ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 159-169

ตอนที่ 159 เคยเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานก...

 

ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันกลืนโจ๊กลงไปสักคำ ก็พ่นโจ๊กออกมาจนหมดปาก 


 


 


ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ใบหน้าที่แสนงดงามเลอะเทอะไปด้วยโจ๊กข้นๆ จากปากของนาง 


 


 


“ขะๆๆ ……” โจ๊กติดอยู่ในหลอดลม นางทางหนึ่งไอเสียจนน้ำตาไหลออกมา 


 


 


ทางหนึ่งไอ ทางหนึ่งใช้แขนเสื้อเช็ดพระพักตร์ของจีเฉวียน 


 


 


จีเฉวียนประทับอยู่ที่เดิม พระพักตร์ดำดุจก้นหม้อ ดูไปคล้ายจะกินคนได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไออยู่ครึ่งค่อนวันถึงได้สงบเสียงลงบ้าง แขนเสื้อที่ถูไปมา เพียงแต่ทำให้โจ๊กที่เกาะติดเป็นจุดๆ กระจายไปทั่วๆ เท่านั้น 


 


 


ฮ่องเต้อยู่ๆ ก็ทรงได้รับการพอกโจ๊กเนื้อไปทั่วพระพักตร์โดยมิได้คิดเงิน พระอารมณ์ก็ไม่ดีขึ้นมา 


 


 


พระองค์ปัดมือของนางออกไป ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าในพระอุระที่เมื่อครูเช็ดเลือดให้นางออกมาเช็ดคราบโจ๊กบนพระพักตร์พระองค์เองอย่างชนิดที่ไร้พระอารมณ์อย่างที่สุด 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกลับไปนั่งที่ที่ของตนเอง คราวนี้นางนั่งลงอย่างเรียบร้อยกว่าเดิม 


 


 


บนเปลือกตาของฝ่าบาทยังมีเมล็ดข้าวเกาะอยู่ นางจ้องมองอย่างไม่กล้าคลาดสายตา ค่อยตอบออกไปอย่างระมัดระวังว่า 


 


 


” ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบ หม่อมฉันสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ที่ทรงรับสั่งออกมาเมื่อครู่ทำเอาหม่อมฉันตกใจแทบแย่แล้ว” 


 


 


ก่อนหน้านี้นางเคยถูกจีเฉวียนไต่ถามอยู่หลายครั้ง ว่าเสียดายบ้างหรือไม่ 


 


 


ต่อให้ตีจนตายนางก็นึกไม่ถึงว่าจีเฉวียนทรงเคยรับสั่งขอเจ้าของร่างเดิมแต่งงาน! 


 


 


อ๋ายย่าห์! เจ้าของร่างเดิมช่างมีชะตาและความสามารถของแมรี่ซูจริงๆ! 


 


 


ดูสถานการณ์เอาเถอะ อดีตฮ่องเต้มีพระประสงค์จะอภิเษกกับนาง องค์ชายสองก็จะแต่งกับนาง นี่มันเป็นฉากในละครศึกสายเลือดชัดๆ 


 


 


จีเฉวียนทรงพยายามอดทนเก็บพระอารมณ์ แค่มองดูกิริยาของสตรีผู้นี้ก็สามารถบอกได้ว่านางมิได้มีความเสียดายใดๆ เลยสักนิด 


 


 


” เราเตือนความทรงจำเจ้าสักหน่อย สองปีก่อน งานล่าสัตว์ของเชื้อพระวงค์ ในป่าน้อย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “………” ในป่าน้อย? นี่ถึงขนาดเข้าป่าไปด้วยกันแล้ว? 


 


 


ว่ากันจริงๆ ตอนนี้นางคิดอยากจะลากเจ้าของร่างเดิมออกมาสักถาม ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


ไม่ใช่บอกกันชัดเจนว่ารักจีเย่ว์รักแทบเป็นแทบตายหรอกหรือ? ป่าน้อยนั่นคือเรื่องผีสางอะไรกัน? 


 


 


” ฝ่าบาท ทรงเตือนถึงรายละเอียดหน่อยได้หรือไม่เพคะ? หม่อมฉันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ” สีหน้าตู๋กูซิงหลันมีแต่ความยุ่งเหยิง 


 


 


ได้โปรดเถอะ ขออย่าได้มาพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับนางได้ไหม นางฟังแล้วเป็นต้องปวดหัวไปหมด 


 


 


ตอนนี้นางถึงได้รู้ว้า เจ้าของร่างเดิมคือนักขุดหลุมพรางตัวจริง แต่ละหลุมที่นางวางไว้ถึงขนาดฝังตนให้ตายไปได้เลย 


 


 


นางอยากจะกลายร่างเป็นต้นกล้าน้อยๆ ในทันที ให้พี่ชายสุดหล่อคนหนึ่งอุ้มจากไป ปลูกลงในหุบเขาลึกภูเขาสูง ทุกวันทุกคืนเฝ้าชมแสงจันทร์ที่งดงาม ฝึกฝนร่างจิตขึ้นมาใหม่ 


 


 


” อย่าได้มาทำแกล้งโง่กับเรา หากว่าเป็นภรรยาหลวงของเรา ฮองเฮาของต้าโจว ก็ไม่ต้องมาใช้ร้อยแปดวิธีดึงดูดความสนใจของเราเช่นนี้” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” แต่ว่าตอนนี้นางเป็นไทเฮานะ ว่ากันตามจริงแล้วไทเฮาเนี่ย ยังสูงส่งกว่าฮองเฮาตั้งเยอะ 


 


 


อย่างน้อยๆ ยามเจอเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ นางก็ไม่ต้องคุกเข่า 


 


 


สารพันนางสนมในวังหลังเห็นนางเข้าก็ต้องพากันร้องเรียกมู่โฮ่วแล้ว 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเป็นฮองเฮานะความเสี่ยงสูงจะตาย ตามประวัติศาสตร์แต่ไหนแต่ไรมาฮองเฮากี่คนต่อกี่คนที่ถูกการแก่งแย่ชิงดีชิงเด่นในวังเล่นงานจนไม่เจ็บก็ตาย 


 


 


ทั้งๆ ที่เป็นถึงภรรยาหลวงของฮ่องเต้ ยังต้องมาออกหน้าคัดเลือกเหล่าสนม นางในไปคอยปรนิบัติรับใช้ นางสนมตั้งครรภ์ ฮองเฮาก็ต้องมาคอยสอดส่องดูแล 


 


 


วังหลังเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็ลงที่ฮองเฮาก่อน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังค้นพบทฤษฎีอีกข้อหนึ่ง หากว่าอยากเป็นไทเฮา ทางที่ดีต้องรอจนฮ่องเต้เข้าสู้วัยกลางคนค่อยเข้าวัง บุรุษจะอายุมากเพียงไรก็ชื่นชอบสาวน้อยด้วยกันทั้งนั้น 


 


 


แม่นางน้อยขอเพียงชาญฉลาดพอมีฝีมือมากพอ จับฮ่องเต้ในวัยกลางคนให้อยู่หมัด ต่อสู้กับบรรดาสนมชราสักหลายปี ค่อยคลอดพระโอรสพระธิดาถวายสักหลายคน ดึงคนสักกลุ่มมาเข้าพวกเสริมฐานะ แค่นี้ก็ได้ตำแหน่งมาเห็นๆ 


 


 


หากเข้าวังเร็วเกินไป ยิ่งฮ่องเต้ทรงมีพระชนม์ยาวนาน ก็ยิ่งแก่หงำเหงือกหมดสิ้นความงาม 


 


 


เข้าวังช้าเกินไป ยังไม่ทันได้รับความโปรดปราน ฮ่องเต้ก็ชิงตายไปก่อนแล้ว ตำแหน่งยังไม่ทันครองอย่างมั่นคง เผลอๆ ก็ต้องถูกส่งไปตายร่วมกลบฝัง 


 


 


ดังนั้นหากว่าอยากครอบครองตำแหน่งสูงส่ง จะต้องจับจองช่วงเวลาที่เหมาะสมถึงจะสำเร็จ 


 


 


แบบนางเช่นนี้ แต่งปุ๊บก็ได้เป็นไทเฮาเลย เกรงว่าคงจะมีน้อยจนถึงขั้นหายากเลยแน่ๆ 


 


 


คิดไปคิดมาจนถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันพลันรู้สึกว่าเจ้าของร่างเดิมก็ช่วยขจัดปัญหาในการได้ตำแหน่งให้นางมากพอสมควร 


 


 


ไม่ได้รับปากแต่งงานกับจีเฉวียนก็ถือว่าดีอยู่เหมือนกัน ไม่แน่ว่าหากรับปากแล้ว อาจจะต้องตายอนาถกว่านี้ก็เป็นได้ 


 


 


สมองของตู๋กูซิงหลันล่องลอยออกไปไกลเป็นหมื่นลี้ ในที่สุดค่อยย้อนกลับมา 


 


 


นางนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมสง่างาม ดวงตาดอกท้อของนางจดจ้องจีเฉวียนอย่างเอาจริงเอาจัง ” เป็นเพราะฝ่าบาทเคยชื่นชอบหม่อมฉันอย่างจริงจัง ถึงได้ขอแต่งงานใช่หรือไม่? “ 


 


 


คำถามนี้ทำเอาสีพระพักตร์ของจีเฉวียนถึงกับเปลี่ยนแปลงไป ชื่นชอบ? 


 


 


เห็นเขาเงียบงัน ตู๋กูซิงหลันก็ถอนใจยาวออกมา ” หรือจะบอกว่าฝ่าบาททรงเห็นในความงามของหม่อมฉัน เลยคิดจะจับแต่งเอากลับบ้านไปนั่งดูกัน? “ 


 


 


จีเฉวียน ” เจ้าอยากได้หน้า” เขาใช่คนที่ชอบมองหน้าใครเสียที่ไหนกัน? 


 


 


ว่าตามจริง แค่ทุกๆ วันมองตนเองในกระจกก็เกินพอแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันโดนตอกเสียนิ่งงันไป ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ” เช่นนั้นขอบังอาจทูลถามฝ่าบาท เหตุผลที่แท้จริงที่ต้องการแต่งงานกับหม่อมฉันคืออะไร? “ 


 


 


เรื่องนี้ไม่เพียงแต่นางไม่เคยได้ยินจากเจ้าของร่างเดิม กระทั่งคนในครอบครัวก็ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงมาก่อน 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าวันนี้จีเฉวียนทรงตรัสขึ้นมา ชาตินี้ทั้งชาตินางก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้เป็นแน่ 


 


 


จีฉวรทรงหรี่พระเนตรลง แต่มิได้ตรัสอธิบายว่าทำไมจึงเคยของนางแต่งงาน เพียงตอบว่า ” เราถาม เจ้าก็ตอบมา ไม่ต้องซักไซร้ให้มากเรื่อง” 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็ตรัสเสียงหนักๆ ออกมาอีกประโยคหนึ่ง ” เราถามเจ้า เสียดายที่ไม่ได้แต่งให้เราบ้างหรือไม่? “ 


 


 


” เสียดายแล้วอย่างไร? ” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องเขาไปตรงๆ นางหัวเราะออกไปทันที ” ฝ่าบาททรงเป็นถึงโอรสสวรรค์ที่ชาญฉลาดและสูงส่ง มีหรือจะทรงทำผิดต่อบรรพชนเพื่อเรา แต่งเราไปเป็นภรรยา? “ 


 


 


เขาไม่กลัวว่าอดีตฮ่องเต้จะกระโดดออกมาจากหลุมตบเขาสักฉาดหรือไง? 


 


 


ไม่กลัวหรือว่ายามหลับทุกบ่าย อดีตฮ่องเต้จะมาเข้าฝัน ด่าทอว่าเขาอกตัญญู ผีหลอกข้างหูอยูตลอด? 


 


 


เจอประโยคนี้ จีเฉวียนทรงฟังแล้ว ก็สะท้อนเข้าไปในพระทัย 


 


 


” หากว่าเจ้าเสียดาย เรา….. จะแต่งเจ้า 


 


 


คำพูดยังไม่ทันตรัสออกมา ก็ทรงได้ยินตู๋กูซิงหลันพึมพำต่อไปอีกว่า ” ไม่เสียดายแล้วจะอย่างไร? “ 


 


 


” ทุกวันนี้เราเป็นไทเฮาก็สุขสบายดี มีโอรสบุญธรรมที่งดงามดุจเทพเซียนเช่นฝ่าบาท มีลูกสะใภ้กตัญญูเช่นเสี่ยวซูเฟย เสี่ยวหยวนเฟย ก็รู้สึกว่าชีวิตสมบูรณ์ดีแล้ว น่าพึงพอใจมากแล้ว” 


 


 


เจ้าของร่างเดิมจะเสียใจเสียดายบ้างหรือไม่นางไม่อาจรู้ได้ แต่ว่าตัวนาง ไม่ได้เสียดายอยู่แน่นอน 


 


 


ในเมื่อไม่อาจมีคู่ครองที่มีเพียงกันและกันสองคนไปชั่วชีวิต นางก็ขอเลือกตำแหน่งและอำนาจเอาไว้ละกัน อย่างน้อยก็ยังมีความมั่นคง 


 


 


หากแต่งให้จีเฉวียน ต้องมาเผชิญกับอารมณ์ที่ขึ้นลงอย่างไม่ธรรมดาของขา แล้วยังมีความเสี่ยงจะถูกส่งเข้าตำหนักเย็นอยู่ตลอดเวลา วันเวลาเช่นนั้น นางไม่ต้องการ 


 


 


ประโยคนี้ของนางทำเอาถ้อยคำที่ยังไม่ได้พูดออกมาของเขาคั่งค้างอยู่ในหัวใจ 


 


 


มันชัดเจนแล้วว่า……..นางไม่ได้เสียดาย 


 


 


พระทัยของจีเฉวียนปั่นปวนอย่างไร้สาเหตุ เขาเจ็บ 


 


 


ริมหูของเขาพลันได้ยินเสียงของหมอหลวงซุน “หากว่าชื่นชอบแต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง คงมีแต่เจ็บปวดไปชั่วชีวิต” 


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถึงขั้นเจ็บปวดไปชั่วชีวิต แต่ก็นับว่าเจ็บแล้ว 


 


 


นานอีกพักใหญ่เขาถึงได้ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ของตนให้นิ่งลงได้ 


 


 


ฮ่องเต้ทรงเชี่ยวชาญการจัดการพระอามารณ์มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ก็แทบจะไม่ทรงเผยพระอามรณ์ที่แตกต่างออกมาบนพระพักตร์ 


 


 


ดังนั้นในมุมมองของตู๋กูซิงหลัน เขาก็เพียงแต่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเท่านั้น 


 


 


นานอีกพักใหญ่พระองค์ถึงได้ฝืนตรัสออกมาไม่กี่คำ ” เราเข้าใจแล้ว”  

 

 


ตอนที่ 160 แฟนคลับของตัวแม่

 

เดิมทีตู๋กูซิงหลันตระเตรียมจะรับแรงระเบิดอารมณ์ของเขาเอาไว้แล้ว แต่ว่าคราวนี้เขา กลับทำให้นางคาดการณ์ผิดไปเสียแล้ว 


 


 


………………………………………. 


 


 


ในเรือนหลัก หยวนเฟยพาตู๋กูจุนกลับมาพัก 


 


 


เลือดจากทรวงอกของเขายังไหลไม่ยอมหยุด ฝ่ามือของหยวนเฟยเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ ของเขา พอส่งคนกลับไปถึงห้อง แม่ทัพผู้แข็งแกร่งก็ล้มพับลงไปบนเตียงแล้ว 


 


 


หยวนเฟยช่วยปลดเสื้อคลุมให้เขา ถอดชุดชั้นนอกออกไป ผ้าพันแผลถูกเลือดย้อมเสียจนชุ่มโชกแล้ว 


 


 


นางหยิบกรรไกรมา ค่อยๆ ตัดผ้าออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หายาห้ามเลือดมาทาลงบนปากแผล ค่อยใช้ความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิมพันแผลให้เขาใหม่ 


 


 


ตู๋กูจุนเสียเลือดมากเกินไป ได้แต่นอนอยู่บนเตียง แต่ว่าคนยังคงมีสติสมบูรณ์อยู่ 


 


 


” พระสนมหนวนเฟยสูงส่งดุจทองคำ ให้ท่านต้องมาดูแลข้าแม่ทัพด้วยตนเองเช่นนี้ ข้าแม่ทัพไม่อาจตอบแทนบุญคุณของท่านได้ ” น้ำเสียงของตู่กูจุนทั้งเบาทั้งอ่อนแรง 


 


 


” ศรดอกนี้เป็นท่านแม่ทัพรับเอาไว้แทนข้า ข้าดูแลท่านก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ” หยวนเฟยพันผ้าให้เขาใหม่แล้วก็ให้เขากลืนยาบำรุงเลือดลงไปอีกเม็ดหนึ่ง ค่อยนั่งลงที่ข้างกายเขา 


 


 


” ท่านแม่ทัพ ทางที่ดีตลอดเดือนนี้ท่านอย่าได้เคลื่อนไหววุ่นวาย หากเป็นคนทั่วไปมาเสียเลือดมากมายเช่นท่านคงจะมอดม้วยไปตั้งแต่แรกแล้ว” สองมือของนางเท้าคางเอาไว้ ในใจก็นับถือตู๋กูจุนมากกว่าเดิม 


 


 


ในแผ่นดินต้าโจวนี้นางได้พบเห็นบุรุษมาก็ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางบุ๋น ไม่ค่อยมีใครที่เป็นชาติบุรุษอาชาไนยเหมือนตู๋กูจุน 


 


 


ตู๋กูจุนเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กล่าววาจา ในสงครามเขาแขวนชีวิตเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ยังอันตรายกว่านี้มากนัก 


 


 


แต่ละครั้งที่ถือดาบฟาดฟันอยู่ในสนามรบ ล้วนไม่เคยขมวดคิ้วมาก่อน 


 


 


พอคิดถึงสนามรบ เขายิ่งคิดถึงฉางซุนซู่ 


 


 


” ท่านแม่ทัพ องค์หญิงใหญ่เกลียดชังท่านถึงเพียงนี้ เป็นเพราะท่านฆ่าราชบุตรเขยไปจริงหรือ? ” นิสัยของหยวนเฟยนั้นตรงไปตรงมา ในเมื่อสงสัยขึ้นมาแล้ว ก็ถามออกไปตรงๆ 


 


 


เมื่อครู่ตอนอยู่ที่เรือนตะวันตก หากว่าข้างกายมีดาบอยู่ละก็ นางเชื่อว่าองค์หญิงใหญ่คงจะไม่ลังเลที่จะใช้มันแทงเขาเป็นแน่ 


 


 


คำถามนี้ทำเอาตู๋กูจุนถึงกับเงียบงันไป 


 


 


” หากว่าท่านแม่ทัพไม่สะดวกที่จะตอบ ก็ไม่ต้องบอกข้าก็ได้” หยวนเฟยก็ไม่คิดจะบังคับให้ผู้อื่นลำบากใจ 


 


 


ยามปกตินางก็มิใช่คนสอดรู้สอดเห็น เมื่ออยู่ในวังที่ต่างคนต่างอยู่นางก็ทำมาจนชินเสียแล้ว ทั้งยังมิใคร่สนอกสนใจผู้ใด 


 


 


ที่ถามท่านแม่ทัพออกไปเช่นนี้ ก็เพราะนางเกิดความกังวลใจในตัวเขาขึ้นมา 


 


 


เพราะอย่างไร………เขาก็เป็นผู้มีพระคุณของนาง 


 


 


” ข้าฆ่าเขาเอง” ตู๋กูจุนไม่ได้ปิดบังนาง “ราชบุตรเขยฉางซุนซู่ สิ้นในสงครามกับริวกิว ด้วยน้ำมือของข้าแม่ทัพ” 


 


 


” เรื่องนี้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบดี หลังกลับถึงเมืองหลวงแล้ว จึงรับสั่งให้ลงทัณฑ์ข้าแม่ทัพหนึ่งร้อยแส้ ไม่ให้รับเงินหลวงสิบปี เรื่องนี้ถือว่าสิ้นสุดแล้ว” 


 


 


เรื่องเงินถือเป็นเรื่องรอง เพราะหากใช้เงินจัดการแก้ปัญหาได้ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอีกต่อไป 


 


 


แต่ว่าหนึ่งร้อยแส้นั้น! 


