ลำนำบุปผาพิษ 1584-1593
บทที่ 1584 สรุปแล้วเขาเผยพิรุธออกมาตรงไหนกัน?
มิเช่นนั้นจะถูกสุราควบคุมโดยสมบูรณ์ ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายออกมาไม่ได้
แผนการในยามนี้ ก็คือต้องคลี่คลายความระแวงในจิตใจนางอย่างรวดเร็วก่อนแล้วค่อยแก้ฤทธิ์สุราบนร่างนาง
ถ้าต้องการคลายความระแวงในใจนางก็มีแต่ต้องเข้าสู่ความฝันของนาง พานางออกมาก่อน…
ตี้ฝูอีหลับตาลงเล็กน้อย ร่ายเวทวิชา เข้าสู่ความฝันนางทันที…
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วที่บุกตะลุยอยู่ท่านกลางน้ำโคลนถูกวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนรายล้อมไว้จู่ๆ ก็ได้พบเห็นคนคุ้นเคย…หลานไว่หู
ร่างหลานไว่หูดูสะบักสะบอม โผล่ออกมากลางแอ่งโคลน “ซีจิ่ว…”
กู้ซีจิ่วเพิ่งจะสังหารนักฆ่าไร้หน้าที่ล้อมโจมตีเธอไปไม่กี่ตัว ทันทีที่เห็นหลานไว่หูก็ผงะไปครู่หนึ่ง ด้านหลังหลานไว่หูยังมีนักฆ่าที่ร้ายกาจยิ่งนักติดตามมาอีกหลายคน ทุกกระบวนท่าหมายเอาชีวิต หลานไว่หูหลบหลีกอย่างจนตรอก คล้ายว่าจะถูกสังหารได้ทุกเมื่อ…
หากเป็นเมื่อก่อน พอกู้ซีจิ่วเห็นหลานไว่หูตกอยู่ในอันตราย นางจะพุ่งเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่คิดอะไรเลย แต่ยามนี้นางกลับยืนขมวดคิ้วมองอยู่ตรงนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาช่วยเหลือเลย
หรือว่าแม้แต่หลานไว่หูนางก็ไม่เชื่อใจแล้ว?
ข้อสงสัยนี้แวบเข้ามาในใจของตี้ฝูอี
เขารู้ว่ากู้ซีจิ่วไม่เชื่อใจเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงแปลงเป็นหลานไว่หูมาหาทางพานางออกไป กลับนึกไม่ถึงว่า…
ถึงอย่างไรเขาก็มีปฏิสัมพันธ์กับหลานไว่หูเป็นระยะเวลาสั้นๆ ทราบถึงนิสัยใจคอและกระบวนท่าทั้งหมดของหลานไว่หู ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าครั้งนี้ตนปลอมเป็นนางได้สมบูรณ์แบบ เป็นไม่ได้ที่จะเผยพิรุธ แล้วเหตุใดกู้ซีจิ่วจึงไม่เชื่อเล่า?
ฝันนี้เป็นความฝันของกู้ซีจิ่ว ที่นี่ความคิดของนางจะแข็งกล้าที่สุด นักฆ่าในความคิดของกู้ซีจิ่วย่อมเป็นนักฆ่าที่ร้ายกายเป็นที่สุดเช่นกัน ตี้ฝูอีใช้ได้เพียงกระบวนท่าของหลานไว่หู ย่อมรับมือได้ยากเป็นพิเศษ ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ จู่ๆโคลนเลนใต้ร่างเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหล่มโคลนดูดกลืนคน ร่างของเขาเริ่มจมลึกลงไปอย่างรวดเร็ว…
หากว่ากู้ซีจิ่วถูกผู้อื่นสังหารในความฝัน ก็ยังไม่แน่ว่านางจะตาย อย่างมากก็แค่ทำลายการบำเพ็ญเท่านั้น
แต่ตี้ฝูอีที่ฝืนเข้าสู่ความฝันของนางหากว่าตายอยู่ที่นี่ ก็จะสิ้นชีพลงจริงๆ ไม่มีช่องทางหวนคืนแล้ว!
“ซีจิ่ว ช่วยข้าด้วย!” สองขาของตี้ฝูอีจมลงไปครึ่งหนึ่งแล้วอยากจะดึงขึ้นก็ดึงไม่ออก เขายื่นมือไปหานาง “ช่วยข้าด้วย…” เขาจะปล่อยให้ตัวเองตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ มิเช่นนั้นหากว่ากู้ซีจิ่วทราบความจริงเข้าในภายหลังเกรงว่าแตกสลายเอาได้…
กู้ซีจิ่วหลุบตามองของเขาที่ยื่นมาหา นัยน์ตาคู่นั้นร่อนลงบนหน้าเขา จู่ๆ ก็เปิดปากขึ้น “เจ้าไม่ใช่จิ้งจอกน้อย! เจ้าคือผู้ใด?!”
กู้ซีจิ่วเงียบไป สรุปแล้วเขาเผยพิรุธออกมาตรงไหนกัน?
เขากวาดตามองรอบข้างอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง มือสังหารเหล่านั้นหายไปแล้ว แต่วิกฤตของเขากลับยังไม่คลี่คลายเลย…
เขามองเธอตาอย่างน่างสงสาร “ซีจิ่ว ข้าคือจิ้งจอกน้อยไง เจ้าช่วยข้าออกไปก่อนเถอะ…”
มุมปากกู้ซีจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่! เจ้าไม่ใช่!” เธอหันหลังจากไป ไม่หันกลับมาอีก
ร่างของตี้ฝูอีจมดิ่งลงไปเร็วยิ่งขึ้น พริบตาเดียวก็ถึงบั้นเอวแล้ว “ซีจิ่ว ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าข้าจะตายนะ…ซีจิ่ว!”
เสียงของจิ้งจอกน้อยที่แว่วอยู่ด้านหลังรันทดยิ่งนัก ราวกับค่อนข้างหวาดกลัวแล้ว
รอยยิ้มเย็นๆ ตรงมุมปากกู้ซีจิ่วหยักลึกกว่าเดิม
เขายังคิดจะหลอกเธออีกหรือ? คนเราสะดุดล้มที่เดิมครั้งเดียวก็พอแล้ว ถ้าสะดุดล้มอีกครั้งนั่นคือคนโง่!
การตกอยู่ในห้วงฝันของเธอครั้งนี้ถึงอย่างไรก็แตกต่างกับครั้งก่อน ครั้งก่อนเธอไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝัน แต่ครั้งนี้เธอถูกขังอยู่สักพักก็ทราบแล้ว
เธอทราบชัดเจนว่าตัวเองกำลังฝัน แต่ว่าภายในจิตใต้สำนึกของเธอยินดีที่จะถูกขังอยู่ในความฝันที่คล้ายกับแอ่งโคลนนี้ เข่นฆ่าสังหารกับเหล่านักฆ่าร้ายกาจที่โผล่ออกมาไม่ขาดสายเหล่านั้น ไม่อยากตื่นไปเผชิญหน้ากับโลกนั้นชั่วคราว
————————————————————————————-
บทที่ 1585 ไม่เชื่อเขา! เธอไม่เชื่อเขาอีกต่อไปแล้ว!
ในฝันร้ายครั้งนี้ ถึงแม้คนที่เข้ามาโจมตีเธอเหล่านั้นจะร้ายกาจ แต่ล้วนมองไม่เห็นใบหน้าทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของเธอสร้างขึ้นมา
มีเพียง ‘หลานไว่หู’ คนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น
ชัดเจนยิ่งนักว่า ‘หลานไว่หู’ เป็นผู้อื่นที่บุกรุกเข้ามาในความฝันของเธอ
‘หลานไว่หู’ ไม่มีความสามารถในการเข้ามาในความฝันของเธอเช่นนี้ และในโลกนี้ คนที่สามารถเข้าฝันเธอได้ซ้ำยังใช้วิชาแปลงกายได้ก็ไม่มีใครอื่นแล้ว มีเพียงตี้ฝูอีคนเดียว!
เขาเข้ามาในความฝันของเธออีกทำไม?
มาช่วยเธอ?
หรือว่ามาหลอกเธออีก?
บางทีเขาคงต้องการให้หลานจิ้งเคอคืนชีพขึ้นมาอยู่ตลอดกระมัง จึงฉวยโอกาสที่เธอตกอยู่ในห้วงฝันร้ายเข้ามาผนึกความทรงจำของตัวเธอกู้ซีจิ่วอีกครั้ง ให้หลานจิ้งเคอกลับมาใช่ไหม?
