คัมภีร์วิถีเซียน 1587-1593

ตอนที่ 1587 แดนกว้างเย็น

 

แน่นอนว่าหานลี่ก็พูดได้เพียงมิกล้า 


 


 


จากนั้นทุกอย่างกลับง่ายขึ้นแล้ว 


 


 


ภายใต้การออกคำสั่งของเชียนจีจื่อ นักรบชุดเกราะเหล่านี้พลันจากไปเรียกนักรบผู้พิทักษ์มาที่นี่ เพื่อปิดล้อมที่นี่ในรัศมีสองสามลี้ 


 


 


ส่วนโรงเตี๊ยมหลังนี้ แน่นอนว่าย่อมถูกยึดเพื่อมาใช้ 


 


 


เมื่อหานลี่เห็นว่าถูกเรียกมา เซี่ยงจือหลี่ได้ฟังคำรายงานพลันมีสีหน้าตกตะลึง ทำได้เพียงอมยิ้มอย่างขมขื่นเท่านั้น 


 


 


จากนั้นหานลี่ก็ตามชายชราร่างอ้วนออกไปจากโรงเตี๊ยม ส่วนแผ่นป้ายที่ถูกเรียกว่า ‘แผ่นป้ายกว้างเย็น’ นั้น ก็ยังคงอยู่ที่โรงเตี๊ยม โดยมีนักรบชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนคอยคุ้มกันอยู่ 


 


 


ส่วนไป๋เย่ว์และชังอิ่งไม่ได้รั้งรออยู่ที่นี่ พลันกล่าวลาเป็นลำดับ 


 


 


เชียนจีจื่อถึงได้พาหานลี่จากไปเช่นกัน 


 


 


ทว่าเขาไม่ได้ควบคุมลำแสงหลีกหนีบินไปที่เมือง แต่มีรถอสูรที่ถูกอสูรวิญญาณคล้ายวานรยักษ์สีทองสองตัวลากอยู่รออยู่บนถนนข้างโรงเตี๊ยม 


 


 


ชายชราร่างอ้วนเชิญหานลี่ขึ้นไปบนรถ คิดไม่ถึงว่าเท้าทั้งสี่ของวานรยักษ์จะมีวายุเกิดขึ้น รอยห่างจากพื้นไปสองสามฉื่อ 


 


 


เชียนจีจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกับหานลี่เมื่ออยู่ในรถ หลังจากเอ่ยอย่างส่งเดชสองประโยคก็หลับตานั่งสมาธิ 


 


 


หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับมีความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คิดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใดที่พาตนเองไปไม่หยุด 


 


 


แม้ว่าจะได้ฟังคำว่าตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่าย เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะสบายใจได้ 


 


 


ต่อให้เขาช่วยเจี่ยเทียนมู่ในตอนแรก แต่หุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวเดียวก็จะทดแทนบุญคุณแล้ว 


 


 


ตอนนี้พึ่งพาอาศัยได้ กลับเป็นเพราะหลังจากที่หยดโลหิตบริสุทธิ์ของเขาลงไปในแผ่นกว้างเย็น ดูเหมือนว่าจะต้องให้ตนเองร่วมมือด้วยถึงจะเข้าไปใน ‘แดนกว้างเย็น’ ที่พวกเขาพูดถึงได้ 


 


 


หากเป็นเช่นนั้นละก็ เขากลับสามารถใช้โอกาสงามๆ นี้ ดูว่าจะใช้เขตอาคมส่งตัวขั้นสุดยอดได้หรือไม่  


 


 


หลังจากขบคิดซ้ำไปซ้ำมา หานี่ก็รู้ว่าตนมีประโยชน์กับเผ่าเมฆาสวรรค์ หลังจากนี้คงไม่มีอันตรายอะไร จิตใจจึงสงบลง 


 


 


เห็นได้ชัดว่ารถอสูรที่เขาโดยสารอยู่ตอนนี้เร็วกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก ไม่นานนักก็ข้ามผ่านกว่าครึ่งของเมือง ไปถึงมุมของเมืองที่ภูเขาแปดเมฆาตั้งอยู่ 


 


 


มองผ่านหน้าต่างมองเห็นภูเขาขนาดสองสามพันจั้งแปดลูก ใบหน้าของหานลี่ฉายแววประหลาดใจ ในใจพลันรู้สึกกังขาว่าอีกฝ่ายคิดจะพาตัวเองไปที่ถ้ำพำนักของเขาหรือไม่? 


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เบื้องหน้าก็เข้าใกล้ภูเขาขนาดใหญ่ รถอสูรพลันพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ เปลี่ยนทิศทาง คาดไม่ถึงว่าจะอ้อมภูเขาขนาดใหญ่ตรงหน้าไปด้านหลังภูเขา 


 


 


หานลี่พลันรู้สึกประหลาดใจ แต่ผ่านไปชั่วครู่ รถอสูรปรากฏขึ้นด้านหลังภูเขา ถึงได้พบว่าตรงนั้นมีป้อมปราการเมืองขาดเล็กสองสามลี้ปรากฏขึ้น 


 


 


แม้ว่าป้อมปราการนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่กำแพงเมืองกลับล้อมรอบเป็นชั้นๆ มีถึงเจ็ดแปดชั้น และยิ่งไปกว่านั้นกำแพงเมืองสูงขึ้นเรื่อยจากในสู่นอก กำแพงชั้นนอกสุดมีความสูงร้อยจั้งเศษ ส่วนชั้นในสุดดูแล้วกลับมีความสูงแค่พันจั้ง 


 


 


มองไกลๆ กล่าวว่าป้อมปราการ ไม่สู้บอกว่าหอคอยยักษ์จะดีกว่า 


 


 


ภายใต้เนตรวิญญาณวารีกระจ่าง หานลี่จึงมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ทุกๆ ระยะห่างร้อยจั้งเศษของกำแพงเมือง หัวเมืองจะมีรูปปั้นแกะสลักสีเงินขาวนั่งยองๆ อยู่ 


 


 


รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขามีหลากหลาย มีอสูร คน หนึ่งในนั้นใหญ่หน่อยสูงถึงร้อยจั้งเศษ เล็กน้อยก็สูงแค่เจ็ดแปดจั้ง ทุกตัวล้วนแข็งทื่อไร้ความรู้สึก แต่กลับมีจิตสังหารประหลาดแผ่ออกมาจากร่างของพวกมัน  


 


 


และบนหัวเมืองยังมีนักรบชุดเกราะสีเขียวถือขวานยาวเรียงแถวอยู่ คอยตรวจตราอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับไม่มีพลังชีวิตบนร่างเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดร่างมนุษย์ 


 


 


ทั้งสี่มุมของป้อมปราการมีเสาสูงใหญ่ต้นหนึ่ง เปล่งแสงแวววาว สีเหลือง สีฟ้า สีแดง สีเขียว สี่สีเสียดยอดขึ้นไปบนหมู่เมฆ บางครั้งผิวของมันก็มีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบ เผยความมหัศจรรย์ออกมา ช่างน่าสะดุดตายิ่ง 


 


 


ในตอนที่หานลี่กำลังมองด้วยความตกตะลึงอย่างสุดๆ นั้น รถอสูรก็บินเข้าไปในป้อมปราการ และหมุนวนโคจร ร่อนลงตรงใจกลางหน้าวิหารประหลาดสีเขียวมรกต 


 


 


ลงจากรถอสูร หานลี่กวาดสายตาไปมองด้านบนวิหารตามความรู้สึก ด้านบนมีแผ่นป้ายความยาวสองสามจั้งสลักตัวอักษรสีทองคำว่า‘วิหารสะท้านฟ้า’  


 


 


หานลี่ใจเต้น ชั่วครู่ก็นึกถึงหุ่นเชิดสะท้านฟ้าของตนเอง 


 


 


หรือว่าวิหารนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหุ่นเชิดสะท้านฟ้า หรือว่าเป็นแค่ความบังเอิญ? 


 


 


ขณะที่กำลังพึมพำในใจ ด้านหลังกลับมีเสียงหัวเราะหึๆ ของเชียนจีจื่อดังขึ้น 


 


 


“สหายเชิญเข้าไปด้านใน ที่นี่คือที่มั่นของเผ่าหมื่นโบราณของพวกเรา เป็นที่ปรึกษาหารือเรื่องสำคัญในเมืองเมฆา ปกติแล้วไม่ค่อยเชิญคนนอกเผ่าเข้ามาในวิหารนี้มากนัก” 


 


 


“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ให้ความสำคัญ ชนรุ่นหลังได้รับเกียรติแล้ว” หานลี่ค้อมตัวลงขณะตอบกลับ 


 


 


สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดอยู่ตรงหน้า หานลี่จึงไม่กล้าแสดงความไม่เคารพนบน้อม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองลำบาก  


 


 


เชียนจีจื่อหยักมุมปาก เผยรอยยิ้มออกมา โบกมือ แล้วพลันก้าวเข้าไป 


 


 


ตรงประตูวิหารมีผู้พิทักษ์สวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นชายชราเข้ามา คาดไม่ถึงว่ามีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงอดที่จะเหลือบมองอีกสองแวบไม่ได้ ผลคือทำให้หน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะมองอะไรออก! 


 


 


“ดูแล้วสหายหานก็คงดูออก ผู้พิทักษ์วิหารทั้งสองคนเป็นหุ่นเชิดสะท้านฟ้า และยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า สามารถตรวจตราวิหารแห่งนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน นอกจากพวกเราและคนพิเศษที่พามาแล้ว หากคนอื่นเข้าใกล้วิหารสะท้านฟ้าแม้ก้าวเดียว พวกมันก็จะทำการโจมตีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด” ชายชราร่างอ้วนตอบกลับพร้อมหัวเราะเบาๆ โดยไม่ได้แม้แต่จะหันหัวกลับมา 


 


 


“เผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า!” หานลี่สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง มองหุ่นเชิดชุดขาวสองคนแล้วอดที่จะมีสีหน้าแปลกประหลาดไม่ได้ 


 


 


นี่เท่ากับสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด หากผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดามีหุ่นเชิดสองตัวอยู่ข้างกาย แค่ระดับต่ำกว่าระดับผสานอินทรีย์ก็สามารถควบคุมได้แล้ว วางไว้เป็นผู้พิทักษ์หน้าวิหาร มันจะบ้าคลั่งไปหน่อยกระมัง 


 


 


หานลี่ส่งเสียงจุ๊ๆ มองไปยังหุ่นเชิดใบหน้าไร้ความรู้สึกทั้งสองคนแวบหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกอิจฉาปนชื่นชม 


 


 


แต่ยามนั้นเชียนจีจื่พลันเดินเข้าไปในประตูวิหาร เขาเองก็ทำได้เพียงเดินตามไปติดๆ 


 


 


อย่ามองว่าวิหารสะท้านฟ้าแห่งนี้ดูเหมือนไม่ธรรมดา แต่ด้านในกลับเรียบง่าย นอกจากวิหารหลักแล้ว ก็มีเพียงห้องด้านข้างสองห้องซ้ายขวาเท่านั้น 


 


 


ส่วนในวิหารหลักนอกจากเสาธาตุยี่สิบสามสิบต้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดสะดุดตาอีก 


 


 


เชียนจีจื่อเดินไปยังเก้าอี้ทั้งสองฝั่งตรงใจกลางของวิหาร นั่งลงบนเก้าอี้หลักตรงกลางอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด 


 


 


“สหายเองก็นั่งลงก่อนเถิด เพราะเรื่องที่เกี่ยวโยงกับแผ่นป้ายกว้างเย็นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจึงเชิญอาวุโสอีกสองคนมาที่นี่ ตอนนี้ในเมืองเมฆา ทุกเรื่องของเผ่าหมื่นโบราณล้วนให้พวกเราสามคนเป็นผู้ตัดสินใจ” เชียนจีจื่อหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย 


 


 


 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ดูแล้วแผ่นป้ายกว้างเย็น คงจะมีที่มาที่ไปจริงๆ” หานลี่พยักหน้า เอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด  


 


 


ระหว่างทางเขาไม่เห็นอีกฝ่ายมีการเคลื่อนที่ผิดปกติใดๆ คาดไม่ถึงว่าจะส่งข่าวไปแล้ว สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ระดับสุดยอดจริงๆ 


 


 


“สหายไม่ใช่คนของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีสินะ” เชียนจีจื่อแววตาเปล่งประกาย ขณะเอ่ยถาม 


 


 


หานลี่พลันใจหายวาบ แต่ทันใดนั้นก็ผ่อนคลายลง และยิ่งไปกว่านั้นก็พยักหน้าอย่างซื่อสัตย์ 


 


 


“ใช่แล้ว ผู้แซ่หานเป็นคนจากแผ่นดินใหญ่อื่นจริงๆ อันใด เรื่องที่ข้าอยากใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอด สหายเจี่ยก็คงบอกท่านอาวุโสแล้วสินะ?” 


 


 


“ปรมาจารย์เจี่ยเอ่ยเรื่องนี้กับตาเฒ่าแล้ว แต่หากสหายเป็นคนของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี จะไม่ไม่รู้จักแผ่นป้ายกว้างเย็นได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นยังกระตุ้นแผ่นป้ายนี้อย่างง่ายดาย” เชียนจีจื่อเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ 


 


 


“อันใด แผ่นป้ายกว้างเย็นนี้มีชื่อเสียงมากหรือ? ข้าน้อยดูเหมือนว่าจะไม่เห็นบันทึกอะไรในคัมภีร์เลย หวังว่าท่านอาวุโสจะแถลงไข” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น 


 


 


เขาไม่ได้ใส่ใจเจี่ยเทียนมู่ที่เอาเรื่องตัวเองไปบอกเชียนจีจื่อ หากปรมาจารย์หุ่นเชิดของเผ่าหมื่นโบราณผู้นี้ไม่เอ่ยถึงเรื่องเขตอาคมส่งตัวเลยสักนิด กลับจะแปลกเสียกว่า 


 


 


“ในคัมภีร์เหล่านั้นไม่มีบันทึกก็ไม่แปลกเลยสักนิด แม้นว่าแผ่นป้ายกว้างเย็นจะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่กลับไม่ใช้สิ่งที่ใครคนหนึ่งจะควบคุมได้ หากไม่มีพลังของเผ่าคอยสนับสนุน ต่อให้ได้แผ่นป้ายกว้างเย็นมา อยากเข้าไปในแดนกว้างเย็นก็เป็นเรื่องที่บ้าคลั่งแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น คัมภีร์ธรรมดาๆ ในโลกภายนอกย่อมไม่บันทึกอยู่แล้ว ทว่าหากพลังยุทธ์อยู่ระดับเผ่าเบื้องบน ก็มีคนน้อยมากที่รู้เรื่องนี้” ชายชราร่างอ้วนแววตาฉายแววตาเจ้าเล่ห์ เอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก 


 


 


“ต้องใช้พลังของเผ่า! แดนกว้างเย็นน่าจะไม่ธรรมดาสินะ มิเช่นนั้นเผ่าต่างๆ คงไม่ลงแรงเปล่าๆ หรอก” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิง 


 


 


“ยิ่งกว่าไม่ธรรมดา หากได้ของในแดนกว้างใหญ่จริงๆ แม้กระทั่งเพียงพอจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งและอ่อนแอทั้งเผ่า แน่นอนว่าสมบัติเหล่านี้ แม้ว่าเข้าไปในแดนกว้างเย็นก็ไม่ธรรมดา ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแดนกว้างเย็น ยังคงเป็นระดับความเข้มข้นของไอวิญญาณฟ้าดินที่เหนือกว่าแดนวิญญาณมากกว่าสิบเท่า ประกอบสมุนไพรวิญญาณผลวิญญาณ ล้วนเป็นของหายากในแดนวิญญาณ” ชายชราร่างอ้วนจ้องเขม็งไปยังหานลี่ เอ่ยยิ้มๆ  