 


 


หยวนเฟยถึงกลับตระหนกแล้ว ฟังว่าแม่ทัพทั่วไปเพียงโดนเข้าไปห้าสิบแส้ก็ไม่อาจรอดกันแล้ว 


 


 


เขากลับทนได้ถึงร้อนแส้ แล้วยังมีชีวิตรอดมาได้? นี่ต้องเรียกว่าเป็นตัวประหลาดแล้ว! 


 


 


” ขอท่านอย่าได้ตำหนิที่ข้าถามไถ่มากความ ท่านแม่ทัพมีเหตุจำเป็นอันใดจึงต้อง…….ฆ่าท่านราชบุตรเขย? ” หยวนเฟยรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีปัญหา 


 


 


คนเช่นตู๋กูจุนไม่มีทางฆ่าคนอย่างไร้ความผิด 


 


 


อย่าว่าแต่คนผู้นั้นยังเป็นถึงราชบุตรเขยของแคว้นหนึ่ง 


 


 


ทั้งๆ ที่รู้ชัดว่าหากฆ่าเขาแล้วจะต้องรับเรื่องเลวร้ายที่ตามมา เขาก็ยังจะทำ? 


 


 


” หากเป็นเพราะว่าไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือมีความจำเป็นอันใดละก็……..ข้าคิดว่า บางทีองค์หญิงใหญ่อาจจะทรงเข้าพระทัยบ้างก็ได้ ” หยวนเฟยยังคงกล่าวต่อไป เพราะนางเองก็เห็นว่าองค์หญิงใหญ่มิใช่คนที่ไร้เหตุผลใดๆ เสียทีเดียว 


 


 


ตู๋กูจุนกลับไม่ตอบคำถามของนางแล้ว 


 


 


นานพักใหญ่เขาจึงกล่าวว่า ” ข้าแม่ทัพเหน็ดเหนื่อยแล้ว อยากจะหลับสักพัก ขอพระสนมหยวนเฟยเสด็จกลับวังโดยเร็วเถอะพะยะคะ อย่าได้ให้ฝ่าบาททรงห่วงหา “ 


 


 


พูดจบแล้วเขาก็หลับตาลง 


 


 


ภาพในสมองหมุนวนอีกครั้ง ทุกที่ยังคงมีแต่เลือดและซากศพ และยังคงเป็นศพที่อ้าปากตาค้างนั้น 


 


 


” เมื่อข้าตายแล้ว ขอท่านแม่ทัพโปรดดูแลเสี่ยวฉุนและลูกที่กำลังจะเกิดมาของข้าด้วย” 


 


 


หัวใจของเขาราวถูกหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้ จนแทบจะหายใจไม่ออก 


 


 


หยวนเฟยมองดูท่าท่างที่จะอย่างไรก็ไม่ยอมพูดจาของเขา ก็ได้แต่ส่ายศีรษะ 


 


 


เป็นเพราะเขาหลงชอบองค์หญิงใหญ่ จึงได้หาโอกาสในสนามรบฆ่าราชบุตรเขย เพื่อจะได้เข้าไปแทนที่เขาหรือ? 


 


 


บุรุษผู้นี่จะต้องมีความหลังอยู่เป็นแน่ 


 


 


………………………………………. 


 


 


หลายวันนี้ตู๋กูซิงหลันล้วนพำนักอยู่ในจวน จีเฉวียนเองก็ประหลาดไป เขาไม่ได้จับตัวนางกลับไปด้วย 


 


 


และไม่รู้ว่าเชียนเชียนไปฟังข่าวจากฆ้องปากแตกที่ใด จึงมาเล่าให้นางฟังว่า ฝ่าบาททรงเรียกหาซูกุ้ยเฟยอยู่ทุกค่ำคืน 


 


 


ไม่เพียงแต่เท่านี้ แม้แต่ยามเสวยก็ยังให้ซูกุ้ยเฟยของปรนนิบัติอยู่ข้างๆ บางครั้งยังคีบอาหารให้ซูกุ้ยเฟยอีกด้วย กิริยารักใคร่โปรดปราน แทบจะทรงยกซูกุ้ยเฟยลอยขึ้นฟ้าไปอยู่แล้ว 


 


 


” นายหญิงเจ้าคะ เกรงว่าวังหลังอีกไม่นานก็คงจะมีฮองเฮาแล้วละเจ้าค่ะ ” เชียนเชียนช่วยนางหวีผม “ยังดีที่ซูกุ้ยเฟยทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับท่าน คิดว่าต่อไปคงไม่ได้ทรงสร้างความลำบากใจอันใดให้ “ 


 


 


เชียนเชียนเองก็รู้เห็นมาไม่น้อย เมื่ออยู่ในวังต่อหน้าเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานแล้วกลับกลายเป็นความแค้น นางเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยเมื่อทรงกลายเป็นฮองเฮาแล้วจะเปลี่ยนไป หากเปลี่ยนจากพี่น้องเป็นศัตรู นายหญิงไยจะไม่เสียใจ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูตัวเองในกระจก อยู่ๆ ก็คิดถึงคำที่จีเฉวียนตรัสขึ้นมาในวันนั้น “เสียดายที่ไม่ได้แต่งให้กับเราหรือไม่? “ 


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจิตใจของนางจึงรู้สึกสับสนขึ้นมา 


 


 


เขาเป็นบุรุษเจ้าชู้มากรักในยุคนี้ ทางหนึ่งโอบกอดซูเฟยเอาไว้ อีกทางก็มาติดพันนาง 


 


 


พอฟังคำของเชียนเชียนแล้ว เส้นเชือกในสมองของนางก็พันกันยุ่งเหยิงไปหมด 


 


 


เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นกำลังใช้อุบายยุให้แตกกัน คิดจะทำลายความสัมพันธ์ฉันท์พี่สาวน้องสาวที่บริสุทธิ์ของนางกับซูเฟย 


 


 


หากไม่ได้ตีให้นางจนหัวแตกอย่าหวังว่านางจะยอมแพ้! 


 


 


เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี้นับว่าเป็นตัวร้ายถึงขั้นสุดแล้ว 


 


 


พอคิดได้แล้ว จิตใจของนางก็พลอยสดใสขึ้นมา 


 


 


ที่ด้านนอกเรือนสายลมหนาวพัดโหม บานหน้าต่างยังคงเปิดอยู่ วิญาณทมิฬเล่นอยู่เพียงลำพังที่ในสวน นับตั้งแต่ที่มันได้กลืนกินปีศาจฝันร้านที่อยู่ในความฝันขององค์หญิงใหญ่ลงไปนั้น จิตวิญญาณของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ยามนี้มันสามารถออกจากเงาของตู๋กูซิงหลัน มาโลดแล่นไปมาอยู่รอบๆ บริเวณของนางได้แล้ว 


 


 


มันปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ส่งเสียงหอนดุจหมาป่าอย่างยินดี 


 


 


มันพึ่งจะตะเบ็งคอหอนเสร็จ ก็เห็นเงาดำกลุ่มหนึ่งบินโฉบเข้ามาในสวน 


 


 


เงาดำนั่นพุ่งผ่านหน้าต่างไป ลอยตัวอยู่บนฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน กลายเป็นนกกระเรียนกระดาษขนาดนิ้วโป้งตัวหนึ่ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วน้อยๆ หมุนตัวออกไปนอกจวน 


 


 


วิญญาณทมิฬก็ติดตามไป 


 


 


นกกระเรียนกระดาษนั้นบินนำอยู่ด้านหน้า นี่เป็นจิตที่เกิดจากยันต์ติดตามใบนั้น มันมาหาตู๋กูซิงหลัน เป็นเพราะค้นพบสิ่งใดกัน 


 


 


คนทั่วไปไม่อาจมองเห็นนกกระเรียนกระดาษสีดำ มันขยับปีกสองข้างโผบินอยู่ด้านหน้า ตู๋กูซิงหลันก็ติดตามอยู่ด้านหลัง 


 


 


พอออกไปนอกจวนตระกูลตู๋กู ลดเลี้ยวอยู่หลายรอบ นกกระเรียนกระดาษก็พุ่งเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่เล็กน้อย นางเห็นบนถนนมีร้านขายหน้ากากร้านเล็กๆ อยู่ นางจ่ายเงินซื้อหน้ากากมาใบหนึ่งก็สวมลงไป สบัดเท้าดุจสายลม ติดตามไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อติดตามมาตลอดทาง ในที่สุดก็หยุดลงที่ประตูวัง 


 


 


ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันหยุดเท้าที่หน้าประตูวัง นกกระเรียนกระดาษสีดำก็บินข้ามประตูเข้าไป แต่ก็ถูกไอมังกรของวังหลวงพัวพันไว้ เพียงไม่นานก็กลับกลายเป็นควันสีดำแลสลายไปในอากาศ 


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ประหลาดใจไม่น้อย “คนที่ควบคุมองค์หญิงใหญ่ ก็อยู่ในวังหลวงหรือ? “  

 

 


ตอนที่ 161 ยันต์หุ่นเชิด

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้กล่าววาจาใดๆ นางแอบซ่อนตัวอยู่ในมุมมุมหนึ่ง มองดูทิศทางที่นกกระเรียนกระดาษสีดำนั้นสลายตัวไป ก็ล้วงเอายันต์ใบหนึ่งออกมา 


 


 


เพียงปลายนิ้วของนางขยับเล็กน้อย ก็บังเกิดลูกไฟสีน้ำเงินดวงหนึ่ง 


 


 


ยันต์นั้นยังไม่ทันจะถูกแปลงกาย ก็เห็นเงาร่างที่ดูคุ้นเคยร่างหนึ่งออกมาจากในวัง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเก็บยันต์ลงไป ดวงตาดอกท้อภายใต้หน้ากากหรี่ลงอย่างจับจ้อง 


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็เบิกตาโต อย่างประหลาดใจ ” เป็นนาง? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจดจ้องมองดูสาวน้อยในชุดกระโปรงสีเขียวที่พริ้วไหว นางก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ 


 


 


อันหว่านจือ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้กล่าวอะไร นางรอจนอันหว่านจือออกจากวังหลวงไป จึงค่อยติดตามไปอย่างเงียบๆ  


 


 


ไม่ได้พบกันมาหลายวัน บนร่างของนางกลับมีหมอกดำครอบคลุมอยู่ ถึงแม้จะอ่อนจาง ชนิดที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าก็ตาม กระทั่งตนเองยังต้องจ้องมองอย่างละเอียดจึงจะพบเห็น 


 


 


ในมือของนางถือกล่องใบหนึ่งเอาไว้ พอออกนอกวังนางก็เข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง สวมใส่ผ้าคลุมสีดำที่มีหมวก พอปิดหน้าด้วยหมวกคลุมสีดำนั้นลงมา ก็ทำให้คนดูลึกลับกว่าเดิม 


 


 


จากนั้นก็กวาดตามองไปทั้งสี่ทิศ พอแน่ใจว่าไม่มีคนเห็นนางแล้วถึงได้ขยับตัว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันติดตามนางมาจนถึงถนนทิศเหนือ เพราะเรื่องที่ท่านแม่ทัพผู้พิชิตได้รับบาดเจ็บ ทำให้ตลาดกลางคืนแห่งนี้ถูกสั่งปิดไปตั้งแต่แรก บริเวณโดยรอบจึงมีแต่ความหนาวเย็นและเงียบงัน กระทั่งเงาผู้คนก็ไม่มี 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนึกว่านางต้องการมาที่ตลาด แต่กลายเป็นว่า พอมาถึงทางเข้าตลาดแล้ว อันหว่านจือกลับชะงักฝีเท้าลง เดินไปในทิศทางตรงกันข้ามแทน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ติดตามไปในทันที 


 


 


ในมือของนางปรากฎแผ่นยันต์ขึ้นหลายใบ เพียงฉีกเบาๆ ยันต์เหล่านั้นก็กลายเป็นนกกระเรียนกระดาษมากมาย ตู๋กูซิงหลันว่าคาถาอยู่ครู่หนึ่ง นกกระเรียนกระดาษเหล่านั้นก็โบยบินขึ้นไปในอากาศ เพียงมีเสียงขยับปีกไม่กี่ครั้งก็หายไปใจไม่เหลือเงา 


 


 


วิญญาณทมิฬกระโดดออกมา ยามนี้ดวงจิตของมันแข็งแกร่งขึ้นมาก ทันทีที่กระโดดลงไปบนพื้นก็กลายร่างเป็นลูกสุนัขสีดำตัวเท่าฝ่ามือ 


 


 


มันสำรวจไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ มองดูว่ามีปีศาจฝันร้ายอยู่ในที่ใดหรือไม่ หากได้กลืนลงไปอีกสักหลายๆ ตัว ไม่แน่ว่าแม้แต่ร่างเนื้อมันก็อาจจะฝึกฝนจนเสกขึ้นมาได้ 


 


 


ตอนนี้ขนาดแค่กลืนลงไปตัวหนึ่งยังสามารถสร้างร่างเงาของของโลกก่อนขึ้นมาได้เลย 


 


 


มันก้าวเดินอย่างสง่างาม หลังสำรวจดูสี่ทิศโดนรอบก็ค่อยเงยขึ้นกล่าวกับตู๋กูซิงหลันว่า ” พลังชีวิตของเจ้ามันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ระวังจะชักศึกเข้ามาหาตนเองเถอะ “ 


 


 


ดูเอาเถอะ กระทั่งยันต์หุ่นเชิดยังเสกออกมาตั้งมากมายขนาดนี้ จุ๊ๆ ……มันเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจแทน 


 


 


สตรีผู้นี้ยามปกติจะเก็บซ่อนฝีมือเอาไว้อย่างมิดชิด ยันต์เหล่านั้นสามารถแบ่งร่างออกไปนับไม่ถ้วน ช่วยนางสำรวจว่ามีอันตรายใดๆ หรือไม่ 


 


 


ผู้มีอาคมที่แข็งแกร่ง ก็ยิ่งสามารถสร้างหุ่นยันต์เชิดได้มากมายเท่านั้นพลังชีวิตที่พวกมันแฝงเอาไว้ก็ยิ่งยาวนาน ยิ่งสามารถไปได้ไกลจากผู้สร้างมากกว่าเดิม 


 


 


ชาติก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งตู๋กูซิงหลันสามารถบังคับได้ทีเดียวนับร้อยตัว ยันต์หุ่นเชิดแต่ละตัวก็สามารถคงสภาพอยู่ได้นานถึงสามวัน 


 


 


ยันต์ชนิดนี้สิ้นเปลืองพละกำลังของร่างกายมาก นางต้องอาศัยความช่วยเหลือของหยกสรรพชีวิตจึงจะสามารถเสกออกมาได้สักครั้ง 


 


 


ครู่ต่อมานางค่อยเสาะหามุมที่ค่อนข้างลับตาในตลาดได้ จึงค่อยๆ แอบเข้าไป” 


 


 


พอปิดตาลงไปครู่หนึ่ง นางก็เห็นยันต์หุ่นเชิดตัวหนึ่งบินกลับมา หลังค้นหาติดตามอยู่ครู่หนึ่งมันก็หาอันหว่าจรือเจอเข้าแล้ว 


 


 


รอบด้านทั้งสี่ทิศล้วนมืดสนิท มีแต่เสียงบานหน้าต่างดังเอียดอ๊าดเบาๆ ภายใต้แสงอ่อนจาง คล้ายกันว่าสามารถมองเห็นเงาของคนกลุ่มหนึ่ง 


 


 


หนึ่งในเงาดำของคนกลุ่มนั้นดึงดูดความสนใจของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ เพราะว่าเงาดำนั้นไม่เหมือนกันกับเงาอื่นๆ ทั่วทั้งร่างเปี่ยมไปด้วนไอสีดำที่เข้มข้น จนทำให้แทบจะมองไม่เห็นร่างสีดำนั้นเลย 


 


 


” ท่านย่าสั่งให้ข้านำมันมามอบให้พวกท่าน ” อันหว่านจือหยิบกล่องที่ถือมาตลอดทางวางลงบนโต๊ะ 


 


 


พอเปิดกล่องออก ภายในก็มีขวดยาสีขาวใบหนึ่ง 


 


 


” ท่านย่ายังกล่าวว่า อย่าได้ใจร้อน สิ่งที่นายท่านต้องการจะช้าหรือเร็วย่อมต้องได้มา แต่อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น “ 


 


 


ว่าแล้วนางก็เสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง ” ช่วงนี้พวกเจ้าต้องเก็บตัวให้มากหน่อย อย่าได้เผยพิรุธอันใดออกไป” 


 


 


นางพูดพลาง หว่างคิ้วก็ยิ่งขมวดมุ่นขึ้นมา สีหน้าแฝงแววชิงชังรังเกียจ 


 


 


หนึ่งในคนชุดดำเข้ามารับยาไป กล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจว่า ” รบกวนแม่นางหว่าจรือแจ้งแก่กูกู ขอบคุณสำหรับยาเหล่านี้” 


 


 


อันหว่านจือขยับยกมุมผ้าคลุมหน้าเล็กน้อย ” ท่านย่าปรุงยาอย่างยากลำบาก พวกเจ้าก็ใช้อย่างประหยัดหน่อยเถอะ” 


 


 


” ขอรับ” คนชุดดำที่รับยาไปผงกศีรษะ พลางอธิบายว่า ” ที่การเคลื่นไหวครั้งนี้ล้มเหลว นั่นเป็นเพราะ…..” 


 


 


เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นว่าที่ที่มีไอดำเข้มข้นที่สุดนั้นก้าวออกมาด้านหน้า เขาสบัดแส้ในมือออกไปครั้งหนึ่ง ก็พุ่งผ่านกรอบหน้าต่าง ตรงเข้าใส่นกกระเรียนกระดาษจนร่วงลงมาอย่างแม่นยำ 


 


 


คนอื่นๆ ล้วนพากันตกตะลึงไป อันหว่านจือยิ่งรีบซ่อนใบหน้าของตนเองลงไปใต้ผ้าคลุมอีก  


 


 


ตอนที่นางออกมาจากวัง ก็ตรวจดูถึงสามรอบแล้วว่าไม่มีผู้ใดติดตามมา  


 


 


 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันที่แอบซ่อนตัวอยู่ในมุมห้องห้องหนึ่ง ก็เห็นว่าภาพเบื้องหน้าพลันเสื่อมสลาย ที่ติดตาในตอนสุดท้ายคือดวงตาที่ดูโหดร้ายราวกระบี่คู่หนึ่ง ซึ่งสามารถกรีดผู้คนเป็นชิ้นๆ ได้ 


 


 


” ถูกเจอตัวเข้าแล้ว ” นางลุกขึ้นยืน รีบเรียกยันต์หุ่นเชิดที่เหลือกลับมา 


 


 


ฝ่ายตรงข้ามมีที่มาไม่ธรรมดา สวมผ้าคลุมสีดำ มีแส้เหล็กเป็นอาวุธ ย่อมต้องเป็นคนที่พี่ใหญ่เอ่ยถึง 


 


 


สถานที่เมื่อครู่อยู่ใกล้ๆ ตู๋กูซิงหลันจึงไม่กล้าอยู่นาน นางยื่นมืออกไปรับตัววิญญาณทมิฬ ขยับตัวไม่กี่ครั้งก็หลบหนีออกมา  


 


 


แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ออกจากถนนทิศเหนือ เงาสีดำเงาหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาขวางนางเอาไว้ 


 


 


” คิดไม่ถึง ว่าในดินแดนต้าโจวจะมีผู้ที่รู้วิชาเวทย์อยู่ด้วย ” เงาสีดำที่เบื้องหน้าจับจ้องมองดูนางด้วยแววตาเยือกเย็น 


 


 


เขาสวมชุดคลุมสีดำตลอดร่าง ใบหน้าซ่อนอยู่ในหมวกคลุมหน้า เพียงเผยให้เห็นปลางคางและริมฝีปากล่างเท่านั้น 


 


 


ริมฝีปากซีด ดูอ่อนจางจนเกือบขาว 


 


 


สองมือของเขามีถุงมือสีดำ มือหนึ่งถือแส้ไว้ อีกมือหนึ่งคีบนกกระเรียนกระดาษเอาไว้ในมือ 


 


 


” เจ้ายอดเยี่ยมมาก น่าเสียดายฝีมือเช่นนี้กลับใช้ไปในทางที่ผิด วันนี้จึงเป็นวันตายของเจ้าแล้ว” คนชุดดำพูดแล้ว ก็ขยี้กระกระเรียนกระดาษจนเป็นผุยผง เพียงขยับนิ้วเบาๆ ก็เผาไหม้มันจนกลายเป็นขี้เถ้าไปในอากาศจนไม่เหลือสิ่งใด 