เมื่อนึกถึงวิธีการสองอย่างที่เขาใช้ต่อเนื่องกัน กู้ซีจิ่วก็ยิ้มหยัน นี่คือวิธีการอย่างที่สามของเขาสินะ?
เช่นนั้นก็ช่างทำทุกวิถีทางจริงๆ!
ตี้ฝูอี เจ้าวางแผนต่อข้าเช่นนี้ จิตใจที่มีมโนธรรมไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยจริงๆ ใช่ไหม?!
ความเศร้าโศกแทบจะเผาผลาญอยู่ในใจ และเมื่ออารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง ตี้ฝูอีก็จมดิ่งลงไปเร็วยิ่งขึ้น พริบตาเดียวก็ท่วมถึงคอแล้ว…
เขาหายใจแทบไม่ออก มองแผ่นหลังเดียวดายของนางที่เดินห่างไปเรื่อยๆ เขาตัดสินในทันใด ทำได้เพียงตะโกนขึ้นมา “กู้ซีจิ่ว ช่วยข้าที…”
ครั้งนี้เขาใช้เสียงจริงของตัวเอง สลายวิชาแปลงกายแล้ว เผยร่างจริงออกมาท่ามกลางหล่มโคลน
ในที่สุดแผ่นหลังโดดเดี่ยวนั้นก็หยุดลง ค่อยๆ หันกลับมา ด้วยม่านหมอกที่เดี๋ยวทึบเดี๋ยวจางขวางกั้นอยู่ สายตาของเธอจับจ้องดวงหน้าเขา เอ่ยอย่างเยียบเย็น “ในที่สุดก็ยอมเผยโฉมหน้าจริงแล้วหรือ? ตี้ฝูอี ครั้งนี้เจ้าคิดจะเล่นละครอันใดอีก?” เธอยิ้มเยาะ “เจ้าอย่าฝันว่าจะหลอกข้าได้อีก!”
“ซีจิ่ว ปล่อยข้าออกไป มิเช่นนั้นข้าจะตายอยู่ที่นี่…” ตี้ฝูอีก็พูดความจริงแล้วเช่นกัน
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา “เจ้าก็ตายเป็นงั้นหรือ?” แล้วยิ้มอีกครั้ง นั่งกอดเข่ามองเขาอยู่ตรงนั้นเสียเลย “โอ้ ใช่แล้ว ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกไว้ ในความฝันนี้ข้าคือผู้มีสิทธิ์ขาด หกว่าเจ้าตายอยู่ที่นี่ก็เป็นการตายอย่างแท้จริง…ดูเหมือนการเข้ามาของเจ้ามีจะความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง คิดจะฉวยโอกาสตอนข้าตกอยู่ในฝันร้ายผนึกข้าไว้อีกครั้งใช่ไหม? เจ้าเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้เพื่อนางสินะ? เจ้าแน่วแน่ที่จะผนึกข้าถึงเพียงนี้ เพื่อให้นางฟื้นขึ้นมาใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีเงียบงัน เขาเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย เพียงมองดูเธอ
การเงียบของเขาถือเป็นการยอมรับโดยดุษณีในสายตาของกู้ซีจิ่ว ฝ่ามือเธอค่อยๆ กำเข้าหากัน เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ราวกับเธอไม่รับรู้ถึงความเจ็บ เธอสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง คล้ายข่มกลั้นอะไรไว้ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “เช่นนั้นอาศัยสิ่งใด้ให้ข้าช่วยเหลือเจ้า?! ตี้ฝูอี เจ้านึกว่าข้าเป็นแม่พระมาเกิดจริงๆ หรือไง?!”
ไม่คิดจะสนใจเขาอีก พอลุกขึ้นมาก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายหายลับไป
ส่วนตี้ฝูอีที่อยู่ข้างหลังเธอก็ค่อยๆ ถูกโคลนท่วม ในที่สุดก็มิดศีรษะ…
ไม่เชื่อเขา! เธอไม่เชื่อเขาอีกต่อไปแล้ว!
เขามาสังหารเธอเพื่อให้นางในดวงใจเขาฟื้นคืนชีพ แล้วทำไมเธอต้องให้เขาสมหวังด้วยล่ะ?
เธอต้องการให้เขาลิ้มรสการจมมิดหัว! ต่อให้เขาตายอยู่ที่นี่ก็ถือว่ารนหาที่เอง! ผู้กล้าวางแผนปองร้ายตัวเธอกู้ซีจิ่วล้วนต้องมีจุดจบที่เลวร้าย!
ความสุขกระจายอยู่ในหัวใจ เธอยืนอยู่ในโคลนเลนอดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าหัวเราะเสียงดัง
ยิ่งเสียงหัวเราะดังสนั่นเท่าไหร่ หมอกสีเทาที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายเธอก็หมุนวนเสมือนบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น เธอหัวเราะอย่างบ้าดีเดือด และหัวเราะทั้งน้ำตา
เธอยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง หลังจากปล่อยปลอยความปีติสุขออกมาแล้วความหวาดหวั่นมหาศาลก็ขยายขึ้นมาในใจ ความหวาดหวั่นเอ่อล้นขึ้นมาทีละระลอก สุมขึ้นเป็นกองตามเวลาที่ผ่านไป
ถ้าหากเขาตายอยู่ใรความฝันของเธอจริงๆ…
ในสมองเธอเกิดเสียงดังตูม มือไม้อ่อนแรงทันที สูดหายใจเฮือกหนึ่ง เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายกลับไปในทันใด!
สัญชาตญาณด้านทิศทางของเธอแข็งแกร่งยิ่ง กลับไปยังตำแหน่งที่ตี้ฝูอีเคยยืนอยู่ได้แทบจะในชั่วพริบตา
บทที่ 1586 กำไลคู่บุพเพ
หล่มโคลนยังคงอยู่ตรงนั้น แต่ตี้ฝูอีหายไปแล้ว…
แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เธอกระโจนเข้าไป ฝ่ามือล้วงลงไปทันที ควานหาเขาในแอ่งโคลน
แต่หลังจากล้วงลงไปกลับสัมผัสถึงตัวเขาไม่ได้เลย คว้าได้เพียงน้ำโคลน
สองมือเธอว่างเปล่า สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที
หรือว่าเขาจะหนีออกจากความฝันเธอไปแล้ว?
สมองเธอเกิดเสียงดังหึ่งๆ แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว
เธอเกลียดเขาจริงๆ แต่ก็ทนมองเขาตายไม่ได้ และสามารถกล่าวได้ว่าไม่กล้าจินตนาการให้เขาตายเลย…
เธอพยายามสงบสติตัวเองอย่างเต็มที่ สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตะโกนเสียงกร้าว “ฝันของข้าข้าคือนาย! หากว่าเขายึดกุมไว้ ก็ส่งกลับขึ้นมาให้ข้า!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในหล่มโคลนก็มีระลอกคืนกระเพื่อม จากนั้นศีรษะของตี้ฝูอีก็โผล่ขึ้นมา…
ดวงตาเขาปิดสนิทไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นหรือตาย…
กู้ซีจิ่วแทบไม่เสียเวลาคิดเลย โผเข้าไปลากเขาออกมาทันที!
ร่างเขาเต็มไปด้วยโคลน แทบจะมองโฉมหน้าเดิมไม่ออกแล้ว นอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้าเธอ
เธอทรุดกายลงนั่งยองๆ ร่ายคาถามชำระล้างลงบนร่างเขา ชำระล้างคราบโคลนบนหน้าเขาก่อน เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาของเขา
สีหน้าของเขาขาวซีดอย่างยิ่ง แต่ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว เขายังมีลมหายใจอยู่
ไม่เสียทีที่เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ พอออกมาจากหล่มโคลนนั้นได้ เขาก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว ลุกขึ้นนั่ง
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้น “เจ้า…”
กู้ซีจิ่วแทบจะหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้นแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรือว่าเศร้าใจ ครู่หนึ่งก็เปล่งวาจาออกมา “ตี้ฝูอี เห็นแก่ที่ข้าไม่สังหารเจ้า สามารถเพิกถอนการวิวาห์นี้ได้หรือไม่?”
นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นของตี้ฝูอีมองเธออยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยออกมาเพียงคำเดียว “ได้!”
กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับอย่างยินดีเช่นนี้ จึงผงะไปเล็กน้อย มองเขาอย่างคลางแคลง
ตี้ฝูอีสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นยืน กล่าวเรียบๆ ว่า “กู้ซีจิ่ว ร่างนี้เป็นของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะถนอมมันให้ดี ถึงอย่างไรก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะมันจะเป็นเช่นนี้ได้ เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเถอะ การหลบหนีแก้ปัญหาอะไรไม่ได้”
….
