กระบี่จงมา 158.3-159.1
บทที่ 158.3 กินเกลี้ยง
โดย
ProjectZyphon
ชุยฉานเห็นว่านางยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิมก็เอ่ยเสียงเย็น “ไสหัวออกไป”
สตรีแต่งงานแล้วรีบร้อนบอกลาทันใด
รอจนสตรีแต่งงานแล้วออกไปจากห้องลับ บุรุษชุดดำจึงถามว่า “ใต้เท้าราชครู จะไม่ฆ่าเว่ยหลี่จริงๆ หรือ?”
ชุยฉานยิ้มชั่วร้าย “เจ้าเดาสิ?”
บุรุษชุดดำรู้สึกหัวโตขึ้นมาจากเดิม รอยยิ้มจึงจืดเจื่อน “เดาความคิดของใต้เท้าราชครูไม่ออกจริงๆ เอาเป็นว่าข้าแค่ทำตามคำสั่งของท่านก็พอ”
ชุยฉานยกชาที่เย็นแล้วขึ้นดื่มอึกใหญ่ จากนั้นปิดฝาถ้วยแล้ววางลงบนโต๊ะ บอกความจริงเนิบช้า “ไม่ฆ่า เว่ยหลี่คือคนมีความสามารถที่วันหน้าต้าหลีของเรายินดีเรียกตัวมาใช้เหมือนกับพ่อเฒ่าลำคลองใต้บังคับบัญชาของเจ้าคนนั้น”
คราวนี้บุรุษชุดดำทำอะไรไม่ถูกแล้วจริงๆ
เอาเว่ยหลี่มาใช้งาน? เพราะอะไร? ขุนนางท้องถิ่นขั้นสี่ของแคว้นหวงถิงที่ไม่มีชาติตระกูลใหญ่โตคนหนึ่งก็เข้าตาราชครูต้าหลีด้วยหรือ?
ชุยฉานไม่สนใจความฉงนสนเท่ห์ของเทพวารีแม่น้ำหันสือ เขาใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะโต๊ะเบาๆ พลางกล่าว “อันดับต่อไปไม่ใช่ว่าใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแล้วหรอกหรือ จวนมหาวารีของพวกเจ้าใช้วิธีเก่าแก่ที่คุ้นเคยกันดีมาทำให้เกิดคดีน่าสลดหดหู่ที่ทำให้ราษฎรในเขตการปกครองเดือดร้อนจนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ ในขณะที่อารมณ์เคียดแค้นของชาวบ้านใกล้จะเดือดพล่านก็มอบโอกาสให้หลิวเจียฮุ่ยนำความไปบอกเว่ยหลี่ครั้งหนึ่ง บอกว่านายท่านผู้เฒ่าเทพวารีอย่างเจ้ารับปากเขาว่าจะช่วยทำให้สถานการณ์สงบลง อืม เว่ยหลี่ต้องสงสัยแน่ แต่ไม่เป็นไร เจ้าก็แสร้งทำเป็นรีดไถเงินจากเขา บอกให้เขาไปร้องขอกรอบป้ายมาจากกรมพิธีการ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาจะยังคลางแคลงใจ แต่เพื่อชาวบ้านในเขตการปกครองแล้วก็ยังต้องตอบรับอยู่ดี กว่ากองทัพต้าหลีใกล้จะบุกลงใต้ เจ้าสามารถปั่นหัวเว่ยหลี่แบบนี้ได้ตลอดเวลา รอจนกองทัพต้าหลีบุกมายึดเมือง ในช่วงเวลาสำคัญที่เว่ยหลี่เกิดปณิธานจะเฝ้าพิทักษ์เมืองจนตัวตาย เจ้าก็สามารถปล่อยข่าวออกไปว่าเว่ยหลี่สมคบคิดกับจวนมหาวารีของเจ้าเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง เขาถึงได้สามารถเดินทีละก้าวมาจนถึงตำแหน่งสูงอย่างทุกวันนี้ ถึงเวลานั้นข้าอยากจะเห็นนักว่าชาวบ้านสองแสนคนในเมืองเล็กๆ นี้จะมีสักกี่คนที่ไม่ด่าเขาเว่ยหลี่จนไม่เหลือชิ้นดี ข้างกายเขาจะยังมีญาติมิตรอีกสักกี่คนที่ยังกล้าเชื่อใจเขา”
บุรุษชุดดำถามอย่างระมัดระวัง “นี่คือ?”
