พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1589-1592

บทที่ 1589 จับตัวมา!

 

เมื่อแน่ใจในท่าทีของฝั่งตึกศาลาสัตยพรตแล้ว จัดการฝั่งวัดพระกษิติครรภ์ได้แล้ว เหมียวอี้ที่กลับมาถึงจวนแม่ทัพภาคก็แจกจ่ายงานทันที


ให้พวกหยางชิ่งรีบจัดระเบียบข้อมูลสถานการณ์ที่ตลาดผี เพราะเขาจะต้องรายงานสถานการณ์ขึ้นไปข้างบน เขาเองก็บอกกับหยางชิ่งไว้ชัดเจนแล้ว ว่ารออยู่ที่นี่เพียงหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากนี้หนึ่งปีก็จะพากลับพิภพเล็กด้วยกัน ถ้ามีของอะไรที่จะนำกลับไปด้วยก็ต้องรีบเร่งมือให้เร็วที่สุด


จากนั้นก็ติดต่อหกลัทธิอีก ให้กำลังพลของหกลัทธิที่อยู่ภายนอกรวบรวมทรัพยากรฝึกตนที่จะนำเข้าไปในแดนอเวจี และบอกอย่างเป็นทางการว่าเขามีวิธีการเข้าแดนอเวจี ให้เวลาพวกเขาเตรียมตัวสองปี หลังจากนี้สองปีเขาจะกลับนรก จะถือโอกาสนำของเขาไปให้พวกเขาด้วย


หกลัทธิได้ยินแล้วตกตะลึง ยืนยันกับเหมียวอี้หลายครั้ง ว่าหาทางนำทรัพยากรฝึกตนเข้าไปได้จริงๆ หรือเปล่า


จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เหมียวอี้บอกเอาไว้ชัดเจน ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่อเข้าไปในแดนอเวจีบ่อยๆ ให้พวกเขาตัดสินใจเอาเองตามเห็นสมควร แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาย้ำไว้อย่างชัดเจน ว่าจะให้กำลังพลของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาที่หกลัทธิไม่ได้


ส่วนเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกล้าเปิดเผยความลับนี้ให้หกลัทธิรู้ ก็เพราะปราสาทดำเนินนภาโจมตีหกลัทธิจนบาดเจ็บสาหัส สิ่งนี้ได้มอบความมั่นใจให้เขาแล้ว เขามีความสามารถที่จะควบคุมหกลัทธิแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก


ขณะเดียวกันก็สั่งกลุ่มอำนาจของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกว่าให้ตุนลูกแก้วพลังปรารถนาช้าๆ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะไม่ทำให้หกลัทธิเสียเปรียบ เขาจะนำของที่มีมูลค่าเท่ากันไปแลก


จากนั้นก็ให้อวิ๋นจือชิวตุนยาเสริมพลังชีวิตและยาแก่นเซียนภายในหนึ่งปีว่าได้จำนวนเท่าไร เขาจะนำกลับพิภพเล็กไปแลกเป็นลูกแก้วพลังปรารถนา หลังจากนี้ไปเขาจะเหมาลูกแก้วพลังปรารถนาของพิภพเล็กเอาไว้คนเดียว ถึงแม้ลูกแก้วพลังปรารถนาที่พิภพเล็กจะมีไม่เยอะก็ตาม


อวิ๋นจือชิวย่อมเข้าใจว่าทำไมเขาต้องการทำแบบนี้ ตอนนี้เหมียวอี้กำลังใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตนเพื่อความได้เปรียบ สามารถประหยัดทรัพยากรฝึกตนได้ไม่น้อยเลย


ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือน


โรงเตี๊ยมไร้กังวล เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่เยื้องกับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี


ชายวัยกลางคนหน้าขาวคนหนึ่งที่ทำเรื่องเข้าพักออกมาจากออกพักแขกแล้ว เขามองไปรอบๆ เดินวนอยู่ตรงทางเดินข้างในครึ่งรอบ พออ้อมมาฝั่งตรงข้ามแล้ว ก็เดินเนิบนาบไปที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง “แค่กๆ” ไปเบาๆ สองครั้งอย่างเป็นจังหวะ


แกร๊ก! มีเสียงกลอนประตูเด้งออกจากหลังประตู ชายวัยกลางคนหน้าขาวมองซ้ายมองขวา แล้วก็ผลักประตูเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็ว


ข้างหน้าต่างในห้องที่เปิดไว้เล็กน้อย ชายหนวดหยิกคนหนึ่งหันตัวมองมา จากนั้นชายวัยกลางคนหน้าขาวก็ส่งสัญญาณมือ แล้วชายหนวดหยิกก็ส่งสัญญาณมือตอบ


หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่ติดต่อกัน ชายหนวดหยิกก็ถ่ายทอดเสียงถามอย่างไม่ค่อยพอใจ “รายงานสถานการณ์ขึ้นไปตั้งนานแล้ว ทำไมเจ้าเพิ่งมาตอนนี้?”


ชายวัยกลางคนหน้าขาวตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจับตาดูทั้งวันทั้งคืนด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว แต่เบื้องบนสั่งมาแล้ว ว่าตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ใช่เล่นๆ ถ้าอยากจะเล่นตุกติกอะไรที่ตลาดผีก็ต้องระวังแล้วระวังอีก ยอมให้ช้าหน่อยดีกว่า อย่าทำให้คนสงสัยเลย”


ชายหนวดหยิกไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินไปหน้าเตียงข้างๆ แล้วนั่งขัดสมาธิ จากนั้นถอนหายใจหนักๆ  ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาสูญเสียพลังจนแทบทนไม่ไหว


ชายวัยกลางคนหน้าขาวมานั่งตำแหน่งแทนเขา หันตัวยืนไปทางริมหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วมองไปด้านนอก มองเห็นความเคลื่อนไหวของคนที่เข้าออกจวนแม่ทัพภาคพอดี เขาถามว่า “มีสถานการณ์อะไรจะส่งต่อมั้ย?”


ชายหนวดหยิกที่กำลังหลับตากล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าแค่ต้องบันทึกทุกเหตุการณ์ตอนที่มีเข้าออกจวนแม่ทัพภาคเอาไว้ เน้นไปที่ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้านางออกมาแล้วบอกข้าทันที ส่วนคนอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจ”


“เน้นฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? นี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?” ชายวัยกลางคนหน้าขาวถาม


“อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม” ชายหนวดหยิกตอบ


ชายวัยกลางคนหน้าขาวพูดไม่ออก ได้แต่หันกลับไปจ้องนอกหน้าต่างต่อไป


ตึกศาลาสัตยพรต พ่อบ้านชีเจวี๋ยรีบเดินไปหน้าประตูห้องเถ้าแก่ เคาะประตูอย่างเป็นจังหวะ แล้วเอ่ยเรีบก “เถ้าแก่”


“เข้ามา!” มีเสียงของเฉาหม่านดังมาจากในห้อง


ชีเจวี๋ยผลักประตูเข้ามาแล้วก็ปิดประตูอีก เดินมาถึงข้างกายเฉาหม่านที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วบอกว่า “ด้านนอกจวนแม่ทัพภาคอาจจะมีสถานการณ์นิดหน่อยขอรับ”


เฉาหม่านที่กำลังหลับตาถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “มีสถานการณ์อะไร?”


ชีเจวี๋ยตอบว่า “ที่โรงเตี๊ยมไร้กังวลที่อยู่เยื้องกับจวนแม่ทัพภาค มีคนคนหนึ่งมาเข้าพักได้สามเดือนแล้ว บังเอิญเข้าพักในห้องที่พวกเราเน้นป้องกันพอดี เพราะตำแหน่งนั้นสามารถสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของจวนแม่ทัพภาคได้”


“มีความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” เฉาหม่านถาม


ชีเจวี๋ยตอบว่า “ดูเหมือนปกติ แต่หลังจากพวกลูกน้องสังเกตการณ์แล้วก็พบว่า หน้าต่างห้องนั้นเหมือนจะแง้มเอาไว้ตลอด น่าจะมองเห็นจวนแม่ทัพภาคได้พอดี และคนที่เข้าพักข้างในก็ยิ่งไม่ก้าวออกจากประตูเลย แต่เมื่อวานนี้เอง พวกเราส่งคนเข้าไปในโรงเตี๊ยม แล้วบอกว่ามีแขกคนหนึ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องของคนนั้น จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ออกมาเลย ผู้ชายสองคนอุดอู้อยู่ในห้องด้วยกันทั้งวัน ต่อให้มีธุระใหญ่โตแต่ก็หน้าจะคุยเสร็จแล้ว ถึงยังไงทั้งสองก็มีห้องของตัวเอง ทำตัวน่าสงสัยจริงๆ ขอรับ”


เฉาหม่านกล่าวออกมาโดยแทบจะไม่ต้องครุ่นคิดอะไร เป็นคำที่มีความเผด็จการเต็มสิบ “จับตัวมา!”


ชีเจวี๋ยอึ้งทันที “คนของพวกเราจับตาดูอยู่ตลอด พวกเขายังไม่ทันทำอะไร ถ้าจับตัวมาตอนนี้…”


เฉาหม่านพูดตัดบทเสียเลยว่า “จะรอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยลงมือเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นหัวเชื้ออะไรก็ต้องบีบทิ้งให้ทันเวลา! เฒ่าชี ตอนนี้จะเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ อย่างน้อยก็ห้ามเป็นอะไรไปที่ตลาดผี ในถิ่นของคนอื่นข้าไม่สนใจ แต่ถ้าเป็นที่ตลาดผีจะต้องไม่มีปัญหา! ข้าไม่สนว่าเป็นใคร ขอเพียงมีความผิดปกติ ต่อให้สายตามีพิรุธ ก็ต้องจับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าจับผิดตัวอย่างมากก็แค่ปล่อยไป ต่อไปนี้จัดการตามนี้”


แค่สายตามิพิรุธก็จับมาให้หมดเหรอ เข้มงวดเกินไปหน่อยรึเปล่า? ชีเจวี๋ยปาดเหงื่อเล็กน้อย แล้วเอ่ยรับคำสั่ง “ขอรับ! ข้าจะไปจัดการตามนี้!”


