พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1585-1588

บทที่ 1585 ระบายอารมณ์

 

พอพูดถึงตรงนี้ หยางชิ่งก็ต้องถอนหายใจอย่างสะท้อนใจ “ตระกูลโค่วช่างวางแผนเก่งจริงๆ!”


เมื่อพูดมาแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ยอมรับว่ากำลังพลเหลือรอดหนึ่งหมื่นที่ถูกจับแยกออกไป เมื่อตนเห็นแล้วก็คงจะเรียกชื่อได้ไม่กี่คน แต่พอเขานึกถึงคำพร่ำสอนที่อ่อนโยนมีเมตตาของโค่วหลิงซวีก่อนหน้านี้ ก็ยังทำใจยอมรับได้ยากว่าอีกฝ่ายจะวางกับดักกับตน “ตระกูลโค่วคิดได้แบบนี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะคิดบ้างไม่ได้ เป็นไปได้มั้ยว่าจะมีคนอื่นเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง?”


หยางชิ่งได้ยินแล้วอึ้งทันที ในแววตาสื่ออารมณ์ที่หลากหลายปนกัน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบเหมียวอี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหมียวอี้มีอีกด้านหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถยอมรับได้ นั่นก็คือมีคุณธรรมน้ำมิตร และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขามั่นใจว่าเหมียวอี้ไม่มีทางทรยศลูกสาวของเขาง่ายๆ


เขามองออกว่าเหมียวอี้เพิ่งจะได้รับน้ำใจไมตรีจากตระกูลโค่ว พอมาถูกวางแผนใส่อีกก็เลยทำใจยอมรับได้ค่อนข้างยาก แต่ยามเผชิญหน้ากับความจริง เขาก็ไม่อาจละเลยที่จะเตือนเหมียวอี้ “มีความเป็นไปไม่ได้จริงๆ ว่าจะมีคนอื่นเล่นตุกติก แต่เกรงว่าคนที่สามารถควักกำลังทรัพย์มาจ่ายให้กำลังพลหนึ่งหมื่นได้ในรวดเดียวคงจะมีไม่เยอะขนาดนั้น อีกทั้งเวลาในการสนับสนุนทรัพยากรก็ไม่ใช่แค่ปีสองปี ดูจากแนวโน้มแล้วก็คือเตรียมตัวจะสนับสนุนทรัพยากรต่อไปในระยะยาว แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? แบบนี้เท่ากับเลี้ยงกำลังพลหนึ่งหมื่นเอาไว้ส่วนตัว เมื่อวันเวลาผ่านไปนานๆ เข้า คนที่ทนรับไว้ก็มีไม่เยอะ และคนที่เฝ้ารออย่างช้าๆ โดยไม่สนใจผลประโยชน์ตรงหน้า ทั้งยังกล้ายื่นมือเข้ามาในกองทัพองครักษ์ก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว ในใต้หล้าไม่มีใครแล้วนอกจากคนพวกนั้น และจุดประสงค์ที่คนพวกนี้สนับสนุนทรัพยากรก็ไม่ได้ใช่อะไร เพราะเห็นอิทธิพลที่นายท่านมีต่อคนพวกนี้ จะรักษาอิทธิพลที่นายท่านมีต่อคนพวกนี้ให้คงอยู่ต่อไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นายท่านออกหน้าขอแรงคนกลุ่มนั้น เงื่อนไขทุกอย่างก็จะมาบรรจบกันพอดี มีเพียงสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือกเท่านั้น ถึงได้นำการสนับสนุนทรัพยากรมาขู่ให้คนพวกนั้นยอม ดังนั้นเมื่อนายท่านอยู่ในมือใคร ถึงจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าคนนั้นใช้ประโยชน์จากจุดนี้ คนอื่นๆ เกรงว่าคงจะไม่คิดไปทางด้านนี้ เพราะไม่มีใครกล้ารับประกันว่าลูกน้องเก่าของนายท่านจะถามนายท่านรวมทั้งเปิดเผยเรื่องนี้หรือเปล่า ถึงอย่างไรผู้ที่เกี่ยวข้องก็มีเยอะมาก แต่ตระกูลโค่วไม่กลัว ต่อให้นายท่านรู้แล้วถามถึง ตระกูลโค่วก็สามารถยอมรับได้อย่างตรงไปตรงมา แล้วจะบอกว่าช่วยนายท่านรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้นายท่านซาบซึ้งใจอีกด้วย”


ในใจเหมียวอี้รู้สึกสับสน เสียความรู้สึกมาก กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “บังอาจมาวางแผนกับข้าแบบนี้!”


หยางชิ่งถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้านายท่านคิดแบบนี้ก็ถือว่ารุนแรงไปหน่อย ระดับตระกูลโค่วแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่มีทางรอให้เรื่องจวนตัวแล้วค่อยกอดเท้าพระพุทธรูปหรอก จะต้องมีการเตรียมการในระยะยาวอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กระตือรือร้นดึงตัวตอนที่นายท่านยังมีตำแหน่งระดับนี้ จะบอกว่าวางแผนทำร้ายก็ได้ จะบอกว่าใช้ประโยชน์ก็ได้เช่นกัน นายท่านลองเลี่ยนมุมมองคิดดูก็ได้ ในเมื่อในท่านมองเรื่องนี้ออกแล้ว ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็ได้ อย่าให้ตระกูลโค่วรู้ มีคนจงใจจ่ายเงินเพื่อสร้างสัมพันธ์ให้นายท่านอยู่เบื้องหลัง นี่เป็นเรื่องดี ตอนสุดท้ายก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะใช้ประโยชน์ใครกันแน่ กำลังพลหนึ่งหมื่นคนนี้กระจายกันอยู่ในแต่ละหน่วยของกองทัพองครักษ์ ต้องมีคนประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนดึงตัวไปอยู่กับกำลังพลท้องถิ่นเพื่อพัฒนาให้เติบโตต่อไปก็ได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตนายท่านอาจจะได้ใช้ประโยชน์”


เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที ถามว่า “แต่พวกเขาโดนตระกูลโค่วบีบจุดอ่อยไว้หมดเลยนะ”


หยางชิ่งตอบว่า “จุดอ่อนนี้เหมือนดาบสองคม ตราบใดที่นายท่านยังไม่ล้ม ตระกูลโค่วก็จะไม่กล้าเปิดเผยจุดอ่อนนี้ง่ายๆ ตำหนักสวรรค์ไม่ได้โง่เสียหน่อย ด้วยศักยภาพของนายท่าน สามารถเลี้ยงคนได้มากขนาดนั้นเชียวเหรอ? ใครกำลังยื่นมือเข้าไปแทรกแซงกองทัพองครักษ์ ตำหนักสวรรค์มองราดเดียวก็เข้าใจหมดแล้ว ดังนั้นกุญแจสำคัญของปัญหาก็ขึ้นอยู่กับวว่านายท่านจะก้าวไปข้างหน้าต่อได้หรือไม่ ถ้าลำพังนายท่านเองยังเอาตัวรอดได้ลำบาก แลวจะขอแรงคนพวกนั้นได้ยังไง? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เมื่อนายท่านมีศักยภาพแล้ว คนพวกนั้นถึงจะมีประโยชน์ ถ้านายท่านไม่มีศักยภาพ ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่โน้มน้าวคนสองคนเพื่อทำงานให้นายท่าน ก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เท่าไรเลย และจุดอ่อนนี้ก็ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ถ้าวันไหนตระกูลโค่วส่งผลร้ายต่อนายท่าน ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะบีบใครกันแน่! ดังนั้นกลยุทธ์ชั้นยอดก็คือ นายท่านต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ต่อไป อย่าบุ่มบ่ามไปแปรพักตร์ใส่ตระกูลโค่วเพราะเรื่องนี้ ห้ามเผยพิรุธใดๆ ทั้งนั้น!” เขากลัวจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะบุ่มบ่ามทำอะไรซี้ซั้ว เขาถูกเหมียวอี้ทำให้กลัวแล้วจริงๆ โมโหจนแทบกระอักเลือดแล้ว


“เจ้าพูดดีมาก ข้าจะจำไว้” เหมียวอี้พยักหน้า


เมื่อเห็นว่าเขาน่าจะฟังเข้าใจแล้วจริงๆ หยางชิ่งก็โล่งอก และมีอารมณ์ที่จะคุยต่อไปแล้วเช่นกัน “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าน้อยอยู่ที่อุทยานหลวงมาหลายปีแล้ว ตั้งใจสังเกตเรื่องบางเรื่องทั้งข้างล่างข้างบน ครั้งก่อนที่นายท่านโดนลดตำแหน่ง แล้วครั้งนี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีอีก ในนี้เกรงว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลโค่วกับฝ่าบาท อยากจะโยนนายท่านไปไว้ตลาดผีเพื่อให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วปะทะกัน กอปรกับตระกูลอื่นที่จ้องพร้อมตะคลุบดั่งพญาเสือ เกรงว่าการไปตลาดผีครั้งนี้จะอันตรายที่สุด ที่ตลาดผีไม่มีใครสู้ชนะตระกูลเซี่ยโห้ว อาศัยเพียงตระกูลโค่วเกรงว่าจะปกป้องนายท่านได้ยาก ไม่ทราบว่าตระกูลโค่วปล่อยนายท่านไปตลาดผีแล้วได้ไปหาตระกูลเซี่ยโห้วมาหรือเปล่า?”


เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ รับไม่ไหวกับเจ้าหัวหมอหยางชิ่งนี่จริงๆ สงสัยหลายปีที่เจ้าหมอนี่อยู่ที่อุทยานหลวงจะครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ทั้งข้างล่างข้างบน มิน่าล่ะตอนเสนอแผนการเรื่องน่านฟ้าระกาติงถึงได้มั่นใจว่าประมุขชิงจะไม่ตัดหัวตน ตอนนี้แม้แต่เรื่องที่แปลกระหลาดไร้เหตุผลของตัวเองก่อนหน้านี้ เจ้าหมอนี่ก็ยังมองออกเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยถึงเรื่องที่ตระกูลโค่วไปหาตระกูลเซี่ยโห้ว


“ครั้งนี้ไปตลาดผีน่าจะไม่มีปัญหามาก ตระกูลโค่วไปหาตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วรับประกันความปลอดภัยพื้นฐานของข้าที่ตลาดผีแล้ว” เหมียวอี้ถาม


“หยางชิ่งได้ยินแล้วโล่งอก พยักหน้าบอกว่า “”เช่นนั้นก็ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าตระกูลโค่วมอบผลประโยชน์อะไรให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงได้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วหลีกทางให้””


“เหมียวอี้โบกมือบอกว่า “”เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจแล้ว แล้วกับเฟยหงนั่นจะทำยังไง? ตอนนี้ฮูหยินก็อยู่กับข้าเหมือนกัน สายลับที่อยู่ข้างกายคนนี้มักเป็นปัญหา จะฉวยโอกาสตอนไปตลาดผีแก้ไขการควบคุมของตำหนักสวรรค์เลยดีมั้ย?”