ชุยฉานกลอกตามองสูง “ยังมองไม่ออกอีกรึ? ข้าต้องการให้เว่ยหลี่อยู่ไม่สู้ตาย ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าหลิวเจียฮุ่ยสักเท่าไหร่เลยจริงๆ”
เทพวารีแม่น้ำหันสือผู้ยิ่งใหญ่ขอคำชี้แนะอย่างร้อนตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง “ขอใต้เท้าราชครูโปรดชี้แนะ”
ชุยฉานขดตัวอยู่ในเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่บัณฑิตตัวจริงรับไม่ได้มากที่สุดคืออะไร? ไม่ใช่ว่าได้เป็นขุนนางแล้วแต่ต้องมาเจอกับกษัตริย์โง่เง่าเลวระยำ เพราะแม้จะต้องผดุงคุณธรรมเพื่อชาติและชาวประชา ยอมทัดทานกษัตริย์อย่างไม่กลัวตาย สุดท้ายถูกตัดหัว แต่เมื่อกระทำสิ่งที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้ทิ้งชื่อไว้ได้ประวัติศาสตร์ และถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่แผ่นดินล่มสลายโดยที่ตนไม่มีปัญญาเหนี่ยวรั้งแก้ไข ได้แต่ทนมองชาติบ้านเมืองพังภินท์ไม่เหลืออะไรเลย เพราะต่อให้เป็นเช่นนี้ เหล่าบัณฑิตก็ยังสามารถหนีพ้นจากโลกอันวุ่นวาย หรือไม่ก็สามารถให้กวีแต่งกลอนแสดงความเจ็บแค้นต่อแคว้นที่โชคร้าย เรื่องที่พวกเขารับไม่ได้อย่างแท้จริงก็คือ…”
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้โคลงศีรษะ “คือบัณฑิตที่แท้จริงอย่างเว่ยหลี่ ในฐานะของลูกศิษย์สำนักขงจื๊อ เพื่อความไม่สงบสุขใต้หล้าแล้ว ถึงกับตัดสินใจเข้าวงสังคมอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมล้มลุกคลุกคลาน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลอยู่ในวงการขุนนาง แต่พอมาถึงท้ายที่สุด เขากลับทุ่มเทแรงกายแรงใจ กระทำกรรมดีให้แก่โลกใบนี้มากที่สุด ทว่าสิ่งที่พวกเขาได้คืนมากลับไม่ใช่ความดีในระดับเท่าเทียมกัน ซ้ำร้ายยังกลับกลายเป็นว่าต้องเผชิญกับสิ่งชั่วร้าย สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงกลับไม่ได้มาแม้แต่เสี้ยวเดียว ไม่เพียงแต่ญาติมิตรทรยศพาตัวออกห่าง ไม่เพียงแต่มองดูเหมือนเขาทรยศต่อบ้านเมืองและปวงประชา ในความเป็นจริงแล้วทุกคนต่างหากที่ทรยศต่อเขา อืม ข้าต้องการให้เว่ยหลี่ลิ้มรสชาติความรู้สึกเช่นนี้”
บุรุษชุดดำทอดถอนใจ “ลองคิดในมุมของเขาแล้วก็เหมือนว่าอยู่ไม่สู้ตายจริงๆ”
ทันใดนั้นเขานึกถึงสตรีแต่งงานแล้วที่ให้ความสำคัญกับความรักผู้นั้น ก็ให้ปลงอนิจจัง “สมมติว่าเว่ยหลี่รู้เรื่องในห้องลับวันนี้ เขาต้องหวังให้วันนี้หลิวเจียฮุ่ยรับปากสังหารเขาแน่นอน”
ชุยฉานวางฝ่ามือไว้บนถ้วยชา กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หลังจากที่เว่ยหลี่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมข้าจะทำให้เขาได้รู้ เพราะในจดหมายที่หลิวเจียฮุ่ยทิ้งไว้ตอนที่เลือก ‘ฆ่าตัวตาย’ ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เขา บอกว่าแท้จริงแล้วนางคือแขกผู้มีเกียรติของจวนมหาวารี คือสายลับของต้าหลี บอกว่านางละอายใจอย่างมาก นางรู้สึกผิดต่อเว่ยหลี่ สุดท้าย…น่าจะยังเขียนว่านางรักเขาเว่ยหลี่อย่างยิ่ง”
แม้จะเป็นถึงเทพแม่น้ำ แต่บัดนี้ชายชุดดำกลับขนตั้งชันแทบทั้งตัว ในใจโอบล้อมด้วยไอเย็น
“เว่ยหลี่คือต้นกล้าที่ดี ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจกลายเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจ ดังนั้นเจ้าอย่าเอาแต่ชมเรื่องสนุก เมื่อถึงเวลานั้นหากเขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย เจ้าต้องห้ามเขาเอาไว้”
ชุยฉานแย้มยิ้มลุกขึ้นยืน หันหน้าไปเห็นสีหน้าแข็งทื่อของเทพวารีแม่น้ำหันสือที่ก็เอ่ยเย้า “อีกอย่างเจ้าจะต้องกลัวอะไร ในเมื่อเจ้ามีพ่อที่ดี”
ได้ยินประโยคนี้ ความรู้สึกของบุรุษชุดดำก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
ชุยฉานเขย่งปลายเท้า ยื่นมือไปตบไหล่เขา ปลอบใจด้วย ‘รอยยิ้มอ่อนบาง’ “จุดลึกในใจมีปราณสังหาร แม้แต่ตัวเจ้าเองก็อาจจะไม่รู้ แต่ไม่เป็นไร สำหรับข้าแล้ว เจ้าและพ่อของเจ้าคือมดที่ตัวค่อนข้างใหญ่ พวกเจ้าอยู่หรือจาก สุขหรือเศร้า เคียดแค้นหรือเคารพ หากข้าอารมณ์ดีก็จะให้การดูแล ช่วยปลอบใจเป็นอย่างดี แต่หากอารมณ์ไม่ดีก็ควรรู้ว่าแคว้นสู่บรรพกาลมีเจียวหลงที่หายากชนิดหนึ่งซึ่งมีนิสัยชอบกินพวกเดียวกัน ข้าก็จะ…”
ดวงตาของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลามีแสงสีทองประหลาดตั้งตรงผุดขึ้นมาในลูกตาดำอย่างไร้ลางบอกเหตุ เขาเอ่ยเสริมด้วยถ้อยคำไร้เดียงสา น้ำเสียงที่แผ่วบาวราวกระซิบ “กินพวกเจ้าให้เกลี้ยง”
บุรุษชุดดำยืนนิ่งไม่ขยับ มีเพียงลูกกระเดือกเท่านั้นที่เคลื่อนน้อยๆ คราวนี้เหงื่อหลั่งเต็มสันหลังของเขาอย่างแท้จริง
ฝ่าเท้าที่เขย่งสูงของชุยฉานสัมผัสโดนพื้นอีกครั้ง เขาพูดยิ้มแย้ม “มองเจ้าตกใจเข้าสิ กลับไปที่จวนมหาวารีของเจ้าเถอะ วันหน้าเจ้าเองก็จะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ เป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งกลุ่มใหม่ของต้าหลีเราเช่นเดียวกับเว่ยหลี่ ไม่ต้องกลัวนะ”
ตีให้ตายบุรุษชุดดำก็ไม่ยอมขยับเท้า แล้วก็ไม่พูดไม่จา ยืนกรานจะยืนที่เดิมอยู่อย่างนั้น
ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่มอบประโยคว่า “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ” ให้กับหลิวเจียฮุ่ย มองดูเหมือนน่าตกใจแต่ไร้อันตราย ทว่าความจริงล่ะ?
