คัมภีร์วิถีเซียน 1584-1586

ตอนที่ 1584 หวาหวา

 

ในเมื่อเจี่ยเทียนมู่มีความสามารถด้านเคล็ดวิชาหุ่นเชิดระดับนี้ เดิมทีก็เป็นผู้ที่ชาญฉลาดมาก เมื่อได้ยินหานลี่ถามเช่นนี้ ย่อมเดาเจตนาของเขาได้ในทันที


 


 


“ข้าน้อยอยากอาศัยเขตอาคมส่งตัวไปถึงแผ่นดินใหญ่อื่นจริงๆ” จนถึงครานี้หานลี่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง เอ่ยอย่างซื่อสัตย์


 


 


“จะใช้เขตอาคมส่งตัวนั้น เกรงว่าจะยาก” เจี่ยเทียนมู่หัวเราะอย่างขมขื่น ไม่ได้ถามสาเหตุของหานลี่ แค่สั่นศีรษะเป็นพัลวัน


 


 


“ข้ารู้ว่าเขตอาคมส่งตัวนี้ต้องจ่ายจำนวนมหาศาล แต่ไม่ว่าจะเท่าไหร่ ก็จะยืมใช้สักครั้ง ข้าแค่อยากถามสหายว่า จากฐานะคนนอกเผ่าของข้า มีโอกาสจะยืมเขตอาคมส่งตัวนี้ได้หรือไม่” หานลี่จ้องเจี่ยเทียนมู่เขม็ง แล้วตอบกลับอย่างแช่มช้า


 


 


ใบหน้าของเขาไม่มีความประหลาดใจเลยสักนิด แต่ความจริงแล้วหัวใจกลับแล่นขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ


 


 


ประโยคสุดท้าย ถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขา!


 


 


“ในเมื่อสหายถามเช่นนี้ ข้าก็จะพูดตามความจริง หากพี่หานคือเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีต้นกำเนิดจากเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเรา การใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดครั้งหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่จากสถานะของพี่หานในตอนนี้ กลับเป็นเรื่องที่แสนยาก ทว่าในสถานการณ์ที่เผ่าแมลงมีเขากำกำลังรุกรานเข้ามาในยามนี้ กลับยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หากสหายสามารถสร้างคุณงามความดีให้กับเผ่าเมฆาสวรรค์ระหว่างสงคราม ก็อาจจะพอต่อรองได้ ในเผ่านั้นข้ารับหน้าที่แค่หลอมหุ่นเชิด ส่วนเรื่องที่เป็นรูปธรรมนั้นเกรงว่าสหายจะต้องไปคุยกับเหล่าอาวุโสเอาเอง จะว่าไปแล้ว เป็นเพราะสงคราม สิบสามเผ่าของพวกเราจึงกำลังรับสมัครแขกผู้มีเกียรติจากนอกเผ่า ส่วนพี่หานที่เคยสังหารเผ่าแมลงมีเขาในระดับเดียวกัน ข้าได้เอ่ยกับเหล่าอาวุโสของเผ่าแล้ว พวกเขาสนใจสหายหานเป็นอย่างมาก” เจี่ยเทียนมู่ครุ่นคิดเล็กน้อย และไม่ได้เอ่ยอย่างมั่นใจตรงๆ


 


 


หานลี่ได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ก็ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


จากนิสัยของเขา แน่นอนว่ายี่สิบส่วนในร้อยส่วนคงไม่อยากเข้าร่วมสงครามของทั้งสองเผ่าแน่ สงครามเผ่าพันธ์ขนาดใหญ่เช่นนี้ แม้ว่าผู้ที่มีพลังยุทธ์อย่างเขา หากไม่ทันระวังก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำได้


 


 


“ขอบพระคุณสหาย ข้าน้อยจะกลับไปครุ่นคิดดู แต่ผู้แซ่หานอยากพบอาวุโสของเผ่าเจ้า ไม่ทราบว่าสหายเจี่ยจะจัดการให้ได้หรือไม่” หานลี่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถาม


 


 


“ข้าน้อยรับของขวัญชิ้นใหญ่มาจากสหายหาน เรื่องเล็กแค่นี้ย่อมทำได้ไม่มีปัญหา” เจี่ยเทียนมู่ได้ฟังคำพูดของหานลี่ ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


หานลี่ได้ยินคำตอบเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มออกมา


 


 


จากนั้นหานลี่ก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องเขตอาคมส่งตัวอีก แต่พูดคุยเรื่องหุ่นเชิดกับเจี่ยเทียนมู่เล็กน้อย


 


 


เจี่ยเทียนมู่พูดถึงเคล็ดวิชาหุ่นเชิด ชั่วขณะนั้นแววตาก็เปล่งประกาย ปากเปล่งคำพูดออกมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนพูดถูกจุด


 


 


และความสามารถด้านหุ่นเชิดของเขาก็น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง คำพูดไม่น้อยทำให้หานลี่ได้ฟังแล้วพลันขบคิดไปครู่ใหญ่ และเบิกสติปัญญาให้เขาไม่น้อย ได้ผลประโยชน์ไม่น้อยจริงๆ!


 


 


ส่วนทักษะหุ่นเชิดที่หานลี่รู้มาจากเทพขับเคลื่อนก็มีจุดพิเศษเช่นกัน ทำให้เจี่ยเทียนมู่ประหลาดใจ และยิ่งชอบพูดคุยกับหานลี่มากยิ่งขึ้น!


 


 


หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หานลี่ก็ลงมาจากภูเขาหมอกเมฆาโดยมีเจี่ยเทียนมู่มาส่ง และกลับไปยังที่พัก


 


 


เมื่อเข้าไปในห้องพัก หานลี่ก็เปิดเขตอาคมออกในทันใด ปิดผนึกที่พักเอาไว้ จากนั้นก็เดินที่มุมห้อง แล้วนั่งขัดสมาธิลง


 


 


การไปของเขาในครั้งนี้ แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบที่พอใจที่สุด แต่ก็นับว่าเข้าใจเรื่องเขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดมาหลายส่วน และยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้หุ่นเชิดสะท้านฟ้าที่มีประโยชน์ไม่น้อยมาด้วย


 


 


หานลี่แววตาเปล่งประกายสองสามครั้ง มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ในมือมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าปรากฏขึ้นในมือ


 


 


เขาไม่ต้องคิดมาก เปิดฝากล่องออกเบาๆ เผยอสรพิษสีขาวยาวๆ นอนนิ่งอยู่ในกล่องออกมา


 


 


หานลี่จ้องเขม็งไปที่ของในกล่อง แววตาเปล่งประกายแสงสีฟ้า สายตาดูเหมือนว่าจะมองทะลุหุ่นเชิดนี้ได้อย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่หุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนี้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ


 


 


แม้ว่าเขาจะใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่าง ก็ยังคงมองเห็นจุดสำคัญสองสามจุดของมันอย่างรางเลือน ไม่อาจมองเห็นอะไรชัดเจนได้


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้ว! แต่ทันใดนั้นก็เลิกคิ้ว ชั่วขณะนั้นพลันแผ่จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งออก ชั่วครู่ก็ปกคลุมอสรพิษสีขาวทั้งตัวเอาไว้


 


 


ชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็กวาดไปตามจุดต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าจุดเหล่านี้สร้างขึ้นจากสิ่งใด คาดไม่ถึงว่าจะถูกพลังที่แข็งแกร่งดีดออก


 


 


ส่วนต่างๆ ของอสรพิษสีขาวไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดธรรมดาๆ และวัตถุดิบที่ใช้ทั้งหมด ล้วนถูกวางกลไกไว้อย่างชาญฉลาด แต่เขาก็พอจะมองออกอยู่บ้าง


 


 


ดูแล้วจุดที่ลึกลับของหุ่นเชิดสะท้านฟ้า คงอยู่ตรงจุดที่เขามองไม่ออกเหล่านั้น


 


 


เขากลับไม่ใช่ว่าจะไม่อาศัยพลังที่แข็งแกร่ง รุกรานเข้าไปตามจุดเหล่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับจะทำให้หุ่นเชิดได้รับความเสียหาย


 


 


และยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาทำเช่นนั้นได้ ผู้ที่มีหุ่นเชิดสะท้านฟ้าก่อนหน้าจะไม่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร


 


 


แต่ดูแล้วความลับของหุ่นเชิดสะท้านฟ้าจะยังคงอยู่ในมือของเผ่าหมื่นโบราณ จึงรู้แล้วว่าเดินทางสายนี้ลำบาก แม้ว่าจะทำร้ายหุ่นเชิด ก็ยังคงไม่อาจรู้ความลับอะไรได้


 


 


หานลี่ลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็ยอมแพ้เรื่องนี้ ตัดสินใจทำให้หุ่นเชิดรับนายก่อนแล้วค่อยว่ากัน


 


 


เมื่อคิดเช่นนั้น เขาพลันอ้าปาก พ่นเส้นไหมสีเขียวออกมา


 


 


ผลคือเส้นไหมเหล่านี้เปล่งแสงสว่างวาบพันรัดข้อมือของหานลี่เอาไว้ แล้วบินกลับมาอีกครั้ง จมหายเข้าไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย


 


 


และในยามนั้นหานลี่ถึงได้ยื่นข้อมือออกมาตรงหน้าอย่างราบเรียบ


 


 


ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า โลหิตบริสุทธิ์สองสามหยดหยดลงมาจากข้อมือ และตกลงไปในอสรพิษสีขาวในกล่องหยก


 


 


เมื่อโลหิตสองสามหยดนั้นสัมผัสกับร่างกายกึ่งโปร่งแสงของอสรพิษขาว มันก็เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างแปลกประหลาด


 


 


จากนั้นหานลี่พลันใช้สองมือร่ายอาคม อาคมเป็นสายๆ พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง จมหายเข้าไปในร่างของอสรพิษสีขาว


 


 


อสรพิษสีขาวที่แต่เดิมไม่ไหวติงพลันชูคอขึ้น ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงร้อง “ฟ่อๆ” ออกมา


 


 


จากนั้นหุ่นเชิดพลันพลิ้วกาย ครู่ต่อมาก็บินออกมาจากกล่อง สะบัดหัวสะบัดหางพลางบินไปมาอยู่ตรงหน้าหานลี่


 


 


หานลี่กลับทำเป็นมองเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามืออีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะมีจานอาคมหลากสีสันตั้งหนึ่งปรากฏขึ้น


 


 


ชูมือขึ้น จานอาคมทั้งหมดกลายเป็นลำแสงสิบกว่าดวงบินออกไป


 


 


พวกมันหมุนคว้าง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปในบริเวณรอบ


 


 


ครู่ต่อมาหลังจากเสียง “ครืน” ดังขึ้น เขตอาคมลำแสงห้าสีขนาดสองสามจั้งก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ด้านในมีอักขระหลากสีสันทะลักออกมา เผยความลึกลับออกมา


 


 


หานลี่ชี้ไปที่อสรพิษสีขาวตรงหน้าอย่างไม่ต้องขบคิด


 


 


หุ่นเชิดตัวนี้แววตาเปล่งประกาย หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ยังไม่อาจต้านทานพลังจิตสัมผัสของหานลี่ได้ จึงบินเข้ามาในเขตอาคมลำแสงอย่างแช่มช้า


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็ร่ายอาคมในใจ


 


 


ชั่วขณะนั้นในเขตอาคมลำแสงพลันมีเสียงต่ำๆ ดังขึ้น จากนั้นอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่ พลันทะลักเข้าไปในร่างของหุ่นเชิด


 


 


ผิวของอสรพิษสีขาวเปล่งแสงสีโลหิตออกมาชั้นหนึ่ง แต่กลับไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้อักขระเหล่านั้นทอยกันจมหายเข้าไปในลำแสงโลหิต


 


 


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ใบหน้ากลับอดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้


 


 


วิธีการรับเป็นนายเช่นนี้ เป็นวิธีที่เขาได้มาจากเผ่าวิหคสวรรค์ ผลในการรับเป็นนายดีกว่าวิธีปกติเป็นอย่างมาก


 


 


ต่อให้พลังยุทธ์ลมปราณเหนือกว่าเขาสิบเท่า มิเช่นนั้นหากการรับเป็นนายเสร็จสิ้น อยากจะแย่งชิงก็เป็นเรื่องที่บ้าคลั่งแล้ว


 


 


หานลี่กระตุ้นเขตอาคมไปพลาง หลับตาทั้งสองข้างลงไปพลาง ปล่อยให้เขตอาคมลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศไม่หยุด


 


 


พิธีการรับเป็นนายในครั้งนี้ กินเวลาไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงได้หยุดลงตอนที่หานลี่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง


 


 


หานลี่บริกรรมคาถา กวักมือไปทางเขตอาคมลำแสง


 


 


อสรพิษสีขาวที่อยู่ด้านในเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ จากนั้นก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนวน ก็กลายเป็นหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่ง ร่อนลงข้างกายของหานลี่ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกไม่ปริปากใดๆ


 


 


หานลี่มองไปยังใบหน้างดงามดุจภาพวาดของหญิงสาวด้วยแววตาประหลาดใจ มุมปากหยักขึ้น เอ่ยพึมพำว่า


 


 


“ดูแล้วเจ้าคงมีสติปัญญาไม่สูงนัก เหมือนกับฮวาวารูปคนอย่างไรอย่างนั้น เช่นนั้นเรียกเจ้าว่าฮวาวาก็แล้วกัน!”