“ไม่เหมาะสม!” หยางชิ่งโบกมือ “เกรงว่านายท่านจะยังต้องแสร้งมีไมตรีต่อไป ถ้ามีสายลับคนนี้อยู่ข้างกาย ตำหนักสวรรค์ก็จะได้เชื่อมั่นในตัวนายท่านได้ในระดับหนึ่ง ถ้ามีนางไว้คอยบอกตำหนักสวรรค์ว่านายท่านเป็นขุนนางที่จงรักภักดี นางพูดประโยคเดียวก็มีน้ำหนักเท่าคนอื่นพูดร้อยประโยค ในอนาคตตอนที่ตำหนักสวรรค์พิจารณาว่าจะตัดทางหนีทีไล่นายท่านโดยสิ้นเชิงหรือไม่ การพิจารณาในจุดนี้ก็อาจจะตัดสินชะตาชีวิตของนายท่านได้ นอกจากนี้ ก็ยังเป็นอย่างที่บอก ว่าตราบใดที่ยังมีสายลับคนนี้อยู่ ตำหนักสวรรค์ก็จะไม่คิดยัดใครไว้ข้างกายนายท่านอีก จะได้ลดปัญหายุ่งยากให้ตัวเองด้วย ดังนั้นหวังว่านายท่านจะไม่เย็นชากับนาง เรื่องที่ควรจะเล่นละครตบตาก็ยังต้องเล่นละครตบตา เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน”


เหมียวอี้ปวดหัวนิดหน่อย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “คนนอกไม่มีทางเข้าใจได้ว่าการมีสายลับข้างกายมันลำบากขนาดไหน ขนาดกลับบ้านแล้วยังผ่อนคลายไม่ได้เลย รสชาตินี้ทรมานเกินไปแล้ว”


หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลย ถ้านายท่านสามารถสยบนางได้ราบคาบ ทำให้นางมายืนฝ่ายนายท่านและทำงานให้นายท่านได้ ก็จะเป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่ประเด็นสำคัญก็คือ หน่วยตรวจการซ้ายก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ในเมื่อกล้าปล่อยนางมา ก็แสดงว่าจะต้องมีวิธีการถ่วงนางไว้แน่นอน ทำให้นางไม่กล้าทรยศ ดังนั้นเกรงว่าจะสยบไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะทำเป็นอวดเก่งสุดท้ายก็ผูกมัดตัวเองด้วยซ้ำ”


“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” เหมียวอี้ทำแก้มป่องราวกับปวดฟัน หลังจากกลั่นกรองคำพูดแล้วก็กล่าวช้าๆ ว่า “ไปที่ตลาดผีก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย ค่อนข้างอิสระ หลังจากจัดที่ทางที่ตลาดผีได้แล้ว พวกเรากลับไปหาเวยเวยที่พิภพเล็กด้วยกัน ข้าคิดถึงเวยเวยแล้ว” คำพูดนี้อวิ๋นจือชิวสอนเขาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดจาอะไรอ่อนโยนแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายอย่างหยางชิ่งหรอก


ทว่าคำพูดนี้กลับทำให้หยางชิ่งรู้สึกฮึกเหิมใจ ทำให้หยางชิ่งรู้สึกว่าในใจเหมียวอี้ยังมีลูกสาวตัวเองอยู่ ไม่เสียแรงที่ตัวเองทนรับความอยุติธรรมมาหลายปี ที่จริงแล้วเขาก็คิดถึงลูกสาวมากเช่นกัน ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว ฉินเวยเวยเป็นดั่งดวงใจของเขา แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะต้องทำเพื่ออนาคตของลูกสาว ถึงได้จากบ้านมาไกลขนาดนี้ แต่ใครจะคิดว่าการกระทำบางอย่างของเหมียวอี้จะทำให้เขาท้อใจ ทำให้เขาแทบจะสิ้นหวัง แต่พอวันนี้ได้มาฟังอะไรแบบนี้ ก็ได้ทำให้เขาปลื้มอกปลื้มใจมากจริงๆ ไม่ว่าคำพูดของเหมียวอี้จะจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยก็อธิบายได้แล้วว่าเหมียวอี้ยังแสดงท่าทีชัดเจนว่ายินดีจะรักษาความสัมพันธ์และไม่ปฏิบัติต่อลูกสาวตนอย่างยุติธรรม นับว่าสิ่งที่ตัวเองจ่ายไปก็คุ้มค่าเช่นกัน จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”


หลังจากมองส่งหยางชิ่งจากไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังคงมีอารมณ์ซับซ้อนสับสนอยู่ ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดอย่างไร แต่ในใจเหมียวอี้กลับรู้ชัด ว่าหยางชิ่งแค่เสียเปรียบเพราะมีพลังไม่มากพอ กอปรกับใช้ฉินเวยเวยควบคุมไว้ ไม่อย่างนั้นก็ควบคุมเจ้าหัวหมอที่สติปัญญาคล้ายปีศาจคนนี้ให้อยู่หมัดยากจริงๆ จะปล่อยอำนาจให้เขาจริงๆ เหรอ?


อีกจุดหนึ่งก็คือ ไม่ว่าในตอนนั้นเขาจะแต่งงานกับฉินเวยเวยเพราะอะไร แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่เอาฉินเวยเวยมาเล่นละครก็ยังทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ


“เมื่อกลับมาถึงเรือนเดี่ยวในจวนอ๋องสวรรค์ที่ตระกูลโค่วแบ่งให้เขา พอเห็นอวิ๋นจือชิวเดินเข้ามายิ้มรับอย่างสนิทสนมแล้วถามว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น เขาดึงมืออวิ๋นจือชิวเข้าไปในห้องนอนโดยตรง พอปิดประตูแล้ว ก็ดึงร่างอันอวบอิ่มของอวิ๋นจือชิวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง”


“เจ้าจะทำอะไร? ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลยนะ คนของตระกูลโค่วมาบ่อยมาก ถ้าอีกประเดี๋ยว…อ๊า!” อวิ๋นจือชิวร้องอย่างตกใจ เสื้อผ้าบนตัวถูกฉีกขาด ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนเหมียวอี้ฉีกเสื้อผ้าแล้ว เนื้อหนังสีขาวถูกเผยออกมา


“เจ้าเป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นบ้าอะไรไปแล้ว ไม่ใช่เวลานางถอดเสื้อผ้าด้วยซ้ำ


เหมียวอี้ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ถอดเสื้อผ้านางออกจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วใช้สองมือบีบคลำย่ำยีบนเอวบางและบั้นท้ายอวบของนาง


“เจ้าทำให้ข้าเจ็บนะ!” อวิ๋นจือชิวเอามือตีมือสองข้างของเขาที่กำลังบีบคลำบนหน้าอกใหญ่ของตัวเอง นางเจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลแล้ว


ขณะมองดูเรือนร่างยั่วยวนราคะที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งกำลังดิ้นรน ก็ยิ่งกระตุ้นสันดานสัตว์ป่าของเหมียวอี้ เขาผลักนางลงบนเตียงอย่างอดใจรอไม่ไหว


ไม่มีจังหวะโหมโรงใดๆ ทั้งนั้น บุกตะลุยเข้ามาโดยตรง ไถลานบ้านกวาดถ้ำ ชนโจมตีอย่างบ้าระห่ำ!


หลังจากผ่านไปนานมาก ทั้งสองก็นอนกอดกันอย่างสงบแล้ว อวิ๋นจือชิวมองดูร่องรอยที่โดนข่วนเกาบนหน้าอกขาวอิ่มของตัวเอง ตอนนี้ก็ยังเจ็บไม่หายเลย ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเขย่าศีรษะของเหมียวอี้พร้อมถามว่า “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป?”


“คนที่แอบสนับสนุนทรัพยากรอาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่ว…” เหมียวอี้แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกมา เล่าสิ่งที่หยางชิ่งตัดสินวินิจฉัยให้ฟัง


หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็มองผู้ชายคนนี้อย่างอึ้งๆ ปนสงสาร เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้เขาถึงบ้าระห่ำขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ยังบอกอยู่เลยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องขอบคุณน้ำใจไมตรีอันล้นพ้นนี้ของตระกูลโค่วให้ได้ แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็พบว่าตัวเองโดนตระกูลโค่ววางกับดักแล้ว


ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ นางรู้จักนิสัยเขาดีเกินไป ในมกลสันดานของผู้ชายคนนี้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่แสดงน้ำใจกับกำลังพลหนึ่งหมื่นทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังขัดสนเงินทองหรอก ผลปรากฏว่าโดนหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าผู้ชายคนนี้คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเดินไปจนถึงตอนสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นแบบไหน ความดิ้นรนต่อต้านในใจยากที่จะบรรยายออกมาได้ เมื่อครู่นี้เขาแค่ระบายอารมณ์ส่วนลึกในจิตใจของเขากับร่างกายนางเท่านั้นเอง


คิดแล้วก็ปวดใจ อวิ๋นจือชิวประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกที่อ่อนนุ่มด้วยความสงสาร กอดเขาเอาไว้ราวกับเด็กน้อย


เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากหน้าอกของนาง ได้กลิ่นกายที่หอมอ่อนๆ ของนาง เหมียวอี้ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว นอนหลักลึกไปแล้ว…

 

 

 


บทที่ 1586 กดดันราชัน

 

“ฝ่าบาท ข้าน้อยมีเรื่องจะพูด”


พอการประชุมของตำหนักสวรรค์เริ่มขึ้น ก็มีคนก้าวออกจากแถวทันที แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมานานแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้ฝ่าบาทยังไร้ทายาทเพื่อให้คนในใต้หล้าสงบจิตใจ ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทรีบสร้างทายาทเพื่อทำให้คนในใต้หล้าสงบใจ”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ประมุขชิงที่มีสีหน้านิ่งเฉยก็กระตุกคิ้วทันที เรื่องที่เขาปวดหัวที่สุดมาเยือนแล้ว


กลุ่มขุนนางพลันหันไปมองพร้อมกัน พอพบว่าเป็นคนของอ๋องสวรรค์โค่ว พวกเขาก็รีบหันไปมองอ๋องสวรรค์โค่วอีก ไม่รู้ว่าจู่ๆ อ๋องสวรรค์โค่วโยนเรื่องนี้ออกมาหมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าจงใจทำให้ประมุขชิงพะอืดพะอมเพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ?