 


 


“แดนที่มีไอวิญญาณหนาแน่นขนาดนั้น?” หานลี่ได้ยินคำนี้ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา 


 


 


“หึๆ สหายคิดว่าแดนกว้างเย็นคือที่ใด ห้วงเวลาที่ปริแตก หรือว่าแดนเล็กๆ ที่อยู่ติดกับแดนวิญญาณ?” เชียนจีจื่อลูบเคราใต้คาง แล้วหัวเราะหึๆ 


 


 


“หวังว่าท่านอาวุโสจะชี้แนะ!” หานลี่เอ่ยถามอย่างนอบน้อม 


 


 


“แม้ว่าพวกเราจะไม่อาจมั่นใจได้ แต่ก็มั่นใจอยู่เจ็ดแปดส่วน แดนกว้างเย็นนั้นน่าจะเป็นห้วงเวลาชำรุดของแดนเทพเซียน” ชายชราร่างอ้วนหุบยิ้ม ครุ่นคิดอยู่นาน แล้วถึงได้พ่นคำพูดออกมาทีละคำๆ 


 


 


“แดนเทพเซียน!” แม้ว่าระดับจิตใจของหานลี่จะมั่นคงขนาดไหน เมื่อได้ยินคำนี้ ก็ยังร้องอุทานด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง 


 


 


“ใช่แล้ว น่าจะเป็นห้วงเวลาที่แดนเทพเซียนละทิ้งไป คนที่เคยเข้าไปในห้วงเวลานี้มาก่อน เคยพบกับถ้ำพำนักที่ดูเหมือนของเทพเซียน แม้กระทั่งโครงกระดูก แต่ไม่เคยพบเทพเซียนเป็นๆ” เชียนจื่อจีหน้าเปลี่ยนสีเป็นราบเรียบ 


 


 


ส่วนหานลี่กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วเงียบกริบไม่ได้ปริปากใดๆ 


 


 


“สหายเองก็ไม่จำเป็นต้องตกใจขนาดนั้น จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่อาจมั่นใจการคาดเดาได้ และยิ่งไปกว่านั้นถ้ำพำนักที่พบในแดนกว้างเย็น โครงกระดูก ไม่ได้ทิ้งสมบัติหรือเคล็ดวิชาที่มีประโยชน์เอาไว้ และไม่ได้หมายความว่าคนที่เข้าไปส่งเดชคนหนึ่งจะได้สมบัติเหนือชั้นกลับมา แม้ว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณผลวิญญาณก็อยู่ในแดนลึกลับ จำต้องค่อยๆ ค้นหาไป” ชายชราร่างอ้วนฉีกยิ้มอย่างแปลกประหลาดใจ 

 

 

 


ตอนที่ 1588 เชื้อเชิญ

 

“คำเดียว แม้ว่าแดนกว้างเย็นนี้จะมีสมุนไพรหายากจำนวนมาก แต่ต้องดูว่าเจ้ามีวาสนาหรือไม่” เสียงแจ่มใสดังมาจากนอกวิหาร ทันใดนั้นประตูวิหารพลันมีสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมา 


 


 


หลังจากลำแสงหม่นแสงลง ก็เผยร่างของชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งปรากฏขึ้น ดวงตาสองข้างเล็กเรียว หน้าขาวผ่องจมูกดุจนนกอินทรี 


 


 


“อาวุโสหม่าช่างรวดเร็วนัก เดิมทีข้านึกว่าศิษย์น้องหวงจะมาก่อน” เชียนจีจื่อเห็นชายวัยกลางคน ก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม 


 


 


หานลี่จะไม่รู้หรือว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ของเผ่าหมื่นโบราณอีกคนหนึ่ง จึงรีบร้อนค้อมตัวลงคารวะ 


 


 


“ช่วงนี้อาวุโสหวงกำลังปรุงยาอยู่หม้อหนึ่ง แม้ว่าจะได้ข่าวเร็วกว่าข้า เกรงว่าก็ต้องรออีกประเดี๋ยว สหายผู้นี้คนนอกเผ่าที่กระตุ้นแผ่นกว้างเย็นที่อาวุโสเชียนพูดถึงหรือ?” สายตาของชายวัยกลางคนแซ่หม่ากวาดขึ้นลงไปบนเรือนร่างของหานลี่ ปากก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ 


 


 


“ใช่แล้ว ชนรุ่นหลังเองขอรับ!” หานลี่ทำได้เพียงตอบรับอย่างซื่อๆ 


 


 


“อืม เผ่าเบื้องบนขั้นที่ห้า พลังยุทธ์ของสหายไม่อ่อนแอ ดูเหมือนว่าจะลึกล้ำกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่าหนึ่ง เกรงว่าต่อให้เป็นสหายขั้นที่หกหรือเจ็ดก็ไม่ใช่คู่มือของสหายสินะ” อาวุโสหม่าผู้นี้มองปราดเดียวก็มองพลังยุทธ์ของหานลี่ออก และเอ่ยสิ่งนี้ขึ้นโดยไม่รู้ว่ามีเจตนาใด  


 


 


“เคล็ดวิชาของชนรุ่นหลังค่อนข้างพิเศษ ได้เปรียบด้านวรยุทธ์จริงๆ ขอรับ” หานลี่รู้สึกตกตะลึง แต่ใบหน้ากลับเผยท่าทีอ่อนน้อมออกมา 


 


 


“ไม่ใช่แค่ได้เปรียบ หากคู่ต่อสู้เหล่านั้นดูถูกเจ้าที่มีพลังยุทธ์ตื้นเขินตอนที่ต่อสู้กัน เกรงว่าคงถูกเจ้าใช้จุดนี้ถลกหลังโดยไม่ทันระวังแน่ เอ๋ จิตสัมผัสของเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่เผ่าเบื้องบนธรรมดาเช่นกัน” ไม่รู้ว่าอาวุโสหม่าใช้เคล็ดวิชาลับอะไร ใบหน้ามีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ปากก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ ว่า “เอ๋” คาดไม่ถึงว่าแม้แต่จิตสัมผัสอันแข็งแกร่งของหานลี่ก็ยังเดาออกเจ็ดแปดส่วน 


 


 


หานลี่ได้ฟังคำพูดนี้ จิตใจก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้อีก ใบหน้าอดที่จะเปลี่ยนสีไปไม่ได้ 


 


 


“เอาล่ะ อาวุโสหม่า เคล็ดวิชาลับ ‘สำรวจจิต’ ของเจ้า เป็นหนึ่งในเผ่าเรา กล่าวเช่นนี้ย่อมไม่ผิดแน่ ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สหายหานเคยช่วยชีวิตปรมาจารย์เจี่ย สังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันสองสามคนในพริบตา จะมองว่าเป็นเผ่าเบื้องบนธรรมดาได้อย่างไร” ชายชราร่างอ้วนกลับเอ่ยอย่างไม่ประหลาดใจเลยสักกระผีก 


 


 


“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง กลับเป็นผู้แซ่หม่าที่สอนจระเข้ว่ายน้ำ สหายเชิญนั่งเถิด!” ชายวัยกลางคนได้ยินพลันหัวเราะ จากนั้นก็ลงด้านข้างเชียนจีจื่อ 


 


 


ในที่สุดสีหน้าตกตะลึงของหานลี่ก็สลายหายไป หลังจากหัวเราะอย่างขมขื่นก็นั่งลงอีกครั้ง 


 


 


“เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าคุยกันเรื่องแผ่นกว้างเย็น ฟังดูแล้วสหายหานดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจแดนกว้างเย็นเลยสักนิด พี่เชียน เจ้าจะพูดอ้อมค้อมอันใด พูดประโยชน์ข้อดีข้อเสียไปเลยเถิด” ชายชราแซ่หม่านั่งลง ก็หันหน้าไปพูดกับเชียนจีจื่อ ในคำพูดดูเหมือนว่าจะไม่พอใจเล็กน้อย! 


 


 


“เดิมทีข้าคิดจะบอกสหายหานทันที แต่พี่หม่ามาถึงแล้ว ก็ถูกตัดบทก่อน!” เชียนจีจื่อได้ยินกลับแบมือทั้งสองข้าง ใบหน้าเผยสีหน้ากลัดกลุ้มออกมา 


 


 


“ฮ่าๆ เช่นนั้น เมื่อครู่ผู้แซ่หม่าหุนหันไปหน่อย” ชายวัยกลางได้ยิน ก็หัวเราะร่า 


 


 


“ในเมื่อพี่หม่ามาแล้ว เจ้าก็อธิบายให้สหายหานฟังเองเถิด ถึงอย่างไรเสียตอนนั้นเจ้าก็ได้เข้าไปในแดนกว้างเย็นด้วยตนเอง ดีกว่าให้ตาเฒ่าพูดนัก” เชียนจีจื่อกลอกตาไปมา แล้วแบปากขณะเอ่ย 


 


 


“มีอะไรให้น่าพูดถึงกัน ตอนนั้นที่ข้าไปเข้าในแดนกว้างเย็น ดวงไม่ค่อยดีนัก และไม่ได้สมบัติเหนือชั้นหรือสมุนไพรวิญญาณอะไรออกมา ส่วนสาเหตุที่เผ่าต่างๆ ให้ความสำคัญกับแดนกว้างเย็น ก็เพราะให้ความสำคัญกับไอวิญญาณที่น่าตกตะลึงในนั้น อยากให้ทุกคนในเผ่าที่พลังยุทธ์อยู่ในจุดคอขวด ไม่อาจทะลวงได้นานแล้ว อาศัยไอวิญญาณในนั้นทะลุจุดคอขวดได้เท่านั้น ตอนนั้นถ้าหากไม่ไป ก็คงไม่มีพลังยุทธ์เท่าในตอนนี้” ชายวัยกลางคนสั่นศีรษะขณะเอ่ย สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดไปเล็กน้อย 


 


 


“อาศัยพลังวิญญาณด้านในทะลวงจุดคอขวด!” หานลี่ได้ฟัง ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย 


 


 


“ใช่แล้ว ส่วนสมุนไพรต่างๆ ในแดนกว้างเย็นนั้นเป็นเรื่องรอง จะได้หรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ตอนนั้นข้าได้แค่สมุนไพรวิญญาณธรรมดาๆ มาเท่านั้น แทบจะนับว่ากลับมามือเปล่า แต่ได้ยินว่าคนอื่นๆ ได้วัตถุดิบหลอมอาวุธที่ล้ำค่ากลับมา ใช้พวกมันหลอมสมบัติสะท้านฟ้าไปสองสามชนิด” ชายชราแซ่หม่าถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเสียดายเป็นอย่างมาก 


 


 


“ฮ่าๆ เจ้าก็น่าจะรู้ ตอนนั้นเจ้าถูกคนในเผ่าส่งไปในแดนกว้างเย็น ไม่รู้ว่ามีสหายร่วมระดับเดียวกันอิจฉาไปตั้งเท่าไหร่ อย่างน้อยที่สุดตาเฒ่าก็ไม่เคยมีวาสนาได้เข้าไป” ชายชราร่างอ้วนค้อนใส่ชายวัยกลางคนแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ออกมา 


 


 


“หากผู้แซ่หม่าเป็นอัจฉริยะเหมือนกับพี่เชียน ทะลวงจุดคอขวดระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงพันปี แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องเข้าไปในแดนกว้างเย็น เจ้าน่าจะรู้ดี แดนกว้างเย็นไม่ใช่ที่ที่มั่นคงอะไร” ชายชราแซ่หม่ากลับตอบกลับอย่างราบเรียบ 


 


 


“นั่นมันก็ใช่ ทุกครั้งที่แผ่นกว้างเย็นปรากฏตัวในแผ่นดินเสียงเพรียกอัสนีมักจะมีมากกว่าสองสามร้อยแผ่น แต่ละแผ่นจะพาคนเข้าไปได้เท่าไหร่ ย่อมต้องดูพลังของเขตอาคมส่งตัว เผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราล้วนรับหน้าที่นี้มาโดยตลอด แต่กำลังที่มากที่สุดก็ส่งได้แค่แผ่นละสิบกว่าคนเท่านั้น แต่ได้ยินว่าเขตอาคมส่งตัววิเศษสองสามเขต ที่สามารถทำให้แผ่นป้ายนี้ส่งคนเข้าไปได้สามสิบกว่าคน น่าเสียดายพวกเราไม่อาจได้แผ่นภาพเขตอาคมของพวกเขามา มิเช่นนั้นก็สามารถส่งคนเข้าไปในแดนกว้างเย็นได้มากขึ้นแล้ว แต่ทุกคนที่มีคนจำนวนมากเข้าไป แดนกว้างเย็นจะวุ่นวายแค่ไหน ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว” ชายชราร่างอ้วนขมวดคิ้วขณะเอ่ย 


 


 


“สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ ตำแหน่งการส่งตัวของแต่ละแผ่นป้ายล้วนเป็นแบบสุ่ม หากส่งตัวไปที่เดียวกับเผ่าใดเข้า การต่อสู้ครั้งใหญ่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ใดต่างก็รู้ว่า หากทะลวงจุดคอขวดด้านใน อย่างน้อยที่สุดก็เพิ่มอัตราการทะลวงจุดคอขวดได้สามส่วน แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ที่อยู่ในระดับสูงมากนัก” ชายชราแซ่หม่าดูเหมือนจะอธิบายให้หานลี่ฟัง และก็ดูเหมือนจะเอ่ยพึมพำกับตัวเอง 


 


 


หานลี่ได้ฟัง แววตาพลันอดที่จะเปล่งประกายสว่างวาบมิได้ 


 


 


“ไม่ใช่แค่นี้ พอถึงชุดสุดท้ายก็จะมีผู้ที่สังหารกันเพื่อแย่งสมบัติไม่หยุด แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องที่อันตรายที่สุดในแดนกว้างเย็น เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดก็คือแดนกว้างเย็นเอง แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดพบเทพเซียนจริงๆ ในแดนกว้างเย็น แต่ด้านในกลับมีอสูรโบราณที่มีพละกำลังยากจะเหลือเชื่อ ทุกตัวล้วนไม่ใช่ผู้ที่เข้าไปจะต่อกรได้ หากพบกับตัวที่อารมณ์ดียังพอว่า ขอแค่หลบลี้ไปให้ไกล ก็พอแล้ว แต่หากพบกับอสูรร้าย ก็มีเพียงต้องเอาชีวิตรอดเองแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นในแดนกว้างเย็นยังมีเขตอาคมที่น่ากลัวของซากปรักหักพังของผู้ที่น่าจะเป็นเทพเซียนจำนวนมาก หากพลาดติดอยู่ในนั้น ก็คงหมดหวังไปแปดเก้าส่วน ดังนั้นหลังจากนั้นจะมีคนรอดชีวิตออกมาได้ แค่ไม่ถึงครึ่งเท่านั้น” เชียนจีจื่อเอ่ยเสริม 


 


 


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างอดไม่ได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยปากถามว่า 


 


 


“ขอบังอาจเรียนถาม แดนกว้างเย็นถูกค้นพบตั้งแต่เมื่อใด แผ่นกว้างเย็นเหล่านี้ถูกค้นพบได้อย่างไร” 


