พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1579-1584
บทที่ 1579 เพียงคนที่ผ่านทางมาเจอกัน
เรื่องบางเรื่องก็เป็นอย่างนี้ ถ้าในใจไม่มีอะไรแอบแฝง ก็จะไม่คิดอะไรซี้ซั้ว แต่ประเด็นก็คือในปีนั้นจ้านหรูอี้ขอร้องให้เขาพานางไป เคยเปิดเผยเรือนร่างส่วนบนให้เขาเห็น เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน รวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย
เรื่องอื่นเขาสามารถบอกอวิ๋นจือชิวได้หมด มีเพียงเรื่องระหว่างชายหญิงเท่านั้นที่เขาบอกอวิ๋นจือชิวไม่ได้ ทำเรื่องน่าละอายเยอะจนติดเป็นนิสัยแล้ว ช่วยไม่ได้
และในใจเขาก็รู้ชัดเจนมาก ว่าจ้านหรูอี้ไม่อยากอยู่ที่วังสวรรค์ ดังนั้นแล้ว เขาจึงกังวลว่าจ้านหรูอี้จะอยากทำหม้อชำรุดให้ตกแตก[1]หรือเปล่า ถ้าวันไหนจ้านหรูอี้เอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ราชันสวรรค์จะใจกว้างขนาดไหนแต่ก็ไม่มีทางรับเรื่องนี้ได้ ตระกูลโค่วก็จะปกป้องเขาไม่ได้เช่นกัน ประมุขชิงจะต้องทำให้ร่างเขาแหลกเป็นจุนแน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว ขนาดอวิ๋นจือชิวที่มาเยี่ยมเขาที่ผืนนาหลวงเป็นครั้งคราวยังมองออกถึงความไม่ชอบมาพากลเลย ถามว่าระหว่างเขากับจ้านหรูอี้มีเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า
เหมียวอี้แสร้งตอบอย่างจนใจว่า “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ ในปีนั้นข้าเคยมีเรื่องกับนาง ตอนนี้นางเรียกใช้ข้าอย่างกับคนใช้ กำลังจงใจสร้างความอัปยศให้ข้าเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างนะ ถ้าจ้านหรูอี้มีร่างกายไม่บริสุทธิ์ จะเข้าวังหลังได้ยังไง จะกลายเป็นสนมโปรดของราชันสวรรค์ได้เหรอ เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว?”
สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดมีเหตุผลเหมือนกัน ถ้าไม่ได้มีร่างกายที่บริสุทธิ์ ต่อให้เข้าไปในวังหลังแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้รับความโปรดปรานจากราชันสวรรค์ อย่างราชันสวรรค์จะโดนคนอื่นสวมเขาได้อย่างไร
แต่สำหรับสัญชาตญาณของผู้หญิง นางมองไม่ออกเลยว่าจ้านหรูอี้เรียกใช้เหมียวอี้เหมือนบ่าวไพร่ มิหนำซ้ำบางครั้งจ้านหรูอี้ก็ยังเรียกนางไปคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันด้วย ระหว่างที่คุยกันไม่ได้มีความหยิ่งผยองอะไร ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าระหว่างเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้มีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า
“ฝ่าบาท สนมสวรรค์หรูอี้ทำเกินไปรึเปล่า มักจะไปอยู่กับหนิวโหย่วเต๋อตรงที่นาหลวงบ่อยๆ แบบนี้มันใช่เรื่องที่ไหนเพคะ?”
ตำหนักนารีสวรรค์ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับน้ำฝนพระราชทานจากประมุขชิง ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังช่วยแต่งตัวให้ประมุขชิง แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มได้ทีขี่แพะไล่แล้ว
ประมุขชิงตอบว่า “นางก็ไม่ค่อยได้ออกจากวังสักเท่าไร ออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ชัดเจนว่านางกำลังสร้างความอัปยศให้หนิวโหย่วเต๋อ พวกเขามีความแค้นมานานแล้ว ให้นางระบายความโกรธสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงก็ยังมีตระกูลโค่ว นางคงไม่ทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อตรงๆ เช่นกัน ทำได้แค่นี้”
“จะผ่อนคลายอารมณ์หรือระบายความโกรธรึเปล่าหม่อมฉันก็ไม่รู้หรอกเพคะ แต่ชายหญิงอยู่กันตามลำพังจะให้คนอื่นมองยังไง? จะให้พวกน้องๆ ในวังหลังเห็นแล้วรู้สึกยังไง? ผลกระทบแย่เกินไปแล้ว!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว
ประมุขชิงเอียงหน้ามองมา แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นิดหน่อย “ชายหญิงอยู่กันตามลำพังเสียเมื่อไร มีคนมากมายขนาดนั้นดูอยู่ เจ้าหวังจะให้สนมสวรรค์มีชื่อเสียงไม่ดีมากนักเหรอ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็หวังดีกับฝ่าบาทเหมือนกันนะเพคะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็จะสายไปแล้ว”
“พอแล้ว!” ประมุขชิงพลันหันตัวมา แล้วจ้องนางอย่างเย็นเยียบ “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้? ใช่ว่าข้าจะหูหนวกตาบอดเสียเมื่อไร ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็มองทะลุปรุโปร่ง สนมสวรรค์เป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ทำอะไรก็เปิดเผยจริงใจ ไปอุทยานสวรรค์แล้วเรียกใช้หนิวโหย่วเต๋อหน่อยจะเป็นไรไป? มีจุดไหนที่ลับสายตาคนบ้าง อยู่ในสายตาทุกคนตลอด เรื่องสะอาดบริสุทธิ์ที่ทุกคนมองเห็นกันหมด ทำไมเมื่ออยู่ในสายตาเจ้าถึงกลายเป็นเรื่องแย่ขนาดนี้ล่ะ? เฮอะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ทิ้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วออกไปแล้ว
พิจารณาตามความเป็นจริง ต่อให้ประมุขชิงจะไม่ชอบเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่อย่างน้อยในแต่ละปีก็ต้องมาดูแลเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สักสองสามครั้ง
เพิ่งจะมีความสุขสำราญไป เดิมทีไม่อยากจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง แต่เขาไม่พอใจมากที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มักจะพูดข่มจ้านหรูอี้เสมอ เขาเองก็รู้ว่าที่วังหลังมีการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่สนวิธีการบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนที่เขาอยู่กับจ้านหรูอี้ เขาไม่เคยได้ยินจ้านหรูอี้พูดถึงความผิดใดๆ ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย จ้านหรูอี้เองก็ไม่เคยว่าร้ายใครในวังหลังเลยด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขชิงก็ไม่เคยปิดบังอะไร และไม่เคยวางแผนอะไรกับเขาด้วย มีแค่ตอนที่อยู่กับจ้านหรูอี้เท่านั้น เขาถึงจะสัมผัสได้ถึงความสงบจิตสบายใจ สำหรับประมุขชิงที่เผชิญกับขุนนางปากหวานก้นเปรี้ยวในราชสำนักแล้วกลับมาเจอการวางอุบายใส่กันที่วังหลังอีก จ้านหรูอี้ก็คือดินแดนอันสงบสุข มอบความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านให้เขา