อ๋องสวรรค์โค่วยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้านเซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่ตรงมุมกระตุกหัวคิ้วเล็กน้อย แล้วก็หลับตาช้าๆ เพื่อพักผ่อน ทำท่าราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ตัวข้องกับตัวเอง


ตำหนักฟ้าดินเปลี่ยนเป็นเงียบงันไร้เสียง ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองเบื้องล่างเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร ก็ทำได้เพียงแสยะหัวเราะ แล้วตอบด้วยตัวเอง “เรื่องนี้ข้าย่อมพิจารณาเอง ไม่ต้องให้เจ้าพูดมาก”


เพิ่งจะสิ้นเสียงนี้ ก็มีกำลังพลสายของอ๋องสวรรค์โค่ว ออกมานอกแถวอีก “ฝ่าบาท จะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ เรื่องนี้ฝ่าบาทพิจารณามาหลายปีแล้ว ถ่วงเวลามาตลอด หากพิจารณาต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้บทสรุปฝ่าบาทได้โปรดบอกเวลาที่แน่นอนให้ข้าน้อยทราบ”


ประมุขชิงหน้าเครียดขรึมลงทันที “นี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่จำเป็นต้องนำมาพูดเหลวไหลในการประชุม ราชสำนัก”


ใครจะไปคิดว่าจะมีกำลังพลสายของอ๋องสวรรค์โค่วยืนออกนอกแถวอีก แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท กล่าวแบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาทก็เป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้าเช่นกัน นำมาหารือในการประชุมได้อย่างสง่าผ่าเผย จะเรียกว่าเหลวไหลได้อย่างไรกัน?”


คนแล้วคนเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่เหมือนการพูดเล่น ฝ่ายตระกูลโค่วเหมือนต้องการจะใส่เต็มแรง


เป็นอย่างที่คาดไว้ มีคนก้าวออกนอกแถวตามมาอีก “ข้าน้อยเห็นด้วย ราชินีสวรรค์ปรนนิบัติฝ่าบาทมาหลายปี ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็พยายามแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะยังอ่อนเยาว์สดใส แต่ก็ต้องมีสักวันที่แก่ชรา หากถ่วงเวลาต่อไปอย่างนี้ ฝ่าบาทเองย่อมไม่มีปัญหา แต่เหนียงเหนียงล่ะ ถ้ายื้อเวลาไปจนเหนียงเหนียงกลายเป็นหญิงชรา จะให้เหนียงเหนียง ทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?”


ไม่ใช่กำลังทำให้ประมุขชิงพะอืดพะอม แต่กำลังช่วยพูดให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่!


กลุ่มขุนนางตกใจทันที รีบมองไปที่โค่วหลิงซวี แล้วก็มองดูปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าอีก ไม่น่าเชื่อว่าสองตระกูลนี้จะสมคบกันแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วมอบผลประโยชน์อะไรให้ตระกูลโค่ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีค่าถึงขั้นทำให้ตระกูลโค่ว กระโดดออกมาพูดเรื่องนี้เพื่อเขา?


อิ๋งจิ่วกวงรีบหันกลับไปส่งสายตาให้คนของตัวเอง นี่กำลังล้อเล่นอะไรกัน ถ้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่คลอดลูกชายให้ประมุขชิง อย่าว่าแต่ประมุขชิงจะต้องเห็นแก่หน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงฝั่งลูกชาย แบบนั้นก็จะต้องกดดันจ้านหรูอี้หนักมา อย่างไรเสียราชันสวรรค์ในอนาคตก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าควรยืนอยู่ฝ่ายไหน


มีกำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งก้าวออกจากแถวทันที “ฝ่าบาท ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทฝ่าบาทควรจะมีทายาท โดยเร็วไว แต่ทายาทของฝ่าบาทเกี่ยวข้องกับทั้งใต้หล้าไม่ว่าจะเป็นในด้านคุณธรรหรือสติปัญญาก็ล้วนต้องแบกรับหน้าที่ วังหลังมีพระสนมนับไม่ถ้วน ฝ่าบาทต้องตั้งใจ คัดเลือกให้ดีหน่อย ต้องเลือกสักคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไข และคนที่สามารทำให้ฝ่าบาทพอใจ เพื่อให้กำเนิดทายาทให้ฝ่าบาทโดยเร็ว”


ที่บอกว่าทำให้ฝ่าบาทพอใจได้คืออะไรล่ะ ตอนนี้ผู้หญิงที่ฝ่าบาทโปรดปรานที่สุดในวังหลังก็คือสนมสวรรค์ แบบนี้แปลว่าต้องการจะปลดราชินีสวรรค์ออก เซี่ยโห้วท่าที่กำลังหลับตาพักผ่อนมีหรือที่จะทนฟังได้ รีบส่งสายตาให้คนของตัวเองทันทีๆ


“เหลวไหลสิ้นดี!” มีคนในเครือข่ายของเซี่ยโห้วด่าอย่างโมโหทันที “บุตรของฮูหยินเอกคืออะไร บุตรของอนุภรรยาคืออะไร อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เข้าใจ? ตามลำดับอาวุธ ทายาทคนแรกของฝ่าบาทจะต้องถือกำเนิดจากฮูหยินเอกทั้งนั้น นอกจากราชินีสวรรค์แล้ว ใครจะมาเอาชนะได้? ถ้ามนุษย์ในโลกทำผิดระเบียบจารีต ก็จะก่อความวุ่นวายให้ครอบครัว ถ้าฝ่าบาททำให้จารีตวุ่นวาย  ถึงตอนนั้นหากทุกคนพากันเอาเยี่ยงอย่างฝ่าบาท มีการแก่งแย่งระวังบุตรภรรยาเอกและอนุภรรยาทุกบ้าน ทุกครอบครัววุ่นวาย เช่นนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายใหญ่แล้ว ความผิดนี้เจ้ารับผิดชอบไหวรึเปล่า?”


กำลังพลสายอ๋องสวรรค์โค่วกระโดดออกมากล่าวเสียงดังอีกว่า “ใช่แล้ว! ถ้ามีคนให้กำเนิดบุตรของอนุภรรยาเพราะมีเจตนาแอบแฝงบางอย่าง ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ตอบตกลง!”


กำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งบอกว่า “ฝ่าบาทพิจารณาเองได้อยู่แล้ว!”


ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่การให้กำเนิดหรือไม่ให้กำเนิดแต่กลายเป็นปัญหาว่าใครจะเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทของประมุขชิง กำลังพลสายอ๋องสวรรค์ก่วงกับกำลังพลสายอ๋องสวรรค์ฮ่าวเงียบงันไม่พูดอะไร พวกเขาไม่คัดค้านเช่นกันหากประมุขชิงจะให้กำเนิดทายาทโดยเร็ว และพูดไม่ออกด้วยว่าจะให้ประมุขชิงไม่มีทายาทสืบตระกูล การที่ประมุขชิงให้กำเนิดทายาทล้วนเป็นผลดีต่อทุกคน ในจุดนี้ทั้งตำหนักสวรรค์มีความเห็นตรงกัน มีเพียงประมุขชิงคนเดียวที่คลุมเครือตัดสินใจไม่ได้เสียที


กำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ใส่เต็มที่เช่นกัน ถกเถียงกันกำลังพลสายอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว แต่กำลังพลของสายอ๋องสวรรค์โค่วกับกำลังพลสายของตระกูลเซี่ยโห้วเน้นเรื่องทายาทสายตรงของภรรยาเอกตลอดกดดันจนฝ่ายของตระกูลอิ๋งรู้สึกว่าดันทุรังเถียงข้างๆ คูๆ


ประมุขชิงหน้ามืดหน้าดำแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าราชันสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานจะไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยซ้ำว่าจะให้กำเนิดบุตรชายกับใคร เขาอยากจะฆ่าไอ้พวกเวรนี่ให้หมดจริงๆ ทว่านนั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แค่อีกฝ่ายโน้มน้าวให้เจ้ามีลูกชาย เจ้าก็จะฆ่าขุนนางใหญ่แล้วเหรอ?


เมื่อเห็นว่ากำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งเสียเปรียบแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็เริ่มร้อนใจ ในการประชุมราชสำนักครั้งนี้จะปล่อยให้ขุนนางกดดันจนประมุขชิงยอมตอบตกลงไม่ได้ จึงพูดข่มประเด็นสนทนาทันที “ฝ่าบาทบอกแล้วว่าจะพิจารณา เดี๋ยวก็ย่อมพิจารณาเอง นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไร คิดจะกดดันราชันเหรอ? โค่วหลิงซวี นี่คือความคิดของเจ้าใช่มั้ย?” ดวงตาฉายแววดุดัน อยากจะกดดันให้โค่วหลิงซวีแสดงท่าที


เมื่อยัดข้อหาใหญ่ให้ กอปรกับเอ่ยชื่อโค่วหลิงซวีโดยตรง ก็ทำให้เสียงถกเถียงในตำหนักเงียบลงทันที


“มีธุระก็คุยธุระ ทำไมการอภิปรายงานราชการของเหล่าขุนนางถึงกลายเป็นกดดันราชันไปแล้วล่ะ ถ้าไม่กล้าพูดอะไรสักอย่างเลย ยังจะให้ทุกคนมายืนอยู่ตรงนี้ทำไมอีก?” โค่วหลิงซวีกล่าวออกมาช้าๆ “ข้าเองก็กำลังไตร่ตรองความคิดของเหล่าขุนนางใหญ่เช่นกัน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย เรื่องนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร?”