 


 


“ประโยคนี้กลับดูเหมือนว่าจะทำให้พวกเราสองคนลำบากใจแล้ว แดนกว้างเย็นปรากฏตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นก็ไม่แน่ใจนัก แต่น่าจะถูกเผ่าต่างๆ พบเข้าในสมัยโบราณ ว่ากันว่าตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าต่างๆ ดูเหมือนจะถูกสงครามครั้งใหญ่ ทำให้ต้องใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬ ผลคือสมบัติสวรรค์ทมิฬสองสามชิ้นผนึกกำลังกัน ถึงได้แหวกมิติเวลานี้ออกมาด้วยความบังเอิญ เปิดเป็นเส้นทางสายนี้ ส่วนแผ่นป้ายกว้างเย็นเหล่านี้ปรากฏตัวได้อย่างไร ก็ไม่ค่อยแน่ใจจริงๆ ราวกับว่าเมื่อแดนกว้างเย็นถือกำเนิด แผ่นป้ายเหล่านี้ก็ทยอยกันถือกำเนิดตามมา แต่ตอนแรกแผ่นป้ายกว้างเย็นกลับมีมากกว่าพันป้าย แต่เวลาผ่านมานานขนาดนี้ แผ่นป้ายเหล่านี้ก็ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว” ชายชราร่างอ้วนเอ่ยอย่างแช่มช้า 


 


 


“วิธีการเข้าออกแดนกว้างเย็นพิเศษมาก ตอนเข้าไปจำต้องใช้เขตอาคมส่งตัวช่วยแผ่นป้าย แต่ตอนออกมานั้น กลับต้องทิ้งแผ่นป้ายไว้ในแดนกว้างเย็น ถึงจะออกมาได้ และหลังจากผ่านหมื่นปีเศษตอนที่จะเปิดขึ้นอีกครั้ง แผ่นป้ายเหล่านี้ก็จะปรากฏตามจุดต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี และยิ่งไปกว่านั้นแผ่นป้ายเหล่านี้ไม่อาจส่งมาหาผู้ที่อยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปได้ อาวุโสของเผ่าต่างๆ ล้วนไม่อาจเข้าไปในแดนกว้างเย็นได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้ ตาเฒ่าเองก็อยากรู้ว่าแผ่นป้ายในมือของสหาย ได้มาได้อย่างไร” แววตาของอาวุโสหม่าเปล่งประกาย จ้องเขม็งขณะเอ่ยถามหานลี่ น้ำเสียงไร้ซึ่งความรู้สึก 


 


 


หานลี่ใจเต้นระรัว แต่ก็ตอบกลับอย่างเยือกเย็น 


 


 


“พูดถึงแผ่นป้ายกว้างเย็นนี้ ก็มาจากสหายแซ่หยวนของเผ่าเจ้า ตอนนั้นพวกเราถูกเผ่าแมลงมีเขาล้อมเมืองเอาไว้ สหายหยวนผู้นี้แบ่งกล่องหยกสามกล่องให้พวกเราอีกสามคน ทำให้พวกเรานำมันฝ่าวงล้อมออกมา บอกว่าต้องมอบของสิ่งนี้ให้เผ่าต่างๆ ในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ หากไม่มีหวังจะฝ่าออกไปได้ ก็ให้ทำลายกล่องหยกทันที ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกอยากรู้ จึงเปิดกล่องออกดู กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุ้นมันเข้า”  


 


 


“ผู้แซ่หยวน! เช่นนั้นแผ่นป้ายนี้ก็เป็นหนึ่งในแผ่นป้ายที่คนผู้นั้นในเผ่าเรารับหน้าที่ดูแล” เชียนจีจื่อไม่เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเลยสักนิด กลับพยักหน้าอย่างราบเรียบ ราวกับว่าเขาเดาความเป็นมาของแผ่นป้ายนี้ได้แล้ว 


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้น พลันใจหายวาบ 


 


 


และในยามนั้น ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


“เผ่าต่างๆ ในละแวกเมืองเมฆาไม่ได้รับข่าวแผ่นกว้างเย็นจากที่อื่นเลย เช่นนั้นแผ่นป้ายที่เหลือก็ตกอยู่ในมือของเผ่าแมลงมีเขาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่อาจฝ่าวงล้อมออกมาได้!” 


 


 


“น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ว่ากันว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์สองคนเป็นผู้นำ และยังใช้เรือสงครามระดับป้อมปราการลำหนึ่ง สหายหานพาแผ่นป้ายนี้หนีออกมาได้ ก็โชคดีสุดๆ แล้ว” เชียนจีจื่อพ่นคำพูดออกมาในรวดเดียว 


 


 


“เช่นนั้นละก็ คงยุ่งยากหน่อยแล้ว ในมือของสิบสามเผ่าของพวกเรา ตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดสิบเจ็ดแผ่น น้อยกว่าในอดีตมาก และภายใต้อิทธิพลนี้ จำนวนคนที่เข้าไปในเผ่าแมลงมีเขา กลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย” อาวุโสหม่าเอ่ยแล้วพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย 


 


 


“เรื่องนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ จนถึงตอนนี้แผ่นป้ายกว้างเย็นที่พบก็ถูกรวบรวมจนครบตั้งนานแล้ว ประกาศที่พบแผ่นป้ายห้าแผ่นก่อนหน้านี้ ข้านึกว่าเผ่าเราได้โอกาสงาม แต่คิดไม่ถึงว่าเผ่าแมลงมีเขาจะทำการโจมตีอย่างฉับพลัน ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ทัน ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” เชียนจีจื่อหรี่ตาทั้งสองข้างลงพลางขบคิด แต่ปากก็ยังร้องอุทานออกมาเบาๆ 


 


 


“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ แน่นอนว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ สหายหาน การเปิดแดนกว้างเย็นในครั้งนี้ เกรงว่าสหายคงต้องเข้าไปพร้อมกับคนที่เผ่าหมื่นโบราณของพวกเราคัดเลือกแล้ว” ชายชราแซ่หม่าพยักหน้า แต่ทันใดนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยหานลี่อย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่อาจปฏิเสธได้! 

 

 

 


ตอนที่ 1589 แลกเปลี่ยนและแผนสำรอง

 

“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะปฏิเสธได้หรือ!” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ 


 


 


“ฮ่าๆ เหตุใดสหายหานต้องเศร้าโศกเพียงนี้ แม้ว่าในแดนกว้างเย็นจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่สำหรับคนปกติแล้วล้วนเป็นเรื่องดี คนธรรมดาไม่มีทางได้รับโอกาสนี้ กว่าครึ่งคงจะอิจฉากันมาก” เชียนจีจื่อเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ 


 


 


“อิจฉา! ชนรุ่นหลังพลังยุทธ์ไม่ได้อยู่ในจุดคอขวด เข้าไปก็คงไม่ได้อะไรมาก กลับจะมีอัตราเพลี่ยงพล้ำเกือบครึ่ง ช่างเป็นการเอาชีวิตไปเสี่ยงจริงๆ หากเป็นไปได้ละก็ ชนรุ่นหลังจะไม่มีทางเข้าไปแน่” หานลี่กลับสั่นศีรษะ เผยสีหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างสุดๆ ออกมา 


 


 


เมื่อได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้ เชียนจีจื่อและอาวุโสหม่าพลันอดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ ดูเหมือนว่าส่งสัญญาณอะไรกัน 


 


 


“เมื่อแผ่นกว้างเย็นนี้ถูกกระตุ้น ก็มีเพียงผู้กระตุ้นถึงจะสามารถควบคุมแผ่นป้ายพาคนเข้าไปในแดนกว้างเย็นได้ นี่มันเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองและล่มสลายของสิบสามเผ่าของพวกเรา ไม่อาจปล่อยให้สหายปฏิเสธได้ เดิมทีสหายพกแผ่นป้ายนี้มาที่นี่ พวกเราเผ่าหมื่นโบราณควรจะต้องขอบคุณแล้ว แต่แผ่นป้ายถูกกระตุ้นแล้ว สหายก็มีคุณสมบัติในการเข้าไปในแดนกว้างเย็น นี่นับว่าเป็นการหักล้างกันแล้ว แต่หากสหายไม่ยอมเข้าไปในแดนกว้างเย็น ยามนี้ก็จำต้องเสี่ยงอันตรายเข้าไป ก็ต้องเสียสละไม่น้อย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สหายมีเงื่อนไขอะไรก็บอกพวกเรามาเถิด พวกเราจะพยายามตอบแทนให้อย่างเต็มที่”เชียนจีจื่อเอ่ยกับหานลี่อย่างแช่มช้า 


 


 


หานลี่ได้ฟังคำนี้ พลันใจเต้น แต่หลังจากขบคิดอย่างรวดเร็ว ถึงได้เอ่ยอย่างไม่ลังเลอีก 


 


 


“เงื่อนไขของชนรุ่นหลัง ท่านอาวุโสก็น่าจะเดาออกสินะ หลังจากเรื่องของแดนกว้างเย็นเสร็จสิ้น ข้าน้อยอยากอาศัยเขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดินใหญ่” 


 


 


“ยืมเขตอาคมส่งตัว? หากแค่ให้เจ้าใช้ครั้งหนึ่ง น่าจะได้ ทว่าตอนที่ใช้เขตอาคมส่งตัวต้องเสียศิลาวิญญาณระดับสุดยอดจำนวนมาก กลับต้องให้เจ้าแบกรับเอง เผ่าของพวกเราไม่อาจออกให้เจ้าได้ และยิ่งไปกว่านั้นเขตอาคมส่งตัวนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเราจะเป็นผู้ตัดสินใจได้ ยังต้องปรึกษากับเผ่าอื่นๆ ก่อน บางทีเผ่าอื่นๆ คงมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่เจ้าจำต้องตอบรับเช่นกัน สหายมีปัญหาอะไรหรือไม่?” เชียนจีจื่อไม่เผยสีหน้าประหลาดใจเลยสักนิด พลางตอบอย่างราบเรียบ 


 


 


“ขอแค่ใช้เขตอาคมส่งตัวได้ ค่าเสียหายในการส่งตัว แน่นอนว่าต้องเป็นชนรุ่นหลังที่จ่าย ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ขอแค่ไม่ใช่สิ่งที่ชนรุ่นหลังทำไม่ได้ ชนรุ่นหลังก็ยินดีตอบรับ” หานลี่เอ่ยด้วยความยินดี 


 


 


“หึๆ สหายหานไม่จำเป็นต้องตอบรับเร็วเช่นนี้ การข้ามแผ่นดินใหญ่ต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดจำนวนมาก พอจะทำให้เผ่าศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งถังแตกได้ บางทีสหายหานอาจจะร่ำรวยอยู่บ้าง แต่หากจะรวบรวมให้พอใช้ส่งตัว เกรงว่าคงไม่ง่าย จากพลังยุทธ์ของสหาย แม้ว่าจะอยู่ในเผ่าหมื่นโบราณรองพวกเราตลอดไป ก็จะได้รับหน้าที่ตำแหน่งสำคัญ เหตุใดต้องไปแผ่นดินใหญ่อื่น สหายไม่สู้ถือโอกาสงามๆ นี้ เปลี่ยนเงื่อนไข ไปเป็นสมุนไพรวิญญาณจำนวนมาก จะไม่ดีกับทั้งสองฝ่ายหรือ” อาวุโสแซ่หม่าแววตาเปล่งประกาย เอ่ยแนะนำ 


 


 


หานลี่พลันตกตะลึง แต่เมื่อขบคิดเล็กน้อย ก็สั่นศีรษะเป็นพัลวัน 


 


 


“ขอบพระคุณความหวังดีของท่านอาวุโส ทว่าชนรุ่นหลังตัดสินใจแล้ว!” 


 


 


เมื่อเห็นหานลี่ปฏิเสธเงื่อนไขของตนเอง ชายวัยกลางคนกลับไม่โกรธ แค่พยักหน้าอย่างราบเรียบ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา 


 


 


“ใช่แล้ว ท่านอาวุโสทั้งสอง! ข้าน้อยยังไม่รู้ว่าแดนกว้างเย็นจะเปิดยามไหน หากสหายทราบแล้วก็จะได้เตรียมตัว” หานลี่ลูบจมูก เอ่ยปากซักถาม 


 


 


“เวลาที่แม่นยำในการเปิด พวกเราก็ไม่แน่ใจนัก แต่ตามประสบการณ์ของพวกเรา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็สองสามปี ยาวหน่อยก็ร้อยปีกระมัง” เชียนจีจื่อตอบกลับด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“ยาวหน่อยก็ร้อยปี!” หานลี่ได้ยินคำนี้ ชั่วขณะนั้นพลันหมดคำพูด 


 


 


“สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรา เวลาร้อยปีเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น สหายหานไม่จำเป็นต้องตกตะลึงขนาดนั้น!” ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วพลางย้อนถาม 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ชนรุ่นหลังแค่ประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น” หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา 


 


 


“เดิมทีสหายพักอยู่ในโรงเตี๊ยมสินะ แต่ตอนนี้ถูกผนึกเอาไว้ ในเวลาสั้นๆ คงไม่อาจออกจากเมืองเมฆาได้ เช่นนั้นสหายก็ย้ายมาที่ภูเขาแปดเมฆาเถิด ข้าจะเรียกคนมาจัดถ้ำพำนักให้ ให้สหายฝึกฝนอย่างสบายใจไปพลาง รอเปิดแดนกว้างเย็นอย่างสบายใจไปพลาง” เชียนจีจื่อเอ่ยเช่นนี้ 


 


 


หานลี่ได้ฟังเช่นนี้พลันรู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากขบคิดอย่างรวดเร็ว ก็พยักหน้าตอบรับ 


 


 


เวลาต่อจากนั้นเชียนจีจื่อและอาวุโสหม่าพลันเอ่ยถามปัญหาต้นกำเนิดของหานลี่ออกมาอย่างสบายๆ แต่ก็ถูกปัดพลางไปอย่างคลุมเครือ 


 


 


ส่วนเชียนจีจื่อทั้งสองคนก็ดูเหมือนว่าไม่สนใจเรื่องนี้ เห็นหานลี่ไม่อยากเปิดเผยมากนัก ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ 


 


 


จากนั้นในที่สุดอาวุโสที่สามของเผ่าหมื่นโบราณ ชายร่างใหญ่ไว้เคราร่างกายสูงใหญ่ก็มาถึงวิหารสะท้านฟ้า 


 


 


ทว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้แค่พิจารณาหานลี่สองแวบ ปากก็เอ่ยคำว่า “เยี่ยม” ออกมา และพูดกับเชียนจีจื่อรวมทั้งอาวุโสหม่าว่า “ยังมียาอีกหม้อหนึ่งที่ยังปรุงไม่เสร็จ” แล้วพลันจากไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เชียนจีจื่อและพวกทั้งสอง ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างจนปัญญา พวกเขาดูเหมือนว่าจะคุ้นชินกับท่าทีของชายร่างใหญ่เป็นอย่างดี 


 


 


จากนี้หานลี่พลันรับยันต์หมื่นลี้แผ่นหนึ่งมาจากอาวุโสแซ่หม่า ในที่สุดก็หยัดกายลุกขึ้นกล่าวลา 


 


 


ส่วนก่อนไปเชียนจีจื่อก็พูดว่า หลังจากนี้สามวันก็คงปรึกษาเรื่องเขตอาคมส่งตัวกับเผ่าอื่นๆ เสร็จแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ถ้ำพำนักก็เตรียมเสร็จพอดี ถึงครานั้นหานลี่ก็ย้ายมาที่ภูเขาแปดเมฆา 


