คัมภีร์วิถีเซียน 1582-1583
ตอนที่ 1582 หุ่นเชิดสะท้านฟ้า
“เซียนเซียน!” หานลี่เอ่ยทวนแล้วพยักหน้า
“ในเมื่อไม่จำเป็นต้องให้ข้าเข้าไปเทือกเขามารสีทอง และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ของมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นยังลดลงเป็นอย่างมาก ความเสี่ยงนี้ย่อมคุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่บอกไว้ก่อน หากพบเรื่องที่ไม่เหมือนกับที่เจ้ากล่าวเอาไว้ หรือมีเหตุผลอื่นทำให้รู้สึกว่าเสี่ยงอันตรายเกินไป ข้าจะล้มเลิกเรื่องนี้ในทันที และยิ่งไปกว่านั้นวันที่เทือกเขามารสีทองเปิดออก ข้าหวังว่าสหายจะไปกับข้าได้ เป็นผู้นำทางให้ข้าเอง สุดท้ายหากมารอสูรตัวนี้มีเลือดเนื้อของวานรยักษ์เทือกเขาจริงๆ ข้าก็ขอโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครึ่งหนึ่ง หากเจ้าไม่รับเงื่อนไขเหล่านี้แม้เพียงข้อเดียว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกัน”
เมื่อเอ่ยจนถึงตอนสุดท้าย หานลี่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่มีปัญหา ข้าตกลงตามเงื่อนไขเหล่านี้” เซียนเซียน ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากตอบรับ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตอบรับอย่างตรงไปตรงมา หานลี่เผยรอยยิ้มออกมา แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก สะบัดข้อมือ ชั่วขณะนั้นกำไลเก็บของพลันหมุนวนบินออกไป
มือหนึ่งชี้ไปที่นั่น
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็หมุนวนบินออกมา ขวด กล่องไม้ กล่องต่างๆ ขนาดน้อยใหญ่สิบกว่าใบปรากฏขึ้นกลางอากาศ
นอกจากนี้ยังมีศิลาวิญญาณระดับสูงหลากสีสันยี่สิบสามสิบก้อนเปล่งแสงระยิบระยับลอยอยู่เช่นกัน
“ยาลูกกลอนเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าใช้ได้ตั้งแต่ระดับในตอนนี้ไปจนถึงระดับเผ่าเบื้องบนขั้นต้นและกลาง แม้กระทั่งช่วยให้เจ้าทะลวงจุดคอขวดได้ แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับแต่ล่ะคน ส่วนวัตถุดิบเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าใช้เวลาไม่น้อยรวบรวมมา สหายลองดูว่าพอใจหรือไม่?” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
ยาสมุนไพรเหล่านี้มียาที่เขาเองกินในอดีตอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่ง ‘ของเหลวคางคกเที่ยงแท้’ สองขวดก็ยังนำออกมา โดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีจุดใดที่ไม่พอใจ
ส่วนวัตถุดิบเหล่านั้นอาจจะด้อยกว่าหน่อย แต่ก็เป็นวัตถุดิบที่เขาสังหารอสูรปีศาจระดับหลอมสุญตาสองตัวจากหมู่เกาะปะการังเพลิง และนับว่าล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง
กลับเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่เขารวบรวมมาอย่างไม่ง่ายดาย นำออกมาจำนวนมากขนาดนี้ในชั่วครู่ ก็ทำให้เจ็บปวดไม่น้อย
หญิงสาวตรวจสอบสมุนไพรวิญญาณและวัตถุดิบเล็กน้อย แล้วเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา
“ของเหล่านี้ไม่ธรรมดา ประกอบกับศิลาวิญญาณระดับสุดยอดเหล่านี้ ก็เพียงพอจะชดเชยเกราะสงครามแปลงมารได้” หญิงสาวเผ่าผลึกยกมือขึ้นเก็บของและศิลาวิญญาณทั้งหมดลงไปแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“สหายพอใจก็พอแล้ว เรื่องนี้ตกลงตามนี้ ข้าจะทิ้งยันต์วิเศษหมื่นลี้เอาไว้ให้เจ้า ภายในเวลาสั้นๆ นี้ข้าจะไม่ออกไปจากเมืองเมฆา รอจนถึงตอนที่เทือกเขามารสีทองเปิดออก เจ้าก็ใช้ยันต์วิเศษรายงานข้าก็พอแล้ว” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ จิตสัมผัสเคลื่อนไหว ผิวของกำไลเก็บของเปล่งแสงระยิบระยับ แล้วทิ้งแผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้
จากนั้นกำไลเก็บของก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินกลับมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็มาปรากฏบนข้อมือของหานลี่อีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังจะจดจำไว้!” หญิงสาวเผ่าผลึกพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วสูบแผ่นหยกเข้ามาอยู่ในมือ
หานลี่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก สองมือพลันร่ายอาคม ปากก็เอ่ยบริกรรมคาถา
ชั่วขณะนั้นเทวรูปสีทองรวมทั้งเกราะสงครามสีม่วงบนร่างที่อยู่ท่ามกลางไอสีดำเหนือศีรษะพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วสลายหายไปในเวลาเดียวกัน
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ทารกวิญญาณตรงจุดตันเถียนของหานลี่ ก็หยักมุมปาก เผยรอยยิ้มออกมา
ร่างกายที่อ้วนพีและขาวผุดผ่องของมันมีเกราะสงครามสีม่วงแดงเพิ่มขึ้นมา
เรื่องจากนี้ก็ง่ายขึ้นแล้ว
หญิงสาวนามว่า ‘เซียนเซียน’ ใช้จานอาคมนำทั้งสองกลับมายังร้านเดิม หานลี่ไม่ได้รั้งรออยู่อีก พลันจากไปในทันที
จากนั้นหานลี่ก็ไปดูร้านที่สนใจร้านอื่นอย่างต่อเนื่อง หลักๆ แล้วก็เป็นร้านวัตถุดิบ ร้านหลอมอาวุธ ร้านยุทธภัณฑ์ต่างๆ
แม้ว่าเขาจะได้รับประโยชน์เช่นกัน แต่ย่อมเทียบกับเกราะมารเหนือฟ้าที่หานลี่ได้มาไม่ได้ แน่นอนว่าจึงไม่อาจเปรียบเทียบกันได้
หานลี่เดินอยู่บนท้องถนนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ท้องฟ้ามืดลงอีกครั้ง แล้วถึงได้เรียกรถอสูรคันหนึ่งกลับไปยังที่พัก
สิบกว่าวันต่อมาหานลี่ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เดินเล่นไปมาบนถนนในเมืองเมฆาและเข้าไปในร้านรวงต่างๆ ไม่หยุด
เช่นนั้นในที่สุดหานลี่ก็เข้าใจสถานที่ต่างๆ ในเมืองเมฆาคร่าวๆ แล้ว
จนพลบค่ำเซี่ยงจือหลี่กลับมาพูดคุยกับหานลี่เป็นบางครั้งคราว
ช่วงเวลานี้เมืองเมฆาดูภายนอกตึงเครียดแต่ภายในกลับผ่อนคลาย คนในเมืองต่างรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่กลับไม่มีท่าทีตึงเครียดเหมือนศัตรูเข้ามาประชิดเลยสักนิด
ไม่รู้จริงๆ ว่าเผ่าเมฆาสวรรค์ต่างๆ เคยชินกับการที่เผ่าแมลงมีเขามาโจมตีหรือว่าคิดว่าเผ่าแมลงมีเขาไม่อาจเข้าประชิดเมืองเมฆาได้ก็สุดจะรู้
วันนี้ตอนที่หานลี่ออกมาจากโรงเตี๊ยมอีกครั้ง กลับไม่ได้ตรงไปร้านค้า แต่ตรงไปขวางรถอสูรคันหนึ่งเอาไว้แล้วบอกกับพลขับว่า ‘ภูเขาแสงเมฆา!’ จากนั้นก็เข้าไปนั่งเงียบกริบอยู่ในรถ
ชั่วขณะนั้นรถอสูรพลันแล่นไปบนท้องถนน
ครั้งนี้รถแทบจะแล่นข้ามไปเกือบครึ่งเมืองเมฆา คาดไม่ถึงว่าจะมาหยุดลงที่ตีน ‘เขาสูง’ แห่งหนึ่ง
หานลี่ลงจากรถ สองตาหรี่ลงพลางมองไปยังสิ่งมหึมาตรงหน้าชั่วครู่
นี่คือ ‘เขาสูง’จริงๆ สูงประมาณสามพันจั้งเศษ ด้านบนเป็นสีเขียวขจี ในเวลาเดียวกันก็มีไอวิญญาณบริสุทธิ์โชยเข้ามาปะทะใบหน้า ภูเขาลูกนี้เป็นชีพจรวิญญาณ
หานลี่มองไปรอบๆ ภูเขาขนาดใหญ่เช่นกัน รอบๆ มีอยู่อีกเจ็ดลูก ขนาดล้วนไม่ต่างกันนัก
นี่คือสิ่งที่เมืองเมฆาขนานนามว่า ‘ภูเขาแปดเมฆา!’