เมื่อกู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นมา ก็มองเห็นมือตนที่ประสานกันแน่นกับตี้ฝูอีเข้าพอดี และกำไลคู่บุพเพบนข้อมือของทั้งสองคู่นั้นก็เริ่มแตกสลาย สลายเป็นจุดแสงระยิบระยับ ล่องลอยในอากาศ เบาบาง จางหายไป
เธอชักมือตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่โล่งอกอย่างยิ่งก็รู้สึกราวกับว่าสูญเสียชิ้นส่วนขนาดใหญ่ตรงหัวใจไป เจ็บปวดและว่างเปล่ายิ่งนัก!
เธอจำที่ตี้ฝูอีเคยบอกเอาไว้ได้ กำไลคู่บุพเพวงนี้เป็นตัวแทนของวาสนาระหว่างเขากับเธอ เมื่อสวมกำไลคู่บุพเพไว้ เขาและเธอจะสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้ หากว่าฝายใดฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในอันตรายอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ทันที หากฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพลง กำไลคู่บุพเพนี้จะแตกหักทันที อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้ได้ ไม่อาจปิดบังไว้ได้
เงื่อนไขที่ทำให้กำไลคู่บุพเพแตกสลายมีอยู่สองข้อ หนึ่งคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพ สองคืออยู่บนพื้นฐานที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมล้มเลิกสัญญาหมั้นหมาย ตัดขาดวาสนาอย่างสิ้นเชิง…
เธอนึกว่าเธอต้องสวมกำไลวงนี้ไปชั่วชีวิต รักใคร่หวงแหนมันไปชั่วชีวิต นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่ใช่เจ้าของมัน ตั้งแต่ต้นจนจบมิใช่สิ่งที่มีอยู่เพื่อเธอเลย
ตี้ฝูอีลืมตาขึ้นช้ากว่าเธอเล็กน้อย วินาทีที่เขาลืมตาขึ้น ได้เห็นยามที่กำไลคู่บุพเพกลายเป็นละอองแสงสลายหายไปพอดี
เขาจ้องมองข้อมืออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลุกขึ้นมา มองเธอแวบหนึ่ง สูดหายใจเบาๆ “การหมั้นหมายนี้เพิกถอนเรียบร้อยแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว ซีจิ่ว รักษาตัวด้วย” เขาหมุนกายจากไป
————————————————————————————-
บทที่ 1587 วาสนานำพามาบรรจบ วาสนาจากจรไปจึงร้างลา
กู้ซีจิ่วใจหายอย่างยิ่ง อยู่ด้านหลังเขาเอ่ยถามเสียงหนักประโยคหนึ่ง “ตี้ฝูอี เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าความทรงจำของข้าไม่ได้หายไป?”
ตี้ฝูอีชะงักฝีเท้า ไม่ได้หันกลับมา “ใช่แล้ว”
“ดังนั้นเจ้าเลยต้องการสังหารข้า จากนั้นก็คืนชีพให้หลานจิ้งเคอสินะ?” นี่คือหนามหยอกอกที่หนักหนาที่สุดในใจเธอ
ตี้ฝูอีค่อยๆ หันกลับมา มองเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หักใจทำร้ายนางไม่ลงอีก เอ่ยเรียบๆ ว่า “ซีจิ่ว ข้าไม่เคยคิดจะสังหารเจ้าเลย ยังมีอีก ต่อให้เจ้ากับข้าไร้วาสนาต่อกันแล้ว เจ้าก็อย่าได้นำเรื่องวิวาห์ของเจ้ามาล้อเล่น เช่นนั้นผู้ที่เสียเกียรติจะมีเพียงตัวเจ้าเอง เจ้าก็เคยบอกไว้นี่ ใส่ใจเพียงว่าเคยได้ครอง ไม่สนใจตราบชั่วฟ้าดิน ถึงอย่างไรพวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันมาแปดปีแล้วมิใช่หรือ? ให้พวกเราอยู่กันด้วยดีจบกันด้วยดีเถิด นับจากวันนี้ไปข้าจะไม่เรื่องอะไรของเจ้าอีก เจ้าก็อย่าได้พะวงถึงข้าอีกเลย…”
กู้ซีจิ่วกำมือจนนิ้วขาวซีด ทว่ามุมปากกลับมีรอยยิ้มหยันบางๆ “ได้!”
ตี้ฝูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังจากไป
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนไหวอยู่เนิ่นนาน จิตใจว่างเปล่าขาวโพลนไปชั่วขณะ
เธอรู้ว่านับแต่นี้ไปขุนเขาสูงสายธารยาวไกลเธอกับเขาจะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว ไม่มีทางมาบรรจบกันได้อีก เขาเดินบนหนทางรุ่งโรจน์ของเขา เธอเดินบนหนทางยากเข็ญของเธอ เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาไป ส่วนเธอก็มีเส้นทางของตัวเองที่ต้องฝ่าฟันเช่นกัน…
ที่แท้วาสนาระหว่างเขากับเธอก็เป็นเช่นนี้ วาสนานำพามาบรรจบ วาสนาจากจรไปจึงร้างลา
วาสนานำพามา เขาดึงดันบุกเข้ามาในโลกของเธอ พังทลายกำแพงที่เดิมทีแกร่งกล้าของเธอ ครองคู่โบยบินกับเธอแปดปี ทำให้เธอเห็นเขาเป็นที่พึ่งของตนไปโดยไม่รู้ตัว เชื่อถืออย่างหมดหัวใจ หลงนึกว่าจะได้อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต…
วาสนาจากจรไป เขาแยกตัวจากไปอย่างผ่าเผย จากไปอย่างไม่แส เขาบอกว่าต้องการอยู่ด้วยดีจากด้วยดี…
เขาคงจะไม่เคยรู้เลย ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจชีวิตอมตะไม่แก่ไม่เฒ่ามากขนาดนั้น เธอรู้สึกว่าการที่คนเราเวียนว่ายตายเกิดได้นั้นดีที่สุดแล้วจริงๆ ทุกชาติล้วนไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระในชาติก่อน เสมือนการผจญภัยที่แตกต่างกันออกไป จากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุด ทิวทัศน์ระหว่างสองข้างทางงดงามเป็นที่สุด
ส่วนการเป็นอมตะจะต้องแบกรับความทรงจำมากมายเกินไป พบเจอคนที่คุ้นเคยกันมากเกินไป มนุษย์ยิ่งมีชีวิตยืนยาวมากเท่าไหร่ยิ่งสูญเสียตัวตนดั้งเดิมไปมากเท่านั้น…
เพื่อจะครองรักกับเขาเธอถึงทุ่มเทไขว่คว้าความเป็นอมตะสุดชีวิต เพียงเพื่อได้อยู่ข้างกายกันไปชั่วนิรันดร์ ให้เขาไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป สองคนจับมือจูงมือกัน ก้าวต่อไปโดยพึ่งพาอาศัยกันและกัน
ยามนี้ในที่สุดเธอก็ได้ชีวิตอมตะมาแล้ว แต่วาสนาของเธอกับเขามีเพียงแปดปีเท่านั้น…
สายตาเธอร่อนลงบนข้อมือซ้ายเปลือยเปล่าของตน ที่ตรงนั้นเคยมีกำไลคู่บุพเพรัดพันอยู่ ยามนี้กลับว่างเปล่าแล้ว
หยกนภาไม่ต้องหึงหวงริษยามันอีกต่อไปแล้ว
ตี้ฝูอีเคยบอกไว้ กำไลนี้มีเพียงคนทั้งสองยินยอมถอนหมั้นกันทั้งสองฝ่ายหรือยามที่ฝ่ายฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพเท่านั้นถึงจะสลายไป
วินาทีที่เขาตอบตกลงในความฝันของเธอ กำไลนี้ก็เริ่มแตกสลายแล้ว ไม่มีทางหวนกลับมาอีก
ตอนที่เขายังไม่ตอบรับ ความคิดเธอล้วนวนเวียนอยู่ที่ต้องบังคับเขากลับมาถอนหมั้นให้ได้ ยามนี้เมื่อเพิกถอนไปจริงๆ แล้ว ความรู้สึกเธอเสมือนเหยียบย่างอยู่บนหน้าผาสูงหมื่นจั้งอีกครั้ง
บางทีลึกๆ ในใจของเธอ อาจไม่เคยเชื่อเลยว่าเขาจะไร้เยื่อใยต่อเธอโดยสมบูรณ์แล้ว ต้องการบังคับให้เขาแสดงจิตใจที่แท้จริงออกมา…
ยามนี้ผลลัพธ์ปรากฏแล้ว สุดท้ายเธอก็ว่างเปล่า
….
