ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 159-166

 ตอนที่ 159 ไปเอายาถ่ายมาจากไหน


อู่เหมยนึกขึ้นได้เมื่อเข้ามาถึงในห้อง การที่ฉิวฉิวฉี่ราดใส่อู่เยวี่ย นับเป็นครั้งแรกที่ทำให้อู่เยวี่ยโวยวายไม่ยอมไปโรงเรียน สัปดาห์หน้าเป็นการสอบรายเดือนแล้ว แค่ให้ฉิวฉิวฉี่ราดใส่เธออีกครั้ง สภาพจิตใจของอู่เยวี่ยจะต้องได้รับผลกระทบและไม่แน่ว่าเธออาจจะทำได้ไม่เต็มความสามารถ!


แน่นอนว่าเธอจะต้องเตรียมทั้งสองวิธีเผื่อไว้ ยาถ่ายก็ต้องใช้!


แต่เธอจะไปหายาถ่ายได้จากที่ไหน?


อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวไว้และพูดกับตัวเอง ตอนนี้มันช่างต่างกับชาติก่อนที่มีร้านขายยาเต็มไปหมด แต่ในเวลานี้ถ้าต้องการยาอะไรต้องไปอนามัยหรือไม่ก็โรงพยาบาล ในเมื่อจะทำร้ายใครเธอจะทิ้งจุดอ่อนไว้ไม่ได้ จะไปเอายาระบายจากโรงพยาบาลไม่ได้เด็ดขาด


ใช่แล้ว ต้องใช้ผลของต้นสลอต!


อู่เหมยดีใจจนตาลุกวาวและก็ต้องมืดลงในทันที หาต้นสลอตยังยากกว่าหายาถ่ายเสียอีก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นสลอตหน้าตาเป็นยังไง จะไปหาที่ไหนได้?


ฉิวฉิวที่หยิบลูกกวาดจากบ้านของสยงมู่มู่มาไม่น้อย ตอนนี้มันอารมณ์ดีขึ้นมาก แต่เห็นเจ้านายทำหน้าเครียดเป็นโบว์ผูกแบบนั้น ฉิวฉิวมองตาปริบๆ หากเจ้านายอยากได้ยาถ่าย?


แล้วทำไมไม่ถามมันล่ะ?


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวส่ายหางไปมาและวิ่งออกนอกหน้าต่างไป แค่แวบเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน อู่เหมยเข้าใจว่ามันออกไปเดินเล่นเลยไม่ได้สนใจอะไร เธอจึงหยิบสมุดการบ้านออกมาเริ่มทำงาน


วันนี้ทำการบ้านให้เสร็จ พรุ่งนี้เธอจะได้ไปเดินช็อปปิ้งอย่างสบายใจ เอ๊ะ! ไปช็อปปิ้งก็ต้องใช้เงิน หวังว่าพรุ่งนี้ออกไปนอกบ้านแล้วเก็บกระเป๋าเงินได้บ้างเถอะ แบบนั้นคงจะดี!


เหอปี้อวิ๋นตะโกนออกมาจากห้องรับแขก “คุณอู่ ฉันพาเยวี่ยเยวี่ยไปโรงพยาบาลก่อนนะ ถ้ากลับมาช้า ก็ให้อู่เหมยทำกับข้าวล่ะ”


อู่เหมยถอนหายใจออกมา โรงพยาบาลห่างจากอี้จงไม่กี่ร้อยเมตร ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กัน?


เหอปี้อวิ๋นจะต้องพาอู่เยวี่ยไปเดินช็อปปิ้งต่อแน่นอน ลูกสาวสุดที่รักเจอเรื่องอัดอั้นตันใจขนาดนั้น จะเป็นไปได้ยังไงถ้าไม่ไปซื้อของให้อารมณ์ดีขึ้น!


“แม่คะ อย่าลืมซื้อรองเท้ากีฬาสีขาวกลับมาด้วยนะ อาทิตย์หน้าหนูต้องใส่ในคาบเรียนพละ” อู่เหมยเปิดประตูออกมาตะโกนบอกแม่


เหอปี้อวิ๋นตะโกนด่า “ฉันพาพี่สาวแกไปตรวจที่โรงพยาบาล จะมีอารมณ์ไปซื้อของได้ไง ทำไมแกไม่เข้าใจอะไรเลย!”


“ถ้างั้นแม่เอาเงินมาให้หนูก็ได้ พรุ่งนี้หนูจะไปซื้อเอง ไม่รบกวนแม่ก็ได้”


อู่เหมยยื่นมือเล็กๆ ของเธอออกไป ไม่ย่อท้อต่อความพยายาม ต้องขอเงินตอนที่อู่เจิ้งซือยังจำสิ่งนี้ได้


ไม่อย่างนั้นผ่านไปไม่กี่วันอู่เจิ้งซือก็จะลืมเรื่องนี้ แล้วเหอปี้อวิ๋นก็จะหาข้ออ้างเพื่อปัดหนี้สิน


เหอปี้อวิ๋นจับไม้ขนไก่ที่อยู่บนตู้ได้หวังจะเอามาตีเธอ ยัยเด็กนี่ทำไมเป็นสัตว์เลือดเย็นแบบนี้ เกิดเรื่องกับเยวี่ยเยวี่ยขนาดนี้แล้ว เธอยังคิดแต่เรื่องจะซื้อรองเท้าอีก ยัยเด็กนี่ทำให้คันไม้คันมืออีกแล้ว!


อู่เหมยกลับไม่เกรงกลัวเธอและวิ่งกลับไปยังห้องของอู่เจิ้งซือ เหอปี้อวิ๋นจึงได้หยุดการกระทำนั้นลง แต่ยังหน้าดำคร่ำเครียดไม่พอใจ เธออยากจะจับอู่เหมยกลืนลงไป


อู่เยวี่ยรีบร้อนอยากไปโรงพยาบาล แถมเธอยังไม่อยากให้อู่เจิ้งซือโมโหด้วย เธอจึงดึงแขนเสื้อของเหอปี้อวิ๋นและเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ รอให้เธอได้ข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้แล้วจะกลับมาจัดการยัยโง่อู่เหมยนี่


เหอปี้อวิ๋นควักเงินออกมาจากกระเป๋าด้วยความขุ่นเคือง ในกระเป๋ามีธนบัตรใบละหนึ่งหยวนและสองหยวนอยู่ไม่กี่ใบ ที่เหลือก็เป็นใบห้าเจี่ยวที่ยัดรวมไว้ เหอปี้อวิ๋นนับเงินออกมาห้าหยวนแล้วยื่นให้อู่เหมยไป เธอกดเสียงต่ำพูด “ซื้อแบบสามหยวนเอานะ”


“หนูจะซื้อยี่ห้อที่พี่เคยใส่ แบบนั้นมันห้าหยวน อีกสองหยวนนี้แม่ก็ให้หนูมาเถอะ จะได้ไม่เสียเวลาถามหาเงินค่าขนมกับแม่ในอาทิตย์หน้าด้วย”


อู่เหมยที่มือไวคว้าเอาธนบัตรใบหนึ่งหยวนสองใบออกมาจากมือของเหอปี้อวิ๋น เหอปี้อวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความตกใจและจ้องอู่เหมย ความเป็นจริงเธออยากจะสั่งสอนยัยเด็กนี่สักหน่อย แต่ก็กลัวอู่เจิ้งซือที่อยู่ในห้องจะโกรธอีก


ตอนนี้คุณอู่ปกป้องยัยเด็กนี่ยิ่งกว่าอะไรดี เธอจะทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วที่อยากจะด่าก็ด่า อยากจะตีก็ตี เพราะแบบนี้เลยทำให้เหอปี้อวิ๋นไปไม่สบายใจและเธอก็รู้สึกอึดอัดใจเอามาก


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 160 ลงมือทำเองต้องทำให้กินดีอยู่ดี


เหอปี้อวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียดออกจากบ้านไป ข้างกายเธอมีอู่เยวี่ยที่ใส่หมวกปิดไว้ทำให้กลิ่นเหม็นที่มีอยู่ได้จางไป เป็นแบบนี้ยิ่งทำให้อู่เยวี่ยอารมณ์ดีขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมถึงมีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากผม เพียงแค่รู้ว่าไม่ใช่กลิ่นเต่าก็ทำให้เธอปีติยินดีเป็นอย่างมาก


“แม่คะ อย่าโกรธไปเลย หนูไม่ซื้อรองเท้าหนังแล้ว” อู่เยวี่ยพูดอย่างสำนึก


“ทำไมไม่ซื้อล่ะ? เดี๋ยวตรวจอาการเสร็จเราค่อยไปซื้อที่บริษัทไป่ฮว้า เยวี่ยเยวี่ยของเราต้องแต่งตัวสวยๆ สิ” สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นดูอบอุ่นขึ้น เธอมองอู่เยวี่ยแล้วยิ้มออกมา


อู่เยวี่ยรู้สึกได้ใจ เธอทำหน้างอและออดอ้อน “แม่หาเงินมาอย่างยากลำบาก หนูแค่อยากจะช่วยแม่ประหยัดบ้าง!”