พูดจากใจจริง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวตระกูลเซี่ยโห้ว เขาก็อยากจะแต่งตั้งให้จ้านหรูอี้เป็นฮูหยินตำหนักหลักจริงๆ แต่ความเป็นจริงต้องทำให้เขาอดทนไว้ ด้วยนิสัยอย่างจ้านหรูอี้ก็เป็นราชินีสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน ถ้าอยู่ในตำแหน่งราชินีสวรรค์จริง ตระกูลอื่นๆ ก็คงไม่ยืนอยู่ฝ่ายจ้านหรูอี้แน่ เขากลัวว่าจะทำให้จ้านหรูอี้มีบาแผลเต็มตัว
วังหลังคือสถานที่บอกเล่าร้องขอที่สะท้อนถึงอำนาจในราชสำนัก เจ้าจะไม่เก็บสะสมไว้ก็ไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ยอมรับสนมเอาไว้ พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็จะคิดว่าเจ้ามีความคิดอะไรต่อเขาหรือเปล่า เรื่องนี้ทำให้คนปวดหัวจริงๆ ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากจะเลี้ยงผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้อยากแตะต้องไว้มากขนาดนี้ เขาเล่นกับสาวงามจนเบื่อหน่ายมาตั้งนานแล้ว อะไรสวยหรือไม่สวย พอถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วมองข้ามใบหน้าไปก็พอๆ กันทั้งนั้น เขาจะเอากำลังวังชาอะไรมากมายไปใช้กับผู้หญิงเยอะแยะขนาดนั้น ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้แต่ก็ไร้ความสามารถกับเรื่องนี้อยู่ดี ต่อให้ทำอย่างสุดกำลัง แต่วันหนึ่งจะทำได้สักกี่คน?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ปล่อยผมสยายยืนอยู่หน้าประตูใช้มือประคองจับวงกบประตูด้วยสีหน้าเศร้าโศก ถึงไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะรักจ้านหรูอี้ขนาดนี้ ถ้าเอาเรื่องระหว่างชายหญิงของสนมคนอื่นมาพูด ประมุขชิงจะต้องสงสัยแน่นอนว่าในใจต้องมีอะไร แต่พอเปลี่ยนเป็นจ้านหรูอี้ ไม่น่าเชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่สงสัยเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ปกป้องเข้าข้าง ทั้งยังตำหนิต่อว่านางยุ่งมากไปด้วย
พอออกจากตำหนักนารีสวรรค์มาแล้ว ซ่างกวนชิงก็มาต้อนรับแล้วเดินตามหลัง จู่ๆ ประมุขชิงก็ถามว่า “ซ่างกวน เจ้าว่าให้สนมสวรรค์เป็นราชินีสวรรค์ดีมั้ย?”
“หา!” ซ่างกวนชิงตกใจ ทำไมจู่ๆ ถึงมีความคิดนี้ได้ล่ะ เขารู้ว่าประมุขชิงชอบจ้านหรูอี้จริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเปลี่ยนตำแหน่งราชินีหรอกมั้ง!
ถึงแม้เขาจะเป็นคนดูแลวังสวรรค์ แต่เขาก็ไม่เคยพูดอะไรมากเลยเกี่ยวกับเรื่องของวังหลัง ทว่าการเปลี่ยนตัวราชินีส่งผลกระทบเยอะมากจริงๆ เขาเลยต้องเตือนว่า “ฝ่าบาท! ไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าถอดราชินีสวรรค์แล้ว ในสายตาของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็เหมือนเป็นเค้าลางว่าจะลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ถึงตอนนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายแล้ว! หากฝ่าบาทโปรดปรานสนมสวรรค์จริงๆ ก็ได้โปรดเห็นอกเห็นใจสนมสวรรค์ บ่าวขออนุญาตกล่าวสิ่งที่มิควร ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของสนมสวรรค์ ไม่เหมาะจะนั่งตำแหน่งนายหญิงของวังหลังจริงๆ ถ้านางได้นั่งตำแหน่งนั้น ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายนาง!”
“ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น! เฮ้อ! ใช่แล้ว!” ประมุขชิงส่ายหน้า คำพูดนี้เขาเก็บมาใส่ใจแล้ว เขาชี้ข้ามหัวไหล่ไปทางตำหนักนารีสวรรค์ “ต่อให้สนมสวรรค์จะเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังมีคนไม่อยากจะปล่อยนางไป อยากจะเล่นงานนางให้ถึงตาย เลวร้ายยิ่งนัก! ซ่างกวน ทางวังหลังน่ะ เจ้าสนใจเรื่องปกป้องสนมสวรรค์ไว้หน่อยนะ อย่าให้ใครใช้วิธีการชั้นต่ำอะไรกับนางจนเกิดเรื่องที่เอาคืนไม่ได้!”
“ขอรับ! บ่าวจะจำไว้แน่นอน ไม่สะเพร่าเด็ดขาด!” ซ่างกวนชิงโล่งใจ รีบเอ่ยรับแล้ว
แสงจันทร์ส่องสว่างตรงขอบฟ้า เสียงคลื่นกระทบฝั่ง บนยอดเขาสูงพันจั้ง คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งสูงต่ำไม่เสมอกันตามลักษณะภูเขา ตรงประตูใหญ่ที่มีรูปแบบโบราณเรียบง่ายเขียนคำว่า ‘ตระกูลหวงฝู่’ เอาไว้
ในลานบ้านที่เงียบสงบ เสียงกู่ฉินฟังดูเศร้าคับแค้น หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในศาลสวมชุดกระโปรงขาวดุจหิมะ ผมยาวคลุมบ่า นิ้วทั้งสิบกำลังดีดกู่ฉิน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ความกลัดกลุ้มในใจก็ยิ่งไม่มีทางกำจัดออกไปได้ กลัดกลุ้มถึงขั้นสะสมกลายเป็นความเคียดแค้น!
ถึงแม้ตอนนี้นางก็ถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ แต่มารดาก็ไม่ได้ตัดขาดอำนาจในการรับรู้เรื่องราวภายนอก เรื่องบางเรื่องนางก็ได้รู้จากปากสาวใช้แล้ว
นางนึกไม่ถึง นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่ออวิ๋นจือชิวได้ ตอนแรกที่อยู่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางก็เคยได้ยินเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อชอบอวิ๋นจือชิวมาบ้าง นางเองก็จงใจเข้าหาอวิ๋นจือชิวเช่นกัน แต่ก็สืบไม่เจออะไร ใครจะคิดล่ะว่าความสัมพันธ์ของหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวจะลึกซึ้งถึงขั้นนี้
ถ้าเช่นนั้นนางนับเป็นอะไรล่ะ? ความเจ็บปวดขมขื่นในใจยากจะบรรยาออกมาได้ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่คนหนึ่ง โดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นสนุกด้วยแล้ว!
แต่ที่น่าขำก็คือ นางยังนึกว่าสาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อไม่แต่งตั้งให้เฟยหงเป็นฮูหยินเอกก็เพราะนาง แต่ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะนาง แต่เพื่ออวิ๋นจือชิว! ช่างน่าขำที่นางคิดว่าตัวเองต่างหากที่เป็นผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อรักจริงอยู่เบื้องหลัง ที่แท้คนที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลังที่แท้จริงก็ไม่ใช่นางเลย นางเป็นแค่ของเล่นระบายอารมณ์ที่หนิวโหย่วเต๋อเอาไว้เปลี่ยนรสชาติเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น!