 


 


จากนั้นก็เห็นเงาของเขาพลันเคลื่อนไหว อยู่ท่ามกลางไอสีดำโดยรอบ พุ่งลงจากบนหลังคาตึกเข้าใส่จุดที่ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ แส้ในมือตวัดออกไปตรงหน้านาง 


 


 


แส้ที่ดูเหมือนจะฉีกแหวกอากาศได้นี้ส่งเสียงกรีดร้องออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชะงักเล็กน้อย คนก็ถอยไปด้านหลัง ปลายแส้จึงพุ่งผ่านริมหูของนางออกไป 


 


 


เสียงควับของแส้แทบจะกรีดลงไปบนผิวของนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกระโดดหลบหลีกอยู่หลายครั้ง ไม่ได้รับแส้ของคนผู้นั้นตรงๆ ในด้านวรยุทธ์นั้น กำลังของร่างนี้นับว่าด้อยกว่าตัวนางในโลกก่อนอยู่มามาย 


 


 


ถึงแม้ว่าครึ่งปีที่ผ่านนางจะฝึกฝนจนเพิ่มพูนขึ้นมากแล้วก็ตาม 


 


 


เห็นชัดว่าคนชุดดำที่อยู่ตรงหน้ามีฝีมือโหดเ**้ยมไม่ธรรมดา เมื่อครู่เขายังอยู่ในอีกที่หนึ่ง แต่เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามมาถึงข้างกายนาง เช่นนี้ย่อมไม่อาจรับมือได้โดยง่าย 


 


 


ก่อนที่จะทำความเข้าใจฝ่ายตรงข้ามให้ดี นางไม่จำเป็นจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงนี้ตรงๆ  


 


 


นางไพล่สองมือไปที่ด้านหลัง ดวงตาดอกท้อทอประกายเย็นชาที่ยากจะพบเจอ ในมือก็ล้วงยันต์แผ่นหนึ่งออกมา 


 


 


ริมฝีปากแดงสดคู่นั้นขยับ “นี่ต้องดูว่าเจ้ามีฝีมือเหมือนกันหรือไม่”  

 

 


ตอนที่ 162 มารหนุ่ม

 

ริมฝีปากแดงสดคู่นั้นขยับ “นี่ต้องดูว่าเจ้ามีฝีมือเหมือนกันหรือไม่” 


 


 


พอสิ้นเสียง ยันต์สีแดงแผ่นหนึ่งก็ถูกนางเขวี้ยงออกไปในทันที ยันต์สีแดงสำแดงฤทธิ์ รอบด้านก็พลันตกอยู่ในความมืดครึ้ม 


 


 


สายลมหนาวพัดโหม เสียงภูติผีพากันร่ำร้อง 


 


 


ที่เบื้องหน้าของชายชุดดำปรากฎหมอกสีดำชั้นหนึ่ง ในใจกลางหมอกนั้นคล้ายกับว่าจะมีเงาร่างสีแดงดุจเลือดมากมายอยู่ 


 


 


ที่ใต้เท้าของเขาบังเกิดเกิดแผ่นดินขยับ พอก้มลงไปมอง ก็เห็นมือขาวซีดเปลือยเปล่าคู่หนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้นดิน คว้ากุมขาของเขาเอาไว้ 


 


 


เล็บที่ยืดยาวนั้นจิกเข้าไปในผิวเนื้อของเขา 


 


 


ใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั้นมิได้แตกตื่นสนใจ เพียงยกฝ่าเท้าขึ้นก็เหยียบขยี้มือซีดขาวจนแหลก 


 


 


เขาส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมาครั้งหนึ่ง ทำให้เงาสีแดงที่อยู่รอบตัวตระหนกขึ้นมา เสียงกรีดร้องก็เบาบางลงจนแทบจะกลับไปเช่นเดิม 


 


 


นั้นเป็น……..พลังธาตุหยินที่รุนแรงยิ่งกว่าพวกมันมากมายนัก 


 


 


ภูติผีล้วนหวาดกลัวพลังที่แข็งแกร่งกว่าตนเองโดยธรรมชาติ พลังที่อีกฝ่ายกดดันออกมา ทำให้พวกมันล้วนไม่กล้าขยับ 


 


 


คนชุดดำจับจ้องไปยังจุดที่ตู๋กูซิงหลันอยู่เมื่อครู่ กล่าวเสียงเยือกเย็นออกมาคำหนึ่ง ” นกน้อยซ่อนตนในบุปผา” 


 


 


พอพูดจบมือใหญ่โตก็ขยับทันที แส้เหล็กในฝ่ามือบินออกไป พุ่งเข้าใส่ในทิศทางที่ต้องการค้นหาตู๋กูซิงหลันอย่างแม่นยำ 


 


 


ความรวดเร็วปาดสายฟ้านี้ ไม่เหลือช่องวางให้ผู้ใดได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


แม้ตู๋กูซิงหลันจะพลิกหลบอย่างรวดเร็ว แต่หัวไหล่ก็ยังคงถูกฉีกขาดจนเลือดไหลเป็นทาง 


 


 


” เจ้าตัวนี้ช่างโหดเ**้ยมดีเสียจริง มันไม่กลัวภูติผีวิญาณร้ายก็ยังแล้วไป แต่ว่ามันกลับสามารถหาตำแหน่งของเจ้าเจอจากค่ายกลลับได้ นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่? 


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็งงงันไป มันเริ่มขบเขี้ยวด้วยความตื่นเต้น กางกรงเล็บออกมาขูดพื้นราวกับสุนัข 


 


 


หากว่าได้รับอนุญาตเมื่อไหร่ มันก็พร้อมที่จะกระโดดเข้าไปกัดสักคำสองคำ 


 


 


แต่ว่ามันก็ยังไม่ขยับตัว 


 


 


ท่อนแขนของตู๋กูซิงหลันชุ่มโชกไปด้วยเลือด บาดแผลเริ่มเจ็บปวด เพียงแค่นางขยับเท้าเล็กน้อย ก็รู้สึกเหน็บชาไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีฝูงมดนับพันนับหมื่นไต่ลงไปในบาดแผล เข้าไปรวมตัวกันอยู่ตามเส้นโลหิต ความรู้สึกทรมานไร้ที่เปรียบนี้ ทำเอานางหายใจไม่ออก 


 


 


พี่ใหญ่………โดยพิษเช่นนี้เอง 


 


 


นางไม่ทันคิดว่าแส้ของอีกฝ่ายจะมีพิษ 


 


 


” หากว่าข้าเป็นเจ้า จะยอมตายอยู่เสียที่นี่ อย่างน้อยจะได้มีศพที่สมบูรณ์ ” คราวนี้ คนชุดดำหัวเราะเสียงเย็นออกมา 


 


 


ทั่วทั้งร่างของเขามีแต่ไอหยินกระจายออกมา แส้ที่โบกสะบัดอยู่ในมือราวกับเคียวแห่งความตาย แต่ละแส้ที่พาดออกมาล้วนพุ่งเข้าตู๋กูซิงหลันอย่างประสงค์ร้าย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคงยืนอยู่ที่เดิม วิญญาณทมิฬขวางอยู่เบื้องหน้านาง น่าเสียดายที่มันมีแค่ร่างจิต ถึงแปลงเป็งร่างหมาป่าก็ยังมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ จะปกป้องหรือกำบังอะไรก็ไม่ได้ 


 


 


หากยามนี้จะให้มันกรีดเลือดที่ก้นมาแก้พิษให้ตู๋กูซิงหลัน ก็ดูจะไม่ทันการเสียแล้ว 


 


 


แส้ที่โหดร้ายนั่นพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันได้แต่กัดฟัน พลิกมือตะปบแส้ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดรั้งแส้นั้นเอาไว้ จนมันถูกขึงเป็นเส้นตรงและเริ่มเกิดรอยฉีกขาด 


 


 


คนชุดดำตกตะลึงไปพักหนึ่ง น่าเสียงดายที่ตู๋กูซิงหลันใส่หน้ากากเอาไว้ชั้นหนึ่ง เขาจึงไม่อาจเห็นรูปโฉมของนาง 


 


 


แส้เหล็กรูดผ่านใจกลางฝ่ามือของนาง โลหิตมากมายไหลนองอย่างน่ากลัว 


 


 


ดวงตาที่เปล่งประกายของนางจับจ้องคนชุดดำ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เช่นนั้นเรากันมาใช้วิธีของคนตายจัดการกันดีกว่า” 


 


 


โลหิตสีแดงย้อมแส้เหล็กของเขา ทันใดนั้นตู๋กูซิงหลันก็หลับตาลง ริมฝีปากร่ายคาถาออกมา ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยหมอกชั้นหนึ่ง ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะพวยพุ่งออกมาจากร่างของนาง 


 


 


วิญญาณทมิฬตระหนกจนแทบจะร่ำร้องอย่างโหยหวน “อ้ายหย่า สวรรค์ทรงโปรด ลูกพี่ อย่าได้วู่วาม! “ 


 


 


คนที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง พลังในการต่อสู้ด้วยชีวิตช่างระห่ำไปแล้ว 


 


 


นางต้องการจะแยกร่างจิตของตนเองออกจากร่างเนื้อ คิดจะใช้ดวงจิตเข้าต่อสู้หรือ? หากว่าเกิดผิดผลาดขึ้นมา มีหวังดวงวิญญาญต้องแตกสลายนะลูกพี่! 


 


 


สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว ร่างของเจ้าของเดิมนี้ทางหนึ่งคือที่สถิตดวงจิตของนาง อีกทางคือสิ่งที่กักขังนางเอาไว้ 


 


 


หากหลุดพ้นจากการกักขังนี้ ต่อให้นางเป็นเพียงแค่ดวงจิต เจ้าของเล่นที่อยู่เบื้องหน้านี้ ก็มีแต่ต้องถูกสับจนแหลกเท่านั้น 


 


 


แต่นี่มันเสี่ยงเกินไปแล้ว วิญญาณทมิฬทั้งหวาดกลัวทั้งยำเกรง 


 


 


” พวกเราพูดกันดีๆ เถอะ อย่าได้วู่วาม ของร้องเจ้าแล้ว” วิญญาณทมิฬแทบร้องไห้ออกมา มันกับตู๋กูซิงหลันผูกพันด้วยสัญญาเป็นตาย หากว่าลูกพี่ผู้นี้ดับสิ้นไปแล้ว มันก็มีแต่ต้องสลายไปด้วย 


 


 


ในทางตรงกันข้าม หากว่ามันตาย ตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น นี่เป็นความไม่ยุติธรรมข้อหนึ่งในสัญญาที่ผูกพันนี้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้สนใจมัน ดวงจิตในร่างเนื้อกำลังขยับเขยื้อน บนหน้าผากของร่างจิตมีตราประทับสีดำสีดำอยู่ นั่นคือส่วนหนึ่งของหยกสรรพชีวิต 


 


 


ยามที่นางได้รับหยกนั้นกลับคืนมา มันก็ประทับร่างลงบนดวงจิตของนางแล้ว 


 


 


ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับเหล่าปีศาจ คนเช่นตู๋กูซิงหลันมีแต่สู้ตายอยู่แล้ว นางไม่เคยหวาดกลัวตายมาก่อน 


 


 


เมื่อต้องเผชิญกับพวกนี่ มันชัดเจนเลยว่าไม่ใช่สิ่งที่ร่างเนื้อของนางจะต้านทานได้ 


 


 


คนชุดดำที่อยู่ตรงข้ามตกตะลึงไป มันไม่ยอมให้เวลวาตู๋กูซิงหลันแม้แต่น้อย ก็กระชากแส้ของตนเองกลับไป โห่ร้องคำหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ตัวนาง 


 


 


เปลือกตาของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยฝอยโลหิต ดวงจิตที่แข็งแกร่งกำลังแยกออกจากร่าง 


 


 


ทันใดนั้น เงาสีแดงร่างหนึ่งก็โบยบินเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว ใต้เท้าของตู๋กูซิงหลันกลายเป็นว่างเปล่า นางยังไม่ทันได้เห็นชัดว่าเป็นผู้ใด ก็ถูกคนผู้นั้นโอบอุ้มเข้าไปในอ้อมอก ใต้เท้าของคนผู้นั้นบังเกิดสายลม เพียงไม่กี่ก้าวกระโดดก็พานางหลบหนีออกมาจากถนนทิศเหนือ 


 


 


เส้นผมที่เย็นฉ่ำของเขาพลิ้วผ่านใบหน้าของนาง จนทำให้คันนิดๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นคนผู้นั้นหนุ่มแน่นงดงามดุจปีศาจ ริมฝีปากแดงฉ่ำราวอาบเลือด ดวงตาดำดั่งน้ำหมึก สง่างามดั่งมารร้าย 


 


 


เพียงแต่รูปลักษณ์เช่นนี้ คล้ายกับคนผู้หนึ่งเหลือเกิน 


 


 


บุรุษหนุ่มผู้นั้นไม่กล่าววาจา เพียงโอบอุ้มนางโผบินไปตลอดทาง จากถนนหลักทิศเหนือ มุ่งสู่ถนนหลักทิศตะวันตก หลีกเร้นผู้คนไปตลอดทาง 


 


 


ร่างเนื้อและดวงจิตของตู๋กูซิงหลันกำลังแบ่งแยกไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกสกัดขวางอย่างกระทันหัน ทำเอานางแทบจะกระอักโลหิตออกมา อีกทั้งยังโดนพิษบนแส้ของคนผู้นั้น ตลอดร่างจึงอ่อนปวกเปียก สิ้นไร้เรี่ยวแรง 


 


 


ได้แต่ยอมให้บุรุษหนุ่มที่งามดังมารร้ายผู้นี้โอบอุ้มไป 


 


 


บุรุษหนุ่มโอบอุ้มนางไปถึงจวนที่สวยงามหลังหนึ่ง ก็พลิกตัวปีนกำแพงเข้าไป หลบลี้เข้าไปในห้องหับหลังหนึ่ง พอวางร่างนางลงบนเตียงได้ก็รีบปิดประตูให้สนิท 


 


 


จากนั้นก็เดินมาที่ข้างกายนาง ดวงตาที่งดงามดุจดวงตาของจิ้งจอกคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความร้อนรนและกังวลใจ ” เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? “ 


 


 


หน้ากากของตู๋กูซิงหลันแตกไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้สีเลือด ซีดขาว กระทั่งริมฝีปากก็ม่วงคล้ำ 


 


 


เพียงแต่นางพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ ดวงตาจับจ้องบุรุษหนุ่มอย่างไม่คลาดเคลื่อน 


 


 


บุรุษหนุ่มสวมชุดแดงที่ร้อนแรงตลอดร่าง เส้นผมที่ยาวสวยถูกมัดสูงเป็นหางม้า ปอยผมสองข้างแนบกับใบหน้า ดวงตาจิ้งจอกทอประกาย ยามที่เขาไม่กล่าววาจา ก็คล้ายกับว่าจะมีรอบยิ้มบางๆ ที่น่าหลงใหลประดับอยู่เสมอ 


 


 


รูปลักษณ์ที่ไม่แบ่งแยกชายหญิงเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเขามีน้ำเสียงของบุรุษ ตู๋กูซิงหลันคงจะต้องสงสัยในสภาพเพศของเขาแน่แล้ว 


 


 


” ขอบคุณที่เจ้าช่วยชีวิตของข้า แต่ข้าคิดว่าตนเองมีปัญหาใหญ่แล้ว คงยากที่จะช่วยเอาไว้ได้ ” ตู๋กูซิงหลันนอนอยู่บนเตียง ราวกับตัวหนอนที่ไร้กระดูดตัวหนึ่ง 


 


 


สีหน้าของบุรุษหนุ่มยิ่งร้อนรน ” เจ้าเป็นเพียงสาวน้อยนางหนึ่ง วิ่งเข้าไปต่อยตีกับตัวประหลาดนั่นทำไม? ตอนนี้รู้จักเจ็บจักปวดขึ้นมาแล้วหรือ? “ 


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะต่อว่า แต่ก็ล้วงเอายาสีขาวเม็ดหนึ่งออกมาจากในอก ป้อนให้นางด้วยตนเอง 


 


 


พอกลืนยาเม็กนั้นลงไป ทั่วทั้งร่างของตู๋กูซิงหลันก็เบาสบายขึ้นมาก สีม่วงบนริมฝีปากค่อยๆ จางหายไป  

 

 


ตอนที่ 163 น้องชายฝาแฝด

 

พอรู้สึกดีขึ้นบ้าง นางก็ถามบุรุษหนุ่มผู้นั้นออกไปว่า ” ไม่ทราบว่า…..ซูเม่ยกับเจ้าเป็นอะไรกัน? “ 


 


 


ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะเป็นคนอุ้มนางข้ามกำแพงมา ตู๋กูซิงหลันก็ยังคงมองเห็นป้ายหน้าประตูที่มีอักษรตัวโตเขียนว่า ‘จวนหย่งเฉิงอ๋อง’ 


 


 


ที่นี่คือบ้านของซูเม่ย 


 


 


หย่งเฉิงอ๋อง ซูอู๋มีธิดาสายหลักเพียงคนเดียว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเอนตัวลงบนเตียง พยายามผ่อนลมหายใจให้สงบลง มองดูบุรุษหนุ่มที่งดงามดุจมารร้ายผู้นั้น นางก็ชักจะมีคำถามขึ้นมามากมายเสียแล้ว 


 


 


อย่างเช่นว่า ทำไมอยู่เขาถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเหลือนาง? 


 


 


ทำไมถึงมียาถอนพิษ? 


 


 


ทำไม…..ถึงได้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับซูเฟยถึงแปดส่วน 


 


 


” ข้าเป็นน้อยชายฝาแฝดของนาง” บุรุษหนุ่มนั่งลงที่ข้างกายนาง คลี่ยิ้มให้อย่างสดใส ” ข้าเรียกว่าซูเยา[1]” 


 


 


” ซูเยา” ตู๋กูซิงหลันทบทวนชื่อของเขา ศิลปะในการตั้งชื่อของหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาช่างไม่ธรรมดาเสียจริงๆ 


 


 


พอได้ยินนางเรียกชื่อของตนเอง บุรุษหนุ่มก็ยิ้มให้นางอย่างอ่อนหวาน 


 


 


นางไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆว่าซูเม่ยมีน้องชายฝาแฝดด้วย 


 


 


คล้ายว่าเขาเองก็สังเกตเห็นความระแวงของนางได้ตั้งแต่แรก บุรุษหนุ่มจึงกล่าวให้ฟังว่า ” บิดาของข้ามีชะตาไร้บุตร ดังนั้นพอข้าเกิดมาจึงถูกส่งไปเลี้ยงดูที่อื่น เพราะเกรงว่าข้าจะต้องสิ้นไปตั้งแต่เยาว์วัย ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ได้แพร่งพรายออกไปสู่ภายนอก ดังนั้นเจ้าไม่รู้จักข้าก็ถือว่าธรรมดา” 


 


 


บุรุษหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น ” ตั้งแต่เล็กข้าก็ได้ฝึกฝนวิชากับอาจารย์ที่เป็นเซียนท่านหนึ่ง ท่านอาจารย์มอบยาให้กับข้าไว้ไม่น้อย พอดีมีเม็ดหนึ่งเป็นยาขจัดร้อยพิษ จึงให้เจ้ากินเข้าไป โชคดีที่มันได้ผล” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนอนฟังอย่างเงียบๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาอธิบายได้อย่างไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ 


 


 


นางจดจ้องมองเขา ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับซูเม่ย แต่ว่ากลิ่นอายบนร่างก็ไม่เหมือนกัน 


 


 


ซูเม่ยนั้นงดงามราวจุติจากฟากฟ้า ซูเยากลับคล้ายมารจำแลงเป็นมนุษย์ 


 


 


มีแก่นแท้ที่แตกต่างกัน 


 


 


” พอดีข้าจะมาร่วมฉลองครบรอบยี่สิบปีกับพี่สาว จึงได้ลอบกลับมาเงียบๆ ไหนเลยจะคิดว่าพอผ่านไปยังถนนหลักทิศเหนือ ก็ได้เผอิญเจอกับเจ้า” 


 


 


บุรุษหนุ่มทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็รินน้ำอุ่นให้นาง ส่งมาให้นางถึงจนถึงเบื้องหน้า 


 


 


ท่าทางที่ดูสนิทสนมเช่นนี้ คล้ายกับว่าเขารู้จักนางมานานนับสิบปีแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งค่อยยื่นมือออกไปรับ ถ้วยกระเบื้องเคลือบมีน้ำอุ่นกำลังพอดี ทำให้ความเย็นบนร่างของนางลดลงไม่น้อย 


 


 


” ตัวข้าฝึกฝนวิชาเซียนและศาสตร์เวทย์จากอาจารย์ ไม่เช่นนั้นวันนี้คงไม่อาจพาเจ้าออกมาได้โดยง่าย” 


 


 


สายตาของบุรุษชุดแดงทอประกายอบอุ่น ” ก่อนหน้านี้ยามที่ได้อยู่กับพี่สาว มักจะได้ยินนางเอ่ยถึงเจ้าบ่อยๆ เจ้ากับพี่สาวเป็นสหายสนิทกัน ก็นับว่าเป็นสหายของข้าด้วย” 


 


 


” ข้าอายุมากกว่าเจ้า เจ้าต้องเรียกข้าว่าเยาเกอเกอ (พี่ชาย) “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” เยาเกอเกอมารดาของเจ้าสิ! ขนลุกจนร่วงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ! 