“เด็กดี เรื่องเงินลูกไม่ต้องเป็นห่วง แค่ห่วงเรื่องสอบให้ได้ที่หนึ่งก็พอแล้ว” เหอปี้อวิ๋นยิ้มกว้างจนเห็นริ้วรอย จิตใจรู้สึกสงบขึ้นแต่อีกใจกลับรู้สึกรังเกียจต่ออู่เหมย


ลูกสาวสองคนเปรียบดั่งฟ้ากับดินจริงๆ ไม่แปลกที่เธอจะลำเอียงไปทางเยวี่ยเยวี่ยบ้าง เยวี่ยเยวี่ยมีแต่จะนำเกียรติและชื่อเสียงมาให้ อีกทั้งยังเห็นใจเธอที่หาเงินมาอย่างลำบาก แต่ยัยเด็กนั่นคอยแต่จะทำให้เธอขุ่นเคืองใจ รู้แต่จะหาวิธีขอเงินจากเธอ


อู่เยวี่ยทำให้อารมณ์ของเหอปี้อวิ๋นพุ่งทะลุได้สำเร็จ เธอยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “แม่วางใจได้ หนูสอบได้ที่หนึ่งแน่นอน แต่หนูรู้สึกเป็นห่วงเหมยเหมย เห็นเธอไปติวกับสยงมู่มู่แต่ยังสอบได้แค่หกสิบกว่าคะแนน หรือต่อไปนี้จะให้หนูเป็นคนติวให้เหมยเหมยดีคะ รบกวนคนอื่นมากไปก็ไม่ดี!”


เหอปี้อวิ๋นที่ได้ยินชื่ออู่เหมยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาและพูดด้วยความโกรธแค้น “เหมยเหมยนี่แม่ไม่หวังอะไรแล้ว เยวี่ยเยวี่ยหนูอย่าไปสนใจเลย เดี๋ยวจะเสียเวลาของลูกเอานะ”


ครั้งนี้เหอปี้อวิ๋นกลับไม่ได้เออออตามคำพูดของอู่เยวี่ย เธอครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ไม่รู้ว่ายัยเด็กนั่นไปทำอีท่าไหนถึงได้เข้าตาคนบ้านตระกูลสยง ทั้งยังเป็นคนเดียวของโรงเรียนที่เข้าบ้านนั้นได้ ขนาดเธอเองยังทำไม่ได้


แม้ว่าเธออจะคิดว่าสายตาของจ้าวอิงหนานมีปัญหา เธอก็ไม่ได้คิดจะเรียกให้อู่เหมยกลับมา ไม่ว่ายังไงอู่เหมยก็เป็นลูกสาวของเธอ ต่อไปเธออาจจะใช้อู่เหมยเป็นตัวเชื่อมให้เธอพูดคุยกับจ้าวอิงหนาน


ผู้หญิงอย่างจ้าวอิงหนานเป็นคนแบบที่เธอไม่ถูกชะตาด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่ใครให้เธอได้รับราชการกันล่ะ แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับเธอ แต่เหอปี้อวิ๋นก็ต้องยอมทำดีต่อเธอ ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันที่ตำแหน่งหน้าที่การงานของเธออาจจะได้พึ่งใบบุญบ้านตระกูลสยง!


อู่เยวี่ยมีปฏิกิริยาไม่พอใจต่อเหอปี้อวิ๋น เธอกัดฟันล่างแน่นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ไว้วันหลังเธอค่อยหาวิธีเกลี้ยกล่อมเหอปี้อวิ๋นให้ลากตัวอู่เยวี่ยกลับมาแล้วกัน


แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่กล้าไปบ้านตระกูลสยงเลย ยัยอู่เหมยหน้าโง่นั่นมีสิทธิ์อะไรถึงไปได้!


ยัยโง่นั่นจะไม่มีทางได้ดีไปกว่าเธอแม่แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม


ใกล้จะห้าโมงเย็นแล้วแต่เหอปี้อวิ๋นยังไม่กลับมา


การบ้านของอู่เหมยก็ใกล้จะเสร็จแล้ว แถมท้องเธอก็เริ่มร้องจ๊อกๆ แล้วด้วย ดูแล้วอาหารมื้อเย็นนี้จะหนีไม่พ้นฝีมือเธอ เพราะอู่เจิ้งซือเป็นคนที่กินข้าวได้ตรงเวลามาก มื้อเช้าก่อนแปดโมง มื้อเที่ยงก่อนสิบสองโมง มื้อเย็นก็ต้องก่อนหกโมงตามกฎ ถ้าช้าไปแค่นาทีเดียวเขาจะไม่พอใจเอาได้


“พ่อคะ หนูไปทำกับข้าวก่อนนะ”


อู่เหมยตะโกนเข้าไปในห้อง อู่เจิ้งซือตอบกลับมาด้วยเสียงเบา การทำกับข้าวไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรสำหรับอู่เหมย กระทั่งเรื่องฝีมือของเธอยังดีกว่าเหอปี้อวิ๋นอีก


ชาติที่แล้วเธออยู่แต่บ้านทุกวัน ไม่มีอะไรให้ทำ เลยทำให้คิดแต่เรื่องฝีมือในการทำอาหาร เธอจึงทำตามตำราอาหารด้วยตัวเอง ฝึกฝนอยู่นานจนทำให้ฝีมือในการทำอาหารของเธอดีขึ้นมาก เหมยซูหานจึงชอบทานอาหารฝีมือเธอ แต่แค่ไม่ชอบตัวเธอก็เท่านั้น


อู่เหมยได้แต่หัวเราะเยาะตัวเอง พลางตักข้าวขึ้นมาสามถ้วยตวงและล้างให้สะอาด เธอใส่น้ำลงไปไม่ให้สูงไปกว่านิ้วมือและวางหม้ออลูมิเนียมไว้บนเตา การหุงข้าวด้วยหม้ออลูมิเนียมต้องใส่น้ำเยอะหน่อย ถึงจะทำให้ข้าวอร่อย


ในตู้มีไข่ไก่ หน่อไม้แห้ง มันฝรั่งแห้ง พวกผักตากแห้ง และยังมีแผ่นเต้าหู้แห้งกับวุ้นเส้นด้วย ในห้องเก็บของมีเนื้อเค็มแขวนไว้อยู่หลายชิ้น ปกติแล้วเหอปี้อวิ๋นจะตัดเอามาทำกับข้าวแค่นิดเดียว อู่เหมยเหลือบมองซ้ายขวาหาเก้าอี้เพื่อจะปีนขึ้นไปหยิบเนื้อลงมาหนึ่งชิ้น เธอใช้แรงตัดเนื้อชิ้นนั้นออกมาน่าจะประมาณเจ็ดแปดเหลียง[1]


ไหนๆ ก็ลงมือทำกับข้าวเองแล้ว เธอจะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยเสียเปล่า


…………………………………………………………………………………………..