โรงเตี๊ยมไร้กังวล ชายหนุ่มวัยกลางคนหลายคนเดินก้าวยาวบุกเข้ามาโดยตรง แล้วเดินขึ้นตึกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


“ลูกค้า!” พนักงานรีบเข้ามาขวางไว้หน้าตึก แล้วยิ้มสู้พร้อมถามว่า “ท่านลูกค้าจะมาเข้าพักหรือจะมาใครหรือขอรับ? ถ้าจะมาหาคนก็รายงานก่อนสักหน่อย ถ้าจะเข้าพักก็จ่ายเงินก่อน” ขณะที่พูดก็ยื่นมือไปทางโต๊ะคิดเงิน


ใครจะคิดว่าด้านนอกโรงเตี๊ยมจะมีคนตามเข้ามาอีก หนึ่งในนั้นเดินตรงไปที่หน้าโต๊ะคิดเงิน แล้วเผยป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้ผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่หลังโต๊ะดู


ผู้จัดการร้านตกตะลึงอ้าปากค้างในชั่วพริบตาเดียว คนที่ถือป้ายคำสั่งเอียงหน้ามองไปทางบันได แล้วบอกใบ้ “อืม” จากนั้นผู้จัดการร้านก็รีบโบกมือบอกให้หลีกทางทันที


ดังนั้นผู้จัดการร้านรวมทั้งพนักงานในร้านจึงถูกนำไปรวมไปอีกด้านหนึ่งแล้วคอยเฝ้าไว้


มีคนสามคนเดินตรงขึ้นไปบนตึก พอมาถึงชั้นหนึ่งก็เดินต่อไปยังห้องห้องหนึ่งอย่างเปิดเผย คนที่นำหน้ามาใช้มือตบเปิดประตูออกโดยตรง


ในห้องนั้น ชายวัยกลางคนหน้าขาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ชายหนวดหยิกที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ทั้งสองหันกลับมามองอย่างตกใจ พอเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา ทั้งสองก็มีปฏิกิริยาทันทีโดยแทบจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายวัยกลางคนหน้าขาวรีบกระโดดออกหน้าต่าง ส่วนชายหนวดหยิกก็พังเตียงแล้วกระโดดลงพื้นทันที


ที่นอกหน้าต่าง มีเงาสีดำหลายสายแฉลบผ่าน เหาะเข้ามาจากสามทิศทาง มาดักชายวัยกลางคนหน้าขาวเอาไว้


ชายวัยกลางคนหน้าขาวรีบโบกกระบี่ฟันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าวรยุทธ์ของผู้ที่เข้ามาขวางแตกต่างกันเกินไป ถูกอีกฝ่ายรับกระบี่ไว้ราวกับฟันแทงไม่เข้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าแล้ว จากนั้นคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้ว พอบิดข้อมือ ก็มีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ ขั้นต่อมาก็คือถูกดักคอไว้จนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้


ชายวัยกลางคนหน้าขาวเบิกตาโต ใช้ฟันออกแรงกัด คนฝั่งนี้ยังไม่ทันตกลงพื้น ในรูจมูกก็มีหมอกสีชมพูลอยออกมาแล้ว จากนั้นก็กลายเป็นสีดำแล้วจมลงในเบ้าตาอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววหวานเยิ้มพึงพอใจไร้ที่เปรียบ คนที่กำลังจับเขาตกใจทันที ตะโกนเสียงต่ำไปบนหน้าต่างว่า “ฟันพิษ!”


ในห้องของโรงเตี๊ยม พอชายหนวดหยิกพังเตียง คนที่พุ่งนำเข้ามาก็รีบฟาดแส้เหล็กเข้ามาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ


พอชายหนวดหยิกพลิกฝ่ามือโบก แส้เหล็กที่ม้วนเข้ามาก็กลายเป็นฝุ่นผงในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ก่อตัวเป็นควันอีก กลายเป็นลูกธนูคมหลายดอกยิงกลับออกมา


คนที่พุ่งเข้ามาลงมือตกใจมาก กางแขนสองข้างมาไว้ตรงหน้าอก เกราะลมราวกับมีรูปร่าง ทำให้ลูกธนูที่เข้ามาใกล้ตรงหน้าจมลงแล้ว


คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ถ้าอยากจะพุ่งเข้ามาลงมืออีกก็สายไปแล้ว ชายหนวดหยิกคนนั้นตกลงพื้นราวกับตกลงในน้ำ จมหายไปในพื้นหินราวกับเป็นระลอกคลื่นน้ำ


ตรงชั้นล่าง พอชายหนวดหยิกตกลงมาจากชั้นหนึ่ง หนึ่งในสามคนที่เอามือไขว้หลังรออยู่ในห้องก็ถลันออกมาราวกับเงาผี แล้วใช้ฝ่ามือตบประทับที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย


ชายหนวดหยิกลนลานทำอะไรไม่ถูก นึกไม่ถึงว่าข้างล่างจะยังมีคนรออยู่ ที่จริงแล้วอย่าว่าแต่ข้างล่างเลย ทั้งบนทั้งล่าง ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนมีคนรออยู่ จะไปทางไหนก็หนีไม่พ้น


“อั้ก!” เลือดสดพุ่งออกจากปากคำหนึ่ง ยังไม่ทันรอให้ตัวกระเด็นออกไป ก็มีคนมากักใต้คางเอาไว้แล้ว


คนที่มากักใต้คางเขาไว้ออกแรงที่นิ้วทั้งห้า “อั้ก” ชายหนวดหยิกกระอักเลือดออกมาพร้อมกับฟันทั้งหมดในปาก ร่วงกระจายลงพื้นแล้ว


คนที่ควบคุมเขาดึงมือแล้วยัดเขาเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวเดินออกไปทันที ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


หนึ่งในคนที่อยู่ข้างหลังเขาร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บกวาดบนพื้น ฟันที่ตกอยู่เต็มพื้นระเบิดออก ในจำนวนนั้นมีวัตถุคล้ายเม็ดยาสีชมพูเด้งออกมาตกอยู่ในฝ่ามือเขา จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปเช่นกัน


คนที่อยู่ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมาเจอกันตรงตีนบันได หลังจากพยักหน้าให้กันแล้วก็รีบลงมา แขกที่อยู่ในโรงเตี๊ยมที่กำลังตกใจรีบวิ่งออกมาหมอบหน้ารั้วและยื่นศีรษะออกมาดู พวกเขามองดูฉากนี้อย่างงุนงง ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


ในโถงใหญ่ของชั้นล่าง ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งออกมา ก็มีคนถ่ายทอดเสียงบอกผู้จัดการโรงเตี๊ยมว่า “ค่าชดเชยความเสียหายของโรงเตี๊ยม พวกเจ้าไปเอาที่ตึกศาลาสัตยพรตได้” พูดจบก็ออกไปทันที


คนกลุ่มนี้มาไว้ไป ผู้จัดการร้านที่เดินออกมามองคล้อยหลังตรงประตูยังเหม่ออยู่เลย


ตอนที่ชายหนวดหยิกเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองตกกระแทกลงบนพื้นแล้ว ไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ไหน รู้เพียงว่าอยู่ในห้องศิลาแหง่หนึ่ง ด้านข้างมีศพร่างหนึ่งที่เหลือแต่โครงกระดูก แค่มองปราดเดียวก็เดาได้แล้วว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของตัวเอง เพราะเขารู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบไหนถึงจะกลายเป็นแบบนี้


พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นคนชุดดำยืนเรียงแถวอยู่ตรงหน้า คนที่เป็นหัวหน้าคือชายร่างหมีหน้าดุหนวดเฟิ้ม ตอนนี้กำลังนั่งไขว่ห้างดื่มน้ำชาอย่างเอ้อระเหย


พอชายรูปร่างกำยำวางถ้วยน้ำชาแล้วเอียงหน้า ก็มีคนเข้ามาดึงให้เขาลุกขึ้นทันที จากนั้นก็คลายผนึกบางส่วนบนร่างกายเขา ฉีกหนังปลอมบนใบหน้าลงมา เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาไม่ธรรมดา ทำให้เลือดที่ไหลออกจากรูจมูกยิ่งเด่นชัดขึ้น


“เฮ้ย! นึกไม่ถึงว่าจะจับตัวไอ้หนุ่มหน้าขาวได้คนหนึ่งแล้ว” ชายรูปร่างกำยำลุกขึ้นแล้วกล่าวหัวเราะ เอาสองมือไขว้หลังพลางพยักหน้า “หนุ่มหน้าขาว จะตอบมาดีๆ หรือจะให้พวกเราง้างปากเจ้า”


หนุ่มหน้าหล่อที่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงหอบหายใจ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ กวาดตามองคนที่อยู่ในห้องศิลา แล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นคนของตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?”


ชายรูปร่างกำยำแสยะหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร


การไม่ตอบก็คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเช่นกัน หนุ่มหน้าหล่อเข้าใจแล้ว เขาส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ตอนนี้ตกอยู่ในมือของตึกศาลาสัตยพรต เอายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจับตน มิน่าล่ะตนถึงได้เสียเปรียบแบบนี้ เขาหอบหายใจแล้วถามอีกว่า “ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น และไม่ได้ล่วงเกินพวกเจ้าด้วย มาจับข้าทำไม?”