เขาไม่มีทางแสดงท่าทีง่ายๆ หรอก ถ้าแสดงท่าทีขึ้นมาเรื่องนี้ก็เอาคืนไม่ได้แล้ว จะไม่เหลือทางให้ถอยกลับแล้ว ในภายหลังถ้ากลับคำพูดก็จะเป็นเหมือนการตบปากตัวเอง อีกทั้งยังล่วงเกินตระกูลอิ๋งด้วย ถ้าไม่เห็นกระตาย ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะไม่ปล่อยเหยี่ยว แล้วทำไมเขาจะทำแบบเดียวกันไม่ได้


ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าการที่กำลังพลสายอ๋องสวรรค์โค่วกระโดดออกมาพูดเพราะมีโค่วหลิงซวีบงการอยู่เบื้องหลัง


เซี่ยโห้วท่าแอบด่าในใจ แต่เขาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตระกูลโค่วพูดหมดจนไม่เหลือทางหนีทีไล่ตั้งแต่เริ่มต้นเลย


โค่วหลิงซวีเอ่ยชื่อโพ่จวิน สายตาของทุกคนจึงไปรวมอยู่ที่ตัวโพ่จวินแล้ว


ประมุขชิงจ้องใบหน้าโพ่จวินด้วยสายตาเย็นเยียบ กำลังแอบกดดันเขาอยู่


โพ่จวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทรีบมีทายาท! และเห็นด้วยที่บุตรชายคนแรกของฝ่าบาทควรถือกำเนิดจากภรรยาเอก เพียงแต่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วยากที่จะรับหน้าที่นี้ได้ ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทปลดราชินีสวรรค์ แต่งตั้งราชินีสวรรค์ใหม่ขอรับ!”


ประมุขชิงไฟเดือดดาลพุ่งพล่านสามจั้ง ถึงขั้นเกิดความคิดอยากจะประหารโพ่จวินแล้ว คนอื่นกดดันตนก็ว่าหนักแล้ว ขนาดลูกน้องคนสนิทก็ยังมากดดันตนไปด้วยอีก ตาแก่ปัญญาทึบนี่!


เขาพลันจ้องไปหาอู๋ฉวี่และพวกซือหม่าเวิ่นเทียน อยากจะให้เจ้าพวกนี้ช่วยเขาพูด


ใครจะคิดว่าเจ้าพวกนี้จะแสร้งทำเป็นไม่เห็น ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจประมุขชิง


ประมุขชิงยิ่งคับแค้นจนกัดฟันกรอด แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าเรื่องรีบมีทายาทก็เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของลูกน้องคนสนิทของตนเช่นกัน ถ้าเขาข้ามผ่านด่านประตูผีไปไม่ได้ ทายาทของเขาก็จะยังเติบโตขึ้นมาได้ การที่ลูกน้องคนสนิทพวกนี้จะปกป้องลูกชายของเขาก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ทั้งสามารถรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาได้เหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นก็พูดยากแล้วจริงๆ


ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ จึงไม่มีใครยืนอยู่ข้างประมุขชิงเลย ประมุขชิงหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างแท้จริง


แน่นอน ใช่ว่าประมุขชิงจะไม่ได้เตรียมตัวเรื่องแต่งตั้งทายาท เขาเคยคิดที่จะให้คำอธิบายนี้กับทุกคนเพื่อที่จะทำให้ทุกคนสงบใจ แต่เขาก็มีการเตรียมการของตัวเองอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เขายังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานมาก เรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดไม่ได้อยู่ในขอบเขตเรื่องแรกๆ ที่เขาพิจารณาเลย ถ้าทายาทเติบโตเร็วเกินไป ก็จะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา เมื่อได้นั่งตำแหน่งนี้แล้วก็ไม่มีใครอยากถอยลงจากตำแหน่ง และเขาก็จะไม่ลงจากตำแหน่งเช่นกัน เลยต้องระงับเรื่องทายาทของตัวเองไว้ นี่คือเรื่องที่ทำให้คิดวนเวียนไม่จบสิ้น


กอปรกับปัญหาใหญ่ในใจยังไม่ถูกกำจัดทิ้งไป การดึงให้ครอบครัวลำบากไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร


นอกจากนี้ เขาก็ไม่ค่อยพอใจในตัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สักเท่าไรด้วย ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เขาก็คงไม่แต่งตั้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นราชินีสวรรค์หรอก และสายเลือดของตระกูลเซี่ยโห้วก็เข้มข้นเกินไปจริงๆ ยังไม่เคยเห็นตระกูลเซี่ยโห้วให้กำเนิดใครที่หน้าตาสง่าภูมิฐานเลยสักคน หลังจากผู้หญิงของตระกูลเซี่ยโห้วแต่งงานออกไปแล้วก็มีสถานการณ์เป็นอย่างนี้ ทำให้ประมุขชิงกังวลเรื่องหน้าตาของทายาทตัวเอง ถ้าเปลี่ยนเป็นจ้านหรูอี้ เขาคิดว่าก็อาจจะประนีประนอมได้ ทว่าพอได้ยินโพ่จวินบอกว่าจะปลดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เขาก็จินตนาการถึงปฏิกิริยาของตระกูลเซี่ยโห้วได้เลย


คำพูดของโพ่จวินยั่วโทสะเซี่ยโห้วท่าทันที ตึ้ง! เสียงไม้เท้ากระทุ้งพื้นอย่างแรง เซี่ยโห้วท่าพลันลุกขึ้นยืน ชี้ไปที่โพ่จวินพร้อมด่าว่า “ขุนนางกบฎ บังอาจกล่าวคำที่เนรคุณออกมาได้!”


โพ่จวินเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วแสยะหัวเราะอย่างไม่สนใจเขา


แต่อิ๋งจิ่วกวงกลับตาเป็นมันวาว ฮึกเหิมราวกับโดนฉีดเลือดไก่ กระโดดออกมาพูดด้วยตัวเองเลยว่า “คำพูดของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย ข้าน้อยเห็นด้วย!” เขาย่อมรู้ว่าเมื่อใดที่ปลดราชินีสวรรค์ ก็จะมีความมั่นใจที่สุดว่าจ้านหรูอี้จะได้ขึ้นนั่งตำแหน่งราชินีสวรรค์


“ข้าน้อยเห็นด้วย!” กำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งทั้งหมดกล่าวตามทันที


“หึหั!” โพ่จวินแสยะยิ้มอีกครั้ง แล้วกุมหมัดต่อประมุขชิงอีก “สนมที่ขุนนางในราชสำนักส่งเข้าวัง ทุกคนล้วนมีความน่าสงสัยว่าจะแทรกแซงการเมือง ไม่มีใครเหมาะกับตำแหน่งราชินีสวรรค์เลย ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งสตรีที่ทั้งงดงามทั้งเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและคุณธรรมขึ้นเป็นราชินีสวรรค์!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เท่ากับล่วงเกินทุกคนไปแล้ว


“โพ่จวิน พูดจาเหลวไหลสิ้นดี!”


มีคนตำหนิต่อว่าเป็นโขยงทันที คนส่วนใหญ่ล้วนกำลังด่าจนยับเยิน ให้ความรู้สึกเหมือนโดนคนเป็นหมื่นเป็นพันชี้หน้าด่ากราด


“พอแล้ว! ราชินีสวรรค์คือมารดาแห่งใต้หล้า จะพูดเรื่องปลดได้อย่างไร หุบปากให้หมด จบการประชุม!” ประมุขชิงลุกขึ้นยืนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด พอสะบัดแขนเสื้อ ตัวเองก็หนีไปก่อนแล้ว จะไม่ฉวยโอกาสรีบหนีไปตอนนี้คงไม่ได้แล้ว ถ้าพัวพันอยู่ต่อไป เขาจะตอบตกลงเรื่องให้กำเนิดหรือไม่ตอบตกลงดีล่ะ?


ประมุขชิงหนีไปแล้ว ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะแยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ คนที่เมื่อครู่นี้ยังถกเถียงกันอยู่ ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็จับกลุ่มสองสามคนสุมหัวกระซิบกระซาบเดินออกไปด้วยกันแล้ว


เซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่ในมุมมองทิศทางที่ประมุขชิงเดินจากไป มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ นอกเสียจากข้าจะไม่ได้เข้าประชุมในราชสำนักอีกเลยตลอดไป ไม่อย่างนั้นข้าจะกดดันให้เจ้าตอบตกลงให้ได้


หันกลับไปเห็นโค่วหลิงซวียังชักช้าอยู่ข้างหลังสุด เซี่ยโห้วท่าจึงลุกขึ้นเดินไปหา จากนั้นทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน แล้วกล่าวอย่างสบายใจว่า “เรื่องที่ตลาดผีท่านอ๋องวางใจได้”


วันนี้คนในเครือข่ายของอ๋องสวรรค์โค่วทำงานเต็มที่ในการประชุมราชสำนักแล้ว สิ่งที่พวกโค่วหลิงซวีรอก็คือประโยคนี้ จึงชี้ไปที่ธรณีประตูอย่างร่าเริงทันที “ท่านปู่สวรรค์กลับดีๆ”


ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ ชะโงกหน้ามองไปทางประตูเป็นระยะ


นางได้ข่าวมาจากตระกูลเซี่ยโห้วตั้งแต่แรกแล้ว ว่าตระกูลโค่วจะพยายามเต็มที่เพื่อช่วยให้นางมีอำนาจในการคลอดบุตรชาย ทำให้นางตื่นเต้นประหลาดใจจริงๆ ขอเพียงตัวเองให้กำเนิดโอรสสวรรค์ มารดามีวาสนาเพราะลูกชาย เช่นนั้นตำแหน่งของนางที่วังหลังนี้ก็จะไม่สั่นคลอนแล้ว อย่างไรเสียก็มีอยู่จุดหนึ่งที่นางรู้ชัด ว่านางจะต้องอายุยืนกว่าประมุขชิงแน่นอน ถ้าประมุขชิงข้ามประตูผีนั่นไปไม่ได้ ลูกชายนางก็จะได้ขึ้นตำแหน่งราชันต่อ ถึงตอนนั้นฐานะของนางก็จะเหนือราชันสวรรค์แล้ว จะไม่ให้นางตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร!