ว่ากันว่าในอดีตกาล ตอนนั้นในเมืองมีผู้มีอิทธิฤทธิ์อยู่สองสามคน ได้สำแดงความสามารถที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาออกมา ย้ายภูเขาทั้งแปดลูกมาไว้ที่เมืองเมฆา และนอกจากนี้ยังควบคุมชีพจรวิญญาณทั้งแปดแห่งมาไว้ในภูเขา ดังนั้นถึงได้กลายเป็นชีพจรวิญญาณของภูเขาวิญญาณแปดลูกที่ไม่อยู่บนพื้นดิน!
ภูเขาวิญญาณแปดลูกนี้เป็นสถานที่เดียวในเมืองเมฆาที่ใช้พำนักอยู่ระยะยาวได้ เป็นที่ฝึกบำเพ็ญเพียร และเริ่มเปิดถ้ำพำนักน้อยใหญ่กัน
ถ้ำพำนักเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีไว้เพื่อเช่า แน่นอนว่าระยะเวลาในการเช่าถ้ำพำนักเหล่านี้มีเวลาจำกัดในเวลาสองสามร้อยปี และยิ่งไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายยังแพงลิบลิ่ว
แต่เช่นนั้นถ้ำพำนักบนภูเขาแปดเมฆาก็ยังถูกเช่าไปจำนวนมาก แม้กระทั่งบางครั้งก็เกิดเหตุการณ์แย่งชิงกัน
เจี่ยเทียนมู่พักอยู่ในถ้ำพำนักบน ‘ภูเขาแสงเมฆา’ชั่วคราว
จากที่อยู่ที่ทิ้งเอาไว้ ผิวของหานลี่มีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวตรงไปยังภูเขา
ในเขตของภูเขาแปดเมฆา เป็นที่เดียวในเมืองเมฆาที่อนุญาตให้ใช้ลมปราณในการเหาะเหินได้
แน่นอนว่าหานลี่จะไม่ได้พะว้าพะวงนัก
ส่วนสาเหตุที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายตอบรับสิ่งที่เรียกว่า ‘หุ่นเชิดสะท้านฟ้า’ เอาไว้ แน่นอนว่าช่วงเวลานี้หานลี่ก็เข้าใจสถานการณ์ของเผ่าหมื่นโบราณไม่น้อย
เผ่านี้แม้ว่าจะจัดอยู่ในเผ่าระดับกลางของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ แต่สำหรับเคล็ดวิชาหุ่นเชิดนั้น เผ่านี้กลับอยู่ในจุดที่น่าเหลือเชื่อ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสามเผ่าที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิดที่สุดในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี
ส่วนตอนแรกที่ไม่เข้าใจ ‘หุ่นเชิดสะท้านฟ้า’ หานลี่ได้อ่านคัมภีร์และพูดคุยกับเซี่ยงจือหลี่อย่างละเอียด ในที่สุดก็เข้าใจว่ามันคืออะไร
หุ่นเชิดชนิดนี้อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีพลังระดับเทพแปลงขึ้นไป คาดไม่ถึงว่าจะพลังวิญญาณ แม้ว่าจะไม่ต้องแบ่งจิตไปควบคุมก็สามารถทำตามคำสั่งได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าล้ำค่าเป็นอย่างมาก!
และยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่าหุ่นเชิดชนิดนี้มีโอกาสพัฒนาระดับจิตวิญญาณได้ สุดท้ายอาจจะมีสติปัญหาระดับต่ำเลยก็เป็นได้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตำนานเท่านั้น เผ่าหมื่นโบราณไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้สาธารณะ แต่เช่นนั้นก็ทำให้หุ่นเชิดสะท้านฟ้าถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความลึกลับ
แน่นอนว่าหุ่นเชิดสะท้านชนิดนี้ แม้ว่าเผ่าหมื่นโบราณจะหลอมขึ้นอย่างไม่ง่าย ปกติแล้วไม่นำออกมาขายภายนอก
ต่อให้บางครั้งนำออกมาตัวสองตัว ก็จะถูกเผ่าต่างๆ แย่งชิงไป ทุกตัวล้วนขายออกไปในราคาที่ยากจะเชื่อ
เมื่อได้ยินหุ่นเชิดสะท้านฟ้ามีความพิเศษขนาดนี้ หานลี่เองที่เชี่ยวชาญการหลอมหุ่นเชิด ย่อมรู้สึกสนใจใคร่รู้
ประกอบกับที่เขามีเป้าหมายอื่น ถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง
หลังจากที่หานลี่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้งแล้ว ก็หมุนวนร่อนลงบนสถานที่ที่รกร้างตรงสันเขา
เบื้องหน้าของเขาไม่ไกลนักคือกำแพงเขาที่ไม่สะดุดตา บนกำแพงมีประตูหินสูงสองสามจั้งสลักอยู่
หานลี่ไม่ได้เคาะประตู แต่สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาพลันบินออกไป หลังจากกระพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในประตูหินอย่างเงียบเชียบ และไร้ร่องรอย
ผลคือไม่นานหลังจากนั้น ผิวของประตูหิวก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ประตูใหญ่เปิดออกโดยอัตโนมัติ
เจี่ยเทียนมู่เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ เป็นสหายหานนี่เอง แต่เหตุใดสหายเพิ่งจะมาเอาตอนนี้ ข้าน้อยรอเจ้ามาตั้งหลายวัน”
“ผู้แซ่หานติดธุระนิดหน่อย จึงมาช้าไปสองสามวัน สหายเจี่ยอย่าถือสาเลย!” หานลี่พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดสองสามแวบ พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอารมณ์ดี ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับการพูดคุย สหายเชิญเข้าไปคุยในถ้ำพำนักเถิด” เจี่ยเทียนมู่พยักหน้า ทันใดนั้นเรียนเชิญอย่างกระตือรือร้น
“เช่นนั้นก็น้อมรับคำบัญชาแล้ว” หานลี่ไม่ได้เกรงใจอะไร สาวเท้ายาวๆ เข้าไปทันที
ถ้ำพำนักของเจี่ยเทียนมู่ไม่ใหญ่โตนัก เดินผ่านทางเดินเล็กๆ ไป ก็เข้าไปในห้องโถงความกว้างสามสิบจั้งเศษ
ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ยอดเขามีไข่มุกกลมเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ ในห้องโถงมีโต๊ะวางอยู่ตัวหนึ่งและโต๊ะสำหรับวางชุดน้ำชาสองตัว รวมทั้งเก้าอี้หลายร้อยตัว
นอกจากนี้ก็ว่างเปล่า แม้กระทั่งกำแพงทั้งสี่ของห้องโถง ก็ยังใช้หินสีเขียวธรรมดาเท่านั้น
“สหายเชิญนั่ง” เจี่ยเทียนมู่นั่งลงตำแหน่งหลัก แล้วเอ่ยเรียก
หานลี่พยักหน้าแล้วนั่งลงด้านข้าง
เสียง “แปะๆ” ดังขึ้น เจี่ยเทียนมู่ไม่ได้เอ่ยอะไร ก็ปรบมือเบาๆ สองที
