไม่รู้ไม่ชี้ใส่ ราวกับกำลังพูดว่า ‘คุณก่อเรื่องเอง ก็แก้ไขเองก็แล้วกัน ทำอะไรไว้ก็ได้แบบนั้นแหละ’


จางเซวียนรู้ทันทีว่าคงพึ่งพาเธอให้ช่วยฉุดเขาออกจากปัญหาครั้งนี้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับหลัวกั้นเจินและผู้อาวุโสคนอื่นๆตามลำพัง


“ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ แต่…ผมเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี เกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล”


“น้องเทียนหยา ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณกังวลล่ะก็ ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย คุณปล่อยกิจธุระเบ็ดเตล็ดต่างๆไว้ให้เป็นภาระของผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉินกับผมก็ได้ ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือเรียกรวมพลสมาชิกตระกูลหลัวของเราในยามคับขัน ส่วนเวลาที่เหลือ คุณก็สามารถออกไปท่องโลกได้อย่างอิสระเสรี หรือจะปลีกวิเวกก็ได้หากคุณต้องการ” หลัวกั้นเจินรีบตอบ


การถูกตระกูลจางปฏิเสธทำให้ตระกูลหลัวเสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาก ในช่วงเวลาแบบนี้ พวกเขาต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ที่สามารถชักนำเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวให้มั่นใจว่าตระกูลหลัวยังแข็งแกร่งและไม่ได้ตกต่ำ!


ในเมื่อหลัวเทียนหยาสามารถเอาชนะได้แม้แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ หากเขาได้เป็นหัวหน้าตระกูลหลัว ก็คงจะสามารถเรียกชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับคืนมา และทำให้ทั้งโลกได้รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่ใครจะมารังแกได้!


ในเวลาเดียวกัน โลกก็จะได้รู้ด้วยว่าพวกตระกูลจางโง่เง่าแค่ไหนที่หันหลังให้พวกเขา


“ผม…” เมื่อเห็นว่าไม่มีทางปฏิเสธ จางเซวียนจึงจำเป็นต้องหงายไพ่ใบสุดท้าย “ถึงผมจะใช้แซ่หลัว แต่ผมก็เป็นสมาชิกของครอบครัวที่ห่างไกลมาก สายเลือดตระกูลหลัวของผมเบาบางเสียจนแทบไม่อาจตรวจจับได้ด้วยซ้ำ ผมเกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมหากผมขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล…”


“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เช่นกัน ผู้อาวุโสที่ 1, นำอ่างตรวจสอบเลือดมา” หลัวกั้นเจินสั่งการก่อนจะหันกลับมาพูดกับจางเซวียน “น้องเทียนหยา ถ้าไม่รบกวนคุณเกินไป พวกเราขอตรวจสอบสายเลือดของคุณนะ”


“ตรวจสอบสายเลือดของผม?” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ “ถ้าความบริสุทธิ์ของสายเลือดของผมต่ำเกินไปล่ะก็ ผมคงต้องขอร้องคุณว่าอย่าขอให้ผมขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลหลัวอีกเลย!”


ในเมื่อเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหลัว การตรวจสอบสายเลือดก็จะต้องลงเอยด้วยผลเป็นลบ ซึ่งจากผลที่ได้ เขาก็จะมีเหตุผลที่เหมาะสมในการปฏิเสธคำขอของหลัวกั้นเจิน


หลัวกั้นเจินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “เอาอย่างนั้นก็ได้!”


ถ้าสายเลือดตระกูลหลัวของชายวัยกลางคนผู้นี้เบาบางเกินไป เขาก็จะให้อีกฝ่ายแต่งงานกับลูกสาวของเขาเพื่อเพิ่มสายเลือดตระกูลหลัวให้เข้มข้นขึ้น


ในอีกแง่หนึ่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติก็จะต้องขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล ลำพังแค่บุคคลที่สามารถคลี่คลายศาสตร์ลับของมรดกตกทอดของตระกูลหลัวก็เพียงพอที่จะนำพาตระกูลหลัวขึ้นจากความตกต่ำแล้ว


เมื่อได้ฟังคำสั่งของหลัวกั้นเจิน ผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉินก็รีบจากไป และไม่ช้าก็กลับมา


ด้วยการสะบัดข้อมือ สิ่งที่มีลักษณะคล้ายเข็มทิศก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันลอยอย่างเงียบเชียบอยู่ที่ใจกลางเวที


“นี่คืออ่างตรวจสอบเลือด มันใช้ประเมินระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดตระกูลหลัวภายในตัวนักรบ ทั้งหมดมี 10 ระดับ แต่ละระดับประกอบด้วยความบริสุทธิ์ 1 ใน 10 ของสายเลือดของผู้ก่อตั้ง หรือพูดอีกอย่างก็คือ ‘1’ หมายถึงนักรบผู้นั้นมีสายเลือดเพียง 1 ใน 10 ของผู้ก่อตั้ง ส่วน ‘10’ ก็หมายถึงนักรบผู้นั้นมีสายเลือดที่เทียบเท่ากับผู้ก่อตั้งเลยทีเดียว! สมาชิกตระกูลหลัวคนหนึ่งจะต้องมีความบริสุทธิ์ของสายเลือดอย่างน้อย ‘3’ ถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอได้เป็นสมาชิกฝ่ายใน หากได้ ‘1’ ก็ถือว่าเป็นสมาชิกทั่วไป และหากต่ำกว่านั้น ก็จะถูกตัดออกไปเป็นครอบครัวสาขา” หลัวชิงเฉินอธิบาย


เขาเงยหน้าขึ้นมองจางเซวียนด้วยแววตาคาดหวัง “น้องเทียนหยา ถึงคุณจะมาจากครอบครัวสาขา แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิตินั้นก็บ่งบอกแล้วว่าความปราดเปรื่องของคุณสูงส่งอย่างไม่มีใครเทียบ ขอแค่สายเลือดของคุณผ่านระดับ ‘1’ ไปได้ คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเราแล้ว จะไม่มีใครในตระกูลหลัวกล้าคัดค้านเรื่องนี้เลย!”


“สูงกว่า ‘1’?” จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าจะมีการแบ่งชั้นของสายเลือดภายในตระกูลแบบนี้ มันเหมือนกับของล้ำค่าที่บ่งบอกว่าเขาเป็นทายาทน้อยผู้ไร้เทียมทานของตระกูลจางตั้งแต่เขายังไม่เกิดมา


เมื่อลองคิดดู ในตอนนั้น สายเลือดตระกูลจางของเขาอาจจะอยู่ที่ระดับ ‘8’ ‘9’ หรือ ‘10’ ก็ได้!


“ใช่แล้ว! น้องเทียนหยา คุณแค่ต้องหยดเลือดลงไปหยดหนึ่งในอ่างตรวจสอบเลือด แล้วเข็มทิศก็จะแสดงผลออกมาทันที” หลัวชิงเฉินพูด


“อย่างนั้นก็ได้ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าถึงอย่างไรสายเลือดของผมก็เบาบางมาก ผมหวังว่าพวกคุณคงจะไม่หยิบยกเรื่องการรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลขึ้นมาอีกหลังจากผมผ่านการทดสอบนี้แล้ว!” จางเซวียนพูด


ในฐานะทายาทตระกูลจาง สายเลือดของเขาย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรให้เขาต้องกังวล


จางเซวียนหยดเลือดของเขาหยดหนึ่งลงไปในอ่างตรวจสอบเลือด มันดำดิ่งลงไปที่ใจกลาง


วิ้ง!


เกิดเสียงหวีดหวิวเบาๆขึ้นกลางอากาศ แล้วหยดเลือดนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟ ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นจากพลังงานบางอย่าง เข็มทิศหมุนติ้วอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


ฟึ่บ!