“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นข้างหลัง เสียงฉินหยุดลง พอหวงฝู่จวินโหรวหันกลับไป ก็เห็นหวงฝู่ตวนหรงผู้เป็นมารดามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังมองนางด้วยสีหน้ารักและสงสาร
“ท่านแม่กลับมาแล้วหรือคะ” หวงฝู่จวินโหรวลุกขึ้นยืนแล้วคำนับ
หวงฝู่ตวนหรงช่วยลูบผมงามที่ประบ่านาง แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้าดีหรือไม่”
“พวกเขาแต่งงานกันแล้วใช่มั้ยคะ?” หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้าพูดเบาๆ
“ใช่แล้ว จัดงานแต่งใหญ่ที่อุทยานสวรรค์ มีขุนนางเต็มราชสำนักมาร่วมงาน ราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์ก็ให้เกียรติมาด้วยตัวเอง มีหน้ามีตามาก” หวงฝู่ตวนหรงใช้สองมือประคองใบหน้าลูกสาว “ตื่นจากฝันรึยังล่ะ?”
“อือ ฮือๆ…” ในที่สุดหวงฝู่จวินโหรวก็ระเบิดอารมณ์แล้ว นางสลัดหน้าออกจากมือมารดา นั่งยองๆ บนพื้น แล้วกอดเข่าร้องไห้อย่างปวดใจ
เสียงกู่ฉินดังขึ้น หวงฝู่ตวนหรงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมลูกสาว แต่ไปนั่งดีดฉินแล้ว ท่วงทำนองที่เหมือนสายน้ำไหลเอื่อยเต็มไปด้วยการปลอบบำรุงขวัญ
ไม่รู้เหมือนกันว่าร้องไห้ไปนานเท่าไร หวงฝู่จวินโหรวลุกขึ้นยืนแล้ว นางปาดน้ำตาแล้วหันตัวมา “ท่านแม่ ปล่อยข้าออกไปทำธุระเถอะ”
หวงฝู่ตวนหรงยังดีดกู่ฉินไม่หยุด นางถามว่า “อยากจะออกไปล้างแค้นเขาเหรอ? เขาได้ไต่เต้าไปพึ่งพาตระกูลขุนนางระดับบนสุดในใต้หล้าแล้ว ตอนนี้คนที่หนุนหลังเขาคืออ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ที่มีอำนาจในใต้หล้า ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ไม่อาจแตะต้องเขาโดยไร้เหตุผลได้ ตระกูลหวงฝูของเราไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวหรอก นอกเสียจากวันใดที่ตระกูลโค่วล้มลง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องกล้ำกลืนความเสียเปรียบนี้ไว้เอง เจ้าเข้าใจมั้ย?”
หวงฝู่จวินโหรวที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำสูดหายใจฟึดฟัด นางยกแขนเสื้อเช็ดใบหน้าอีกครั้ง “เรื่องนี้ลูกหารนหาที่เอง ไปโทษใครไม่ได้ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปลูกจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก และไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วย ตั้งแต่นี้ไปเราเป็นแค่คนที่ผ่านทางมาเจอกันเท่านั้น!”
ตึง! เสียงฉินหยุดลง หวงฝู่ตวนหรงใช้ฝ่ามือสองข้างกดบนสายฉิน แล้วก้มหน้าพูดเบาๆ ว่า “คนที่กลับใจได้นั้นมีค่ายิ่งกว่าทอง เข้าใจก็ดีแล้ว!”
โลกจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไร แต่ก็หนีลมหิมะไม่พ้น ท้องฟ้าครึ้มสลัว เกล็ดหิมะโปรยปราย
บนถนนในโลกมนุษย์ คนที่สัญจรไปมากอดเสื้อผ้าไว้แน่น แต่ชายหญิงคู่หนึ่งกลับไม่สะทกสะท้านกับลมหนาว
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาว ผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาให้เด่น สีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็น สง่าอ่อนโยนดุจหยก มีสง่าราศีไม่ธรรมดา ในมือกำลังถือร่มกระดาษน้ำมัน และใต้ร่วมกระดาษคันนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเคียงคู่ก็สวมผ้าพันคอขนสัตว์สีขาวเช่นกัน นางงดงามราวกับเทพธิดา ใบหน้าหยกขาวสว่างดุจพระจันทร์ จมูกโด่งปากแดง สวยสง่าเหมือนดอกกล้วยไม้ เรียกว่างามล่มเมืองอย่างแท้จริง
เมื่อคู่ที่เหมือนกุมารทอง และกุมารีหยกปรากตัวบนถนนในโลกมนุษย์ ก็เป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ดึงดูดให้คนที่สัญจรไปมาเหลียวมองไม่หยุด
ผู้หญิงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยว่เหยานั่นเอง ส่วนผู้ชายชื่อว่าเจียงหลาง
ทั้งสองเดินบนถนนเงียบๆ ย่ำเท้าเดินบนหิมะช้าๆ เยว่เหยาเหมือนขมวดคิ้วด้วยความกังวลไม่หยุด เจียงหลางเหลือบมองนางเป็นครั้งคราว และไม่ลืมที่จะถือร่มบังเกล็ดหิมะให้เยว่เหยา
…………………………
[1] ทำหม้อชำรุดให้ตกแตก 破罐子 破摔 อุปมาว่าทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม
บทที่ 1580 เจียงหลาง
พอเดินออกจากเมืองมา บนพื้นก็ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
นอกเมืองเป็นฤดูหนาว มีผู้คนเดินถนนหร็อมแหรม ทั้งสองที่ทิ้งรอยเท้าไว้บนหิมะเดินออกจากทางหลัก เดินเลี้ยวไปบนทางแยกอย่างช้าๆ เดินไปบนทางเล็กที่มีร้อยเท้าคนน้อย มีเพียงรอยล้อรถม้า ที่ปลายทางเป็นบ้านพักภูเขาหลังหนึ่งที่มีภูเขาอยู่ข้างหลังและติดแหล่งน้ำ ตั้งสงบเงียบอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
ตอนที่เดินขึ้นบนสะพานหินแห่งหนึ่ง ทั้งสองก็หยุดเดินพร้อมกัน เจียงหลางถามว่า “เยว่เหยา เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”
“หืม?” เยว่เหยาได้ยินแล้ได้สติกลับมา ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ยืนสบตากันเงียบๆ อยู่บนสะพานโค้ง แล้วสุดท้ายเยว่เหยาก็ส่ายหน้า
เจียงหลางที่มือข้างหนึ่งถือร่มยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือไปปัดเกล็ดหิมะบนผ้าพันคอของเยว่เหยา
บนใบหน้าเยว่เหยาแดงเรื่อ ถอยหลบไปข้างหลังเล็กน้อยอย่างเขินอาย
เจียงหลางไม่สนใจ ยังคงเคลื่อนไหวต่อไป หลังจากปัดหิมะบนผ้าพันคอนางไปพอสมควรแล้ว เขาก็มองตาของเยว่เหยาตรงๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มงามสง่า “เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ พูดให้ข้าฟังสักหน่อยก็ได้”
เยว่เหยาเหมือนจะทนกับสายตาแบบนี้ของเขาไม่ไหว นางหันตัวไปทางลำธารสายเล็กที่ยังไม่ถูกน้ำแข็งผนึก แล้วถามว่า “พี่ใหญ่เจียง เคยได้ยินเรื่องงานแต่งงานที่อุทยานสวรรค์หรือเปล่า?”
สายตาของเจียงหลางเปลี่ยนเป็นจริงจังในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวนั่นน่ะเหรอ? ได้ยินมาแล้ว ทำไมเหรอ?”