แววตาของหานลี่เปล่งประกาย ชั่วขณะนั้นพลันมองไปทางด้านข้างประตูข้างแวบหนึ่ง
ในประตูมีเสียงฝีเท้าดังออกมา
ครู่ต่อมาหญิงสาวหน้าตางดงามอายุยี่สิบกว่าปี สวมชุดชาววังสีเหลือง สองมือถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าเดินนวยนาดออกมา
หญิงสาวผู้นี้เดินมาตรงใจกลางห้องโถง วางกล่องไม้ลงบนโต๊ะวางชุดน้ำชาต่อหน้าหานลี่ แล้วไปยืนด้านข้างโดยไม่ปริปากอย่างนอบน้อม
ฉากที่น่าแปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
แววตาของหานลี่แค่กวาดไปทางกล่องไม้ตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สองตาหรี่ลงมองหญิงสาวเขม็ง ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
“อันใด สหายสนใจหญิงรับใช้ในถ้ำพำนักของข้าหรือ หากชอบข้ายกให้เจ้าเป็นอย่างไร?” เจี่ยเทียนมู่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น กลับหัวเราะเบาๆ ขณะเอ่ย
ตอนที่ 1583 หุ่นเชิดใหม่
“ไม่มีอะไร ผู้แซ่หานแค่รู้สึกว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าช่างสมคำร่ำลือนัก หากไม่ใช่เพราะข้าน้อยเข้าใจเคล็ดวิชาหุ่นเชิดเช่นกัน และรู้เคล็ดวิชาลับอยู่บ้าง เกรงว่าก็คงคิดว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าของสหายเป็นคนจริงๆ กลิ่นอายบนร่างของนาง คล้ายกับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราเลย” หานลี่ฉีกยิ้ม ใช้น้ำเสียงชื่นชมเอ่ย
“ฮ่าๆ สหายหานดูออก! จุ๊ๆ สหายร่วมวิถีที่ระดับต่ำกว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาเป็นแขกที่ถ้ำพำนักของข้า สหายเป็นคนแรกที่รู้เองว่าสาวใช้ผู้นี้คือหุ่นเชิด หุ่นเชิดนี้เป็นสิ่งที่ข้าหลอมมาเองกับมือ ตอนแรกหลอกสหายสนิทไปได้ตั้งหลายคน” เจี่ยเทียนมู่ได้ฟังคำพูดของหานลี่ ไม่เพียงจะไม่ได้โศกเศร้า กลับหัวเราะร่าอย่างร่าเริง
ดูเหมือนว่าหานลี่จะมองฐานะหุ่นเชิดร่างมนุษย์ที่เข้าหลอมขึ้นได้ในแวบเดียว จะทำให้พวกเขารู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น
“ข้าน้อยแค่โชคดีเท่านั้น ทว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนี้ดูเหมือนว่าจะระดับไม่สูงมากนัก เน้นไปทางรายละเอียดของมนุษย์มากเกินไป” หานลี่มองหุ่นเชิดที่ดูเหมือนมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น ก็ฉีกยิ้มบางๆ ขณะเอ่ย
“พี่หานสายตาเฉียบแหลมนัก! หุ่นเชิดตัวนี้คือหุ่นเชิดระดับสะท้านฟ้าตัวแรกที่ข้าหลอมขึ้น มีกำลังแค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่สาม เน้นไปทางด้านสติปัญญา แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ข้าบ่มเพาะมันมาแต่สติปัญญากลับไม่สูงขึ้นเลย” เจี่ยเทียนมู่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หันหน้าไปมองสาวใช้แวบหนึ่ง เผยสีหน้าเสียดายออกมา
ส่วนหุ่นเชิดสาวใช้ตนนั้นก็กำลังฉีกยิ้มเบิกบานให้เจี่ยเทียนมู่ราวกับมนุษย์ธรรมดา แต่ทันใดนั้นก็หุบยิ้มลงแล้วกลับมามีสีหน้าไร้ความรู้สึกอีกครั้ง
หานลี่มองสถานการณ์นี้แล้วรู้สึกหมดคำพูด!