[1] 1 เหลียง (两) = 50 กรัม


ตอนที่ 161 อาหารอร่อยต้องพึ่งน้ำมัน


เนื้อเค็มต้องใช้น้ำร้อนล้างให้สะอาดและหั่นเป็นแผ่นบาง จากนั้นตีด้วยไข่ไก่สี่ฟอง ทำเป็นเมนูไข่ตุ๋นเนื้อเค็ม ต่อไปนำเอามันฝรั่งแผ่นที่แช่เสร็จไปผัดรวมกับเนื้อเค็ม รสชาติที่ออกมาถือว่าใช้ได้เลย ส่วนวุ้นเส้นที่มีก็อย่าได้สิ้นเปลืองเปล่า นำมาผัดทำเมนูมดขึ้นต้นไม้(หมูผัดวุ้นเส้น) รสชาติก็ดีไม่ต่างกัน


เมนูสุดท้ายที่จะทำคือซุปเต้าหู้แผ่นใส่ไข่ เธอใส่เต้าหู้แผ่นสองชิ้น อย่าให้สดเกินไป!


การทำอาหารของอู่เหมยดูคล่องแคล่วชำนาญ ทั้งตอกไข่ หั่นเนื้อ รวมทั้งเทน้ำมันลงในกระทะ เธอใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จ อาหารที่ผัดออกมามีหน้าตาและกลิ่นที่ผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัว ขนาดการจัดจานยังจัดได้สวย


อาจารย์แม่จางที่ออกมาทำมื้อเย็นเหมือนกับเธอ แต่พอเห็นอู่เหมยที่กำลังผัดผักด้วยกระทะใบใหญ่อยู่จึงตกใจ “เหมยเหมยทำไมถึงมาทำกับข้าวได้ล่ะ ระวังน้ำมันกระเด็นด้วยนะ”


“แม่หนูไปส่งพี่ที่โรงพยาบาลยังไม่กลับมา ในบ้านเลยไม่มีคนทำกับข้าวค่ะ” อู่เหมยเช็ดเหงื่อออกพลางเทน้ำมันลงไปหนึ่งทัพพีใหญ่ๆ อย่างสบายใจ กับข้าวจะอร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับน้ำมันที่ใส่ เหอปี้อวิ๋นเป็นพวกขี้งก ใส่น้ำมันแค่นิดเดียว ผัดวุ้นเส้นไม่ใส่น้ำมันเป็นอะไรที่ไม่อร่อยสักนิด เธอเลยต้องใส่ให้เยอะหน่อย


อาจารย์แม่จางมองหม้อน้ำมันที่ลดลงไปครึ่งหม้ออย่างรวดเร็ว พลางคิดติเตียนในใจ น้ำมันหนึ่งทัพพีเธอสามารถทำกับข้าวได้ถึงสามอย่าง ถึงอย่างไรเธอก็เป็นแค่เด็กน้อย ไม่เคยดูแลจัดการเรื่องในบ้านก็คงไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง


แต่จะว่าไปกลิ่นเต่าของอู่เยวี่ยดูจะรุนแรงจริงๆ จนถึงขั้นต้องไปตรวจถึงโรงพยาบาล อาจารย์แม่จางมองเด็กน้อยที่กำลังฮัมเพลงอยู่ ภายในใจของเธฮรู้สึกไม่ชอบใจต่อการกระทำของเหอปี้อวิ๋น


หากว่าเหอปี้อวิ๋นไม่ลำเอียงเกินไป รักใคร่เอ็นดูสองพี่น้องเท่ากันตั้งแต่แรกคงไม่มีอะไรเปลี่ยนเหมือนน้ำกับไฟแบบนี้?


ช่างเป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ!


“เหมยเหมยผัดได้หอมมากเลย ฉันได้กลิ่นนี่แทบจะน้ำลายไหล”


หมูผัดวุ้นเส้นใส่กลีบกระเทียมเมื่อออกจากเตามาถึงกับเป็นประกาย พร้อมกับกลิ่นหอมหวนที่ล่องลอยออกมา อาจารย์แม่จางเห็นเองกับตาว่าอู่เหมยผัดผักจานนี้ไม่ใส่น้ำแม่แต่หยดเดียว ถ้าไม่อร่อยคงจะแปลก


“อาจารย์แม่จางรีบเอาจานมาเร็วค่ะ แต่ก่อนหนูกินกับข้าวที่อาจารย์แม่จางทำบ่อยๆ วันนี้ลองชิมฝีมือหนูดูสิคะ”


อู่เหมยยิ้มหวานและพูดออกไป การทำกับข้าวถือเป็นสิ่งที่เธอมั่นใจที่สุดแล้ว เมื่อก่อนทานกับข้าวที่อาจารย์แม่จางทำมาเยอะมาก พอดีกับตอนนี้ที่เหอปี้อวิ๋นไม่อยู่บ้าน เธอจะต้องตอบแทนน้ำใจบ้าง เธอไม่รู้สึกเสียดายสักนิดที่ใช้ข้าวของของเหอปี้อวิ๋นมาทำ


แน่นอนว่าอาจารย์แม่จางจะรับของจากเด็กได้ยังไง เธอได้แต่โบกมือปฏิเสธไม่หยุด อู่เหมยจึงถือโอกาสวิ่งไปที่บ้านตระกูลจางด้วยตัวเองเพื่อหยิบจาน เธอตักกับข้าววางไว้ครึ่งค่อนจานและยื่นให้อาจารย์แม่จางด้วยรอยยิ้ม “หนูทำเองค่ะ รับรองว่าอร่อย”


อู่เหมยทยอยยกกับข้าวทั้งสามจานเข้าไปในบ้านด้วยความร่าเริง เธอเปลี่ยนไปจากที่เคยอมทุกข์ กลายเป็นสาวน้อยที่สดใสร่าเริง แค่เห็นก็ทำให้คนรู้สึกชอบใจแล้ว


อาจารย์แม่จางส่ายหัวเบาๆ แล้วยิ้มยกมุมปาก


เด็กดีขนาดนี้ต่างต้องเป็นที่รักของทุกคน เสียดายที่ไม่ใช่ลูกสาวของเธอ!


อาจารย์แม่จางที่ทำกับข้าวเสร็จนานแล้ว คนบ้านตระกูลจางที่มองดูอู่เหมยด้วยความนิ่งอึ้งปนตกใจ เห็นเธอวิ่งเข้าวิ่งออกและบนโต๊ะที่เพิ่มมาด้วยผัดวุ้นเส้นหอมๆ นี่อู่เหมยเธอไปทำอะไรมาจนเสียสติหรือไง?


“รีบกินเถอะ ครูเหอพาอู่เยวี่ยไปโรงพยาบาลยังไม่กลับมา อู่เหมยเป็นคนทำมื้อเย็น ตั้งใจที่จะให้พวกเราชิมฝีมือของเธอเลยนะ เด็กคนนี้มีความตั้งใจจริงๆ!” อาจารย์แม่จางอธิบาย


ลูกชายของบ้านตระกูลจาง จางจ้วงจ้วง พึ่งจะมีอายุได้สิบขวบแต่ร่างกายกำยำเหมือนลูกวัวมาก เขาทนไม่ไหวตั้งแต่แรกจึงใช้ตะเกียบคีบผัดวุ้นเส้นในจานเข้าปาก ดวงตาเขาถึงกับเปล่งประกาย กลืนกินลงไปดั่งหมาป่าและเสือที่หิวโหย


“อร่อยจัง แม่ครับ กับข้าวฝีมือพี่เหมยเหมยนี่อร่อยจริงๆ!”