 


 


หญิงสาวชุดขาวได้ฟังคำพูดของหานลี่ ลำแสงสีแดงในแววตาพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป แต่ยังคงมีสีหน้าเย็นชาไม่ไหวติง


 


 


หานลี่สั่นศีรษะ มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวของหญิงสาวชุดขาวเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นอสรพิษสีขาวตัวหนึ่ง จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอย่างไร้ร่องรอย


 


 


จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เขตอาคมลำแสง


 


 


เขตอาคมลำแสงสลายหายไป กลายเป็นจานอาคมสิบกว่าใบอีกครั้งและถูกเก็บไป


 


 


แต่ทันใดนั้นหานลี่พลันครุ่นคิด คาดไม่ถึงว่าจะหยิบกล่องหยกสีขาวอีกกล่องออกมา ผิวของมันมียันต์วิเศษสีแดงสดสองสามใบแปะอยู่


 


 


นั่นคือกล่องลึกลับที่ชายหัวโตมอบให้หานลี่และพวกในวันนั้น


 


 


ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นความเคร่งเครียดของชายหัวโต รวมทั้งการไล่สังหารของเผ่าแมลงมีเขา ล้วนหมายความว่าของสิ่งนี้สำคัญมาก แต่เพราะว่ากล่องใบนี้อาจจะถูกวางกลไกเอาไว้ หานลี่จึงไม่มีเวลาขบคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด


 


 


ตอนนี้ดูแล้วอาจจะต้องคบค้ากับอาวุโสของเผ่าหมื่นโบราณ แน่นอนว่าย่อมต้องรู้ว่าของในกล่องคืออะไร แล้วค่อยดูว่าจะมีประโยชน์อะไรบ้าง


 


 


แม้กระทั่งหานลี่ยังรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าของในกล่องต้องสำคัญต่อเผ่าหมื่นโบราณ เช่นนั้นไม่แน่ว่าอาจจะใช้กล่องหยกใบนี้แลกกับการใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดได้


 


 


แน่นอนว่าหากไม่ดูของในกล่องก่อน หานลี่ก็ไม่อยากมอบให้เผ่าหมื่นโบราณ


 


 


มีเพียงต้องรู้รายละเอียด เขาถึงจะมีโอกาสต่อรองราคากับเผ่าหมื่นโบราณได้


 


 


หานลี่ใช้นิ้วลูบไปบนกล่องหยก ในใจพลันครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ จากนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง รอบด้านของห้องมีกำแพงสีขาวอ่อนปรากฏขึ้น เขาพลันขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง


 


 


หากกล่องหยกถูกทำลาย เขตอาคมนี้จะปกปิดได้หรือไม่ จำต้องวางเขตอาคมอีกสองสามชั้นจะดีกว่า


 


 


เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่พลันควักธงเขตอาคมสองสามชุดออกมาจากกำไลเก็บของ บินเข้าไปหามุมกำแพงทั้งสี่ด้าน


 


 


ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวและลำแสงห้าสีพลันปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน


 


 


แต่เช่นนั้นหานลี่ก็ยังไม่ค่อยวางใจนัก จึงใช้มือหนึ่งปรบไปกลางอากาศ


 


 


เงาสีดำจุดหนึ่งบินออกมาจากฝ่ามือ พลิ้วไหว แล้วกลายเป็นภูเขาสีดำขนาดสองสามฉื่อ หมุนวนอยู่เหนือศีรษะของหานลี่


 


 


ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีเทาชั้นหนึ่งพ่นออกมาจากตีนเขา กลายเป็นม่านลำแสงชั้นหนึ่ง ปกคลุมหานลี่ในรัศมีสองสามจั้งเอาไว้


 


 


เช่นนั้นรอบๆ ด้านของหานลี่พลันเปลี่ยนเป็นเข้มงวด ก่อสร้างปราการอย่างแน่นหนา

 

 

 


ตอนที่ 1585 แผ่นป้ายกว้างเย็น

 

 


 


 


ยันต์วิเศษสีแดงสดที่แปะอยู่กล่องนั้น หานลี่เคยศึกษามาอย่างละเอียดแล้ว และไม่ได้มีจุดที่พิเศษอะไร แค่ใช้กดกลิ่นอายพลังแรงกดเอาไว้เท่านั้น 


 


 


สิ่งเดียวที่พะว้าพะวงก็คือ ไม่รู้ว่ายันต์วิเศษนี้เกี่ยวโยงกับกลไกอื่นในกล่องหรือไม่ 


 


 


เขาไม่อยากฉีกยันต์แล้วกล่องหยกเกิดระเบิดจนทำให้ของภายในกล่องเสียหาย 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไหร่ เขาจึงรู้ว่าควรจะเอายันต์เหล่านี้ออกอย่างไรอยู่แล้วในใจ 


 


 


หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นอาจจะรู้สึกว่ายุ่งยาก แต่เขาที่มีอิทธิฤทธิ์อยู่หลายชนิด จึงรู้วิธีสะกดและทำลายเขตอาคมต่างๆ มากมาย 


 


 


ดังนั้นเมื่อหานลี่วางเครื่องป้องกันเรียบร้อยแล้ว ก็โยนกล่องหยกในมือขึ้นไป ให้มันลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ 


 


 


จากนั้นเขาก็กระตุ้นภูเขาขนาดย่อมสีดำกลางอากาศ มือหยกสีขาวบริสุทธิ์ข้างหนึ่งตะปบไปที่กล่องหยกกลางอากาศ 


 


 


ชั่วขณะนั้นภูเขาขนาดย่อมพลันพ่นลำแสงเทวะดูดปราณออกมา เข้มข้นขึ้นกว่าในอดีตหลายส่วน ในเวลาเดียวกันฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์ก็สั่นเทา หัวกะโหลกสีขาวห้าหัวดีดตัวออกมาจากปลายนิ้ว เปล่งเสียงร้องขยายใหญ่ขึ้นแล้วกระโจนเข้าไปหากล่องหยก 


 


 


พวกมันบินวนล้อมรอบมันไปมา 


 


 


“ทลาย” 


 


 


หานลี่ร้องตะโกนเสียงต่ำๆ ออกมา ชี้นิ้วไปยังหัวกะโหลกทั้งห้า 


 


 


เสียง “กึกๆ” ดังขึ้นสองสามครั้ง หัวกะโหลกห้าหัวอ้าปากออกพร้อมกัน เปลวเย็นเยียบห้าสีหมุนวนออกมา ชั่วครู่ก็ม้วนกล่องหยกเข้าไปข้างใน 


 


 


สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น 


 