แล้วตอนนี้ตนได้ยินคำว่า “มองเจ้าตกใจเข้าสิ” ต่างกันแค่คำเดียว แต่มีอะไรที่ไม่เหมือน?
ชุยฉานแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง เอ่ยขออภัย “คราวนี้เจ้าคิดมากจริงๆ แล้ว”
บุรุษชุดดำได้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
ชุยฉานคิดแล้วก็หันไปหยิบถ้วยชาขึ้นมา ดื่มชาอึกสุดท้ายที่เหลืออยู่ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็วางถ้วยชาลง เอ่ยเบาๆ ว่า”วันหน้าหากข้ากับบิดาของเจ้าให้ความช่วยเหลือ แล้วเจ้าสามารถกลืนกิน ‘ครึ่งหนึ่ง’ นั้นได้สำเร็จ ผูกติดกับชะตาแคว้นของต้าหลีอย่างแน่นแฟ้น เชื่อว่าเจ้าก็จะสามารถวางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่า เรื่องที่เกือบจะใหญ่ยิ่งกว่ามหามรรคานี้ บิดาเจ้าไม่มีข้อได้เปรียบมาตั้งแต่กำเนิดอย่างเจ้า ข้าเองก็เช่นกัน ถึงเวลานั้นเจ้าถึงจะมีคุณสมบัติได้นั่งทัดเทียมกับข้า”
บุรุษชุดดำอึ้งค้างอยู่กับที่ หลังจากนั้นก็ก้มหน้ากุมมือประสาน สายตาฉายแววร้อนแรง ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพราะทั้งหมดนี้ล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
ชุยฉานโบกมือไล่คน “ไสหัวไปเถอะ”
บุรุษชุดดำเหมือนได้รับการอภัยโทษ นอกจากนี้ยังดีใจเป็นล้นพ้น ร่างทั้งร่างกลายเป็นกลุ่มควันสีดำอ่อนจางที่พุ่งทะยานจากไป
ชุยฉานยืนสองมือไพล่หลัง หลับตาลง สาวเท้าเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องลับที่หรูหราโอ่โถง
สุดท้ายชุยฉานเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมองไปยังกำแพงด้านหนึ่งราวกับกำลังมองไปยังจุดที่ห่างไกล “ตาแก่ ในที่สุดก็ไปสักทีนะ”
ชุยฉานยิ้มตาหยี ก้าวยาวๆ ออกไปนอกห้อง
……
ตอนที่ชุยฉานค่อยๆ ย่องกลับมาที่ลานบ้านอีกครั้ง ระหว่างหัวคิ้วยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความลำพองใจ
ไม่มีตบะแล้วอย่างไร? ก็ยังสามารถจับเจ้าพวกโง่นั่นมากำเล่นในฝ่ามือได้เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ?