ครู่ต่อมา มันก็หยุดกึก ตัวเลขที่เข็มชี้ไปคือ ‘9’!


“จะเป็น 9 ได้อย่างไร? อ่างตรวจสอบเลือดจะต้องทำงานผิดพลาดแน่!” ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจของจางเซวียน เขาแทบเสียสติกับผลลัพธ์อันเหลวไหลนั้น


เขาเป็นทายาทตระกูลจางนะ จะมีสายเลือดตระกูลหลัวได้อย่างไร…แถมยังบริสุทธิ์ขนาดนี้ด้วย?


หรือว่า…เซียนดาบชิงเหมิงทำอะไรผิดพลาด? แต่เลือดของเขาก็หลอมรวมเข้ากับเลือดของเซียนดาบเหมิงได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่! รอเดี๋ยว…เขาได้ตรวจสอบสายเลือดตระกูลจางในตัวเขาแล้ว และไม่มีร่องรอยของมันอยู่เลย นั่นหมายความว่า…


เกิดระเบิดย่อมๆขึ้นในหัวสมองของจางเซวียน ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก


ขณะที่จางเซวียนยังคงจังงังกับผลที่ออกมา ทั้งหลัวกั้นเจิน หลัวชิงเฉินและคนอื่นๆต่างก็ยืนอึ้ง ความยินดีปรีดาอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้เข้าครอบงำทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความดีใจ หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงสถานภาพของตัวเอง ก็คงจะกระโดดโลดเต้นด้วยความลิงโลดไปแล้ว!


ความบริสุทธิ์ของสายเลือดระดับ ‘9’…หมายความว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้เป็นแค่สมาชิกตระกูลหลัว แต่เป็นสมาชิกหลักของตระกูลที่มีความสำคัญมากกว่าพวกเขาเสียอีก!


ไม่แปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ หรือต่อให้เขาทำไม่ได้ ลำพังแค่ความบริสุทธิ์ของสายเลือดก็ทำให้เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไปแล้ว


รู้ดีว่านี่คือโอกาสที่จะเดินหมากขั้นต่อไป หลัวกั้นเจินประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม “คารวะหัวหน้าตระกูลหลัว!”


ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็เข้าใจเจตนาของหลัวกั้นเจินอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบโค้งคำนับ “คารวะหัวหน้าตระกูลของพวกเรา!”


ก่อนหน้านี้ พวกเขากดดันหลัวเทียนหยาให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเพราะไม่มีทางเลือก แต่หลังจากได้เห็นความบริสุทธิ์ของสายเลือดของอีกฝ่าย ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ชายวัยกลางคนผู้นี้หลุดมือไปได้


พวกเขาจับจ้องจางเซวียนตาเป็นมัน ราวกับเสือร้ายที่พบเหยื่อ


“ผม…ผมมาจากครอบครัวสาขาจริงๆ ไม่มีทางมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกคุณ…” จางเซวียนประท้วงอย่างจนปัญญา


เมื่อคิดได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คงจะอึ้งตะลึงกับสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน หลัวกั้นเจินอธิบายพร้อมกับยิ้มให้ “น้องเทียนหยา อย่าถ่อมตัวไปเลย มรดกตกทอดของสายเลือดตระกูลหลัวของเราอาจถูกส่งต่อโดยบังเอิญ ผู้ที่มาจากครอบครัวหลักอาจให้กำเนิดทายาทที่มีสายเลือดตระกูลหลัวเบาบางได้ เช่นเดียวกัน นานทีปีหนก็จะมีทายาทจากครอบครัวสาขาที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าทายาทจากครอบครัวหลักเสียอีก ทำให้เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้น”


“ก็เพราะเหตุนี้ ทางตระกูลจึงได้จัดการตรวจสอบสายเลือดของทายาททุกคนในตระกูลหลัว ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากครอบครัวหลักหรือครอบครัวสาขา คุณอาจมาจากครอบครัวสาขาก็จริง แต่ลำพังแค่ความบริสุทธิ์ของสายเลือดของคุณ คุณก็มีคุณสมบัติเกินพอที่จะได้กลับสู่ครอบครัวหลักและขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไปของพวกเราแล้ว!”


ก็คงจะไม่เรียกว่าผิดพลาดเสียทีเดียวหากจะพูดว่ามรดกตกทอดของสายเลือดนั้นเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแบบสุ่มได้


อันที่จริง ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลหลัว ก็มีหลายกรณีที่สายเลือดในครอบครัวหลักต้องเสื่อมไป และใครบางคนจากครอบครัวสาขาได้ยกระดับสายเลือดขึ้นแทน


ถึงตระกูลหลัวจะตรวจสอบสายเลือดของทายาททุกคนที่เกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัวหลักหรือครอบครัวสาขา แต่ก็ย่อมมีการตกหล่นไปบ้าง โดยเฉพาะเมื่อตระกูลได้ขยายขนาดออกไปมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่ทายาทซึ่งเติบโตมาจากครอบครัวสาขาได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาครอบครองสายเลือดตระกูลหลัวที่มีความบริสุทธิ์อย่างน่าทึ่ง ดังนั้น หลัวกั้นเจินกับคนอื่นๆจึงไม่ได้แปลกใจอะไรมากมายกับเรื่องนี้


“น้องเทียนหยา ผมขอวิงวอนให้คุณขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลัวของพวกเราเพื่อความยิ่งใหญ่! สายเลือดของคุณถือเป็นหนึ่งในสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลัวของเรา แถมคุณก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติด้วย ไม่มีใครที่จะคู่ควรกับตำแหน่งนี้ยิ่งกว่าคุณอีกแล้ว!”


“ตระกูลหลัวของเราเพิ่งเผชิญกับความตกต่ำอย่างรุนแรง ในช่วงเวลาแบบนี้ เราต้องการผู้นำผู้ทรงพลังอย่างคุณที่สามารถปลุกใจทุกคนได้”


“มีแต่คุณคนเดียวที่จะรวมพวกเราให้เป็นหนึ่งได้อีกครั้ง!”


“หากคุณไม่ยอมตกลงล่ะก็ ตระกูลหลัวของเราจะต้องเสื่อมลงไปอีก”


เหล่าผู้อาวุโสพากันวิงวอน เพิ่มความกดดันให้กับชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า


เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้น จางเซวียนแทบจะทึ้งผมด้วยความคลุ้มคลั่ง


เขาตอบตกลงยอมรับการตรวจสอบเลือดก็เพื่อจะอ้างความชอบธรรมในการปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว ใครจะไปคิดว่าลงท้ายจะกลายเป็นการต้อนตัวเองให้จนมุม?


หลังจากที่พอจะระงับสติอารมณ์ได้ จางเซวียนก็สูดหายใจลึกและพูดว่า “ผม…พูดตามตรงกับพวกคุณนะ เหตุผลที่ผมมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจะถ่ายทอดการฝึกฝนวรยุทธเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้กับพวกคุณทุกคน ผมไม่ได้มาเพื่อแสวงหาเกียรติยศหรืออำนาจ…”


ฟึ่บ!


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เข่าคู่หนึ่งก็ทรุดลงกับพื้น หลัวชวนฉิงกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น


“หลัวชวนฉิงคารวะท่านอาจารย์!”


“ฮะ?”


จางเซวียนถึงกับใบ้กิน


คุณบอกว่าผมทำอะไรรวดเร็วพรวดพราด แต่คุณไม่ใช่หรือที่พรวดพราดยิ่งกว่าผมเสียอีก? จู่ๆก็มารับผมเป็นอาจารย์ แบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ?