 


เปลวเย็นเยียบห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบ ยันต์วิเศษสีแดงสองสามแผ่นพลันพลิ้วไหว ร่อนลงไปฝากล่องทีละนิดๆ 


 


 


เดิมทีควรจะเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อย แต่ภายใต้เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสี ชั่วครู่ก็ถูกทำให้ช้าลงหลายเท่า ถูกหานลี่มองเห็นอย่างชัดเจนด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ 


 


 


ทว่าเสียเวลาไปเพียงชั่วครู่ ยันต์แผ่นสุดท้ายก็หลุดออกจากฝากล่อง 


 


 


แต่แค่ช่วงเวลานั้นก็ยังทำให้หานลี่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในกล่อง  


 


 


ฉับพลันนั้นเขาพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีที่แต่เดิมวนล้อมรอบกล่องหยก พลันกลายเป็นมือยักษ์ห้าสี ตะปบไปทางฝากล่องแล้วดึงออก 


 


 


ระลอกคลื่นแข็งแกร่งที่ไม่มั่นคงพวยพุ่งขึ้นมาจากในกล่อง จากนั้นลูกบอลลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งก็บินออกมา แต่ถูกมือยักษ์ห้าสีคว้าเอาไว้ แล้วไม่อาจขยับตัวได้อีก 


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง เสียง “ปัง” อันก้องกังวานพลันดังขึ้น ลำแสงสีแดงปรากฏขึ้นโดยมีกล่องหยกเป็นใจกลาง จากนั้นพลันกะพริบวาบๆ ดูเหมือนว่าจะระเบิดตัวออก 


 


 


หานลี่กวาดสายตาไปที่เขตอาคมแวบหนึ่ง ด้านในมีพลังวิญญาณที่น่ากลัวแฝงอยู่ ทำให้เขาอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ 


 


 


มือหนึ่งร่ายอาคม มือยักษ์ห้าสีตะปบไปที่ลำแสงสีทองเงิน กลายเป็นสายรุ้งห้าสีสายหนึ่งบินไปที่มุมกำแพง ลำแสงเทวะดูดปราณที่อยู่ใกล้กับม่านลำแสงพลันตึงแน่น กลายเป็นเสาลำแสงสีเทาที่ดูเสมือนจริง ชั่วครู่ก็กักเอาไว้ในเขตอาคมลำแสงสีขาว 


 


 


แต่ครู่ต่อมาเขตอาคมลำแสงพลันระเบิดออก 


 


 


ชั่วพริบตานั้นม่านลำแสงสีขาวพลันปรากฏขึ้นในเสาลำแสง! อย่างเงียบเชียบ!  


 


 


แต่เสาลำแสงพลันบิดพลิ้วอย่างรุนแรง ผิวของมันมีลวดลายประหลาดปรากฏขึ้น ดูเหมือนว่าอาจจะถูกม่านลำแสงทะลวงตกแตกกระจายออกได้ตลอดเวลา 


 


 


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง จากนั้นพลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมา 


 


 


ลูกบอลเพลิงนี้หมุนติ้วๆ กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงิน เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในเสาลำแสงสีเทา ทะลวงไปยังม่านลำแสงสีขาว 


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เรื่องที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น ท่ามกลางม่านลำแสงสีขาว ระลอกคลื่นรุนแรงที่เดิมทีดูเหมือนภูเขาไฟระเบิด พลันอ่อนกำลังลง ในเวลาเดียวกันม่านลำแสงก็เริ่มหดเล็กลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ 


 


 


แค่สองสามชั่วอึดใจ ก็สว่างวาบแล้วหายวับไป 


 


 


ตรงที่เดิมวิหคเพลิงสีเงินที่ตัวใหญ่ขึ้นสองสามเท่า กำลังสูบลำแสงสีขาวเข้าไปในท้อง 


 


 


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นถึงได้วางใจ 


 


 


ทันใดนั้นพลันกวักมือ 


 


 


วิหคเพลิงสีเงินสยายปีกทั้งสองข้างออก บินกลับไป หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็จมหายเข้าไปในร่างของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย 


 


 


หัวกะโหลกสีขาวห้าหัวกำลังเปล่งเสียง “ปังๆ” แล้วสลายหายไปจากกลางอากาศ 


 


 


และแทบจะในเวลาเดียวกัน ลำแสงห้าสีที่กลายเป็นมือยักษ์กลับเปล่งแสงสว่างวาบ ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหานลี่ นิ้วทั้งห้าคลายออก ลำแสงสีทองเงินร่อนลงมาจากกลางอากาศ 


 


 


หานลี่สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ ลำแสงสีเขียวผืนหนึ่งหมุนวนไป ดูดมันเข้ามาในมือทันที จากนั้นนิ้วทั้งห้าพลันสะบัด ลำแสงสีทองเงินหม่นแสงลงสองสามส่วน เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา 


 


 


เขาใช้มือหนึ่งถือเอาไว้ตรงหน้า พลางพิจารณาอย่างละเอียด 


 


 


ท่ามกลางลำแสงวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแผ่นป้ายโบราณอันวิจิตรงดงามความยาวครึ่งฉื่อ 


 


 


ด้านหนึ่งเปล่งแสงสีทองเรืองรอง ด้านหนึ่งเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ ผิวของมันมีลวดลายลึกลับเรียงตัวอย่างแน่นขนัด ทั้งสองฝั่งล้วนมีอักขระโบราณนิรนามสลักอยู่ 


 


 


จากความรู้ของหานลี่ คิดไม่ถึงว่าจะไม่อาจแยกแยะได้ว่าคือตัวอักษรของเผ่าใด แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเข้าใจได้  


 


 


หานลี่ใช้นิ้วลูบไปบนผิวของแผ่นป้ายเบาๆ ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา 


 


 


ชายหัวโตของเผ่าหมื่นโบราณให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งนี้ 


 


 


แม้ว่าแผ่นป้ายนี้จะเปล่งแสงระยิบระยับ แต่ตรงขอบกลับดูเสียหายเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะอายุที่เก่าแก่ ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งหลอมขึ้นแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบที่ใช้หลอมแผ่นป้ายนี้ยังดูแปลกประหลาด ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อลูบไปด้านหนึ่งกลับเย็นเยียบ ด้านหนึ่งกลับร้อนฉ่า ราวกับสร้างขึ้นจากธาตุน้ำแข็งและเพลิง 


 


 


หานลี่อดที่จะครุ่นคิดไม่ได้ 


 


 


แต่ในเวลาเดียวกันที่นิ้วแฉลบผ่านตัวอักษรโบราณ สิ่งที่คาดไม่ถึงพลันปรากฏขึ้น 


 


 