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่าสรุปแล้วทั้งวันนี้เธอคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วอะไรคิดหรือไม่
หลานเหยากวงรอคอยอย่างกระวนวายอยู่ตลอด เขาเห็นแล้วว่าตี้ฝูอีจากไปโดยไม่หันกลับมาเลย เดิมทีคิดจะเข้าไปดูกู้ซีจิ่วในห้อง แต่ประตูห้องปิดเอาไว้แน่นสนิท เขาก็ไม่กล้าไปเคาะเช่นกัน
บทที่ 1588 ไม่มีสิ่งใดคงเดิมมิแปรผัน
วันต่อมา ในที่สุดประตูก็เปิดออก กู้ซีจิ่วก้าวออกมา
หลานเหยากวงพินิจนางอยู่เงียบๆ คราหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวหม่น ทรงผมเรียบร้อยน่ามอง ถึงแม้ใต้ตาจะคล้ำเป็นวงเล็กน้อย แต่ก็ดูสุขมีชีวิตชีวา ทั้งตัวคนดูเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก้าวเข้าไปทักทาย “พี่หญิง ท่านสร่างแล้วหรือ?”
หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วเตือนเขาไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าตนไม่ใช่พี่สาวของเขา จนปัญญาที่ประมุขเผ่าเงือกผู้นี้หัวรั้นยิ่งนัก เรียกขานว่าพี่หญิงๆ ไม่ขาดปากอยู่ตลอด ปรับให้แล้วก็ไม่แก้อยู่ดี ไปๆ มาๆ เช่นนี้ กู้ซีจิ่วจึงคร้านจะปรับแก้ให้เขาแล้ว
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขากำลังชวนคุย กู้ซีจิ่วจึงพยักหน้าให้เล็กน้อย ตอบอืมคราหนึ่ง
สายตาของหลานเหยากวงหันเหไปที่ข้อมือของกู้ซีจิ่ว ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ถึงอย่างไรเขาก็มีชีวิตอยู่หลายพันปีแล้ว เป็นบุคคลรอบรู้ผู้หนึ่งเช่นกัน ทราบว่ากำไลที่นางสวมติดตัวก่อนหน้านี้คือกำไลคู่บุพเพ เป็นคู่กับวงนั้นที่อยู่บนข้อมือของตี้ฝูอี เขาหลงนึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะจับมือเคียงกันกับพี่หญิงไปชั่วชีวิตเสียแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า….
สวรรค์ลิขิตวาสนา ในเมื่อเป็นบุพเพที่สวรรค์กำหนดให้แล้ว เช่นนั้นย่อมเป็นวาสนาที่ดีที่สุด คนสองคนรักกันด้วยใจจริง ชนิดที่ว่าผู้ใดก็พรากให้จากกันไม่ได้ ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากสวรรค์ รักกันลึกซึ้งถึงขั้นที่สามารถพลิกผันดวงชะตาได้
บนโลกนี้มีคู่รักที่ได้รับกำไลคู่บุพเพอยู่น้อยยิ่งนัก นับว่าได้รับการอำนวยพรอย่างแท้จริง
คราแรกที่หลานเหยากวงเห็นบนร่างเดิมของกู้ซีจิ่วมีกำไลวงนี้อยู่ยังประหลาดใจยิ่งนักอยู่เลย เนื่องจากในอดีตท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หมั้นหมายกับหลานจิ้งเคอพี่สาวของเขานานถึงเพียงนั้น ในกาลก่อนบนข้อมือไม่เคยปรากฏสิ่งนี้ขึ้นมาเลย เหตุใดเขากับมนุษย์คนหนึ่งถึงมีกำไลคู่บุพเพได้เล่า?
ถึงแม้จะบอกว่านี่เป็นกายเนื้อของมนุษย์ที่เตรียมไว้ให้พี่สาวของเขาหลานจิ้งเคอ แต่หลานเหยากวงก็รู้สึกอยู่เสมอว่าค่อนข้างประหลาด
สวรรค์ลิขิตวาสนาสามารถได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์ได้ แต่ถ้ามนุษย์ต้องจะถอดถอน ก็จะถูกสวรรค์ทอดทิ้ง
สามีภรรยาคู่อื่นๆ ต่อให้ร้างลากันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะหวนกลับมาคืนดีกัน แต่วาสนาที่สวรรค์ลิขิตเมื่อถอดถอนแล้วความเป็นไปได้จะหมดไปอย่างสิ้นเชิงเลย!
มิน่าเล่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นเขาตะโกนเรียกอยู่ด้านหลังตั้งหลายครั้งท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่หันกลับมาเลย ตรงออกไปยังมหาสมุทรทันที
ดูเหมือนการรับสวามีข้างตั่งของ ‘พี่หญิง’ จะเหยียบถูกขีดจำกัดของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิงแล้ว…
แต่ว่า ถ้าหากเป็นเพราะเหยียบถูกขีดจำกัดแล้วถึงได้ถอนหมั้นดังว่า แล้วเหตุใดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังอุ้มนางกลับมาอีกเล่า? ซ้ำยังรั้งอยู่ในห้องนางเนิ่นนานถึงเพียงนั้น…
บางทีอาจเป็นเพราะถึงอย่างไรท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังรักพี่หญิงอยู่กระมัง?
และบางทีอาจเป็นเพราะเขาคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หน้าตาสำคัญเป็นที่สุด ถ้าพี่หญิงยังหมั้นหมายกับเขาต่อหนึ่งวันก็ยังเป็นว่าที่ภรรยาของเขาอีกหนึ่งวัน เขาย่อมไม่อาจปล่อยให้นางเร่ไปนัดพบดื่มสุรากับชายอื่นด้านนอกได้…
ข้อสันนิษฐานนับไม่ถ้วนแวบผ่านเข้ามาในสมองของหลานเหยากวง เพียงแต่เขายังคงรายงานเรื่องสำคัญที่สุดแก่กู้ซีจิ่ว “พี่หญิง ช่วงสายวันนี้หลานเฝ่ยเคยมาหาท่าน เขาเป็นห่วงท่าน…”
กู้ซีจิ่วโบกมือ “บอกกับเขาไป ข้าไม่ต้องการสวามีข้างตั่งแล้ว วันหน้าเขาไม่จำเป็นต้องมาอีก”
หลานเหยากวงพูดไม่ออกแล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะเกาหัว หลายวันมานี้เขาเกลี้ยกล่อมกู้ซีจิ่วว่าอย่าได้รับสวามีข้างตั่งอะไรเลยจนปากเปียกปากแฉะ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ฟังเลย ยามนี้นางถอนหมั้นกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว นางกลับไม่ต้องการสวามีข้างตั่งอีกต่อไป…
เขายังอยากพูดอะไรต่อ ทว่ากู้ซีจิ่วถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “เหยากวง เจ้ารู้จักหลานจิงจิงหรือไม่?”
หลานเหยากวงตะลึงไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบอย่างไม่อ้อมค้อม “รู้จักสิ นางเป็นสหายสนิทของพี่หญิง เมื่อก่อนคยเที่ยวเล่นกับพี่หญิงอยู่เสมอ นับว่าเป็นสหายที่ดีที่สุดของพี่หญิง ปีนั้นที่พี่หญิงสิ้นชีพนางก็เสียใจยิ่งนัก…”
————————————————————————————-
บทที่ 1589 วาสนานำพามาบรรจบวาสนาสิ้นสุดจึงจากจร
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง หลานจิงจิงก็คือคู่รักของหลานจิ้งเคอที่ตี้ฝูอีเล่าให้เธอฟัง
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะมีความทรงจำของหลานจิ้งเคอมากมาย แต่ล้วนแยกเป็นส่วนๆ ทั้งสิ้น คล้ายว่าใช้เวทวิชาบางอันใดควบรวมออกมา ทว่าไม่สามารถเชื่อมให้เป็นปึกแผ่นได้ และในความทรงจำที่กระจัดกระจายเหล่านี้ก็ไม่มีเรื่องราวของหลานจิงจิงเลยสักนิด อย่างมากก็มีเพียงสองสามภาพเท่านั้น
ดังนั้นในสมองกู้ซีจิ่วจึงมีแค่เงาร่างเลือนรางของหลานจิงจิง ทราบว่านางมีรูปลักษณ์อย่างไร ทว่าจำความสัมพันธ์แนบชิดคลุมเครือเหล่านั้นระหว่างหลานจิ้งเคอกับหลานจิงจิงไม่ได้เลย
“หลานจิงจิง ตอนนี้นางยังสบายดีหรือไม่? อยู่ที่ไหน? ข้าอยากไปเยี่ยมสักหน่อย” กู้ซีจิ่วกล่าวจุดประสงค์ของตนออกมา
หลานเหยากวงส่ายหน้า “พี่หญิง ท่านพบนางไม่ได้แล้ว นางตายไปแล้ว”
กู้ซีจิ่วตะลึงเล็กน้อย “…ตายได้อย่างไร?”