 

 

 


บทที่ 1587 ไปรับตำแหน่งที่ตลาดผี

 

ผ่านไปไม่นาน เอ๋อเหมยก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาแล้ว


ไม่ทันรอให้นางทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เข้ามาจับมือนางแล้ว ถามอย่างร้อนใจว่า “สถานการณ์ในการประชุมเป็นยังไงบ้าง?”


เอ๋อเหมยรู้ว่านางสนใจเรื่องนี้ขนาดไหน รีบบอกสถานการณ์ให้รู้ทันที


พอได้ยินว่าตระกูลโค่วออกแรงช่วยในที่ประชุมจริงๆ ทั้งยังออกแรงช่วยไม่ได้น้อยด้วย ค่อนข้างดุดัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เรียกได้ว่าดีใจมาก จนกระทั่งได้ยินว่าตระกูลอิ๋งมาหยุดยั้ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีก “คิดเพ้อฝันเกินไปแล้ว อาศัยนางตัวดีนั่น ยังคิดจะมีทายาทให้ฝ่าบาทอีกเหรอ!”


พอได้ยินว่าโพ่จวินออกมาป่วนแผนการ ทั้งยังต้องการจะปลดราชินีสวรรค์จนทำให้เรื่องวุ่นวาย ก็ยิ่งทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แค้นจนตาแทบถลน “โจรเฒ่าโพ่จวิน! ต้องมีสักวันที่ข้าจะทำให้เขาทรมานร้องขอชีวิต!”


เอ๋อเหมยรีบปลอบทนัที “เหนียงเหนียง ไม่ต้องร้อนใจเพคะ เมื่อครู่นี้นายท่านกำชับมาแล้ว ว่าให้ท่านข่มอารมณ์ไว้ ท่านบอกว่าเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ในครั้งเดียวอยู่แล้ว ตอนหลังตระกูลโค่วจะช่วยต่อไป ถึงแม้ฝ่าบาทจะหลบเลี่ยงได้หนึ่งครั้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นทุกครั้ง จะต้องมีสักครั้งที่ยอมตอบตกลง!”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอามือลูบหน้าอก รู้เช่นกันว่าตัวเองใจร้อนเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วมีอำนาจอ่อนแอเกินไปในการประชุมราชสำนัก พูดอะไรไม่ได้เท่าไรเลย อาศัยแรงจากตระกูลโค่วฝ่ายเดียวกอปรกับมีตระกูลอิ๋งขัดขวาง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะราบรื่นขนาดนั้น


ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีนางในคนหนึ่งเข้ามารายงาน “เหนียงเหนียง สนมเซียว สนมอวี้และสนมคนอื่นๆ มาแล้วเพคะ ต้องการจะมาเข้าเยี่ยมคำนับเหนียงเหนียง”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระปรี้กระเปร่าทันที ผู้นำอำนาจในวังของเครือข่ายอ๋องสวรรค์โค่วมาแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนยืนอยู่ฝ่ายจ้านหรูอี้ หลายตระกูลต่อสู้กับนางคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีฐานะสูงสุดในวังหลัง ก็คงต้านไว้ไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้คนพวกนี้มาหาแล้ว เห็นได้ชัดว่าตระกูลโค่วต้องการจะสนับสนุนตน


นางกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจทันที “รีบเชิญเข้ามา!”


ผ่านไปครู่เดียว ยอดหญิงงามเจ็ดแปดคนก็เดินเนิบนาบเข้ามา พอเข้ามาในตำหนักแล้วก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน “คำนับราชินีสวรรค์เหนียงเหนียง!”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบก้าวขึ้นไปประคองพวกนาง แล้วยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ถึงแม้ที่นี่จะเป็นในวัง แต่ที่จริงก็เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันที่คอยปรนนิบัติฝ่าบาททั้งนั้น ไม่ต้องมากพิธี”


สนมเซียวกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าเหนียงเหนียงกำลังจะมีฝ่าบาทให้ทายาทหรือเพคะ พวกเรามาแสดงความยินดีกับเหนียงเหนียงล่วงหน้า”


“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างทอดถอนใจ


สนมอวี้หัวเราะออกเสียงแล้ววบอกว่า “จะไม่มีเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรเพคะ ข้าได้ยินว่าอ๋องสวรรค์โค่วพยายามสนับสนุนเหนียงเหนียง ในการประชุมราชสำนักวันนี้เสียงดังคึกครื้นมาก อ๋องสวรรค์โค่วเป็นใครล่ะ มีอิทธิพลในราชสำนักมาก ขอเพียงอ๋องสวรรค์โค่วไม่เลิกรา สุดท้ายฝ่าบาทก็ยังต้องเผชิญหน้าอยู่ดี การตอบตกลงคงจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว พวกเรามาแสดงความยินดีล่วงหน้าก็ถูกต้องแล้วเพคะ”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยายามทำให้ตัวเองสงบนิ่ง แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยากจะปิดบังได้ โบกมือสั่งว่า “รีบนำน้ำชามา!”


หลังจากพวกนางนั่งลงแล้ว สนมเซียวก็กะพริบตาแล้วบอกอีกว่า “เหนียงเหนียง ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยคนนั้นของอ๋องสวรรค์โค่วไปที่ตลาดผีในสังกัดของเหนียงเหนียงแล้วหรือเพคะ?”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเจื่อน แล้วตอบว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าสนใจ พวกเจ้ารู้อยู่แล้วทำไมต้องถามอีก”


สนมอวี้ตอบว่า “ถึงอย่างไรก็อยู่สังกัดของเหนียงเหนียง แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเหนียงเหนียงกดดันมากเกินไป เกรงว่าลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วจะรับไม่ไหวเพคะ”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสายตาลอกแล่ก เข้าใจจุดประสงค์ที่พวกนางมาที่นี่แล้ว นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ แล้วบอกว่า “ในเมื่อตำหนักสวรรค์อนุญาตให้หนิวโหย่วเต๋อนั้งตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว นี่ก็คือคำขอที่สมเหตุสมผล ข้าย่อมพยายามสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”


สนมเซียวบอกอีกว่า “ว่ากันว่าอยู่ที่ตลาดผีไม่มีอนาคตอะไร เป็นเรื่องยากที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง พอมีเหนียงเหนียงสนับสนุนแบบนี้ เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะมีอนาคตไกลแล้ว”


สนมคนอื่นก็กล่าวสนับสนุนเช่นกัน


ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นฉากนี้ ก็เกรงว่าจะต้องสะท้อนใจในอำนาจของตระกูลโค่ว เพราะเมื่อตระกูลโค่วออกแรงสนับสนุน พลังทั้งข้างนอกและข้างในของตำหนักสวรรค์ก็จะเริ่มเคลื่อนไหวทันที ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติดจริงๆ…


ที่ด้านหลังตำหนักฟ้าดินกลับมีฉากอีกอย่างหนึ่ง ประมุขชิงชี้หน้าด่าโพ่จวินอย่างโมโห “ตาแก่ปัญหาทึบ นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าเข้าข้างใครกันแน่?”


โพ่จวินกลับกะพริบตาขบคิดอย่างละเอียด “เกรงว่าฝ่าบาทจะขอบคุณข้าน้อยไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าน้อยป่วนสถานการณ์ให้ฝ่าบาทมีข้ออ้างหนีออกมา เกรงว่าฝ่าบาทคงยังอยู่ฟังพวกเขาเถียงในราชสำนัก”


ประมุขชิงอึ้งทันที  คิ้วขยับเล็กน้อย สายตามองประเมินโพ่จวินครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าตาแก่ปัญญาทึบจะตามีแววแบบนี้ ไฟโกรธเบาบางลงแล้วไม่น้อย เอาสองมือไขว้หลังแล้วบอกว่า “เกรงว่าตาแก่โค่วคงบีบเรื่องนี้ไม่ปล่อยแน่ ในการประชุมราชสำนักกลังจากนี้ ถ้าตระกูลโค่วยังวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก เจ้าก็ทำแบบวันนี้ เข้าใจรึยัง?”


แต่ใครจะคิดว่าโพ่จวินจะทำสีหน้าเคร่งขรึม “เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่ข้าน้อยยังมีบางอย่างอยากจะพูดอีก ฝ่าบาทได้โปรดจัดระเบียบวังหลังใหม่ ปลดตำแหน่งราชินีสวรรค์”


“เจ้า…” ประมุขชิงกระชากคอเสื้อโพ่จวิน


ใครจะคิดว่าอู๋ฉวี่ ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนจะรีบมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทรีบมีทายาทเร็วๆ!”


“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน?” ประมุขชิงผลักโพ่จวินออกไป แล้วชี้หน้าตะคอกถามพวกเขาอย่างโมโห


พอเขาหันไปด้านข้าง กลับพบว่าซ่างกวนชิงก้มหน้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและยืนเงียบอยู่อย่างนั้น การไม่พูดอะไรก็เท่ากับเป็นการแสดงท่าทีแล้ว


“ใสหัวออกไปให้หมด!” ประมุขชิงโบกมือตะโกน แล้วพุ่งเข้าไปอย่างโมโห


เขาไม่มีทางทำอะไรคนพวกนี้ได้เลย และรู้เช่นกันว่าคนพวกนี้ร้องขออย่างสมเหตุสมผล อยู่กับเขามาหลายปีขนาดนี้แล้ว ล้วนต้องพิจารณาทางหนีทีไล่ของตัวเอง คนที่ไม่ไตร่ตรองทางหนีทีไล่ตัวเองเลยก็คือคนตายเท่านั้นแหละ โพ่จวินกับอู๋ฉวี่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ในภายหลังต่อให้เขาจะไม่อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ยังพอระรับมือไหว แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนล่ะ? ล่วงเกินคนไปมากขนาดนั้น กำลังเล็กน้อยที่มีอยู่ในมือก็ไม่พอให้ปกป้องชีวิตตัวเอง พวกเขาต้องการให้ประมุขชิงเลี้ยงดูอบรมโอรสสวรรค์สักคนในตอนที่ตัวเองยังแข็งแกร่งและไม่มีศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ จะได้รับถ่ายทอดวิชาจากเขาและเติบโตขึ้นมาโดยเร็ว ถ้าสายเกินไป ในอนาคตโอรสสวรรค์ที่เยาว์วัยก็จะคุมสถานการณ์ไม่ไหว ตอนนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวาย เหตุการณ์แย่งชิงความเป็นใหญ่ก็จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน


เขาเข้าใจความคิดของกลุ่มขุนนางในราชสำนักเช่นกัน ถ้าโอรสสวรรค์ในอนาคตอ่อนแอเยาว์วัย ไม่มีกำลังพอที่จะสยบใต้หล้า พวกเขาก็กังวลว่าประมุขชิงจะทำการล้างเลือดอำนาจที่แข็งแกร่งฝ่ายต่างๆ เพื่อช่วยให้โอรสสวรรค์คุมสถานการณ์ในใต้หล้าให้สงบมั่นคง ไม่ให้ใครสร้างภัยคุกคามต่อตำแหน่งของโอรสสวรรค์ได้ ที่จริงประมุขชิงก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ถ้าตัวเองก้าวผ่านประตูผีได้อย่างราบรื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าตัวเองผ่านด่านประตูผีนั่นไม่ได้ ก็จะต้องเลี้ยงและอบรมทายาท พวกอ๋องสวรรค์หรือเทพประจำดาวอะไรพวกนั้น อย่าไปมองนะว่าตอนนี้กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน เขายังต้องให้คนเหล่านั้นปกครองใต้หล้าเพื่อนำทรัพยากรส่งมาให้เขาเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสาย เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเนื้อบนเขียง เขาก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาคุกคามตำแหน่งราชันของทายาทตัวเองเด็ดขาด


ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกคน ดังนั้นในเรื่องนี้เขาจึงหัวเดียวกระเทียมลีบ แม้แต่ลูกน้องคนสนิทของเขาก็ไม่กล้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน ถ้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผลจริงๆ เช่นนั้นก็แปลว่ามีใจเป็นอื่นแน่นอน ดังนั้นถ้าประมุขชิงไม่ประนีประนอม ก็จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้…


บนท้องฟ้ามีฝนตกไม่ขาดสายราวกับมีเถาวัลย์ย้อยลงมา เงาคนคนหนึ่งลอยลงมาบนหน้าผา พอถึงกลางทางก็ดึงเถาวัลย์ลอยเข้ามาในถ้ำกลางหน้าผา


ในถ้ำที่มืดมิด เยว่เหยาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองและเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง พร้อมตะโกนหยั่งเชิง “พี่ใหญ่เจียง”


ในถ้ำมีเสียงสะท้อนเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ยินใครตอบ พอเลี้ยวเข้ามาในห้องถ้ำห้องหนึ่ง ก็มีเพียงโต๊ะหิน ม้านั่งหิน เตียงหิน แต่กลับไม่เห็นเงาคน


ตรวจสภาพภายในถ้ำอย่างละเอียด เยว่เหยายื่นมือไปคลำบนโต๊ะหิน พบว่ามีฝุ่นขี้เถ้าเล็กน้อย ทำให้รู้ว่าที่นี่ไม่มีคนอาศัยอยู่มาสักระยะแล้ว


พอโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นแล้ว เยว่เหยาก็นั่งลงบนเตียงหินอย่างหดหู่เล็กน้อย พลางพึมพำกับตัวเองว่า “ไปแล้วเหรอ…”


ตั้งแต่ในปีนั้นที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจียงหลาง เขาก็แทบจะไม่เคยติดต่อกับนางอีกเลย ถึงขั้นลบตราอิทธิฤทธิ์ในระฆังดาราที่ทั้งสองใช้ติดต่อกันทิ้งไปด้วย แต่นางก็รู้ถึงความเคยชินในชีวิตประจำวันของเขา ในวันที่ฝนโปรยปรายเขามักจะสวมชุดฟางข้าวมาตกปลาริมแม่น้ำ ดังนั้นนางจึงมัก ‘บังเอิญ’ เขาบ่อยๆ


ทีละเล็กทีละน้อย นางเริ่มจะเชื่อแล้วว่าคำพูดของเขาคือเรื่องจริง เชื่อแล้วว่าเขาถูกคนใส่ร้าย นางมีความมั่นใจในความสวยของตัวเองอยู่บ้าง ถ้าเจียงอีอีเป็นโจรราคะจริงๆ แล้วทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่หวังอะไรจากนางสักนิดเลยล่ะ?


ในช่วงเวลานี้ วันที่ฝนโปรยปรายติดต่อกันหลายวัน นางเดินผ่านริมแม่น้ำนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เห็นเจียงอีอีอีก หลังจากหลังเลอยู่หลายครั้ง ในที่สุดนางก็หาข้ออ้างได้แล้ว นางอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน แต่ใครจะคิดว่าจะมาพบกับความว่างเปล่า ไปโดยไม่บอกลากันสักคำ


ความรักระหว่างชายหญิงเกิดขึ้นแล้ว แต่กลับคิดไปเองฝ่ายเดียว ทำให้นางมีสีหน้าเศร้าสลดหดหู่…


ตลาดผี เห็นตลาดผีอีกแล้ง


ด้วยการคุ้มกันจากยอดฝีมือของจวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึงตลาดผีแล้ว เขาเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีผ่านทางใต้ดิน


เรียกว่าเป็นจวน แต่ความจริงแล้วเป็นวังใต้ดินแห่งหนึ่งเท่านั้น มีเพียงลานบ้านด้านนอกแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนสิ่งปลูกสร้างอื่นล้วนรวมอยู่ในกำแพงหินหนา


แม่ทัพภาคตลาดผีคนเก่าเป็นมิตรมาร เข้ามาส่งต่องานโดยไม่ลังเลเลยสักนิด คาดว่าในที่สุดคงหาทางออกจากที่นี่ได้แล้ว รู้สึกใจร้อนจนทนไม่ไหว พอส่งมอบงานทั้งหมดให้จนเสร็จ ได้รับใบลงนามยืนยันจากเหมียวอี้ ก็ขอตัวลาแล้วหนีไปทันที


หลังจากจัดแจงข้าวของเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ส่งงานในตลาดผีให้หยางชิ่งจัดการ หลังจากปลอมตัวแล้วก็นำเหยียนซิวออกไป ไปตึกศาลาสัตยพรตเพื่อเยี่ยมคารวะเจ้าถิ่นที่นี่ ถ้าอยากจะยืนอยู่ที่นี่ให้ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตึกศาลาสัตยพรตก็เกรงว่าจะเหนื่อยพอสมควร ถึงแม้ตระกูลโค่วจะช่วยพูดให้ทางสะดวกแล้ว แต่เขาก็ยังต้องมายืนยันด้วยตัวเอง


ไม่ต้องร้อนใจขนาดนั้น ตระกูลโค่วได้กำชับไว้แล้ว ว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ คนนอกไม่สามารถเข้ามาแทรกเรื่องในตลาดผีได้ แม่ทัพภาคมีไว้ประดับตำแหน่งเฉยๆ ไม่ต้องยุ่งกับอะไรทั้งนั้น รอโอกาสดีเพื่อย้ายออกไปอย่างเงียบๆ เป้าหมายหลักของเจ้าคือรีบเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นโดยเร็ว และตระกูลโค่วก็จัดหาทรัพยากรฝึกตนไว้ให้อย่างเพียงพอแล้วด้วย


แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ทรัพยากรที่ตระกูลโค่วให้นั้นมีจำกัด สามารถใช้ดูแลเขากับอวิ๋นจือชิวได้ แต่กลับดูแลได้ไม่เยอะ เขามีค่าใช้จ่ายเยอะแต่กลับบอกตระกูลโค่วไม่ได้ ต้องหาช่องทางทำงานทางอื่นอีก และเขาก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายต้องจัดการด้วย


แน่นอน เหมียวอี้ก็เห็นตลาดผีเป็นแค่สิ่งที่มีไว้แต่ในนามจริงๆ เขายังไม่สำคัญตัวเองผิดถึงขั้นคิดว่าตัวเองสามารถยื่นเท้าเข้าไปในอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้วได้ ถ้าทำแบบนี้จริงๆ คาดว่าต่อให้เป็นตระกูลโค่วก็ปกป้องตนไม่ได้


การพบกันที่ตึกศาลาสัตยพรตเป็นไปอย่างราบรื่นมาก ชีเจวี๋ย พ่อบ้านของตึกศาลาสัตยพรตออกมาต้อนรับข้างนอกด้วยตนเอง เป็นชายชราชุดเขียวคนหนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์ และได้พบกับเฉาหม่าน เถ้าแก่ของตึกศาลาสัตยพรตอันลือชื่ออย่างราบรื่นเช่นกัน เหมียวอี้ไม่กล้าประเมินท่านนี้ต่ำเลย อย่าไปมองว่าภายนอกอีกฝ่ายเป็นแค่เถ้าแก่ของตึกศาลาสัตยพรต เพราะที่จริงแล้วเขาเป็นคนถือหางเรือใหญ่ของทั้งโลกใต้ดิน ว่ากันว่าเป็นลูกชายของเซี่ยโห้วท่า ฐานะของเขาที่ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นรองแค่เซี่ยโห้วท่าเท่านั้น


ท่าทีของเฉาหม่านโอนอ่อนและเป็นมิตรมาก ให้คำตอบที่เหมียวอี้ต้องการอย่างตรงไปตรงมา ความปลอดภัยของเหมียวอี้ตอนอยู่ที่ตลาดผีหลังจากนี้ไป เขาสามารถรับประกันให้ได้ ขณะเดียวกันก็รับประกันด้วยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีของตลาดผี ทางนี้จะช่วยเก็บมาส่งให้ถึงที่ แน่นอนว่ายังอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่บอกใบกันไว้ นั่นก็คือต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และหวังว่าเหมียวอี้จะไม่ก่อเรื่องที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นเฉาหม่านก็จะไม่แน่ใจกับสิ่งที่รับประกันไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน


คำขู่ที่อ่อนนอกแข็งในแบบนี้ เหมียวอี้ทำได้เพียงแข็งใจกล้ำกลืนยอมรับไว้ สิ่งที่เขาทนไม่ได้ที่สุดก็คือการที่มีคนใต้ปกครองกล้ามาขู่คุกคามเขา เวลามีผู้ใต้บังคับบัญชามารังแกผู้บังคับบัญชา นี่คือเรื่องที่เขารับไม่ได้ แต่พอลองคิดดูอีกที ก็สงสัยว่าใครกำลังปกครองใครกันแน่? ตัวเองมาขอข้าวกินอยู่ใต้หนังตาของอีกฝ่ายนะ


ตอนที่ออกไป พ่อบ้านชีเจวี๋ยของตึกศาลาสัตยพรตก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนเหมียวอี้ว่า “แม่ทัพภาคหนิว ที่ตลาดผียังมีสถานที่อีกแห่งที่ดีที่สุดและอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ถ้าเจ้าไปก่อเรื่องที่นั่น ตึกศาลาสัตยพรตก็ปกป้องความปลอดภัยของเจ้าได้ยาก”


เหมียวอี้ที่กำลังจะขึ้นเรืองงงทันที หันกลับมาถามว่า “เป็นสถานที่แบบไหนเหรอ?”