 


 


หานลี่ได้ฟัง แน่นอนว่าย่อมเอ่ยคำขอบคุณ จากนั้นก็เดินออกจากวิหาร นั่งลงบนรถอสูรตรงประตู แล้วบินออกจากป้อมปราการเผ่าหมื่นโบราณ 


 


 


และในยามนั้นเชียนจีจื่อและชายวัยกลางคนกลับนั่งเงียบกริบอยู่ที่วิหาร ล้วนขบคิดอะไรสักอย่างอยู่ 


 


 


“เจ้าคิดว่าไง? คนผู้นี้มีโอกาสเป็นพวกสอดแนมที่เผ่าแมลงมีเขาส่งมาหรือไม่?” เชียนจีจื่อเอ่ยถามอย่างแช่มช้า 


 


 


“พวกสอดแนมนั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้! ใช้แผ่นป้ายกว้างเย็นแอบเข้ามาในเผ่าหมื่นโบราณของพวกเรา มันจะใจกว้างเกินไปหน่อยกระมัง และยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังเคยช่วยชีวิตปรมาจารย์เจี่ย และยังสังหารระดับเดียวกันในเผ่าแมลงมีเขาไปสองสามคน หากแค่ตบตาพวกเรา มันก็ได้ไม่คุ้มเสีย และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่าเรา ก็ไม่อาจล่วงรู้ความลับในเผ่าเราได้ เสียของมีค่าขนาดนั้นเพื่อสิ่งใดกัน” ชายวัยกลางคนสั่นศีรษะอย่างไม่ลังเล 


 


 


“อืม ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เช่นนั้นละก็ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณ มาตรวจสอบเขา มิเช่นนั้นหากคนผู้นี้เกิดความแค้นด้วยเหตุนี้ จะยุ่งยากไปใหญ่” เชียนจีจื่อพยักหน้า ส่งเสียงว่าเห็นด้วยออกมา  


 


 


“และยิ่งไปกว่านั้นกำลังรบของคนผู้นี้ก็แข็งแกร่งขนาดนี้ แทบจะไม่ด้อยไปกว่าระดับหลอมสุญตาขั้นปลายระดับยอดสุด หากเป็นแขกผู้เกียรติของพวกเราได้ ก็มีประโยชน์ต่อเผ่าเราเป็นอย่างมาก ดึงเขามาเป็นพวกของพวกเราดีกว่า” ชายวัยกลางคนเอ่ยเช่นนี้ออกมา 


 


 


“แต่คนผู้นี้อยากใช้เขตอาคมส่งตัวออกจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี” เชียนจีจื่อขมวดคิ้ว 


 


 


“หึๆ ศิลาวิญญาณต้องเสียจากเขตอาคมส่งตัวไหนเลยจะรวบรวมได้ง่ายๆ รอจนรวบรวมได้ครบจำนวน ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี ตอนนั้นขอแค่เราเสียเวลารั้งพวกเขาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แน่นอนว่าหากว่าเขาจะจากไป พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนชั่วร้าย ปล่อยให้เขาไปเถิด ระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด มีเขาเพิ่มขึ้นมาก็ไม่ได้มีอะไร น้อยลงไปคนนึงก็ไม่เป็นไร ไม่คุ้มค่าให้เผ่าเราเสียชื่อเสียง” เชียนจีจื่อหน้าเปลี่ยนสี สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป 


 


 


“ในเมื่อสหายเชียนจีจื่อตัดสินใจแล้ว ผู้แซ่หม่าก็ไม่มีข้อคิดเห็นอะไรอีก” ชายวัยกลางคนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตัดสินใจเช่นกัน 


 


 


“ใช่แล้ว จากนี้ก็รายงานสถานการณ์ของเผ่าแมลงมีเขามาเถิด! การเคลื่อนไหวของเผ่าแมลงมีเขาครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ดูเหมือนว่าเหนือกว่าครั้งก่อนๆ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่ระดับศักดิ์สิทธิ์ในนั้น ก็มี…” เชียนจีจื่อเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา เอ่ยเรื่องที่เผ่าแมลงมีเขารุกรานกับชายวัยกลางคน 


 


 


อีกด้านหานลี่โดยสารรถอสูรออกจากภูเขาเมฆาไปไม่ไกลนัก หาถนนที่รกร้างแห่งหนึ่งลงจากรถ และหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน 


 


 


โรงเตี๊ยมนี้ดูแล้วธรรมดามาก และดูคล้ายกับสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ 


 


 


เมื่อหานลี่วางเขตอาคมป้องกันภายในห้อง ก็นั่งสมาธิลงบนเตียงทันที เริ่มครุ่นคิดเรื่องที่คุยกับเชียนจีจื่อและพวกในวันนี้อย่างละเอียด ดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ 


 


 


เขามีสีหน้าไม่แน่นอนอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลง 


 


 


ดูจากสีหน้าของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดีต่อตน สิ่งเดียวที่ต้องขบคิดก็คือ ในแดนกว้างเย็นมีอันตรายอันใด 


 


 


ทว่าในเมื่อเข้ามาในเผ่าต่างๆ แล้ว ไม่มีระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป ก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว ขอแค่เขาไม่ละโมบ ไม่บุกไปค้นหาสมุนไพรวิญญาณและสมบัติวิญญาณในที่ลับอะไร แอบซ่อนอยู่เงียบๆ ก็น่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต 


 


 


นี่คือรายละเอียดที่เขาคิดได้ตอนที่อยู่ในวิหารสะท้านฟ้า ถึงได้ตอบรับคำขอของพวกเชียนจื่อจีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด 


 


 


ทว่าวันที่แดนกว้างเย็นเปิดออกก็อาจจะยืดออกไปยาว มากกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ 


 


 


หากอีกร้อยปีถึงจะเปิดขึ้น เวลานานขนาดนี้ เขาอาศัยพลังของยาสมุนไพร ก็มีโอกาสฝึกบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นยอดสุดของระดับหลอมสุญตาขั้นตอน จากนั้นก็อาศัยพลังวิญญาณของแดนกว้างเย็น ทะลวงระดับขั้นกลาง 


 


 


นี่เป็นเพราะเขาสามารถอาศัยของเหลวลึกลับ ปรุงยาลูกกลอนมังกรทะยานที่หายากเป็นอย่างยิ่งได้ไม่จำกัด มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ คิดจะฝึกฝนจากระดับต้นไปถึงขั้นยอดสุด ไม่ใช้เวลาห้าหกร้อยปี ก็อย่าคิดฝันเลย 


 


 


เมื่อถึงระดับหลอมสุญตา คิดจะเพิ่มพลังยุทธ์ขึ้นอีกขั้น ก็ต้องรวบรวมพลังลมปราณจำนวนมาก มากว่าที่ระดับเทพแปลงจะเทียบเทียมได้ 


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหานลี่ที่เลือกเส้นทางผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร ความยากจึงเหนือกว่าเคล็ดวิชาอื่น 


 


 


หานลี่ขบคิดอย่างเงียบๆ แต่ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือพลันมีสิ่งสีขาวโพลนปรากฏขึ้น ผิวมียันต์วิเศษสีแดงสดแปะอยู่เช่นกัน 


 


 


นั่นก็คือกล่องหยกที่บรรจุ ‘แผ่นป้ายกว้างเย็น’ 


 


 


หานลี่รู้ดีว่าขอแค่ตนเองเอาสิ่งนี้ออกมา จะต้องใช้สิ่งนี้แลกกับประโยชน์มหาศาลกับเชียนจีจื่อได้ อย่างน้อยที่สุดใช้แลกกับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าอีกตัวก็ไม่มีปัญหา  


 


 


แต่เขาที่อยู่ในวิหารสะท้านฟ้า กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักนิด กลับคิดถึงตนเองอย่างรอบคอบ 


 


 


ไม่ว่าจะมีแผ่นป้ายกว้างเย็นเท่าไหร่ เข้าไปในแดนกว้างเย็นแล้วจะมีประโยชน์อะไร เขาย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร มากสุดก็เป็นแผนสำรองเท่านั้น 

 

 

 


ตอนที่ 1590 งานประมูลของสี่เผ่า

 

หลังจากที่หานลี่ตัดสินใจแล้ว ในมือพลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ กล่องหยกหายวับไป 


 


 


จากนั้นเขาก็นั่งลงทำสมาธิอยู่บนเตียง 


 


 


สามวันติดต่อกัน หานลี่อยู่ภายในห้องพักโดยไม่ได้ออกมาแม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


แต่วันนี้เขากำลังฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในห้องพร้อมเรือนกายที่มีลำแสงสีทองสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันลืมตาขึ้นด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี 


 


 


พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ยันต์หมื่นลี้ที่เชียนจีจื่อมอบให้พลันปรากฏขึ้นในมือ 


 


 


บนยันต์สีขาวโพลน มีตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏขึ้น 


 


 


หานลี่อ่านเสร็จแล้วพลันมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ทันใดนั้นก็เก็บยันต์วิเศษหมื่นลี้ เดินออกจากประตูห้อง 


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็อยู่ในถ้ำพำนักแห่งหนึ่งใน ‘ภูเขานิทราเมฆา’ ของภูเขาแปดเมฆา พิจารณาทุกอย่างในถ้ำพำนักไปรอบด้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ 


 


 


ไอวิญญาณในถ้ำพำนักนี้ไม่ด้อยไปกว่าภูเขาลำแสงเมฆา และยิ่งไปกว่านั้นในถ้ำพำนักไม่ว่าจะเป็นห้องปรุงยา ห้องหลอมยุทธภัณฑ์ สวนสมุนไหนล้วนมีอย่างครบครัน แม้กระทั่งสวนสมุนไพรยังมีสมุนไพรธรรมที่ใช้บ่อยๆ ก็ยังมีปลูกอยู่ 


 


 


เขากลับรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก 


 


 


ทว่าหานลี่ไม่ได้รีบร้อนฝึกฝนในทันที แต่ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบทุกระเบียบนิ้วของถ้ำพำนักรอบหนึ่ง จากนั้นก็วางเขตอาคมต้องห้ามต่างๆ สิบกว่าชั้นลงในถ้ำพำนัก 


 


 


เช่นนั้นแม้ว่าจะอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ ก็ไม่อาจรุกรานเข้ามาที่นี่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ 


 


 


จากนั้นเขาถึงได้ย้ายสมุนไพรวิญญาณที่จำเป็นของตนเองมาในถ้ำพำนัก และสองสามวันต่อมาก็เริ่มปิดตูปรุงยา 


 


 


หลังจากที่เขาเตรียมปรุงยาลูกกลอนในจำนวนที่กำหนดเอาไว้ ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้กิน ส่วนน้อยก็เตรียมเอาไว้แลกศิลาวิญญาณระดับสุดยอดในย่านร้านค้า 


 


 


ถึงอย่างไรเสียไม่ว่าจะควบคุมหุ่นเชิดสะท้านฟ้า หรือว่าใช้กับเขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอด ก็ต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดในจำนวนที่น่าเหลือเชื่อ แค่อาศัยสมุนไพรวิญญาณมาแลก แม้ว่าสมุนไพรวิญญาณหมื่นปีจะไม่อาจแลกได้พอ และยิ่งไปกว่านั้นหากนำสมุนไพรวิญญาณหมื่นปีมาขายมากเกิน ก็จะเป็นที่สังเกต 


 


 


เช่นนั้นละก็ เขาใช้ยาลูกกลอนมังกรทะยานมาแลกเลยดีกว่า 


 


 


เชื่อว่าจากประสิทธิภาพของยาชนิดนี้ ก็เพียงพอจะทำให้เผ่าต่างๆ ในเมืองเมฆาโผล่หัวออกมา น่าจะขายได้ในราคาที่น่าตกตะลึง 


 


 


แน่นอนว่าเขาไม่มีทางขายในจำนวนที่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังต้องปิดฐานะตัวเอง เชื่อว่าแค่ขายสักสองสามครั้ง ก็ไม่น่าจะดึงดูดความสนใจของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ หากเช่นนั้นก็ไม่อาจรวบรวมได้ครบ เขาก็ทำได้เพียงสนใจไผ่อัสนีสีทองแล้ว 


 


 


จากระดับความหายากของไผ่อัสนีสีทองในแดนวิญญาณ หากเขาเอาออกมาขายทั้งต้น จะต้องเหลือเฟือแน่ 


 


 


หานลี่เริ่มปรุงยาไปพลาง ครุ่นคิดถึงวิธีรวบรวมศิลาวิญญาณระดับสุดยอดไปพลาง 


 


 


เกรงว่าเชียนจีจื่อจะฝันยังฝันถึงไม่ได้ ในสายตาของเขา หานลี่ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้สำเร็จได้ในระยะเวลาสั้นๆ สำหรับหานลี่แล้วมันเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ เท่านั้น 


 


 


ทว่าตอนที่เชียนจีจื่อพาหานลี่มาที่นี่ ก็ได้ถือโอกาสบอกเขา เผ่าอื่นๆ เห็นด้วยเรื่องที่เขาจะขอยืมเขตอาคมส่งตัวแล้ว 


 


 


ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ก็ไม่ได้นับว่าลำบากนัก! 