“ใช่แล้ว พี่หานดูหุ่นเชิดสะท้านฟ้าในกล่องเถิดว่าพอใจหรือไม่?” เจี่ยเทียนมู่ถอนสายตาออกมาแล้วเอ่ยถามหานลี่ด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่พยักหน้า สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะ ลำแสงสีเขียวบินม้วนออกมา
หลังจากเสียง “ครืด” ดังขึ้น กล่องไม้ทรงยาวพลันเปิดออก เผยของในกล่องออกมา
“นี่คือ?” หานลี่จ้องเขม็งมองไปเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ในกล่องมีอสรพิษสีขาวความยาวสองสามฉื่อตัวหนึ่งวางอยู่ ตัวมันเปล่งแสงแวววาว ลำแสงวิญญาณสีขาวโพลนชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างกายอยู่
“นี่คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้าแบบใหม่ที่น้องชายเพิ่งหลอมขึ้นได้ไม่นาน ระดับของมันน่าจะไม่แตกต่างกับสหายนัก อยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ด แม้ว่าระดับจะไม่สูงนัก แต่กลับสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้สองชนิด หากไม่ใช่เพราะพี่หานช่วยชีวิตน้องเอาไว้ ผู้แซ่เจี่ยก็คงเสียดายไม่กล้าเอาหุ่นเชิดตัวนี้ออกมา” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์สองสามส่วน
“เปลี่ยนรูปได้สองชนิด?” หานลี่ได้ฟังกลับรู้สึกตกตะลึง
“ใช่แล้ว! แม้ว่าจะไม่เคยรับเจ้านายด้วยโลหิต แต่ข้าก็สามารถควบคุมมันได้อย่างง่ายๆ สาธิตให้พี่หานดูสักหน่อย”เจี่ยเทียนมู่เอ่ยไปพลาง จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ชี้ไปทางกล่องไม้ทางหานลี่
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสรพิษสีขาวในกล่อง
ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ อสรพิษสีขาวที่แต่เดิมนิ่งสงบพลันขดตัว ทันใดนั้นลำแสงสีขาวพลันเปล่งประกายกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งบินออกมาจากกล่องไม้
งูเหลือมเผือกยาวสองสามจั้งตัวหนึ่งบินหมุนวนโคจรอยู่กลางอากาศเหนือห้องโถง
มองไกลๆ งูเหลือมเผือกดวงตาสองข้างสีแดงก่ำ เกล็ดมีลำแสงระยิบระยับ สะบัดหัวสะบัดหางไปมากระโจนเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน ไม่ต่างอะไรกับงูเหลือมยักษ์จริงเลยสักนิด
ฉับพลันนั้นเจี่ยเทียนมู่พลันร้องตะโกนเสียงต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งชูขึ้น ร่ายอาคมสายหนึ่งออกไป
ร่างของงูเหลือมยักษ์หยุดชะงัก ร่างกายสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะขดตัวเป็นก้อน
ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ งูเหลือมเผือกกลายเป็นหญิงสาวสวมชุดคลุมสีขาวหน้าตางดงามดุจภาพวาด ท่าทางองอาจ แค่หว่างคิ้วมีความฉงนเล็กน้อย กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน
“เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะใช้หุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนี้ต่อกรกับศัตรู หรือว่าใช้เป็นสาวใช้ในถ้ำพำนัก ก็เหมาะสมยิ่ง ข้อบกพร่องเพียงสิ่งเดียวก็คือ ต้องเสียศิลาวิญญาณจำนวนมาก มากกว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าแบบอื่นๆ สองสามเท่า และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะหุ่นเชิดตัวนี้สร้างขึ้นจากเหล็กผลึกธาตุเย็นเสียกว่าครึ่ง จึงต้องใช้ศิลาวิญญาณธาตุน้ำแข็งที่หายากถึงจะควบคุมมันได้ หากสหายต้องการจริงๆ ละก็ วันข้างหน้าจะต้องเสียศิลาวิญญาณจำนวนไม่น้อย” เจี่ยเทียนมู่อธิบาย
“แม้ว่าศิลาวิญญาณธาตุน้ำแข็งจะหายาก แต่ผู้แซ่หานก็มั่นใจว่าจะหามาได้ ขอแค่หุ่นเชิดนี้มีประโยชน์ก็พอแล้ว หุ่นเชิดตัวนี้ข้าจะขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจล่ะนะ” หานลี่มองหญิงสาวชุดขาวกลางอากาศชั่วครู่ แล้วฉีกยิ้มเบิกบาน