 


 


พอสังเกตเห็นว่าทั่วทั้งร่างของนางมีปฎิกิริยาต่อต้าน เขาก็แก้คำพูดไหมว่า ” เรียกเยาเยาก็ได้” 


 


 


จะให้เรียกบุรุษตัวโตว่าเยาเยา ตู๋กูซิงหลันรู้สึกกระบิดกระบวนอยู่บ้าง 


 


 


พอเห็นสีหน้าที่ปฎิเสธของนาง บุรุษหนุ่มก็ดึงชายแขนเสื้อของนางขึ้นมา “พี่สาวบอกเสมอว่าเจ้านั้นดีที่สุดเลย ไม่เคยมีข้อแม้กับมิตรสหาย ข้าก็แค่อยากจะได้ยินเจ้าเรียกชื่อข้าสักครั้ง ไม่ได้หรือ? “ 


 


 


” ไม่ได้จริงๆหรือ? “ 


 


 


ชาติก่อนตู๋กูซิงหลันได้พบละอ่อนน้อยมาหลายคนพอสมควร แต่กลับไม่เคยเจอใครที่ดูยั่วเย้าเช่นบุรุษหนุ่มตรงหน้ามาก่อนเลยในชีวิต 


 


 


นางส่งเสียงรับคำในลำคอ ในที่สุดก็ยอมเรียกเขาออกมาคำหนึ่งว่า “เยาเยา” 


 


 


” อ๋าย” ดวงตาของบุรุษหนุ่มเป็นประกายขึ้นมาในทันที 


 


 


วิญญาณทมิฬ ” ข้าอยากจะบอกว่า จะอ้วกแล้ว ได้ไหม? “ 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หนุ่มเจ้าชู้นี้ช่วยชีวิตตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มันรู้สึกว่าเขาสมควรถูกส่งไปเผาในลำแสง X ชนิดเข้มข้นพิเศษเสียเลย 


 


 


เอาเถอะ……..จะอย่างไรใบหน้านั้นก็นับว่าน่าดูดุจมารร้าย ถือว่ายังไม่เลี่ยนมากเท่าไหร่ 


 


 


” ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย ทำไมเจ้าถึงได้ถูกเจ้าตัวประหลาดนั้นหมายหัวเอา จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้กัน ? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาดูเขาแวบหนนึ่ง ” ตัวประหลาด? ” เจ้ารู้ว่าคนชุดดำนั่นคือตัวอะไรหรือ? “ 


 


 


พอบุรุษหนุ่มที่เรียกว่าซูเยาเขยิบเข้าไปใกล้นาง นางก็สามารถได้กลิ่นหอมที่ไม่เหมือนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กลิ่นนี้แตกต่างกับกลิ่นกุหลาบบนร่างของซูเม่ย 


 


 


แต่จะอย่างไรนางก็ยังคงรักษาความระมัดระวังและสงสัยเกี่ยวกับบุรุษหนุ่มผู้นี้เอาไว้ บางส่วนของความรู้สึกบอกว่าเขาคือซูเม่ยที่ปลอมแปลงเป็นบุรุษ 


 


 


หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าบนอกของเขานั้นแบนจนราบเรียบ 


 


 


” ตอนที่ข้าฝึกฝนวิชากับอาจารย์ก็เคยเห็นมันมาก่อน บนร่างอบอวนไปด้วยไอดำ พกพาแส้กระดูกเหล็กชิ้นหนึ่ง ท่านอาจารย์บอกว่านั้นคือศพคืนชีวตที่ฝึกฝนวิชามานานหลายปี จนกลายเป็นสัตว์ประหลาด แส้กระดูดเหล็กที่เป็นอาวุธคู่มือของมันเกิดจากการนำกระดูกสันหลังของศพนับไม่ถ้วนมาหล่อหลอมจนสำเร็จ” 


 


 


บุรุษหนึ่งกล่าวแล้ว ก็จดจ้องมองดูนาง ” เจ้าสามารถรอดชีวิตมาจากกำมือของมันได้ ………นับว่าเป็นสตรีที่ฟ้าทรงเลือกสรรแล้ว! “ 


 


 


ชื่อของเขาเรียกว่าเยา แต่น้ำเสียงกลับยิ่งแฝงไอมารที่ยั่วเย้ายิ่งกว่า 


 


 


โดยเฉพาะเมื่อสวมใส่ชุดแดง ยามยกมือขยับเท้าล้วนมีพลังดึงดูดอย่างไม่สิ้นสุด 


 


 


อย่าว่าแต่การพูดเพียงสักประโยค ก็สามารถทำให้คนต้องขนลุกได้ถึงเพียงนี้ ราวกับว่าเขาเป็นจิ้งจอกจำแลง ที่ดึงดูดหลอกล่อเอาวิญญาณ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชะงักไปเล็กน้อย ค่อยยิ้มออกมา ” จริงด้วยสินะ อีกทั้งยังถูกเจ้าช่วยไว้อย่างบังเอิญ” 


 


 


ว่าแล้วตู๋กูซิงหลันก็กล่าวต่อว่า ” เจ้าช่วยเหลือเราเอาไว้ เราย่อมต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน จะอย่างไรพรุ่งนี้เจ้าติดตามเรากลับเข้าวัง พี่สาวเจ้าได้พบเจ้าในวังหลวง นางจะต้องยินดีอย่างแน่นอน” 


 


 


บุรุษหนุ่มฟังแล้วก็รีบส่ายศีรษะ “ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องการให้คนภายนอกรับรู้ตัวตนของข้า กับพี่สาวข้าก็เพียงแต่แอบพบกันเท่านั้น ข้าช่วยเหลือเจ้าด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องการให้เจ้ามาตอบแทน” 


 


 


” แต่หากว่าเจ้าต้องการจะตอบแทนจริงๆ…..” 


 


 


เขาอยากจะให้นางตอบแทนด้วยการอยู่เคียงข้างกันเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกว่าพูดเช่นนั้นออกจะขอมากเกินไป ผ่านมาถึงสิบเก้าปีแล้ว เขาพึ่งจะได้ใช้ฐานะบุรุษพบนางเป็นครั้งแรก หากว่ารุกล้ำมากเกินไป จนทำให้นางตระหนกหวาดกลัวขึ้นมาก็คงไม่ดี 


 


 


เขาชั่งน้ำหนักในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่ายศรีษะ ” หากว่าอยากตอบแทน ก็เล่าให้ข้าฟัง ว่าเจ้าร่ำเรียนวิชาเวทย์เหล่านี้จากที่ใด” 


 


 


นางที่เป็นเพียงสาวน้อย กลับหาญกล้าใช้กำลังต่อกรกับตัวประหลาดคืนชีพตนนั้น จะดูอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับอาหลันที่เขาเคยรู้จัก 


 


 


” อาจารย์ของข้าคือนักพรตอู้เจิน เขาเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ถ่ายทอดวิชาทั้งหมดที่เขาได้ศึกษามาให้กับข้า หากว่าเจ้าสนใจล่ะก็ ข้าสามารถขอให้เขาสั่งสอนเจ้าได้สักท่าสองท่า” 


 


 


ทุกครั้งที่โดนถามเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันเป็นต้องยกนักพรตอู๋เจินขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง 


 


 


ในอารามเทียนเก๋อ นักพรตอู๋เจินอยู่ๆก็จามออกมาติดๆกัน จากนั้นอยู่ๆก็นึกถึงไทเฮาน้อยขึ้นมา จนรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่าง 


 


 


” นักพรตอู๋เจินหรือ ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์เอ๋ยถึง เขาก็แค่นักพรตไม้แขวนเสื้อคนหนึ่ง หากว่าสามารถสั่งสอนศิษย์อย่างเจ้าขึ้นมาได้ ก็ต้องถือว่าบรรชนของเขาเฮี้ยนแล้ว “ 


 


 


บุรุษหนึ่งหัวเราะออกมา มองดูใบหน้ารูปไข่ของนาง ที่มีผิวดั่งทารกน้อย ก็อดที่จะคิดอยากหอมขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


คิดถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็กระชุ่มกระชวยเหลือเกิน 


 


 


รอยยิ้มของเขายังไม่ทันได้จืดจาง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก พ่อบ้านชราของตำหนักหย่งเฉิงอ๋องก็เข้ามาอย่างร้อนรน ” นะ……นายน้อย ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาที่ตำหนักของพวกเราอย่างกระทันหัน “ 


 


 


” อะไรนะ? ” บุรุษหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีไป พ่อบ้านชราเหลือบตามองดูตู๋กูซิงหลันที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาสับสนวุ่นวาย เข้าไปกระซิบที่ข้างหูของนายน้อยว่า ” ท่านอ๋องและพระชายา ต่างก็รับเสด็จอยู่ที่ห้องโถงแล้ว ฝ่าบาททรงรับสั่งเรียก ให้นายน้อยเข้าเฝ้า……..” 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] 妖 หรือ ‘เยา’ แปลว่า ปีศาจหรือมาร ส่อความหมายในทางยั่วยวน 

 

 


ตอนที่ 164 ลูกชายเอ๋ย ขอเถอะ อย่าได้เ...

 

” ท่านอ๋องและพระชายา ต่างก็รับเสด็จอยู่ที่ห้องโถงแล้ว ฝ่าบาททรงรับสั่งเรียก ให้นายน้อยเข้าเฝ้า……..” 


 


 


แม้น้ำเสียงของเขาเบามาก แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังคงได้ยินแล้ว 


 


 


จีเฉวียนนับว่าเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดจริงๆ ไม่ว่านางจะไปอยู่ที่ใด เป็นต้องพบเจอเขาอยู่ตลอด 


 


 


” ฝ่าบาทเสด็จมาที่ตำหนักหย่งเฉิงอ๋องด้วยเหตุใดกัน? ” บุรุษหนุ่มผู้นั้นนวดขมับด้วยท่าทางปวดศีรษะอย่างรุนแรง 


 


 


พ่อบ้านชราลังเลอยู่ครู่หนึ่งค่อยตอบว่า ” ฟังมาว่า…..ฝ่าบาทเสด็จมาพระราชทานราชโองการให้ด้วยพระองค์เอง” 


 


 


” หืม? “ 


 


 


” ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งพี่สาวของท่าน……เป็นหวงกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงทรงเสด็จมาพระราชทานราชโองการ” 


 


 


มารหนุ่มรู้จึกว่าสมองของเขาส่งเสียงลั่นดังเปรี้ยะ คนคล้ายจะโดนฟ้าผ่าลงมาตลอดร่าง 


 


 


เรื่องนี่ ทำไมเจ้าตัวอย่างเขาถึงไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนกัน?  


 


 


ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟย จากตำแหน่งนี้อาจจะได้เป็นฮองเฮาในภายหลัง ฝ่าบาทคิดจะโอบอุ้มเขาขึ้นไปสูงๆ จากนั้นค่อยปล่อยให้ตกลงมาตายหรืออย่างไร?  


 


 


” นายน้อย……จะอย่างไรก็ขอให้ท่านไปดูที่โถงหน้าก่อนเถอะ สีพระพักตร์ฝ่าบาทดูอึมครึมอย่างยิ่ง คล้ายกับจะเสวยผู้คนเข้าไปได้อยู่แล้ว” 


 


 


ท่าทางเช่นนั้นไหนเลยจะเป็นเพราะมาเรื่องหวงกุ้ยเฟยกัน” 


 


 


พ่อบ้านชราอดที่จะขนลุกจนตัวสั่นไม่ได้ นับตั้งแต่อายุได้หกขวบ เขาก็เริ่มทำงานรับใช้ในตำหนักนี้แล้ว นับไปนับมาก็มีมากกว่าหกสิบปี 


 


 


ยังจะมีเรื่องใดๆ ในตำหนักที่เขาไม่รู้อีกหรือ ก็ที่นายน้อยแต่งตัวเป็นหญิงมาตลอดหลายปีมานี้ เขาก็จับได้มานานแล้ว เพียงแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น 


 


 


ดูเอาเถอะ นายน้อยถึงวัยแล้ว เริ่มคิดถึงเรื่องความรัก ถึงขนาดอุ้มหญิงสาวกลับมาวางบนเตียงเช่นนี้ หากว่าท่านอ๋องและพระชายาเห็นเข้าละก็มีหวังคงได้ตีเขาจนขาหัก 


 


 


ดูท่าแล้วนายน้อยเข้าวังไปแล้วคงจะได้รับผลกระทบอะไรบางอย่าง……ถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา 


 


 


ภายใต้ผ้าโปร่งผืนบาง แม่นางน้อยบนเตียงดูอ่อนแอและนุ่มนวล ชายผ้าทิ้งยาวปิดบังใบหน้าของนางเอาไว้ จนทำให้เขาไม่อาจมองเห็นนางได้อย่างชัดเจน 


 


 


เขาเองก็ไม่กล้ามองมากไป ได้แต่เร่งรัดนายน้อยให้ออกไปด้านนอก 


 


 


ซูเยาขมวดคิ้วแนบแน่น เขาเดินเข้ามาถึงข้างตัวตู๋กูซิงหลัน ” พิษบนร่างเจ้ายังไม่ได้ถูกขจัดจนหมด อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ เจ้าอย่าได้เพ่นพ่านวุ่นวาย พักผ่อนอยู่แต่เพียงในห้องนี้เถอะ เข้าใจไหม? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองกิริยาที่แสนจะเป็นจริงเป็นจังของเขา นางรู้สึกคล้ายดั่งกับว่าตนเองคือชู้รักที่กำลังจะถูกสามีชาวบ้านจับได้คาเตียง 


 


 


ทั้งปิดบังทั้งแอบซ่อนราวกับกลัวว่านางจะถูกใครเจอตัวเข้า 


 


 


” อย่าได้ออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว รอจนข้าจัดการเรื่องราวเรียบร้อยหมดแล้วจะรีบมาหาเจ้านะ “ 


 


 


ยามที่เขาเดินจากไป ยังไม่วายหันกลับมากำชับนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่พยักหน้า ตอบตกลงไปคำหนึ่ง 


 


 


นางในตอนนี้ก็ไม่มีกำลังใดๆ พิษแม้ถูกถอนไปแล้ว แต่ว่าการบังคับแยกกายเนื้อและร่างจิตที่ถูกขัดขวางอย่างกระทันหัน ทำให้ร่างเนื้อนี้ได้รับผลสะท้อนกลับอย่างรุนแรง ตอนนี้จึงอ่อนแออย่างมาก คิดแต่เพียงจะนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น 


 


 


อีกอย่างสภาพของนางในตอนนี้ ก็ไม่มีหน้าออกไปพบกับใครเลยจริงๆ  


 


 


พอเห็นนางเชื่อฟังอย่างว่าง่าย ซูเยาถึงได้คลายใจลง ติดตามพ่อบ้านชราออกไปที่ห้องโถงเบื้องหน้าอย่างวางใจ 


 


 


ก่อนจากไป เขาไม่ลืมที่จะปิดประตูลงอย่างแน่นหนา อีกทั้งยังลงดานจากนอกประตูเอาไว้ด้วย 


 


 


 


 


 


………………………………….. 


 


 


 


 


 


ตำหนักหย่งเฉิง ห้องโถงหน้า 


 


 


 


 


 


ที่จริงยามนี้สีพระพักตร์ของหย่งเฉิงอ๋องและพระชายาต่างก็เขียวจนคล้ำแล้ว คนทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน มองดูฮ่องเต้ที่ทรงประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก ต่างก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไร้สาเหตุ 


 


 


ฝ่าบาทประทับนั่งอย่างสง่างาม ราศีของพระองค์เปล่งประกาย แม้ว่าจะเพียงแค่ประทับนั่งอยู่กลับดูเหมือนต้นสนพันปีอย่างไรอย่างนั้น ทั้งสูงส่ง สง่างามด้วยพระบารมี สุดที่ผู้อื่นจะเปรียบเทียบได้ 


 


 


ยามนี้ แม้กระทั่งห้องโถงที่มิได้หรูหราแต่อย่างใดของพวกเขา ก็ยังดูเริ่ดหรูขึ้นไปอีกมาก 


 


 


ขณะเดียวกัน ฝ่าบาทก็ทรงเริ่มเสวยน้ำชาเป็นถ้วยที่สองแล้ว 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภารยาต่างมองหน้ากันและกัน นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ยินข่าวว่าเจ้าลูกอกตัญญูผู้นั้นถูกเรียกให้ถวายตัวเป็นต้นมา จิตใจของทั้งสองก็เป็นอันไม่สงบมาโดยตลอด 


 


 


วันทั้งวันได้แต่อกสั่นขวัญผวา เกรงว่าวันใดวันหนึ่งเรื่องจะแดงขึ้นมา ถูกฝ่าบาทสั่งลงพระอาญา คนทั้งตำหนักหย่งเฉิงอ๋องของพวกเขาอาจจะต้องรับโทษปิดบังหลอกลวงเบื้องสูง 


 


 


พูดแล้วก็ได้แต่แอบหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น 


 


 


เจ้าลูกทรพีคนนั้น วันๆ ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้ดี กลับต้องการจะเข้าวังไปเป็นพระสนม เอะอะร้องไห้ขึ้นมาก็เอาแต่จะแขวนคอตาย ทำเอาพวกเขาสิ้นไร้หนทาง สุดท้ายได้แต่จำยอมส่งเขาเข้าวังไป 


 


 


บ้านอื่นๆ ล้วนแต่เฝ้าวาดหวังให้บุตรสาวได้รับการโปรดปราน พวกเขาช่างดีนัก เอาแต่กราบพระไหว้เทพเจ้าขอให้ฝ่าบาทอย่างได้สนพระทัยในตัวเจ้าลูกทรพีของตน 


 


 


ดังนั้นตอนที่เจ้าลูกทรพีเข้าวังไปแล้วก็บอกว่าต้องการจะไปเฝ้าสุสานยังเขาจงหลิง พวกเขาจึงพากันยกทั้งมือและเท้าสนับสนุน 


 


 


ไปที่ไหนล้วนดีทั้งนั้น ของเพียงแค่ไม่ใช่วังหลวง ไม่ต้องอยู่ร่วมกันฮ่องเต้ หัวใจของพวกเขาจะได้ไม่ต้องเอาแต่ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ทั้งวัน 


 


 


แต่ว่าตอนนี้นะสิ เขาไม่เพียงแต่กลับมาจากเขาจงหลิงแล้ว กลับยังถูกฮ่องเต้ให้ความสำคัญอีกด้วย ทุกค่ำคืนเป็นต้องถวายตัว ในวังยังมีแต่ข่าวลือออกมาว่า ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้เขาคลอดพระโอสรองค์แรกถวาย!  


 


 


ฟังเอาเถอะ ลูกชายของพวกเขาจะเอาอะไรคลอดลูกได้กันเฮ้อ?  