จางจ้วงจ้วงอดไม่ได้ที่จะใช้ตะเกียบคีบกับข้าวอีกครั้ง พี่ชายทั้งสามของเขามองจนน้ำลายไหล จึงได้รีบคีบอาหารตาม ทุกคนต่างชมเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ พี่คนโตเพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ดปี พี่คนที่สองเพิ่งจะสิบห้า พี่คนที่สามอายุสิบสอง พวกเขาถือเป็นวัยที่กำลังกินเก่ง วัยที่กำลังเจริญเติบโต ทั้งสี่คนต่างพากันคีบวุ้นเส้นในจานอย่างพอดิบพอดี


“พ่อครับแม่ครับ รีบกินเร็ว อร่อยจริงๆ นะ”


จางเผิงพี่คนโตพูด ทั้งสี่พี่น้องจึงรู้กันเองและเลือกกินกับข้าวอย่างอื่นไปด้วย ผัดวุ้นเส้นจานนั้นจึงเหลือไว้ให้พ่อกับแม่


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 162 พ่อต้องกินของดีๆ หน่อย


อู่เหมยได้จัดวางกับข้าวพร้อมทั้งตักข้าวเสร็จเรียบร้อย เธอตะโกนเรียก “พ่อคะ กินข้าวกัน”


เป็นจังหวะที่อู่เจิ้งซือกำลังหิว เขาจึงเดินออกมาอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมๆ ของอาหารลอยเข้ามาแตะที่ปลายจมูกของเขาทำให้ท้องเริ่มร้องขึ้นเรื่อยๆ เขานั่งลงและเริ่มทานอาหาร พออาหารคำแรกเข้าปากได้เขาก็รู้สึกพอใจและพยักเพยิดหน้าเป็นคำตอบ


ฝีมือการทำอาหารของลูกสาวคนเล็กถือว่าใช้ได้เลยล่ะ อร่อยกว่าที่ภรรยาของเขาทำมาก หน้าตาและกลิ่นเข้ากันได้อย่างลงตัว


“กับข้าวรสชาติดีมาก ต้องลำบากลูกจริงๆ” อู่เจิ้งซือหน้าตายิ้มแย้มและพูดจาอ่อนโยน สายตาบ่งบอกถึงความรักใคร่และเอ็นดู


อู่เหมยดูตกใจไปชั่วขณะ เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร เพราะปกติเธอจะชินกับความเมินเฉยและสายตาเย็นชา แต่พอได้รับสายตารักใคร่เอ็นดูแบบนี้ทำให้เธอไม่ชินและตั้งตัวไม่ทัน อู่เหมยจึงก้มหัวลงอย่างรวดเร็วและพูดด้วยเสียงเบา “ไม่ลำบากเลยค่ะ พ่อกินไข่นี่สิ”


เธอคีบไข่ให้อู่เจิ้งซือเพื่อปกปิดความไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง จากนั้นก็คีบให้ตัวเองตาม กลิ่นสดใหม่ของเนื้อเค็มได้ซึมเข้าไปในไข่ซึ่งได้รสชาติสดอร่อยจริงๆ ดูเหมือนว่าจะถูกปากอู่เจิ้งซือด้วย เขากินไปเยอะอย่างไม่รู้ตัวเพราะได้ตักข้าวถ้วยที่สองเพิ่ม


อู่เหมยยัดข้าวคำโตเข้าเต็มปาก ไข่มีอยู่จำกัดจึงกินได้แค่คนละใบ แต่เนื้อมีให้กินเยอะ เนื้อเค็มที่ทำจากหมูหมักทั้งหอมทั้งเหนียว ไม่มีความเลี่ยนเลย อู่เหมยและอู่เจิ้งซือกินจนน้ำมันเลอะไปเต็มปาก บรรยากาศสามัคคีปรองดองแบบนี้หาได้ยากมาก


จังหวะที่เหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยกลับมาถึง บรรยากาศในการกินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุขของสองพ่อลูกที่เหอปี้อวิ๋นไม่เห็นเป็นแบบนั้น ส่วนอู่เยวี่ยก็มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าตา


ยัยอู่เหมยจอมกลับกลอก ทีเมื่อก่อนให้ทำงานบ้านกลับชอบอ้างนั่นอ้างนี่ แต่พอเธอกับแม่ไม่อยู่กลับกระตือรือร้นนัก คงเป็นเพราะอยากทำตัวเอาอกเอาใจคุณพ่อล่ะสิ!


หึ แค่คะแนนชุ่ยๆ ของคนโง่ ต่อให้เอาใจได้ดีแค่ไหน คุณพ่อก็ชอบที่หนึ่งอย่างเธอเท่านั้น!


สิ่งที่ทำให้เหอปี้อวิ๋นกังวลกลับเป็นเรื่องอื่น กับข้าวสามอย่างที่วางอยู่พร้อมกับซุปอีกหนึ่งอย่าง ยัยลูกคนมีเงิน เธอเดินออกไปตักข้าวด้านนอกทำให้มองเห็นหม้อน้ำมันที่ลดลงไปครึ่งหม้อ ดวงตาของเหอปี้อวิ๋นร้อนราวกับไฟลุกไหม้


น้ำมันหม้อนั้นเธอเพิ่งจะกรอกไปเมื่อวาน ตอนนี้หายไปเกินครึ่งหม้อ ยัยเด็กบ้านี่เทใช้เหมือนน้ำหรือไง!


ใจในของเหอปี้อวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัย เธอเดินกลับไปที่ห้องเก็บของและได้เห็นเนื้อเค็มส่วนสันขาที่ดีที่สุดที่ถูกตัดออกไป เธอกัดฟันแน่นจนฟันแทบหัก ใบหน้าที่แสดงออกบ่งบอกได้ชัดถึงความไม่พอใจ


เธอพยายามอดทนจนถึงที่สุดและไม่ได้โวยวายออกไป พร้อมกับตักข้าวเปล่าออกมาสองจานแล้วนั่งลงเพื่อทานข้าว บนใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มขึ้นทำให้อู่เจิ้งซือถามออกไปด้วยความเป็นห่วง “หมอว่าไงบ้าง?”


“บอกว่าไม่ใช้กลิ่นเต่า แต่หัวน่าจะไปติดกลิ่นหรืออะไรมา คุณหมอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แค่บอกให้รีบกลับไปสระผม ผ่านไปสักช่วงกลิ่นน่าจะหายไป” เหอปี้อวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม


“งั้นก็ดีแล้ว เยวี่ยเยวี่ยต่อไปอย่าทำแบบวันนี้อีกล่ะ ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” อู่เจิ้งซือโล่งใจและพูดติเตียนอู่เยวี่ย


อู่เยวี่ยขานรับอย่างนอบน้อม “หนูขอโทษค่ะพ่อ”


เหอปี้อวิ๋นที่มัวแต่ตักซุปอยู่ “ก็เป็นเพราะเยวี่ยเยวี่ยตกใจจนขาดสติไม่ใช่เหรอ เยวี่ยเยวี่ยกินไข่นี่สิลูก วันนี้ทั้งวันแทบไม่ได้กินอะไรเลย!”


เธอใช้ตะเกียบคีบผัดวุ้นเส้นขึ้นมากิน พอเส้นเข้าปากถึงรู้ได้เลยว่าน้ำมันครึ่งหม้อหายไปไหน เธออดทนต่อไม่ไหวจึงพูดออกไป “เหมยเหมย ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนพวกเศรษฐีนะ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องรู้จักประหยัด แกดูผัดวุ้นเส้นจานนี้สิ มีแต่น้ำมัน สิ้นเปลืองเกินไปแล้วนะ”


อู่เหมยข่มเรื่องวุ้นเส้นไว้ จริงอยู่ที่ใส่น้ำมันเยอะไปหน่อย แต่ความเป็นจริงคือมันอร่อย เธอข่มสายตาไว้และหันไปพูดกับอู่เจิ้งซืออย่างมีเจตนา “ใช้น้ำมันทำกับข้าวไม่อร่อยหรอกเหรอ พ่อคะ กับข้าววันนี้อร่อยใช่ไหม?”