“ฮ่าๆ พี่หานพอใจก็พอแล้ว ขอแค่หยดโลหิตลงไปบนหุ่นเชิดตัวนี้เพื่อรับเป็นนาย คนอื่นก็ไม่อาจควบคุมมันได้อีก” เจี่ยเทียนมู่ฉีกยิ้ม มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ไปที่หุ่นเชิดกลางอากาศอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นหญิงสาวชุดคลุมสีขาวพลันพลิ้วกาย กลายเป็นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งไปหาหานลี่ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นอสรพิษสีขาวร่อนลงมาในกล่อง
และแทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวหมุนวนออกมา ฝากล่องปิดผนึกลงอีกครั้ง
“สหายเจี่ย เมื่อครู่ได้ยินเจ้ากล่าวว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นกับมือ ความรู้ด้านหุ่นเชิดของสหายสูงส่งแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว ข้าน้อยมีหุ่นเชิดแบบใหม่ที่เพิ่งได้มาจากคนอื่นพอดี น่าสนใจมาก สหายอยากลองดูสักหน่อยหรือไม่” หานลี่เก็บกล่องหยกไปแล้ว ก็ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยกับเจี่ยเทียนมู่
“อ๋อ หุ่นเชิดแบบใหม่! สหายรีบเอาออกมาให้ข้าดูเร็ว” เจี่ยเทียนมู่ได้ยิน พลันเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา
หานลี่หัวเราะพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีกล่องหยกปรากฏขึ้น ด้านบนมีลำแสงวิญญาณเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะแปะยันต์ต้องห้ามเอาไว้สองสามแผ่น
ฉีกยันต์วิเศษออก มือหนึ่งปรบไปที่ฝากล่อง
ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ในกล่องหยกมีหุ่นเชิดร่างมนุษย์ขนาดสองสามชุ่นบินออกมายี่สิบกว่าตัว
นั่นก็คือหุ่นเชิดรับใช้กลุ่มหนึ่งที่หานลี่ได้มาจากราชันย์ปีศาจชุดคลุมโลหิตในเหวพสุธา
หุ่นเชิดมนุษย์เหล่านี้บินมาตรงใจกลางห้องโถง แล้วระเบิดหมอกห้าสีสันออกมา หลังจากหมุนวนก็สลายหายไป ในห้องโถงมีโฉมงามสะคราญสวมชุดหลากสีสันสิบสองคนปรากฏขึ้น แต่ละคนล้วนมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น มีเสน่ห์น่าเย้ายวน
สองฝั่งของห้องโถง มีบุรุษวัยเยาว์หน้าตาหมดจดคมคายยี่สิบสี่คนปรากฏขึ้นเช่นกัน ทุกคนล้วนถือเครื่องดนตรีต่างๆ เอาไว้ นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น
หานลี่ไม่ได้ร่ายอาคมกระตุ้น เสียงดนตรีก็ดังขึ้นในวิหาร ทำให้ผู้คนได้ฟังแล้วรู้สึกสดชื่น ส่วนหญิงสาวรูปร่างงดงามเหล่านั้นพลันพลิ้วไหวกาย คาดไม่ถึงว่าจะขยับกายไปตามเสียงดนตรีในห้องโถง
เห็นเพียงหญิงสาวเหล่านี้ล้วนเอวบางร่างน้อย อาภรณ์หลากสีสันพลิ้วไหว กลิ่นหอมประหลาดโชยออกมา
ยามนั้นในห้องโถงล้วนเต็มไปด้วยเงาภาพชวนน่าหลงใหล ท่าทีสวยเย้ายวน
ชั่วพริบตาที่คนเหล่านี้ปรากฏกายขึ้น เจี่ยเทียนมู่พลันตกตะลึงจนตาค้าง มองไปด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ เสียงดนตรีเคล้าอารมณ์ก็หยุดลง หญิงสาวสิบสองคนที่กำลังร่ายรำก็หยุดชะงัก แล้วทยอยกันกลับมายืนนิ่ง
“น่าสนใจจริงๆ ในหุ่นเชิดมนุษย์เหล่านี้ดูเหมือนจะจิตสัมผัส ไม่รู้ว่าเป็นของสหายหานหรือเปล่า” เจี่ยเทียนมู่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยพึมพำ
“สหายก็ดูออกสินะ หุ่นเชิดเหล่านี้เรียกว่าข้ารับใช้วิญญาณ เป็นหุ่นเชิดครึ่งวิญญาณครึ่งสัตว์ มันไม่เหมือนกับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าที่กำเนิดจากการหลอมจิตวิญญาณเข้ากับร่างของหุ่นเชิด จะว่าไปแล้วก็คล้ายคลึงกับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าของสหายอยู่บ้าง สามารถเคลื่อนไหวได้ตามความสามารถเช่นกัน ไม่นับว่ามีสติปัญญาอะไร ยิ่งไม่อาจเพิ่มสติปัญญาได้” หานลี่ฉีกยิ้มขณะเอ่ย