1615 ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลอีกครั้ง

จางเซวียนถึงกับจังงัง


เขารีบสลัดตัวเองออกจากภวังค์และเดินเข้าไปฉุดแขนของหลัวชวนฉิง พยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก คุณถือเอาผมเป็นมิตรสหายคนหนึ่งก็ได้…”


พูดตามตรง ถึงความหุนหันพลันแล่นของหลัวชวนฉิงจะทำให้เขาต้องปวดหัวหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ชื่นชอบความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย น่าเสียดายที่หลัวชวนฉิงไม่ได้เป็นพี่ชายของว่าที่ภรรยาของเขา แต่ถึงอย่างนั้น ความประทับใจที่จางเซวียนมีให้อีกฝ่ายก็ยังคงเป็นความรู้สึกที่ดี


ผมเห็นคุณเป็นเหมือนพี่ชาย แต่คุณกลับอยากเป็นลูกศิษย์ของผมเสียนี่…


“เจ้าจางเซวียนจากตระกูลจางทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวและเหยียบย่ำหัวใจน้องสาวของผม ผมจะไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่เขาทำ! ผมรู้ดีว่าด้วยขีดจำกัดของความสามารถของผม ผมไม่มีทางสู้ตัวต่อตัวกับเขาได้ จึงอยากขอให้คุณถ่ายทอดเคล็ดวิชาการทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติให้ผมด้วย! หลังจากที่ผมเชี่ยวชาญแล้ว ผมก็จะไปล้างแค้นและสังหารไอ้สารเลวนั่น!” หลัวชวนฉิงประกาศพร้อมกับกัดฟันกรอด ยังยืนกรานที่จะไม่ยอมลุกขึ้น


“….” จางเซวียนเซไปเล็กน้อยขณะที่รู้สึกจนปัญญา เขาหัวหมุนจนทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่สูดหายใจลึกและพยายามปลอบชายหนุ่มผู้หุนหันพลันแล่น “เอ่อ…คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จางเซวียนเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น?”


ผมเห็นคุณเป็นพี่ชาย แต่ไม่เพียงคุณจะอยากเป็นลูกศิษย์ของผม ยังตั้งใจจะใช้ทักษะที่คุณหวังจะเล่าเรียนจากผมไปสังหารตัวผมด้วย! นี่ชาติก่อนเราทำอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้?


“เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แต่เขาก็เหยียบย่ำหัวใจน้องสาวของผม แล้วทอดทิ้งเธอกลางคันระหว่างพิธีหมั้น! เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แต่เขาก็ทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวและเหยียดหยามเกียรติยศของเราจนป่นปี้ ราวกับมันเป็นฝุ่นผงที่ไร้ค่า!” หลัวชวนฉิงเงยหน้าขึ้นขณะระบายความแค้นเคืองออกมา “ผู้อาวุโส ผมขอวิงวอนคุณให้ช่วยผมล้างแค้นด้วย ขอแค่คุณเต็มใจรับผมเป็นศิษย์ ผมจะอุทิศทั้งชีวิตของผมเพื่อรับใช้คุณหลังจากที่ผมได้ล้างแค้นแล้ว!”


“คือ…” จางเซวียนไม่รู้จริงๆว่าควรจะพูดอะไร


ถ้าเขารู้เสียก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ จะไม่มีวันเดินทางมาตระกูลหลัวเลย เขารนหาที่เองแท้ๆ!


การที่เราจะถูกกดดันให้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สหายเพียงคนเดียวของเราก็กลับหมายมั่นจะเป็นลูกศิษย์ของเราให้ได้ และแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เขาอยากทำอย่างนั้นก็คือเพื่อจะได้สังหารเราอย่างเลือดเย็น…


แล้วผมควรทำอย่างไร? ควรสอนคุณดีไหม?


จางเซวียนจนปัญญาโดยสิ้นเชิงกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ เขาส่งสายตาวิงวอนใส่หลัวลั่วชิงเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่สาวน้อยก็มองเขาด้วยรอยยิ้มของคนที่เข้าใจเหตุการณ์ดี ราวกับเธอรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น


จางเซวียนส่งโทรจิตถามหลัวลั่วชิง “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมจะต้องถูกทดสอบสายเลือดตระกูลหลัว? เดี๋ยวก่อน…มันเป็นผลจากเครื่องรางที่ใช้ปลอมตัวของคุณหรือเปล่า?”


ถึงก่อนหน้านี้เขาจะยังสงสัย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องราวในอดีตของเขาตรงกันกับเรื่องของทายาทน้อยแห่งตระกูลจาง และความสามารถของเขาในการปลุกสายเลือดตระกูลจาง…ก็มากเกินพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าตัวเขามาจากตระกูลจาง


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ที่เขาพอจะนึกออกว่าทำไมอ่างตรวจสอบเลือดจึงปรากฏตัวเลข ‘9’ ก็คือเครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขา!


“ใช่ เครื่องรางนั้นมาจากการรวมตัวของพลังปราณอันเข้มข้นของเหล่านักรบที่มีสภาวะพิเศษ ไม่เพียงแต่จะสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกและรังสีของผู้นั้น ยังสามารถบิดเบือนสายเลือดได้ด้วย ถึงขนาดที่แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็ไม่สามารถตรวจจับได้ อีกอย่าง ในเมื่อคุณสำเร็จเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ หากคุณสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณด้วย สายเลือดที่คุณถ่ายทอดให้กับทายาทของคุณก็จะมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับสายเลือดตระกูลหลัว ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ผลทดสอบของอ่างตรวจสอบเลือดจะแสดงตัวเลข ‘9’” หลัวลั่วชิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ฮะ…” จางเซวียนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำอธิบายนั้น


ลงท้าย ความผิดพลาดก็อยู่ที่เครื่องรางแห่งการปลอมตัว ถ้าเขารู้เสียก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ จะไม่มีวันใช้มันเลย!


เพียงแต่…ก็แค่เขาไม่คิดว่าเครื่องรางจะสามารถบิดเบือนสายเลือดได้ด้วย การที่เครื่องรางมีคุณสมบัตินี้ ก็หมายความว่าผู้นั้นจะสามารถปลอมแปลงตัวเองได้อย่างลึกซึ้งและแนบเนียนที่สุด!


ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเครื่องรางชนิดนี้มาก่อนนะ?


เห็นสีหน้าของจางเซวียนบ่งบอกอารมณ์ที่หลากหลาย หลัวกั้นเจินคิดว่าชายวัยกลางคนกำลังพยายามจะปฏิเสธพวกเขาอีก จึงรีบโค้งคำนับอย่างงามและรุกเร้า “น้องเทียนหยา ได้โปรดอย่าปฏิเสธอีกเลย ตระกูลหลัวของพวกเราต้องการหัวหน้าตระกูลผู้ทรงพลังที่จะนำพาเราผ่านช่วงเวลาคับขันนี้ไปให้ได้”


“ไม่ใช่ว่าผมไม่เต็มใจ แต่ผมไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว!” จางเซวียนถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “ขอเวลาผมสักนิดเถอะ ให้ผมได้ปรึกษากับภรรยาของผมก่อน”


จริงๆเลยนะ หลัวลั่วชิงควรจะบอกเขาสักนิดว่าเครื่องรางแห่งการปลอมตัวมีอานุภาพแบบนี้ด้วย เขาจะไม่มีวันยอมเข้ารับการทดสอบสายเลือดเลยหากรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นแบบนี้


ในเมื่อมันเป็นความผิดของเธอส่วนหนึ่ง เธอก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้หากเขาจะใช้เธอเป็นข้ออ้าง


ได้ยินว่าชายวัยกลางคนกำลังจะปรึกษาภรรยา หลัวกั้นเจินแสดงอาการประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะถามว่า “อ้อ? น้องสะใภ้ของเรามาด้วยหรือ?”