ในลานบ้าน เฉินผิงอันกำลังขอความรู้จากหลี่เป่าผิงเรื่องการสร้างสุสานของชนชั้นสูงว่าต้องพิถีพิถันในเรื่องใดบ้าง
เพราะเฉินผิงอันคิดมาโดยตลอดว่าวันหน้าเมื่อตนมีเงินแล้วจะต้องพยายามซ่อมแซมและสร้างหลุมศพขนาดเล็กที่ไม่มีแม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพนั้นออกมาให้ดีที่สุด
ในเมื่อตอนนี้อยู่ห่างจากต้าสุยอีกไม่ไกลแล้ว นี่หมายความว่าอีกไม่นานเขาก็ต้องเดินทางกลับ เมื่อกลับไปถึงบ้านเกิดแล้ว เรื่องแรกที่ทำย่อมต้องเป็นเรื่องนี้
ไม่จะบอกว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันขึ้นเขาลงเขาจะต้องกอบดินมากำมือหนึ่งเพื่อเพิ่ม “ดินหนา” ให้กับหลุมศพของบิดามารดา ทว่านี่คือกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่พวกช่างปั้นรุ่นอาวุโสสืบทอดกันต่อมา จะอย่างไรก็สู้สร้างสุสานดีๆ ที่สร้างความสบายใจให้คนไม่ได้ การเดินทางไกลบ้านครั้งนี้ เฉินผิงอันได้รู้เรื่องมากมายที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้ ยกตัวอย่างเช่นคำกล่าวที่ว่า “ปฏิบัติต่อผู้ตายเหมือนพวกเขามีชีวิตอยู่” นี่ยิ่งทำให้เฉินผิงอันละอายใจมากกว่าเดิม
หลี่เป่าผิงรู้ไม่มาก พออธิบายให้เขาฟังคร่าวๆ แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวกลับไปจะส่งจดหมายไปถามพี่ชายใหญ่
เฉินผิงอันเองก็ไม่ซักถามอะไรอีก เพราะอย่างไรซะขอแค่ในกระเป๋ามีเงิน ทุกอย่างก็ล้วนพูดง่าย ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าในอดีตไม่อาจนับเป็นอะไรได้อีก
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงถามแม่นางน้อยว่าอักษรคำว่าฉานของชื่อชุยฉานนั้นเขียนอย่างไรกันแน่
หลี่เป่าผิงบอกว่าข้ารู้ แล้วจึงใช้ปลายนิ้ววาดทีละขีดลงบนโต๊ะหิน
เฉินผิงอันเห็นแล้วก็ถอนหายใจ “เป็นตัวอักษรที่เขียนยากขนาดนี้เชียวหรือ”
ห่างออกไปไม่ไกลด้านหลัง คราวนี้เป็นชุยฉานบ้างที่เหงื่อตกราวตากฝน พูดกับตัวเองว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งทำเรื่องเลวร้ายเล็กๆ น้อยๆ ไป กรรมคงไม่ตามทันเร็วขนาดนี้หรอกกระมัง?
ซิ่วไฉเฒ่าเพิ่งจะไสหัวไปไม่ใช่หรือ? เจ้าสารเลวเฉินผิงอันที่จิตใจอำมหิตยิ่งกว่าตนก็จะเริ่มลงมือสร้างสุสาน เขียนตัวอักษรหน้าป้ายหลุมศพให้ตนแล้วรึ?
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอึ้งเป็นไก่ไม้อยู่ตรงนั้น
ชุยฉานสะดุ้งตกใจ หมุนตัวได้ก็เผ่นหนีทันที เขารีบร้อนไปหาหลิยเจียฮุ่ยที่กำลังอกสั่นขวัญผวา ลากนางไปหาที่เงียบๆ พูดด้วยสีหน้าที่พยายามปั้นให้เป็นมิตรที่สุด “หลิวฮูหยิน เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจะคิดจนกระจ่างในหลักการข้อหนึ่ง มนุษย์เราควรทำดีกับผู้อื่น ขอแค่เจ้าจงรักภักดีต่อต้าหลีของข้า วันหน้ารับรองว่าเจ้าและเว่ยหลี่จะได้ครองรักกันอย่างชื่นมื่น ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง!”
กล่าวจบชุยฉานถึงได้หมุนตัวจากไปด้วยความพึงพอใจ แถมยังโบกมือบอกลา แล้วเริ่มสบถด่าโดยไม่หันไปมองสตรีแต่งงานแลว้ที่ตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น “เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า! ทีพูดโหกแม่งฟังซะหน้าชื่นตาบาน พอพูดจริงเสือกไม่เชื่อ รู้ไว้เถอะว่าคราวนี้มหาโชคหล่นใส่หัวเจ้ากับเว่ยหลี่แล้ว พวกเจ้าก็รักกันเสียให้พอเถอะ! ข้าผู้อาวุโสขออวยพรให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันจนเส้นผมขาวโพลน!”
ชุยฉานทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กลับเข้ามาในลานบ้าน เห็นว่าเจ้าคนใจดำอำมหิตอย่างเฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งหินเพียงลำพัง กำลังใช้แท่นสังหารมังกรลับดาบยันต์มงคลเล่มนั้นอยู่
ชุยฉานหน้าซีดเผือด เอ่ยอย่างเหม่อลอย “ทำไม จะต้องให้ข้าปล่อยจวนมหาวารีไปด้วยถึงจะยอมเลิกรางั้นหรือ? ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง ไม่ได้ เรื่องแบบนี้ต่อให้ถูกตีตายก็เปลี่ยนไม่ได้ เรื่องที่ถือโอกาสทำไปตามสถานการณ์สามารถดูตามอารมณ์ได้ แต่เรื่องที่เกี่ยวพันกับกิจการยิ่งใหญ่ของต้าหลีจะสามารถเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิมและแผนการที่วางไว้ได้อย่างไร…”
เฉินผิงอันหันหน้ามาขมวดคิ้วถาม “เจ้าทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างนอกสองครั้งแล้ว ไปทำอะไรมา?”
ชุยฉานชี้ไปยังดาบแคบในมือเฉินผิงอัน “นี่เจ้ากำลังทำอะไร? ลับมีดเสียงดังเควี้ยวคว้าว น่าขนลุกจะตาย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หลังจากนี้เจ้าแค่ทำตัวให้อยู่ในกรอบก็พอ พวกเราน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”
หากคำพูดแบบนี้ออกจากปากคนอย่างตน ตีให้ตายชุยฉานก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อหลุดออกมาจากปากของเฉินผิงอัน ชุยฉานย่อมเชื่ออย่างไม่มีข้อกังขา ตอนแรกที่ยกขาก้าวเดินฝีเท้ายังล่องลอยอยู่บ้าง แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว ยิ่งเดินก็ยิ่งผ่อนคลาย สุดท้ายวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างโต๊ะหิน ฟุบตัวลงไปบนโต๊ะ พูดเสียงแผ่วเบา “อาจารย์ เมื่อครู่ข้าทำเรื่องดีงามที่ช่วยให้คนสุขสมหวัง จริงแท้แน่นอน! ท่านเชื่อหรือไม่?”