“นางฟังคำสั่งบิดามารดาออกเรือนกับแม่ทัพคนหนึ่งของเผ่าเงือก แม่ทัพคนนั้นปฏิบัติต่อนางไม่ดียิ่งนัก ทุบตีนางทุกสองสามวัน แม้กระทั่งตั้งครรภ์ใกล้ครบวาระแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย สุดท้ายนางจึงแท้งบุตร ตกเลือดมากเกินไปจนถึงแก่ความตาย”
กู้ซีจิ่วถามต่ออีก “…แม่ทัพคนนั้นเล่า?”
“ถูกประหารแล้ว พี่หวงออกคำสั่งด้วยตัวเอง”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนไหน?”
“น่าจะห้าพันปีก่อนกระมัง ข้าจำเวลาที่แน่ชัดไม่ได้แล้ว คล้ายว่ายามนั้นพี่หญิงสิ้นชีพไปได้ไม่นานหลานจิงจิงก็ออกเรือนแล้ว”
หัวใจกู้ซีจิ่วหนักอึ้งเล็กน้อย หากว่าหลานจิงจิงเป็นคนรักลับๆ ของหลานจิ้งเคอจริงๆ นางจะออกเรือนกับคนอื่นไวถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? เช่นนี้ไร้เยื่อใยเกินไปหน่อยกระมัง?!
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถามหลานเหยากวงด้วยคำถามที่เกี่ยวข้องกับหลานจิงจิงต่อเนื่องกันอยู่สองสามข้อ แต่ยามนั้นหลานเหยากวงยังเล็กอยู่จริงๆ เขาก็มีความทรงจำต่อหลานจิงจิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทราบว่านางเป็นสหายสนิทของหลานจิ้งเคอ เรื่องอื่นไม่รู้เลยจริงๆ
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลานเหยากวงมองเธอตาเป็นประกาย ทำให้เธอตกใจ “เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไม?”
“พี่หญิง จู่ๆ ท่านก็ถามเรื่องหลานจิงจิงขึ้นมา นึกอะไรออกแล้วใช่หรือไม่?” หลานเหยากวงมองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมความคาดหวัง คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “พี่หญิงยังมีสหายเก่าบางส่วนอยู่ในเผ่าเงือก พี่หญิงอยากพบพวกนางหรือไม่? ยามนั้นสหายสนิทของท่านมิได้มีเพียงหลานจิงจิงคนเดียว ยังมีอีกสองสามคนนะ! ความสัมพันธ์ของพี่หญิงกับพวกนางล้วนแน่นแฟ้นยิ่ง ปีนั้นก่อนที่จะสิ้นชีพยังฝากฝังให้พี่หวงช่วยดูแลพวกนางอยู่เลย…ยามนี้พวกนางล้วนยังมีชีวิตอยู่ดี ยังมีสองคนที่ได้เป็นแม่ทัพของเผ่าเงือกด้วย ถ้าพี่หญิงอยากพบพวกนาง สามารถเรียกพวกนางมาได้ในทันที”
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า “ได้!”
ประสิทธิภาพของหลานเหยากวงว่องไวยิ่ง ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็เรียกสหายห้าคนของหลานจิ้งเคอในปีนั้นมาได้แล้ว มีทั้งหญิงและชาย หญิงมากชายน้อย
ถ้อยคำหลอกถามคนของกู้ซีจิ่วยังคงมีชั้นเชิงยิ่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าพนักงานไต่สวนมืออาชีพเลย เธอพูดคุยกับคนเหล่านั้นอยู่นานซักพัก คิดจะทำความเข้าใจเรื่องของหลานจิ้งเคอกับหลานจิงจิงสักหน่อย แต่เธอพูดคุยอยู่เนิ่นนานยิ่ง ก็ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยคจากการสนทนาเลย ในสายตาของพวกเขา หลานจิ้งเคอกับหลานจิงจิงไม่ได้ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกันสักเท่าไหร่
ท่ามกลางเหล่าสหายในสายตาของแม่ทัพหญิงท่านหนึ่ง มีความรู้สึกว่าแม่นางน้อยอ่อนแอเช่นหลานจิงจิงไม่คู่ควรจะสหายของหลานจิ้งเคอเลย ที่หลานจิ้งเคอดีต่อหลานจิงจิงก็เพียงเพราะมีประวัติชีวิที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงสงสารนางและได้กลายเป็นสหายกับนาง
ปีนั้นหลังจากหลานจิ้งเคอสิ้นชีพ สหายเหล่านี้ของนางโศกเศร้าหม่นหมอง ก้าวข้ามความเสียใจไม่ได้เป็นเวลานาน แต่หลังจากย่างเข้าปีที่สองที่หลานจิ้งเคอสิ้นชีพหลานจิงจิงก็ออกเรือนไป อีกทั้งยามที่ออกเรือนยังมีขบวนเจ้าสาวยาวสิบลี้ด้วย พิธียิ่งใหญ่อลังการนัก นี่ทำให้พวกเขาเหล่านี้อึดอัดใจยิ่งนัก รู้สึกว่าหลานจิงจิงไม่มีหัวจิตหัวใจ…
สรุปแล้วก็คือ คนเหล่านี้ไม่มีสักคนเลยที่ทราบว่าหลานจิ้งเคอกับหลานจิงจิงมีความสัมพันธ์แอบแฝงกันอยู่
บทที่ 1590 สรุปแล้วเธออยากรู้อะไรกันแน่ล่ะ?
ทว่าพวกเขากลับรู้เรื่องราวระหว่างหลานจิ้งเคอกับหวงถูในปีนั้นไม่น้อยเลย
สองคนนี้เป็นคู่หมั้นกันจริงๆ ทั้งสองเคยทำศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กัน หวงถูแย่งชิงตำแหน่งประมุขให้หลานจิ้งเคอ ในสายตาของคนเผ่าเงือก พวกเขาคือคู่กิ่งทองใบหยก สุดท้ายหลานจิ้งเคอก็พลีชีพเพื่อเส้นทางการใหญ่ของเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู และท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ทุ่มเทกายใจหนุนให้หลานเหยากวงน้องชายของหลานจิ้งเคอขึ้นเป็นประมุขเผ่า ไม่แต่งงานจวบจนยามนี้
เมื่อส่งคนเหล่าจากไปแล้ว กู้ซีจิ่วก็ยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ
กู้ซีจิ่ว สรุปแล้วเธออยากรู้อะไรกันแน่ล่ะ? หรือว่าอยากจะยืนยันอะไร?
คิดว่าถ้าหลานจิ้งเคอกับหลานจิงจิงเป็นคู่รักกันจริงๆ เช่นนั้นความรักลึกซึ้งที่ตี้ฝูอีมีต่อหลานจิ้งเคอก็จะเป็นของปลอม เป็นการเล่นละครให้ตัวเธอกู้ซีจิ่วดูใช่ไหม? ตอนนี้ที่ไร้เยื่อใยกับเธอถึงขนาดนี้เพียงเพราะมีเหตุผลอะไรบีบบังคับอยู่ใช่หรือเปล่า?
ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ตนช่างโง่งมและไร้เดียงสายิ่งนัก!
ที่แท้ลึกๆ ในใจตน ยังคงอดไม่ได้ที่จะหาข้ออ้างมาแก้ต่างให้เขา…
โชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตี้ฝูอีนับว่าตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แตกหักกันอย่างหมดจด วันหน้าเธอต้องเดินด้วยตัวเองเพียงลำพังแล้ว
บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่ไม่แยกจากกันไปจริงๆ เวลาคือยารักษาความเจ็บปวดที่ดีที่สุด วันหน้าเธอจะก้าวออกจากบ่วงรักนี้ได้
ไม่ใช่ว่าไม่เคยอกหักเสียหน่อยนี่ เธอมีประสบการณ์แล้ว!