“วัดพระกษิติครรภ์ นั่นคือถิ่นของแดนพุทธ” ชีเจวี๋ยตอบพร้อมรอยยิ้ม

 

 

 


บทที่ 1588 วัดพระกษิติครรภ์

 

ที่แท้ก็เป็นวัดพระกษิติครรภ์ ครั้งก่อนเหมียวอี้ก็เคยได้ยินชื่อนี้มาแล้ว ถึงแม้แดนพุทธจะสงบเสงี่ยมไม่เข้ามายุ่งกับปุถุชน แต่เหมือนว่าจะต้องการยื่นท้าวแทรกเข้าไปทุกที่ แล้วรวบรัดสร้างวัดขึ้นมาหนึ่งวัด แต่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ไม่มีใครสนใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าชีเจวี๋ยเห็นเขาเป็นอะไรไปแล้ว ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มแล้วไม่มีงานทำเสียหน่อย อยู่ดีๆ จะไปก่อเรื่องที่วัดพระกษิติครรภ์ทำไมล่ะ จำเป็นต้องเตือนเรื่องนี้ด้วยเหรอ? เขาจึงถามอย่างสนใจว่า “ที่ตลาดผีมีสถานที่ที่ตึกศาลาสัตยพรตปกป้องไม่ได้ด้วยเหรอ?”


ชีเจวี๋ยตอบว่า “ก็เหมือนที่จวนแม่ทัพภาค จวนแม่ทัพภาคตลาดผีขึ้นตรงต่อตำหนักสวรรค์ วัดพระกษิติครรภ์ก็ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดีเช่นกัน ตึกศาลาสัตยพรตไม่อาจเข้าไปรบกวนที่จวนแม่ทัพภาคได้ง่ายๆ ก็ย่อมไปรบกวนที่วัดพระกษิติครรภ์ไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน ถ้าแม่ทัพภาคหนิวก่อเรื่องที่วัดพระกษิติครรภ์ ก็ต้องให้ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีประสานงานกันโดยตรง โดยทั่วไปตึกศาลาสัตยพรตของพวกเราจะไม่แทรกแซง”


วัดพระกษิติครรภ์ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดีเหรอ? เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมียวอี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ครั้งก่อนไม่มีใครตั้งใจแนะนำวัดพระกษิติครรภ์ให้เขารู้จัก กอปรกับวัดพระกษิติครรภ์อยู่อย่างสงบเสงี่ยม จึงไม่มีใครสนใจ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดี เหมียวอี้แววตาวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ถามหยั่งเชิงว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า วัดพระกษิติครรภ์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีโดยตรงเหรอ?”


ชีเจวี๋ยตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตึกศาลาสัตยพรตสนใจ พอแม่ทัพภาคกลับไปแล้วถามคนเก่าคนแก่ในจวนแม่ทัพภาคสักคนก็จะรู้แล้ว ขออภัยที่ส่งได้ตรงนี้”


“อ้อ! วันหลังค่อยรบกวนอีกที” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วแล้วหันตัวก้าวลงบันไดไปขึ้นเรือ เหยียนซิวที่รออยู่บนหัวเรือแอบไล่คนขับเรือไปแล้ว


ชีเจวี๋ยมองคล้อยหลังครู่หนึ่งแล้วหันตัวกลับมา


ที่ริมหน้าต่างบนตึก เฉาหม่านมองดูเหมียวอี้นั่งเรือจากไปอย่างเงียบๆ แล้วจู่ๆ ยิ้มเบาๆ “คนคนนี้น่าสนใจ”


เฉาเฟิ่งฉือที่มองอยู่ด้านข้างงุนงง ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงด้านไหน


และหลังจากที่เหมียวอี้กลับมาที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว ก็ไปหาคนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคทันที ถามถึงสถานการณ์เกี่ยวกับวัดพระกษิติครรภ์


ชายชราที่ถูกถามชื่อว่าเหออี้กวน อยู่ที่ตลาดผีมานับหมื่นปี การที่ถูกจับโยนมาไว้ที่นี่ได้ ก็แสดงว่าไม่มีเส้นสายหรือภูมิหลังอะไร แต่ก็มีฐานะอาวุโสเมื่ออยู่ที่นี่ อยู่กับเส้นสายทั้งใหญ่ทั้งเล็กที่ตลาดผีมาจนชินแล้ว ทรัพยากรก็พอจะหาได้บ้าง กอปรกับไม่ว่าแม่ทัพภาคคนไหนจะมารับตำแหน่ง เขาทนอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่มาหลายปีขนาดนี้แล้ว ก็นับว่าใช้ชีวิตอย่างชุ่มฉ่ำเช่นกัน ยังย้ายออกไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พอออกจากตลาดผีไปแล้วก็อาจจะไม่ได้ดีไปกว่ากันก็ได้ ไม่สู้อยู่ที่นี่อย่างสงบใจแต่โดยดีไปดีกว่า


สำหรับชื่อเสียงของแม่ทัพภาคที่มาใหม่ท่านนี้ เหออี้กวนก็ได้ยินมาเยอะเหมือนฟ้าร้องที่ดังก้องหู รู้ว่าท่านนี้ไม่ได้อาศัยภูมิหลังฐานะเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาค ก่อนที่จะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ก็ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคที่มีกำลังทหารเยอะกว่าที่นี่ได้แล้ว เป็นทหารกล้าที่สังหารฝ่าออกมา ตอนที่เหมียวอี้มาครั้งแรก เขาก็ไม่รู้ชัดว่าเหมียวอี้มีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ได้ยินว่าไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไร เป็นคนที่มือย้อมไปด้วยคาวเลือด เขาจึงไม่กล้าล่วงเกิน ถามอะไรก็ตอบอันนั้น ถ้ารู้ก็บอกหมด เฝ้าดูสีหน้าของเหมียวอี้อย่างระมัดระวัง


หลังจากได้ถามแล้ว เหมียวอี้ก็แน่ใจแล้วว่าวัดพระกษิติครรภ์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีโดยตรง ไม่เหมือนวัดทั่วไปที่มีเพียงพระอธิการควบคุมอยู่ข้างบน วัดพระกษิติครรภ์มีพระอาจารย์คุมคนเดียว มีแดนสุขาวดีดูแลโดยตรง


พระอาจารย์มีตำแหน่งพอๆ กับระดับแม่ทัพภาคอย่างเขา ถ้าตัดประมุขพุทธะออก แดนพุทธก็มีลำดับจากบนลงล่างคือ พุทธะ วัชระ พระโพธิสัตว์ อรหันต์ พระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ ราชครู พระอธิการ เจ้าอาวาส ระดับที่ต่ำลงไปก็เป็นพวกพระสงฆ์ พุทธะเทียบเท่ากับสี่อ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ วัชระเท่ากับจอมพลของตำหนักสวรรค์ พระโพธิสัตว์เท่ากับเทพประจำดาว อรหันต์เท่ากับท่านโหว พระอาจารย์ใหญ่เท่ากับหัวหน้าภาค พระอาจารย์เท่ากับแม่ทัพภาค ราชครูเท่ากับผู้บัญชาการใหญ่ พระอธิการเท่ากับผู้บัญชาการ เจ้าอาวาสเท่ากับผู้ช่วยผู้บัญชาการ ระดับที่ต่ำลงมาอีกก็จะเป็นพระสงฆ์


ถ้าจะให้เรียงลำดับออกมาสภาพการณ์คร่าวๆ ก็เป็นแบบนี้ แต่แดนพุทธกับตำหนักสวรรค์ยังมีความแตกต่างกัน ถึงแม้แดนพุทธจะสงบเสงี่ยมไม่เข้ามายุ่งกับปุถุชน แต่ก็เข้ามาอยู่ลึกมาก ให้ความสำคัญกับการพลังปรารถนา ถลำลึกเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ธรรมดา แบบนี้ถึงได้มีคำเรียกราชครูปรากฏขึ้น ดังนั้นระดับโดยละเอียดจะไม่เข้มงวดเหมือนตำหนักสวรรค์ ที่เน้นว่าอยู่ระดับไหนมีกำลังพลใต้สังกัดเท่าไร ขอบเขตคำเรียกก็คลุมเครือเช่นกัน หลักๆ กำหนดจากสถานการณ์ในโลกมนุษย์ตรงที่นั้นและตำแหน่งที่อยู่เองอยู่ในที่นั้น


และสถานการณ์ที่เขาภูตพเนจรก็ค่อนข้างพิเศษ บนดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่ คนธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เมื่อไม่มีสาวกก็ย่อมไม่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้อะไรมาก สามารถเข้าใจได้เช่นกันว่าทำไมต้องให้พระอาจารย์มาควบคุมโดยตรง


ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นสถานการณ์พิเศษที่ตลาดผี วัดพระกษิติครรภ์ของที่นี่มีไว้เพื่อสังเกตสถานการณ์ที่นี่ บทบาทที่มากกว่านั้นก็เพื่อเป็นที่พักให้คนแดนพุทธที่มาติดต่อที่นี่ โดยทั่วไปจะไม่รับคนนอกเข้าพัก รับเพียงศิษย์แดนพุทธเท่านั้น ดังนั้นจึงสงบเสงี่ยมมาก


เหมียวอี้ได้ฟังแล้วพยักหน้าช้าๆ หลังจากครุ่นคิดตามเล็กน้อย ก็ถามอีกว่า “พระอาจารย์ท่านนี้เข้าออกแดนสุขาวดีบ่อยเหรอ?”