“เพราะหน้าต่างห้องเจ้าเปิดนานเกินไปแล้ว พวกเราเห็นแล้วขัดลูกตา!” ชายรูปร่างกำยำกล่าวอย่างใจเย็น


“…” หนุ่มหน้าหล่อพูดไม่ออก แค่เปิดหน้าต่างก็มีความผิดเหรอ แค่ข้าเปิดหน้าต่างนานก็เลยมาจับข้างั้นเหรอ นี่มันใช่เรื่องมั้ย?

 

 

 


บทที่ 1590 โฉมหน้าที่แท้จริงของโจรราคะ

 

ทว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องอธิบายเหตุผลด้วยเหรอ? ในโลกใต้ดิน โดยเฉพาะที่ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตก็คือเหตุผล อีกฝ่ายมีอำนาจในกติกาของระบบนี้ แม้แต่ตำหนักสวรรค์ก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้


หนุ่มหน้าหล่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกนิดหน่อย ทั้งชีวิตนี้ตัวเองนับว่าผ่านคลื่นลมมาก็ไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เสียเปรียบขนาดนี้ ยังไม่ทันทำอะไรก็กลายเป็นอย่างนี้แล้ว


เขาแน่ใจได้เลยว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะจับตัวเขา อีกฝ่ายต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าเขาคือใคร แต่ไม่รู้ด้วยว่าเขาต้องการทำอะไร แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ จะจับตัวเจ้าแบบนี้ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้ล่ะ?


แต่จะว่าไปแล้ว จากสิ่งนี้ก็จะให้ได้ว่าตึกศาลาสัตยพรตควบคุมตลาดผีได้ขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ตัวเองเปิดหน้าต่างไว้นานก็โดนจับตามองแล้ว


และความจริงก็ได้พิสูจน์สิ่งที่เขาคาดคะเนแล้ว ชายรูปร่างกำยำผิวปาก แล้วถามอย่างสนใจว่า “หนุ่มหน้าขาว บอกมาเถอะ เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?”


หนุ่มหน้าหล่อบุ้ยปากไปทางศพที่นอนอยู่บนพื้น “ทำขนาดนี้แล้ว เจ้าก็น่าจะรู้สิว่าพวกเราเป็นใคร บอกไปพวกเราก็ตายอยู่ดี ไม่ต้องเปลืองคำพูดแล้ว ส่งข้าไปสบายเถอะ” เมื่อไม่มีฟันแล้ว เสียงพูดก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย


“เฮ้ย! ปากแข็งใช้ได้เลยนี่” ชายรูปร่างกำยำที่ใบหน้าดุดันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


มีคนคนหนึ่งก้าวขึ้นมาที่ข้างกายเขา เป็นคนที่นำบุกเข้าไปในห้องของหนุ่มหน้าหล่อก่อนหน้านี้ ก้าวเข้ามาหาชายรูปร่างกำยำแล้วบอกว่า “หัวหน้า เจ้าหมอนี้วรยุทธ์ไม่สูงแต่กลับใช้เคล็ดวิชาธาตุทองกับธาตุดินพร้อมกันได้ ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้ตรวจสอบ ถ้าไม่ใชเพราะเตรียมตัวไรอบด้าน ดีไม่ดีเขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้”


นี่ไม่ใช่คำโกหก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกลูกน้องเฝ้าไว้เหมือนเฝ้ารอจับกระต่ายใต้ต้นไม้ ถ้าปล่อยให้คนคนนี้ตกลงมาข้างล่างทีละชั้นละชั้นจริงๆ ถ้ามุมดลงไปถึงใต้ดินเมื่อไร ถ้าอยากจะเจาะดินบนพื้นแร่ผสมนี้เพื่อหาคนอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว


หนุ่มหน้าหล่อได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย


“เคล็ดวิชาธาตุทองกับธาตุไฟเหรอ? เหมือนคนที่มีพรสวรรค์แบบนี้จะมีไม่เยอะนะ!” ชายรูปร่างกำยำแสยะหัวเราะ แล้วเอียงหน้าถามว่า “ไม่หาภาพมาเทียบสักหน่อย”


ข้างหลังมีคนหันตัวเดินออกไปทันที ขณะเดียวกันก็มีคนมาค้นตัวศพบนพื้นและหนุ่มหน้าหล่อ ค้นของทั้งหมดบนตัวทั้งสองออกมาแล้ว


ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนนำภาพวาดเข้ามาเทียบกับหนุ่มหน้าหล่อ หลังจากกำหนดเป้าหมายได้แล้ว ก็นำภาพวาดส่งให้ชายรูปร่างกำยำ


ชายรูปร่างกำยำหยิบแผ่นหยกมาเทียบด้วยตัวเองอีกครั้ง ทังยังบีบใบหน้าของหนุ่มหน้าหล่อแล้วสำรวจทางซ้ายทางขวาอย่างละเอียดด้วย แล้วสุดท้ายก็หัวเราะเบาๆ “โจรราคะเจียงอีอี ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าหมอนี่ ทีแรกก็นึกว่ามีพรสวรรค์พิเศษ แต่ในปากซ่อนฟันพิษเอาไว้นี่เอง สงสัยจะเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลไหนสักตระกูล น่าสนใจทีเดียว ข้าว่านะเจียงอีอี มาอยู่ที่นี่แล้วปากแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็แค่ได้เห็นว่าสุดท้ายเจ้าจะทนได้นานสักแค่ไหน เมื่อมาอยู่ที่นี่ก็มีวิธีรับมือกับคนปากแข็งได้อยู่แล้ว ยังไม่มีใครทนวิธีการสอบสวนของที่นี่ได้เลย สุดท้ายไม่ว่าอะไรก็โดน ได้รับความทรมานเต็มที่ จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?”


ไม่ผิดหรอก หนุ่มหน้าหล่อคือเจียงอีอีจริงๆ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะติดกับดักแบบนี้


พอได้ยินถึงวิธีการสอบสวน เจียงอีอีก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่นิดหน่อย กัดริมฝีปากแน่น แล้วบอกว่า “อย่าเสียแรงเปล่าเลย ปล่อยให้ข้าไปสบายเถอะ!”


“ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์ งั้นข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน น้องๆ จัดให้เขาหน่อย!” ชายรูปร่างกำยำพูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป หลังจากเดินออกจากประตูมาแล้ว ก็เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “เอาระฆังดารางบนตัวพวกเขามาเปรียบเทียบ ดูซิว่าจะมีคนใหญ่คนโตติดต่อกับพวกเขาหรือเปล่า เจ้าเวรนี่มันลงมือกับผู้หญิงของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ทั้งยังเป็นหน่วยกล้าตายอีก เกรงว่าประวัติความเป็นมาจะไม่ธรรมดาหรอก ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ตัดออกได้เลย เทียบตั้งแต่ข้างบนลงไปข้างล่างอาจจะประหยัดเวลาได้”


ตึกศาลาสัตยพรตควบคุมโลกใต้ดินมานานขนาดนี้ ได้แอบสร้างช่องทางขนาดใหญ่ที่พิเศษไม่เหมือนใครเอาไว้เปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์


“ขอรับ!” คนที่อยู่ข้างหลังเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป


“อา!” เสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาดังมาจากห้องศิลาด้านหลัง ชายรูปร่างกำยำหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้ายิ้ม “สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์!”


หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ชายรูปร่างกำยำก็มาถึงหน้าห้องห้องหนึ่งแล้วเคาะประตู ข้างในมีเสียงตอบกลับมาว่า “เข้ามา” เขาจึงผลักประตูเข้าไปแล้วปิดประตู หลังจากเดินไปถึงคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างแล้วก็ทำความเคารพ”คุณชายชี”


ชีเจวี๋ยที่เอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่างเหมือนจะเหม่อลอยนิดหน่อย หลังจากเงียบไปสักประเดี๋ยวถึงได้ถามว่า “ถามได้เรื่องอะไรอะไรหรือเปล่า?”


“คุณชายชี โจรราคะคนนี้ปากแข็งมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเปิดปากเลย” ชายรูปร่างกำยำตอบ


ชีเจวี๋ยหันกลับมามองอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง “งั้นเจ้าจะถ่อไปถ่อมาทำไม? จะให้ข้าตอบเถ้าแก่ไปอย่างนี้เหรอ?”


ชายรูปร่างกำยำหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “คุณชายชีอย่าใจร้อนไป คาดว่าเขาจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่สำคัญแล้ว นี่คือของที่น่าสนใจที่ค้นได้จากตัวเขา ท่านลองเดาสิว่าพวกเราเปรียบเทียบของบนตัวโจรราคะแล้วเจอระฆังดาราที่ใช้ติดต่อใคร?”


ชีเจวี๋ยรู้สึกสนใจทันที รู้ว่าการที่อีกฝ่ายพูดแบบนี้ แสดงว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างแน่นอน จึงหันตัวมาถาม “อย่ามัวหัวเราะคิกคักอ้อมค้อมกับข้า มีอะไรก็รีบพูดมา”


ชายรูปร่างกำยำยังคงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “หวงฝู่ตวนฮ่าว! หวงฝู่ตวนฮ่าวจากตระกูลหวงฝู่ เป็นไปได้สูงว่าโจรราคะจะเป็นคนของสมาคมวีรชน”


ชีเจวี๋ยหรี่ตาเล็กน้อย “มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหวงฝู่ตวนฮ่าวก็ไม่สำคัญอะไรหรอก ถ้าเขารู้จักแค่หวงฝู่ตวนฮ่าวคนเดียวล่พ แบบนั้นก็อธิบายไม่ได้ว่าเขาเป็นคนของสมาคมวีรชน”


ชายรูปร่างกำยำส่ายหน้า “คุณชายชี ประเด็นสำคัญคือโจรราคะคนนี้มีฐานะพิเศษ ไม่มีทางให้ใครรู้ตัวตนของเขามากเกินไป คนที่ไปมาหาสู่กันก็มีไม่เยอะ และระฆังดาราที่อยู่บนตัวก็มีไม่มากด้วย แต่ในจำนวนนั้นกลับมีช่องทางติดต่อหวงฝู่ตวนฮ่าว สิ่งนี้ควรค่าแก่การพิจารณา ที่สำคัญที่สุดก็คือ บนตัวของคนตายอีกคนก็มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหวงฝู่ตวนฮ่าวเช่นกัน จะไม่ให้คนสงสัยไม่ได้หรอกขอรับ”


ชีเจวี๋ยประสานนิ้วทั้งสิบไว้ตรงหน้าท้อง นิ้วหัวแม่มือถูไถอยู่ด้วยกัน “ไป! สืบข้อมูลเป้าหมายของเจียงอีอีในคดีที่เคยก่อมา”


“ขอรับ!” ชายรูปร่างกำยำพยักหน้า แล้วรีบเดินออกไป


“เป็นคนของสมาคมวีรชนจริงเหรอ?”