เฉินผิงอันเงยหน้า มองดวงตาของไอ้หมอนี่อย่างตั้งใจ สุดท้ายจึงพยักหน้ารับ
นาทีนั้นชุยฉานถึงกับซาบซึ้งใจจนแทบหลั่งน้ำตา
แค่คิดก็รู้ได้ว่า การเดินทางออกนอกด่านคราวนี้ สำหรับเด็กหนุ่มชุยฉานแล้วคือความทุกข์ยากลำบากมากแค่ไหน
ชุยฉานยิ้มหวาน “อาจารย์ ไม่อย่างนั้นข้าช่วยท่านลับมีดดีไหม? เป็นลูกศิษย์ เอาแต่อยู่ว่างๆ ไม่ทำงานทำการอะไร จะกินก็ไม่ได้จะนอนก็ไม่หลับ”
เฉินผิงอันปรายตามองเขา “จะไปไหนก็ไป”
ชุยฉานแสร้งทำเป็นถอนหายใจแรงๆ หนึ่งที ยืดตัวขึ้นตรง หลังจากคารวะอย่างนอบน้อมแล้วถึงได้บอกลาหมุนตัวเดินอาดๆ กลับไปยังห้องของตัวเอง ระหว่างทางก็ผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปด้วย
เฉินผิงอันมองแผ่นหลังที่สง่าผ่าเผยของเจ้าหมอนั่นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด หรือเพราะก่อนหน้านี้อยู่ใต้บ่อน้ำนานเกินไป น้ำเลยเข้าสมอง?
—–
บทที่ 159.1 ส่งท่านจากไปไกลนับหมื่นลี้
โดย
ProjectZyphon
พักอยู่ในโรงเตี๊ยมชิวหลูสามวัน สุดท้ายเป็นหลินโส่วอีที่บอกว่าต่อให้อยู่ต่อก็ไม่มีความหมายเท่าไหร่แล้ว เพราะเขาไม่สามารถสูดเอาปราณวิญญาณมาได้มากกว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่นั่งเข้าฌานอยู่ในศาลานานเข้า จะต้องรู้สึกถึงความคมกริบเหมือนที่แผ่ออกมาจากอาวุธแหลมคม ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณรู้สึกรับไม่ไหว หลินโส่วอีจึงพูดล้อเล่นอย่างที่หาได้ยากว่า ให้เฉินผิงอันไปดูใต้บ่อน้ำว่ามีสมบัติอยู่หรือไม่
เฉินผิงอันพอจะเดาความจริงได้คร่าวๆ ต้องเป็นเพราะการประมือระหว่างตนกับชุยฉานครั้งนั้น ปราณกระบี่สองเส้นที่หลุดออกไปจากช่องโพรงลมปรารได้ไปทำลายโชคชะตาของที่ตั้งดั้งเดิมศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ เนื่องจากเกี่ยวพันกับวิญญาณกระบี่ เฉินผิงอันจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก ได้แต่หันไปมองชุยฉานอยู่หลายครั้งตอนก่อนออกจากโรงเตี๊ยม เดิมทีสองวันมานี้ฝ่ายหลังอารมณ์ดีมาก เวลาเดินก็เหมือนมีสายลมพัดคลอเคล้า แต่พอเห็นเฉินผิงอันหันมามองก็รีบทำตัวว่าง่ายทันใด ชุยฉานรู้สึกฉงนสนเท่ห์จึงเริ่มทบทวนตัวเองว่าเรื่องชั่วร้ายเรื่องไหนของตนที่กรรมตามมาสนอง
ตอนที่คนทั้งกลุ่มออกมาจากโรงเตี๊ยมชิวหลูก็เจอกับคนที่กำลังจะเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมพอดี ชุยฉานไม่แม้แต่จะปรายตามอง แต่เด็กอย่างพวกหลี่เป่าผิงสามคนกลับตื่นตะลึงอย่างมา ที่แท้ก็คือซือหลางเฒ่าของแคว้นหวงถิงผู้นั้น เขาพาข้ารับใช้เดินทางมาท่องเที่ยวถึงที่เมือง ตรอกนอกโรงเตี๊ยมมีรถม้าจอดอยู่สามคัน
พบเจอคนรู้จักในต่างถิ่น ซือหลางเฒ่าจากกรมพิธีการก็หัวเราะร่าด้วยความปิติยินดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าพวกเด็กๆ อย่างหลี่เป่าผิง หลี่ไหวต่างก็เปลี่ยนจากรองเท้าแตะมาสวมรองเท้าหุ้มแข้ง เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางสดใสมีชีวิตชีวา ผู้เฒ่าก็ยิ่งปลาบปลื้มดีใจ ยืนยันว่าจะต้องไปส่งพวกเขาออกจากเมืองให้ได้
ในบรรดาข้ารับใช้ของซือหลางเฒ่า สตรีท่าทางสง่างามสวมใส่อาภรณ์เรียบหรูคนหนึ่ง และชายชุดดำบุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญคนหนึ่งดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากที่สุด ผู้เฒ่าแนะนำว่านั่นคือบุตรสาวคนโตและบุตรชายคนเล็กของเขา บอกว่าคนทั้งสองต่างก็เรียนหนังสือไม่เอาไหน หวังจะอาศัยบุตรชายบุตรหญิงสร้างเกียรติภูมิมีหน้ามีตาก็เรียกว่าหวังเกินตัว ได้ยินว่าบิดาตำหนิต่อหน้าคนนอก ชายชุดดำยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนสตรีที่โตเต็มตัวกลับยิ้มมองเด็กหนุ่มเด็กสาวและเด็กๆ สุดท้ายพอจ้องนิ่งไปยังอวี๋ลู่ รอยยิ้มของสตรีก็ยิ่งกดลึกคล้ายพบเจออาหารเลิศรสที่อร่อยที่สุดโดยบังเอิญ นางอดกระแอมไอไม่ได้จึงรีบเบี่ยงตัวก้มหน้า ยกชายแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปากสีแดงสดแล้วไอแห้งๆ สองที
ภาพเหตุการณ์ที่แท้จริงเบื้องหลังชายแขนเสื้อกว้างใหญ่คือ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลาย แลบลิ้นเลียมุมปาก
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่รับหน้าที่เป็นสารถียังคงยิ้มบางๆ เป็นปกติ หันหน้าไปหาชุยฉาน “คุณชาย พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่?”