เยว่เหยาส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยถึงรับผู้หญิงอย่างนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรม แล้วก็หนิวโหย่วเต๋อนั่นอีก จะแต่งกับใครก็ไม่แต่ง ทำไมต้องไปแต่งกับแม่หม้ายคนนั้นด้วย?” ปากนางไม่ยอมรับว่ารู้จักกัน แต่เจตนาอันเป็นศัตรูที่มีต่ออวิ๋นจือชิวก็ยากที่จะหายไปได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าทำให้พี่ใหญ่ของตัวเองต้องไปเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้ ก็ยิ่งทำให้ในใจนางโมโห แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้กับคนนอกได้
แต่สำหรับคนนอกคนนี้ เยว่เหยาก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ตอนที่เจอกันครั้งแรกก็เป็นแถวๆ นี้ ตอนนั้นทั้งสองล้วนปลอมตัว นางปลอมตัวเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ส่วนเขาก็ปลอมตัวเป็นชายแก่คนหนึ่ง เขากำลังสะบัดพู่กันจุ่มหมึกวาดภาพอยู่ระหว่างภูเขา ส่วนนางก็กำลังตรวจสอบว่ามีบุคคลน่าสงสัยเข้าใกล้บริเวณนี้หรือไม่ นางย่อมต้องเข้าไปดูใกล้ๆ อยู่แล้ว เมื่อทั้งสองพบกันก็รู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างปลอมตัว นางคิดหาทางทำทุกอย่างให้เขาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เมื่อสืบถามตรวจสอบก็แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายอยู่อย่างสันโดษตรงหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบลี้เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว
ส่วนจะมีตัวตนแบบไหน ก็ยังต้องรอการตรวจสอบ อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง บอกเพียงว่าให้เรียกเขาว่า ‘เจียงหลาง’ ก็พอ
ที่นี่คือจุดหนึ่งที่อยู่นอกลัทธิเซียน ชื่อว่าบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร กับคนที่น่าสงสัยแบบนี้ เยว่เหยาย่อมไม่กล้าผ่อนปรนความระแวดระวังตัวอยู่แล้ว นางจึงรักษาความสัมพันธ์แบบคบค้าเอาไว้ตรวจสอบ
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่านางเป็นผู้หญิง ทั้งสองกลายเป็น ‘สหาย’ กันแล้ว มักจะไปเที่ยวเล่นอย่างอิสระเสรีด้วยกันบ่อยๆ สุดท้ายก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เจียงหลางกอดไหล่ชักชวนไปดื่มสุรา ทำให้เยว่เหยาเผยพิรุธว่าตัวเองเป็นผู้หญิง แต่สิ่งนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้ทั้งสองคบหาเป็นสหายกันต่อไป
เยว่เหยาจึงซักถามประวัติความเป็นมาของเจียงหลางเสียเลย เจียงหลางบอกว่า ข้าไม่ถามประวัติของเจ้า เจ้าก็อย่าถามประวัติของข้า
เป็นเช่นนี้จริงๆ เจียงหลางไม่เคยเข้าใกล้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรเลย และไม่ถามเยว่เหยาถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรด้วย ท่าทีแบบนี้ทำให้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรสงบใจขึ้นไม่น้อย แต่เขาก็ไม่เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองให้เยว่เหยารู้เช่นกัน ทั้งสองไปมาหาสู่กันแบบนี้หลายร้อยปี
ชายหญิงที่อยู่ด้วยกันเนเวลานานขนาดนี้ กอปรกับหน้าตาที่ไม่ธรรมดาของเจียงหลาง ทั้งยังรู้ศิลปะสี่แขนงของปัญญาชนอย่างลึกซึ้ง เรียกได้ว่ามีดีทั้งหน้าตาและพรสวรรค์ ยิ่งใกล้ชิดกันนานก็ยิ่งทำให้รู้สึกชื่นชมบูชา เยว่เหยารู้ว่าตัวเองแอบเกิดความรู้สึกสนิทสนมเป็นพิเศษกับเจียงหลางแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขารู้สึกพิเศษกับตนหรือเปล่า นางยอมรับว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาแย่
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ทั้งสองจะใกล้ชิดกันถึงขนาดเดินอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันได้อย่างไร ระหว่างทั้งสองราวกับว่าอีกนิดเดียวก็จะเจาะกระดาษกั้นได้แล้ว แต่กระดาษหน้าต่างชั้นนี้ก็เหมือนจะเจาะยากมาก เพราะทั้งสองต่างก็ระแวดระวังตัวตนของตัวเองอยู่ตลอด ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นเพราะทั้งสองไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน
เยว่เหยาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกสนิทกับผู้ชายคนนี้ เดิมทีในใจของนาง นางคิดมาตลอดว่าคนที่นางต้องการแต่งงานด้วยคือพี่ใหญ่ แต่นางก็จำเป็นต้องยอมรับ ว่าตัวเองก็แค่อยากแต่งงานกับพี่ใหญ่ เป้าหมายนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย นี่คือเป้าหมายของนางมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกเขินอายกับพี่ใหญ่เหมือนที่รู้สึกกับเจียงหลาง และไม่เคยรู้สึกมีความสุขทั้งกายและใจเหมือนตอนอยู่ด้วยกันด้วย
นางอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าตัวเองไม่ได้ชอบพี่ใหญ่หรอกเหรอ? แต่ก็ไม่น่าจะใช่สิ เพราะนางก็เหมือนจะหึงหวงเพราะอวิ๋นจือชิวมาตลอด
แน่นอน นางเองก็สงสัยว่าความรู้สึกที่มีต่ออวิ๋นจือชิวใช่ความหึงหวงหรือเปล่า เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ตัวเองก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไรกันแน่
นางคิดวนเวียนกับเรื่องนี้มานานมากแล้ว
เพียงแต่ในตอนนี้ เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา นางก็เหมือนจะตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม
“เหอะๆ!” เจียงหลางส่ายหน้าหัวเราะ “อยู่ห่างจากพวกเราเกินไปแล้ว เจ้าสนใจมากเกินไปรึเปล่า หรือว่าเจ้ารู้จักพวกเขา?” สายตาที่เป็นประกายเหล่มองมาเล็กน้อย สังเกตปฏิกิริยาของนาง
เยว่เหยาส่ายหน้ายิ้มบางๆ “ความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น จะไม่ให้สนใจก็คงยาก ข้าก็อยากจะรู้จักเหมือนกัน อยากจะเห็นว่าแม่หม้ายแบบไหนกันแน่ที่ทำให้อ๋องสวรรค์รับเป็นลูกสาวบุญธรรม ทั้งยังทำให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่เสียดายชีวิตคนหลายแสนด้วย”
“เรื่องใหญ่แล้วยังไงล่ะ เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเหรอ?” เจียงหลางถามพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน” เยว่เหยาหาข้ออ้าง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะข้าอิจฉาอวิ๋นจือชิวนั่นละมั้ง”
สำหรับข้ออ้างนี้ เจียงหลางพยักหน้าเงียบๆ อย่างเข้าใจ ในที่สุดสายตาจับผิดก็ละออกจากใบหน้าของเยว่เหยาแล้ว เขาทอดสายตาไปทางลำธารเล็กคดเคี้ยวที่มีน้ำไหลเอื่อย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ผู้ชายคนหนึ่งทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงขนาดนี้ เป็นที่น่าอิจฉาของผู้หญิงในใต้หล้าจริงๆ เจ้าคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไร” เขาหันกลับไปมองทางบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรอีก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ข้าส่งเจ้าตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวค่อยติดต่อกันอีกที”
เขายื่นร่มในมือให้เยว่เหยา จากนั้นก็กระโจนตัวขึ้นราวกับห่านป่าผู้โดดเดี่ยว ไปเหยียบอยู่บนลำธารเล็กๆ ผิวน้ำกระเพื่อมเหมือนแมลงปอเกาะ แล้วเดินย่องเหยียบบนคลื่นราวกับเซียนในภาพวาด ผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวพัดกระเพื่อม ท่วงท่าสง่างามล่องลอยเข้ากับทิวทัศน์ สุดท้ายก็พุ่งขึ้นฟ้า เหาะจากไปไกลตามลำธารสายเล็ก ก่อนจะหายไปในท้องฟ้า
เยว่เหยากางร่มมองคล้อยหลัง ฝ่ามือตัวเองสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนด้ามร่วม ทำให้นางแอบรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าเล็กน้อย นางเดินย่ำหิมะช้าๆ ไปทางบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร แอบกัดริมฝีปากเงียบๆ
พอมาถึงบ้านพักภูเขา นางก็ไม่ได้เข้าทางประตูหลัก นางเข้าผ่านไปทางประตูหลัง ในจุดลึกของลานบ้านด้านใน นางเห็นถังจวินกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ทางเดิน
“ศิษย์พี่!” เยว่เหยาที่เดินเข้ามาใต้ทางเดินยาวตะโกนเรียก จากนั้นก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันที่สลัดกองหิมะทิ้งแล้ว
ถังจวินเอามือไขว้หลังเดินเข้ามา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมเพิ่งกลับมาป่านนี้?”