จนกระทั่งชีเจวี๋ยได้รับรู้สถานการณ์แล้วกลับมารายงานเฉาหม่าน เฉาหม่านก็ถามอย่างประหลาดใจ


“มีความเป็นไปได้เก้าในสิบ น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ” ชีเจวี๋ยพยักหน้า


เฉาหม่านเดินไปเดินมา แล้วกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “สมาคมวีรชนอยู่ในมือซ่างกวนชิง นับว่าเป็นของวังสวรรค์เช่นกัน แต่เจียงอีอีคนนี้กลับลงมือกับผู้หญิงของขุนนางตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?”


ชีเจวี๋ยกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้บ่าวก็คิดไม่ตกเช่นกัน ตอนหลังเมื่อได้รวบรวมภูมิหลังของเป้าหมายที่เจียงอีอีก่อคดี ก็พบว่าระยะเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นไม่แน่นอน อาณาเขตก็ไม่แน่นอน ถ้าไม่ตรวจสอบก็คงไม่รู้ แต่พอตรวจสอบแล้วก็ตกใจ จากจำนวนคนส่วนหนึ่งในนั้น เราพบว่ามีจุดหนึ่งมีเหมือนกัน นั่นก็คือแต่ละคนล้วนเคยล่วงเกินท่านนั้นของวังสวรรค์ไม่มากก็น้อย หากท่านนั้นของวังสวรรค์ไม่ชอบ แต่ก็ดันติดที่ไม่มีเหตุผลข้ออ้าง ท่านนั้นของวังสวรรค์กลับทำอะไรพวกเขาไม่ได้ สุดท้ายทั้งหมดล้วนโดนเจียงอีอีสร้างความอัปยศให้อย่างโหดร้าย แน่นอน มีบางคดีที่ไม่ได้มีสถานการณ์พิเศษเลยสักนิด แต่บ่าวคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาเท่านั้น ล้วนทำไปเพื่อปิดบังข้างหน้า จะได้ไม่ทำให้คนสงสัย”


“อ้อ!” เฉาหม่านที่เดินไปเดินมาหยุดฝีเท้า แล้วเดาะลิ้นบอกว่า “สงสัยการที่ซ่างกวนชิงดูแลวังสวรรค์มาได้หลายปีขนาดนี้ คงจะมีวิธีดีๆ ในการประจบเอาใจประมุขชิงจริงๆ ขนาดวิธีการสกปรกโสมมแบบนี้ก็กล้าใช้ ไม่แปลกใจที่สามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้ม เป็นที่รักที่โปรดปราน! สงสัยโจรราคะเจียงอีอีที่ตำหนักสวรรค์สืบคดีมาหลายปีคงจะเป็นผลงานของวังสวรรค์ เขาเอาไว้ใช้ข่มคนที่มีความเห็นแย้ง มิน่าล่ะจึงไม่เคยจับตัวได้เลย มีคนรายงานข่าวโจรราคะคนนี้มาตลอด แต่จะจับยังไงล่ะ? เป็นเพราะวังสวรรค์ไม่มีทางยื่นมือเข้ามาแทรกทางฝั่งพวกเราได้ เลยทำให้พวกเราเจอช่องโหว่ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็อาจจะจับโจรคนนี้ไม่ได้ ครั้งนี้เจียงอีอีก็มาจับตาดูที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก…” เขากล่าวพลางกลั้วหัวเราะ


ชีเจวี๋ยพยักหน้าบอกว่า “เมื่อมีภูมิหลังแบบนี้แล้วก็เดาได้ไม่ยากถึงจุดประสงค์ที่เจียงอีอีจับตาดูจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ประมุขชิงเสียเปรียบให้อ๋องสวรรค์โค่ว จะต้องคิดหาทางกู้สถานการณ์คืนแน่นอน ถ้าลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่วถูกทำให้เสียชื่อเสียงเมื่อไร เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อก็คงยากที่จะรับมือไหวเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าต้องการจะจับคู่นี้แยกออกจากกัน แล้วค่อยดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อกลับมาที่วังสวรรค์อีกที และก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต๋อก็ใส่ร้ายเจียงอีอีในคดีน่านฟ้าระกาติงอยู่แล้ว ถ้าเจียงอีอีจะมาล้างแค้นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็จะไม่มีใครสงสัยทางวังสวรรค์”


เฉาหม่านพยักหน้า “วิธีการนี้ชั่วร้ายจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมาก”


“แล้วจะบอกหนิวโหย่วเต๋อดีมั้ย?” ชีเจวี๋ยถาม


“ไม่!” เฉาหม่านยกมือห้าม แล้วกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้ไม่เยอะ ก็ยิ่งทำให้จุดอ่อนที่พวกเรากุมไว้มีอานุภาพมาก เจ้าลองคิดดูสิ ถ้าให้คนในใต้หล้ารู้ว่าวังสวรรค์ทำเรื่องสกรกแบบนี้ แล้วประมุขชิงจะทนความรู้สึกได้อย่างไร? ขุนนางพวกนั้นที่เคยโดนเจียงอีอีสร้างความอัปยศให้จะคิดยังไง? ขุนนางทั้งราชสำนักจะคิดยังไง? ตอนนี้ฝ่ายของข้ากำลังร่วมมือกับตาแก่โค่วเพื่อกดดัน ช่วยให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท แต่ประมุขชิงกลับถ่วงเวลาอยู่อย่างนั้น ตาแก่โค่วก็อาจจะไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว ตระกูลอื่นก็คงไม่อยากให้นายท่านได้ผลประโยชน์ไปเหมือนกัน ตอนนี้มีจุดอ่อนนี้อยู่ในมือแล้ว ฝั่งพวกเราก็สามารถช่วยประมุขชิงตัดสินใจได้ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างมาที่ตลาดผีได้เหมาะเจาะจริงๆ ไม่เสียแรงที่ช่วยเขาเอาไว้!”


“แล้วกับเจียงอีอีนั่นจะเอายังไงขอรับ?” ชีเจวี๋ยถาม


“โจรราคะคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ รอให้ข้ายืนยันกับทางนายท่านก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เฉาหม่านพูดพลางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก


หลังจากผ่านไปนานมาก เฉาหม่านก็วางระฆังดาราแล้วหันกลับมาถามว่า “ทางเจียงอีอียอมรับหรือยัง?”


ชีเจวี๋ยตอบว่า “ยังขอรับ เขากระดูกแข็งมาก คาดว่ายังทนได้อีกสักระยะ แต่สุดท้ายก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเปิดปาก”


“ไปบอกลูกน้องเดี๋ยวนี้ว่าไม่ต้องทรมานอีก จะให้เจียงอีอียอมรับไม่ได้” เฉาหม่านกล่าว


ชีเจวี๋ยอึ้ทันที แต่ก็รีบหยิบระฆังดารามาติดต่อลูกน้อง ก่อนจะถามอย่างแปลกใจว่า “หรือว่าทางฝั่งนายท่านพิจารณาอะไรอย่างอื่นอยู่?”


เฉาหม่านถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องบางเรื่องนายท่านก็มองได้ไกลกว่านั้น เรื่องวางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล ข้ายังเทียบกับนายท่านไม่ติด! จุดประสงค์ของนายท่านก็ไม่ได้ซับซ้อน จุดอ่อนแบบนี้ถ้าไม่ถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็จะเอามาใช้ไม่ได้ ต่อให้ประมุขชิงยอมประนีประนอมแล้ว แต่ก็จะอับอายจนโมโห ต่อให้ทางราชินีสวรรค์จะให้กำเนิดทายาทแล้ว แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังต้องขู่เข็ญประมุขชิงอีก ประมุขชิงไม่มีทางรับสิ่งนี้ไหว เกรงว่าต่อให้ราชินีสวรรค์จะมีทายาทแล้ว แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็อาจไม่เป็นที่พอใจของตระกูลเซี่ยโห้ว โยนเจียงอีอีให้หนิวโหย่วเต๋อแล้วกัน!”