แผ่นป้ายที่เดิมทีเหมือนของที่ตายไปแล้วพลันพ่นลำแสงสีขาวออกมา เล็กบางดุจเส้นไหม แต่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป 


 


 


คราแรกพลันตกตะลึง จากนั้นพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือ มืออีกข้างที่ถือแผ่นป้ายอยู่ชื้นเหงื่อทันที 


 


 


หานลี่พลันตะลึงงัน สะบัดข้อมือออกไปตามความรู้สึก แผ่นป้ายบินไปกลางอากาศ และลอยอยู่เหนือศีรษะไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


ส่วนเขาพลันหดแขนออกมาดูตรงหน้า 


 


 


เห็นเพียงใจกลางฝ่ามือมีรอยแผลยาวสองสามชุ่นปรากฏขึ้น โลหิตสดๆ ไหลท่วมฝ่ามือ บาดแผลไม่อาจห้ามเลือดได้ในทันที 


 


 


จากความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเขา ประกอบกับอิทธิฤทธิ์ที่ฝึกฝนคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเส้นไหมสีขาวที่ไม่สะดุดตานี้บาดอย่างง่ายดาย และยิ่งไปกว่านั้นเลือดที่ไหลออกมายังเป็นโลหิตบริสุทธิ์จำนวนมาก! 


 


 


นี่มันน่าเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว 


 


 


หานลี่พลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็ร่ายอาคมในร่างอย่างรวดเร็ว บาดแผลมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม 


 


 


เขาเงยหน้าขึ้น แววตาเผยแววประหลาดใจขณะมองไปยังแผ่นป้ายประหลาดเหนือศีรษะ 


 


 


เห็นเพียงแผ่นป้ายสีทองเงินแผ่นนั้นเปล่งแสงสีทองเงินออกมา ผิวที่มีคราบโลหิตหายวับไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ไม่ ไม่ใช่หายไป! แต่จมหายเข้าไปในแผ่นป้าย 


 


 


หานลี่กระตุกมุมปาก ไม่รอให้ทันคิดอะไรออก แผ่นป้ายนั้นพลันเปล่งเสียงร้องยาวๆ ราวกับมังกรคำรามออกมา จากนั้นเสาลำแสงสีทองเงินสายหนึ่งพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยไม่สนใจลำแสงเทวะดูดปราณ เขตอาคมต้องห้ามหลายชั้น ทะลวงผ่านเพดานขึ้นไปในพริบตา  


 


 


“แย่แล้ว!” เมื่อเห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นหานลี่พลันมีสีหน้าดูไม่ได้ สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ต้องขบคิด ลำแสงสีเขียวพุ่งหมุนวนออกมา หมายจะม้วนเอาแผ่นป้ายกลับไป 


 


 


แต่ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!  


 


 


หลังจากที่ลำแสงสีเขียวหมุนวนแล้ว แผ่นป้ายสีทองเงินแผ่นนั้นก็ดูเหมือนมีรากงอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น นิ่งงันอยู่เหนือศีรษะ แค่พ่นเสาลำแสงสีทองเงินออกมากลางอากาศไม่หยุดเท่านั้น 


 


 


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นก็อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้ 


 


 


ยามนี้เจ้าสิ่งนี้ก่อเรื่องขนาดนี้แล้ว ไม่อาจปิดบังได้เลยสักนิด เกรงว่าหลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็จะมีคนมา 


 


 


หลังจากหางตากระตุกไปสองสามครั้ง หานลี่พลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส หลังจากลังเลเล็กน้อย ร่างกายก็หมุนวนอยู่ที่เดิมอย่างรวดเร็ว 


 


 


ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงเต็มท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น ภูเขาสีดำกลางอากาศ รวมทั้งเขตอาคมรอบด้านถูกเขาเก็บไปจนเกลี้ยงในพริบตา 


 


 


จากนั้นร่างกายก็หยุดชะงักลง และเดินตรงไปที่มุมห้อง จากนั้นก็นั่งสมาธิลงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 


 


 


คาดไม่ถึงว่าเขาจะปล่อยให้แผ่นป้ายนั้นอยู่กลางอากาศอย่างไม่สนใจไยดี 


 


 


หลังจากที่หานลี่นั่งลงได้สองสามชั่วลมหายใจ ฉับพลันนั้นกำแพงทั้งสี่ของห้องรวมทั้งประตูก็มีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ นักรบชุดเกราะเมืองเมฆาสวมชุดเกราะสงครามสีดำสองสามคนก็ปรากฏขึ้นพร้อมอย่างพิศวง ปรากฏขึ้นในห้องของหานลี่ 


 


 


พวกเขาเห็นแผ่นป้ายที่สร้างปรากฏการณ์ภายในห้องภายในแวบเดียว ตอนแรกพลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้อง “ซี้ด” ออกมา สายตาตกอยู่บนเรือนร่างของหานลี่อย่างเย็นชา 


 


 


แต่หลังจากที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ของหานลี่ นักรบชุดเกราะที่พลังยุทธ์ต่ำต้อยกว่าหานลี่มาก พลันหน้าเปลี่ยน 


 


 


“นี่คือสมบัติของเจ้า หรือไม่รู้ว่าในเมืองเมฆาไม่อนุญาตให้กระตุ้นอานุภาพของสมบัติ และไม่อนุญาตให้ใช้พลังปราณที่มากเกินไป?” นักรบชุดเกราะที่ดูเหมือนผู้นั้นคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง 


 


 


หานลี่มีพลังยุทธ์เหนือพวกเขา พวกเขาไม่กล้าแสดงท่าทีไม่เคารพอย่างไม่รู้จักแยกแยะได้ 


 


 


“ไม่มีอะไร มันแค่เกิดปัญหาตอนที่ข้ากำลังจะบวงสรวงยุทธภัณฑ์เท่านั้น ทว่าจะเก็บมันทันที” หานลี่เผยสีหน้าสุขุมออกมา และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่เอ่ยคำพูด มือหนึ่งพลันตะปบไปที่ป้ายกลางอากาศ 


 


 


ชั่วขณะนั้นมือยักษ์แวววาวพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศในห้อง และตะปบแผ่นป้ายไว้ 


 


 


แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่จนปัญญาก็คือ แม้ว่ามือยักษ์จะตะปบไปที่แผ่นป้าย แต่เมื่อออกแรงที่นิ้วทั้งห้า แผ่นป้ายกลับยังคงไม่ไหวติง แรงมหาศาลที่ใช้ไปดูเหมือนสูญหายไปอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


นักรบชุดเกราะที่อยู่รอบด้านเห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันเผยสีหน้าฉงนขณะมองไป 


 


 


หานลี่อดที่จะกระตุกมุมปากไม่ได้ 


 


 


สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง สำแดงมือยักษ์ออกมาอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเสียงราบเรียบของบุรุษพลันดังขึ้นจากนอกห้อง 


 


 


“ไม่ต้องเสียแรงหรอก! ในเมื่อแผ่นป้ายกว้างเย็นถูกเจ้ากระตุ้นแล้ว มันก็ถูกตรึงตำแหน่งไว้ ไม่อาจขยับได้อีก นอกเสียจากว่าเจ้าจะทำลายห้วงเวลาในระยะร้อยจั้งได้ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายมันได้” 


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ในห้องพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาลวงตาสายหนึ่งแค่พลิ้วกาย ก็มาปรากฏอยู่ตรงใจกลางของห้องทันที 


 


 


นักรบชุดเกราะรอบด้านเห็นเงาร่างคนชัดเจน ต่างหน้าเปลี่ยนสี ค้อมกายลง นักรบชุดเกราะที่เป็นผู้นำเอ่ยทักทายด้วยความนอบน้อม 


 


 


“ผู้คุมกฎเจ็ดสิบสามแห่งเมืองตะวันตก คารวะท่านอาวุโสไป๋!”  


 


 


เป็นเงาร่างคนสวมชุดผ้าไหมเรือนผมและหนวดเคราสีขาว แต่ใบหน้ากลับดูเยาว์วัย 


 


 


“แผ่นป้ายกว้างเย็น เป็นแผ่นป้ายนี้ไม่ผิดแน่ จุ๊ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งนี้จะไม่ได้ตกอยู่ในมือของเผ่าแมลงมีเขาทั้งหมด แต่ถูกนำมาแผ่นหนึ่ง!” ชายหนุ่มผมขาวคิ้วหนาดำดก ใบหน้าได้รูป แต่กลับไม่มองคนอื่นเลยแม้แต่แวบเดียว แค่จ้องเขม็งไปยังแผ่นป้ายสีทองเงินกลางอากาศ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจ 

 

 

 


ตอนที่ 1586 เชียนจีจื่อ

 

หานลี่อยู่ตรงมุมห้อง กวาดจิตสัมผัสไปยังเรือนร่างของคนที่ซึ่งปรากฏตัวขึ้นใหม่แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี 


 


 


ชายหนุ่มแซ่ไป๋ผู้นี้มีพลังลมปราณลึกล้ำยากจะคาดเดา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ 


 


 


“แผ่นป้ายกว้างเย็นนี้เจ้าเป็นคนกระตุ้นหรือ?” ชายหนุ่มแซ่ไป๋ถอนสายตากลับมา แล้วโบกมือให้กับนักรบชุดเกราะเหล่านั้น สายตาตกอยู่บนร่างของหานลี่ 


 


 


“ชนรุ่นหลังอยากปฏิเสธ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้!” หานถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา 


 


 


“ปฏิเสธ? ทำไมต้องปฏิเสธ โอกาสดีของเจ้ามาถึงแล้ว!” ชายหนุ่มแซ่ไป๋หรี่ตาทั้งสองข้างลง พิจารณาหานลี่สองสามแวบ แล้วอมยิ้มขณะเอ่ย 


 


 


“โอกาสมาถึงแล้ว ท่านอาวุโสหมายถึง…” หานลี่ชักสีหน้า คิดจะเอ่ยถามให้ละเอียด ชายหนุ่มแซ่ไป๋กลับขมวดคิ้ว คาดไม่ถึงว่าจะหันหน้าไปเอ่ยกับกำแพง 


 


 


“ในเมื่อพี่ชังอิ่งมาถึงแล้ว เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัว หรือว่าอยากให้เผ่าพรายน้ำของพวกเราเอาแผ่นป้ายกว้างเย็นไปแต่เพียงผู้เดียว?” 


 


 


“แผ่นป้ายกว้างเย็นปรากฏตัวในครั้งนี้ไม่มากนัก ทุกแผ่นล้วนล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง เผ่าพรายน้ำของพวกเจ้ากล้าฮุบไปคนเดียวหรือ? หากไม่มีเผ่าหมื่นโบราณอย่างพวกเราคอยเปิดเขตอาคมให้ แม้ว่าพวกเจ้าจะได้ไป จะมีประโยชน์อันใด” เสียงที่ไม่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเย็นชา 


 


 


จากนั้นชายหนุ่มแซ่ไป๋พลันมองไปยังเงาสีดำบนกำแพง เงาถูกปกคลุมด้วยลำแสงสีเทา ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ยืนนิ่งแนบติดอยู่กับกำแพง ราวกับร่างกายไร้รูปร่าง 


 


 


คำพูดเมื่อครู่ก็เปล่งออกมาจากลำแสงสีเทา 


 


 


“หึๆ เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่หากสหายยอมเข้าร่วมเผ่าพรายน้ำของพวกเรา ใช้แผ่นป้ายกว้างเย็นพาพวกเราเข้าไปในแดนกว้างเย็น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ” ชายหนุ่มแซ่ไป๋ไม่ได้โกรธขึ้ง แค่ตอบกลับอย่างราบเรียบ 


 


 


“เช่นนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา แต่ดูเหมือนว่าสหายผู้นี้จะไม่ได้พูดว่าจะเข้าร่วมเผ่าเจ้านะ ไม่แน่ว่าอาจจะยอมเป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่าปีศาจทมิฬของพวกเราก็เป็นได้” เงาร่างคนที่ถูกเรียกว่า ‘ชังอิ่ง’เอ่ยคำพูดที่ไร้ความรู้สึกออกมา 


 


 


“งั้นหรือ เรื่องนี้ก็พูดยาก หากข้าจะไม่ผิดละก็ สิบสามเผ่าของพวกเรามีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรว่า หากสองเผ่าสนใจคนนอกเผ่าคนเดียวกัน ดูเหมือนว่ามีเพียงต้องรอให้คนนอกเผ่าปฏิเสธคำเชิญของคนแรกก่อน อีกคนถึงจะส่งคำเชิญได้ สหายผู้นี้ข้าน้อยคือ ‘ไป๋เย่ว์’ จากเผ่าพรายน้ำ ขอเรียนเชิญสหายให้เข้าร่วมเผ่าข้าเป็นแขกผู้มีเกียรติอย่างเป็นทางการ ไม่ทราบว่าสหายคิดเห็นอย่างไร? ขอแค่สหายยอมเข้าร่วม ข้าน้อยก็รับประกันได้ว่าจะทำให้สหายพัฒนาระดับขั้นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี และยังจะมอบประโยชน์ด้านอื่นให้ด้วย” ชายหนุ่มผมขาวมองชังอิ่งอีกรอบ แล้วหันกายมาเอ่ยถาม 


 


 