อู่เจิ้งซือที่นั่งกินด้วยความสบายใจจึงได้แต่พยักหน้าตอบ “รสชาติถือว่าใช้ได้ ฝีมืออู่เหมยนี่ดีจริงๆ”


“วันนี้พ่อกินข้าวไปตั้งสองถ้วยแหนะ พ่อผอมเกินไปแล้ว ต้องกินเยอะๆ นะคะ ต่อไปแม่ทำกับข้าวก็อย่าขี้เหนียวนักสิ เงินเดือนของพ่อก็ออกจะสูง ให้กินหมูกินไก่ทุกวันเรายังทำได้เลย แค่น้ำมันนิดๆ หน่อยๆ แม่ยังจะเสียดายอีกเหรอ? หรือว่าแม่ไม่สงสารพ่อเลย?”


อู่เหมยใช้พลังปาฏิหารย์เข้าช่วย เธอคิดคารมคมคายได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้เหอปี้อวิ๋นถกเถียงต่อไม่ได้ ใบหน้าของอู่เจิ้งซือกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น เขารู้สึกพึงพอใจกับคำพูดของอู่เหมย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 163 ยุให้รำ ตำให้รั่ว


เหอปี้อวิ๋นที่ถูกอู่เหมยพูดดักคอไว้จึงเถียงไม่ได้ แม้แต่ประโยคเดียวเธอก็พูดไม่ออก คำพูดพวกนี้บีบเธอจนหาทางออกไม่ได้ ต่อให้พูดอะไรออกไปดูเหมือนจะผิดไปหมด


เสียดายน้ำมันแต่ไม่สงสารอู่เจิ้งซือ กระทั่งต่อไปจะต้องใส่น้ำมันเยอะขึ้นอีก ถ้าหากว่าใส่น้อยอู่เจิ้งซือจะต้องคิดว่าไม่สนใจเรื่องสุขภาพของเขาอีก อีกหน่อยก็ต้องซื้อของที่ดีกว่านี้ แต่ทุกอย่างก็ต้องใช้เงินนี่นา!


เหอปี้อวิ๋นเริ่มไม่กล้าที่จะคิดบัญชีอะไรแล้ว เธอจินตนาการถึงโทรทัศน์สีที่ได้ลอยออกไปไกลขึ้น ถ้าต้องใช้จ่ายแบบนี้จริงๆ ชีวิตนี้อย่าได้หวังโทรทัศน์สีเลย ยิ่งตู้เย็น เครื่องซักผ้าไม่ต้องพูดถึงแล้ว


อู่เจิ้งซือกินข้าวไปแล้วสองถ้วย กับข้าวก็กินไปไม่น้อย พอท้องอิ่มเขาก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น แต่พอเหลือบไปเห็นสีหน้าแววตาอมทุกข์ของเหอปี้อวิ๋น ในใจของเขากลับรู้สึกไม่สบายใจ ภรรยาของเขาเป็นแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


หรือว่าจะเป็นเพราะทำใจไม่ได้เรื่องน้ำมัน?


เฮ้อ! เงินเดือนเขาทุกเดือนออกจะเยอะ ใช้น้ำมันแค่นี้ไม่ได้?


“ที่เหมยเหมยพูดก็มีเหตุผล ร่างกายคือตัวปฏิวัติของเงิน ปี้อวิ๋นฝีมือการทำอาหารของเธอนี่ต้องให้เหมยเหมยสอนแล้วนะ เธอดูกับข้าวที่เหมยเหมยทำวันนี้สิอร่อยมาก” อู่เจิ้งซือพูดอย่างมีเจตนาและมองไปยังเหอปี้อวิ๋น


อู่เหมยยิ้มอย่างเขินอายและพูดขึ้นเสียงดัง “ความจริงฝีมือของแม่ก็ดีนะคะ แม่แค่ทำใจไม่ได้ที่จะต้องใส่น้ำมันเยอะๆ และทำใจไม่ได้ที่จะซื้อเนื้อ เงินเดือนของอาจารย์จางยังสูงไม่เท่าของพ่อเลย แต่ทุกครั้งที่อาจารย์แม่จางย่างเนื้อ ย่างเยอะกว่าบ้านของเราอีกนะ เพราะอย่างนี้ร่างกายของอาจารย์จางถึงได้กำยำกว่าพ่อไง”


สีหน้าและแววตาของอู่เจิ้งซือเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด บ้านของอาจารย์จางมีลูกชายสี่คนที่ต้องกินข้าว ภรรยาก็คอยทำหน้าที่เป็นแม่บ้านไม่มีเงินเดือน พอเขารู้ว่าอาหารการกินของบ้านอื่นกลับดีกว่าบ้านเขาเอง นั่นยิ่งทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกไม่สบายใจและไม่พอใจต่อตัวเหอปี้อวิ๋น


“อาจารย์แม่จางของลูกถือว่าทำหน้าที่จัดการดูแลบ้านได้ดี แต่แม่ของลูกนี่เทียบกับเธอไม่ได้เลย ต้องหัดเรียนรู้บ้างถึงจะดี” อู่เจิ้งซือมองไปทางเหอปี้อวิ๋นอย่างสื่อความหมาย บ่งบอกเป็นนัยๆ ให้เธอรับรู้ถึงความไม่พอใจของเขา


เมื่อก่อนเรื่องอาหารการกินในบ้านเป็นแบบนี้มาตลอดซึ่งอู่เจิ้งซือก็คุ้นชินแล้ว แต่พอวันนี้เขาได้กินกับข้าวฝีมืออู่เหมย อู่เจิ้งซือกลับถูกกระตุ้นปุ่มแยกรสอาหารและทำให้เขาทนต่อรสชาติแย่ๆ แบบเดิมไม่ไหวอีกต่อไป


ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดไม่กี่ประโยคของอู่เหมยก็มีผลต่อตัวเขามาก อาจารย์จางหาเงินได้น้อยกว่าเขา แต่ทำไมเรื่องการกินถึงดีกว่าเขาได้ล่ะ?


เหอปี้อวิ๋นจัดการดูแลบ้านอย่างไรกัน?


คำพูดของอู่เจิ้งซือทำให้ใจของเหอปี้อวิ๋นจมลึกไปถึงก้นบึ้ง นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกถึงความอัปยศที่แท้จริง อยู่ดีๆ คุณอู่กลับพูดว่าเธอเทียบไม่ได้กับยัยอาจารย์แม่จางที่เป็นหญิงสาวบ้านนอกและไม่มีวัฒนธรรมเนี่ยนะ?


บ้านตระกูลจางไม่มีแม้แต่ทีวีสักเครื่อง มีเพียงแค่เครื่องเย็บผ้าเก่าๆ เครื่องเดียว บ้านจนยิ่งกว่าเสียงสั่นของกระดิ่ง เงินแค่นั้นที่มีอยู่ใช้เลี้ยงปากท้องก็หมดไปแล้ว


เทียบกับครอบครัวของเธอได้หรือ?


แต่คำพูดนี้เธอจะพูดออกไปไม่ได้ เพราะตอนนี้อู่เจิ้งซือกำลังถูกยัยเด็กนี่หลอกล่อให้หลงกลจนโงหัวไม่ขึ้น พูดออกไปจะหาว่าเธอหลีกเลี่ยงปัญหาอีก อีกหน่อยค่อยหาวิธีพูดกับอู่เจิ้งซือด้วยเหตุผล


“ไม่ใช่เพราะในหนังสือบอกว่าให้กินผักเยอะๆ และกินน้ำมันให้น้อยลงหรอกเหรอ? ในเมื่อพวกเธอไม่พอใจ งั้นต่อไปฉันจะใส่น้ำมันให้เยอะขึ้น” เหอปี้อวิ๋นฝืนยิ้มออกไปแต่ในใจเธอกลับแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ


“แล้วทำไมแม่เอาแต่ทำซุปไก่ตุ๋น เป็ดตุ๋น และกระดูกหมูตุ๋นให้พี่ล่ะ? ไม่แปลกเลยที่พี่จะมีกลิ่นเต่าได้ เป็นเพราะกินเนื้อเยอะแน่ๆ” อู่เหมยกึ่งพูดล้อเล่นกึ่งพูดเหน็บแนมออกไป


จากตอนแรกที่อู่เจิ้งซือมีสีหน้าดีขึ้น แต่พออู่เหมยพูดขึ้น เขากลับเริ่มระแวงและคิดมั่วไปหมด ถ้าลูกสาวคนเล็กไม่พูดเขาคงจะนึกไม่ถึง แต่พอเธอพูดออกมาเขากลับรู้สึกไม่สบายใจ


ลูกสาวคนโตสุดที่รักของเหอปี้อวิ๋น แน่นอนว่าเธอไม่มีทางทำเรื่องที่จะเป็นผลเสียต่อเยวี่ยเยวี่ยได้ ดังนั้นประโยคที่เธอเพิ่งพูดไปว่าให้กินผักและลดการกินน้ำมันเพราะไม่ดีต่อร่างกาย ทั้งหมดนั้นมันดูไม่สอดคล้องกัน!