“ศิษย์พี่รีบเรียกข้ามามีธุระอะไรเหรอ?” เยว่เหยาถาม
“เจ้าอยู่กับเจียงหลางนั่นเหรอ?” ถังจวินถาม
เยว่เหยาชะงักเล็กน้อย พบว่าถังจวินมีสีหน้าแปลกไ นางพยักหน้าตอบว่า “ถ้าอยากสืบประวัติเขาให้ชัดเจน ก็ต้องคลุกคลีกันมากๆ หน่อยค่ะ”
ถังจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์น้อง เจ้าบอกความจริงข้ามา เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย ระหว่างเจ้ากับเขา…” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่สีหน้ากับน้ำเสียงก็สื่อความหมายชัดเจนมากแล้ว
เยว่เหยากินปูนร้อนท้องนิดหน่อย แต่กลับกลอกตามองถังจวินแวบหนึ่ง “ศิษย์พี่คิดไปถึงไหนแล้ว ก่อนที่ข้าจะรู้ถึงตัวตนของเขาชัดเจน ข้ากับเขาจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ข้าอยากจะสืบตัวตนของเขา ก็เลยคลุกคลีอยู่กับเขามากหน่อย”
“ศิษย์น้องรู้ไว้ก็ดีแล้ว” ถังจวินยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วบอกว่า “ตัวตนของเขาข้าสืบมาชัดเจนแล้ว คนคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ต่อไปนี้ศิษย์น้องต้องระวังมากขึ้นหน่อย ดูเอาเองสิ”
เยว่เหยาประหลาดใจ นางรับแผ่นหยกมาตรวจอ่านแล้ว
ถังจวินคอยอธิบายอยู่ข้างๆ “หลังจากมีข่าวโจรราคะเจียงอีอี พวกเราก็จับตาดูคนคนนี้ นี่คือภาพวาดที่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ฝั่งนั้นส่งมา เป็นภาพผู้ร้ายหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์ออกมายจับ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนี้จะอยู่ข้างกายพวกเรานี่เอง”
เยว่เหยาแอบกัดฟัน สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่ ถึงแม้ภาพโจรราคะเจียงอีอีบนแผ่นหยกจะไม่ได้เหมือนเจียงหลางมากขนาดนั้น แต่โดยรวมก็คล้ายกันอยู่ โดยเฉพาะการแต่งตัว เหมือนกันมากจริงๆ
“เจียงอีอี เจียงหลาง…” ถังจวินส่ายหน้าเดาะลิ้น “มิน่าล่ะถึงไม่ยอมเปิดเผยประวัติความเป็นมา ที่แท้ก็เป็นโจรราคะที่ไม่มีหน้าไปเจอใครที่นี่เอง พอมาคิดดูตอนนี้ ข้าก็นึกกลัวทีหลัง ศิษย์น้อง ต่อไปเจ้าไม่ต้องไปมาหาสู่กับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่เสียเปรียบก็คือเจ้า ถึงตอนนั้นข้าไม่มีทางแก้ตัวกับท่านอาจารย์ได้เลย”
เยว่เหยาทำใจเชื่อได้ยาก นางคลุกคลีกับเจียงหลางมานานขนาดนี้ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงอีอีมีแนวโน้มไปทางโจรราคะ และไม่ค่อยอยากจะยอมรับความจริงด้วย นางกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ข้าจะไปถามให้ชัดเจน”
“ศิษย์น้อง!” ถังจวินพลันตะโกนห้ามนาง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ด้วยสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ช่างเถอะ ต่อไปไม่ต้องคบค้ากันอีกก็พอ ในเมื่อรู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่ใช่สายลับของตำหนักสวรรค์ พวกเราก็วางใจแล้วเช่นกัน แค่อยู่ห่างๆ ก็พอแล้ว อย่าสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น”
เยว่เหยาเอียงหน้ามองกลับมา “ไม่ได้ ถ้าเขาคือเจียงอีอีจริง ก็ต้องไล่เขาไป ถ้าวันไหนตำหนักสวรรค์ตามมาจับที่นี่แล้วพวกเราจะไม่ซวยไปด้วยหรอกเหรอ”
“เอ่อ…” ถังจวินลังเล ที่ศิษย์น้องพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าเยว่เหยาเหาะไปแล้ว
“อูอู…อู…”
หิมะโปรยปรายท่ามกลางลมหนาว บนหน้าผาสูงร้อยจั้งที่มีหิมะกองทับถม เสียงขลุ่ยสะอื้นดังอยู่กลางท้องฟ้า เจียงหลางที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวยืนลำพังอยู่ริมหน้าผา ยืนเปล่าขลุ่ยอย่างโดดเดียว
ที่พักของเขาก็คือถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่เกือบกึ่งกลางใต้หน้าผา
เงาคนคนหนึ่งเหาะลงมาจากท้องฟ้า เป็นเยว่เหยานั่นเอง นางมาเหยียบลงข้างหลังเขาไกลๆ
เสียงขลุ่ยสะอื้นหยุดชะงัก เจียงหลางมองกลับมา ถือขลุ่ยนอนอยู่ในมือ แล้วหันตัวมาถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เพิ่งจะแยกกันไป ทำไมถึงมาอีกแล้วล่ะ ท่าทางดูโมโห ใครไปทำอะไรเจ้าเหรอ?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เยว่เหยาถามเสียงเย็น
เจียงหลางแววตาวูบไหว แต่ยังคงตอบด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายว่า “บอกไปแล้วไง ว่าข้าจะไม่สืบเรื่องของเจ้า เจ้าก็จะไม่สืบเรื่องของข้าด้วย”
“แล้วถ้าวันนี้ข้าต้องการจะรู้ให้ได้ล่ะ?” เยว่เหยาถาม
“ทำไมต้องบังคับให้ลำบากใจด้วย” เจียงหลางกล่าว
เยว่เหยาโยนแผ่นหยกในมือออกไป เจียงหลางรับไว้ หลังจากได้ดูแล้ว เขาก็ยังไม่สะทกสะท้าน แต่บีบไว้ในมือจนแผ่นหยกแหลกเป็นผุยผง
“ใช่หรือไม่ใช่?” เยว่เหยาถามกดดัน
ผุยผงในมือเจียงหลางปลิวไปแล้ว เขาถามด้วยรอยยิ้มสงบนิ่งว่า “ถ้าใช่แล้วยังไง? ไม่ใช่แล้วยังไง?”