ทว่าตอนที่เขาพูดนั้นดวงตาทั้งสองข้างพลันจ้องเขม็งไปยังหานลี่ แววตาสดใสดุจกระจกกลอกไปมา ราวกับว่ามีพลังดึงดูดใจที่ไร้รูปร่างอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


หานลี่หางตากระตุก เมื่อสายตาประสานกับลำแสงแปลกประหลาดในแววตาของอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกเพียงว่าสติสัมปชัญญะรางเลือน มุมปากขยับ หมายจะเอ่ยคำว่าตกลงตามจิตสำนึกออกมา 


 


 


แต่ครู่ต่อมาคาถาขับเคลื่อนในร่างก็ไหลวนโคจร รูม่านตาหดเล็กลง ลำแสงสีฟ้าเจิดจ้าเปล่งประกายออกมา ในแววตามีพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งต้านทานแรงดึงดูดจากดวงตาของชายหนุ่มแซ่ไป๋เอาไว้เช่นกัน 


 


 


หลังจากที่สติสัมปชัญญะของหานลี่ฟื้นฟูกลับมาในชั่วพริบตาแล้ว แต่จากนั้นก็ทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว!  


 


 


ชายหนุ่มแซ่ไป๋ผู้นี้ดูเหมือนจะซื่อสัตย์ แต่คำพูดเมื่อครู่ กลับใช้เคล็ดวิชาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม หากไม่ใช่เพราะเขามีเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง เกรงว่าเมื่อครู่คงจะหลุดปากไปแล้ว 


 


 


ชายหนุ่มแซ่ไปเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา 


 


 


“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าเนตรกระจกลวงตาของพี่ไป๋จะไร้ผลกับผู้ที่ระดับต่ำกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ สหายไป๋อย่าเสียเวลาเลย ในเมื่อเจ้าเองก็รู้กฎการเชิญชนต่างเผ่ามาเป็นแขกผู้มีเกียรติที่พูดก่อนหน้าเป็นเพียงประเพณีปฏิบัติ เมื่ออยู่ต่อหน้าแผ่นป้ายกว้างเย็น ชนเผ่าอื่นจะไปรักษากฎเรียงตามลำดับได้อย่างไร” ชังอิ่งรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่ก็เอ่ยเยาะเย้ยและหัวเราะอย่างไม่ได้รับผลกระทบ 


 


 


ชายหนุ่มแซ่ไป๋ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าพลันฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ มองไปยังหานลี่อย่างมีเลศนัยแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร กลับเป็นชังอิ่งที่เอ่ยอย่างราบเรียบ 


 


 


“ในเมื่อสหายเข้าร่วมเผ่าพรายน้ำของพวกเราโดยไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าผู้แซ่ไป๋ก็จะไม่บังคับ พี่ชังอิ่งเผ่าปีศาจทมิฬของพวกเจ้าไม่ลองเชิญสหายผู้นี้หรือ?” 


 


 


“เผ่าใดสามารถเชิญคนผู้นี้เป็นแขกผู้มีเกียรติได้ เกรงว่าคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหรือข้าจะตัดสินได้ และไม่ใช่สิ่งที่คนผู้นี้จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ ผู้แซ่ชังไม่มีทางทำเรื่องเสียแรงแต่ไม่คุ้มค่าแน่!” ชังอิ่งแค่นเสียงหึขณะเอ่ย 


 


 


ไป๋เย่ว์ได้ยินเช่นนั้น พลันฉีกยิ้มบางๆ และไม่ได้เอ่ยตอบอะไร 


 


 


หลังจากที่ชังอิ่งส่งเสียงหึๆ แล้ว ก็ไม่ได้ปริปากใดๆ เช่นกัน 


 


 


ส่วนหานลี่นั้นพลันถอนสายตาที่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมา แล้วรักษาความสุขุมต่อไป  


 


 


ที่นี่จึงตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง 


 


 


นักรบชุดเกราะเมืองเมฆาสองสามคนที่อยู่ใกล้เคียงกลับถลึงตามองสบตากันไปมา 


 


 


แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็ถูกทำลาย 


 


 


จากประตูห้องของหานลี่ที่ปิดสนิท มีเสียงเคาะประตู “ก๊อกๆ” ดังขึ้น จากนั้นเสียงแหบแห้งของชายชราก็ดังออกมา 


 


 


“ตาเฒ่าเผ่าหมื่นโบราณเชียนจีจื่อ ไม่ทราบว่าขอพบเจ้าของที่นี่ได้หรือไม่?” 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งนี้ ไป๋เย่ว์พลันหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย รอบกายของชังอิ่งมีลำแสงสีเทาปรากฏขึ้น 


 


 


หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย ทันใดนั้นพลันเอ่ยปากว่า 


 


 


“เชิญท่านอาวุโสเข้ามาด้านในขอรับ จากฐานะของท่านอาวุโสยอมมาเยือนที่นี่ ช่างเป็นสิ่งที่ผู้แซ่หานอยากร้องขอก็ไม่มีทางได้มาเลยขอรับ” 


 


 


เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่แสดงความเป็นมิตรของหานลี่ ชายชราที่อยู่นอกประตูก็ไม่เกรงใจ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ คนทะลุผ่านประตูเข้ามา  


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายชราสวมชุดคลุมสีเหลือง ร่างกายไม่สูงนัก แต่อ้วนพี แผ่นหลังสะพายตะกร้าสานประหลาดๆ เอาไว้ ท่าทางใจดี 


 


 


“ที่แท้สหายไป๋และสหายชังอิ่งก็อยู่ที่นี่! ผู้เฒ่าน้อยคารวะท่านผู้เฒ่าทั้งสอง!” ชายชราร่างอ้วนดูเหมือนว่าเพิ่งจะรู้ว่าไป๋เย่ว์และชังอิ่งอยู่ในห้อง จึงเอ่ยทักทายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใจดี  


 


 


“สหายเชียนจีจื่อเกินใจเกินไปแล้ว พวกเราเองก็เพิ่งมา” 


 


 


“ไม่เลว ข้าน้อยมาทำธุระแถวนี้พอดี เลยบังเอิญพบการกระตุ้นแผ่นกว้างเย็น จึงมาดูสักหน่อย”  


 


 


การขัดแย้งของไป๋เย่ว์และชังอิ่งเมื่อครู่ พอเผชิญหน้ากับชายชราร่างอ้วน กลับแสดงท่าทีเหมือนกัน ท่าทางระมัดระวังมาก 


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมรู้สึกแปลกประหลาด กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของชายชรา 


 


 


ผลคือพลันตกตะลึงทันที 


 


 


ชายชราร่างอ้วนยามว่า ‘เชียนจีจื่อ’ ผู้นี้ ลมปราณในร่างลึกล้ำราวกับมหาสมุทร ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างน้อยที่สุดพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ก็ไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออก 