“ให้หนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยแปลกใจ


เฉาหม่านอธิบายว่า “หลังจากให้หนิวโหย่วเต๋อแล้ว ก็ปล่อยข่าวออกไปทันที บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อจับตัวเจียงอีอีได้แล้ว”


ชีเจวี๋ยบอกว่า “เกรงว่าซ่างกวนชิงจะเดาออกแล้วว่าพวกเราจับเจียงอีอี ถ้าส่งคนในหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้แล้วจะมีความหมายอะไรอีก”


“ทำไมจะไม่มีความหมาย? เจียงอีอีไม่ยอมรับไม่ใช่เหรอ?” เฉาหม่านกล่าวกลั้วหัวเราะ “พอปล่อยข่าวออกไป ซ่างกวนชิงที่ร้อนใจดั่งไฟลนก็จะต้องเคลื่อนไหวแน่นอน หนิวโหย่วเต๋อก็จะต้องโดนกดดันแน่ จะสั่งเขาว่าห้ามทำอะไรเจียงอีอีโดยพลการ ให้ส่งตัวผู้ร้ายขึ้นไป สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะซ่างกวนชิงจะต้องเดาออกแน่ว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือของพวกเราก่อน เขาต้องแน่ใจว่าเจียงอีอีพูดอะไรไปแล้วหรือยัง จะได้รับมือได้สะดวก”

 

 

 


บทที่ 1591 ของขวัญจากตึกศาลาสัตยพรต

 

ชีเจวี๋ยเข้าใจกระจ่างในทันที “เจียงอีอีก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด ที่จะพิสูจน์ว่าพวกเรายังไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก แต่พวกเขาก็จะสงสัยน่ะสิว่าทำไมพวกเราต้องส่งตัวไปให้หนิวโหย่วเต๋อ”


เฉาหม่านยิ้มพร้อมอธิบายว่า “นี่ก็คือจุดที่ร้ายกาจของนายท่าน ตอนนี้ขอเพียงมีตาก็ล้วนมองออกว่าตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันหลังม่าน ตระกูลโค่วช่วยสนับสนุนให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อทีมียืนในตลาดผี ส่วนเจียงอีอีต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับสารภาพ การที่พวกเราส่งคนให้หนิวโหย่วเต๋อก็ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทำตามเจตนาของตระกูลโค่ว ต้องช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานที่ตลาดผี หนิวโหย่วเต๋อจับเจียงอีอีได้ไม่ถือว่าสร้างผลงานเหรอเหรอ? จากนั้นฝั่งราชินีสวรรค์ก็จะมีการเคลื่อนไหว สร้างผลงานแล้วได้รับรางวัลไง พอทุกคนได้เห็น ก็จะพบว่าทุกอย่างสมเหตุสมผล แล้วพวกเราก็เอาจุดอ่อนอะไรมาบีบไม่ได้ด้วย ทางซ่างกวนชิงก็จะโล่งใจเช่นกัน เรื่องนี้ก็จะผ่านไป”


จากนั้นก็หันตัวเดินมาริมหน้าต่าง แล้วบอกว่า “แล้วตระกูลโค่วล่ะ ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าพวกเรากำลังช่วยหนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงาน ตระกูลโค่วไม่ปล่อยเหยี่ยวถ้าไม่เห็นกระต่ายไม่ใช่เหรอ ตอนนี้พวกเราโยนกระต่ายออกไปแล้ว ทางตระกูลโค่วก็น่าจะออกแรงเพิ่มได้แล้วเช่นกัน เอาเป็นว่าจุดประสงค์ของนายท่านก็คือ เรื่องราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท พยายามให้ตระกูลโค่วออกแรงช่วยมากๆ พยายามทำให้สำเร็จในที่ประชุมอย่างตรงไปตรงมา จะต้องชอบด้วยเหตุผล! ตราบใดที่หนิวโหย่วเต๋อยังอยู่ที่ตลาดผี ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ตระกูลโค่วก็ต้องออกแรงช่วยต่อไป ประมุขชิงหลบเลี่ยงได้หนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องตอบตกลง พยายามอย่าบีบจุดอ่อนแบบนี้ เก็บเอาไว้ใช้ภายหลังในช่วงเวลาสำคัญ ถ้าโน้มน้าวตระกูลโค่วได้แล้ว ทำไมต้องโยนไพ่ใบอื่นไปอีก ถึงตอนนั้นพวกเราออกแรงเองแท้ๆ แต่กลับพูดไม่ได้ ทั้งยังต้องจดจำน้ำใจของตระกูลโค่วอีก จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นด้วยเหรอ? ถ้าในมือมีไพ่เยอะก็จะมีประโยชน์ใช้สอยเยอะ พยายามทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด อย่าโยนออกไปพร้อมกันทีเดียว และเบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็น่าสนใจเช่นกัน ต่อให้ตระกูลโค่วไม่บอกอะไร แต่พวกเราจะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาที่ตลาดผีไม่ได้อยู่ดี ต้องออกแรงทุกทาง ทั้งยังฉวยโอกาสหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากฝั่งตระกูลโค่วได้อีก”


เขาหันตัวมา แล้วบอกอีกว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกจุดหนึ่ง นายท่านบอกมาว่า ครั้งนี้พวกเราไปเหยียบหางสุนัขโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว กลัวว่าจะกดดันให้คนบางกลุ่มจนตรอกกลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพง ถ้าโยนคนไปให้หนิวโหย่วเต๋อ ก็จะสามารถหลบเลี่ยงความเสียหายที่ไม่จำเป็นได้ ใครกล้าโมตีเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีล่ะ ถ้าโดนโค่วหลิงซวีจับจุดอ่อนนี้ได้แล้วมีข้ออ้างที่ฟังขึ้น ต้องถามหัวสมองตัวเองด้วยว่าแข็งแกร่งกว่ากำลังทหารในมือโค่วหลิงซวีรึเปล่า! ถ้ามีคนไม่สติสัมปชัญญะจริงๆ ยินดีจะไปปะทะ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เก็บเกี่ยวอะไรที่นอกเหนือความคาดหมายด้วย”


หลังจากฟังจนเข้าใจแล้ว ใบหน้าชีเจวี๋ยก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส กล่าวชมว่า “นายท่านปราดเปรื่องจริงๆ ด้วย”


เฉาหม่านหันตัวมองไปนอกหน้าต่าง แล้วพยักหน้าเล็กน้อยพลางถอนหายใจเบาๆ “กว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะมีวันนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นคุณงามความดีของนายท่าน!”


ตระกูลหวงฝู่ ในสวนขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ใหญ่โต ทิวทัศน์ลึกลับและเงียบสงบ


หวงฝู่เยี่ยนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตึงเครียด หวงฝู่ตวนฮ่าวลูกชายของเขาก็สีหน้าแย่มากเช่นกัน เดินตามหลังบิดาทุกย่างก้าว ทั้งสองเดินเข้ามาในลานบ้านเก่าแก่แห่งหนึ่งที่มีต้นไม้โบราณสูงระฟ้า จากนั้นก็หยุดยืนตรงตึกศาลาไกลๆ แล้วถ่ายทอดเสียง


ในตึกศาลา หวงฝู่เลี่ยนคง หัวหน้าตระกูลที่ผมขาวหน้าเหี่ยวกำลังอยู่กับสหายเก่าสองสามคน


พอสังเกตได้ถึงสีหน้าของสองพ่อลูกที่อยู่ข้างนอก ก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างแน่นอน หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวขอตัวจากสหายเหล่านั้น เดินลงตึกมาแล้วเดินผ่านข้างกายสองพ่อลูกนั่นไป ส่วนสองพ่อลูกก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามเข้าไปที่ลานบ้านด้านใน


หลังจากเข้ามาในห้องลับตาคน หวงฝู่เลี่ยนคงก็หันตัวกลับมาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


หวงฝู่เยี่ยนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะบอกว่า “ท่านพ่อ เจียงอีอีทำพลาดแล้วที่ตลาดผี อาจจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว”


“อะไรนะ?” เดิมทีหวงฝู่เลี่ยนคงมีสีหน้าสุขุม แต่ตอนนี้ทำหน้าราวกับโดนฟ้าผ่ากลางกบาล ตกใจจนเบิกตาโตอ้าปากกว้าง จากนั้นก็ถามอย่างร้อนใจอีกว่า “แน่ใจนะว่าตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรต?”


หวงฝู่เยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขมว่า “คนของพวกเราไปที่โรงเตี๊ยมที่เกิดเรื่องแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ดูจากปฏิกิริยาของคนในโรงเตี๊ยมที่ไม่กล้าพูดอะไรมาก คาดว่าคงจะเดาไม่ผิด และดูจากสถานการณ์ที่ได้รู้มา คนที่จัดการเรื่องนี้ลงมือเร็วมาก จับตัวไปได้โดยแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวครึกโครมอะไรเลย เจียงอีอีมีความสามารถในการเอาตัวรอดชั้นยอด แต่กลับถูกจับได้ง่ายขนาดนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ที่ลงมือทั้งหมดเป็นยอดฝีมือ ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งกระจายกำลังล้อมไว้ ทำให้เจียงอีอีหนีไม่พ้น เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ต่างที่เอามารวมกัน ที่ตลาดผีนอกจากตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่น่าจะมีคนอื่นแล้ว”


หวงฝู่เลี่ยนคงสูดหายใจอย่างตระหนก “ทำไมตึกศาลาสัตยพรตลงมือได้แม่นยำขนาดนี้? ทั้งตระกูลหวงฝู่มีแค่สามคนเท่านั้นที่รู้ฐานะของเจียงอีอี เบื้องบนก็ยิ่งไม่ปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหล อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ามีใครปากไม่มีหูรูดปล่อยข่าวไป?” สายตาที่จ้องสองพ่อลูกเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย


หวงฝู่ตวนฮ่าวพยักหน้าซ้ำๆ “ท่านปู่ ข้ากับเจียงอีอีติดต่อกันอย่างลับๆ โดยฝ่ายเดียวตลอด ไม่ได้หลุดปากบอกใครแม้แต่ครึ่งคำ”


หวงฝู่เยี่ยนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านพ่อ เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับทุกชีวิตของตระกูลหวงฝู่ ข้าจะเปิดเผยให้ภายนอกรู้ได้ยังไง”


หวงฝู่เลี่ยนคงยักไล่สองข้างต้องการคำอธิบาย “งั้นมันเรื่องอะไรกันแน่ ยังไม่ได้ลงมือไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงสะเทือนไปถึงตึกศาลาสัตยพรตจนอีกฝ่ายชิงลงมือก่อนแล้วล่ะ?”