ชุยฉานตอบอย่างเฉยเมย “ตอนนี้เลย”
ซือหลางเฒ่าหัวเราะร่า “ก่อนหน้านี้กระดูกแก่ๆ ของข้าเพิ่งจะโดนลมเย็นมาโดยไม่ทันระวัง ไม่อาจตากแดดตากลมได้แล้วจริงๆ ขอนั่งรถม้าคันเดียวกับคุณชายชุยก็แล้วกัน จะได้ขอความรู้เรื่องหน้าผาแกะสลักจากคุณชายชุยได้พอดี พวกเจ้าสองคนตามมาด้านหลัง หากไม่อยากเดินเท้าออกจากเมือง จะนั่งรถม้าหรือไม่ก็ตามใจพวกเจ้า”
รถม้าขับเคลื่อนออกจากตรอกเมฆคล้อยน้ำไหล ในห้องโดยสารรถม้าที่นำอยู่ด้านหน้าสุด ชุยฉานและซือหลางเฒ่านั่งตรงข้ามกัน บรรยากาศอึมครึมหนักอึ้ง
ผู้เฒ่าที่สถานะภายนอกคือซือหลางแคว้นหวงถิงกุมมือคารวะ “ครั้งนี้ข้าผู้เฒ่ามาโดยไม่ได้รับเชิญ หวังว่าใต้เท้าราชครูจะให้อภัย”
เด็กหนุ่มชุดขาวที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ดใช้นิ้วสองข้างลูบหยกประดับที่ห้อยอยู่ตรงเอว จ้องหน้าผู้เฒ่านิ่งๆ อย่างไม่มีมารยาท คำพูดคำจาก็ยิ่งล่วงเกินระคายหู “เจ้าพันทางน้อยของบ้านเจ้าสั่งให้เจ้ามาหยั่งเชิงข้ารึ? อยากจะดูว่าข้ามีความสามารถที่จะสังหารพวกเจ้าสองพ่อลูกหรือไม่?”
ผู้เฒ่าที่คืนนั้นดื่มเหล้าเมามายโดยสารเรือเดินทางไปยังทางช้างเผือกไม่มีโทสะ ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ใต้เท้าราชครู ลูกชายคนเล็กของข้ามีความสามารถไม่มาก แต่เล่ห์อุบายกลับไม่น้อย ครั้งนี้ก็เพราะทั้งกลัวทั้งดีใจ ไม่มีตบะหนักแน่นมากพอถึงได้แจ้งให้ข้าทราบ หวังว่าข้าจะช่วยเขาวางแผนว่าควรจะให้ความร่วมมือกับท่านราชครูและต้าหลีอย่างไร นี่จะเรียกว่าหยั่งเชิงได้หรือ? ใต้เท้าราชครูเข้าใจผิดแล้ว แล้วก็มองประเมินลูกชายคนเล็กของข้าสูงเกินไป”
ชุยฉานส่ายหน้า “ข้าทำอะไรไม่เคยสนว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไร ข้าสนแค่ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร รวมไปถึงผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ดังนั้นในเมื่อเจ้าพันทางน้อยผู้นั้นทำลายกฎของข้าก่อน ข้าก็ย่อมต้องมีวิธีจะสั่งสอนเขาในภายหลัง หากสัตว์เลื้อยคลานเฒ่าที่เป็นพ่ออย่างเจ้าไม่พอใจ คิดจะฉีกสัญญาทำลายพันธมิตร ไม่ไปดำรงตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่ภูเขาพีอวิ๋น ทั้งหมดนี้พวกเรามาลองคิดบัญชีกันช้าๆ ได้ แค่ดูว่าใครที่ธรรมะสูงหนึ่งคืบ ใครที่มารร้ายสูงหนึ่งศอก”
ซือหลางเฒ่าที่จำแลงร่างมาจากเจียวเฒ่าสีหน้ามืดดำ “ใต้เท้าราชครู เหตุใดต้องบีบบังคับกันถึงเพียงนี้ บุตรชายคนเล็กของข้ากระทำการเช่นนี้อาจจะเกินขอบเขตอยู่บ้าง แต่สำหรับท่านราชครูที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่ไว้ในมือแล้ว ก็ไม่ควรจะเห็นแก่สถานการณ์ส่วนรวมเป็นสำคัญหรอกหรือ? หรือว่าแม้แต่หน้าของข้าก็ยังไม่มีค่ามากพอให้ราชครูแสดงความเมตตา ผ่อนผันอนุโลมให้บ้าง?”