“การหลอมจิตวิญญาณและหุ่นเชิดรวมเป็นหนึ่ง วิธีนี้ข้าเคยเห็นมาก่อน แต่ลองใช้กับจิตวิญญาณอสูรวิญญาณมาหลายชนิด กลับไม่สำเร็จ ข้ารับใช้วิญญาณเหล่านี้ใส่จิตวิญญาณอะไรเข้าไป?” เจี่ยเทียนมู่ได้ยินคำพูดของหานลี่ พลันเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา เอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ข้ารับใช้วิญญาณเหล่านี้ข้าได้มาด้วยความบังเอิญ จิตวิญญาณที่ใส่เข้าไปคือจิตวิญญาณอะไร ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อมีข้ารับใช้เหล่านี้อยู่ในมือ สหายก็สามารถแยกพวกมันออกได้ และหาความจริงจากพวกมัน น่าจะไม่ใช่เรื่องยากสินะ” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“นั่นมันก็ใช่! อะไร หรือว่าพี่หานจะยอมมอบหุ่นเชิดเหล่านี้ให้ข้าน้อย” เจี่ยเทียนมู่พลันถึงบางอ้อ แต่ทันใดนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมา
“แม้ว่าข้ารับใช้เหล่านี้จะน่าสนใจ แต่ก็ไม่มีประโยชน์กับข้าน้อยมากนัก แต่สหายเองมีความสามารถด้านหุ่นเชิดที่น่าตกตะลึง หากมีพวกมันจะต้องเพิ่มระดับขึ้นได้อีกขั้นแน่” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้ารับใช้เหล่านี้มีประโยชน์ต่อข้าจริงๆ แต่ของล้ำค่าเช่นนี้ จะมาให้ข้าน้อยเก็บไปง่ายๆ ได้อย่างไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าน้อยพอมีฐานะอยู่บ้าง ขายมันเถิด” เจี่ยเทียนมู่สั่นศีรษะเป็นพัลวันขณะเอ่ย
“ศิลาวิญญาณนั่นช่างมันเถิด หากสหายเจี่ยคิดว่าไม่รับของหากไม่สร้างผลประโยชน์ ข้าน้อยมีคำถามอยู่สองสามข้อ อยากถามสหาย หากสหายยอมตอบ ข้าน้อยก็พอใจ” แววตาของหานลี่เปล่งประกายในที่สุดก็เอ่ยเป้าหมายของตนออกมา
“ปัญหา? พี่หานมีปัญหาใด ถามมาเถิด แต่หากเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับความลับในเผ่าข้า ข้าน้อยก็ไม่สะดวกที่จะตอบ” เจี่ยเทียนมู่ตกตะลึง แต่หลังจากกระพริบตาปริบๆ ก็ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ปัญหาของข้าน้อยไม่เกี่ยวข้องกับความลับของเผ่าเจ้าแน่นอน” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วฉีกยิ้มบางๆ
“งั้นพี่หานถามมาเถิด” เจี่ยเทียนมู่มีสีหน้าผ่อนคลายลง พยักหน้าขณะเอ่ย
“ช่วงที่ข้าอยู่ในเมืองนี้ ได้ยินว่าเมฆาสวรรค์ดูเหมือนจะเขตอาคมส่งตัวขนาดใหญ่ที่ส่งตัวข้ามแผ่นดินได้ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่? หากเป็นความจริง ไม่ทราบว่าถูกควบคุมโดยเผ่าใด” หานลี่เอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด
“เขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดิน? มีอยู่หนึ่งแห่งจริงๆ แต่เขตอาคมนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยเผ่าใดเผ่าหนึ่ง ถูกสิบสามเผ่าของพวกเราช่วยกันดูแล” เจี่ยเทียนมู่รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของหานลี่ จึงตอบกลับอย่างประหลาดใจ
“ไม่ทราบว่าเผ่าใดคอยดูแลอยู่” หานลี่กลับซักถามต่อ
“เพราะว่าเขตอาคมนี้ต้องได้รับการดูแลที่เหมาะสม และต้องซ่อมแซมอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงให้สี่เผ่าอย่างเผ่าผลึก เผ่ารังไหมศิลา เผ่าหลายกร รวมทั้งเผ่าหมื่นโบราณคอยดูแล สหายหานเจ้าสนใจเขตอาคมนี้ หรือว่าอยากใช้เขตอาคมส่งตัวนี้” เจี่ยเทียนมู่ตอบกลับอย่างส่งเดชไปพลาง เผยท่าทางมีความคิดพลางเอ่ยถามไปพลาง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น