“ใช่” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มกว้างขณะเรียกใครคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน “หลิงชี มานี่เถอะ”


“…..”


หลัวลั่วชิงไม่คิดว่าจางเซวียนจะโยนต่อให้เธอรับลูก ขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองมา เธอก็รู้ตัวว่าไม่อาจเฝ้ามองดราม่าครั้งนี้ในฐานะผู้ชมได้อีกต่อไป เธอถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็กระโจนขึ้นไปบนเวที


“รองหัวหน้าหลัว ผมไม่ได้คิดจะกระด้างกระเดื่องนะ แต่พละกำลังและอำนาจไม่ได้มีความหมายกับตัวผมและภรรยาเลย เราสองคนได้ปฏิญาณเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตของเราท่องโลกอย่างอิสระเสรี ดังนั้น…ผมเกรงว่าคงจะต้องปฏิเสธความปรารถนาดีของคุณ!”


จางเซวียนจับมือหลัวลั่วชิงไว้แน่น เขาส่งโทรจิตหาเธอ “ลั่วชิง ช่วยผมปฏิเสธเขาด้วย”


เมื่อถูกจับมือต่อหน้าฝูงชนมากมาย หลัวลั่วชิงหน้าแดงเรื่อ เธอส่งสายตาเชือดเฉือนใส่จางเซวียนก่อนจะหันไปมองหลัวกั้นเจิน “ในเมื่อสามีของฉันขอความเห็น ฉันก็จะขอพูดถึงเรื่องนี้ อันที่จริง…ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ที่เทียนหยาจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล!”


“ฮะ?” จางเซวียนตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นัยน์ตาของเขาแทบปะทุออกมา


เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้นี่!


จำบทด้วยสิ บทน่ะ! นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาพลิกแพลงอะไรนะ!


“แต่สามีของฉันปรารถนาที่จะอุทิศชีวิตให้กับการฝึกฝนวรยุทธ ดังนั้นเขาคงไม่มีเวลาที่จะจัดการเรื่องราวต่างๆในตระกูลหลัว อีกอย่าง จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อถ่ายทอดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้กับสมาชิกตระกูลหลัว เพื่อจะได้เรียกคืนเกียรติยศและศักดิ์ศรีจากการถูกตระกูลจางปฏิเสธเท่านั้น…หากรองหัวหน้าหลัวยอมรับสิ่งนี้ได้ ฉันก็ไม่คิดว่าการที่เทียนหยาจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจะเป็นเรื่องใหญ่” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับพยักหน้า


เมื่อเริ่มมีความหวัง หลัวกั้นเจินก็คว้าไว้ทันที “ได้สิ ได้เลย! ผมไม่มีปัญหากับเรื่องนั้นหรอก”


ในตอนแรก พวกเขาได้ให้สัญญาว่าจะรับมือกับภารกิจเบ็ดเตล็ดต่างๆด้วยตัวเอง เพื่อที่ชายวัยกลางคนจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับภาระเหล่านี้ แต่อันที่จริงแบบนี้ดีกว่ามาก เพราะหากใครสักคนที่ปราศจากประสบการณ์ในการจัดการกิจธุระต่างๆของตระกูลหลัวพยายามเข้ามาก้าวก่าย ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นแทน!


อีกอย่าง ในเมื่อชายวัยกลางคนตั้งใจจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้พวกเขา แล้วพวกเขายังมีอะไรที่จะต้องติติงอีก?


ไม่ว่าจะมองอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์กับตระกูลหลัว


พวกเขาคงโง่เง่าเต็มทีหากปฏิเสธ!


หลัวลั่วชิงชำเลืองมองจางเซวียนที่ยืนเป็นบื้อใบ้อยู่และหัวเราะเบาๆ เธอส่งโทรจิตอธิบาย “ด้วยสถานการณ์ของตระกูลหลัวในตอนนี้น่ะ ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยคุณไปง่ายๆหรอก ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ระหว่างนี้ก็ทำตามคำขอของพวกเขาไปก่อน ถึงอย่างไรตัวตนของพวกเราก็ปลอมอยู่แล้ว หากเราอยากจากไปเมื่อไหร่ ก็แค่กลับคืนสู่ร่างเดิม หลังจากที่พวกเขาหาตัวคุณไม่พบอยู่สักพัก พวกเขาก็จะเลือกหัวหน้าตระกูลคนใหม่เองแหละ…”


“อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่เป็นไร” จางเซวียนพยักหน้าอย่างหมดหนทาง


หลัวลั่วชิงพูดถูก ด้วยการพลิกผันของสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตามน้ำไปกับหลัวกั้นเจินและเหล่าผู้อาวุโส


แต่นั่นแหละ…เขามาที่นี่เพื่อชดเชยความผิดพลาดที่เคยทำไว้เท่านั้น แต่การพลิกผันอย่างน่าประหลาดของสถานการณ์ก็ทำให้เขาต้องลงเอยด้วยการกลายเป็นหัวหน้าตระกูลเสียเอง!


เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ


หัวหน้าตระกูลจาง หัวหน้าตระกูลหลัว หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์…และที่ลืมไม่ได้ ยังมีสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่อีก…


ตอนนี้เขาลงเอยด้วยการรวบรวมเอากลุ่มอำนาจชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์มาไว้กับตัวเองเกือบหมด ราวกับเป็นผู้นำเผด็จการ!


พูดก็พูดเถอะ ในบรรดาสามตระกูลชั้นนำ ยังมีตระกูลเจียงอีก 1 ตระกูล หากเรื่องแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไป ถ้าเขาไปเยือนตระกูลเจียง คงต้องลงเอยด้วยการเป็นหัวหน้าตระกูลเจียงเช่นกัน!


“พวกเราตระกูลหลัวคารวะหัวหน้าหลัวเทียนหยา!”


เมื่อจางเซวียนตอบตกลง ทุกอย่างก็ลงตัวและเข้าที่เข้าทางของมัน


เนื่องจากสมาชิกทุกคนในตระกูลมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ข้าวของทุกอย่างที่ต้องใช้สำหรับพิธีสถาปนาก็อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้น ในเวลาเพียงไม่นาน การจัดพิธีสถาปนาหัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็เสร็จสิ้น


ในระหว่างนั้น…


หลังจากที่เดินทางออกจากตระกูลหลัว หนานกงหยวนเฟิงกับพรรคพวกก็มุ่งหน้าต่อไปอย่างหม่นหมอง


“ท่านอาจารย์ พวกเราปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ แล้วคราวนี้เราจะทำอย่างไร?”


ชายหนุ่มคนหนึ่งตั้งคำถาม


“เราจะทำอะไรได้ล่ะ? ก็ต้องยอมรับบทลงโทษจากความล้มเหลวของพวกเรา” หนานกงหยวนเฟิงส่ายหน้า “สำหรับตอนนี้ หาที่เหมาะๆเพื่อเยียวยาตัวเองก่อนเถอะ เมื่อเยียวยาความบอบช้ำเรียบร้อยแล้ว เราก็จะมุ่งหน้าไปตระกูลจาง ผมไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลจางจะมีปีศาจที่ทรงพลังอย่างหลัวเทียนหยาคนนั้น!”


“ผมก็คิดว่านั่นคงเป็นทั้งหมดที่เราทำได้ในตอนนี้…” ชายหนุ่มพยักหน้า


ในตอนนั้นเอง มิติที่อยู่รอบตัวชายทั้ง 5 คนก็แข็งทื่อไปในทันที ทำให้พวกเขาไม่อาจเดินหน้าต่อได้


 


แต่ละคนหรี่ตาด้วยความหวาดระแวง พวกเขารีบเหลียวมองไปโดยรอบ ไม่ช้าก็เห็นร่างงดงามร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก มีมิติรูปทรงกลมหมุนติ้วอยู่ตรงหน้าเธอ แผ่รังสีอันน่าอัศจรรย์ออกมา


“พวกคุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันไม่สวยที่จะจากไปง่ายๆแบบนี้ หลังจากที่สร้างความยุ่งยากให้ตระกูลหลัวของเราแล้ว?” สาวน้อยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา


1616 ความแข็งแกร่งของหลัวฉีฉี

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงจากลูกทรงกลมที่หมุนติ้วอยู่ตรงหน้า หนานกงหยวนเฟิงถามอย่างหวาดระแวง “คุณเป็นใคร?”


สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูจะไม่ได้มีระดับวรยุทธสูงนัก แต่ลูกทรงกลมที่หมุนติ้วอยู่ตรงหน้าเธอนั้นมีรังสีกระหายเลือด เขารู้สึกว่าลูกทรงกลมนั้นสามารถควบคุมมิติได้


หากจะพูดกันตามเหตุผล สาวน้อยไม่น่าจะควบคุมลูกทรงกลมนั้นได้เมื่อดูจากระดับวรยุทธที่จำกัดของเธอ แต่เพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง ลูกทรงกลมนั้นดูเหมือนจะกลมกลืนและเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับตัวเธอ ราวกับทั้งคู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว


เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไม่ควรประเมินสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าต่ำเกินไป


เมื่อความคิดหนึ่งแวบเข้ามา โม่เอ๋ออุทาน “ท่านอาจารย์ เธออาจจะเป็นองค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลัวก็ได้!”


“องค์หญิงน้อย? คุณคือหลัวหยู่ชิงหรือ?” หนานกงหยวนเฟิงกำหมัดแน่น


เขาได้ยินมาว่าตระกูลหลัวมีองค์หญิงน้อยผู้ปราดเปรื่องมากอยู่คนหนึ่ง แต่เนื่องจากไม่เคยพบเธอมาก่อน จึงคิดว่าอาจเป็นแค่ข่าวลือ ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะมาขวางทางพวกเขาไว้แบบนี้? เธอคิดว่าตัวเองจะยับยั้งพวกเขาได้ด้วยพละกำลังที่มีอยู่หรือ?


“หลัวหยู่ชิง? คุณอาจจะพูดถูก แต่นับจากวันนี้ไป ฉันชื่อ…หลัวฉีฉี!” สาวน้อยตอบ


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชื่อจริงของเธอคือหลัวหยู่ชิง หลัวฉีฉีเป็นเพียงอีกชื่อหนึ่งที่เธอคิดขึ้นได้หลังจากที่สูญเสียความทรงจำระหว่างการปกปิดวรยุทธของตัวเอง


“ไม่ว่าคุณจะชื่ออะไรก็เถอะ เรื่องราวของพวกเรากับตระกูลหลัวก็คลี่คลายแล้ว พวกเราต่างยอมแพ้และได้ชดใช้ให้ตระกูลหลัวด้วยของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ทราบว่าคุณหมายความว่าอย่างไรที่มายับยั้งพวกเราไว้ที่นี่?” หนานกงหยวนเฟิงตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ


“ฉันหมายความว่าอย่างไร?” หลัวฉีฉีเลิกคิ้ว “เลิกเสียเวลาเสียที แล้วมาจัดการให้เสร็จสิ้นไปเถอะ!”


“จัดการให้เสร็จสิ้น?” หนานกงหยวนเฟิงชะงัก


“ถ้าคุณไม่เริ่มโจมตีล่ะก็ ฉันจะเริ่มก่อนนะ!” หลัวฉีฉีคำราม


ลูกทรงกลมที่อยู่ตรงหน้าเธอส่งเสียงหึ่งเบาๆ ในชั่วพริบตา ร่างของเธอก็ปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มคนหนึ่ง


พลั่ก!


เลือดกระอักออกจากปากของชายหนุ่มที่ถูกโจมตี เขาล้มลงไปกระแทกพื้น ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบโต้ หนึ่งคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว และเท่าที่เห็น เขาคงต้องล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกอย่างน้อย 3 ถึง 4 เดือน


“บังอาจ!”


นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยจะโจมตีพวกเขาอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มอีก 3 คนที่เหลือหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ต่างคนพากันพุ่งเข้าใส่เพื่อเอาชนะเธอให้ได้


พละกำลังมหาศาลระเบิดออกจากร่างของพวกเขาขณะที่รังสีอันทรงพลังพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ ในชั่วพริบตา การโจมตีของทั้งสามก็ตรงเข้าใส่สาวน้อย


แม้จะเห็นลูกศิษย์ทั้งสามสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาออกมาพร้อมๆกัน หนานกงหยวนเฟิงก็ยังไม่สบายใจ เขาหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึงขณะตวาดลั่นอย่างร้อนรน “อย่านะ!”


แต่ก็สายไปเสียแล้ว


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


เกิดเสียงกระแทกติดต่อกันสามครั้ง ร่างของชายหนุ่มทั้ง 3 ล้มระเนระนาดก่อนที่จะทันได้รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนกับชายหนุ่มคนแรก พวกเขาถูกซ้อมจนร่างกระแทกพื้นอย่างแรง ทั้งสลบไปและได้รับบาดเจ็บสาหัส เท่าที่ดูจากความบอบช้ำที่ได้รับ คงต้องรักษาเยียวยากันหลายเดือนกว่าที่ร่างกายของพวกเขาจะใช้การได้อีกครั้ง


“คุณ…” หนานกงหยวนเฟิงโมโหจนแทบระเบิด เจตนาสังหารเย็นเยียบวาววับอยู่ในดวงตาของเขา เขาจ้องหน้าสาวน้อยและคำราม “คุณทำแบบนี้…ต้องการอะไร?”


“ก็อย่างที่ฉันพูดไปแล้ว เราอย่ามัวเสียเวลาเลย สำแดงกระบวนท่าของคุณออกมา!” สาวน้อยคร้านจะอธิบายกับหนานกงหยวนเฟิง


เธอย่างสามขุมเข้าใส่เขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น


การเคลื่อนไหวของเธอไม่ได้ว่องไวนัก ดูเหมือนกับการเดินเล่นตามสบายอยู่ในสวนที่ไหนสักแห่ง แต่ทุกย่างก้าวของเธอกลับครอบคลุมระยะทางหลายร้อยเมตร ยังไม่ทันที่หนานกงหยวนเฟิงจะรู้ตัว อีกฝ่ายก็มายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว


เมื่อรู้แล้วว่าความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของเธอเหนือชั้นกว่าเขามาก หนานกงหยวนเฟิงขนลุกขนชันไปหมด เขารู้ว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก จึงรีบขับเคลื่อนพละกำลังจนเต็มพิกัด ก่อเกิดเป็นรังสีแผดกล้าราวกับมังกรผู้ไร้เทียมทาน


สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อร่ง ตอนที่หนานกงหยวนเฟิงดวลกับจางเซวียน เขาจำเป็นต้องลดระดับวรยุทธ จึงไม่สามารถใช้เทคนิคการต่อสู้บางเทคนิคได้ แต่เมื่อเขาปลุกพละกำลังเต็มพิกัดของตัวเองขึ้นมา ก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ามิติทั้งหมดสั่นสะท้านภายใต้การควบคุมของเขา แสงสว่างของโลกนี้หายวับไป พื้นที่โดยรอบตกอยู่ในความมืดที่คุกรุ่นด้วยความหวาดระแวง


ไม่เพียงเท่านั้น บรรยากาศรอบตัวพวกเขายังดูเหมือนถูกดูดออกไปจนหมด เกิดเป็นพื้นที่สุญญากาศระหว่างเขากับหลัวฉีฉี


“สกัดกั้น!”


สีหน้าของหลัวฉีฉีไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เธอยกนิ้วขึ้นและเคาะพื้นที่ที่อยู่เหนือตัวเธอ


ฟึ่บ!


พละกำลังที่กำลังพุ่งพรวดของหนานกงหยวนเฟิงหยุดกึกทันที การโจมตีจากฝ่ามือของเขาก็แข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก


จากนั้น หลัวฉีฉีก็กระดิกนิ้วเบาๆ


พลั่ก!


หนานกงหยวนเฟิงถูกสอยกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงก่ำกระอักออกจากปากของเขาไม่หยุด การเสียเลือดมากทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือด มองแวบเดียวก็เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงจะไม่สาหัสเท่าลูกศิษย์ของเขา แต่เพียงเท่านั้น หนานกงหยวนเฟิงก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายวันแล้ว


ความหวาดกลัวฉายชัดอยู่ในดวงตา หนานกงหยวนเฟิงเฝ้ามองสาวน้อยเดินจากไปช้าๆพร้อมกับหายใจหอบ ความงดงามอันโดดเด่นและเสื้อคลุมที่โบกสะบัดทำให้เธอดูเหมือนเทพธิดาที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ แต่หลังจากได้เห็นพละกำลังอันน่าสะพรึงของเธอแล้ว ก็ไม่อาจมองเธอเป็นอย่างอื่นได้อีกนอกจากปีศาจร้าย


แล้วจู่ๆสาวน้อยก็หยุดชะงัก


เธอพูดโดยไม่ได้หันกลับมามอง “ตระกูลหลัวอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เทียบชั้นกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้ แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มอำนาจที่ใครจะเข้ามารังแกได้เหมือนกัน ถ้าคุณยังคิดจะท้าทายตระกูลหลัวอีกล่ะก็ รู้ไว้เสียเลยว่าคุณคือศัตรูของฉัน!”


หลังจากพูดจบ เธอก็ฉีกกระชากมิติและก้าวเข้าไปในรอยแยกแห่งมิติ จากนั้นก็หายวับไป


“ช่างมีพละกำลังที่น่าสะพรึงอะไรขนาดนั้น! มีคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วยหรือ?” เมื่อร่างของสาวน้อยหายไปแล้ว หนานกงหยวนเฟิงถึงได้สติขึ้นมาและหายใจหอบด้วยความหวาดกลัว


เขารีบเข้าไปป้อนยาให้ลูกศิษย์แต่ละคน


เป็นความจริงที่ว่าปรมาจารย์ขงเป็นผู้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์ที่ตั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ถึงที่สุดแล้ว มรดกตกทอดที่สภาปรมาจารย์ได้รับจากปรมาจารย์ขงก็ยังอ่อนด้อยกว่ามรดกตกทอดที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้รับ เพราะ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เต็มไปด้วยศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง


ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องนี้ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างจางเซวียนกับศิษย์สายตรงของเขาเมื่อเปรียบเทียบกับแก๊งชวนชวน


เมื่อมีเรื่องการเปิดวิหารแห่งขงจื๊อเข้ามาเกี่ยวข้อง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะหวนคืนสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อเข้ายึดครองของล้ำค่าที่ทวีปแห่งปรมาจารย์มีอยู่ พวกเขาคิดว่าตัวเองคงจะสามารถโค่นกลุ่มอำนาจหลักๆของทวีปแห่งปรมาจารย์และบีบบังคับให้กลุ่มอำนาจเหล่านั้นยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย แต่ใครจะไปคิดว่าแม้เพียงตระกูลหลัวตระกูลเดียวก็มีประสิทธิภาพการต่อสู้น่าสะพรึงขนาดนี้!


ที่สำคัญกว่านั้น…สาวน้อยดูจะมีอายุราว 20 ปีเท่านั้นเอง!


มีพละกำลังแข็งแกร่งทั้งที่อายุเพียงเท่านี้ ความปราดเปรื่องของเธอคงจะเทียบได้กับเหล่าปีศาจของสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่


“หลัวเทียนหยากับหลัวฉีฉี…ทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ได้อ่อนด้อยอย่างที่เราคิดไว้เลย…” หนานกงหยวนเฟิงตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งเครียด


…..


“ท่านอาจารย์ เราจะทำอย่างไรต่อ?”


ราวครึ่งวันให้หลัง ลูกศิษย์คนหนึ่งของหนานกงหยวนเฟิงก็ฟื้นคืนพละกำลังมากพอที่จะพูดจาได้ “เราจะยังมุ่งหน้าไปตระกูลจางอยู่ไหม?”


“ถึงอย่างไรเราก็ต้องไปที่นั่นอยู่ดี แต่ด้วยสภาพของพวกเราตอนนี้ ยังทำไม่ได้หรอก!” หนานกงหยวนเฟิงขมวดคิ้ว


พวกเขาต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับคืนสู่ภาวะแข็งแกร่งสูงสุด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานจากตระกูลจาง อีกอย่าง ทุกคนก็ไม่อาจมองข้ามข่าวลือที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับทายาทน้อยของตระกูลจางได้อีก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับพละกำลังมหาศาลขององค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลัวแล้ว


ข่าวลือก็อาจเป็นแค่ข่าวลือ แต่ในเมื่อข่าวลือเรื่องพละกำลังอันน่าเหลือเชื่อขององค์หญิงน้อยเป็นความจริง ข่าวลือเรื่องทายาทน้อยก็คงจะเป็นความจริงเช่นกัน!


“ถ้าอย่างนั้น ท่านอาจารย์คิดจะทำอย่างไร?” ชายหนุ่มตั้งคำถามต่อ


“ส่งข้อความไปหาอาจารย์เจินชิง เขาอยากแข่งขันกับผมอยู่ไม่ใช่หรือ? ให้เขาออกตัวก่อนเลย แล้วพวกเราจะคอยเฝ้าดูสถานการณ์ ถ้าเราได้รู้ว่าตระกูลจางมีไม้ตายอะไร โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จก็จะสูงขึ้น เราล้มเหลวในการยึดครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานของตระกูลหลัวแล้ว เพราะฉะนั้นจะล้มเหลวกับตระกูลจางอีกไม่ได้!” หนานกงหยวนเฟิงคำราม


ได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มรีบพยักหน้าและนำตราหยกสื่อสารของเขาออกมา “ขอรับ ผมจะส่งข้อความหาอาจารย์เจินชิงเดี๋ยวนี้แหละ…”


‘อาจารย์เจินชิง’ ที่ท่านอาจารย์ของเขาพูดถึงมีชื่อเต็มว่าถานไท่เจินชิง, ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่


“เอาล่ะ พวกคุณก็รีบเยียวยาตัวเองเสียก่อนที่เจินชิงกับพรรคพวกจะมาถึงนะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องถูกเยาะเย้ยอีก” หนานกงหยวนเฟิงพูดก่อนจะหลับตาและเพ่งสมาธิกับการซึมซับพลังงานจากเม็ดยาเข้าสู่ร่างกายเพื่อรักษาอาการบอบช้ำของเขา


ลูกศิษย์แต่ละคนก็รีบหันกลับไปสนใจการเยียวยาตัวเอง


พวกเขาคิดว่าการเดิมพันครั้งนี้คงจะบีบบังคับตระกูลหลัวให้ยอมแพ้ได้อย่างง่ายดาย แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด


ทวีปแห่งปรมาจารย์เปลี่ยนไปมากจริงๆ


มีมังกรทรงพลังและเสือร้ายซ่อนตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาอาจถูกโค่นล้มได้อย่างง่ายดายหากไม่ระวังตัวให้ดี!