“คนที่เกิดเรื่องไม่ใช่แค่เจียงอีอีคนเดียว ตามที่รายงานมา คนที่เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าประตูจวนแม่ทัพภาคได้สักระยะก็ถูกจับไปหมดเช่นกัน ข้าว่าคงเป็นเพราะตึกศาลาสัตยพรตป้องกันไว้ก่อนจะเกิดเหตุ” หวงฝู่เยี่ยนตอบ


“จะใช่การป้องกันไว้ก่อนหรือไม่ข้าไม่สนใจ ปัญหาสำคัญตอนนี้ก็คือเจียงอีอีตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว เขาจะทนวิธีการสอบสวนจากตึกศาลาสัตยพรตได้เหรอ? ถ้าเขาเปิดปากขึ้นมา ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ยังต้องให้ข้าพูดอีกเหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนจิตตกถึงขีดสุด ชี้สองพ่อลูกซ้ำๆ พร้อมตำหนิว่า “ช้าให้พวกเจ้าระวังแล้วระวังอีก พวกเจ้าทำงานกันยังไง?”


หวงฝู่เยี่ยนบอกว่า “ท่านพ่อ ตอนแรกข้าก็บอกไปแล้ว ว่าเจียงอีอีเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญหลายส่วน ที่ตลาดผีก็มีตึกศาลาสัตยพรตควบคุมไว้เข้มงวดมาก จะอยู่เหนือการควบคุมของพวกเราได้ง่าย เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ควรให้เจียงอีอีออกโรงอยู่แล้ว แต่เบื้องบนไม่ฟังเลย!”


หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวอย่างโมโหว่า “ยังต้องให้เจ้ามาสอนข้าอีกเหรอ? ในเมื่อเบื้องบนจะเอาอย่างนี้ แล้วข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? ถึงยังไงเบื้องบนก็มีการพิจารณาเอง ตอนนี้ไม่ว่าใครที่ไปแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะโดนสงสัยทั้งนั้นว่าเป็นผลงานของเบื้อบน โค่วหลิงซวีก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เบื้องบนไม่อยากตกเป็นที่ต้องสงสัย ถึงได้ให้เจียงอีอีที่โดนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีน่านฟ้าระกาติงลงมือ หลังจากจบเรื่องก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว เป็นแค่เจียงอีอีที่ล้างแค้นหนิวโหย่วเต๋อ ความคิดของเบื้องบนนั้นไม่ผิดหรอก! ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เบื้องบนไม่มีทางบอกว่าการตัดสินใจของตัวเองผิดพลาด และไม่มีทางฟังคำอธิบายจากพวกเราด้วย มีแต่จะระบายความโกรธกับพวกเรา จะถามว่าพวกเราทำงานยังไง! ถ้าไม่สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้ เบื้องบนก็จะเอาหัวของตระกูลหวงฝู่มารับผิดชอบ!”


“ท่านพ่อ! เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้มาพร่ำบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ ประเด็นสำคัญคือมีวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้รึเปล่า?” หวงฝู่เยี่ยนถาม


หวงฝู่เลี่ยนคงอารมณ์เดือดดาลมาก “จะแก้ยังไงน่ะเหรอ? จะให้เสนอหน้าไปเจรจาที่ตึกศาลาสัตยพรตหรือไง? แบบนี้จะไม่ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตรู้เหรอว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน? ในใต้หล้านี้มีใครไม่รู้เบื้องหลังของสมาคมวีรชนบ้าง?”


หวงฝู่เยี่ยนกัดฟันกล่าวอย่างดุร้าย “มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งแล้ว ชิงตัวมา!”


“ชิงตัวมาเหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนคงถาม อารมณ์เหมือนจะสงบลงในชั่วพริบตาเดียว


“ใช่! ชิงตัวมา!” หวงฝู่เยี่ยนพยักหน้า แล้วบอกอีกว่า “เจียงอีอีจะรู้ผลที่ตามมาถ้าตัวเองสารภาพหรือเปล่า ช่วงแรกเขาไม่มีทางสารภาพแน่ ฉวยโอกาสตอนนี้ตึกศาลาสัตยพรตยังไม่รู้ความจริงและยังไม่ได้เตรียมป้องกันอะไร รวบรวมยอดฝีมือไปล้อมโจมตีตึกศาลาสัตยพรต ต่อให้ชิงตัวมาไม่ได้ แต่ก็ต้องกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง อย่าให้เจียงอีอีเปิดปากพูดไม่ได้!” ก่อนที่จะมาก็เห็นได้ชัดว่าครุ่นคิดมาแล้ว


หวงฝู่เลี่ยนคงพยักหน้าช้าๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เดินอยู่ริมน้ำบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง! เจียงอีอีทำเรื่องนี้มาตลอดหลายปีแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าในสักวันหนึ่งเรือจะล่ม ข้าแนะนำไปแล้วว่าให้ทำเรื่องสกปรกนี้แบบน้อยๆ หน่อย แต่เบื้องบนอยากเอาใจท่านนั้นของวังสวรรค์ก็เลยไม่เชื่อฟัง ถ้าตกอยู่ในมือคนทั่วไปก็อาจจะจัดงานง่ายหน่อย แต่ดันไปตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์ก็ยังควบคุมไม่ได้ เฮ้อ! เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว คาดว่าเบื้องบนคงไม่มีหนทางแล้วเช่นกัน คงจะเห็นด้วยที่ทำแบบนี้!” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปหาใคร


จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ชีเจวี๋ยยิ้มพร้อมกุมหมัดคารวะ “ขอตัวก่อน!”


“กลับดีๆ!” เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ แล้วบอกใบ้ให้หยางเจาชิงเป็นตัวแทนไปส่ง


คนกลุ่มนี้กำลังคุยธุระกัน นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ตึกศาลาสัตยพรตจะนำของขวัญมาให้ถึงที่


หลังจากหันตัวกลับมา มองดูชายใบหน้าขาวซีดที่มีผ้าห่มคลุมบนตัว เหมียวอี้ก็แน่ใจได้ว่าตึกศาลาสัตยพรตพูดไว้ไม่ผิด คนคนนี้คือเจียงอีอีจริงๆ เพราะเขาเคยเจอเจียงอีอีมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นเจียงอีอีเป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำราญ แต่เจียงอีอีในตอนนี้กลับแน่นิ่งเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง ดวงตาสองข้างไร้แวว ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนล่วงเกินมามากเท่าไร


“คนคนนี้คือเจียงอีอีเหรอ?” สวีถังหรานเอามือลูบคางเจียงอีอีพร้อมมองประเมิน “ถ้าใช่จริงๆ งั้นก็ได้สร้างผลงานใหญ่แล้ว”


พวกเหยียนซิวก็ล้อมอยู่ข้างๆ เช่นกัน หยางชิ่งกำลังขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าครุ่นคิดอะไรอยู่


บังเอิญว่าอวิ๋นจือชิวเดินลงมาจากชั้นบนพอดี เฟยหงกับไห่ผิงซินสบตากันแวบหนึ่ง พอเห็นคนมาล้อมมุงดูเยอะขนาดนี้ ไห่ผิงซินก็พุ่งเบียดเข้ามาด้วยความสนใจ ขณะที่มองคนบนพื้น ก็ถามเหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น “ใครกันน่ะ นี่คือใครเหรอ?”


“เจียงอีอี!” สวีถังหรานตอบพร้อมรอยยิ้ม


“เอ๊ะ! โจรราคะนั่นน่ะเหรอ! สมน้ำหน้า กรรมตามสนอง!” ไห่ผิงซินทำท่าตกใจเกินพอดี นางเตะหนึ่งที แล้วยื่นมือไปเปิดผ้าห่มที่คลุมอยู่ “ให้ข้าดูหน่อยว่าโดนตีจนสภาพเป็นยังไง อ๋า…” จู่ๆ ก็เหมือนแมวที่โดนเหยียบหาง นางเพิ่งจะเปิดดูได้แวบเดียวก็คลายมือออกอีกแล้ว รีบถอยไปด้านข้างด้วยสีหน้าแดงเรื่อ


เหมียวอี้แปลกใจ จึงนั่งยองๆ แล้วเปิดดูเช่นกัน สายตาจ้องไปที่ร่างกายท่อนล่างของเจียงอีอีอย่างตะลึงงัน จากนั้นก็คลายมือออกด้วยสีหน้าแปลกๆ นิดหน่อย


อวิ๋นจือชิวที่มองซ้ายมองขวาถามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรไป?” ขณะกำลังจะโน้มตัวลงดูให้หายสงสัย นางก็ถูกเหมียวอี้ดึงแขนไว้ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “โดนซ้อมอนาถมาก” เมื่อเห็นนางยังสงสัยว่าอนาถอย่างไร ทำท่าเหมือนอยากจะเห็นวิธีการทรมานของตึกศาลาสัตยพรตสักหน่อย เขาจึงพูดเสริมไปอีกว่า “โดนตอนแล้ว”


“…” อวิ๋นจือชิวอ้าปากเล็กน้อย หลังจากได้สติกลับมาแล้วก็สบถนิดหน่อย โชคดีที่ตัวเองไม่ได้เห็น นางรีบถอยไปแล้ว


แต่ผู้ชายหลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลับยิ่งสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้านั่งยองๆ แล้วเปิดดู ข้าก็นั่งยองๆ แล้วเปิดดูบ้าง คงไม่เคยเห็นว่าสภาพหลังโดนตอนเป็นอย่างไร


หลังจากได้เห็นแล้ว แต่ละคนก็ทำสีหน้าแปลกประหลาด ทุกคนมองไปทางไห่ผิงซินที่อยู่ข้างๆ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับกำลังบอกว่า ‘วันนี้นางหนูได้เปิดหูเปิดตาแล้ว’