 


 


สองสามีภรรยาได้แต่เกลียดตนเองที่ตั้งแต่แรกก็เอาอกเอาใจเขามากไป แม้แต่เรื่องบ้าบอเช่นเข้าวังไปเป็นพระสนมเช่นนั้นก็ยังจะไปรับปากได้ 


 


 


หากจะโทษก็ต้องโทษที่พวกเขาสูญเสียบุตรชายติดต่อกันไปสี่คน ถึงได้บังคับเลี้ยงดูเจ้าห้าให้เป็นบุรุษในคราบสตรีมาตั้งแต่เล็กๆ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดต่อเขามาโดยตลอด ดังนั้นในยามปกติจึงได้รักใคร่เอาอกเอาใจสารพัด จนถึงขั้นมิว่าอยากได้อะไรเป็นต้องได้ไปหมด 


 


 


และเพราะความรักใคร่เอาอกเอาใจเช่นนี้ ทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกฎข้อห้ามใดๆ  


 


 


ยามนี้ล่ะดีเลย ถึงขนาดไปรังควาญฝ่าบาท 


 


 


ที่จริงพวกเขาก็สงสัยว่า ฝ่าบาทอาจจะทรงรู้ความจริงเรื่องความเป็นบุรุษของเจ้าลูกทรพีแล้วก็เป็นได้ ได้ยินมานานแล้วว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานรักใคร่บุรุษมาโดยตลอด ท่านราชครูก็เป็นบุรุษคนโปรดของพระองค์ 


 


 


แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทมิทรงได้แตะต้องพระสนมคนใดทั้งสิ้น พอโปรดจะแตะต้องขึ้นมาก็หยุดไม่ได้เสียอย่างงั้น 


 


 


นี่จะต้องเป็นเพราะว่าพระองค์ชื่นชอบบุรุษ เพราะฉะนั้นถึงได้โปรดปรานลูกชายของพวกเขา ส่วนเรื่องที่ถึงขั้นจะให้เขาคลอดพระโอรสอะไรนั้น คงจะเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น 


 


 


พอคิดมาถึงตรงนี้ หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา ก็อดที่จะน้ำตานองหน้าไม่ได้ วันนี้มันวันอะไรกันนะ 


 


 


เรื่องที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานบุรุษ สำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ควรจะยินดีหรือโศกเศร้ากันแน่น 


 


 


ฝ่าบาทประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน สีพระพักตร์ที่ราวกับว่ามีน้ำแข็งเกาะอยู่บนใบหน้ามาตลอดพันปี ช่างน่ากลัวเหลือเกิน 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ในที่สุดถึงได้มองเห็นเจ้าคุณชายตัวร้ายในชุดสีแดงนั้นเดินมาอย่างรีบร้อน 


 


 


ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่าเป็นใบหน้าที่ปราษจากอันตรายใดๆ แต่ว่ากลับดูร้ายบริสุทธิ์จนผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้ 


 


 


พอหย่งเฉิงอ๋องและพระชายาเห็นเขา วิญญาณก็แทบจะหลุดลอยไปครึ่งหนึ่ง สิบเก้าปีที่ผ่านมานี้ กระทั่งพวกเขายังไม่ค่อยได้เห็นลูกชายในชุดบุรุษสักเท่าไร พอมองดูไปในแวบแรก ก็นึกได้ว่าในบ้านมีบุรุษจิ้งจอกขึ้นมาคนหนึ่งเข้าจริงๆ  


 


 


เมื่อคิดถึงปีนั้นที่เขาเกิดมา รอบตำหนักของหย่งเฉิงอ๋องมีแต่สรรพสัตว์มาทำความเคารพ และที่เป็นผู้นำในฝูงนั้นก็คือจิ้งจอกตัวหนึ่ง ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านั้น บุตรชายผู้นี้ยิ่งเติบโตก็ยิ่งงดงามน่าดูดั่งนางฟ้านางสวรรค์ สมดั่งที่นักพรตผู้นั้นได้บอกเอาไว้จริงๆ  


 


 


สายพระเนตรหงส์ทั้งสองข้างของฝ่าบาทเองก็จับจ้องอยู่บนร่างของเขา ทรงเคยเห็นซูเม่ยที่เป็นสตรีมาจนคุ้นชินแล้ว พบเห็นเขาในฐานะบุรุษ ฮ่องเต้ก็ทรงแย้มสรวลขึ้นมา 


 


 


พอเห็นรอยยิ้มเช่นนั้น ก็ทำให้หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาลุกขึ้นมาในทันที อีกทั้งยังคุกเข่าลงไปถวายคำนับพระองค์ 


 


 


ซูเม่ยอยากจะเข้าไปประคองพวกเขาขึ้นมาเหลือเกิน เตี่ย (บิดา) และเหนียง (มารดา) จะอย่างไรก็เป็นถึงท่านอ๋องและพระชายา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของจีเฉวียนกลับไม่มีสิทธฺ์จะพูดจา 


 


 


” ฝ่าบาท เจ้าลูกทรพีหลบลี้จากโลกภายนอกมานานหลายปี ไม่รู้จักความสูงส่งของเจ้าฟ้าเจ้าสวรรค์ ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญา ” หย่งเฉิงลอบปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้า หัวใจแทบจะกระดอนออกมาจึงถึงคอหอยอยู่แล้ว 


 


 


ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ของต้าโจว ยังลึกล้ำกว่าที่พระองค์ทรงแสดงออกเพียงภายนอกจนไม่อาจคาดเดา ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ถวายความสนับสนุนพระองค์มาตั้งแต่ยังไม่ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 


 


 


แม้ยามปกติจะได้เข้าเฝ้า แต่ก็คิดจะอยู่ให้ไกลเข้าไว้ ด้วยเกรงว่าจะไปพูดผิดหรือทำพลาดอันใดเข้า 


 


 


จีเฉวียนเห็นแล้ว ก็วางถ้วยน้ำชาในพระหัตถ์ลง ลุกขึ้นเสด็จเข้าไปหา ยื่นพระหัตถ์ไปประคองหย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาด้วยตนเอง ” ท่านอ๋องกล่าวหนักไปแล้ว เรารักถนอมกุ้ยเฟย ย่อมเสมือนรักบ้านเผื่อแผ่นกกา เจ้าต้นกล้าโทนของท่านนี้ เราเองก็ชื่นชอบเขามากเช่นกัน “ 


 


 


 


 


 


——


 


 


爱屋及乌 = รักบ้านเผื่อแผ่ถึงนกกา = Love me love my dog


 


 


你家这根独苗 = เลือดเนื้อเชื้อไขที่เป็นลูกโทนของตระกูล 

 

 


ตอนที่ 165 เอากลับไปให้ตู๋กูซิงหลัน

 

” ท่านอ๋องกล่าวหนักไปแล้ว เรารักถนอมกุ้ยเฟย ย่อมเสมือนรักบ้านเผื่อแผ่นกกา เจ้าต้นกล้าโทนของท่านนี้ เราเองก็ชื่นชอบเขามากเช่นกัน “ 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาหวาดผวาขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็งงงัน 


 


 


ฝ่าบาทมิได้ทรงพบว่าเจ้าลูกทรพีเป็นบุรุษหรือ? 


 


 


” กุ้ยเฟยเชื่อถือเรา บอกเราว่านางมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง พึ่งจะกลับมาที่เมืองหลวง เราเกิดความสนใจ จึงได้มาดูเป็นพิเศษ ” จีเฉวียนตรัสพลางก็เหลือบพระเนตรไปมองดูมารชุดแดงผู้นั้น 


 


 


ซูเม่ยรู้สึกตัวชาไปทั่วทั้งร่าง เขารู้สึกมาตลอดมาตนเองประมาทฮ่องเต้ผู้นี้ไปเล็กน้อย ยามนี้ถึงได้พบว่า ไม่เพียงแต่ประมาทไปเล็กน้อย แต่ว่าเป็นประมาทมากเลยต่างหาก 


 


 


รอบนี้เท้าของเขาเพียงแค่ก้าวออกจากวังหลวง พระองค์ก็รีบเสด็จมาตามหาถึงจวนแล้ว 


 


 


หากจะบอกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ เขาก็ไม่มีวันเชื่อ 


 


 


พระองค์จะต้องจัดคนมาคอยเฝ้าติดตามตนเองแน่ๆ แต่ว่าตนเองไม่ทันได้รู้ตัว 


 


 


ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็หันไปกวักมือเรียกเขา ” มานี่สิ ให้เราได้เห็นน้องเขยเล็กผู้นี้อย่างชัดๆ “ 


 


 


น้อง! เขย! เล็ก! 


 


 


ช่างเป็นฮ่องเต้ที่รู้จักเล่นละครดีนัก คำพูดที่ไม่ไว้หน้าเช่นนี้ยังจะกล้าเอ่ยออกมาได้ 


 


 


ซูเม่ยได้แต่ชะงักงันไปจนรู้สึกหนังศีรษะชาวูบ ค่อยเดินไปถึงข้างกายเขา ถวายคำนับครั้งหนึ่ง ” บุตรชายของหย่งเฉิงอ๋องซูเยา ถวายพระพรฝ่าบาท “ 


 


 


ทั้งๆ ที่เป็นคุณชาย แต่กิริยายกมือวางเท้าของเขานั้นกลับน่าดึงดูดประทับใจ 


 


 


จีเฉวียนหรี่พระเนตรมองดูเขา พระองค์สามารถสูดได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ อย่างปิดไม่มิด 


 


 


ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นดอกฮว๋ายที่แฝงมาอ่อนๆ อีกด้วย 


 


 


ดวงตาที่แสนจะงดงามและดุดันคล้ายจะมีเข็มแหลมเล่มหนึ่งพวยพุ่งออกมา 


 


 


มันกับตู๋กูซิงหลันพึ่งสัมผัสใกล้ชิดกันมา? 


 


 


” ซูกุ้ยเฟยเป็นที่รักใคร่ของเราอย่างยิ่ง เราจึงมามอบราชโองการถึงตำหนักหย่งเฉิงอ๋องให้ด้วยตนเอง แต่งตั้งนางเป็นหวงกุ้ยเฟย รอจอนถึงวันที่นางได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการนั้น เจ้าก็เข้าไปร่วมอวยพรนางด้วยกันเถอะ” 


 


 


ซูเม่ยชะงักงันไป นี่ไม่ใช่ชัดเจนเลยว่าต้องการสร้างความยามลำบากให้เขาหรอกหรือ? 


 


 


เขาคือซูเม่ย และก็คือซูเยา จะปรากฎตัวขึ้นพร้อมกันได้อย่างไร 


 


 


สีพระพักตร์ของหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาปั้นยากอย่างยิ่ง เพียงพักเดียวหย่งเฉิงอ๋องก็รีบถวายคำนับกล่าวว่า ” ฝ่าบาท กระหม่อมถูกชะตาฟ้าลิขิต เพียงมีบุตรผู้นี้อยู่คนเดียว คนภายนอกล้วนไม่ทราบว่า หย่งเฉิงอ๋องเช่นกระหม่อมมีบุตรชาย ยามปกติกระหม่อมก็ควบคุมเขาอย่างเข้มงวดไม่ให้เขาไปพบผู้ใด ทูลขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่กระหม่อมอายุมากแล้ว ทั้งจงรักและภักดีต่อประเทศชาติมาโดยตลอด ขออย่าได้ให้ผู้คนภายนอกรู้ว่ามีบุตรผู้นี้อยู่” 


 


 


พระชายาเองก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน “ขอฝ่าบาททรงเมตตาพวกเรา” 


 


 


จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรมองดูสองสามีภรรยาพยายามช่วยกันอ้อนวอน ในใจก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา 


 


 


ซูเม่ยแม้จะเป็นชายแต่งกายเป็นหญิงมานานหลายปี แต่อย่างน้อยก็ยังได้รับการเลี้ยงดูด้วยมือที่รักใคร่ของบิดามารดา หากว่าเกิดเรื่องขึ้นมา หย่งเฉิงอ๋องเป็นต้องโผออกไปอ้อนวอนแทนเขาเป็นคนแรก 


 


 


แต่ชีวิตพระองค์เองกลับมีเพียงช่วงเวลาห้าปีสั้นๆ ที่ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวเท่านั้น วันคืนหลังจากนั้น มีแต่ความเหน็บหนาวเข้ากระดูก 


 


 


พระองค์ทรงเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยตรัสว่า ” เราโปรดปรานกุ้ยเฟย ย่อมต้องปกป้องคุ้มครองน้องชายของนาง ไม่มีเรื่องใดหรอก” 


 


 


อืม แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำอะไร’ซูเยา’ หรอก แต่ว่ากับซูเม่ยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 


 


 


ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทอดพระเนตรมองออกไปที่ด้านนอก “หิมะหยุดแล้ว ได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักของหย่งเฉิงอ๋องเป็นดั่งแดนเซียนในโลกมนุษย์ ยากนักจะหาโอกาสมาได้สักครั้ง เราอยากจะชมดูสถานที่ที่กุ้ยเฟยเติบโตขึ้นมานี้ให้ละเอียด 


 


 


ซูเม่ยได้ยินแล้ว ก็พลันคิดไปถึงเสี่ยวไทเฮาที่ถูกตนเองซ่อนเอาไว้ในห้อง ก็เข้าขวางทางเสด็จเอาไว้ “ฝ่าบาท ที่ด้านนอกมีแต่หิมะ ขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรหน้าดูเลยสักนิด หากอยากจะชมทิวทัศน์ละก็ พระองค์สามารถเสด็จขึ้นเขา ชมทะเลสาบ ที่ไหนๆ ก็ล้วนดีกว่าตำหนักของพวกเรามากนัก” 


 


 


หากว่าถูกฮ่องเต้ทรงพบว่าเขาซ่อนตัวอาหลันเอาไว้ เกรงว่าต่อไปหากเขาคิดจะได้พบอาหลันอีกสักครั้งก็คงยาก 


 


 


จีเฉวียนเพียงเหลือบพระเนตรมองดูเขาหน่อยนึง จากนั้นก็หันพระพักตร์ไปจดจ้องหย่งเฉิงอ๋องผู้เป็นบิดาของเขา 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องยกหัตถ์ซัดลงไปบนร่างซูเม่ยในทันที “ไร้สาระ เจ้าพูดพล่ามอะไรกัน! ทางขึ้นภูเขาในฤดูหนาวล้วนถูกปิด ทะเลสาบก็เป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว จะให้ฝ่าบาทเสด็จไปดูอะไร? “ 


 


 


ซูเม่ย “……..” ไม่รู้จริงๆ เลยว่า นี่เป็นบิดาแท้ๆ ของใครกันแน่! 


 


 


จากนั้นหย่งเฉิงอ๋องก็ถวายคำนับให้กับจีเฉวียนอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท พระองค์อย่าได้ทรงฟังเจ้าเด็กปากเหม็นนี้พูดจาเหลวไหล ตำหนักของกระหม่อมแม้จะไม่หรูหราเลอเลิศ แต่ว่าก็ปลูกพืชพรรณไม้ดอกเอาไว้เป็นจำนวนมาก ฤดูหนาวปีนี้หิมะตกค่อนข้างมาก แม้ต้นไม้จะแข็งตายไปจำนวนหนึ่ง แต่ที่เหลืออยู่ก็ยังงดงามดึงดูดผู้คน โดยเฉพาะสวนดอกซิ่วชิว (ไฮเดรนเยีย) ที่ผลิบานมากมายในฤดูหนาว ทั่วทั้งบริเวณนั้นล้วนแต่งดงามไปหมด” 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องก็คิดจะนำเสด็จฮ่องเต้ไปชมดอกไม้ด้วยตนเอง 


 


 


ซูเม่ยยิ่งปวดศีรษะมากกว่าเดิม ห้องที่เขาซ่อนอาหลันเอาไว้ ก็อยู่บริเวณที่เป็นสวนดอกซิ่วชิวนั่นเอง ตอนนี้เขาชักสงสัยอย่างหนักแล้วว่าบิดาจะต้องเป็นสายสืบของฮ่องเต้เป็นแน่ 


 


 


” เราเพียงแต่ต้องการไปเดินเล่นเท่านั้น หย่งเฉิงอ๋องมิได้ลำบากติดตามไป ” จีเฉวียนปฎิเสธเขา ก้าวเท้าเสด็จออกไป” 


 


 


ที่นอกเรือนยังมีสายลมเย็นพัดอยู่ ทำให้พระเกศาที่รวบไว้ครึ่งหนึ่งปิดปลิวตามลม 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาทอดสายตามองตามพระองค์ไป ในใจรับรู้ถึงความเสียดายอย่างที่สุด หากว่าเจ้าลูกทรพีเป็นสตรีจริงๆ และได้แต่งบุรุษผู้งดงามดั่งเทพเซียนเป็นสามีละก็ 


 


 


กระทั่งยามหลับฝันพวกเขาก็คงจะยังยิ้มไปด้วยเลย 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องเกรงว่าพระองค์จะทรงหลงทางอยู่ภายในจวน จึงยังคิดจะช่วยนำเสด็จ แต่จีเฉวียนทรงหันกลับมากวาดพระเนตรมองดูเขาแวบหนึ่ง 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องก็รีบถอยกลับไป ” ฝ่าบาทเชิญเสด็จเถอะพะยะค่ะ หากมีพระประสงค์ใด เพียงให้คนมาบอกคำหนึ่งก็พอแล้ว ทุกพื้นที่ทุกมุมของตำหนัก พระองค์ล้วนสามารถชมดูได้ตามพระทัย” 


 


 


เขาทูลแล้วก็ดึงเอาพระชายาของตนหลบไปด้านข้าง 


 


 


สายพระเนตรของฝ่าบาทเมื่อครู่นั้นน่าตระหนกจริงๆ ทั้งที่ทรงเจริญพระชนม์มากกว่าเจ้าลูกตัวร้ายนั่นเพียงไม่กี่ชันษา แต่ทำไมรัศมีรอบพระองค์จึงเปี่ยมไปด้วยประกายของเงาดาบเงากระบี่ที่หลอมขึ้นจากภูเขาน้ำแข็งพันปีเช่นนั้น 


 


 


ซูเม่ยอยากจะหาทางผนึกปากของผู้เฒ่าประจำบ้านของตนยิ่งนัก 


 


 


เขารีบตามไปที่เบื้องพระปรางค์ของจีเฉวียนอย่างไม่ย่อมแพ้ “ฝ่าบาท ให้ข้าได้ตามเสด็จพระองค์เถอะ” 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยามองดูท่าทางที่พยายามเข้าไปประจบฝ่าบาทของบุตรชาย ในใจก็พลันบังเกิดข้อสงสัยขึ้นมา 


 


 


หรือว่า……….พวกเขาล้วนเข้าใจผิดไป 


 


 


ไม่แน่ว่าเจ้าลูกทรพีอาจจะหลงชื่นชอบฝ่าบาทจริงๆ? ไม่อย่างนั้นตอนนั้นจะร่ำร้องจะเป็นจะตายเพื่อให้ได้เข้าวังไปเป็นสนมหรือ 


 


 


เจ้าลูกตัวร้ายคนนี้มีอุปนิสัยเช่นไรไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หากชื่นชอบสิ่งใดเป็นต้องคิดหาหนทางร้อยพันวิธีให้ได้มาไว้ในมือ 


 


 


จบกันแล้วๆ …..นี่จะต้องเป็นเพราะเจ้าลูกทรพีเป็นฝ่ายไปล่อล่วงฝ่าบาทก่อน พอฝ่าบาทถูกพระทัย หลงใหลวิญญาณหลุดลอย ถึงได้มีรับสั่งให้ถวายตัวทุกค่ำทุกคืน อีกทั้งยังโปรดแต่งตั้งเขาเป็นหวงกุ้ยเฟย 


 


 


ทั้งสองคนต่างรู้สึกสมองพองโตขึ้นมา พอหันไปมองดูเจ้าลูกทรพีที่เป็นดั่งมารร้ายยั่วยวน สายตาของพวกเขาก็ยิ่งวุ่นวายจนซับซ้อน 


 


 


ในพระทัยของหย่งเฉิงอ๋องมีน้ำตาหยาดหยด ตระกูลของพวกเขาล้วนแต่จงรักภักดีมาทุกรุ่น ทำไมอยู่ๆ ถึงมามีบุตรชายที่ล่อลวงเจ้าแผ่นดินขึ้นมาได้กัน! 