ปกติอู่เจิ้งซือไม่ได้เป็นคนใจกว้างขนาดนั้น เขาจมลึกอยู่กับความคิดของตัวเอง ทำไมจู่ๆ อู่เหมยถึงยุยงขึ้นมา แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา รอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไป


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 164 ยุยงได้สำเร็จ


เหอปี้อวิ๋นอยู่กินกับอู่เจิ้งซือมาหลายสิบปี เธอเข้าใจถึงนิสัยใจคอของคนที่ร่วมนอนหมอนคู่เป็นอย่างดี อย่างเช่นตอนนี้ที่เธอรู้ได้ถึงความเคลือบแคงใจของอู่เจิ้งซือซึ่งนั่นทำให้ใจเริ่มสั่นไหว อดไม่ได้ที่อยากจะลากอู่เหมยเข้าไปในห้องแล้วตีแรงๆ ให้หลาบจำ


ใจของอู่เยวี่ยได้จมดิ่งอยู่กับความเงียบ เธอนึกโกรธในคำพูดของอู่เหมยที่ต่อว่าเธอเรื่องกลิ่นเต่า เธอฝืนยิ้มและพูดออกไปเสียงนุ่ม “อันที่จริงหนูก็รู้สึกว่ากับข้าวบ้านเรามันดูธรรมดาและจืดชืดไปหน่อย กับข้าววันนี้ที่อู่เหมยทำอร่อยมากเลย แม่คะ หรือต่อไปนี้เราให้อู่เหมยมาทำกับข้าวดีไหม? เธอดูมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารนะ!”


เธอพูดไปพร้อมกับใช้ขาที่อยู่ใต้โต๊ะสะกิดเหอปี้อวิ๋น จากตอนแรกที่เหอปี้อวิ๋นโกรธลูกสาวคนนี้ที่ไม่ยอมช่วยเธอพูดอะไร แต่พอฟังที่อู่เยวี่ยพูดจบ เธอจึงพูดเสริมตามน้ำไป “การทำกับข้าวเป็นสิ่งที่ต้องใช้พรสวรรค์จริงๆ แต่ฉันไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลย ไม่อย่างงั้นต่อไปก็ให้อู่เหมยมาดูแลเรื่องกับข้าวเถอะ คุณอู่จะได้กินแล้วรู้สึกดีด้วย”


อู่เหมยแอบด่าออกไปเงียบๆ และรีบแย่งพูดต่อหน้าอู่เจิ้งซือ “หนูต้องเรียนหนังสือ อีกอย่างบ้านเราจะให้เด็กที่อายุแค่สิบสองมาทำกับข้าวให้เหรอ? บ้านเราไม่ได้เหมือนบ้านของพี่ซูหานสักหน่อยที่มีแม่เป็นอัมพาตขยับไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นจริง คงไม่ถึงกับให้หนูทำหรอก เพราะยังมีพี่อยู่ทั้งคน!”


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ยัยเด็กนี่กล้าแช่งเธอให้เป็นอัมพาตเหรอ?


แม้ว่าอู่เจิ้งซือจะชอบฝีมือการทำอาหารของลูกสาวคนเล็กมาก แต่เขาก็ยังมีเหตุผลพอและรู้ว่าหากฟังคำพูดของเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ย ผู้คนทั่วทั้งตึกนี้คงได้หัวเราะเยาะเขา


“เหมยเหมยบอกว่าแค่ใส่น้ำมันเยอะขึ้นไม่ใช่เหรอ? เงินเดือนทุกเดือนของผมเอาไปซื้อน้ำมันกับเนื้อเพิ่มคงไม่มีปัญหาใช่ไหม? แต่ถ้าไม่พอจริงๆ ก็เอาเงินเดือนของคุณออกมาใช้บ้าง ไม่ว่ายังไงคุณก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านนี้ ไม่ใช่คนนอก”


อู่เจิ้งซือก้มหน้าลงและนึกถึงเรื่องเงินเดือนของเหอปี้อวิ๋นที่ปกติเธอจะใช้จ่ายกับทางบ้านพ่อแม่เธอ แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้ดี เพียงแต่เหอปี้อวิ๋นเป็นคนปากหวานพออยู่บนเตียงพูดจาดีหน่อยเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไป แต่ความไม่พอใจก็ไม่ได้หายไปด้วยกลับกลายเป็นค่อยๆ สะสมขึ้นเรื่อยๆ ในใจ สั่งสมจนนานวันเข้าความโกรธแค้นก็ยิ่งทวีคูณ


ครั้งนี้อู่เหมยได้ก่อเรื่องวุ่นวายจนบรรยากาศในบ้านอึมครึมไปหมด และเธอยังค่อยๆ กระตุ้นความแค้นเคืองที่ถูกซ่อนไว้ในใจของอู่เจิ้งซือขึ้นมา เขาพร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ หากได้รับการกระตุ้นจากอู่เหมยอีกเพียงนิดต้องระเบิดออกมาแน่


แต่เขาเป็นคนอ่อนโยน ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่เคยใช้คำพูดคำจาที่รุนแรง เมื่อครู่ที่พูดออกไปคือเขาหมดความอดทนแล้วจริงๆ สีหน้าที่ปรากฏของเหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอมองอู่เจิ้งซือด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อได้


อู่เจิ้งซือถอนหายใจออกมาเบาๆ และหันกลับเข้าห้องไปโดยไม่มองเหอปี้อวิ๋นเลย


อู่เยวี่ยเริ่มกระวนกระวายในใจขึ้นมา เท่าที่จำความได้นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อพูดจากับแม่แรงขนาดนี้!


อู่เหมยกินข้าวจนหมดชามอย่างอารมณ์ดีและยังคีบเนื้อกินต่ออีกหลายชิ้น อิ่มอกอิ่มใจจนต้องเรอออกมา เธอนำชามที่กินเสร็จไปวางในอ่างล้างจาน และกลับเข้าไปในห้องเพื่อทำการบ้าน ยกพื้นที่ด้านนอกตรงนั้นไว้ให้กับสองแม่ลูก


เหอปี้อวิ๋นภายในใจรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก บางคำพูดของอู่เจิ้งซือทำให้เธอตั้งรับไม่ทัน หรือจะต้องเอาเงินเดือนส่วนของเธอมาใช้จริงๆ หรือ?


ไม่ๆๆ ไม่ได้แน่ ถ้าเอาเงินเดือนของเธอมาใช้ แล้วทางพ่อแม่เธอจะทำอย่างไร?