 


 


ส่วนใหญ่ล้วนให้เขาออกค่าใช้จ่ายเองเท่านั้น มีเพียงเผ่ารังไหมศิลาที่ค่อนข้างยุ่งยาก คาดไม่ถึงว่าจะให้เขาช่วยรวบรวมวัตถุดิบในการหลอมอาวุธในแดนกว้างเย็น  


 


 


พวกเขามีแผนที่ แหล่งกำเนิดวัตถุดิบก็ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้แล้ว 


 


 


หลังจากที่เขาเข้าไปในแดนกว้างเย็น ขอแค่ช่วยเผ่าศิลารังไหมทำธุระก็พอแล้ว 


 


 


สำหรับเงื่อนนี้ แน่นอนว่าย่อมอันตรายเล็กน้อย แต่วัตถุดิบนี้ดูเหมือนว่าจะสำคัญกับเผ่าศิลารังไหมมาก พวกเขาแค่เสนอเงื่อนไขมา และยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางไม่ยอมต่อรองได้ 


 


 


ดังนั้นหานลี่จึงขบคิดเล็กน้อย แล้วจึงตอบรับเช่นกัน 


 


 


หากแค่วิ่งไปสักรอบ อันตรายแค่นี้เขาก็กล้าเสี่ยง 


 


 


เช่นนั้นละก็ ต่อให้หานลี่ทำสัญญากับเผ่าเมฆาสวรรค์สำเร็จ ขอแค่เรื่องแดนกว้างเย็นจบสิ้น เขาก็สามารถใช้ได้ตามใจครั้งหนึ่ง เผ่าต่างๆ เหล่านี้รับหน้าที่ดูแลเขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอด 


 


 


หานลี่อยู่ในถ้ำพำนัก เป็นเวลาปีกว่า 


 


 


ช่วงเวลานี้ เขาปรุงยาสมุนไพรไปพลาง เริ่มกินยาลูกกลอนมังกรทะยานไปพลาง ฝึกฝนเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ไปพลาง 


 


 


แม้ว่าช่วงเวลานี้จะไม่นานนัก แต่เวลาฝึกฝนกลับปล่อยเทวรูปมารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้เข้มขึ้นส่วนหนึ่ง 


 


 


เห็นได้ชัดว่ายาลูกกลอนมังกรทะยานมีอานุภาพที่น่าตกตะลึง 


 


 


ทว่าสิ่งที่หานลี่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ หญิงสาวเผ่าผลึกนามว่า ‘เซียนเซียน’ กลับไม่ได้ใช้ยันต์หมื่นลี้ติดต่อเขามาเลย ราวกับว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายจะไปตามหาหญิงสาวผู้นี้ก่อน 


 


 


แต่วันนี้ในที่สุดหานลี่ก็เดินออกมาจากถ้ำพำนัก หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปเล็กน้อย ก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสายหนึ่งบินลงไปจากภูเขา 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ สายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพลันพุ่งลงมาจากยอดเขาอีกลูกหนึ่งพอดี และไล่ตามหานลี่มาถึงตีนเขาพร้อมกัน 


 


 


ลำแสงหม่นแสงลง หานลี่และชายร่างใหญ่หัวโล้นปรากฏกายขึ้นในเวลาเดียวกัน 


 


 


ชายร่างใหญ่มีสีหน้าเ**้ยมโหด ผิวปรากฏสีเทาขาวออกมา 


 


 


เช่นนั้นทั้งสองต่างมองสบตากับอีกฝ่ายแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“ข้าน้อยคือเถี่ยเจียนจากเผ่าศิลารังไหม ดูใบหน้าที่ไม่คุ้นหน้าของสหาย เป็นสหายที่เพิ่งย้ายเข้ามาสินะ” อย่ามองว่าชายร่างใหญ่มีหน้าตาโหดเ**้ยม แต่น้ำเสียงกลับมีมารยาทเป็นอย่างมาก 


 


 


“ผู้แซ่หานเพิ่งมาพักที่ภูเขาลูกนี้จริงๆ” หานลี่กวาดจิตสัมผัสไป พบว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด พลันตกตะลึง แต่กลับตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม 


 


 


“ที่แท้ก็สหายหานนี่เอง เอ๋ ข้าได้ยินว่าปีก่อนมีชาวนอกเผ่ากระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็น คนผู้นั้นแซ่หาน หรือว่าคือสหาย?” ชายร่างใหญ่กลับล่วงรู้ข่าวสาร เมื่อได้ยินแซ่ของหานลี่ ก็เดาฐานะของเขาในทันที 


 


 


หานลี่แววตาฉายแววตกตะลึง แต่ก็ยิ้มๆ พลางตอบว่า 


 


 


“ข้าน้อยเป็นคนที่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นจริงๆ คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงของผู้แซ่หานจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่สหายก็ยังรู้จัก” 


 


 


“ฮ่าๆ ผ่านมาหลายปี พี่หานเป็นแขกผู้เกียรตินอกเผ่าคนแรกที่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็น ชื่อเสียงย่อมไม่น้อยอยู่แล้ว ตอนนี้สหายออกมาจากถ้ำพำนัก หรือว่าจะได้ยินว่างานประมูลสี่เผ่ามีของล้ำค่าออกประมูล เลยอยากเข้าร่วมสักหน่อย?” 


 


 


“งานประมูลสี่เผ่า!” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย 


 


 


“อันใดสหายหานไม่รู้ข่าวนี้หรือ? อ๋อ มิน่าล่ะ สหายเพิ่งจะมาถึงเมืองเมฆาของพวกเราได้ไม่นาน งานประมูลสี่เผ่าในครั้งนี้ เป็นงานที่ทั้งสิบสามเผ่าของพวกเราจะจัดขึ้นทุกๆ สิบปี เป็นงานประมูลที่ใช้เพิ่มความนิยมของเมืองเมฆา สมบัติที่ใช้ประมูลปกติแล้วจะไม่เอาสมบัติสำคัญของเผ่าออกมา ดังนั้นทุกครั้งก็จะดึงดูดชนชั้นสูงจำนวนมากมาเมืองเมฆา และครั้งนี้เป็นเพราะเผ่าแมลงมีเขาทำการโจมตี การต่อสู้สองสามครั้งก่อนหน้าจึงตกเป็นรอง เพื่อปลุกเร้าฝั่งเรา ดังนั้นควรเอาสมบัติที่ดีกว่าครั้งที่แล้วออกมา ในนั้นยังมี ‘ยาลูกกลอนหมื่นมหัศจรรย์’ ด้วย นี่คือยาลูกกลอนที่ช่วยผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาของพวกเราทะลวงจุดคอขวดได้ดีที่สุด มีเพียงปรมาจารย์ปรุงยาระดับปรมาจารย์เผ่าของเผ่าผลึกถึงจะปรุงยาออกมาได้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน” เถี่ยเจียนถึงบางอ้อ แต่ทันใดนั้นอธิบายออกมารวดเดียว 


 


 


“ยาลูกกลอนหมื่นมหัศจรรย์! ผู้แซ่หานเองก็เคยได้ยินมาบ้าง” หานลี่ได้ฟังชื่อของยาลูกกลอน ก็อดที่จะใจเต้นไม่ได้ 


 


 


ตอนแรกที่อยู่ในเมืองลำแสงมรกต ชนต่างเผ่าเหล่านั้นเคยเอ่ยชื่อยาลูกกลอนชนิดนี้ ดูเหมือนว่ามูลค่าจะสูง เหนือกว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้า 


 


 


ทว่าที่มีประโยชน์ต่อระดับหลอมสุญตานั้น หากเขาปรุงยาหรือมีสูตรปรุงยา แน่นอนว่าย่อมมีผลในการทะลวงจุดคอขวดไม่น้อย 


 


 


“ในเมื่อมีงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ผู้แซ่หานคงต้องไปเปิดประสบการณ์ดูสักครั้ง” หานลี่กะพริบตา เผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา 


 


 


“สหายมีเจตนานี้ เช่นนั้นก็ไปกับข้าเถิด ไม่ปิดบังพี่หาน แดนกว้างเย็นในครั้งนี้ ผู้แซ่เถี่ยก็มีโอกาสเข้าร่วมด้วย ไม่ว่าอาจจะอยู่กลุ่มเดียวกันกับสหายพอดี! ถึงตอนนั้นยังต้องให้พี่หานดูแล” ชายร่างใหญ่หัวโล้นหัวเราะฮ่าๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะรู้สึกดีเป็นพิเศษ 


 


 


“สหายล้อเล่นแล้ว! พลังยุทธ์ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้าของสหายเถี่ยสูงกว่าข้าน้อย ทว่าข้าน้อยไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองเมฆานัก ต้องรบกวนพี่เถี่ยแล้ว” หานลี่หัวเราะฮ่าๆ อย่างคลุมเครือ 


 


 


เถี่ยเจียนได้ยินเช่นนี้ พลันหัวเราะหึๆ ออกมา และไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ แต่ยกมือขึ้นกวักเรียกรถอสูรให้หยุดอยู่ที่ตีนเขา จากนั้นก็พูดกับหานลี่ว่า “เชิญขอรับ” 


 


 


หานลี่ไม่เกรงใจ สาวเท้าขึ้นไปบนรถอสูร 


 


 


“ไปงานประมูลเมฆาประสงค์!” ชายร่างใหญ่ออกคำสั่งกับพลขับ 


 


 


พลขับได้ฟัง ปากก็ตอบรับ ชั่วขณะนั้นพลันควบคุมอสูรวิญญาณหน้ารถให้ห้อตะบึงไป 


 


 


ระหว่างอยู่ในรถ หานลี่พลันซักถามสิ่งที่เกี่ยวกับงานประมูลของทั้งสี่เผ่าด้วยความประหลาดใจไปไม่น้อย แล้วถึงได้รู้ว่างานประมูลนี้จัดขึ้นมาสองสามวันแล้ว แต่การประมูลระดับสุดยอดที่แท้จริง กลับจะจัดขึ้นวันนี้ ส่วนชายร่างใหญ่เผ่ารังไหมศิลานั้นยอมยืมศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งมาจากสหายเพื่อประมูล ‘ยาลูกกลอนหมื่นมหัศจรรย์’ ถึงได้ออกมาเข้าร่วมงานประมูล 


 


 


หานลี่ได้ฟังว่างานประมูลในครั้งนี้ จะมีหุ่นเชิดสะท้านฟ้าสองตัวของเผ่าหมื่นโบราณออกมาประมูลด้วยแล้วพลันใจเต้น 


 


 


รถอสูรบินไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ เมื่อหักเลี้ยวก็เดินมาถึงถนนที่กว้างใหญ่สายหนึ่ง 


 


 


บนถนนสายนี้มีรถอสูรอยู่จำนวนมาก สองฝั่งถนนมีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากที่ดูแล้วมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ เดินไปทิศทางเดียวกันพร้อมกับแขนเสื้อที่ปลิวไสว 


 


 


ในที่สุดรถอสูรก็มาหยุดลงตรงเกือบสุดถนน และหยุดลงข้างรถอสูรคันอื่นๆ  


 


 


หานลี่และเถี่ยเจียนเดินลงมาจากรถอสูร กวาดสายตาไปรอบด้าน 


 


 


เห็นเพียงตรงหน้ามีสิ่งปลูกสร้างยักษ์สี่เหลี่ยมปรากฏขึ้น 


 


 


สูงประมาณร้อยจั้งเศษ กว้างประมาณพันจั้ง และตรงยอดของสิ่งปลูกสร้าง กลับมีแท่นบวงสรวงทรงกลม ด้านบนมีแหวนกลมๆ สีเหลืองลอยอยู่โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้งเศษ ดูเหมือนทองคำแต่ก็ไม่ใช่ทองคำ ดูเหมือนไม้แต่ก็ไม่ใช่ไม้ และไม่ได้สร้างจากวัตถุดิบอะไร แต่ชั่วพริบตาคาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงเย็นเยียบออกมาห่อหุ้มวิหารเอาไว้ 


 


 


รอบด้านของวิหารแห่งนี้มีนักรบชุดเกราะเรียงแถวยืนนิ่งอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดระดับไม่น้อย 


 


 


ทางเข้าของวิหารนี้มีทั้งหมดสามทาง ใหญ่ทางหนึ่งเล็กสองทาง มีผู้พิทักษ์สวมชุดสีฟ้ายี่สิบกว่าคนรักษาการณ์อยู่ตรงนั้น 


 


 


คิดไม่ถึงว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้จะอยู่ในระดับหลอมสุญตาขึ้นไป! 


 


 


ยามนี้ตรงทางเข้าทั้งสามทาง ทางเข้าที่ใหญ่ที่สุด มีคนเดินเข้าไปไม่มากนัก กลับเป็นทางเดินที่ค่อนข้างเล็กสองฝั่ง ที่มีผู้คนเดินเข้าออกอย่างคึกคัก 


 


 


“สหายหาน ในมือข้ามีของที่อยากนำไปขายที่วิหารด้านข้าง พอจะรวบรวมเป็นศิลาวิญญาณได้ ไม่ทราบว่าพี่หานคิดจะไปดูหรือไม่?” ตอนที่หานลี่กำลังมองอย่างเหม่อลอยนั้น เถี่ยเจียนก็หันหน้ามาเอ่ยถาม  

 

 

 


ตอนที่ 1591 พบหน้า

 

“อันใด วิหารด้านข้างมีงานแลกเปลี่ยนอะไรหรือ? ที่นี่ไม่ได้จัดงานประมูลหรือ?” หานลี่ได้ฟังคำนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย 


 


 


“สหายหานไม่รู้อะไร ในเมื่ออยากประมูลสิ่งของ ก็ต้องจ่ายศิลาวิญญาณจำนวนมาก และสหายร่วมวิถีจำนวนไม่น้อยก็ชอบเอาวัตถุดิบล้ำค่าออกมาแลกเป็นศิลาวิญญาณก่อนงานประมูล ดังนั้นก่อนงานประมูลสี่เผ่าทุกรอบ จะหาเวลาให้สหายได้แลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือแลกเป็นศิลาวิญญาณ หรือแลกเป็นวัตถุดิบจำเป็นอื่นๆ หากไม่อาจขายของในมือได้ ก็ต้องเอาไปประมูลกับวิหาร พวกเขารับซื้อ ทว่าราคาจะต้องต่ำกว่าราคาทั่วไปเล็กน้อย แต่ประโยชน์เดียวของมันก็คือมีทั้งสี่เผ่าคอยสนับสนุนอยู่ ของที่ล้ำค่าขนาดไหนก็ย่อมรับซื้ออย่างไม่ขาดแคลนศิลาวิญญาณ ส่วนวิหารด้านข้างทั้งสองฝั่ง ห้องหนึ่งคือห้องขายของโดยเฉพาะ ห้องหนึ่งรับซื้อของ” เถี่ยเจียนอธิบาย 


 


 


“ขายของ?” หานลี่ใจเต้นเล็กน้อย 


 


 


“อันใด พี่หานมีสมบัติอยากขายหรือ ทว่าแนะนำว่าพี่หานต้องไปดูห้องรับซื้อก่อน จากนั้นค่อยดูห้องขายของ หากในมือมีของที่ตนอยากแลก จะดีกว่ามาก” ชายร่างใหญ่หัวโล้นเอ่ยเตือน 


 


 


“อืม สหายพูดมีเหตุผล ผู้แซ่หานอยากไปดูสักหน่อย” หานลี่พยักหน้าเห็นด้วย 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นสหายก็ไปด้วยกันเถิด หากดวงไม่เลว ไม่แน่ว่าอาจจะได้ประโยชน์อะไร” เถี่ยเจียนได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าดีใจออกมา ทันใดนั้นก็พาหานลี่เดินไปที่ทางเข้าด้านขวา 


 


 


ผู้พิทักษ์สวมชุดคลุมสีฟ้าสองสามคนที่เฝ้าประตู กวาดสายตามาบนร่างของเถี่ยเจียนและหานลี่ ก็ปล่อยพวกเขาเข้ามาโดยไม่สอบถามอะไร 


 


 


“เดิมทีงานประมูลสี่เผ่านี้จัดขึ้นเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้กับเผ่าเมฆา ดังนั้นขอแค่มีฐานะระดับเผ่าเบื้องบนขึ้นไป ก็สามารถเข้าร่วมได้ตามสะดวก ดังนั้นคนที่เข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้ พลังยุทธ์จึงแตกต่างกัน เหลื่อมล้ำเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเหตุนี้ทุกปีก็ต้องมักจะดึงดูดผู้คนให้มาเข้าร่วมมากกว่างานประมูลอื่นๆ ของเผ่าเมฆาสวรรค์” เถี่ยเจียนและหานลี่เดินเข้าไปในประตูด้านข้าง ก็เอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้ม 


 


 


เผ่าเบื้องบนล้วนสามารถเข้าร่วมงานประมูลได้ ที่นี่มีคนมากมายขนาดนี้เลยหรือ?” หานลี่ขมวดคิ้ว ท่าทางไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


มิน่าล่ะหานลี่จึงได้พูดเช่นนี้ เผ่าเบื้องบนในเมืองเมฆา มีอยู่นับหมื่นนับแสนคน และแม้ว่าวิหารตรงหน้าจะไม่เล็ก แต่ก็ไม่อาจบรรจุคนจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน 


 


 


“หึๆ สาเหตุนั้นสหายก็จะรู้เอง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้แซ่เถี่ยอธิบายอะไร” เมื่อได้ฟังหานลี่ถามเช่นนี้ เถี่ยเจียนกลับเผยสีหน้าลึกลับออกมาขณะเอ่ย 


 


 


หานลี่ได้ฟังพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาอดที่จะมองไปเบื้องหน้าไม่ได้ 


 


 