 


 


หากว่าวันหนึ่งบุตรผู้นี้เกิดล่อลวงฝ่าบาทจนพาลแต่งตั้งเขาเป็นฮองเฮาขึ้นมา หย่งเฉิงอ๋องคิดว่าเขากับพระชายาคงได้แต่แขวนตนเองไว้บนต้นไม้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ อาศัยความตายไถ่โทษแล้ว 


 


 


ยามที่รู้ตัวอีกที ฝ่าบาทก็เสด็จไปไกลแล้ว 


 


 


เจ้าลูกทรพีติดตามไปด้านหลัง หย่งเฉิงอ๋องก็รีบถลาเข้าไปลากคอของเขากลับมา 


 


 


” เจ้าลูกทรพีที่ไม่รู้จักกตัญญูและจงรักภักดี เจ้าไปคุกเข่าให้ข้าที่ศาลบรรพชนเดี๋ยวนี้! ” เขาโกรธเสียจนหนวดเคราปลิวกระจายดวงตาโปนแทบถลน ถึงแม้ว่าจะรักลูกเพียงไร แต่ไม่อาจทนมองดูให้เขาเดินไปในทางที่ไม่อาจหวนกลับเช่นนี้ได้ 


 


 


พระชายาเองก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา เอ่ยด้วยความปวดพระทัยว่า ” ลูกเอ๋ย เจ้าฟังคำพ่อแม่เถอะนะ อย่าได้ไปล่อลวงฝ่าบาทอีก เจ้าอยากทำให้ราชบัลลังก์สิ้นไร้ผู้สืบทอด ตนเองกลายเป็นที่ประนามหยามหยันของผู้คนไปอีกนับพันปีหรือไง? “ 


 


 


ซูเม่ย “??? “ 


 


 


เขาเป็นใครกัน เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ท่านพ่อท่านแม่พูดเรื่องอะไรอยู่? 


 


 


……………………………….. 


 


 


มุมต่างๆ ของตำหนักหย่งเฉิงอ๋องล้วนมีดอกไม้ผลิบานมากมาย แม้จะเป็นกลางฤดูหนาวก็ยังงดงามอย่างยิ่ง 


 


 


ท่ามกลามหิมะขาวบนพื้น จีเฉวียนทอดพระเนตรเห็นกลุ่มดอกซิ่วชิวสีม่วง (ไฮเดรนเยีย) ในฤดูหนาว ผลิบานไปทั่วงดงามน่าชมเป็นที่สุด 


 


 


เขาเด็ดออกมาสองดอก อดคิดจะเอาไปฝากตู๋กูซิงหลันไม่ได้ 


 


 


เด็กสาว คนไหนก็ชื่นชอบดอกไม้งามๆ ด้วยกันทั้งนั้น  

 

 


ตอนที่ 166 เงาหลังของนางงดงามอย่างที่สุด

 

ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันยังคงนอนอยู่บนเตียง ประตูถูกมารชุดแดงผู้นั้นลงดานเอาไว้จากภายนอก นางพักผ่อนร่างกายได้พักใหญ่แล้ว ในที่สุดก็ดีขึ้นบ้าง 


 


 


บนหัวไหล่ยังมีบาดแผลฉีกจากแส้อยู่ เลือดไหลเป็นทางจากหัวไหล่ไปถึงข้อมือ ชนิดที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องตกใจ ยังดีที่บาดแผลกินเนื้อไม่ลึก และตอนนี้เป็นฤดูหนาว จึงไม่ติดเชื้อโดยง่าย 


 


 


เพียงแต่บาดแผลจากแส้ที่สร้างด้วยกระดูกสันหลังของศพเช่นนี้ จะมากน้อยก็ต้องมีไอซากศพซึมเข้าไปในบาดแผล 


 


 


หากไม่รีบจัดการให้ดีละก็ จะทิ้งผลร้ายจนเกิดปัญหาใหญ่กับร่างกายนี้ได้ 


 


 


เจ้ามารผู้นั้นให้ยาถอนพิษแก่นาง ยังไม่ทันได้จัดการกับบาดแผลก็ถูกเรียกออกไปเสียก่อน 


 


 


ยามนี้ตู๋กูซิงหลันได้แต่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง นางถอดเสื้อผ้าออกข้างหนึ่ง เผยเรียวแขนทั้งข้างออกมา ดีที่ในห้องมีน้ำสะอาดอยู่อ่างหนึ่ง นางค่อยๆ ล้างแผล เลือดที่แข็งตัวไปแล้วละลายออกมา ผสมลงไปในน้ำ 


 


 


หน้าต่างห้องถูกแง้มเอาไว้เป็นช่องเล็กๆ กลิ่นคาวเลือดจึงกระจายออกไป 


 


 


จีเฉวียนที่ประทับอยู่ในสวนดอกไม้ ก็กวาดพระเนตรมองมาในทันที 


 


 


ประสาทสัมผัสในเรื่องกลิ่นของพระองค์ไวมาก โดยเฉพาะกับกลิ่นเลือด ดวงเนตรหงส์จดจ้องไปที่ประตูซึ่งถูกลงดานเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดอกซิ่วชิวในมือยังไม่ทันได้ถูกวางลง ก็เสด็จตรงเข้าไปทันที 


 


 


ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันล้างแผลเสร็จแล้ว วิญญาณทมิฬก็แทงตนเองแผลหนึ่งโดยไม่ต้องถาม มอบโลหิตหยดหนึ่งของมันให้แก่นาง 


 


 


โลหิตของมันไม่เพียงสามารถล้างพิษ ยังสามารถชำระไอศพได้ด้วย 


 


 


วิญญาณทมิฬพบว่าตัวมันชักจะกลายเป็นยาว่านหลิงตัน (ยาชุบชีวิต) เสียแล้ว ตำหรับวิเศษนี้ไม่ว่าใครต้องการเป็นต้องแจกให้เขาไปเสียหมด 


 


 


คิดแล้วมันก็ได้แต่คลำก้นน้อยๆ ของตนเอง กล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “เจ้าใช้ประหยัดๆ หน่อยเถอะนะ “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหยิบกระดาษยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง ใช้โลหิตของวิญญาณทมิฬวาดอักขระลงไป จากนั้นสะกิดปลายนิ้วสร้างดวงไฟสีฟ้าขึ้นมาเผายันต์ใบนั้น ค่อยนำเอาขี้เถ้าที่เหลือโป๊ะลงไปบนบาดแผล 


 


 


เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงซี่ๆ จากปากแผล และมีไอดำลอยออกมา 


 


 


” เจ้าสิ่งนี้ร้ายกาจจริงๆ ศพคืนชีพสามารถฝึกฝนได้จนถึงขนาดนี้ช่างหาได้ยากจริงๆ ” วิญญาณทมิฬลูบคลำปลายคางขณะพูดไปด้วย 


 


 


โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในโลกมิติใบนี้ ศพคืนชีพที่เคยพบเจอครั้งก่อนก็มีแต่เสียนไท่เฟยเท่านั้น แต่เสียนไท่เฟยนอกจากจิตใจที่ลึกซึ้งชั่วร้ายแล้ว ด้านอื่นยังไม่ถือว่าจะมีฝีมือสักเท่าใด 


 


 


เจ้าตัวที่ได้พบในวันนี้ นับว่าร้ายกาจกว่าเสียนไท่เฟยมากมายนัก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหัวคิ้วขมวดแนบแน่น ขี้เถ้ายันต์พอสาดโดนปากแผล ความรู้สึกนั้นยังเจ็บปวดแสบเสียยิ่งกว่าทาเกลือลงบนเนื้ออีก 


 


 


นางได้แต่ขบฟันอดทนเอาไว้ ศพคืนชีพผู้นั้น จะต้องมีความเกี่ยวพันกับอันหยวนกูกูที่อยู่ในวังหลวงเป็นแน่ 


 


 


ตอนนี้นางยังคงไม่เข้าใจ พวกเขาลงมือกับองค์หญิงใหญ่ไปเพื่ออะไร 


 


 


เพียงแต่มั่นใจว่าคนพวกนี้จะต้องคิดทำการณ์ใหญ่อย่างแน่นอน 


 


 


นับตั้งแต่ที่อันหยวนกูกูผู้นั้นกลับเข้าวังมา พวกนางสองคนก็ยังไม่เคยพบหน้ากัน รอให้บาดแผลหายดีก่อน ดูท่าจะต้องไปพบหน้าเข้าสักหน่อย 


 


 


ที่นอกห้อง จีเฉวียนประทับอยู่ที่ริมหน้าต่าง ทอดพระเนตรมองผ่านช่องแคบๆ จนมองเห็นเหตุการ์ด้านใน 


 


 


สาวน้อยหันหลังให้เขา นางถอดเสื้อผ้าลงไปกว่าครึ่ง จึงสามารถมองเห็นแผ่นหลังกว่าครึ่งหนึ่งได้อย่างชัดเจน ลำคอระหงดุจคอห่าน ลำแขนเรียวบางเป็นลายเส้นที่อ่อนช้อยงดงาม ผิวขาวสะอาดราวหยกเนื้อดีที่ส่องประกาย คล้ายดั่งเป็นสมบัติล้ำค่าในโลก 


 


 


จีเฉวียนพยายามมองผ่านสิ่งที่ดึงดูสายตาเหล่านั้นไป สิ่งสำคัญคือหัวไหล่ของนาง เขาได้ยินเสียงนางบ่นพึมพำ ทั้งยังเห็นเผากระดาษยันต์แผ่นหนึ่งโป๊ะลงไปบนบาดแผล 


 


 


และถึงแม้ว่าคนจะหันหลังให้กับเขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่านางกำลังเจ็บปวดอย่างมาก 


 


 


สาวน้อยยังคนพึมพำกับตนเองต่อไป ราวกับว่าที่ข้างกายนางมีอะไรอยู่ด้วย 


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ ซี่ๆ เย็นๆ ดังออกมา ร่างทั้งร่างพลอยสั่นสะท้าน บนหัวไหล่นั้นมีไอสีดำระเหยออกมาจนเขาสามารถมองเห็นได้ดวงตาเปล่า 


 


 


จีเฉวียนก็ไม่ครุ่นคิดให้มากอีกต่อไป เขากระชากหน้าต่างออก พลิกตัวเข้าไป 


 


 


สายลมเย็นพัดวูบเข้ามา ตู๋กูซิงหลันถูกลมเย็นพัดจนรู้สึกขนลุกกราว นางห่อไหล่หันหน้ากลับไปมอง พึ่งเอี้ยวตัวไปก็เห็นพระพักตร์ที่เย็นชาของจีเฉวียนยืนอยู่เบื้องหน้านาง 


 


 


ในพระหัตถ์ยังมีดอกซิ่วฉิวสีม่วงอยู่ด้วย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพบว่า บางครั้งเมื่อมีบุรุษเคียงคู่กับดอกไม้ ผลลัพธ์ที่ได้ยังออกมาแล้วน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าเป็นสตรีเสียอีก 


 


 


อย่างเช่นฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าพระองค์นี้ แม้ว่าจะยังมีพระพักตร์เป็นภูเขาน้ำแข็ง แต่ภายใต้การชักนำของดอกซิ่วฉิว พระองค์ดูแล้วอ่อนโยนขึ้นมาอีกหลายส่วน 


 


 


ที่ด้านนอกหน้าต่างคือทิวทัศน์ของสวนดอกไม้ลานหิมะ ทำให้ภาพของเขาในยามนี้ งดงามจนบอกไม่ถูก 


 


 


จีเฉวียนมองดูนางที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดขาวนั้นค่อนข้างประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นางลืมกระทั่งจะดึงเสื้อผ้านขึ้นมา 


 


 


ร่างกายที่อยู่ด้านเปล่าเปลือยจนเปล่งประกาย เส้นผมยาวเหยียดตรงลงมา ถูกสายลมพริ้วจนปลิวเบาๆ 


 


 


เห็นจีเฉวียนเอาแต่จดจ้องมองนิ่งงัน ตู๋กูซิงหลันจึงได้สติขึ้นมา นางจัดการสวมใส่เสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ค่อยยิ้มออกมาอย่าเก้อเขิน ” ฝ่าบาท บังเอิญจัง” 


 


 


กิริยาที่นางก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งนั้น กลับทำเอาจีเฉวียนรู้สึกเจ็บขึ้นมา 


 


 


เขาน่ากลัวมากนักหรือไง? 


 


 


เพราะมีใบหน้าดั่งเป็นภูเขาน้ำแข็งพันปี ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องหวาดกลัวอยู่หลายส่วน 


 


 


จีเฉวียนหันพระองค์กลับไปปิดหน้าต่าง จากนั้นค่อยเสด็จมาที่ข้างหน้านาง กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นเสียดแทงพระนาสิก อ่างน้ำที่มีโลหิตผสมจนแดงชานนั่นเตะตาอย่างยิ่ง 


 


 


เขาเสด็จเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลัน จนคนทั้งคู่ห่างกันเพียงก้าวเดียว เขาค่อยยื่นพระหัตถ์ออกไปดึงตัวตู๋กูซิงหลันเข้ามา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันในยามนี้เดิมที่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้ว พอถูกเขาดึง ขาก็อ่อนแรง จนเกือบจะล้มลงไปในอ้อมพระอุระ 


 


 


จีเฉวียนจัดการโอบอุ้มนางขึ้นมา วางลงบนเบาะอ่อนนุ่มบนเตียง 


 


 


ดอกซิวฉิวถูกเขาวางเอาไว้ที่ข้างเตียง พระองค์มิได้ตรัสสักประโยค ก็ยื่นพระหัตถ์ไปแก้เสื้อของตู๋กูซิงหลัน จนเผยให้เห็นบาดแผลที่ตรงหัวไหล่ 


 


 


ผิวเนื้อบนปากแผลฉีกขาด อีกทั้งบางส่วนยังเปลี่ยนเป็นสีดำ 


 


 


พระองค์ทอดพระเนตรดู อยู่ก็รู้สึกคล้ายกับว่าเป็นพระองค์เองที่ได้รับบาดแผลเช่นนี้ขึ้นมา 


 


 


หากว่าเป็นยามปกติ ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องมีเรี่ยวแรงมาดื้อรั้นกับเขา แต่ว่าตอนนี้นางอ่อนแอมากจริงๆ อีกทั้งยังคร้านจะเถียงกับเขาแล้ว 


 


 


จึงได้แต่ปล่อยให้จีเฉวียนคว้าหัวไหล่ของนางไว้ 


 


 


เจ้าฮ่องเต้สุนัขที่มีแต่ไอหยินหนาวเย็นไปทั้งร่าง ดูไปแล้วท่าทางดังจะกลืนคนอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ครู่ต่อมา ก็เห็นพระองค์ล้วงเอาสิ่งของออกมาจากในฉลองพระองค์ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่า ดูกันตามพระอุปนิสัยที่ชั่วร้ายแล้ว เขาจะต้องมาโรยเกลือให้นางแน่ๆ 


 


 


ที่ไหนได้เขากลับล้วงเอาขวดยาออกมา อีกทั้งยังมีผ้าสะอาดผืนหนึ่ง 


 


 


ในหัวของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมคนอย่างฮ่องเต้สุนัขถึงได้พกพาสิ่งของพวกนี้? 


 


 


ตามความเข้าใจที่นางรู้จัก จีเฉวียนสมควรจะเป็นคนที่พกพาพวกแก้วแหวนเงินทองถึงจะถูก 


 


 


จีเฉวียนมิได้ทรงสนพระทัยความงุนงงของนาง ยามที่เขายังเยาว์วัยมักจะได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ จึงกลายเป็นความเคยชินที่จะต้องพกพายาและผ้าพันแผล เพื่อเผื่อเอาไว้ก่อน 


 


 


เขาบีบมือของนางเอาไว้ แล้วยังใส่ยาให้นางด้วยพระองค์เอง 


 


 


แค่เพียงได้กลิ่น ตู๋กูซิงหลันก็รู้ว่า นี่เป็นยาจินหวงชั้นดี อีกทั้งวิธีการทายาของฮ่องเต้ยังนับได้ว่าชำนาญการอย่างยิ่ง 


 


 


พระหัตถ์ที่เย็นเฉียบค่อยๆ ไล้เนื้อยาลงไปบนรอบๆ ปากแผล สุดท้ายแล้วจึงค่อยใช้ผ้าสะอาดที่ทรงพกไว้พันแผลให้นางอย่างดี 


 


 


ถึงแม้สีพระพักตร์จะดำเคร่งเครียด และมิได้ตรัสสักถ้อยคำ แต่ก็ยังก้มพระเศียรช่วยนางพันแผลต่อไป 


 


 


รอจนทุกอย่างเรียบร้อย ก็ช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้า 


 


 


ขณะที่ใส่เสื้อผ้าให้นั้น ปลายประหัตถ์ก็สัมผัสผ่านผิวเนื้อของนางอย่างไม่ได้ตั้งพระทัย ทำเอาพระองค์รู้สึกว่าผิวเนื้อของนางช่างเหมือนลูกนกที่ออกจากเปลือกไข่ นุ่มละมุนยิ่งนัก 


 


 


ทำเอาแทบจะอดไม่ไหวที่จะลูบไล้อีกครา 


 


 


พอทรงคิดขึ้นมาได้ ฮ่องเต้ก็ทรงรู้สึกละอายกับความคิดไม่ดีเช่นนี้ 


 


 


พระองค์ทรงเก็บพระหัตถ์กลับไป ดวงเนตรหงส์จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน อย่างที่ทำให้นางไม่มีที่หลบหลีก 


 


 


ทรงตรัสถามเสียงเข้มว่า ” เจ้าคือผู้ใดกันแน่? “  

 

 


ตอนที่ 167 เราเด็ดมามอบให้คนอื่น

 

ทรงตรัสถามเสียงเข้มว่า ” เจ้าคือผู้ใดกันแน่? “ 


 


 


คำถามนี้ทำเอาตู๋กูซิงหลันชะงักไป 


 


 


เมื่อครู่นางกำลังใส่ใจเรื่องบาดแผล จึงไม่ทันได้ระมัดระวังว่าที่นอกหน้าต่างจะมีฮ่องเต้ถ้ำมองอยู่ 


 


 


ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว เมื่อครู่คงจะถูกเขาเห็นหมดแล้ว 


 


 


เฮ้อ………นางสมควรจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี 


 


 


หากว่าบ่งบอกความจริงกับเขาไป นางกล้าพนันว่า จีเฉวียนจะต้องส่งนางไป เผาบนกองไฟ จนไม่เหลือซากแน่ 


 


 


เพราะว่าเขาเคยขอเจ้าของร่างเดิมแต่งงานมาก่อน จะมากจะน้อยก็จะต้องมีความใส่ใจเจ้าของเดิมอยู่บ้าง 


 


 


หากรู้ว่า ร่างนี้ถูกเปลี่ยนคน จะยอมได้หรือ 


 


 


ก่อนหน้านี้ยามที่อยู่ในตำหนักเย็นเขาหาวิธีมากมาย มากลั่นแกล้งนาง นั่นอาจเป็นเพราะรักจนกลายเป็นเกลียด จึงได้ตั้งใจกันแกล้งนาง 


 


 


นางกระแอมเบาๆ มองเขาอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ “ฝ่าบาทท่านความจำเสื่อมแล้วหรือ? แม้แต่ข้าก็จดจำไม่ได้หรือ? “ 


 


 


ดวงตาหงส์ของจีเฉวียนหรี่มอง แสงสว่างในดวงเนตรราวกับว่าจะส่องเข่าไปให้ถึงภายในดวงตาของนาง เขาประทับนั่งลงที่ข้างกายนาง ” เจ้ารู้หรือไม่ โทษฐานเพ็ดทูลเบื้องสูงมีวิธีตายอยู่กี่แบบกัน? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ” ตัดหัว แขวนคอ ห้าม้าแยกร่าง? “ 


 


 


จีเฉวียน “……….” 


 


 


เขาเงียบงันไปชั่วครู่ ค่อยส่งยิ้มเย็นออกมา ” ยังมีแล่เนื้อถลกหนัง เผาหมดสิ้นตระกูล “ 


 


 


สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยความเสียดาย “โอ้ย แต่ว่าฝ่าบาทก็เป็นคนในครอบครัวของข้าเหมือนกัน ฝ่าบาทจะทรงประหารตนเองได้อย่างไร? “ 


 


 


ประโยคที่ว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ นั้นกระทบพระทัยของจีเฉวียนอย่างแรง นางเห็นเขาเป็นคนในครอบครัวเดียวกันจริงๆ หรือ? 