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้ ชายชราร่างอ้วนน่าจะอยู่ในระดับยอดสุดของขั้นผสานอินทรีย์แล้ว 


 


 


มิน่าล่ะไป๋เย่ว์และชังอิงถึงได้มีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้ 


 


 


จากความแตกต่างของพลังยุทธ์ของพวกเขา เกรงว่าทั้งสองคนร่วมมือกันก็สู้ความลึกล้ำของลมปราณชายชราไม่ได้ 


 


 


“เป็นแผ่นกว้างเย็นดังคาด! แผ่นป้ายนี้ เป็นของสหายหรือ?” เชียนจีจื่อกลับฉีกยิ้มให้ชายชราทั้งสองอย่างเป็นมิตร สายตาตกอยู่บนแผ่นป้ายสีทองเงินกลางอากาศ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้หันหน้าไปฉีกยิ้มและเอ่ยกับหานลี่ 


 


 


“ใช่ขอรับ นี่ของชนรุ่นหลัง” หานลี่ไม่กล้าดูแคลน หยัดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ค้อมตัวลงขณะเอ่ย 


 


 


“สหายแซ่หานสินะ?” หลังจากที่เชียนจีจื่อกวาดสายตาไปบนร่างของหานลี่สองสามครั้ง ฉับพลันนั้นพลันฉีกยิ้มขณะเอ่ย 


 


 


“ท่านอาวุโสรู้ได้อย่างไร?” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าจะถามเช่นนี้ แต่ในหัวกลับคิดถึงเจี่ยเทียนมู่ 


 


 


เป็นดังที่เขาคาดไว้ ครู่ต่อมาเชียนจีจื่อพลันฉีกยิ้มขณะเอ่ย 


 


 


“เรื่องของเจ้า ข้าได้ฟังมาจากสหายเจี่ยแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาพเหมือนของเจ้า เดิมทีคิดว่าอีกสองวันจะส่งคนไปเชิญสหายหานมาพักผ่อน แต่ตอนนี้ดูแล้วต้องเสนอแล้ว” 


 


 


“อันใด สหายเชียนจีจื่อรู้จักสหายนอกชนเผ่าผู้นี้หรือ?” ไป๋เย่ว์ได้ฟังคำนั้น ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น 


 


 


“หึๆ ปรมาจารย์เจี่ยคือหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ด้านหุ่นเชิดระดับสุดยอดของเผ่าหมื่นโบราณของพวกเรา สองสามวันก่อนเกือบจะถูกจับในแดนของเผ่าแมลงมีเขา ต้องขอบคุณสหายหานที่ลงมือ ปรมาจารย์ถึงได้รอดพ้นอันตรายมาได้ ข้าจะไม่รู้จักสหายหานได้อย่างไร” เชียนจีจื่อลูบเครา เอ่ยอย่างซื่อสัตย์ 


 


 


“อะไรนะ ปรมาจารย์เจี่ยเคยไปแถวชายแดน?” ประโยคนี้กลับเป็นชังอิ่งที่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“ไม่เห็นด้วย เผ่าของเรามีเรื่องสำคัญ จึงจำใจต้องให้ปรมาจารย์เจี่ยไปดูสักรอบ เดิมทีจัดผู้พิทักษ์เอาไว้สองสามคน แต่เพราะว่าเผ่าแมลงมีเขารุกรานเข้ามา จึงเพลี่ยงพล้ำอยู่ที่เขตแดน อันใด สหายทั้งสองเป็นห่วงเรื่องในเผ่าหมื่นโบราณของพวกเราขนาดนั้นหรือ?” ชายชราร่างอ้วนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แต่จากนั้นก็กระพริบตา แล้วถามย้อนกลับด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“ที่ไหนกันๆ! เคล็ดวิชาหุ่นเชิดของปรมาจารย์เจี่ยเผ่าท่านยอดเยี่ยมมาก เป็นคนที่สิบสามเผ่าของพวกเราขาดไปไม่ได้ ผู้แซ่ไป๋แค่กังวลใจเท่านั้น” ไป๋เย่ว์ได้ฟังคำพูดของชายชรา ก็หน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น  


 


 


“ใช่แล้ว ในเมื่อปรมาจารย์เจี่ยไม่เป็นอะไร พวกเราก็วางใจ” เงาร่างคนในลำแสงสีเทาบิดตัวไปมาด้วยท่าทางไม่สบายใจเล็กๆ 


 


 


“ที่แท้สหายทั้งสองก็หวังดี กลับเป็นข้าน้อยที่กังวลเกินไป แต่ในเมื่อตอนนี้แผ่นป้ายกว้างเย็นถูกสหายหานกระตุ้นแล้ว ข้าน้อยก็จะขอเชิญเขาเข้าเผ่า สหายทั้งสองคงไม่มีความเห็นสินะ? ส่วนที่นี่นั้น แน่นอนว่าต้องวางเขตอาคมทันที และส่งคนมาปิดล้อมที่นี่ อีกเดี๋ยวเผ่าหมื่นโบราณของพวกเราจะส่งคนมาวางเขตอาคมที่นี่” เชียนจีจื่อดูเหมือนจะมีมารยาทมาก แต่กลับเอ่ยสิ่งที่ทั้งสองไม่อาจปฏิเสธได้ 


 


 


ไป๋เย่ว์และชังอิ่งที่อยู่ในลำแสงสีเทาได้ฟังคำนี้ ใบหน้าย่อมดูไม่ได้ แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเชียนจีจื่อ ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างฝืนใจ 


 


 


ชายชราร่างอ้วนเห็นทั้งสองคนรู้จักวางตัว ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจในทันที แล้วถึงได้หันหน้าไปเอ่ยถามหานลี่ด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“สหายหาน ไม่ทราบว่าเจ้าจะไปยอมไปกับผู้เฒ่าน้อยหรือไม่?” 


 


 


หานลี่ได้ฟังใบหน้าพลันมีรอยยิ้มขมขื่น อีกฝ่ายใช้ฐานะระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดยอดเชิญเขา เขาจะไปกล้าปฏิเสธได้อย่างไร จึงทำได้เพียงตอบรับอย่างนอบน้อม 


 


 


“หากท่านอาวุโสไม่รังเกียจละก็ ชนรุ่นหลังย่อมยอมรบกวนแล้ว” 


 


 


“ฮ่าๆ สหายหานไม่ต้องกังวล ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็คือผู้มีพระคุณของปรมาจารย์เจี่ย เผ่าหมื่นโบราณของพวกเราไม่ใช่ผู้ไม่รู้จักคุณคน” เชียนจีจื่อกลับดูเหมือนว่าจะมองความฉงนในใจของหานลี่ออก จึงหัวเราะฮ่าๆ ขณะเอ่ย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)