สามปียังลืมไม่ลงเช่นนั้นก็ห้าปี ห้าปีลืมไม่ลงเช่นนั้นก็สิบปีเลย!
เธออาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่เธอจะก้าวออกมาได้ ได้แน่นอน!
….
กู้ซีจิ่วไม่ได้รั้งอยู่ที่วังเงือกต่อ แต่กลับขึ้นมาบนบก กลับไปที่จวนแม่ทัพ
ไม่ได้กลับมาเพียงสิบกว่าวัน อาณาจักรเฟยซิงมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ความสามารถในการฟื้นตัวของประชาชนยังคงแข็งแกร่งนัก ก่อนที่กู้ซีจิ่วจะไปจากทวีปนี้ รอบข้างยังมีซากปรักหักพังอยู่มากมาย ปัญหามากมายรอให้สะสาง กลับมาครั้งนี้ทุกอย่างเจริญรุ่งเรืองแล้ว ประชาชนเริ่มอยู่เย็นเป็นสุขอีกครั้ง
เมื่อกู้ซีจิ่วกลับไปที่จวนแม่ทัพกลับไม่ได้พบกู้เซี่ยเทียน ตามการรายงานของพ่อบ้าน กล่าวว่ายามนี้กู้เซี่ยเทียนไปที่เมืองฝานเย่เป็นเวลากว่าสิบวันแล้ว ยังไม่กลับมาเลย
กู้ซีจิ่วใจเต้นเล็กน้อย เมืองฝานเย่คือสถานที่ที่หลัวซิงหลานพำนักอยู่ในยามนี้ เห็นทีว่ากู้เซี่ยเทียนจะทราบเรื่องที่หลัวซิงหลานยังมีชีวิตอยู่แล้ว จึงไล่ตามไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดเลย
ส่วนจะสามารถตามหลัวซิงหลานกลับมาได้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจทราบได้…
กระจกร้าวหวนประสานเป็นบทละครที่ดี แต่กระจกที่แตกร้าวมาเนิ่นนานแล้วต่อให้ประสานกันได้อีกครั้ง สุดท้ายก็จะมีรอยร้าวมากมายที่ไม่สามารถลบเลือนไปได้…
เรื่องของกู้เซี่ยเทียนกับหลัวซิงหลานกู้ซีจิ่วไม่คิดจะยุ่งอีกแล้ว เธอติดต่อหาหลัวจั่นอวี่ หลัวจั่นอวี่ก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง แต่ไปอยู่ที่เมืองอื่น เนื่องจากกู้เซี่ยเทียนวอแวเขาหนักหนาเกินไป ทำให้เขารำคาญ จึงหนีไปเสียเลย…
เมื่อหลัวจั่นอวี่ได้ยินเสียงกู้ซีจิ่วก็ดีใจยิ่งนัก เรื่องแรกที่ทำก็คือถามว่าเธอกับตี้ฝูอีจะจัดงานมงคลกันเมื่อไหร่
กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าพี่ชายของตนคนนี้มีความสามารถในการตอกย้ำบาดแผลของผู้อื่นได้ยอดเยี่ยมโดยแท้ เธอเงียบไปครู่หนึ่งยังคงบอกไปตามความจริง “ข้าแยกทางกับเขาแล้ว ไม่มีพิธีวิวาห์อีกต่อไปแล้ว”
“อะไรนะ?! เกิดอะไรขึ้น?! เขาหาเรื่องทอดทิ้งเจ้าหรือ?!”
เขาตะโกนเสียงแหลมจนเกือบทำให้กู้ซีจิ่วหูหนวกแล้ว เธอรีบขยับยันต์ถ่ายทอดเสียงให้ห่างไปเล็กน้อย “ท่านอย่าตะโกนได้ไหม เรื่องราวไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก เอาล่ะ ท่านอย่าถามเลย ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”
ด้านหลัวจั่นอวี่ก็ตรงไปตรงมายิ่งนัก “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน?”
“จวนแม่ทัพน่ะสิ ข้าจะไปไหนได้ล่ะ? ใช่แล้ว แม่ทัพกู้ไม่อยู่บ้าน ดูเหมือนเขาจะได้ข่าวแล้วว่าท่านแม่ยังไม่ตาย จึงติดตามไปที่เมืองฝานเย่ทันที ไม่กลับมาหลายวันแล้ว”
————————————————————————————-
บทที่ 1591 ข้าไหนเลยจะอ่อนแอปานนั้น?
หลัวจั่นอวี่หัวเราะหยันคราหนึ่ง “เขาทราบแล้วจริงๆ และทราบด้วยว่ามารดาของพวกเราแต่งกับผู้อื่นแล้ว ทีแรกยังเซื่องซึมอยู่หลายวัน จากนั้นก็ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กล่าวว่าเขาไม่สนว่านางจะเคยแต่งกับผู้อื่นแล้ว และไม่สนว่านางจะมีลูกกับผู้อื่นแล้ว เขาแค่อยากให้นางกลับมา…ใช่แล้ว ตาเฒ่ายังรู้สึกว่าตัวเองดูแก่ไปหน่อยด้วย ใช้สมุนไพรมาย้อมเส้นผม ซ้ำยังทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์สุดกำลัง คิดจะทะลวงพลังวิญญาณให้ถึงขั้นแปด ให้ตัวเองอ่อนเยาว์ขึ้นหน่อย”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก ตาเฒ่าผู้นี้เป็นตะวันจ้ายามลาลับหรืออย่างไร อายุปูนนี้แล้วยังบ้าระห่ำเหมือนหนุ่มๆ อยู่ได้…
จู่ๆ เงาร่างของตี้ฝูอีก็แวบขึ้นมาในใจ ดูเหมือนอายุของเขาจะมากกว่ากู้ซีจิ่วมากมายนัก พอที่จะเป็นท่านปู่ของท่านปู่ของบรรพบุรุษกู้เซี่ยเทียนได้เลย คนผู้นั้นช่างสมกับเป็นปาท่องโก๋แก่ที่มีชีวิตโชกโชน ต่อให้สังหารคนก็ไม่ต้องชดใช้ชีวิต เฉียบแหลมอยู่เสมอจนน่ากลัว ตัวเธอเมื่อเทียบกับเขาแล้วเสมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง ถูกเขาปั่นหัวเล่น หวั่นไหว สูญเสียหัวใจไป…
หัวใจเจ็บเสียดยิ่งนัก ราวกับมีเพลิงกองหนึ่งลุกโชนอยู่ เธอรีบสะกดเงาร่างของเขาลงไปทันที
หลัวจั่นอวี่เดินทางมาหาอย่างร้อนรนยิ่งนัก ระยะทางเกือบพันลี้เขาใช้เวลาเพียงชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น
ยามที่กู้ซีจิ่วเห็นเขามาถึงก็ตกตะลึง เพิ่งพิศเขาจากหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความมอมแมม เส้นผมถูกลมพัดจนกระเซอะกระเซิง หัวใจพลันอุ่นวาบ “ท่านรีบร้อนมาถึงเพียงนี้ทำไมกัน?”
เมื่อหลัวจั่นอวี่พบหน้ากู้ซีจิ่วก็ต้องตกใจเช่นกัน เดินวนรอบตัวเธอคราหนึ่ง “ซีจิ่ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าดูอ่อนเยาว์ลงมากเลยล่ะ? ฝึกฝนวรยุท์อันใดอีกแล้วหรือ?” จากนั้นก็ดึงเธอให้นั่งลง “มา บอกพี่ใหญ่หน่อยสิ ระหว่างเจ้ากับตี้ฝูอีเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อยู่กันดีๆ จู่ๆ ทำไมถึงล้มเลิกการวิวาห์กันเล่า?”
กู้ซีจิ่วยิ้มขื่น “ท่านรีบร้อนเดินทางมาเพื่อถามเรื่องนี้งั้นหรือ?”