 


 


จากนั้นก็ยังได้ยินตู๋กูซิงหลันกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ที่จริงแล้ว หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าตนเองไปเพ็ดทูลเบื้องสูงที่ตรงไหนกัน” 


 


 


นางทำเหมือนบริสุทธฺ์ไร้เดียงสาเสียเต็มประดา หากไม่ใช่เพราะว่าเขารู้จักความสามารถในการแสดงของนางเป็นอย่างดี มีหวังต้องถูกนางหลอกลวงแน่นอน 


 


 


” อย่าได้ใช้วิธีนี้กับเรา ทุกสิ่งที่เจ้าทำเมื่อครู่ เราล้วนเห็นอย่างชัดเจน” จีเฉวียนตรัวต่อไป ” นอกจากชมนกเด็ดดอกไม้ และเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของต้าโจวแล้ว เจ้าก็เป็นแค่คนไร้ค่า” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” คนไร้ค่าอย่างข้าขอขอบคุณในคำชมของท่าน จริงๆ นะ 


 


 


” คนไร้ค่ากลับสามารถเรียนวิชาอาคมได้ในเพียงเวลาสั้นๆ ทั้งสามารถใช้ยันต์ และเพิ่มพูนกำลังวังชาได้ด้วย? “ 


 


 


ที่จริงนับตั้งแต่หลังจากเรื่องผึ้งพิษเป็นต้นมา จีจวนก็เริ่มสงสัยนางแล้ว 


 


 


แต่พอให้คนลอบตรวจสอบอย่างลับๆ ผลที่ได้ออกมา ก็ยังคงเป็นว่ารายงานเดิมนั้นไม่มีอะไรผิดพลาด ไทเฮานั้นเป็นแค่แจกันดอกไม้มาโดยตลอดจริงๆ 


 


 


แม้แต่เรื่องจำพวกแต่งกลอน เดินหมาก วาดภาพหรือเขียนอักษร นางก็ยังเรียนได้ไม่ดีสักเท่าไร 


 


 


ประสาอะไรกับเรื่องวิชาอาคมที่เป็นศาสตร์ลึกลับชั้นสูงพวกนั้นกัน? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันฟังแล้ว ก็จดจ้องมองเขากลับไป “ฝ่าบาท ทรงทอดพระเนตรมองหม่อมฉันให้ละเอียดสิเพคะ “ 


 


 


จีเฉวียน ” เราดูละเอียดพอแล้ว” 


 


 


” เช่นนั้นทรงมองออกหรือไม่ว่า พรสวรรค์ของหม่อมฉันนั้นซ่อนเอาไว้ได้อย่างเฉลียวฉลาดเพียงใด? เป็นความสามารถในการเรียนรู้ที่สูงส่งถึงเพียงไหน “ 


 


 


” เรารู้สึกว่าเจ้าดูไปคล้ายจะโง่งมอยู่บ้าง” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” อ้ายยะ มาอย่างงี้ก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว 


 


 


ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไปตายเสีย! 


 


 


” ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันนั้นเป็นพวกซ่อนคมในฝัก ก่อนหน้านี้ตอนเรื่องของเสียวไท่เฟยก็ทรงทราบแล้วมิใช่หรือเพคะ? หม่อมฉันได้ทุ่มเทเพื่อต้าโจว จึงได้ไปเล่าเรียนมาเป็นพิเศษ” 


 


 


ว่าแล้วตู๋กูซิงหลันก็อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ” หรือไม่ก็ สวรรค์ทรงสงสาร เห็นว่าข้าเป็นคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงได้มีเมตตาต่อข้าเป็นพิเศษ ให้ข้าได้มีพรสวรรค์ในทางนี้ ทั้งยังมอบกำลังวังชาให้” 


 


 


พูดแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ถกแขนเสื้อขึ้นมา ยื่นไปถึงเบื้องหน้าของเขา เผยให้เห็นข้อมือที่มีรอยแผลเป็นดุจรอยตะขาบตัวหนึ่ง 


 


 


” ไม่เช่นนั้นฝ่าบาททรงเห็นว่าข้าเป็นเช่นไรกัน? “ 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูบาดแผลทั้งเก่าและใหม่ของนาง อีกทั้งท่าทางที่คล้ายเสียใจเพราะได้รับความไม่ยุติธรรม ก็ไม่กล้าหักใจไต่ถามนางอีก 


 


 


จริงสินะ หากว่านางยังคงเป็นตู๋กูซิงหลันคนเดิม เขาจะทำเช่นไร? 


 


 


ฆ่านาง? 


 


 


ไม่ต้องพูดถึงว่าจะฆ่านาง ตอนนี้แค่เห็นว่านางได้รับบาดเจ็บ ในพระทัยก็ราวกับถูกดาบแทงเข้าแผลหนึ่งแล้ว 


 


 


” ตู๋กูซิงหลัน เราหวังว่าเจ้าจะคิดดูให้ดี สิ่งที่สมควรจะสารภาพออกมาตนก็ควรทำให้กระจ่างจึงจะดีที่สุด ” เขาตรัสต่อไป “หากสารภาพจะได้รับความเมตตา “ 


 


 


“ฝ่าบาท พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หม่อมฉันไม่ว่าจะมีเรื่องใดย่อมไม่ปิดบังพระองค์อยู่แล้วเพคะ ” ตู๋กูซิงหลันยิ้มหวานให้กับเขา 


 


 


ช่วงนี้ถูกเรื่องต่างๆ รบกวนมากเกินไป จนตัวนางเกือบจะลืมไปแล้วว่า ตนเองมีเป้าหมายที่จะต่อต้านพลิกกระดานเขาอยู่ 


 


 


จีเฉวียนยามนี้เกิดความสงสัยในตัวนางอย่างหนักแน่น หากว่ามีวันหนึ่งถูกเขาจับทางได้ขึ้นมา การจะต่อต้านนี้คงจะพลิกไม่ขึ้นเสียแล้ว 


 


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็รีบหลุบตาลง ด้วยกลัวว่าเจ้าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้จะเฉลียวฉลาดจนเกินไป จนมองทะลุจิตใจของนาง 


 


 


พอก้มหน้าลงก็มองเห็นดอกซิ่วฉิวที่ข้างเตียง จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อไปเป็นว่า ” ดอกไม้นี่สวยงามจริงๆ “ 


 


 


จีเฉวียน ” เราเด็ดมามอบให้ผู้อื่น” 


 


 


นิ้วมือที่ยื่นออกไปของตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้สัมผัสดอกซิ่วฉิวก็หดกลับมา “เสี่ยวซูเฟยจะต้องชื่นชอบแน่นอน” 


 


 


เรื่องมอบดอกไม้ให้แก่กัน เป็นเรื่องสานเสริมความสัมพันธ์ที่สามีภรรยาควรจะทำอยู่แล้ว 


 


 


ดอกไม้นี้เป็นของที่จีเฉวียนจะมอบให้กับผู้อื่น นางไม่ควรจะไปแตะต้อง 


 


 


อีกสักครู่ตนเองค่อยไปที่สวนเด็ดมาสักหลายดอกก็พอแล้ว 


 


 


จีเฉวียนเงียบงันไปครู่หนึ่ง คำพูดที่มารออยู่ถึงริมพระโอษฐ์ก็เปลี่ยนเป็นว่า ” ใช่ เราจะนำกลับวังไปมอบให้กุ้ยเฟย นางชอบพวกดอกไม้ดอกๆ ดวงๆ เช่นนี้ที่สุด “ 


 


 


ดอกๆ ดวงๆ ดอกซิ่วฉิวนี้สูงส่งงดงามจะตาย 


 


 


ยามที่จีเฉวียนทรงตรัสนั้น สายพระเนตรมิได้แปรไปจากร่างของนางเลย ” เราลืมบอกเจ้าไป ที่จริงซูกุ้ยเฟยได้รับการแต่งตั้งจากเราเป็นหวงกุ้ยเฟยแล้ว” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ” ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท” 


 


 


จีเฉวียน ” หลังจากเป็นหวงกุ้ยเฟย ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ” อืม เสี่ยวซูนั้นดีมากเลย มองจากแง่มุมต่างๆ แล้ว เหมาะสมกับฝ่าบาทยิ่งนัก” 


 


 


จีเฉวียนทรงรู้สึกว่าตนเองไร้คำพูดจะกล่าว ดูดวงตาของนางสิ เปล่งประกายเสียขนาดนั้น 


 


 


เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยคิดถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องขึ้นมาได้ ” ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่ตำหนักของหย่งเฉิงอ๋องได้กัน? “ 


 


 


ยามที่องครักษ์ลับที่เขาสั่งให้จับตาดูซูเม่ยเข้ามารายงาน บอกว่าซูเฟยแต่งกายเป็นชายลอบออกจากวังหลวงไป อีกทั้งยังนำตัวหญิงสาวที่สวมหน้ากากผู้หนึ่งมาจากถนนหลักทิศเหนือ 


 


 


ยามนี้คิดย้อนกลับไป หญิงสาวผู้นั้นคงจะเป็นนางอย่างแน่นอน 


 


 


ซูเม่ย………นำตัวนางกลับมา ขังเอาไว้ในห้อง เสื้อผ้าก็ไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุ่ยร่าย 


 


 


ดังนั้นเขาจึงตรัสถามไปอีกว่า ” เจ้าคนกระล่อนผู้นั้น มันทำอะไรเจ้าหรือไม่? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ค่อยคิดออกว่า ‘คนกระล่อน’ ผู้นั้นหมายถึงใคร 


 


 


” ท่านหมายถึงซูเยานะหรือ เขาช่วยข้าไว้ ” ตู๋กูซิงหลันตอบ ” คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซูเฟยจะมีน้องชายฝาแฝดอยู่คนหนึง นี่ถือเป็นวาสนา กลับได้พบกับเขาที่กลางถนน” 


 


 


จีเฉวียนหัวเราะเย็นอยู่ในพระทัย วาสนาที่ดีนัก 


 


 


พระองค์จับซูเม่ยขังเอาไว้ที่ข้างกายอยู่ทุกคืน ทำให้เขาไม่มีโอกาสไปเข้าใกล้ตู๋กูซิงหลัน เขากลับคิดหาหนทางหลบหนีเป็นร้อยเป็นพัน พอออกจากวังมาได้ครั้งหนึ่งก็รีบมารับบทวีรบุรุษช่วยเหลือหญิงสาวเชียวหรือ? 


 


 


เขาต่างหากที่ส่งสุดยอดองครักษ์ลับไปปกป้องนาง ซูเม่ยมีโอกาสได้แสดงฝีมือที่ไหนกัน? 


 


 


นานอีกครู่ใหญ่จีเฉวียนค่อยตรัสตอบว่า ” เจ้านั่นนะเป็นแค่จิ้งจอกที่ไว้ใจไม่ได้ตัวหนึ่ง บุญคุณช่วยชีวิตนี้เราจะตอบแทนเขาแทนเจ้า ต่อไป เจ้าก็อยู่ให้ห่างจากเขาหน่อย “ 


 


 


ยามนั้น พ่อบ้านชราของหย่งเฉิงอ๋องก็ผ่านมาทางนี้เข้า เขาเผอิญได้ยินเสียงบุรุษดังออกมาจากด้านใน 


 


 


นะนี้……สตรีที่นายน้อยพากลับมา กำลังลักลอบพบปะกับผู้อื่นในตำหนักหย่งเฉิงอ๋องของพวกเขา?  

 

 


ตอนที่ 168 นางเป็นหญิงเลว

 

ยามที่นายน้อยอยู่ในห้อง เขาเหลือบมองสตรีผู้นั้นอยู่สองครั้ง ถึงไม่ได้เห็นนางอย่างชัดเจน แต่ดูจากรูปร่างแล้วจะต้องเป็นหญิงที่งดงามอย่างแน่นอน 


 


 


นางมีความสามารถถึงขนาดทำให้นายน้อยนำกลับมาที่ตำหนักได้ สตรีผู้นี้จะต้องมิใช่ธรรมดา 


 


 


ตอนนี้ยิ่งลอบพบปะกับบุรุษอื่นลับหลังนายน้อยหรือ? 


 


 


พ่อบ้านชรารู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องรีบกลับไปรายงานท่านอ๋องและพระชายา เพราะยามนี้ฝ่าบาทยังประทับอยู่ในตำหนักของพวกเขา หากว่าถูกฝ่าบาทพบเรื่องที่ไม่ควรนี้เข้าละก็ เกียรติยศของตำหนักหย่งเฉิงอ๋องของพวกเขาก็คงไม่มีเหลือแล้ว 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบไปที่โถงหน้าโดยทันที 


 


 


……………………………………….. 


 


 


ซูเม่ยถูกหย่งเฉิงอ๋องไล่ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน ป้ายวิญญาณของเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายตั้งตระหง่านอยู่เรียงราย สายเลือดที่หย่งเฉิงอ๋องสืบทอดมานี่ หากนับขึ้นไปทั้งสิบแปดรุ่นแล้วล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ด้วยกันทั้งนั้น หลายปีมานี้พวกเขาไม่เคยถูกรบกวนด้วยเรื่องใดๆ มาก่อนเลย 


 


 


ต้นบรรพชนที่อยู่ในอันดับแรกของบันทึกสายตระกูลนั้น ยังคล้ายจะเป็นถึงชั้นเซียนมาแล้วเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ตอนนี้ในใจของเขามีแต่ตู๋กูซิงหลัน ที่นอกศาลบรรพชนล้วนแล้วแต่เป็นคนสนิทของหย่งเฉิงอ๋อง แต่ละคนล้วนเบิกตาจนโตกว้าง เกรงว่าเขาจะหาทางวิ่งหนีไป 


 


 


หากซูเม่ยคิดจะปลอมตัวก็ยังยาก 


 


 


…………………………………… 


 


 


ภายในโถงหน้า หัวใจของหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยายังไม่ทันจะสงบลง ก็เห็นพ่อบ้านชรารีบร้อนวิ่งเข้ามาทางนี้ กระซิบกระซาบที่ริมหูอยู่หลายประโยค 


 


 


” ไอ้ ไอ้ลูกทรพีมีแม่เป็นสุนัข มันถึงกลับกล้า กล้าเอาสตรีกลับมา ทั้งยังขังไว้บนเตียงอยู่ในห้อง? ” หย่งเฉิงอ๋องโกรธเสียจนแทบจะกระอักเลือดออกมา 


 


 


พระชายาจับผ้าเช็ดหน้าในมือฟาดใส่หน้าเขา ” ท่านอ๋อง ท่านด่าใครกันเหอะ? “ 


 


 


มีแม่เป็นสุนัขอะไรกัน คำพูดพวกนี้ท่านพูดออกมาได้หรือ? 


 


 


ฮูหยินอย่าได้มีโทสะ ข้าแค่ว่าไปตามอามารณ์เท่านั้นหรอก” หย่งเฉิงอ๋องตบอกระบายอามารณ์ ” เจ้าดูเอาเถอะ ก่อนหน้านี้มันไปร่ายเสน่ห์ใส่ฝ่าบาทเอาไว้ก่อน ตอนนี้ก็พาหญิงสาวกลับมา นี่มิใช่ว่าคิดจะสวมหมวกชายชู้ใบใหญ่ให้กัยฝ่าบาทหรืออย่างไร? “ 


 


 


พระชายาได้ยินแล้ว ผ้าเช็ดหน้าในมือก็ถูกบิดจนแน่นกว่าเดิม นางกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ” อย่าได้โทษบุตรของท่านเสียทั้งหมด หากว่าลูกชายข้าสามารถเติบโตอย่างคนปกติ ไหนเลยจะทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้? “ 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด เขาร้อนใจจนต้องย่ำเท้าไปมา ” เอาเถอะๆๆๆ โทษข้า ต้องโทษข้า ฮูหยินโปรดอย่าได้ร้องไห้ “ 


 


 


เขาทางหนึ่งปลอบประโลมพระชายา ทางหนึ่งก็กล่าวว่า ” ฮูหยิน เจ้าลูกทรพีนำสตรีกลับมาก็แล้วไปเถอะ กลับนำคนที่ไม่รู้จักสำนึกตนถึงกลับกล้าลอบพบปะคนอื่นในตำหนักหย่งเฉิงอ๋อง” 


 


 


” เจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ ให้ข้าไปดูเสียก่อน หากว่านางเป็นหญิงเลวแพศยาจริงๆ ข้าจะขับไล่นางออกไปทันที” 


 


 


” ท่านยังรู้จักแยกแยะสตรีดีเลวได้ด้วยหรือ? ” พระยาชาถลึงเนตรจ้องเขาอย่างเสียอารมรณ์ไม่ได้ ” ข้าก็จะไปดูด้วย ดูสิว่าเป็นนางมารยั่วสวาทมาจากไหนกัน แม้แต่บุตรชายของข้ายังสามารถยั่วยวนจนหลงใหลไปได้ “ 


 


 


ในสายตาของหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา เกรงว่าในโลกนี้คงจะไม่มีผู้ใดที่งดงามไปกว่าเจ้าลูกทรพีของพวกเขาไปได้แล้ว 


 


 


ประเด็นสำคัญคือยามนี้ฝ่าบาทยังประทับอยู่ที่นี่ แผนเฉพาะหน้าย่อมไม่อาจให้ฝ่าบาททรงรู้ ว่าลูกทรพีถึงกับปลูกหญ้าเขียวเอาไว้บนพระเศียรแล้ว 


 


 


ว่าแล้ว พระชายาก็เสด็จนำไปก่อนก้าวหนึ่ง 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องรีบติดตามไป ทั้งยังสั่งให้พ่อบ้านเรียกองครักษ์อีกหลายคนตามมาด้วย 


 


 


……………………………………… 


 


 


ภายในห้อง จีเฉวียนมิได้ทรงมีท่าทีคิดจะเสด็จจากไป 


 


 


ดวงเนตรหงส์ยังคงมุ่งแต่จดจ้องตู๋กูซิงหลันอยู่เช่นเดิม ” ติดตามเรากลับวัง “ 


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม บาดแผลของนางก็ดูแล้วหนักหนาอยู่มาก บาดแผลเช่นนี้ใช้น้ำอ่างเดียวล้างจะสะอาดได้อย่างไร จะต้องกลับไปให้หมอหลวงจัดการให้ดี 


 


 


” อาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ยังไม่ดีขึ้น ข้า…” ตู๋กูซิงหลันคิดแต่เพียงว่ารอให้บาดแผลของตู๋กูจุนดีขึ้นสักหน่อยค่อยกลับเข้าวังไป 


 


 


” เราส่งหมอหลวงไปที่จวนตระกูลตู๋กูแล้ว มีผู้ชำนาญการดูแล เขาย่อมไม่เป็นอะไร ” จีเฉวียนตรัส ” เขาเป็นแม่ทัพผู้พิชิต ไม่ได้อ่อนแอเช่นเจ้า “ 


 


 


” อีกไม่นานก็จะสิ้นปีแล้ว ในวังจะต้องมีงานเลี้ยงพระราชทาน เจ้าเป็นไทเฮา ย่อมไม่อาจขาดไปได้” 


 


 


พอพูดถึงวังหลวง ตู๋กูซิงหลันก็คิดถึงอันหร่วนและอันหว่านจือขึ้นมา 


 


 


เห็นนางไม่กล่าววาจา จีเฉวียนก็ถือว่านางรับปากอย่างเงียบงัน 


 


 


เขาขมวดพระขนงขึ้นมา ยื่นพระหัตถ์ไปโอบตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ที่ด้านนอกมีลม จึงทรงใช้ฉลองพระองค์คลุมห่อนางเอาไว้ทั้งตัว เดิมทีนางก็เป็นสตรีร่างเล็ก พอใส่เสื้อคลุมลงไปก็คลุมมิดไปกว่าครึ่งตัว 


 


 


 


 


 


ที่ด้านนอกห้อง หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยารีบรุดมา พ่อบ้านชราก็นำเหล่าองครักษ์มาอีกทั้ง ทั้งหมดดูคึกคักดุจพยัคฆ์และราชสีห์ 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องยืนอยู่นอกประตู เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงบุรุษดังออกมาอย่างชัดเจน พอมองเห็นว่าประตูยังถูกลงดานเอาไว้ หน้าต่างก็ถูกปิดแน่น คนที่อยู่ด้านในจะต้องกระทำเรื่องที่ไม่อาจพบหน้าผู้คนได้อยู่เป็นแน่ 


 


 


เขาก็ยิ่งมีโทสะ เจ้าลูกตัวร้ายทำไมถึงได้มีสายตามืดบอด! ไปพาใครที่ไหนกลับมากัน! 