1617 ชี้แนะหลัวชวนฉิง

หลัวฉีฉีเดินทางผ่านรอยแยกแห่งมิติและกลับถึงห้องของเธอที่ตระกูลหลัว


เธอเคยคิดว่าสวรรค์คงจะตอบรับคำอ้อนวอนของเธอ และเธอก็รอคอยด้วยความคาดหวังในชีวิตอันงดงามที่โลกได้สัญญาว่าจะมอบให้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุแบบนั้นขึ้น


ด้วยการเล่นตลกของโชคชะตา อารมณ์ที่ปั่นป่วนอย่างล้ำลึกของเธอได้แปรสภาพกลายเป็นตัวกระตุ้นให้การซึมซับเครื่องเก็บงำมิติได้ผลที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ส่งผลให้เธอควบคุมมันได้ดีกว่าเดิม


และในตอนนั้นเองที่กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาถึง หลัวฉีฉีกำลังอยู่ระหว่างการทำความเข้าใจอานุภาพของเครื่องเก็บงำมิติ จึงไม่อาจมุ่งหน้าไปที่จัตุรัสได้ ซึ่งกว่าเธอจะทำสำเร็จ ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว ดังนั้นเธอจึงเปิดรอยแยกแห่งมิติเพื่อไปดักรอคนกลุ่มนั้นและสั่งสอนบทเรียนให้พวกเขา


เพราะถึงอย่างไร เธอก็ยังเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลัว เธอไม่อาจทนนิ่งเฉยได้เมื่อมีกลุ่มอำนาจอื่นเข้ามาคุกคาม


หลัวฉีฉีเฝ้ามองพิธีสถาปนาด้านนอกโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ รอยยิ้มโล่งอกปรากฏบนใบหน้าขณะครุ่นคิด หลัวเทียนหยาคนนั้นเป็นอัจฉริยะจริงๆ ทั้งๆที่ไม่ได้ครอบครองเครื่องเก็บงำมิติ แต่ก็สามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้ เมื่อมีเขาอยู่ ตระกูลหลัวก็คงจะปลอดภัย เราจะอยู่หรือไม่ก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่…


แม้เธอจะเป็นผู้เสียหายในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ก็รู้ดีว่าจะต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรสักอย่างกับการดูถูกเหยียดหยามครั้งใหญ่ที่ตระกูลหลัวได้รับ เธอควรจะแบ่งเบาภาระของการดูแลตระกูลหลัวไว้บ้าง อย่างน้อยก็จนกว่ามันจะกลับคืนสู่สภาพเดิม…แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ หลัวเทียนหยาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก


“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็จะหาความสุขที่ควรจะเป็นของเรา!” หลัวฉีฉีพึมพำขณะลุกขึ้นยืน


ที่ผ่านมา เธอมีชีวิตด้วยความวิตกกังวลมาตลอด ได้แต่เดินตามเส้นทางที่คนรอบตัวปูทางไว้ให้ แม้กระทั่งเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงาน เธอก็ยังไม่เคยคิดที่จะคัดค้านหรือประท้วงเลยสักนิด


แต่ตอนนี้เธอเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนั้นเต็มที ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างการเป็นผู้ถูกกระทำอีกต่อไปแล้ว เส้นทางที่คนอื่นๆปูไว้ให้เธอนั้นไม่มีความหมาย เธออยากเลือกทางเดินของตัวเอง!


ต่อให้มีปรมาจารย์หลัวอยู่ ก็แล้วอย่างไรล่ะ?


ตัวเธอ, หลัวฉีฉี ก็ไม่เป็นสองรองใคร ในเมื่อปรมาจารย์หลัวเอาชนะใจปรมาจารย์จางได้ เธอก็มั่นใจว่าตัวเธอก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน!


ทันทีที่ตัดสินใจได้ ความกดดันที่บีบคั้นหัวใจของหลัวฉีฉีก็หายวับไป ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเธอ


เมื่อหวนนึกถึงคำพูดที่ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ตอนที่เขาจากไป รอยยิ้มน้อยๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวฉีฉี เธอเดินออกจากห้องและโผขึ้นสู่กลางอากาศ หายวับไปอย่างรวดเร็ว


…..


“นี่คือกระบวนการการทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ คุณควรรีบทำความเข้าใจมันเสียตอนนี้ หากมีจุดไหนที่ไม่เข้าใจ ถามผมได้เลย ผมจะช่วยอธิบาย!”


ในห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง จางเซวียนเคาะนิ้วและถ่ายทอดหนังสือเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าแบบเรียบง่ายเข้าสู่สมองของหลัวชวนฉิง


ในเมื่อเขามาที่ตระกูลหลัวเพื่อชดใช้ เขาก็จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ในทุกเรื่องที่ทำได้


แต่ก็โชคไม่ดีที่ไม่มีใครสามารถฝึกฝนศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเต็มได้นอกจากตัวเขาเพียงคนเดียว จางเซวียนจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมันให้เรียบง่ายกว่าเดิมก่อนจะถ่ายทอดให้กับตระกูลหลัว ส่วนหลัวชวนฉิงจะทำความเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดและความสามารถของเขาเอง


ด้วยความรู้ใหม่ที่ถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของเขา หลัวชวนฉิงอดตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวว่า “ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์!”


ในฐานะสมาชิกหลักคนหนึ่งของตระกูลหลัว เขาได้รับมรดกตกทอดเรื่องศาสตร์แห่งมิติของตระกูลหลัวฉบับเต็ม แต่เพียงแค่ศึกษาความรู้ที่หลัวเทียนหยามอบให้อย่างคร่าวๆ ก็เห็นชัดเลยว่าศาสตร์แห่งมิติของตระกูลหลัวนั้นตื้นเขินอย่างไม่น่าเชื่อ


ราวกับบึงขนาดเล็กที่อยู่ตรงหน้ามหาสมุทรกว้างใหญ่


อีกฝ่ายถ่ายทอดเทคนิควรยุทธอันไร้เทียมทานให้เขาโดยไม่ปิดบัง…นี่คือหนี้บุญคุณที่หลัวชวนฉิงไม่อาจชดใช้ได้ตลอดชั่วชีวิต!


“ก็อย่างที่ผมบอก ผมไม่ใช่อาจารย์ของคุณ…” จางเซวียนรีบเข้าไปพยุงหลัวชวนฉิงให้ลุกขึ้น


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่หลัวชวนฉิงมาคุกเข่าตรงหน้า


“เทคนิควรยุทธที่คุณเพิ่งถ่ายทอดให้ผมนั้นมีค่าเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ท่านอาจารย์…ผมขอวิงวอนให้คุณรับผมเป็นศิษย์ด้วย ไม่อย่างนั้น ผมก็รู้สึกหวั่นเกรงที่จะฝึกฝนเทคนิคที่มีอานุภาพไร้เทียมทานขนาดนี้” หลัวชวนฉิงพูด


“เอ่อ…เอาอย่างนั้นก็ได้!” เห็นหลัวชวนฉิงยืนกราน จางเซวียนได้แต่พยักหน้ารับ


การเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันนั้นเป็นเรื่องสำคัญในทวีปแห่งปรมาจารย์ มีแบบแผนบางอย่างที่ไม่อาจละเลยได้ โดยเฉพาะเมื่อมีมรดกตกทอดเป็นเดิมพัน


เมื่อหลัวชวนฉิงเห็นชายวัยกลางคนตอบตกลง ก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะโค้งคำนับ ก็ได้ยินเสียงของสุภาพสตรีคนหนึ่งดังขึ้นที่ประตู


“หลังจากยอมรับเทียนหยาเป็นอาจารย์ของคุณแล้ว คุณก็จะต้องไม่ใช้ความรู้ที่ได้กลับมาทำร้ายเขา มิฉะนั้น คุณก็จะต้องทุกข์ทรมานกับแรงตีกลับของวรยุทธ คุณคงรู้เรื่องนั้นดีใช่ไหม?”