“หมายความว่า ท่านยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองคือโจรราคะเจียงอีอี?” เยว่เหยาถาม
เจียงหลางยังยิ้มไม่เปลี่ยน “ข้าคือเจียงอีอี แต่ข้าไม่ใช่โจรราคะ คนอื่นจะพูดยังไงก็ไม่สำคัญ ข้าเคยทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับเจ้าเหรอ? ก็เหมือนเมื่อก่อนที่บอกว่าอวิ๋นจือชิวอะไรนั่น มีแต่คนบอกว่าข้าไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ทั้งยังออกหมายจับข้าด้วย แต่เจ้าก็รู้ชัดดีกว่าใคร ว่าในเวลานั้นข้าไม่มีทางไปก่อคดีนั้นได้”
เยว่เหยาอึ้งไปชั่วขณะ พบว่าตัวเองโมโหจนเลอะเลือนไปหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ใช่สติปัญญาไตร่ตรองปัญหา ใช่แล้ว ถ้าเขาคือเจียงอีอี แล้วจะไปโผล่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนได้ยังไงล่ะ ในช่วงเวลานั้นทั้งสองยังไปเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่เลย เพิ่งจะกลับมาเมื่อกี้นี้เอง!
ไฟโกรธในใจดับลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางถามหยั่งเชิงว่า “ท่านหมายความว่า ฉายาโจรราคะนี้ คนอื่นใส่ร้ายท่านเหรอ?”
“ถ้าจริงก็ดี ถ้าโดนใส่ร้ายก็ช่าง คนมีเหาเยอะไม่กลัวคันหรอก ถึงยังไงข้าก็ถูกคนสาดโคลนเหมือนกัน เคยชินตั้งนานแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึง ว่าขนาดมาหลบอยู่ที่นี่แล้วยังบริสุทธิ์ไม่ได้อีก ผิดชอบชั่วดี บุญคุณความแค้น ใจคนยากจะคาดเดา ข้าอยากได้เพียงชีวิตที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวหรอก ถ้าเชื่อก็มี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มี เจ้ากับข้าคบกันตื้นเขิน ตั้งแต่นี้ไปเป็นเพียงคนที่ผ่านมาเจอกันก็พอก็พอ ข้าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเจ้า เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องโกรธเคือง ต่อไปนี้เราไม่ต้องเจอกันอีกก็สิ้นเรื่องแล้ว” เจียงหลางพูดจบแล้วหันตัวไป ถือขลุ่ยไว้ที่ริมฝีปากอีกครั้ง เสียงขลุ่ยสะอื้นดังขึ้นอีก
บทที่ 1581 แม่ทัพภาคตลาดผี
อวิ๋นจือชิวที่นั่งสง่าเคียงคู่กับเหมียวอี้มองดูเฟยหงที่เดินเนิบนาบเข้ามา เรือนร่างแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น นางแอบถอนหายใจ แบบนี้เรียกว่ายอดหญิงงามแห่งยุคจริงๆ ทำไมกลายมาเป็นสายลับได้ล่ะ?
แต่ไม่ว่าจะเป็นสายลับหรือไม่ แต่ก็ทำให้ไอ้เวรที่อยู่ข้างๆ นี่ได้ประโยชน์ไปแล้ว…พอนึกถึงตรงนี้ อวิ๋นจือชิวก็แอบกัดฟันเบาๆ เอียงหน้าชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง
หางตาเหมียวอี้สังเกตเห็นแล้ว จึงกุมมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้องอย่างเก้อเขินนิดหน่อย
ในใจเฟยหงค่อนข้างกังวล อะไรที่จะต้องเกิด สุดท้ายก็หลบไม่พ้น ในฐานะที่เป็นอนุภรรยา เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหลีกไม่มาคำนับฮูหยินเอกได้ตลอดไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าอารมณ์อุปนิสัยของฮูหยินท่านนี้เป็นอย่างไร นางไม่รู้ว่าในอนาคตควรจะรับมืออย่างไรดี
นางเองก็ไม่อยากมาที่นี่ แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเร่งให้มา
ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่อยากให้นางมาเจอกับอวิ๋นจือชิวเช่นกัน แต่อวิ๋นจือชิวบอกไว้แล้ว ว่าในเมื่อนางพักอยู่ที่เรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่ว การให้เฟยหงพักอยู่ที่บ้านคนอื่นต่อไปก็ฟังดูเหลวไหล สุดท้ายก็ต้องพบหน้ากัน นางต้องการไปมาหาสู่กับเฟยหงสักหน่อย
ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็เคยเห็นเฟยหงมาตั้งนานแล้วตั้งแต่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่เฟยหงเต้นระบำในบ้านของพวกชนชั้นสูง เรียกได้ว่าเต้นได้สวยงามกระชดกระช้อย เรือนร่างอ่อนช้อยราวกับไม่มีกระดูก
เฟยหงเองก็เคยเห็นอวิ๋นจือชิวมานานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้สนใจมากก็เท่านั้นเอง
ตอนนี้พอเดินมาถึงที่นั่ง เฟยหงก็ย่อเข่าอย่างช้าๆ เพื่อทำความเคารพ “เฟยหงคำนับนายท่าน คำนับฮูหยิน!”
เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันยกน้ำชาเข้ามา เฟยหงรับไว้แล้วก้าวไปข้างหน้า ใช้สองมือประคองไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วคำนับอีกครั้ง “ฮูหยินเชิญดื่มน้ำชาค่ะ”
อวิ๋นจือชิวรับถ้วยน้ำชามาจิบเบาๆ พอวางน้ำชาลงด้านข้าง บนใบหน้าถึงได้เผยรอยยิ้มที่สนิทสนมพร้อมยืนขึ้น ใช้สองมือประคองเฟยหง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น้องสาวที่แสนดี ต่อไปนี้เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วนะ…”
พูดจาสุภาพเกรงใจ ผู้หญิงทั้งสองคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่รู้จักจบ เหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ อึดอัดไปทั้งตัว ส่งสายตาให้เชียนเอ๋อร์แล้วก็เดินออกไปแล้ว
ทางนี้เพิ่งจะเดินเข้ามาในสวน ก็เห็นโค่วเจิงเดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “พี่ใหญ่”
“เหอะๆ! น้องเขยมาเดินเล่นอยู่ตรงนี้คนเดียวทำไม?” โค่วเจิงถามอย่างสนใจ “น้องเจ็ดล่ะ?”