ยามนี้เขาถึงได้รู้สึกว่าตนเองอยู่ตรงประตูทางเข้านานเกินไป หลังจากเดินไปได้ชั่วครู่ คาดไม่ถึงว่าจะยังได้เข้าไปในวิหารด้านข้าง 


 


 


ไม่ถูก! ตรงหน้ามีทางออกสีขาว เมื่อครู่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลนัก เหตุใดเดินมาสักพักแล้ว ก็ยังดูเหมือนไม่ได้เข้าใกล้เลยสักนิด 


 


 


หานลี่เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา 


 


 


“เคล็ดวิชาห้วงเวลา!” หานลี่เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


“ฮ่าๆ ในที่สุดสหายก็สังเกตเห็นแล้ว ห้องโถงในงานประมูลครั้งนี้ ความจริงแล้วเป็นสมบัติระดับสุดยอดชิ้นหนึ่ง สามารถขยายใหญ่หรือหดเล็กลงได้ และยิ่งไปกว่านั้นตัวมันยังมีอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลา ที่ว่างในวิหารมีมากกว่าที่เห็นภายนอกสิบเท่า เพียงพอจะบรรจุคนนับหมื่นคน ได้เหลือเฟือ” เถี่ยเจียนเอ่ยยิ้มๆ 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะตรงปลายสิ่งปลูกสร้างถึงมีรูปทรงกลม ดูแล้วแปลกประหลาดมาก” หานลี่เผยท่าทางขบคิดออกมา 


 


 


“แม้ว่าทางเข้าจะถูกห้วงเวลาส่งผลกระทบ จำต้องเดินไประยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยาวนัก พวกเราน่าจะเดินออกมาได้ในทันที” เถี่ยเจียนใช้มือใหญ่ลูบไปบนศีรษะที่เรียบเกลี้ยงของตนเอง เอ่ยอย่างรู้อยู่แล้ว 


 


 


หานลี่แค่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ 


 


 


เหมือนกับที่พี่เถี่ยเจียนพูด พวกเขาเดินมาได้ระยะหนึ่ง ทางออกเบื้องหน้าก็เปล่งแสงสว่างวาบ เข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว 


 


 


ทั้งสองเดินออกมาจากทางเข้าอย่างง่ายดาย มาถึงจัตุรัสกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี่มีผู้คนคึกคัก ราวกับถนนอันครึกครื้นที่มีผู้คนสัญจรไปมา 


 


 


รอบด้านของจัตุรัสมีม่านลำแสงครึ่งวงกลม เรียงรายอยู่อย่างหนาแน่น ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยเดินเข้าๆ ออกๆ จากม่านลำแสงเหล่านั้น 


 


 


ตรงใจกลางของจัตุรัส กลับมีแท่นหินหยกขาว ด้านบนมีโต๊ะไม้ธรรมดาๆ ตั้งอยู่ มีคนใช้ชายสวมชุดสีเขียวหน้าตาหมดจนสองคนกำลังส่งอะไรสักอย่างให้ชนต่างเผ่าสองสามคนด้านหน้าโต๊ะ 


 


 


หานลี่กำลังตกอยู่ในภวังค์ เถี่ยเจียนกลับหันหน้าไปคารวะแล้วเอ่ยว่า 


 


 


“สหายหาน แยกกันตรงนี้เถิด ข้าจะไปหาร้านเหมาะๆ ปล่อยสมบัติในมือสักหน่อย คงไม่เดินเป็นเพื่อนสหายแล้ว” 


 


 


“หากสหายมีธุระ ก็ไปจัดการเถิด ข้าน้อยอยากเดินดูสักหน่อย” หานลี่หัวเราะน้อยๆ แล้วตอบกลับอย่างมีมารยาท 


 


 


“งั้นพี่หานก็ดูแลตนเองด้วย!” หลังจากที่เถี่ยเจียนประสานมือคารวะอีกครั้ง ก็เดินไปที่ขอบของอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นดีใจ 


 


 


หานลี่มองเงาแผ่นหลังของชายร่างใหญ่ แววตาพลันเปล่งประกายสองสามครั้ง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้มองไปยังแท่นหยกตรงใจกลางอีกสองแวบ คาดไม่ถึงว่าจะเดินไป หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็เดินมาใกล้ๆ แท่น 


 


 


และในยามนั้นก็มีคนสองสามคนเดินขึ้นมาบนแท่น 


 


 


แต่ยามนี้ในที่สุดหานลี่ก็มองเห็นอย่างชัดเจน 


 


 


ชนต่างเผ่าบนแท่นเหล่านั้น ทุกคนล้วนเอาศิลาวิญญาณระดับสูงให้เด็กรับใช้ทั้งสองถุงหนึ่ง แล้วได้ธงหลากสีสันมาจากมือของพวกเขา 


 


 


ในมือมีธงเล็กๆ สีสันหลากหลายอยู่ 


 


 


แววตาของหานลี่จ้องเขม็งไปไม่วางตา ก็พบว่าคนเหล่านั้นเดินไปถึงขอบของจัตุรัสที่ไม่มีคนแล้ว ก็โบกสะบัดธง ม่านลำแสงครึ่งวงกลมทะลักออกมา แล้วปกคลุมร่างของเขาเอาไว้ 


 


 


หานลี่ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบ 


 


 


เมื่อจิตสัมผัสสัมผัสกับม่านลำแสง ก็ถูกเขตอาคมต้องห้ามชั้นหนึ่งต้านทานไว้ด้านนอก และไม่อาจแทรกเข้าไปข้างในได้ 


 


 


เห็นได้ชัดว่าม่านลำแสงเหล่านี้คือที่ที่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรในจัตุรัสแลกเปลี่ยนกัน 


 


 


เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าความลับของตนเองจะถูกผู้อื่นล่วงรู้ 


 


 


หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปรอบด้าน ทุกสิ่งที่เห็นล้วนเป็นม่านลำแสงระยิบระยับ และห่างจากจัตุรัสที่เขาอยู่ไปไกลยิ่งไปกว่า คาดไม่ถึงว่าจะมีจัตุรัสเล็กๆ สองสามแห่งครอบครองอยู่ ดูเหมือนว่าจะคึกคักเช่นกัน 


 


 


หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะ  


 


 


ต่อให้มีสมบัติคนจำนวนมากขนาดนี้อยากหาที่ที่เหมาะสมซื้อของ ก็ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร เขาไม่อยากเสียเวลามากนัก 


 


 


หากเขาอยากได้ยาลูกกลอนหมื่นมหัศจรรย์ ก็ต้องรวบรวมศิลาวิญญาณให้ได้ก่อนงานประมูล 


 


 


เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็เริ่มเดินไปตามขอบทางเดินด้วยสีหน้าราบเรียบ 


 


 


แต่เวลากว่าครึ่งล้วนแค่มองไปด้านนอกสองแวบเท่านั้น บางครั้งถึงจะมีคนเดินเข้ามาในม่านลำแสงอันสองอัน แล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อผ่านไปหนึ่งเค่อ หานลี่ก็ยังคงไม่ได้อะไร ทันใดนั้นพลันขมวดคิ้ว หันกายไป คาดไม่ถึงว่าจะเดินไปกลับไปตามทางเข้าทางเดิม 


 


 


ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่าหานลี่ตั้งใจ ตอนที่เขาเข้าไปในทางเข้าอีกครั้ง ทั้งทางเดินก็มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น 


 


 


หานลี่เดินไปพลาง สะบัดแขนเสื้อไปพลาง ผ้าคลุมสีดำปรากฏขึ้น 


 


 


จากนั้นเสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น หมอกสีดำจางๆ กลุ่มหนึ่งกักหานลี่เอาไว้ ทำให้ร่างกายของเขารางเลือน  


 


 


แต่แทบจะครู่ต่อมา ในหมอกสีดำพลันมีลำแสงสว่างวาบ ม่านหมอกหมุนวน กลายเป็นชุดคลุมยาวสีดำมะเมื่อม คลุมร่างของหานลี่เอาไว้ 


 


 


ยามนี้หานลี่พลันก้มหน้าลง ปรากฏตัวขึ้นในม่านหมอก 


 


 


กลิ่นอายของเขาหายวับไป บางเบาอย่างสุดๆ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็เผยใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยอันซีดขาวออกมา 


 


 


หานลี่พลันเปลี่ยนเสื้อผ้าและหน้าตาไปในพริบตานั้น 


 


 


หานลี่เดินออกมาจากทางเข้าด้วยสีหน้าราบเรียบไม่รีบร้อน และเฉียดผ่านไหล่ของชนต่างคนที่เข้ามาด้านในพอดิบพอดี 


 


 


ผู้พิทักษ์ชุดสีฟ้าที่รักษาการณ์อยู่ด้านนอก แค่กวาดตามองหานลี่แวบหนึ่ง ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ อีก 


 


 


หานลี่เดินเข้าไปยังวิหารอีกด้านด้วยท่าทีทระนงองอาจ 


 


 


เป็นจัตุรัสขนาดไม่เล็กเช่นกัน แต่สถานการณ์ด้านในกลับทำให้หานลี่ตกตะลึง 


 


 


ไม่เหมือนสถานที่ขายของ ที่นี่แม้จะมีคนไม่น้อยเช่นกัน แต่ล้วนรวมตัวกันอยู่ในจัตุรัสกว่าครึ่ง 


 


 


ตรงนั้นมีกำแพงหินสีเขียวความสูงสิบจั้งเศษตั้งตระหง่านอยู่ ด้านบนมีตัวอักษรสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับ ผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าเหล่านี้ล้วนล้อมอยู่ตามกำแพงหิน ทุกคนล้วนมองไปด้วยสีหน้าหลากหลาย 


 


 


และด้านหลังของกำแพงหินเหล่านี้กลับมีหอคอยหยกสูงสองสามชั้นรายล้อมอยู่ 


 


 


ทุกห้องล้วนโปร่งใส เป็นสีขาวหิมะ 


 


 


แต่ประตูของห้องเหล่านี้กลับมีลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ถูกม่านลำแสงปกคลุมเอาไว้ เปิดออกเป็นบางครั้ง 


 


 


ในหอคอยตรงใจกลาง ตัวเรือนเป็นสีแดงสด ถูกควันสีเขียวจางๆ ชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ และมีกลิ่นหอมโชยมาระลอกหนึ่ง ราวกับว่าไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น 


 


 


คนที่มุงกำแพงหินเหล่านั้นมีคนเดินเข้ามาในหอหยกเป็นบางครั้ง แต่หลังจากออกไปแล้ว บางคนก็มีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส บางคนก็มีสีหน้ากลัดกลุ้ม และบางคนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ 


 


 


หานลี่มองสถานการณ์นี้อย่างชัดเจนแล้ว ก็เดินไปยังกำแพงหินอย่างไม่ลังเลอีก 


 


 


แต่ในยามนั้นใกล้ๆ กับกำแพงหินอีกด้าน พลันมีเงาร่างคนอรชรอ้อนแอ้นหันกลับมา เปลี่ยนเป้าหมายพลางเดินไปอีกด้าน 


 


 


แววตาของหานลี่กวาดไปยังเงาร่างคนผู้นั้นตามความรู้สึก ร่างกายพลันสั่นเทา และไม่อาจควบคุมสีหน้าได้อีก 


 


 


หญิงสาวผู้นี้มีเรือนผมสีดำยาว สวมชุดคลุมยาวสีฟ้า ใบหน้างดงาม แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก และไม่พบความผิดปกติของหานลี่ เดินไปกำแพงหิน จากนั้นก็ขมวดคิ้วจ้องมองนิ่ง 


 


 


“จะเป็นเขาได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ แต่ยุทธภพนี้มีความเช่นนี้จริงๆ หรือ?”​ หานลี่หยุดฝีเท้าลง ใบหน้าพลันซีดขาว จ้องมองหญิงสาวสวมชุดคลุมสีฟ้าด้วยดวงตาไม่กระพริบตา ใช้น้ำเสียงที่ตนเองฟังออกเพียงคนเดียวเอ่ยพึมพำไม่หยุด  


 


 


หานลี่มองหญิงสาวสวมชุดคลุมสีฟ้าอย่างเสียกิริยา ดูเหมือนว่าจะทำให้หญิงสาวผู้นี้สัมผัสอะไรได้ 


 


 


จึงหันกลับไปมองตามความรู้สึก ประสานสายตากับหานลี่เข้าพอดี  

 

 

 


ตอนที่ 1592 คนประหลาด

 

ทันทีที่เห็นหานลี่จ้องเขม็งมายังตน หญิงสาวนางนั้นก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ พลันปรากฏความไม่พอใจขึ้นบนใบหน้า ทว่าเมื่อตั้งสติได้ก็ต้องตื่นตระหนกขึ้นมาอีกรอบ 


 


 


นางไม่สามารถมองเห็นคลื่นพลังวิญญาณใดแผ่ออกมาจากกายหานลี่เลยแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงรีบหันกายกลับโดยพลันด้วยความกังวลใจ 


 


 


ในตอนนั้นเอง หานลี่ก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้ในที่สุด สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ผนวกกับความรู้สึกสับสนเมื่อจ้องมองไปยังหญิงสาวนางนั้น 


 


 


หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินนางนี้ช่างเหมือนกับนางผู้นั้นที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ฟางหยิ่งผู้นั้นที่พยายามที่เขาจะไม่แตะต้องอีก จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจและลังเลขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


เฉินเฉี่ยวเชี่ยน รอยยิ้มของหญิงสาวผู้นั้นที่เคยเปิดเผยความรักต่อหน้าเขาในตอนนั้น ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในใจของเขาแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เปี่ยมล้นไปทั้งหัวใจ 


 


 


หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินนางนี้ ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ “เฉินเฉี่ยวเชี่ยน” ผู้จากไปมากนัก นอกเสียจากสีหน้าที่ดูเย็นชาไปเสียหน่อยนั้น ส่วนอื่นล้วนเหมือนราวกับเป็นคนเดียวกัน ราวกับว่าหญิงสาวผู้นี้ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ 


 


 


ตอนนั้นเมื่อหานลี่ได้ฟังข่าวการจากไปของหญิงสาวผู้นี้ แม้ท่าทีของเขาจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับประเดประดังไปด้วยความเศร้าโศกอย่างยากจะอธิบาย 


 


 


แม้จะไม่ได้คบหากัน แต่เพียงเป็นผู้ชายคนหนึ่งกับหญิงสาวที่เคยชอบแล้ว ย่อมต้องมีความรู้สึกซับซ้อนยากบรรยายบ้างเป็นธรรมดา 


 


 


ทว่าเป็นไม่ได้ที่เฉินเฉี่ยวเชี่ยนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งยังไม่อาจกลับมาเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ได้อีก แม้หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินนั้นจะเหมือนนางมากเพียงใด ก็เป็นได้เพียงแค่หญิงสาวต่างเผ่าคนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


ความคิดของหานลี่หมุนไปอย่างรวดเร็ว แม้จิตใจจะฟุ้งซ่านเพียงใดก็ต้องฝืนบังคับให้มันสงบลงให้ได้ หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ทำตามแผนเดิมที่วางไว้เดินมุ่งไปยังกำแพงหินนั้นเช่นเดิม 


 


 


แม้หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินจะไม่ได้หันกลับมา แต่ราวกับว่าเธอมีจิตสัมผัสสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง เธอขมวดคิ้วแล้วเคลื่อนกายออกไปจากจุดเดิม 


 


 


ทว่าหานลี่ก็ไม่ได้เกรงใจ สาวเท้าเดินดุ่มออกไปสองสามก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้น 


 


 


แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้หันกายกลับไปมอง เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาของหญิงสาวในชุดคุลมยาวสีน้ำเงินที่จับจ้องมาที่หลังของเขา จากนั้นเขาก็รีบก้าวเดินไปยังกำแพงหินอีกก้อนที่อยู่ห่างออกไป 


 


 


ดูไปแล้วหญิงสาวนางนี้น่าจะอายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปีได้ เธอคงจะมองเขาเป็นพวกเจ้าชู้ลุ่มหลงกับความงามของเธออยู่เป็นแน่ 


 


 


หานลี่สงบอารมณ์ขบขันภายในใจแล้วหันความสนใจไปยังกำแพงหินที่อยู่เบื้องหน้า 


 


 


อักษรสีเงินที่อยู่บนกำแพงหินนั้นเป็นไปตามที่เขาคาด ทั้งหมดล้วนเป็นรายชื่อของสิ่งของมีค่าต่างๆ แต่แปลกตรงที่ว่า สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้ระบุราคาขาย มีเพียงตัวเลขจากหนึ่งถึงสิบสามอยู่ด้านหลังของสิ่งของเท่านั้น 


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นแล้วหัวใจพลันกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาในทันใด พลางเลื่อนสายตามองไปไกลๆ 


 


 


เพียงเห็นศาลาหยกที่รายล้อมรอบหอแดงเหล่านั้นมีสิบสามหลังเหมือนกัน ทั้งส่วนยอดของศาลาแต่ละหลังยังมีตัวเลขสีทองลอยเคว้งในอากาศอยู่ 


 


 


เห็นเช่นนี้แล้วหานลี่ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดถึงได้เขียนตัวเลขเอาไว้ด้านหลังของสิ่งของบนกำแพงเหล่านั้น 


 


 


เขาไม่รีบร้อนอะไร หันไปพินิจดูกำแพงหินนั้นอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังกำแพงหินถัดไปโดยไม่หันกลับมามอง 


 


 


ด้วยความเร็วในการกวาดสายตาของหานลี่ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถมองเห็นกำแพงหินเกือบทั้งหมดได้ในปราดเดียว 


 


 


ทว่าใบหน้าของเขากลับนิ่งเฉยราวกับยังไม่พบเป้าหมายที่เหมาะสม จึงค้นหาต่อไปอย่างเงียบๆ 


 


 


ในตอนนั้นเองเสียงอึกทึกกึกก้องก็ดังออกมาจากหอแดงที่อยู่ตรงกลาง ตามด้วยเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวผิดปกติเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากข้างใน 


 


 


“อะไรกัน ท่านอาวุโสฉง ท่านหาว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของปลอมงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ ข้าทุ่มเทอย่างหนักจนเกือบไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกพญาครุฑสีทองเพื่อพวกมัน” 


 


 


“พล่ามอะไรอยู่ได้ ของปลอมจะเป็นของจริงได้อย่างไรกัน หากเป็นของจริงมีหรือข้าจะปฏิเสธมัน ในเมื่อของก็ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วเชิญชิวเต้าโหย่วกลับไปเสียเถอะ” เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังแว่วออกมาจากชั้นบนอย่างไม่ใส่ใจ 


 


 


“ข้าต้องนอนในถ้ำอยู่เจ็ดแปดปีเพื่อของพรรค์นี้ สุดท้ายมันกลับเป็นของปลอม อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าคนที่บอกข้อมูลข้าเชียวนะ มิเช่นนั้นข้าจะคว้าหัวมันโดยไม่รีรอเลย” 


 


 


คนแรกที่พูดนั้นเสียงดั่งสนั่นบวกกับอารมณ์ที่เดือดดาล เสียงที่เปล่งออกมาจึงแฝงไปด้วยพลังวิญญาณโดยไม่รู้ตัว เมื่อดังออกไปภายนอก เกือบทุกคนจึงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน 


 


 


ทว่าผู้คนกว่าครึ่งที่นี่ล้วนไม่ใช่ชาวนครเมฆา ชั่วขณะที่ประหลาดใจอยู่นั้น จึงอดมิได้ที่จะหันมามองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก 


 


 


ทันใดนั้นเองแสงสีแดงก็สว่างวาบขึ้นจากห้องใต้หลังคาสีแดง เงาร่างใหญ่ยักษ์สูงสามจ้างโผล่พรวดออกมาจากแสงสีแดงนั้น ร่างนั้นโงนเงนอยู่ชั่วครู่ก็ร่วงลงบนพื้นใกล้ๆ นั้น 


 


 


เกิดเสียงดังขึ้นโครมหนึ่ง พื้นดินถึงกับสั่นไหวด้วยแรงกระแทกนั้น ร่างใหญ่โตนี้ดูจะหนักอย่างน่าประหลาด 


 


 


ผู้คนกว่าครึ่ง ณ ลานกว้างอดไม่ได้ที่จะมองตามกันไปในคราเดียว 


 


 


ส่งผลให้ผู้คนต่างต้องสูดหายใจเข้ากันดังเฮือก 


 


 


คนผู้นี้ตั้งแต่ศีรษะลงไป มีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นกล้ามเนื้อ ครึ่งหนึ่งคือโลหะ 


 


 


ครึ่งที่เป็นโลหะนั้นมีสีดำเทาเป็นเงาวาว สะท้องแสงสีเทาประหลาดออกมา ส่วนร่างอีกครึ่งหนึ่งเป็นผิวคล้ามแดด ดูราวกับว่าทั้งร่างจะไม่อาจแยกจากกันได้ 


 


 


เมื่อมองขึ้นไปปรากฏใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้ม ไม่เพียงจมูกและดวงตาที่ใหญ่กว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า ยังมีศีรษะเป็นทรงกรวยแหลมและปอยผมอยู่ประปราย  


 


 


เมื่อหานลี่กวาดสายตามองไปบนร่างของคนประหลาดผู้นั้น พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้ คนผู้นี้บำเพ็ญเพียรจนไม่อาจวัดได้ว่ามีระดับพลังมากน้อยเพียงใด จัดอยู่ในระดับเดียวกันกับเชียนจีจื่อเลยทีเดียว 


 


 


แม้ว่าหานลี่จะจำคนประหลาดผู้นี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชาวต่างเผ่าเหล่านี้จะไม่รู้จักเขากันหมด 


 


 


ดูเหมือนว่าทันทีที่คนประหลาดผู้นี้ร่วงหล่นลงสู่พื้น ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ใกล้เคียงก็มีเหล่าลูกกะจ๊อกนับสิบคนรีบกรูกันเข้าไปกราบไหว้คนประหลาดผู้นั้นด้วยความเคารพอย่างน่าประหลาดใจ 


 


 


“คารวะท่านลูกพี่ต้วน” 


 


 


“คารวะท่านลูกพี่สาม” 


 


 


เสียงทักทายดังออกมาจากปากของผู้คนเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย  


 


 


รูปร่างของผู้คนเหล่านี้ล้วนใหญ่โตกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก พวกเขาล้วนเป็นชาวเผ่าดักแด้ศิลา คนประหลาดผู้นี้เป็นถึงผู้อาวุโสแถวหน้าของเผ่าดักแด้ศิลา  


 


 


“โอ้ พวกท่านก็มาร่วมงานประมูลนี้กันด้วยรึ หวังว่าพวกท่านจะได้อะไรกลับไปบ้าง ข้าได้ของปลอมมาคงไม่มีอารมณ์จะเข้าร่วมงานนี้แล้ว” คนประหลาดผู้นั้นกวาดสายตามองผู้คนที่เข้ามาทักทายปราดหนึ่ง พลันโบกมือไปมาก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป 


 


 


ทุกหนแห่งที่เขาเดินผ่านผู้คนใกล้เคียงต่างก็รีบหลีกทางให้ด้วยความยำเกรงกันถ้วนหน้า 


 


 


ประจวบเหมาะกับทิศทางที่ชายร่างใหญ่เดินมานั้นผ่านทางที่หานลี่กำลังยืนอยู่พอดี หานลี่เห็นเช่นนั้นก็ถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้คนประหลาดผู้นี้ผ่านทางไป 


 


 


แต่ทันใดนั้นหัวใจของหานลี่ก็กระตุกวูบ 


 


 


วินาทีที่คนประหลาดผู้นั้นก้าวผ่านหานลี่ไปจู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก จมูกใหญ่กระตุกขึ้นในทันใดตามมาด้วยใบหน้าเหลือเชื่อที่หันขวับมาจ้องเขม็งที่หานลี่ 


 


 


ฉากอันน่าประหลาดใจเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้คนโดยรอบตะลึงงันเป็นธรรมดา สายตาจำนวนไม่น้อยจึงจับจ้องมาที่หานลี่ เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


“ไม่ทราบผู้อาวุโสท่านนี้มีอะไรจะสั่งสอนกับข้าหรือไม่” ในขณะที่หานลี่แอบคิดว่าท่าไม่ดีแล้วและยังสับสนอยู่ เขาก็ทำความเคารพพร้อมกับเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม 


 


 


“เจ้าชื่ออะไร เป็นคนเผ่าไหน” หานลี่ไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายไหนเลยจะกล้าบอกชื่อจริงของตัวเองออกไป จึงทำได้เพียงตอบไปยังคลุมเครือ 


 


 


“ดี ดีมาก! ข้าต้วนเทียนเหริ่นแห่งเผ่าดักแด้ศิลา ต่อไปหากเจ้าพบเจอเรื่องลำบากอันใดในเทียนอวิ๋น เจ้าสามารถเอ่ยชื่อข้าออกไปได้เลย”  


 


 


ไม่รู้ว่าคนประหลาดผู้นี้ทันได้ยินสิ่งที่หานลี่พูดหรือไม่ ฉับพลันเงาร่างนั้นก็เลือนรางแล้วก็หวนกลับคืนสู่สภาพเดิม 


 


 


ท่าทางของหานลี่เปลี่ยนไปในทันที  


 


 


เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนชั่วเสี้ยววินาทีที่หัวไหล่ของเขาถูกอีกฝ่ายซึ่งเป็นคนประหลาดยกขึ้นตบเบาๆ แม้เขาจะมีความสามารถอ่านใจและพลังเหนือธรรมชาติติดตัว และสามารถจับทางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ แต่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน เร็วจนร่างกายเขาไม่สามารถขยับหลบได้ทัน 


 


 


พลังประหลาดส่งผ่านฝ่ามือของอีกฝ่ายมาสู่แขนของเขา แล้วก็สลายไปเองหลังจากที่ไหลเวียนไปทั่วแขนของเขา 


 


 


“ผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร” หานลี่ใบหน้าซีดเผือดลงเล็กน้อย 


 


 


ภาพที่ชายร่างใหญ่ตบไหล่หานลี่เมื่อครู่มีชาวต่างเผ่าที่อยู่ที่นี่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็น ในสายตาของคนจำนวนมากการที่หานลี่ถามต่อคนประหลาดเช่นนี้ดูน่าประหลาดอยู่เล็กน้อย  


 


 


เมื่อเผชิญกับคำถามที่หานลี่ถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น คนประหลาดก็กวาดสายตาอันคมกริบดั่งใบมีดไปที่หานลี่ปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาโดยไม่มีเค้าความโกรธเคืองแม้แต่น้อย 


 


 


“ไม่มีอะไร ข้าเห็นว่าสหายเองก็ดูเหมือนจะฝึกฝนร่างกายอยู่เหมือนกัน ทั้งยังยอดเยี่ยมอยู่ไม่น้อยจึงอยากแลกเปลี่ยนวิชากับสหายผู้เก่งกาจสักหน่อยเท่านั้นเอง”  


 


 


หานลี่ถูกสายตาของคนประหลาดกวาดมองก็รู้สึกว่าใบหน้าอันว่างเปล่าของตนนั้นเจ็บขึ้นมาเสียอย่างนั้น อดที่จะตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


แม้ว่าเขาจะใช้ผ้าโปร่งดำผืนนั้นประสานกับเคล็ดวิชามายาเพื่อปกปิดใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็ช่างแตกต่างจากพลังของอีกฝ่ายอยู่มากนัก หรือว่าจะปกปิดอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ ใจเขาหวั่นไหวขาดความมั่นใจขึ้นมา 


 


 


ทว่าหานลี่ย่อมไม่เชื่อเรื่องการแลกเปลี่ยนวิชาที่อีกฝ่ายกล่าวมาอย่างแน่นอน หนำซ้ำอีกฝ่ายเพิ่งตบเขาไป นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ 


 


 


สีหน้าหานลี่หม่นหมองลง ความคิดหมุนเร็วจี๋ จนปัญญาที่จะนึกว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงพุ่งตรงมาหาเขา 


 


 


เขาพบคนประหลาดผู้นี้เป็นครั้งแรกแท้ ๆ 


 


 


“เจ้าหนุ่มน้อย อย่าคิดเลอะเทอะไปประเดี๋ยวข้าจะรอเจ้าอยู่ที่หอ ‘ฉุนเซียง’ ฝั่งตรงข้าม อย่าได้มีความคิดแอบหนีไปไหนเชียวล่ะ พลังเมื่อสักครู่นั่นน่ะแม้ข้าจะไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่ที่อยู่ในกายเจ้า ณ เวลานี้ก็นับว่าข้าสามารถสะกดเจ้าเอาไว้ได้แล้ว” เสียงของคนประหลาดแว่วอยู่ข้างหูของหานลี่ 


 


 


หลังจากนั้นชายร่างใหญ่ก็ไม่อธิบายสิ่งใดต่อไปอีก เขาหัวเราะร่าเสียงดังแล้วก็หมุนกายจากไป  


 


 


ครู่หนึ่งก็เดินจากลานกว้างไปแล้วเดินเข้าไปยังปากทางเข้า 


 


 


ณ ที่เดิมนั้นเหลือเพียงหานลี่ที่มีสีหน้าตื่นตระหน กับฝูงชนที่ต่างก็ทำสีหน้าประหลาดอยู่ไม่น้อย 


 


 


หานลี่ ณ วินาทีนี้จิตใจไม่สงบสุข ไม่อาจสงบจิตใจลงได้แม้แต่น้อย 


 


 


เมื่อเขาเลื่อนสายตาขึ้นก็ปะทะกับสายตาอันหลากหลายของผู้คนที่รายล้อม ก็อดสบถอยู่สองสามคำในใจมิได้ เขารีบหมุนตัวกลับแล้วก็เดินไปยังปากทางเข้า  

 

 

 


ตอนที่ 1593 สุราวิญญาณเก้าหอม

 

 


 


 


หลังจากที่เดิมหานลี่วางแผนว่าจะนำสมุนไพรวิญญาณในมือไปขายอย่างเงียบ ๆ เพื่อรวบรวมศิลาวิญญาณ 


 


 


ยามนี้เมื่อคนประหลาดมาก่อกวน แน่นอนว่าไม่อาจทำเรื่องนี้โดยที่ถูกจับจ้องอยู่ได้ 


 


 


ดังนั้นเมื่อเขาคิดตกจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปในทันที 


 


 


หานลี่เดินออกมาจากวิหารด้านข้างที่ดูเงียบสงบ และมาถึงด้านหน้าหอประมูลที่จอดรถเทียมอสูร จากนั้นก็มองไปฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


ตอนที่มาเมื่อครู่ เขาไม่ได้สังเกตอะไรอย่าง ‘หอฉุนเซียง’ ยามนี้เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด ก็มีสถานที่เช่นนี้อยู่จริง ๆ 


 


 


หอแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่แทบจะอยู่ตรงข้ามกับหอประมูล ตึกสูงสามชั้น ทั้งประตูของหอยังมีแผ่นป้ายรูปมังกรเหินและหงส์เริงระบำแขวนอยู่ 


 


 


ทว่าหานลี่สังเกตเห็นว่า ที่นี่ต่างกับบรรยากาศความคึกคักของสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในโดยรอบเป็นอย่างมาก ประตูของหอเงียบสงัดอยู่นานโดยไม่มีผู้คนเข้าออก 


 


 


คนประหลาดนามต้วนเทียนเหริ่นผู้นั้นอยู่ในหอแห่งนี้สินะ! 