ถ้าไม่ใช่เพราะมีพวกอวิ๋นจือชิวอยู่ที่นี่ด้วย คำพูดบางคำจึงไม่สะดวกจะพูดออกมา คาดว่าคงจะมีคนพูดหยอกล้อแล้ว


เหมือนจะอ่านสายตาของทุกคนออก “หน้าด้าน!” ไห่ผิงซินอับอายจนโมโหหนีไปแล้ว


สวีถังหรานกับหยางเจาชิงสบตากันแล้วขำ คาดว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นมลทินที่ล้างไม่ออกของนางหนูคนนี้ไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าในภายหลังเจอผู้ชายแล้วยังจะมีอารมณ์อยู่หรือเปล่า

 

 

 


บทที่ 1592 มีช่องโหว่

 

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่พวกอวิ๋นจือชิวก็เหลือบมองเงาไห่ผิงซินวิ่งหนีไปแล้วกลั้นขำเหมือนกัน


เหมียวอี้ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ทว่าข้างหูกลับได้ยินหยางชิ่งถ่ายทอดเสียงมา “นายท่าน ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นที่โรงเตี๊ยมไร้กังวลนอกจวนแม่ทัพภาค ข้าส่งคนไปตรวจสอบมาแล้ว คาดว่าคนของตึกศาลาสัตยพรตคงลงมือจับตัวใครได้ และนอกจวนแม่ทัพภาคก็มีคนโดนจับไปอย่างต่อเนื่องโดยไร้สาเหตุ คนที่กล้าเคลื่อไหนต่อเนื่องกันนอกจวนแม่ทัพภาคแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นตึกศาลาสัตยพรต แต่จนกระทั่งวันนี้พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”


เหมียวอี้หันกลับมาอย่างอึ้งๆ ก่อนหน้านี้เขาก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน ถึงแม้คนของแม่ทัพภาคตลาดผีจะมีไม่เยอะ มีแค่กำลังพลหนึ่งพัน ยากที่จะสร้างความเคลื่อนไหวที่ตลาดผีได้ แต่เรื่องก็เกิดขึ้นที่นอกจวนแม่ทัพภาค จะไม่ให้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็คงยาก ก่อนหน้านี้หยางชิ่งก็บอกไว้แล้ว เมื่อครั้งนี้มาพูดขึ้นอีกครั้ง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเตือน


เรื่องนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด พอหยางชิ่งมาก็พยายามวางงานให้ลูกน้องทันที เหมียวอี้ก็เห็นด้วยกับสิ่งนี้เช่นกัน ไม่อาจะปล่อนให้ตาสองข้างมดมัว ฝากความหวังทุกอย่างเอาไว้กับการปกป้องจากคนอื่น หากเกิดเรื่องขึ้นมาอย่างน้อยก็สามารถต่อต้านได้ ไม่ถึงขั้นโดนคนเอาดาบมาจ่อที่คอแล้วถึงจะรู้


เมื่อได้ยินคำเตือนนี้ เหมียวอี้ก็รีบมองยังเจียงอีอีที่อยู่บนพื้น แล้วก็มองไปทางหยางชิ่งอีกครั้ง ก่อนจะถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าหมายความว่า เสียงความเคลื่อนไหวข้างนอกเป็นตึกศาลาสัตยพรตกำลังจับตัวเขาเหรอ?”


หยางชิ่งบอกว่า “ยังฟันธงไม่ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ นายท่านลองจินตนาการดูสักหน่อยสิ ถ้าตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีได้นอกจวนแม่ทัพภาคจริง แล้วเจ้าเจียงอีอีมาปรากฏตัวอยู่นอกจวนแม่ทัพภาคเพราะคิดจะทำอะไรล่ะ?”


เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตกใจกลัวทันที โจรราคะเจียงอีอีเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง มีชื่อเสียงได้เพราะเรื่องอะไรก็ไม่ต้องให้คนอื่นเตือนแล้ว กอปรกับเขาก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงแล้วให้เจียงอีอีเป็นแพะรับบาป ตอนนี้เจียงอีอีก็มาโผล่ที่นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก โจรราคะคนนี้คิดจะทำอะไร เกรงว่าต่อให้เจ้าไม่อยากจะคิดไปทางนั้นแต่ก็ต้องคิดไปทางนั้น


เขาสบตากับหยางชิ่งแล้ว หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ ราวกับกำลังบอกว่าเขาก็เดาแบบนี้เช่นกัน


เหมียวอี้รีบมองไปทางอวิ๋นจือชิว แล้วก็มองไปบนตัวเจียงอีอีอีก ตอนนี้ในดวงตาไร้แววเห็นอกเห็นใจแล้ว สิ่งที่เจ้ามาแทนที่คือเจตนาสังหาร!


ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้เขายังไม่เคยคิดจะฆ่าเจียงอีอี ถึงแม้จะทำให้เจียงอีอีเป็นแพะรับบาปที่น่านฟ้าระกาติง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากนั้น ต่อให้เจียงอีอีตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์แล้วบอกว่าตัวเองไม่เคยไปก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเจียงอีอีตัวปลอมมีความเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้อยู่ดี


เดิมทีเขาเตรียมจะส่งตัวเจียงอีอีแบบเป็นๆ ไปให้ตำหนักสวรรค์สอบสวน แบบนี้จะมีค่าต่อตำหนักสวรรค์สูงกว่า ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาไม่ถือสาที่จะนำของขวัญจากตึกศาลาสัตยพรตไปแลกเป็นผลงานที่ตำหนักสวรรค์ ทว่าในตอนนี้ เขาสงสัยว่าโจรราคะกำลังคิดจะทำอะไรอวิ๋นจือชิว ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงผู้สง่าผ่าเผยเขายังไม่ทนเลย แล้วจะทนโจรราคะคนนี้ได้อย่างไร?


เขาไม่อยากฆ่าเจียงอีอีก็เพราะเขารู้ว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน และเบื้องหลังของสมาคมวีรชนก็คือประมุขชิง ไม่อยากสร้างปัญหาอะไร และสาเหตุที่เขาอยากจะฆ่าเจียงอีอีทิ้งตอนนี้ ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนของสมาคมวีรชน ถ้าให้เจ้าโจรนี่ตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์ เขาก็ไม่กล้าแน่ใจว่าตำหนักสวรรค์จะฆ่าเจ้าโจรคนนี้แน่หรือไม่ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าโจรนี่คิดจะแตะต้องอวิ๋นจือชิว มีหรือที่เขาจะปล่อยให้เกิดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง!


เขาแทบจะตัดสินใจได้ในชั่วพริบตาเดียว ว่าเจ้าโจรนี่มันรนหาที่ตาย! เขาเตรียมจะส่งศพเจียงอีอีให้ตำหนักสวรรค์ ต่อให้ตำหนักสวรรค์จะอ้างว่ายังสืบคดีในปีนั้นของเจียงอีอีได้ไม่ชัดเจนและตำหนิที่เขาฆ่าคนร้ายตายเขาก็ไม่เสียดาย ต่อให้เป็นเจียงอีอีที่ตายไปแล้ว แต่ก็นับว่าได้ผลงานอยู่ดี


พวกเหยียนซิวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่ลอยขึ้นมาบนตัวเหมียวอี้ ทุกคนแอบตกใจ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้หยางชิ่งแอบพูดอะไรกับเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยั่วให้เหมียวอี้คิดจะลงมือสังหารโจรหลบหนีอย่างเจียงอีอี


“ดูจากสภาพนี้ของเขา เหมือนตึกศาลาสัตยพรตจะสอบสวนเขามาแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสอบสวนได้ความอะไรบ้าง แต่ตึกศาลาสัตยพรตส่งคนมาแบบนี้ แต่กลับไม่ยอมบอกว่าจับเจียงอีอีมาจากไหน ทำให้ข้าน้อยรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อย ข้าน้อยสงสัยว่าข้างในจะมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า!” หยางชิ่งแอบบอกเพิ่มอีก เหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าเหมียวอี้จะต้องฆ่าเจียงอีอีหรือไม่


เหมียวอี้เหมือนจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดนี้ ไม่ว่าจะมีเงื่อนงำหรือไม่ เขาก็ไม่อยากปล่อยให้เจียงอีอีมีชีวิตรอดออกไป!


ทว่าในตอนนี้เอง เหออี้กวนก็ปรากฏตัวอยู่ด้านนอก แล้วรายงานว่า “นายท่าน!”


“เข้ามา!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น


เหออี้กวนเขามาแล้วกุมหมัดคารวะต่อทุกคน ก่อนจะเดินมารายงานข้างกายเหมียวอี้ “นายท่าน ด้านนอกมีข่าวแพร่ออกไปทั่วแล้ว บอกว่าจวนแม่ทัพภาคของพวกเราจับตัวโจรราคะเจียงอีอีได้” สายตาเหลือไปมองเจียงอีอีที่นอนแน่นิ่งปางตายอยู่บนพื้น


เหมียวอี้มองไปที่หยางชิ่งอย่างประหลาดใจ ราวกับกำลังถามว่า ทางนี้เพิ่งได้จะตัวคน ทำไมด้านนอกมีข่าวลือแล้วล่พ?


หยางชิ่งแววตาวูบไหว แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอย่างไม่ลังเลว่า “นายท่าน ตึกศาลาสัตยพรตเป็นผู้ปล่อยข่าวแน่นอน ไม่อย่างนั้นข่าวคงไม่เร็วขนาดนี้ เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่นอน!” เขากันกลับมาบอกเหออี้กวนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เหอ รบกวนท่านไปสืบอีกรอบ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรอีกก็ให้รายงานนายท่านทันที!”