“เอ่อคือเฟยหง…เพิ่งจะยกน้ำชาให้ ทั้งสองกำลังคุยกันไม่จบสักที” เหมียวอี้ตอบอย่างอึกอักเล็กน้อย
“อ่อ!” โค่วเจิงเข้าใจแล้ว นี่เป็นธรรมเนียม ถ้าฮูหยินเอกไม่ยอมรับน้ำชาจากอนุภรรยา ก็เท่ากับว่าไม่ยอมรับ ในภายหลังอนุภรรยาคนนั้นก็จะลำบากแล้ว ผู้ชายที่โดนขนาบอยู่ตรงกลางก็จะยิ่งลำบากกว่า จะทำตัวไม่ถูก เขาตบบ่าเหมียวอี้ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันเข้าใจกันดี พลางพูดหยอกล้อว่า “ตอนนี้โล่งใจแล้วสินะ?”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นถาม “พี่ใหญ่มาด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
โค่วเจิงมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วดึงแขนเหมียวอี้อย่างสนิทสนม “ไปกันเถอะ”
เหมียวอี้มองออกแล้ว ว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จึงยื่นมือเชิญ แล้วทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันออกไปช้าๆ หลังจากหลบผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องพ้นแล้ว ถึงได้ถามว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
โค่วเจิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ได้ยินว่าสนมสวรรค์ชอบเรียกเจ้าไปรับใช้ที่อุทยานหลวงเหรอ? เจ้าฆ่าลูกพี่ลูกน้องของนางแล้ว แต่นางยังเรียกหาเจ้าทุกๆ สามวันสองวัน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน คนในบ้านไม่ค่อยเข้าใจ นางไม่ได้กลั่นแกล้งอะไรเจ้าใช่มั้ย?”
นึกไม่ถึงว่าจะถามเรื่องนี้ เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าเองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือก เมื่อเรียกแล้ว ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธได้”
โค่วเจิงถามว่า “ระหว่างเจ้ากับสนมสวรรค์นี่ยังไงกันแน่?”
เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ อย่าบอกนะว่ามีคนสังเกตเห็นอะไรแล้ว? เขาจึงแกล้งโง่ “ยังไงกันแน่คืออะไร?”
“ข้าหมายถึง ความสัมพันธ์ของเจ้ากับสนมสวรรค์เป็นยังไงกันแน่?” โค่วเจิงถาม
เหมียวอี้ยักไหล่พลางยิ้มเจื่อน “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสัมพันธ์ยังไง ข้าก็ระวังป้องกันตลอด”
โค่วเจิงจึงบอกว่า “คืออย่างนี้นะ ทางตระกูลคาดว่าฝ่าบาทคงไม่ปล่อยให้เจ้าไปง่ายๆ ไม่รู้ชัดว่าฝ่าบาทเตรียมจะทำอะไรกันแน่ และผู้หญิงคนนั้นก็ได้รับความโปรดปรานมากจากฝ่าบาท เจ้าลองดูวิว่าจะหาทางสืบข่าวจากปากของผู้หญิงคนนั้นได้หรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะได้ข่าวอะไรบ้างสักหน่อย แบบนี้ทางตระกูลข้าจะได้เตรียมตัวสะดวก”
เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ
เขาตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะยังต้องขอความร่วมมือจากจ้านหรูอี้ เขาครุ่นคิดวิธีการไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปครึ่งค่อนปีกว่าจ้านหรูอี้จะออกจากวังมาที่อุทยานหลวงอีกครั้ง
เป็นเหมือนอย่างเคย สนมสวรรค์เปลี่ยนจากเสื้อผ้าหรูหราเป็นชุดกระโปรงเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด เหมียวอี้ถือถังน้ำเดินอยู่ข้างๆ จ้านหรูอี้ถือกระบวยด้ามหนึ่งตักน้ำรดต้นต้นไม้ ทำงานละเอียดมาก ราวกับปรนนิบัติเด็กทารกแรกเกิดคนหนึ่ง
เหมียวอี้ไม่เคยมีอารมณ์สุนทรีกับสิ่งเหล่านี้เลย เขาเป็นคนที่ทำอะไรเน้นผลลัพธ์ สำหรับเขาแล้ว การทำแบบนี้เหมือนคนที่กินอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี เป็นเรื่องที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วแท้ๆ ทำไมต้องมาลำบากทำแบบนี้ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าประมุขชิงเป็นโรคอะไร ไม่น่าเชื่อว่าวังสวรรค์จะมีกระแสนิยมแบบนี้ ทำไร่ทำนา!
เขาเดาว่าถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปในโลก ให้ตายยังไงก็คิดไม่ถึงว่าวังสวรรค์จะทำแบบนี้!
ตรงหน้านี้ คอที่ขาวหมดจดดุจคอห่านฟ้า ม้วนแขนเสื้อเผยแขนเรียวเล็กสีชมพูระเรื่อ บางครั้งก็โน้มตัวเผยเค้าโครงแผ่นหลัง ส่วนโค้งของเอวที่ยื่นออกมานั้นชัดเจนมาก เผยให้เห็นเอวเพรียวบาง ให้ความรู้สึกว่าใช้มือเดียวกำได้ พอมองลงไปข้างล่างอีกก็เป็นบั้นท้ายรูปทรงน้ำเต้า กลมกลึง มีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด
เหมียวอี้พยายามไม่เสียมารยาทมอง ใช้เวลาส่วนใหญ่หันหน้าไปอีกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัน เพียงแต่วันนี้มีเรื่องในใจ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหยินซวง ไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างหลังเป็นระยะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าจ้านหรูอี้สังเกตเห็นได้อย่างไร พอดูแลต้นไม้เสร็จไปบริเวณหนึ่งแล้ว นางก็โยนกระบวยไว้ในถังน้ำ แล้วถามส่งเดชว่า “วันนี้มีเรื่องในใจเหรอ?”
“เปล่าขอรับ” เหมียวอี้ส่ายหน้า
จ้านหรูอี้กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “วันนี้เจ้าดูเหม่อลอยนิดหน่อย ทนรำคาญไม่ไหวที่ข้าเรียกเจ้ามาทำแบบนี้บ่อยๆ ใช่มั้ย? เจ้ากำลังรู้สึกเบื่อหน่าย”
“ไม่ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้ปฏิเสธ แต่พอคิดไปคิดมาก็ยังถ่ายทอดเสียงตอบว่า “เหนียงเหนียง ผู้น้อยอยากจะสืบข่าวสักหน่อย ไม่ทราบว่าหลังจากผู้น้อยรับโทษหนึ่งร้อยปีนี้เสร็จแล้ว จะต้องไปที่ไหนต่อ?”
จ้านหรูอี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “นอกจากทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่ว ยังจะไปที่ไหนได้อีก? นี่คือเป้าหมายที่อ๋องสวรรค์โค่วรับบุตรสาวบุญธรรมไม่ใช่เหรอ? แค่เรื่องนี้น่ะเหรอ?”
เหมียวอี้เงียบไปสักครู่ แล้วถือโอกาสเอ่ยอีกเรื่องหนึ่ง “เหนียงเหนียง ลูกน้องคนสนิทหลายคนของข้าที่เคยอยู่กองมังกรดำ ท่านเองก็รู้จัก ตอนนี้ถูกจับแยกไปยังหน่วยต่างๆ ของกองทัพองครักษ์แล้ว…”
“ตอนจะไปสามารถพาพวกเขาไปด้วยได้หรือไม่น่ะเหรอ? นี่เป็นเรื่องของกองทัพองครักษ์ เจ้ามาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? อยากจะให้ข้าเอ่ยปากกับฝ่าบาทเหรอ?”
“ได้ยินว่าเหนียงเหนียงสามารถโน้มน้ามฝ่าบาทได้ขอรับ”
“ข้าไม่สะดวกจะเอ่ยปากเรื่องนี้ ถ้าเอ่ยปากช่วยเจ้าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทสงสัยเหรอ?”