“คนที่ชอบหลอกลวงคนอื่นเป็นอาจิณเช่นพวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าการหยั่งเชิงแบบนี้คือเรื่องปกติ เมื่อก่อนข้าก็เป็นเหมือนกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างไปจากเดิมแล้ว” ชุยฉานหรี่ตา “อาจารย์ของข้าเพิ่งจะสอนหลักการอย่างหนึ่งให้ บางครั้งเจ้าก็ไม่ควรเดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกตี”
ชุยฉานโน้มตัวไปข้างหน้า มองใบหน้าเหี่ยวย่นที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างแล้วแค่นเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองมีคุณสมบัติให้โดยสารรถม้าคันเดียวกับข้า? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ร่างจริงของเจ้า เจียวน้อยผอมแห้งแก่ชราที่อยู่บนแท่นฝนหมึกของศาลมังกรซุ่มนั้น ตอนนี้ได้ตกมาอยู่ในมือของข้าแล้ว?”
ผู้เฒ่ายิ้มขื่น “ใต้เท้าราชครู เหตุใดต้องทำถึงขั้นนี้? ระหว่างพันธมิตรกัน ต่อให้มีข้อขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องถึงขั้นทำลายรากฐานมหามรรคาหรอกกระมัง?”
ผู้เฒ่าหุบยิ้ม สายตาฉายประกายโหดเหี้ยมเย็นชาอันเป็นสันดานดั้งเดิม “เดิมคือเรื่องงดงามที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ใต้เท้าราชครูไม่กลัวว่าปลาตายตาข่ายขาด? ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ (เปรียบเปรยว่าทุกอย่างที่ทำมาเสียเปล่า ไม่ได้อะไรเลย) หรอกหรือ?”
ชุยฉานจ้องดวงตาที่ยังไม่สลายเวทอำพรางตาคู่นั้นของผู้เฒ่าเขม็ง ถ้อยคำที่เอ่ยยิ่งเฉียบคม ทว่าจังหวะกลับเนิบช้าราบเรียบประหนึ่งแม่น้ำกว้างขวางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งซุกซ่อนพลังทั้งหมดอยู่ใต้ผิวน้ำ “เจ้าไม่คู่ควรที่จะเอ่ยหลักการของพวกเจ้าให้ข้าฟัง เจ้าต่างหากที่ต้องตั้งใจใคร่ครวญหลักการของข้าชุยฉาน เข้าใจหรือไม่? หลังจากนี้ข้าจะใช้เวทสายฟ้าบรรพกาลโจมตีมังกรเฒ่าที่นอนหลับอยู่บนแท่นฝนหมึก ซึ่งก็คือร่างจริงของเจ้า จนกระทั่งสลายตบะของเจ้าไปได้ประมาณสามร้อยปีถึงจะหยุดมือ เพราะฉะนั้นเจ้าเห็นหรือไม่ ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจเจ้าพันทางน้อยของเจ้าเลย และถึงท้ายที่สุดเจ้าก็จะพานไปโกรธเขาเองอยู่ดี”
สายตาของเจียวเฒ่าเต็มไปด้วยปราณสังหาร ตวาดกร้าวเสียงทุ้ม “ชุยฉาน! เจ้าอย่ารังแกกันมากเกินไปนัก!”
ชุยฉานหัวเราะดังลั่น “รังแกกันมากเกินไป? สัตว์เลื้อยคลานแก่ๆ อย่างเจ้าก็เป็นคนด้วยหรือ? พวกเจ้าทั้งตระกูลล้วนไม่ใช่คน ดูพฤติกรรมของเจ้า แล้วก็ไปดูสันดานลูกพันทางของเจ้าสิ ยังจะเรียกว่ามีเกียรติได้ไหม? โดยเฉพาะบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของทำเนียบตะวันม่วงข้างนอกนั่น แค่เห็นอวี๋ลู่ที่ทั่วร่างมีปราณมังกรเข้มข้นก็แทบจะเดินไม่ไหวแล้วเห็นไหม? คนอย่างครอบครัวพวกเจ้า ต่อให้ข้ากล้าประคองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงมาก แต่พวกเจ้าจะนั่งอยู่บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคงหรือไง?!”