หลัวจั่นอวี่พิศดูสีหน้าของนางอย่างละเอียด ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะดูมีกำลังวังชาดี แต่กลับไม่อาจปิดบังสายตาของหมออย่างหลัวจั่นอวี่ผู้นี้ได้ ถึงแม้น้องสาวของบ้านตนจะดูอ่อนเยาว์ลงไม่น้อย แต่ก็ดูซูบเซียวยิ่งนักเช่นกัน…
“เจ้าไม่ได้กินข้าวอย่างจริงจังมาสองวันแล้วใช่ไหม? ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว พวกเรากินไปคุยไปดีกว่า” หลัวจั่นอวี่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกลากเธอออกไปเลย
ทั้งสองคนไปที่ร้านอาหารบำรุงร้านหนึ่ง หลัวจั่นอวี่ลงมือปรุงอาหารบำรุงให้กู้ซีจิ่วด้วยตัวเองหลายอย่าง ล้วนเป็นของที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเธอยิ่งนัก ซ้ำยังมีสีสันหอมหวนชวนลิ้มลองด้วย ยกมาวางไว้ตรงหน้ากู้ซีจิ่ว “มาเถอะ ลองชิมฝีมือพี่ชายดู”
กู้ซีจิ่วชิมทุกอย่างอย่างล่ะสองสามคำ แล้วยกนิ้วโป้งให้เขา “เยี่ยม! ฝีมือการครัวของท่านสามารถเทียบชั้นกับพ่อครัวระดับสูงได้เลย ไปหัดมาตอนไหนกัน?”
หลัวจั่นอวี่นั่งลงตรงข้ามเธอ หลังจากชิมทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว ก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “เจ้าชอบรสชาติอ่อนๆ แต่อาหารเหล่านี้ล้วนเค็มไปหน่อยทั้งสิ้น สมควรจะไม่ถูกปากเจ้าสิ เจ้าชิมไม่ออกจริงๆ หรือ?”
นัยน์ตากู้ซีจิ่ววูบไหว ตอนนี้เธอดูสุขุมเยือกเย็นเช่นปกติ แต่หัวใจกลับลุกเป็นไฟ ไม่ว่าจะกินอะไรในปากก็ไม่รับรู้รสชาติทั้งนั้น ย่อมชิมไม่ออกว่าดีหรือแย่…
เธอคีบอาหารจานหนึ่งมา ค่อยๆ กิน เอ่ยยิ้มๆ “พี่ ท่านคิดมากไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดคงเดิมมิแปรผันหรอก อย่างเช่นรสปากของข้าไง เมื่อก่อนชอบกินรสอ่อนอยู่บ้างจริงๆ แต่ตอนนี้ชอบกินรสเค็มแล้ว ดังนั้นอาหารเหล่านี้ที่ท่านทำจึงถูกปากข้า”
หัวใจของหลัวจั่นอวี่พลันปวดแปลบ กำจอกในมือแน่น “ซีจิ่ว ต่อหน้าข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนทำตัวเข็มแข็งหรอก หากว่าเจ้าอยากร้องไห้เจ้าก็ร้องออกมาเถอะ ข้าจะให้เจ้าซบไหล่เอง”
ดวงตากู้ซีจิ่วร้อนผ่าวเล็กน้อย ทว่ากลับยิ้มออกมา “ข้าไหนเลยจะอ่อนแอปานนั้น? เพียงแค่อกหักเท่านั้น ข้าชินแล้ว”
เธอเพิ่งกล่าวประโยคนี้จบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘เพล้ง’ แว่วมาจากห้องรับรองส่วนตัวที่อยู่ติดกัน คล้ายเสียงจอกสุราร่วงลงพื้น
บทที่ 1592 ข้าจะต้องได้รับคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้
สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง ระหว่างที่ดื่มสุราอยู่ในห้องรับรองเช่นนี้มีจอกสุราตกแตกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก ไม่จำเป็นต้องตระหนกตกใจเลย
หลัวจั่นอวี่เงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง ห้องข้างคล้ายว่าจะมีเสียงคนอยู่จำนวนหนึ่ง ดูเหมือนจะมีคนหกเจ็ดคนกำลังดื่มสุรากัน
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ่ยขึ้นว่า “จิ่วเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? บอกพี่ได้นะ น้องสาวของพี่ไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมารังแกแล้วจากไปได้!”
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะทำให้ตัวเองกลายเป็นร่างอวตารของเมียเซียงหลิน[1] พร่ำรำพันถึงความโชคร้ายของตน ดังนั้นเธอเพียงแค่หมุนจอกสุราไปมา “ไม่เป็นไร เพียงแค่จู่ๆ ก็พบว่านิสัยเข้ากันไม่ได้เท่านั้น จากนั้นจึงแยกทางกัน”
เห็นได้ชัดว่าหลัวจั่นอวี่ไม่เชื่อว่าเธอจะเลิกราด้วยเหตุผลสามัญประจำบ้านเช่นนี้ ถามต่อเนื่องกันอีกหลายครั้ง จนปัญญาที่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่กู้ซีจิ่วไม่อยากพูด ไม่ว่าเขาจะหลอกถามอย่างไรก็หลอกถามออกมาไม่ได้
หลัวจั่นอวี่ร้อนรนแล้ว “จิ่วเอ๋อร์ ถ้าเจ้ายังไม่พูดอีก พี่จะไปสอบถามที่จวนทูตสวรรค์ด้วยตัวเองแล้วนะ! ข้าจะต้องได้รับคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้!”
กู้ซีจิ่วรู้สึกเหนื่อยแล้ว “ท่านต้องการคำอธิบายอันใดเล่า?”
“เจ้า…ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่ได้แต่งกันที่โลกภายนอก แต่เจ้าก็ออกเรือนกับเขาในเขตหวงห้ามแล้ว! เขาจะมาบอกว่าเลิกก็เลิกไม่ต้องการเจ้าแล้วได้อย่างไร?!”
“ความหมายที่ท่านจะพูดก็คือ ข้าถูกเขากินมาแปดปีจะให้กินเปล่าๆ ไม่ได้ใช่หรือไม่?” กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปาก
หลัวจั่นอวี่คาดไม่ถึงว่าเธอจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไม่เห็นด้วยยิ่งนัก “จิ่วเอ๋อร์!”
กู้ซีจิ่วโบกมือไปมา “พี่ ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า แต่เรื่องของข้ากับเขาข้าไม่ต้องการให้คนอื่นสอดมือเข้ามายุ่ง ยังมีอีกข้าย้ายร่างแล้ว ยามนี้ร่างนี้ของข้าใหม่เอี่ยมหมดจด ยังบริสุทธิ์อยู่ และครั้งนี้ก็เป็นข้าเองที่บีบให้เขาถอนหมั้น หากว่าเขาไม่ยอมถอนหมั้น ข้าจะรับสวามีข้างตั่ง”
หลั่วจั่นอวี่ตกตะลึง
เขาตาค้างอ้าปากหวอ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้บ่นขึ้นมา “จิ่วเอ๋อร์ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจ้ารักเขาถึงเพียงนั้น เพื่อเขาแล้วเกือบเอาชีวิตของตนเข้าแลกตั้งหลายครั้ง เขาผิดปกติเพียงเล็กน้อยเจ้าก็กระวนกระวายแทบตายแล้ว เหตุใดจึงบีบให้เขาถอนหมั้นเล่า? นี่ไม่เหมือนตัวเจ้าเลย ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ยังมีอีก ย้ายร่างอันใดกัน?”
เขามองพิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครา “ข้าเห็นว่าเจ้าดูอ่อนเยาว์ลงกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง แต่พลังยุทธ์ยังคงแข็งแกร่งยิ่งนักนี่ ไม่มีอะไรต่างจากเมื่อก่อนเลย…”
เขาเป็นหมอ คราแรกไม่ได้สังเกต ยามนี้หลังพินิจดูกู้ซีจิ่วอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มองออกว่านางยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่จริงๆ
เขาโง่งมไปแล้ว มึนงงดั่งน้ำเข้าสมอง
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว เรื่องนี้ถ้าอธิบายขึ้นมาก็ต้องอธิบายกันโขยงใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นร่างโคลนนิ่งเอย ทัณฑ์สวรรค์เอย ฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์ของตี้ฝูอีเอย บุญคุณความแค้นข้อพิพาทของหลานจิ้งเคอกับตี้ฝูอีเอย…
เรื่องโขยงใหญ่เหล่านี้ถ้าอธิบายขึ้นมาก็ต้องพูดกันอยู่หนึ่งชั่วยาม ตอนนี้เธอเหนื่อยใจแล้ว ไม่อยากอธิบายมากมากถึงเพียงนี้
ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องของเขากับเธอต่อให้เล่าให้หลัวจั่นอวี่ทราบทั้งหมดแล้ว ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอันใดได้ รังแต่จะทำให้คนใกล้ชิดพลอยกลัดกลุ้มไปด้วย
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงยิ้มแวบหนึ่ง “เอาเถอะ เรื่องนี้ให้สิ้นสุดกันตรงนี้ ข้าไม่อยากพูดถึงมันอีก อ่อ ข้าจำได้ว่าท่านทำขนมกุ้ยฮวาอบชนิดหนึ่งเป็น ข้าอยากกินขนมอบประเภทนั้น เห็นแก่ที่ข้าช้ำรักอยู่ มิสู้ท่านปลอบใจข้าหน่อย ทำให้ข้าสักชุดได้หรือไม่?”