ความจริงอู่เยวี่ยก็ไม่ค่อยพอใจต่อการที่เหอปี้อวิ๋นใช้เงินไปกับทางบ้านตายายเท่าไหร่ แต่เหอปี้อวิ๋นคอยทำตามที่เธอขอทุกอย่าง เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องนี้เธอคงไม่ปล่อยไว้


“แม่คะ แม่ก็ทำตามที่พ่อบอกเถอะ อย่าทำให้พ่อไม่พอใจเลย” อู่เยวี่ยเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงเบา


เหอปี้อวิ๋นโบกมือไปมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “เยวี่ยเยวี่ยลูกไปทำการบ้านเถอะ อย่าสนใจเรื่องนี้เลย”


อู่เยวี่ยทำปากคว่ำด้วยความไม่พอใจ เธอไม่พอใจต่อการกระทำของเหอปี้อวิ๋นและยิ่งไม่พอใจต่อการกระทำของอู่เหมย หากไม่ใช่เพราะยัยโง่นั่นที่ยุยงให้แตกหัก พ่อก็คงไม่โกรธถึงขนาดนี้


จะยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้กลับเข้าห้องก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้เธอสอบได้ที่หนึ่ง เธอก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยในใจของพ่อเสมอ เธอจะไม่สนใจเรื่องว้าวุ่นใจของแม่แล้ว ขอแค่เงินในส่วนเธอไม่ลดลงก็พอแล้ว


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 165 ตลาดหนานสุ่ย


เป็นเช้าอีกวันที่อู่เหมยตื่นขึ้นมาตรงเวลาในช่วงเจ็ดโมงครึ่ง เหอปี้อวิ๋นทำกับข้าวอยู่ตรงระเบียงด้านนอก ขอบตาเธอดูดำคล้ำบ่งบอกได้ชัดว่าผ่านการนอนน้อยมา ช่วงนี้เข้าสู่เดือนธันวาคมแล้วอากกาศตอนเช้าจะเย็นๆ อู่เหมยเปลี่ยนมาใส่กางเกงเอี๊ยมสีน้ำเงินที่เหอปี้อวิ๋นทำให้ใหม่และสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้านนอก ใส่คู่กับรองเท้ากีฬาสีขาว เธอรวบผมหางม้าขึ้นสูงทำให้ดูสบายตามาก


“พ่อคะ สยงมู่มู่จะให้หนูไปเป็นเพื่อนเพื่อซื้อกระดาษและปากกา”


อู่เหมยดื่มนมไปอึกใหญ่พร้อมด้วยไข่ต้มที่เธอปอกเปลือกออก อาหารเช้าวันนี้อุดมสมบูรณ์จริงๆ มีทั้งไข่ต้ม ซาลาเปาไส้ทะลักร้อนๆ ที่เหมือนจะสั่งมา โจ๊กข้าวเหนียวดำและยังมีผักดองสุดพิเศษอีกสองจาน


เจอกับเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เหอปี้อวิ๋นกลับมาคิดทั้งคืนจนเธอเริ่มคิดได้ เฮ้อ! นี่มันแค่จุดเริ่มต้นเอง!


อู่เจิ้งซือเองก็พึงพอใจเป็นอย่างมากต่ออาหารเช้าที่มีความหลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกขัดเคืองใจว่าทำไมตัวเขาไม่พูดออกไปตั้งแต่แรก ใจที่เริ่มเอนเอียงของอู่เจิ้งซือจึงขานตอบอย่างไม่ลังเล


“ไปเถอะ แล้วรีบกลับมานะ”


“ค่ะพ่อ หนูไปแล้วนะ!”


อู่เหมยดื่มนมเสร็จก็รีบสะพายกระเป๋าแล้วออกไป ในกระเป๋ามีฉิวฉิวที่ขดตัวแทะลูกกวาดอยู่ในนั้น ตอนนี้คุณชายฉิวเล่นกับสยงมู่มู่ได้อย่างสบายใจ แต่ลูกกวาดในบ้านของตระกูลสยงก็ลดลงไปอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้จ้าวอิงหนานต้องคอยเตือนให้สยงมู่มู่แปรงฟันวันละสามครั้ง


สยงมู่มู่รอเธออยู่ด้านล่างนานแล้ว อู่เหมยที่วิ่งเข้าไปผลักเขาลงจากรถจักรยาน “ฉันจะเป็นคนปั่นเอง นายปั่นช้าเกิน”


“ฉิวฉิวล่ะ? ฉันเอาลูกกวาดมาให้มันด้วยนะ”


สยงมู่มู่ล้วงเอาลูกกวาดออกมาจากกระเป๋าหนึ่งกำมือใหญ่ๆ ฉิวฉิวที่อยู่ในกระเป๋าของอู่เหมยได้วิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสยงมู่มู่อย่างรวดเร็ว มันร้องตอบไม่หยุดอย่างดีใจจนสยงมู่มู่แทบหุบยิ้มไม่ได้


“นายให้ฉิวฉิวกินลูกกวาดน้อยๆ หน่อย อีกหน่อยถ้าฉิวฉิวฟันร่วงหมดปากจะทำยังไง?”


อู่เหมยที่ขึ้นนั่งบนจักรยานได้ จึงหันกลับมาบ่นต่อสยงมู่มู่ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ากระรอกกินลูกกวาดได้ไหม แต่พอเห็นฉิวฉิวกินก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย คงไม่เป็นอะไรหรอก


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวส่งเสียงร้องไปทางอู่เหมยดด้วยความไม่พอใจ คุณชายฉิวอย่างมันมีเหรอที่จะฟันหลุดหมดปากได้?


สยงมู่มู่หัวเราะอย่างได้ใจ “เธอดูสิ ฉิวฉิวมันยังต่อต้านเลย ฉิวฉิวเป็นเด็กดี ต่อไปนี้ลูกกวาดทั้งหมดฉันจะดูแลเอง”


ฉิวฉิวส่ายหางยาวๆ ของมันไปมา ใช้เท้าของมันตีไปที่สยงมู่มู่อย่างวางมาด และแทะลูกกวาดต่ออย่างสบายใจ


ตลาดหนานสุ่ยห่างจากอี้จงประมาณหนึ่ง


ใช้เวลาปั่นมาครึ่งชั่วโมงได้ ช่วงที่เขาและอู่เหมยมาถึงตลาดหนานสุ่ย พวกซุ้มขายของยังมีไม่เยอะ เจ้าของร้านหลายคนหาวไปด้วยจัดร้านไปด้วย คนเดินไปมาก็ยังไม่เยอะ เจ้าของแผงบางคนถึงกับต้องเอามือซุกไว้ใต้แขนเสื้อ หลับตาลงเพื่อพักสายตา


ร้านที่ขายกระดาษอยู่หัวมุมสุดของถนน พื้นที่ของร้านไม่ได้ใหญ่มาก จังหวะที่พวกเขาไปถึงเจ้าของร้านก็เพิ่งมาเปิดร้านพอดี เจ้าของร้านนำแผ่นไม้บนบานประตูออก ในช่วงยุคนี้ประตูไม่ได้ใช้แบบลูกบิด โดยทั่วไปประตูใหญ่หน้าร้านจะเป็นประตูไม้และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ประตูไม้ธรรมดา แต่เป็นชิ้นไม้ที่กว้างราวเจ็ดแปดนิ้วประกอบกันเป็นประตู


หากจะเปิดประตูต้องนำแผ่นไม้ทั้งหมดลง หากจะปิดก็นำแผ่นไม้สอดเข้าไปใหม่ ท้ายสุดล็อกด้วยสลักเปิดปิดอย่างแน่นหนา ในชาติก่อนของเธอประตูแบบนี้แทบไม่มีอยู่ให้เห็น แต่ในเวลานี้หน้าร้านทั่วไปส่วนใหญ่เป็นประตูลักษณะนี้ทั้งหมด


“มาเร็วไปหน่อย งั้นเราไปดูทางนั้นก่อนเถอะ” สยงมู่มู่ชี้ไปยังแผงลอยด้านใน


อู่เหมยไม่ได้สนใจของลายคราม เธอไม่เข้าใจเกี่ยวกับของพวกนี้เลยด้วยซ้ำ ของจริงก็ดูจะเป็นของปลอม ส่วนของปลอมก็ดูจะเหมือนของจริง แต่ถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปแล้ว เดินเข้าไปดูหน่อยก็ได้


“ต๊อก ต๊อก”


แต่กลับฉิวฉิวแล้วมันรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เท้าหน้าทั้งสองข้างของมันชี้ไปไม่หยุดทำให้สยงมู่มู่ยิ้ม “ฉิวฉิวอยากไปชอปปิงเหรอ เจ้าตัวเล็กดูของโบราณเป็นด้วยเหรอเนี่ย?”