ชุยฉานชูสองนิ้วประกบติดกันแล้วส่ายอยู่ด้านหน้าตัวเอง “พวกเจ้าใช้ไม่ได้”
ไม่รอให้เจียวเฒ่าเอ่ยคำใด ชุยฉานก็ใช้สองนิ้วชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “ออกไป เห็นเจ้าแล้วรกลูกหูลูกตา ภายในสามวัน หากข้าไม่ได้คำตอบที่พอใจ ข้าก็จะไม่ตอบอะไรกลับไปอีกแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าก็มาสังหารข้าได้เลย”
เจียวเฒ่าเงียบงันไปนาน ในที่สุดก็ค้อมตัวคารวะแล้วถอยออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทะเลสาบหัวใจของชุยฉานแทบจะไม่มีริ้วคลื่นใดๆ กระเพื่อมไหว และยิ่งไม่ใช่แสร้งทำเป็นแข็งนอกอ่อนใน
เมื่อรถม้าหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วขยับเคลื่อนหน้าต่ออีกครั้ง ชุยฉานหลับตาลง อารมณ์ห้าวเหิว
มุมปากของชุยฉานตวัดโค้ง พึมพำเบาๆ “สาม”
ในห้องโดยสารมีลมเย็นสายหนึ่งพัดมาอย่างไร้วี่แวว พื้นผิวอาภรณ์สีขาวแขนกว้างบนร่างเด็กหนุ่มคล้ายมีสายน้ำไหลริน
ข้างทาง หลังจากที่ผู้เฒ่าเดินลงมาจากรถม้าก็พูดคุยยิ้มแย้มกับพวกเด็กๆ สองสามคำ จากนั้นก็หยุดยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง สายตาจ้องมองคนทั้งกลุ่มเดินออกไปนอกเมือง
บุรุษชุดดำและสตรีสุภาพสง่างามเดินลงมาจากรถม้าด้านหลัง คนทั้งสองรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ผู้เฒ่าจ้องมองรถม้าคันนั้นอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดผู้เฒ่าดึงสายตากลับมาอย่างห่อเหี่ยว ไม่เพียงไม่พบเจอช่องโหว่ใดๆ กลับกันคือยังเห็นภาพเหตุการณ์น่ากลัวจนไม่อยากเชื่อสายตา
ข้ามขอบเขต!
ผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อหันหน้ากลับมามองบุตรชายบุตรสาว ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ขาดไปแค่คนเดียว ถือว่าครอบครัวอยู่เกือบครบหน้า พ่อดีใจมาก”
เห็นได้ชัดว่าสตรีที่เป็นบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของทำเนียบตะวันม่วงมีสัมผัสที่เฉียบไวยิ่งกว่า อาจเป็นเพราะอาศัยใบบุญของอักษรคำว่าทะเลสาบ สัตว์ประเภทเจียวและมังกรจึงมีเวทลับที่ใช้ลอบมองความเคลื่อนไหวของทะเลสาบหัวใจสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นติดตัวมาตั้งแต่เกิด นางตระหนักได้ว่าสภาพจิตของเจียวเฒ่าไม่ค่อยปกติ จึงทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ กลายร่างเป็นสายรุ้งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ หมายเผ่นหนีออกไปจากเมือง แต่นางกลับลืมไปว่า ความต่างระหว่างตนกับบิดา ไม่ได้ต่างแค่ช่วงวัยเท่านั้น
ไฟโทสะของผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อสูงท่วมเทียมฟ้า ไม่สนแล้วว่าเมืองแห่งนี้จะได้รับผลกระทบหรือไม่ อีกอย่างอย่าว่าแต่เมืองเล็กๆ แห่งนี้เลย ต่อให้เป็นตลอดทั้งแคว้นหวงถิงจะมีคุณสมบัติอะไรมาพูดว่าเป็นสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซุ่ม? แมวน้อยงูน้อยอาจจะมีอยู่จริง แต่ไหนเลยจะทำให้เจียวเฒ่ากริ่งเกรงได้ ตอนนี้การยกทัพบุกลงใต้ของต้าหลีเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เดิมทีเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องอำพรางตัวตนอีกต่อไป ทว่านี่ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขากับต้าหลีเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งต่อกันเสียก่อน
การที่คราวนี้เขาทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นจนเกิดปัญหาแทรกซ้อน ได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ราชครูชุยฉาน อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะผู้เฒ่าตื่นตระหนกมากเกินไป สภาพจิตใจมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ หลุดการควบคุมตัวเอง เมื่อเทียบกับบุตรชายคนเล็กอย่างเทพวารีแม่น้ำหันสือแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะอย่างไรซะตอนที่เขากับชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหูอยู่บนยอดเขาหน้าผาแกะสลักด้วยกันก็เคยเห็น “บ่อสายฟ้า” บ่อนั้นกับตาตัวเองมาก่อน ซิ่วไฉเฒ่าที่แค่โบกมือก็ทำให้พวกเขาหลุดออกมาจากบ่อสายฟ้า หลังจบเรื่องกลับมีตัวอักษรสีทองเป็นพรวนปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือมากกว่าเดิม
ในจดหมายลับของจวนมหาวารีที่บุรุษชุดดำส่งออกไปได้พูดถึงราชครูต้าหลีที่เป็นหนุ่มน้อย เล่าการกระทำทุกอย่างของชุยฉานให้บิดารับรู้อย่างละเอียด ยังบอกด้วยว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่เหลือขอบเขตใดๆ ตบะก็หายสิ้น อันที่จริงเทพวารีแม่น้ำหันสือไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายใดๆ แค่หวังให้บิดามาช่วยหยั่งเชิงอีกฝ่ายสักหน่อย ดูว่าจะช่วยให้จวนมหาวารีกอบโกยผลประโยชน์ได้มากกว่าเดิมหรือไม่ เพราะอย่างไรซะจวนมหาวารีก็ไม่กล้างัดข้อกับชุยฉานอยู่แล้ว อีกอย่างต่อให้ฆ่าชุยฉานแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อต้าหลียกทัพลงใต้ นั่นก็ไม่เท่ากับถึงช่วงเวลาที่จวนมหาวารีจะพินาศวอดวายหรอกหรือ?
บุรุษชุดดำถามเสียงสั่น “ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น? พี่หญิงใหญ่ทำเรื่องอะไรผิดงั้นหรือ?”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น