เมื่อเธอกล่าวมาถึงตรงนี้ หลัวจั่นอวี่ก็ไม่สะดวกจะถามต่อแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะหาจังหวะไปสอบถามต้นสายปลายเหตุจากตี้ฝูอีโดยตรง
กู้ซีจิ่วคล้ายว่าจะเดาความคิดของเขาออก จึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ หากว่าท่านเป็นห่วงข้าจริงๆ ก็อย่าได้ไปหาเขา ระหว่างข้ากับเขาเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว! ท่านไปหาเขามีแต่จะทำให้ข้าลำบากใจกว่าเดิม”
หลัวจั่นอวี่เงียบงัน
“พี่ รับปากข้าสิ! มิเช่นนั้นท่านจะไม่ได้พบหน้าข้าอีกต่อไป! ข้าพูดจริงทำจริงนะ!” กู้ซีจิ่วกล่าวด้วยสุ้มเสียงจริงจัง
————————————————————————————-
บทที่ 1593 จะไม่ยอมถูกคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกด้วย
“ได้!” หลัวจั่นอวี่ทำได้เพียงรับปาก
เขาเอ่ยปลอบใจเธอ “จิ่วเอ๋อร์ บนโลกนี้มีบุรุษดีๆ อยู่ถมเถไป! เจ้าก็ไม่ต้องเสียใจจนเกินไปหรอก ด้วยคุณสมบัติของเจ้าขอเพียงอยากหา สามีเช่นใดบ้างเล่าที่อยากได้แล้วจะหาไม่ได้? เขาเสียเจ้าไปเป็นเข้าที่เสียหายแล้ว ชั่วชีวิตนี้เขาจะหาสตรีที่เลิศล้ำเช่นเจ้าอีกไม่ได้แล้ว!”
กู้ซีจิ่วดื่มสุราอึกหนึ่ง ยิ้มนิดๆ “ข้าชอบถ้อยคำนี้! วางใจเถอะ พี่ ก็แค่อกหักครั้งหนึ่งเท่านั้น ข้าจะถือซะว่าเป็นฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างย่อมดีขึ้น”
พลางกะพริบตาเร่งรัด “รีบไปทำขนมอบสิ!”
หลัวจั่นอวี่ปรับอารมณ์ตามไม่ทันแล้ว
เขายื่นมือไปลูบหัวกู้ซีจิ่ว “มองไม่ออกเลยว่าเจ้าก็เป็นตัวตะกละน้อยผู้หนึ่ง” พลางหันหลังก้าวออกไปทำขนมอบ
กู้ซีจิ่วมองแผ่นหลังเขาหายลับไปที่ปากบันได รอยยิ้มตรงมุมปากค่อยๆ จางลง
เธอเริ่มกินอาหารบนโต๊ะอย่างช้าๆ
ก็แค่อกหักเท่านั้น ฟ้าไม่ได้ถล่มเสียหน่อย เธอจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้! ชั่วชีวิตของคนเรา มิได้มีเพียงความรักอย่างเดียว ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ควรค่าให้กระทำ
เชื่อว่าอีกไม่นาน เธอจะกลับไปเป็นแม่นางผู้มีจิตใจห้าวหาญคนนั้นได้อีกครั้ง
“ตี้ฝูอี เจ้าไปตายซะ! พี่สาวจะสลัดเจ้าทิ้งไปสุดขอบฟ้า จะไม่จดจำว่าเจ้าสลักสำคัญอันใดอีกแล้ว! เธอหยักยิ้มมุมปาก” งับอาหารอย่างดุดัน!
ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีความอยากอาหาร ถึงขั้นที่ชิมรสชาติของอาหารไม่ออกด้วยซ้ำ แต่เธอก็พยายามกินพยายามกลืนอย่างเต็มที่ พยาพยามจุนให้ตัวเองมีสุขภาพแข็งแรง
จะไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ระทมเหมือนเมียเซียงหลินเด็ดขาด! จะไม่ยอมถูกคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกด้วย!
เธอกระตุ้นตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า เริ่มเคลื่อนทัพเข้าหาอาหารโอชะเหล่านั้น
….
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นตอนกลางวัน ทว่าที่นี่กลับมีแสงดาวเจิดจ้าแยงตา
ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนแท่นชมดาว ครั้งนี้เขาไม่ได้ชมดาวเฉกเช่นที่ผ่านมา แต่กำลังมองดูลูกแก้วขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะภายในห้องโถง บนลูกแก้วคล้ายมีแสงมงคลรายล้อมอยู่ ภาพแต่ละฉากค่อยๆ ฉายขึ้นบนนั้น เป็นร้านอาหารบำรุง เป็นกู้ซีจิ่วกับหลัวจั่นอวี่…
สีหน้าเขาซีดขาวจนแทบโปร่งแสงแล้ว นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นดั่งซากหินบรรพกาล สายตาไม่ละไปจากลูกแก้วนั้นเลยสักชั่วขณะ
ความจริงแล้วบนลูกแก้วฉายเพียงภาพเท่านั้น ไม่มีเสียง
แต่เขายังคงอ่านรูปปากของพวกเขาออกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
ช่วงสุดท้ายที่กู้ซีจิ่วพูดกับตัวเองดูคล้ายจะเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ทำให้เขายกมุมปากขึ้นอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ ยิ้มอ่อนๆ
แต่แล้วรอยยิ้มจางๆ นั้นก็เลือนหายไป นิ้วมือเขาลูบลงบนลูกแก้วเบาๆ ราวกับกำลังลูบศีรษะของนางผู้เป็นที่รักอยู่ “ซีจิ่ว ขออภัยด้วย…”
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าพลันมืดมิด ส่ายโงนเงนเล็กน้อย ภาพบนลูกแก้วที่ต้องใช้พลังวิญญาณเกื้อหนุนอยู่ตลอดพลันเลือนหายไป
เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง รอให้ความรู้สึกวิงเวียนนั้นหายไปแล้ว ถึงได้ก้าวออกมา
มู่เฟิงก้าวเข้ามาหา “นายท่าน”
เขามองเจ้านายของบ้านตนอย่างเป็นกังวล หลังจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมาจากใต้สมุทร สีหน้าก็ซีดเซียวยิ่งนักอยู่ตลอด ท่าทางเหมือนได้รับบาดเจ็บสาหัสมา
หลังจากกลับมาก็ไม่ได้กักตนฟักฟื้น สั่งการให้เขาไปจัดการเรื่องบางอย่างจากนั้นก็เข้าไปขลุกอยู่ในโถงชมดาวแห่งนั้น จวบจนยามนี้ถึงได้ออกมา
ผ่านมาสองวันแล้ว สีหน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงดูไม่มีสีสันเลย ดูเหมือนจะซีดเซียวยิ่งกว่าเก่าด้วย…
“นายท่าน นายต้องการพักผ่อนสักหน่อยไหมขอรับ?” มู่เฟิงถามอย่างอดไม่อยู่
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้ารู้ตัวดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องพักผ่อน ใช่แล้ว เผ่าจิ้งจอกครามมีความเคลื่อนไหวอะไรไหม?”
มู่เฟิงกล่าวตอบ “หลานเยวี่ยแห่งตระกูลจิ้งจอกครามได้พาหลานไว่หูกลับไปที่เผ่าจิ้งจอกครามแล้วขอรับ จัดการหารือเรื่องงานวิวาห์แล้ว ยามนี้ทั้งเผ่าของเขากำลังจัดเตรียมงานวิวาห์อยู่”
————————————————————————————-
[1] เมียเซียงหลิน เป็นตัวละครหญิงในบทประพันธ์ของหลู่ซวิ่นนักเขียนชื่อดัง เนื้อเรื่องคือสามีของนางสิ้นชีพ ครอบครัวฝั่งสามีบังคับให้นางแต่งงานใหม่ นางจึงหนีไปทำงานที่บ้านสกุลหลูและได้แต่งงานใหม่ ต่อมาสามีใหม่เสียชีวิตนางจึงต้องกลับไปที่บ้านสกุลหลูอีกครั้ง สกุลหลูรังเกียจที่นางเป็นม่ายสามีตายถึงสองครั้ง จึงมอบเงินให้นางและขับไล่ออกไปวันขึ้นปีใหม่ สุดท้ายนางก็สิ้นชีพ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น