 


 


หานลี่ครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ รู้สึกลังเลอยู่ในใจ งานประมูลยังต้องรออีกครู่หนึ่งถึงจะเริ่มขึ้น ส่วนเขาหากยังไม่แน่ใจว่าตัวประหลาดเผ่าดักแด้ศิลามีเจตนาใดกับเขา เกรงว่าเขาคงไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องนี้ 


 


 


ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วมองมันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 


 


 


ผิวหนังสีดำสนิทราวหยดหมึก นั่นก็คือฝ่ามือที่ผสานภูเขาจิตสัมผัสเข้าไปของเขา 


 


 


หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


แม้ว่าเมื่อครู่ต้วนเทียนเหริ่นจะปกปิดพลังสุดความสามารถ แต่ภายใต้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณของเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมาที่แขนเสื้อข้างนี้ของเขาได้อยู่ไม่น้อย 


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝ่ามือ หรือแขนทั้งข้างที่ดึงดูดความสนใจของเขา 


 


 


หากเป็นอย่างแรก คงเป็นเพราะสนใจในภูเขาจิตสัมผัส หากเป็นอย่างหลัง…  


 


 


หานลี่พลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง! 


 


 


เมื่อนึกถึงแขน หานลี่ก็ชูแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วลูบไปบนแขนเสื้อของเขา 


 


 


แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกผิดปกติ ทว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬที่กลายเป็นกระบี่ยาวชิ้นนั้น ก็ถูกผนึกเอาไว้ในนี้จริง ๆ  


 


 


หรืออีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกระบี่เล่มนี้ 


 


 


หานลี่ครุ่นคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ 


 


 


แม้ว่ายามนี้เขาจะยังไม่รู้ว่าเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณเหินต้องถูกลากเข้ามาพัวพันเพราะสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนี้ก็ตาม และมีเผ่าเล็ก ๆ ที่ต้องโชคร้ายเพราะเหตุนี้ถูกสังเวยไป แต่พลานุภาพของกระบี่เล่มนี้เขาก็สัมผัสมาด้วยตาของตนเอง แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าหากวันหนึ่งตนสามารถควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้จริง ๆ มันก็เพียงพอจะทำให้เขาไร้เทียมทานในแดนวิญญาณได้แล้ว 


 


 


ดังนั้นแม้จะเคยใช้กระบี่เล่มนี้ไปเพียงครั้งเดียว ทว่ามันก็เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดรองจากขวดลึกลับของเขาแล้ว มันสำคัญยิ่งกว่าแมลงกลืนทองที่โตเต็มวัยเสียอีก 


 


 


ทว่าความเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสเผ่าดักแด้ศิลาผู้นี้จะมองออกว่าในร่างของเขามีสมบัติสวรรค์ทมิฬนั้นก็มีไม่มาก มิเช่นนั้นคงถูกเฉียนจีจื่อมองออกในแวบแรกไปแล้ว 


 


 


หากสมบัติสวรรค์ทมิฬไม่ถูกกระตุ้น แม้มันจะอยู่ในแขนของเขาเอง ทว่าแม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้  


 


 


แน่นอนว่านี่ไม่ได้ยกเว้น หากอีกฝ่ายฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เหนือชั้นอะไรมา จนสัมผัสอะไรได้จริง ๆ 


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้เขาก็ไม่อาจต่อกรกับระดับหลอมร่างขั้นสุดยอดคนหนึ่งได้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้ผนึกพลังวิญญาณเอาไว้ในร่าง ทว่าคิดจะหนีในเมืองเมฆาที่ถูกรักษาการณ์อย่างแน่นหนาในตอนนี้ ก็เป็นไปไม่ได้นัก ไม่ว่าจะเป็นโชคร้ายหรือดี ก็ทำได้เพียงต้องดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน 


 


 


ฟานลี่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สาวเท้ายาว ๆ ไปยังหอฉุนเซียง  


 


 


โชคดีที่แม้ว่าอีกฝ่ายจะสนใจสมบัติสวรรค์ทมิฬจริง ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมีอันตรายถึงชีวิตในทันที 


 


 


เมื่อหานลี่ก้าวเข้ามาที่ประตูหอฉุนเซียงอย่างจนปัญญา ก็มีเด็กหนุ่มเผ่าผลึกหน้าตาหมดจดคมคายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างฝั่งในประตู 


 


 


เมื่อเห็นหานลี่เข้ามา ชนต่างเผ่าระดับหลอมรวมผู้นี้ก็เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“ผู้อาวุโสลี่ ผู้อาวุโสต้วนรออยู่ในห้องแขกพิเศษหมายเลขสี่นานแล้วขอรับ ผู้อาวุโสโปรดตามผู้น้อยมา” คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะกล่าวเช่นนี้ 


 


 


“นำทางไปเถิด!” หานลี่กวาดตาไปที่ชั้นลอยชั้นหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาพลางพยักหน้า 


 


 


ห้องโถงตรงหน้าว่างเปล่า โล่งไม่มีสิ่งใด มีเพียงกำแพงสี่ด้านที่ดูไม่ออกว่าใช้วัสดุใดสร้างขึ้น กำลังส่องประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ 


 


 


เด็กหนุ่มเผ่าผลึกเอ่ยตอบรับ ทันใดนั้นก็เดินไปทางบันไดด้านข้าง โดยมีหานลี่เดินตามเขาไป 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง หานลี่ก็มาอยู่ที่ชั้นสามของหอคอย และถูกพาไปยังหน้าห้องที่มีแสงสีทองปกคลุมอยู่ 


 


 


เด็กหนุ่มเผ่าผลึกหยุดฝีเท้าลง มือหนึ่งร่ายอาคมผายไปทางประตูห้องอีกครั้ง 


 


 


ทันใดนั้นลำแสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็เบี่ยงกายยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในประตูก็มีเสียงพูดดังขึ้น 


 


 


“มาแล้วก็เชิญเข้ามาด้านในเถิด” 


 


 


หานลี่ได้ยินเสียงนี้ กลับตกตะลึง เผยสีหน้าประหม่าระคนสงสัยออกมา 


 


 


น้ำเสียงนี้สงบและเบาหวิว คาดไม่ถึงว่าเป็นเสียงของอิสตรี 


 


 


แต่ในยามนั้นเอง ลำแสงสีทองเบื้องหน้าพลันแยกตัวออก พลันพลิ้วไหวประตูก็เปิดออกอย่างช้า ๆ 


 


 


หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเดินเข้าไป 


 


 


ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ลำแสงสีทองก็ผสานเข้าหากัน 


 


 


“คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง!” หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปในห้อง สองมือก็ประสานกันคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


ห้องนี้มีขนาดสิบจั้งเศษ ในห้องถูกตกแต่งอย่างโบราณ โดยมีคนสองคนนั่งประจันกันอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่ง 


 


 


คนหนึ่งคือต้วนเทียนเหริ่น อีกคนเป็นหญิงงามเผ่าผลึกอายุประมาณสามสิบปีเศษ และอยู่ในระดับหลอมร่างขั้นต้นเช่นกัน 


 


 


ดูแล้วผู้ที่เอ่ยต้อนรับหานลี่เมื่อครู่ คงเป็นสตรีผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


“สหายลี่สินะ ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด” ฮูหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ 


 


 


ส่วนต้วนเทียนเหริ่นในยามนี้กลับคว้ากาสุราสีชมพูดบนโต๊ะมากรอกเข้าปาก เพียงเหลือบสายตามองหานลี่ โดยไม่มีท่าทีจะหยุดการกระทำแม้แต่น้อย 


 


 


ไม่รู้ว่าในกาสุรานั้นบรรจุสุราชนิดใด ทว่าแม้หานลี่จะเป็นคนไม่ค่อยดื่มสุรา ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ที่โชยออกมา! 


 


 


ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปาก หานลี่ก็มิได้เกรงใจนัก หลังจากคารวะอีกรอบก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ใกล้กัน 


 


 


ยามนี้ดวงตาคู่งามของหญิงงามก็กวาดมองเรือนร่างของหานลี่ 


 


 


หานลี่กลับสังเกตเห็นว่าเมื่ออีกฝ่ายกวาดสายตามาถึงแขนเสื้อของเขา สายตาแทบจะหยุดชะงักโดยแล้วก็เลื่อนสายตาออกไปในทันที 


 


 


ดูเหมือนว่าต้วนเทียนเหริ่นคงบอกอะไรกับสตรีผู้นี้ไปแล้ว  


 


 


หานลี่ลอบขมวดคิ้ว รู้สึกว่าปัญหานี้เล็กน้อยมาก เผ่าผลึกเป็นผู้ที่ชาญฉลาดมาก ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับหลอมร่างได้ ยิ่งเป็นเหมือนกับปีศาจนางมารก็ไม่ปาน 


 


 


หากคิดจะหลอกหลวงพวกนาง เกรงว่าจะมิใช่เรื่องง่าย 


 


 


“เอาล่ะ คนก็มาแล้ว เรื่องที่ควรบอกก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว จากนี้จะทำเช่นไร ก็ต้องดูที่เซียนไฉ่แล้ว ผู้แซ่ต้วนไร้การศึกษา คร้านจะใช้สมอง ทว่าสุดท้าย ข้าต้องได้มากกว่า” ต้วนเทียนเหริ่นกระดกสุรารวดเดียวจนหมด วางกาสุราลงด้านข้างแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดปาก  


 


 


“เหตุใดพี่ต้วนต้องใจร้อนเพียงนั้น! ข้าเพียงได้ยินสหายพูดมา เป็นความจริงหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์กันก่อน” หญิงงามเผ่าผลึกฉีกยิ้มเบิกบาน 


 


 


“แล้วแต่ท่านเซียนเลย อย่างไรเสียผู้อาวุโสก็ทดสอบมาด้วยตัวเองแล้ว เป็นของสิ่งนั้นไม่ผิดแน่ จริงสิ สุราเก้าหอมของท่านเลิศรสมาก ขอให้ผู้แซ่ต้วนอีกสักกาเถอะ” ต้วนเทียนเหริ่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เขย่ากาสุราไปมา เผยท่าทางโลภมากจนน้ำลายหยดออกมา  


 


 


“พี่ต้วนทำหอฉุนเซียงของข้าเป็นโรงเตี๊ยมไปแล้วจริง ๆ สุราวิญญาณเก้าหอมนี้ร้อยปีถึงจะหมักได้สิบกว่าไห วันนี้ท่านดื่มรวดเดียวไปสามกา ครั้งหน้าที่ท่านมา ข้าคงต้องเอาสุราวิญญาณธรรมดามาต้อนรับแล้ว” หญิงงามแซ่ไฉ่มองต้วนเทียนเหริ่นแวบหนึ่ง ทว่าสุดท้ายในมือก็เปล่งแสงสว่างวาบ พลันไหสุราสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นในมือ แล้วหยัดกายลุกขึ้นเติมสุราให้ต้วนเทียนเหริ่นอีกหนึ่งกา 


 


 


“ฮ่า ๆ นั่นก็เพราะในเมืองเมฆามีเซียนเพียงผู้เดียวที่หมักเหล้าชนิดนี้ได้ ผู้แซ่ต้วนเคยขอวิธีการหมักกับท่านไปหลายครั้งหลายครา น่าเสียดายนักที่ท่านเซียนหวงแหนมันเกินไป ผู้ใดก็แปลกใจ ทั้งที่ตัวท่านเซียนเองก็ดื่มสุราไม่ได้ ทว่ากลับหมักสุราที่เลื่องชื่ออันดับหนึ่งของเมืองเมฆา” ต้วนเทียนเหริ่นยกกาสุราขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง ถึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น 


 


 


“สุราอันดับหนึ่งของเมืองเมฆา เป็นเพียงสิ่งที่สหายให้ความกรุณาเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็มิใช่ใจแคบ ทว่าวิธีหมักสุรานี้เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญเพียรของข้า ต่อให้ข้ามอบให้ สหายก็ไม่อาจหมัก ‘สุราวิญญาณเก้าหอม’ ได้อยู่ดี” หญิงงามเอามือเรียวปิดปาก แล้วตอบกลับอย่างด้วยรอยยิ้ม 


 


 


ต้วนเทียนเหริ่นได้ฟังคำตอบ ก็หัวเราะหึ ๆ ดื่มสุราต่อไป ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก 


 


 


หญิงงามกลับพลิกฝ่ามือ หยิบจอกสุราสีทองขนาดเท่ากำปั้นออกมา นางเทสุราในไหลงไปจนเต็ม แล้วผลักไปทางหานลี่เบา ๆ 


 


 


ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีเขียวห่อหุ้มจอกสุรา แล้วค่อย ๆ เลื่อนมาหาหานลี่ช้า ๆ 


 


 


“สหายลี่มาถึงที่นี่ได้ นับเป็นวาสนาของข้า มิสู้ลองชิมสุราวิญาณเก้าหอมเสียหน่อยเล่า” หญิงงามรอจนหานลี่รับจอกสุราไปตามจิตสำนึก ถึงได้หัวเราะคิกคักออกมา 


 


 


“ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ประทานสุราให้ขอรับ!” หานลี่เอ่ยขอบคุณ ทว่าไม่ได้ดื่มหมดในรวดเดียว แต่กลับจ้องมองภายในจอกสุราสีทองชั่วแวบหนึ่ง 


 


 


ของเหลวที่มีความหนืดและแวววาวนามว่า ‘สุราวิญญาณเก้าหอม’ ภายนอกมีสีชมพูอ่อน สะท้อนกับจอกสุราสีทอง งดงามแพรวพราวราวกับทะเลสาบหินโมรา 


 


 


ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่เพียงสูดดมกลิ่นหอมประหลาดที่กำจายออกมาจากจอกสุราเข้าไปเล็กน้อย กลิ่นนั้นก็เปลี่ยนไปหลากหลายชนิดในทันควัน ช่างน่าอัศจรรย์นัก! 


 


 


“สุราของข้าไม่เพียงมีกลิ่นที่หอมหวน ทว่าเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้สายตาชัดเจน ตัวเบา ทุก ๆ อึกสามารถลดทอนเวลาการบำเพ็ญเพียรได้” หญิงงามเอ่ยออกมาเสียงเรียบหลังกลอกตาไปมา 


 


 


“สุรามหัศจรรย์เช่นนี้ นับว่าผู้น้อยวาสนาดีไม่น้อย” หานลี่ในยามนี้มั่นใจแล้วว่าในสุราไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ยกลิ้มรสไปอีกอึกหนึ่งโยไม่ลังเล 


 


 


ราวกับน้ำแข็งเย็นเยียบไหลเข้าปาก แต่เมื่อน้ำแข็งละลายก็พลันเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น นุ่มนวล หอมหวนสุดจะเปรียบ 


 


 


กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ก็ไหลผ่านลำคอไปสู่ท้อง หานลี่แทบไม่ต้องกลืนลงไปเองเลยด้วยซ้ำ  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)