นายน้อยฉิวใช้เท้าฟาดเขาด้วยความไม่พอใจ ทำไมมันจะไม่เข้าใจสิ่งของพวกนี้ล่ะ ของพวกนี้ก็เหมือนกับยาดีๆนั่นเอง ของดีๆ เป็นธรรมดาที่ขอเพียงแค่มีไหวพริบมันก็จะรู้สึกได้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 166 เงินได้มาง่าย อำนาจยากที่จะแสวงหา


เหยียนหมิงซุ่นนำจักรยานจอดทิ้งไว้ตรงถนน เขาคอยระวังกระเป๋าไว้เพราะด้านในมีของที่ลุงเขาเพิ่งได้มา เขาแค่ดูผ่านๆ คาดว่าน่าจะเป็นของแท้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ราคาเท่าไหร่


ครั้งนี้เขามาเพื่อเอาของมาขาย เมื่อปีก่อนเขาได้รู้จักกับเจ้าของร้านกระดาษโดยบังเอิญ ตั้งแต่นั้นมาคุณภาพชีวิตของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โลกทั้งใบของเขาก็เปิดกว้างมากขึ้น


และการที่เขาไปเป็นทหารก็ได้คำแนะนำมาจากเถ้าแก่คนนี้ มีประโยคหนึ่งที่เถ้าแก่พูดแล้วโน้มน้าวใจเขาได้ เขาพูดว่าเงินทองเป็นสิ่งที่ได้มาง่าย แต่อำนาจมันยากกว่าที่จะได้มา มีเงินไม่ได้แปลว่ามีอำนาจ แต่อำนาจเป็นสิ่งแน่นอนที่ทำให้มีเงิน


สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากมีเงินแต่ไม่มีอำนาจ ไม่ช้าก็เร็ว เงินจะต้องถูกคนอื่นแย่งไป


นั่นเลยทำให้เหยียนหมิงซุ่นได้เข้าใจ เมื่อก่อนชีวิตของเขาแบกความหวังไว้แค่การเป็นเศรษฐี ทำให้ตายายและลุงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ตอนนี้ความคิดของเขากลับต่างออกไป


เขาไม่เพียงแค่จะทำให้คนในครอบครัวใช้ชีวิตสุขสบายแบบคนรวย แต่เขาจะต้องปีนขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของอำนาจ ทั้งชีวิตของถานซูฟางยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดเลย


“ลุงหมิง ผมมีของดีมาให้ลุงดูครับ”


เหยียนหมิงซุ่นเข้าไปในร้านขายกระดาษ และเดินไปทางเคาน์เตอร์ที่มีผู้ชายสวมเสื้อผ้าไหมสีขาวแบบราชวงค์ถัง ลักษณะวัยกลางคนแลดูอ้วนท้วนแข็งแรง ชายผู้นั้นยิ้มและทักทายกลับมา เขาดูจะมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ตัวขาวๆ อ้วนๆ  เหมือนกับหมั่นโถวที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ ทั้งอ่อนทั้งนุ่ม


ชายผู้นี้เป็นเจ้าของร้านกระดาษ เขาแซ่หมิง แต่ชื่อของเขานั้นไม่มีใครรู้ ผู้คนละแวกนี้เรียกเขาว่าพี่ใหญ่หมิง ฐานะของเขาไม่ธรรมดา


“หมิงซุ่นมาแล้วเหรอ นายไปได้ของดีอะไรมาอีก?”


เขายิ้มได้เหมือนกับพระศรีอริยเมตไตรยมาก มีคางสามชั้นที่สั่นระริก บนหัวที่ไม่มีเส้นผมดูเกลี้ยงเกลาราวกับแสงสว่างยามเช้าที่สาดส่องมา สว่างยิ่งกว่าหลอดไฟที่สาดกระทบกระเบื้องเป็นร้อยเท่า เหยียนหมิงซุ่นเอาชามสีดำสนิทใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ขนาดของมันใหญ่กว่าชามทั่วไปเล็กน้อย ลักษณะคล้ายกับงอบ(หมวกหญ้าสาน) มีคราบสกปรกติดอยู่บนชามเยอะเกินไปจนมองรูปร่างหน้าตาเดิมของชามไม่ออก


“ลุงหมิง ลุงดูให้ผมหน่อยว่าอันนี้เป็นยุคสมัยไหน? ผมเดาไม่ถูก”


เหยียนหมิงซุ่นใช้สองมือยื่นของไปให้เขาด้วยความนอบน้อม จากตอนแรกที่ลุงหมิงมีอาการเหมือนง่วงนอน แต่พอเห็นชามสกปรกใบนี้กลับเบิกตากว้าง และนัยน์ตาเปล่งประกาย


“เอาไปล้างก่อนแล้วค่อยมาดู นายตามฉันมาสิ”


หลังจากที่ลุงหมิงเพ่งมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน คางสามชั้นของเขาได้สั่นกระเพื่อมแรงขึ้น แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจ เขาจึงหยิบชามใบนั้นขึ้นมาแล้วเดินเข้าห้องไป เหยียนหมิงซุ่นจึงรีบตามมาติดๆ


บ้านหลังนี้ถ้ามองจากด้านหน้าจะดูไม่สะดุดตา แต่ด้านในแค่มองก็รู้ได้ถึงเหตุผล คาดไม่ถึงว่าจะมีลานบ้านที่ดูเป็นฮวงจุ้ยที่ดีขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่เหยียนหมิงซุ่นเข้ามาที่นี่ ในใจเขารู้สึกตระหนกและหวาดกลัว แต่กลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด เขาได้แต่มองตรงไปด้านหน้าโดยไม่วอกแวก


ลุงหมิงพาเขาไปยังห้องด้านในสุด เครื่องมือและยาน้ำทั้งหมดภายในห้องเป็นสิ่งที่เหยียนหมิงซุ่นไม่รู้จัก และยังมีเศษซากเครื่องลายครามอีกมาก ราวกับที่นี่เป็นห้องเก็บของเก่า


“นายรู้ไหมว่าเศษเครื่องลายครามพวกนี้ วันก่อนมีคนให้ราคาเท่าไหร่?” จู่ๆ ลุงหมิงก็ถามขึ้นมา


เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าตอบ แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับของพวกนี้มาบ้าง แต่มันก็แค่ผิวเผิน ลุงหมิงยิ้มและยื่นฝ่ามือให้เขาดู เหยียนหมิงซุ่นจึงลองถาม “ห้าร้อย?”


ลุงหมิงมองเขาตาขวางแล้วพูดออกไปด้วยอารมณ์ “ห้าร้อยแค่ชิ้นเดียวยังซื้อไม่ได้เลย ห้าพัน”


เหยียนหมิงซุ่นอุทานอย่างตกใจ เขามองไปยังเศษลายครามนั้นด้วยความตกตะลึงและถามขึ้น “ลุงหมิงไม่ขายเหรอ?”


“แน่นอนว่าไม่ขาย แค่ห้าพันคิดจะซื้อของล้ำค่าของฉันไป ไม่มีทาง”


ลุงหมิงถอนหายใจหนึ่งครั้งและหยิบแปรงขนาดเล็กมาจุ่มน้ำเล็กน้อย ขัดเบาๆ ที่ผิวชาม เมื่อเขาขัดไปเรื่อยๆ ทำให้ชามที่เปื้อนจนไม่เห็นรูปร่างค่อยๆ ปรากฏให้เห็นหน้าตาเดิมของมัน


“นี่คือชามงอบเคลือบลายแดงทำจากเตาเผาจุน นับว่าเป็นสินค้าคุณภาพ แต่การเก็บรักษาไม่ดีนัก ทำให้มีช่องแตกเป็นรูใหญ่” ลุงหมิงมองรอยแตกด้านข้างของชามอย่างนึกเสียดาย


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มออกมาด้วยความเข้าใจ เขาดูเองก็คิดว่ามันคือชามงอบเคลือบลายแดงที่ทำจากเตาเผาจุน เขาจึงถามต่อ “ชามใบนี้ลุงหมิงจะรับไว้ไหม?”


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)