เหออี้กวนมอบเหมียวอี้แวบหนึ่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่ว่าอะไร ก็กุมหมัดคารวะทันที แล้วรีบออกไปจัดการ


เหมียวอี้จมอยู่ในความคิด เพียงแต่คิดไม่ตกว่าการที่ตึกศาลาสัตยพรตทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ภายใต้อารมณ์ความคิดที่ไม่ชัดเจน เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถ่ายทอดเสียงบอกหยางชิ่งว่า “ข้าจะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน” ให้หยางชิ่งรู้มากขึ้นอีกหน่อย หวังจะอาศัยหัวสมองของหยางชิ่งเพื่อหาคำตอบด้วย


หยางชิ่งตกใจ รีบถ่ายทอดเสียงถามว่า “นายท่านแน่ใจนะ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ในการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตในปีนั้น เจียงอีอีก็อยู่ในรายชื่อประกาศจับเหมือนกัน ข้าบังเอิญได้รู้ช้อมูลนี้มา เพียงแต่เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของตำหนักสวรรค์ ข้าไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อน”


จู่ๆ หยางชิ่งที่แววตาร้อนรนวูบไหวก็กล่าวว่า “เกรงว่าตึกศาลาสัตยพรตคงจะสืบจนรู้อะไรบางอย่างจากเจียงอีอีแล้ว ถ้าความลับนี้เผยออกไป จะต้องทำให้ตำหนักสวรรค์อับอายจนโมโหแน่นอน!”


“ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าบอกนะ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าคิดไม่ตก ถ้าตึกศาลาสัตยพรตสืบได้อะไรจากตัวเขาจริงๆ ทำไมต้องปล่อยให้เขารอดชีวิตออกไปล่ะ ถ้าเขาตกอยู่ในใอตำหนักสวรรค์ ตำหนักสวรรค์ก็ย่อมถามเขาว่าได้เปิดเผยความลับของตำหนักสวรรค์ให้ตึกศาลาสัตยพรตรู้หรือเปล่า ตายไปพร้อมกับหลักฐานไม่ดีกว่าเหรอ?” เหมียวอี้ถาม


หยางชิ่งจึงอธิบายว่า “นายท่าน จะพิจารณาทุกเรื่องตามนั้นหมดไม่ได้ แบบนั้นจะติดกับดักคนอื่น นายท่านลองคิดในทางกลับกันดูสักหน่อย ถ้าตึกศาลาสัตยพรตต้องการจะอาศัยปากของเจียงอีอีปิดบังความจริงว่าพวกเขารู้แล้ว แบบนั้นก็จะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว! ความลับส่วนตัวแบบนี้เป็นอันตรายสำกรับพวกเรา เพราะพวกเราไม่มีคุณสมบัติจะไปงัดข้อกับตำหนักสวรรค์ แต่สำหรับตึกศาลาสัตยพรตนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าบีบจุดอ่อนนี้ไว้ เมื่อถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็ใช้บีบตำหนักสวรรค์ได้ สามารถใช้ประโยชน์ได้มาก นายท่าน ถ้าเจียงอีอีคนนี้เป็นคนของสมาคมวีรชนจริง การที่เขาตกอยู่ในใอตึกศาลาสัตยพรตแบบนี้ ตำหนักสวรรค์ต้องร้อนใจแน่นอน ตำหนักสวรรค์ต้องอยากรู้แน่ว่าเจียงอีอีได้เปิดเผยความลับหรือเปล่า นายท่าน เราจะฆ่าเจียงอีอีคนนี้ไม่ได้ ถ้าตายอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่สู้ส่งตัวขึ้นไปตามแผนของตึกศาลาสัตยพรตเถอะ ด้วยกำลังเล็กน้อยของพวกเรา ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ไหวหรอก ไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก ตอนนี้เงียบไว้ดีกว่าเคลื่อนไหว นายท่านรับผลงานนี้ไปโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรก็พอ”


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับตอบเสียงเย็นน่ากลัวว่า “แล้วที่ตำหนักสวรรค์ส่งเจียงอีอีมาที่นอกจวนแม่ทัพภาคมันหมายความว่าอะไรล่ะ?”


“เฮ้อ!” หยางชิ่งถอนหายใจแล้วบอกว่า “แล้วจะให้ข้าน้อยเปลืองคำพูดมากมายทำไม คาดว่านายท่านคงมีคำตอบในใจแล้ว”


เหมียวอี้ทำสีหน้ามืดครึ้มค่ำเคร่งโดยไม่ตอบอะไร…


“อะไรนะ? คนตกอยู่ในมือจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว? ยืนยันได้มั้ย?”


ตระกูลหวงฝู่ ในจุดลึกของลานบ้านด้านใน หวงฝู่เลี่ยนคงได้ยินข่าวแล้วหันกลับมาถามอย่างตกใจ


หวงฝู่เยี่ยนที่ตามอยู่ข้างหลังตอบว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่ทางตลาดผีมีข่าวลือแล้ว”


“แล้วทำไมยังไม่ไปสืบมาให้ชัดเจนอีก? หรือต้องรอให้คนของพวกเราโจมตีเข้าไปในตึกศาลาสัตยพรตจนเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ได้เอากระดูกมาแขวนคอก่อน?” หวงฝู่เลี่ยนคงถาม


หวงฝู่เยี่ยนตอบว่า “พวกระดับล่างของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่รู้สถานการณ์ แถมพวกหนิวโหย่วเต๋อก็มาใหม่ ตอนนี้พวกเราไม่มีทางติดต่อได้ ถ้าคนตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะรายงานขึ้นไป ไม่แน่ว่าเบื้องบนอาจจะรู้สถานการณ์แล้วก็ได้ ทำไมท่านพ่อไม่ถามเบื้องบนล่ะ?”


“เหลวไหล! ถ้าแม้แต่เรื่องแค่นี้ยังสืบเองไม่ได้ ในเวลานี้เจ้าจะให้ข้าอธิบายกับเบื้องบนยังไงล่ะ? เจ้ากลัวว่าเบื้องบนจะรำคาญพวกเราไม่พอเหรอ?” ใบหน้าชราของหวงฝู่เลี่ยนคงแทบจะดันเข้าไปหาใบหน้าลูกชาย แล้วโบกมือชี้ไปด้านนอก “จวินโหรวหลานสาวคนนั้นของเจ้ารู้จักกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้าไม่รู้จักติดต่อกับนางบ้างล่ะ?”


“ความัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนจะไม่ดีสักเท่าไร ถ้าไปสืบเรื่องแบบนี้จะไม่เปินการเปิดโปงว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราหรอกเหรอ?”


“เจ้าให้นางสืบถามอ้อมๆ หน่อยไม่ได้รึไง?”


หวงฝู่เยี่ยนเถียงอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ


ในตึกเล็กหลังหนึ่งที่เงียบสงบ หลังจากหวงฝู่ตวนหรงได้รับข้อความจากบิดา ก็หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สายตาเหม่องงเล็กน้อย


ไม่ง่ายเลยกว่านางจะตัดสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋อได้ แต่ท่านพ่อกลับให้ลูกสาวนางติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋ออีก แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? แต่จนใจที่นางไม่อาจอธิบายเรื่องบางเรื่องให้บิดารู้ได้ และท่าทีของบิดาก็แข็งกร้าวมาก ทำท่าราวกับว่าต้องติดต่อใหได้ ทั้งยังให้ให้นางเร่งดำเนินการด้วย!


นางเองก็ไม่มีหนทางแล้วเช่นกัน รู้ว่าเจียงอีอีนั่นจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญอะไรแน่นอน จะต้องเกี่ยวข้องกับคนหลายส่วน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขั้นไม่ยอมรับแม้กระทั่งคำอธิบายของนาง


ไม่มีหนทางแล้ว ระฆังดาราที่ลูกสาวใช้ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อก็ถูกนางทำลายไปแล้ว ส่วนลูกสาวก็ถูกย้ายให้ไปทำงานที่ตลาดสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง นางทำได้เพียงรีบออกเดินทางไปหาลูกสาวตัวเอง


แต่หวงฝู่เยี่ยนก็ไม่สะดวกจะบอกนางให้ชัดเจนว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ดังนั้นนางจึงไม่รู้เลยว่ากว่าจะไปหาลูกสาวได้ก็ เรื่องราวก็สายไปแล้ว


ที่น่าขำกว่านั้นก็คือ ผ่านไปไม่นาน ทางหวงฝู่เลี่ยนคงก็ได้รับรายงานจากเบื้องบนอีก บอกว่าทางหนิวโหย่วเต๋อรายงานขึ้นมาแล้ว ว่าเจียงอีอีอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ เบื้องบนให้สมาคมวีรชนหยุดเตรียมโจมตีตึกศาลาสัตยพรตก่อน


สองพ่อลูกตระกูลหวงฝู่โล่งอก คนตกอยู่ในมือจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้วก็ดี เบื้องบนคงจะมีวิธีการแก้ปัญหา


เบื้องบนของตระกูลหวงฝู่ทำอะไรไม่ถูกเพราะเรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้สองพ่อลูกตระกูลหวงฝู่ต่างก็กำลังคิดว่าจะกำจัดผลกระทบที่จะตามมาในภายหลังอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะลืมเรื่องที่สั่งไว้กับหวงฝู่ตวนหรงแล้ว อย่างไรเสียฝั่งหวงฝู่จวินโหรวจะถามได้ความอะไรหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว แต่ถ้าได้ข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ข่าวก็ไม่เป็นอะไร


วังสวรรค์ ซ่างกวนชิงที่ถ่ายทอดคำสั่งต่อสมาคมวีรชนแล้วกำลังเดินไปเดินไปอย่างกระวนกระวายอยู่ในวังสวรรค์


ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็มาถึงพร้อมกัน ซ่างกวนชิงรีบเข้าไปต้อนรับแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)