“แน่นอน!” หลัวชวนฉิงพยักหน้าอย่างขึงขัง


แม้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์จะเป็นเรื่องที่ผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ให้ความสำคัญ แต่ก็ยังปรากฎอยู่เนืองๆที่ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์ของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นในหมู่ปรมาจารย์ สภาปรมาจารย์จึงได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่าหากปรมาจารย์คนหนึ่งใช้ความรู้ที่ตัวเองได้ร่ำเรียนจากอาจารย์มาทำร้ายอาจารย์ผู้นั้น ก็จะต้องได้รับผลกระทบจากแรงตีกลับของวรยุทธ


และเพื่อให้กฎเกณฑ์นี้มีผลชัดเจนขึ้น ทุกคนที่ได้เป็นปรมาจารย์จะต้องกล่าวคำปฏิญาณภายใต้การรับรู้ของสภาปรมาจารย์


“คุณเข้าใจแล้วก็ดี” หลัวลั่วชิงพยักหน้า


“วางใจเถอะ ผม, หลัวชวนฉิง จะไม่มีวันคิดร้ายกับท่านอาจารย์ของผมเป็นอันขาด! หากผมทำ ก็ไม่ต้องรอให้เกิดการตีกลับของวรยุทธหรอก ผมจะจัดการตัวผมเสียทันทีเพื่อชดใช้การกระทำของตัวเอง!” หลัวชวนฉิงประกาศอย่างมุ่งมั่น


หลัวเทียนหยาไม่เพียงเป็นผู้อาวุโสของเขา ยังเป็นผู้ถ่ายทอดแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติให้เขาโดยไม่ปิดบังด้วย เขาคงจะกลายเป็นอสูรร้ายแน่หากพยายามจะทำร้ายผู้ที่ช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้!


หลังจากพูดจบ หลัวชวนฉิงก็ลุกขึ้นยืน


เขายังไม่มีสถานภาพเป็นศิษย์สายตรงของหลัวเทียนหยา แต่เมื่อมีมรดกตกทอดร่วมกัน ก็ถือได้ว่าเป็นกึ่งลูกศิษย์ของอีกฝ่ายแล้ว


วิ้ง!


ทันทีที่หลัวชวนฉิงลุกขึ้นยืน หอสมุดเทียบฟ้าในหัวสมองของจางเซวียนก็กระตุก หน้าหนังสือสีทองปรากฏขึ้น


บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง แต่ดูเหมือนหน้าหนังสือสีทองจะปรากฏตัวได้ยากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้ปรากฏมานานจนเขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว


หลัวชวนฉิงใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการทำความเข้าใจศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย เมื่อพบจุดไหนที่ไม่เข้าใจ ก็ปรึกษาหลัวเทียนหยาโดยไม่รีรอ จนเมื่อฟ้าสางอีกครั้ง เขาก็ทำความเข้าใจทุกอย่างได้หมดสิ้น


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดว่า “คุณเข้าใจทุกอย่างก็ดีแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ฝึกฝนมันอย่างระมัดระวังนะ แล้วภายใน 1 เดือน คุณก็จะทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้อย่างสมบูรณ์”


เทคนิคเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้การฝึกฝนเป็นไปได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับฉบับเต็ม แต่เพราะมีคำชี้แนะของจางเซวียนด้วย หลัวชวนฉิงจึงสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดความผิดพลาดบางอย่างซึ่งเป็นผลจากข้อบกพร่องที่ยังหลงเหลืออยู่ 2-3 ข้อ ดังนั้น การที่เขาจะประสบความสำเร็จภายใน 1 เดือนจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้


“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หลัวชวนฉิงประสานมือ


เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธตามกระบวนการที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ แล้วก็ต้องดีใจเมื่อพบว่าความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งมิติของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้


หลัวชวนฉิงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาอดรนทนไม่ไหว จึงตั้งคำถาม “ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าคุณใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้สำเร็จ?”


การที่ท่านอาจารย์ของเขาจะทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกฝ่ายยังได้คิดค้นเทคนิควรยุทธที่มีอานุภาพไร้เทียมทานขึ้นด้วย


บรรพบุรุษผู้ปราดเปรื่องจำนวนนับไม่ถ้วนของตระกูลหลัวได้อุทิศเวลาทั้งชีวิตให้กับการค้นหากรรมวิธีการทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ ซึ่งหลัวชวนฉิงก็รู้ดีว่าความปราดเปรื่องของตัวเขาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับธรรมดาสามัญเท่านั้นหากจะเปรียบเทียบกับคนเหล่านั้น แต่เทคนิควรยุทธที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วท่านอาจารย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญขนาดไหน?


และเขาใช้เวลานานเท่าไหร่จึงทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้?


“ผม?” จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำถามนั้น “ขอผมคิดก่อนนะ…ผมคิดว่าน่าจะราวๆ…”


จางเซวียนหยุดไปหลายวินาที “…เอ่อ ก็นานประมาณนี้แหละ ใช่, นานประมาณนี้”


หลัวชวนฉิงงุนงงอย่างเห็นได้ชัดกว่าจะเข้าใจว่าท่านอาจารย์ของเขาพูดอะไร ในตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกในหัวใจของเขาล่มสลาย “ท่านอาจารย์ คุณจะบอกว่า…คุณใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหรือ?”


“ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ ผมจำไม่ได้ว่าใช้เวลาแค่ไหน ก็คงจะราวๆ 2-3 วินาที ตอนที่ผมฝึกฝนวรยุทธน่ะ ผมไม่รับรู้เวลาหรอก” จางเซวียนลูบคางอย่างครุ่นคิด


ในครั้งนั้น ผืนทรายแห่งมิติมาขวางทางพวกเขาไว้ ดังนั้นความสนใจของเขาจึงพุ่งไปที่การทำความเข้าใจศิลปะการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 4 เพื่อทำให้ผืนทรายแห่งมิติแข็งทื่อ


เมื่อย้อนคิดดู ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้เวลานานนัก น่าจะราว 2-3 วินาทีเป็นอย่างมาก


“ผม…” หลัวชวนฉิงอดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้กับช่องว่างระหว่างตัวเขากับท่านอาจารย์ที่ห่างไกลกันเหลือเกิน


เขาเคยคิดว่าการที่ตัวเขาจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้ภายในเวลา 1 เดือนก็เป็นวีรกรรมอันน่าทึ่งแล้ว แต่ความเหนือมนุษย์ของท่านอาจารย์ทำลายความลิงโลดในใจของเขาไปหมด อีกฝ่ายทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้ภายใน 2-3 วินาทีเท่านั้น…


บ้าที่สุด คุณยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?


เห็นสีหน้าของหลัวชวนฉิง จางเซวียนได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา “รีบฝึกฝนเข้าเถอะ คุณควรพยายามฝ่าด่านวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ”


ผมก็แค่พูดความจริง คุณไม่เห็นจะต้องเจ็บช้ำกับความจริงเลย ไม่ใช่หรือ?


“ขอรับ ท่านอาจารย์!” รู้ดีว่าท่านอาจารย์ของเขาเป็นบุคคลที่เขาไม่อาจเอื้อมถึง หลัวชวนฉิงได้แต่บอกตัวเองว่าเขายังเก่งกาจไม่พอและกล่าวอำลา


ไม่นานหลังจากที่หลัวชวนฉิงจากไป จางเซวียนก็เดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เขาเอ่ยถามหลัวกั้นเจินด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “ที่ตระกูลของเรามีหนังสือที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับภูมิปัญญาและกรรมวิธีในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือเปล่า? ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน?”


เขาฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดได้เกือบหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว ถึงเวลาที่จะฝ่าด่านวรยุทธอีกครั้งเสียที!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)