ตามที่เขารู้มา คนทั่วไปเข้าแดนสุขาวดีไม่ได้ง่ายๆ พระอาจารย์โดยทั่วไปก็เกรงว่าจะมีโอกาสไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีน้อยเช่นกัน ก็เหมือนแม่ทัพภาคทั่วไปที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าๆ ออกๆ ตำหนักสวรรค์


เหออี้กวนตอบอย่างไม่แน่ใจ “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ค่อยรู้ชัดสักเท่าไร ถึงแม้ข้าน้อยจะอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่ก็มได้คลุกคลีกับวัดพระกษิติครรภ์สักเท่าไร ทางนั้นไม่ค่อยอยากให้คนนอกเข้าไปคลุกคลีด้วย แต่ตามที่ข้าน้อยรู้มา พระอาจารย์จี้คงเป็นคนที่แดนสุขาวดีส่งมาโดยตรง คาดว่าคงไปมาหาสู่กันอยู่บ้าง?”


“แล้วถ้าข้าจะเข้าไปกราบไหว้ วัดพระกษิติครรภ์จะอนุญาตให้ข้าเข้าไปรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม


เหออี้กวนยิ้มพร้อมตอบว่า “เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ถึงยังไงนายท่านก็เป็นแม่ทัพภาคที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา มาครั้งแรกแล้วไปนมัสการ มีหรือที่จะไม่ต้อนรับ”


เหมียวอี้พยักหน้า เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ก็โบกมือบอกว่า “ไป! นำทางไป มาครั้งแรกก็ต้องนมัสการเพื่อนบ้านสักหน่อย”


“ขอรับ!” เหออี้กวนเอ่ยรับคำสั่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมท่านนี้อยากไปวัดพระกษิติครรภ์ก็ตาม


“ไปวัดพระกษิติครรภ์แล้วเหรอ?”


พอได้รับรายงานจากหยางเจาชิง อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างงุนงง จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิด พอจะเดาได้แล้วว่าเหมียวอี้คิดจะทำอะไร นางถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าบอกใบ้ว่ารู้แล้ว


วัดพระกษิติครรภ์ก็เหมือนกับตึกศาลาสัตยพรต มีน้ำล้อมรอบสี่ด้าน ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตั้งตระหง่านต่อเนื่องกันอยู่ในน้ำทั้งข้างบนและข้างล่าง แร่ธาตุผลึกผสมสลักออกมาเป็นเค้าโครงวัดแห่งหนึ่ง หน้าประตูมีโคไฟแขวนเรียงอยู่หนึ่งแถว แต่กลับทำให้คนรู้สึกอึดอัดในความเย็นเยียบพิศวง ฝั่งซ้ายและขวาของประตูใหญ่มีรูปสลักสัตว์ประหลาดน่าเกลียดฝั่งละหนึ่งตัว ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกกลัว


ประตูใหญ่กำลังเปิดอยู่ พระสงฆ์สองรูปยืนประนมมือเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ


เหออี้กวนรีบเดินไปตรงประตู แต่กลับถูกพระสงฆ์สองรูปนั้นขวางไว้ หลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำ ก็รีบเดินกลับมาหาเหมียวอี้ที่เดินมาพร้อมเหยียนซิว แล้วบอกว่า “นายท่าน พวกเขาต้องการตรวจสอบตัวตนของนายท่าน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ไปรายงานให้”


เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกขุนนางมายื่นให้ เหออี้กวนใช้สองมือรับไว้แล้วรีบนำไปยื่นให้พระที่เฝ้าประตู หนึ่งในนั้นเฝ้าระตู แล้วให้พระอีกรูปเข้าไปรายงานข้างใน ส่วนพวกเหมียวอี้ก็รออยู่ข้างนอก กำลังมองสำรวจสภาพโดยรอบ


ผ่านไปไม่นาน พระที่เข้าไปรายงานก็นำพระสงฆ์อ้วนท้วนสมบูรณ์รูปหนึ่งที่สวมจีวรสีเทาแกมน้ำเงินออกมา พระที่รายงานรีบเดินเข้ามาคืนแผ่นหยกขุนนางให้ ขณะเดียวกันก็แนะนำว่า “ท่านคือพระอาจารย์จี้คง เป็นผู้ดูแลวัดนี้”


“อ้อ!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที “จะบังอาจรบกวนให้พระอาจารย์จี้คงออกประตูมารับได้ยังไง”


พระอาจารย์จี้คงมีสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร รีบมองประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า แล้วประนมมือกล่าวว่า “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของแม่ทัพภาคมานานแล้ว พอได้ยินว่าแม่ทัพภาคหนิวมารับตำแหน่งวันนี้ อาตมากำลังรอให้ท่านแม่ทัพภาคจัดแจงเรื่องที่พักให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปเยี่ยม ช้าไปก้าวหนึ่งจนต้องรบกวนให้แม่ทัพภาคมาด้วยตัวเองแล้ว ล่วงเกินแล้ว”


นี่ไม่ใช่คำพูดตามมารยาทเสียทั้งหมด เขาได้ยินชื่อเสียงของเหมียวอี้มานานมากแล้วจริงๆ ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตเสียขนาดนั้น จะไม่ให้ได้ยินชื่อก็คงยาก เขาอยากจะไปเยี่ยมเยียนเหมียวอี้จริงๆ ต่อให้ควบคุมจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นไว้ แต่ก็อยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ในใจก็รู้สึกฉงนเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะมาพึง คาดว่ายังไม่รู้สถานการณ์ในจวนแม่ทัพภาคชัดเจนด้วยซ้ำ ทำไมถ่อมาถึงที่นี่แล้วล่ะ


เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีเดิมทีก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว มาเป็นครั้งแรกก็ย่อมต้องมาทำความรู้สึกเพื่อนบ้านเสียหน่อย”


จี้คงหัวเราะเบาๆ แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิวเชิญเข้าไปดื่มน้ำชา”


“เชิญ!” เหมียวอี้ก็ยื่นมือเชิญเช่นกัน ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเข้าไป เหยียนซิวกับเหออี้กวนก็ได้เข้าไปอย่างราบรื่นเช่นกัน


พูดคุยยิ้มแย้มกันมาตลอดทางจนถึงห้องรับแขก พอเข้ามาในห้องแล้วนั่งลง ก็มีเณรน้อยนำน้ำชามาวางให้ เหยียนซิวกับเหออี้กวนรออยู่ด้านนอกห้อง


หลังจากดื่มน้ำชาแล้ว จี้คงที่ค่อนข้างเป็นมิตรก็เป็นฝ่ายเชิญให้เหมียวอี้เยี่ยมชมวัดพระกษิติครรภ์ แล้วคอยพูดแนะนำด้วยตัวเอง คนทั่วไปไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้แน่นอน ต่อให้เป็นระดับสูงกว่านี้ก็ไม่แน่ ปรระเด็นสำคัญคือตำแหน่งของเหมียวอี้อยู่ในที่เหมาะเจาะกำลังดี กอปรกับได้ยินว่าเหมียวอี้ก่อเรื่องได้ง่ายถ้าไม่พอใจอะไร จี้คงถึงได้พยายามคอยอยู่เป็นเพื่อน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงดูปรองดองกันมาก จะเห็นได้ว่าวัดพระกษิติครรภ์ไม่อยากให้ความสัมพันธ์กับแม่ทัพภาคแข็งทื่อ


พอเดินอยู่ในวัดพระกษิติครรภ์ได้รอบหนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถามว่า “วัดพระกษิติครรภ์ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดี ไม่ทราบว่าพระอาจารย์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีบ่อยหรือไม่?”


จี้คงไม่รู้ว่าเขาถามเรื่องนี้ทำไม แต่ก็ยิ้มตอบว่า “หลายปีจะกลับไปฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรม”


เหมียวอี้พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของแดนสุขาวดีมานานแล้ว แต่จนใจที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ ไม่เคยมีวาสนาได้พบเลย ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสติดตามพระอาจารย์ไปเจอของจริงหรือไม่?”


จี้คงตอบว่า “อาศัยภูมิหลังของแม่ทัพภาค ถ้าต้องการจะไปแดนสุขาวดี ยังจำเป็นต้องให้อาตมาแนะนำอีกเหรอ แค่จวนท่านอ๋องบอกให้ก็เพียงพอแล้ว”


“ดูท่าแล้วพระอาจารย์เหมทือนจะไม่ค่อยเต็มใจนะ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ


ข่าวลือไม่ใช่เรื่องโกหก คำพูดที่กล่าวออกมาไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด จี้คงพึมพำในใจ กลัวนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะทำอะไรซี้ซั้ว คนที่ถูกโยนมาไว้ในตลาดผีย่อมไม่มีภูมิหลังสักเท่าไร จึงไม่กล้าเล่นอะไรแผลงๆ กับเหมียวอี้ เขารับไม่ไหวหากตำหนักสวรรค์มาถามหาความรับผิดชอบ จึงว่ายหน้ายิ้มเจื่อน “แม่ทัพภาคกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าแม่ทัพภาคมีความตั้งใจจริงๆ อาตมาก็จะนำทางให้เอง”


ถ้าเปลี่ยนเป็นแม่ทัพภาคทั่วไป เขาอาจจะไม่โอนอ่อนขนาดนี้ คนของแดนสุขาวดีไม่จำเป็นต้องกลัวคนของตำหนักสวรรค์ และชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อก็ฉาวโฉ่ไปทั้งตลาดแล้ว ว่ากันว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้หมด กอปรกับภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ จึงทำให้เขากลัวเกรงอยู่บ้าง


“ดี!” สิ่งที่เหมียวอี้ต้องการก็คือะประโยคนี้ “หนิวจะจำคำพูดของพระอาจารย์เอาไว้ วันหลังต้องได้มารบกวนแน่นอน”


จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องตลาดผี เหมียวอี้ไม่ได้รีบออกไปจากที่นี่ ด้วยการต้อนรับอันอบอุ่นของจี้คง เหมียวอี้จึงอยู่รับประทานอาหารที่นี่


ตอนที่กล่าวอำลาอย่างเป็นทางการ เหมียวอี้ก็กล่าวเชิญชวนเช่นกัน “วันหลังจะต้องเชิญพระอาจารย์ไปนั่งที่จวนแม่ทัพภาคสักหน่อย ถึงตอนนั้นพระอาจารย์ปฏิเสธนะ”


“เคารพมิสู้ทำตาม!” จี้คงที่เดินมาส่งถึงหน้าประตูประนมมือกล่าว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)