 


 


เขาขมวดคิ้วแน่น กระแอมในลำคอ มาถึงก็ยกเท้ากระทืบลงไปบนประตู 


 


 


ขาของเขาพึ่งจะยกขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงผลั่วะจากด้านใน จากนั้นบานประตูที่เปิดออกก็ลอยลงมาทับ 


 


 


” ท่านอ๋อง! ” พระชายารีบปรี่เข้าไป นางพยายามใช้แรงงัดบานประตู แต่บานประตูนั้นหนักมาก นางพึ่งจะขยับได้เพียงเล็กน้อย เรี่ยวแรงก็หมดลง จนบานประตูกระแทกลงมาอีกครั้งอย่างแรง 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องแทบจะกระอักเลือดคั่งในปอดออกมา ” ฮูหยิน เจ้าฟังก่อน ไปรออยู่ที่ด้านข้างเถอะ “ 


 


 


พระชายาปิดผ้าเช็ดหน้าในมือ น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจแทบหยาดหยด แต่นางก็ยังคงเชื่อฟังถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง 


 


 


เหล่าองครักษ์เร่งรุดเข้ามาช่วนกันยกบานประตูที่ทับท่านอ๋องออกไป หย่งเฉิงอ๋องสูดลมหายใจเข้าไปอึกหนึ่ง พอลุกขึ้นได้ก็เตรียมจะหันไปตะโกนด่าคน 


 


 


สายตาของเขากวาดมองเข้าไป กลับเห็นฮ่องเต้ประทับยืนอยู่ด้วยสายพระเนตรเย็นชาดุจน้ำแข็ง 


 


 


คำพูดที่ได้เอ่อมาถึงลำคอของเขาต้องกลืนกลับลงท้องไป 


 


 


เขาได้แต่หันกลับไปถลึงตาใส่พ่อบ้านชรา นี่มันอะไรกัน บุรุษที่อยู่ภายในห้องไยจึงกลายเป็นฝ่าบาทไปได้? 


 


 


สีหน้าของพ่อบ้านชราก็ตกตะลึงไปเช่นกัน องครักษ์ทั้งหมดก็ตระหนกจนพากันถอยกรูด คุกเข่าลงไปบนพื้น แม้แต่ศีรษะก็ยังไม่กล้าเงยขึ้นมา 


 


 


พระชายาเองก็ประหลาดพระทัย ผ้าเช็ดหน้าในหัตถ์เกือบจะตกลงไปบนพื้น นางมองจ้องไปฝ่าบาท และ ส…สตรีที่อยู่ในอ้อมพระพาหา 


 


 


ฉลองพระองค์นั้นคลุมร่างเอาไว้กว่าครึ่ง จึงไม่มีโอกาสมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน 


 


 


เพียงเห็นแค่รูปร่างที่บอบบาง เส้นผมยาวสลวยทิ้งตัวลงมา หากว่าตามความรู้สึกแบบสตรีของพระชายา นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าจะต้องเป็นนางแพศยาน้อยแน่นอน 


 


 


นางไม่กล้ากล่าวออกมา เพียงแต่ลากหย่างเฉิงอ๋องถอยออกไปด้านข้าง 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องมองดูฝ่าบาท แล้วก็หันไปมองดูคนในอ้อมพระพาหา เขาก็รู้สึกว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มราวกับมีพายุ 


 


 


สตรีที่เจ้าลูกทรพีพากลับมาถูกฝ่าบาทพบเห็นเข้าเสียแล้ว ไม่เพียงพบเห็น ดูจากสีพระหักตร์ของฝ่าบาท ท่าทางประหนึ่งจะกวาดล้างประหารให้หมดบ้าน 


 


 


เมื่อโดนสวมหมวกเขียวเป็นชายชู้เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษคนใดก็ล้วนรับไม่ได้ อย่าว่าแต่ผู้ที่เป็นประมุขของประเทศเลย 


 


 


” ฝ่าบาท สตรีผู้นี้เป็นหญิงเลวร้าย ขอพระองค์ประทานตัวนางให้กระหม่อมจัดการเถอะพะยะค่ะ กระหม่อมจะต้องทำให้เป็นที่พอพระทัยให้จงได้ ” หย่งเฉิงอ๋องยืนกล่าวอยู่ด้านข้าง 


 


 


พอได้ทรงฟังแล้ว จีเฉวียนก็แย้มสรวลเย็นออกมา ” ใช่สิ หญิงร้าย “ 


 


 


นางชั่วร้ายนัก ร้ายกาจไปจนถึงในกระดูก ร้ายเสียจนเขาไม่รู้จะลงโทษนางอย่างไรดี ได้แต่พากลับไป ขังเอาไว้ ไม่ให้นางมีโอกาสออกมานอกวังโดยง่ายได้อีก 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “………..” นี่คล้ายกับว่าทุกคนเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ เกิดอะไรขึ้นกัน? 


 


 


พอเห็นฝ่าบาททรงเห็นด้วยกับเขา หย่งเฉิงอ่องก็รับตอบว่า ” ฝ่าบาท สตรีที่เลวร้ายผู้หนึ่ง ไม่สมควรจะแปดเปื้อนพระหัตถ์ของพระองค์ ขอให้หม่อมฉันจัดการเถอะพะยะค่ะ” 


 


 


เขาพูดจบแล้ว บรรดาองครักษ์ในตำหนักก็พากันขยับเข้ามา 

 

 

 


ตอนที่ 169 สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินมูลไม่...

 

” ฝ่าบาท สตรีที่เลวร้ายผู้หนึ่ง ไม่สมควรจะแปดเปื้อนพระหัตถ์ของพระองค์ ขอให้หม่อมฉันจัดการเถอะพะยะค่ะ” 


 


 


เขาพูดแล้ว บรรดาองครักษ์ในตำหนักก็พากันขยับเข้ามา 


 


 


แต่พระวรกายฝ่าบาทกลับแผ่ไอเย็นออกมาโดยรอบ เพียงแค่พระองค์กวาดพระเนตรผ่านไป ก็ทำเอาราชองครักษ์เหล่านั้นตกอกตกใจจนร้องเรียกหาบิดามารดาแล้ว 


 


 


” สตรีที่เลวร้ายผู้นี้ มีแต่เราที่สามารถจัดการได้” 


 


 


ฝ่าบาทตรัสเพียงประโยคเดียว ก็ทำเอาหัวใจของหย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาเย็นวาบไป 


 


 


จบกันแล้ว ฝ่าบาทจะต้องทรง เดาได้อย่างแน่นอน 


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดกัน พวกเขามักรู้สึกว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องฐานะของเจ้าลูกชายตัวดีอยู่แล้ว และยามนี้ก็ยังทรงพบว่าตนเองถูกสวมหมวกเขียวอยู่อีก แต่ว่าถึงจะอย่างไรก็มีพระประสงค์จะทรงพาสตรีผู้นี้กลับวังไปไต่สวนอยู่ดี 


 


 


ดูท่าครั้งนี้เจ้าลูกทรพีนั่น จะหาเรื่องเข้าจริงๆ แล้ว 


 


 


พอจีเฉวียนทรงตรัสออกไป ยังจะมีผู้ใดกล้าคัดค้านเขาอีก เขาเสด็จก้าวใหญ่ๆ จากไป ทิ้งเอาไว้เพียงเงาหลังที่หนาวเย็น หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาต่างก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง คราวนี้จะไปขออภัยต่อฝ่าบาทอย่างไรดี? 


 


 


” ดอกซิ่วฉิวในฤดูหนาวงดงามน่าดู ไทเฮาทรงโปรด ยามที่หย่งเฉิงเข้าวัง ให้นำไปถวายไทเฮาสองต้น “ 


 


 


จีเฉวียนเสด็จไปได้สองก้าว ก็หันกลับมาตรัสกับหย่งเฉิงอ๋อง 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องงงงันไปชั่วขณะ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? อยู่ดีๆ ก็ลากไปหาไทเฮาทำไม? 


 


 


ฝ่าบาทไม่ได้ทรงรอให้เขาไต่ถาม ก็เสด็จจากไปไกลแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่อย่างไรก็ไร้เรี่ยวแรง เมื่อถูกเขาอุ้มเอาไว้ ก็มิได้ขยับตัววุ่นวาย เมื่อครู่ตอนที่ถุกคลุมอยู่ใต้ฉลองพระองค์ของจีเฉวียน นางก็แอบมองลอดผ่านช่องจนเห็นหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา น่าแปลกจริงๆ จากราศีของหย่งเฉิงอ๋องสามรีภรรยาเดิมทีสมควรจะสมบูรณ์พูนสุขมีลูกหลานมากมาย ทำไมถึงได้กลายเป็นสูญเสียบุตรติดกันถึงสี่คน? 


 


 


นางกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด จึงไม่ทันได้ยินจีเฉวียนตรัสเรื่องดอกซิ่วฉิว 


 


 


……………………………….. 


 


 


ซูเม่ยพึ่งจะหลบหนีออกมาจากศาลบรรพชนได้ ก็พบว่าจีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันจากไปไกลแล้ว 


 


 


ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเกรี้ยวกราดขึ้นมา เขากำหมัดเอาไว้แน่น กระแทกหมัดหนึ่งลงไปบนกำแพงสวนข้างตัว 


 


 


” ครืนนนน” ทันทีที่ได้ยินเสียง กำแพงนั้นก็ทรุดตัวลงมา 


 


 


กระทั่งพระชายายังตกพระทัยจนหัวใจเกือบจะกระดอนออกมา 


 


 


หย่งเฉิงอ๋องมองไปยังเขา เห็นเพียงเงาสีแดงของเจ้าลูกทรพีพลิกข้ามกำแพงออกไป ก็ได้แต่ถอนหายใจติดๆ กัน ” เวรกรรมเอ๋ยเวรกรรม เจ้าลูกทรพีคนนี้เกิดมาเพื่อทวงหนี้แท้ๆ 


 


 


…………………….. 


 


 


ราชรถของฮ่องเต้หยุดลงที่หน้าพระตำหนักตี้หัว พอเสด็จลงจากรถม้าแล้ว เขาก็อุ้มตู๋กูซิงหลันลงมาด้วยตนเอง 


 


 


ฉลองพระองค์คลุมสีดำยังคงคลุมใบหน้าของนางเอาไว้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันตัวเบามาก อุ้มขึ้นมาก็ไม่รู้สึกเปลืองแรงแต่อย่างใด ยิ่งหาได้อยากที่นางจะว่าง่ายเชื่อฟัง ตลอดทางก็มิได้ก่อเรื่องใดๆ เลยสักน้อย 


 


 


พอเสด็จลงมาได้ ก็ทอดพระเนตรเห็นอันหว่านจือในชุดชาววังรอรับเสด็จอยู่แล้ว 


 


 


” หว่านจรือถวายพระพรฝ่าบาท ” นางถวายคำนับให้จีเฉวียน แต่ดวงตากลับมองไปยังคนในอ้อมพระพาหาอย่างไม่มีหยุด 


 


 


จีเฉวียนไม่ได้สนพระทัยนาง ทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันเสด็จตรงเข้าไปในพระตำหนักบรรทม 


 


 


อันหว่านจือก็ไล่ตามหลังไป ” ฝ่าบาทเพคะ พระองค์เสด็จออกไปกว่าครึ่งวัน หว่านจรือกังวลเหลือเกิน อากาศหนาวเย็นมาก พระองค์ก็ทรงเกรงความเหน็บหนาว…….” 


 


 


ทูลแล้ว นางก็ยื่นเตาอุ่นทองคำใบหนึ่งถวายให้เขา ” นี่เป็นเตาอุ่นมือที่หว่านจรือหาช่างพิเศษให้ทำขึ้นมา หากว่าฝ่าบาททรงประคองเอาไว้ในพระหัตถ์ อีกหน่อยก็จะไม่ทรงรู้สึกหนาวแล้วเพคะ” 


 


 


จีเฉวียนกวาดพระเนตรมามองดูเตาอุ่นมือนั่นแวบหนึ่ง เตาอุ่นมือทำจากทองคำอีกทั้งยังประดับด้วยอัญมณีสีแดง 


 


 


เดิมที่พระองค์คิดจะปฏิเสธ แต่หางพระเนตรกลับเห็นประกายตาของสตรีในอ้อมพระพาหาเปล่งประกายวูบวาบ ก็ทรงทราบดี 


 


 


” เรารับเอาไว้แล้ว เจ้าวางไว้ที่ห้องอักษรเถอะ” 


 


 


สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินมูลไม่ได้ฉันใด ไทเฮาก็แก้เรื่องรักสมบัติไม่ได้ฉันนั้น 


 


 


ที่จริงตู๋กูซิงหลันเพียงแต่อยากมองดูให้มากหน่อยเท่านั้น ทับทิมเป็นนั้นสวยงามมากจริงๆ หากว่านำไปขายคงจะเพียงพอให้นางวาดยันต์ได้สักร้อยใบแน่ 


 


 


” เพคะ” อันหว่านจือแสดงความยินดีออกมา นางได้ยินมาว่า ฝ่าบาทไม่ทรงเคยรับของขวัญจากพระสนมคนใดมาก่อนเลย แต่คราวนี้กลับทรงยินยอมรับของของนาง 


 


 


แสดงว่าความพยายามของนางไปถึงพระทัยของฝ่าบาทแล้วใช่หรือไม่? 


 


 


ท่านย่ากล่าวได้ถูกต้องจริงๆ ขอเพียงแค่นางอ่อนโยนและเอาใจใส่ให้มากพอ และอยู่ข้างกายฝ่าบาทอยู่เสมอ ฝ่าบาทจะต้องทรงมีพระทัยให้นางเป็นแน่ 


 


 


วันนี้ตอนที่นางออกไปนอกวัง นอกจากจะนำยาไปให้คนพวกนั้นแล้ว ยังไปหาช่างเหล็กตระกูลจ้าวยังฟากตะวันตกของเมืองเพื่อสั่งทำเตาอุ่นมือใบนี้ ใช้ทองคำหล่อขึ้นมา ฝีมือละเอียดปราณีต ทับทิมเม็ดนั้นก็มีราคาไม่ธรรมดา เนื่องเพราะเป็นของที่จะทูลถวายฝ่าบาท ย่อมไม่อาจดาษดื่นเหมือนทั่วไป 


 


 


ในใจของนางปิติอย่างยิ่ง แต่แล้วกลับพบว่าฝ่าบาททรงรับของขวัญของนาง แต่มิได้ทอดพระเนตรมองนางเลย 


 


 


อันหว่านจืออดที่จะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะยิ่งเห็นฝ่าบาททรงอุ้มคนผู้หนึ่งเอาไว้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีท่าทีจะคลายพระหัตถ์เลย 


 


 


เพราะฉะนั้นสตรีผู้นี้คือใครกันแน่? ถึงขนาดต้องให้ฝ่าบาททรงอุ้มนางเข้ามาในตำหนักตี้หัวด้วยพระองค์เอง? 


 


 


พออันหว่านจือยืดคอออกไป จีเฉวียนก็สาดพระเนตรเย็นชากลับมา ” เจ้าไม่เคยพบกุ้ยเฟยหรือไร? ต้องให้เราช่วยลากคอเจ้าให้ยาวกว่าเดิมไหม? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ” นางรู้สึกเห็นใจซูเม่ยขึ้นมาบ้างแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? 


 


 


ทำไมดูเหมือนว่าเรื่องที่ฝ่าบาททรงพูดคุยกับอันหว่านจือ คล้ายจะเติมความเกลียดชังให้กับซูเม่ย 


 


 


ช่วงนี้ซูเม่ยเป็นที่โปรดปรานเสียขนาดนั้น เดิมทีก็ชักนำให้บรรดาพระสนมทั้งหลายเกิดเพลิงหึงหวงกันจนจะทะลุขึ้นฟ้าอยู่แล้ว อันหว่านจือมีที่มาไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีใจจะเป็นพระสนมให้ได้ นี่ไม่เท่ากับว่าชักให้เกิดศึกกันหรอกหรือ? 


 


 


เพียงแค่ประโยคเดียวของจีเฉวียนก็ทำให้อันหว่านจือรู้สึกเจ็บช้ำขึ้นมา 


 


 


นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า ” หว่านจรือรู้ผิดแล้วเพคะ “ 


 


 


คนผู้นี้คือซูกุ้ยเฟยหรือ? ทำไมถึงเป็นนางอีกแล้ว! 


 


 


หลายวันมานี้ถูกนางยึดเอาฝ่าบาทไว้ก็ว่าแย่แล้ว ยามนี้ยังถึงขนาดยั่วยวนฝ่าบาทกระทั่งเดินเองก็ยังไม่ยอม จะต้องให้พระองค์อุ้มเข้าไปในตำหนัก? 


 


 


สตรีผู้นี้ช่างรู้จักเสแสร้งนัก แต่ก่อนนี้ยามที่อยู่ในเขาจงหลิง ไม่ใช่ว่าเอาแต่แสดงความนอบน้อมอยู่ตลอดหรือ 


 


 


” ไม่ทราบว่ากุ้ยเฟยเป็นอะไรไปหรือเพคะ? ” อันหว่านจือถามออกไปอย่างไม่กลัวตาย 


 


 


จีเฉวียนไม่ได้ทรงสนพระทัยนาง เขาโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเข้าไปในตำหนักบรรทม 


 


 


อันหว่านจือทำท่าจะติดตามเข้าไป แต่เท้าของนางยังไม่ทันจะก้าวเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่ปิดดังปั้ง 


 


 


จมูกของนางถูกชนเข้าอย่างแรง และยังได้ยินฮ่องเต้รับสั่งด้วยสุรเสียงเย็นชาออกมาอีกว่า ” เราเห็นแก่ที่หมัวมัวเคยดูแลยามเยาว์วัย จึงอดทนกับเจ้าได้บ้าง แต่อย่าได้อาศัยความอดทนนี้มาทำเป็นลืมฐานะของตนเองไป “ 


 


 


น้ำเสียงนี้ไม่เพียงแต่เย็นชา หนำซ้ำยังแฝงความข่มขู่ 


 


 


ถึงแม้จะมิได้ทรงตรัสว่าจะกระทำสิ่งใด แต่สำหรับอันหว่านจือแล้ว นี่ก็เหมือนกับเอามีดมาแทงหัวใจของนางอยู่ดี 


 


 


เรื่องไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้ นางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดสักหน่อย เพียงแค่ห่วงใยฝ่าบาทเท่านั้นเอง ฝ่าบาทสมควรจะพูดจากับนางดีๆ ด้วยถึงจะถูก 


 


 


จะต้องเป็นเพราะว่าสตรีในอ้อมพระหัตถ์ผู้นั้นกล่าวอะไรกับเพราะองค์เป็นแน่ 


 


 


ซูเม่ย! พวกเราคอยดูกันไปเถอะ! 


 


 


 


 


 


…………………………………. 


 


 


ท้องฟ้ามืดมิดมากแล้ว ตำหนักบรรทมภายในพระตำหนักตี้หัวเริ่มจุดเทียนแล้ว เทียนพอสว่างไสว แสงสีแดงพวกนั้นก็ทำให้ในตำหนักดูอบอุ่นขึ้นมา 


 


 


ในตำหนักมีเก้าอี้กุ้ยเฟยตัวหนึ่งวางอยู่ ในตำแหน่งที่สะดุดตาอย่างที่สุด จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันไปวางลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟย 


 


 


พอทอดพระเนตรเห็นสีหน้าของนางยังคงซีดขาว ก็รีบรับสั่งให้หลี่กงกงไปตามหมอหลวงซุน อ๋อไม่สิ ตอนนี้เป็นแค่เด็กต้มยาแซ่ซุนมา 


 


 


ฮ่องเต้รีบสั่งเรียกหาหมอหลวง ย่อมต้องเป็นที่รับรู้ของคนในวัง ยิ่งเรียกหาแค่คนต้มยาผู้หนึ่งยิ่งเป็นที่โจษจันกันมากกว่าเดิม 


 


 


เด็กต้มยาซุนรู้สึกว่าชาติก่อนตนเองจะต้องเป็นคนโฉดชั่วเลวร้ายมามาก ไม่เช่นนั้นชาตินี้จะต้องตกต่ำมาถึงขั้นต้มยาเช่นนี้หรือ ยามที่รีบร้อนมาถึงพระตำหนักตี้หัว เขาแทบจะเอาศีรษะมุดเข้าไปในสายรัดอยู่แล้ว 


 


 


คนป่วยเป็นอิสตรี! 


 


 


ใบหน้าของหญิงสาวถูกผ้าโปร่งคลุมเอาไว้ จึงไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของนางได้อย่างชัดเจน 


 


 


แต่ว่าบาดแผลที่นางได้รับค่อนข้างสาหัสมาก ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของฆาตกรใจโหดจากที่ใด ถึงกลับลงมือกับสตรีที่อ่อนนุ่มเช่นนี้อย่างโหดเ**้ยม 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)