เหมียวอี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะเปลี่ยนเป็นบอกว่า “ข้าไม่เคยเอ่ยปากขอร้องอะไรฝ่าบาทเลย เรื่องนี้เจ้าไปหาอ๋องสวรรค์โค่วก่อนแล้วกัน ในเมื่อเป็นลูกน้องคนสนิทของเจ้า ไปเจ้าออกไปแล้ว เกรงว่ากองทัพองครักษ์คงจะไม่วางใจที่จะใช้งานคนพวกนั้น ด้วยหน้าตาศักดิ์ศรีของอ๋องสวรรค์โค่ว คงไม่ถึงขั้นขอคนแค่ไม่กี่คนพวกนั้นไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะลองให้อีกทีก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็ขอพระทัยเหนียงเหนียงแล้ว”
“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าต่างหาทกี่ต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยให้ข้าเข้าวัง ให้ข้ามีโอกาสเอ่ยปากพูดต่อหน้าฝ่าบาท”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกทันที ทำไมเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ
เดิมทีช่วงเวลาเหล่านี้ที่ได้เจอกัน พอได้เห็นจ้านหรูอี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ความรู้สึกผิดในใจเขาก็อ่อนจางลงบ้างแล้ว แต่ใครจะคิดว่าพอเอ่ยถึงเรื่องที่จะจากที่นี่ไป ก็ถูกทำให้คลื่นไส้อีกแล้ว
เวลาหนึ่งร้อยปีผ่านไปเร็วเหมือนดีดนิ้ว
ตำหนักนารีสวรรค์ หลังจากสำราญบานใจไปแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ชายตามองอย่างหยาดเยิ้ม นอนหมอบอยู่บนอกประมุขชิงด้วยสีหน้าเต็มอิ่ม กำลังกระซิบกระซาบออดอ้อน
หลังจากคุยกันไม่กี่ประโยค จู่ๆ ประมุขชิงที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังของนางก็บอกว่า “เฉิงอวี่ ข้าเตรียมจะมอบขุนพลมากฝีมือให้เจ้า ให้เจ้าช่วยจัดระเบียบเรื่องในตลาด”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะส่งขุนพลมากฝีมือคนไหนให้หม่อมฉันเพคะ?”
ประมุขชิงตอบกลั้วหัวเราะว่า “หนิวโหย่วเต๋อถูกทำโทษที่อุทยานสวรรค์ใกล้จะครบร้อยปีแล้ว เขามีชื่อเสียงบารมีที่ตลาดสวรรค์ พอเปิดเผยชื่อก็ทำให้คนนับหมื่นของตลาดสวรรค์ตกใจ ส่งเขาไปช่วยเจ้าไม่ดีหรอกเหรอ?”
“หา…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงนิดหน่อย นางยันตัวลุกนั่ง มองประมุขชิงที่กำลังยิ้มตาหยีพร้อมถามอย่างงุนงง “หนิวโหย่วเต๋อ? ฝ่าบาทต้องให้เขากลับมาที่ตลาดสวรรค์?”
“ไม่ใช่!” ประมุขชิงส่ายหน้า “ไปตลาดผีแล้วกัน ที่นั่นวุ่นวาย เขามีวิธีปกครองจัดระเบียบตลาดสวรรค์ได้ดี ลองให้เขาที่ตลาดผีก็แล้วกัน”
“ไปตลาดผีเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจมาก นั่นคือถิ่นของตระกูลเซี่ยโห้วนะ นี่คิดจะทำอะไรกัน? นางรีบลุกขึ้นนั่งงอเข่าอยู่ข้างๆ แล้วบอกว่า “ฝ่าบาท คนคนนี้ควบคุมยาก หม่อมฉันใช้งานไม่ไหวหรอกเพคะ”
ประมุขชิงหรี่ตาสองข้าง ลุกขึ้นนั่งแล้วเช่นกัน ในร่องตาฉายแววเย็นเยียบ “เจ้าไม่พอใจการเตรียมการของข้าเหรอ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบร้อนโบกมือปฏิเสธ “หม่อมฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว เกรงว่าอ๋องสวรรค์โค่วคงจะไม่ตอบตกลงเรื่องนี้”
“ทางโค่วหลิงซวีเจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก ข้าถามแค่ว่าเจ้าจะรับหรือไม่รับ?” ประมุขชิงถาม
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึกอักพูดไม่ออก นางยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วบอกว่า “หม่อมฉันย่อมทำตามคำสั่งอยู่แล้วเพคะ!”
ประมุขชิงสีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม ใช้มือลูบไล้ก้อนกลมอิ่มเอิบบนหน้าอกนางอีก แล้วโถมทับนางลงบนเตียงอีกไป เพียงแต่ครั้งนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่มีอารมณ์เลยจริงๆ สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องสองเรื่อง ปรนนิบัติไปพลาง ครุ่นคิดถึงเจตนาของประมุขชิงไปพลาง
นางอยากจะติดต่อท่านปู่เสียตอนนี้เลย แต่ก็ถูกประมุขชิงพัวพันจนสลัดไม่พ้น
ในขระเดียวกันนี้เอง จวนแม่ทัพภาคอุทยานสวรรค์ บุคคลระดับสูงของกองมังกรดำล้วนอยู่ที่นี่ เหมียวอี้ที่กำลังสวมเกราะดำหนึ่งแถบก็อยู่ด้วยเช่นกัน
เวินเจ๋อนำคนหลายคนเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน พอเดินขึ้นไปถึงตำแหน่งบนแล้วก็หยุด จากนั้นหันตัวมาหาทุกคนที่กองมังกรดำ ชูแผ่นหยกในมือขึ้นมา แล้วถามเสียงต่ำว่า “คำสั่งจากวังสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อฟังคำสั่ง!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้ก้าวออกจากแถวแล้วกุมหมัดคารวะ
เวินเจ๋อกล่าวเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อให้ท้ายลูกน้องทำผิดที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน เห็นแก่ที่มีผลงาน จึงลงโทษให้ไปยืนเฝ้ายามที่อุทยานสวรรค์หนึ่งร้อยปี ทว่าในหนึ่งร้อยปีนี้มีการผลัดเวรหนึ่งหมื่นสองพันกว่าครั้ง ที่จริงเขาไปยืนยามเพียงสามร้อยกว่าครั้งเท่านั้น มองข้ามความสำคัญเช่นนี้ ไม่มีท่าทีว่าจะกลับตัวเลยสักนิด แทบจะไม่เห็นหน้าเลย เดิมทีต้องการจะลงโทษประหาร แต่กลับได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท เปิดช่องโหว่ให้หนึ่งด้าน ให้ไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ตลาดผี รอดูผลงานและความประพฤติอีกที จบ!”
เมื่อมีคำสั่งนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็งุนงงเป็นไก่ตาแตก เหมียวอี้ก็งงจนเหม่อเช่นกัน ไปเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผีชั่วคราวเหรอ? นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
คนกลุ่มนี้มองหน้ากันเลิกลั่ก จะให้ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบไปเป็นแม่ทัพภาคชั่วคราวที่ตลาดผีเหรอ นี่คือการลงโทษหรือให้รางวัลกันแน่?
บทที่ 1582 กำหนดไว้แน่นอนแล้ว
มีบางคนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ การได้ปีนป่ายขึ้นไปหากิ่งไม้สูงอย่างตระกูลโค่วนั้นอย่างดีจริงๆ ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบได้นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาค ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์!
เหมียวอี้ที่ค่อยๆ เรียกสติกลัยว่าคิดในใจว่านี่คือสิ่งที่ตระกูลโค่วช่วยเตรียมให้ เขาพึมพำในใจว่า เรื่องแบบนี้ทำไมตระกูลโค่วไม่บอกเขาก่อนสักคำ?
“ทำไมไม่น้อมรับคำสั่ง?” เวินเจ๋อตะคอก
“น้อมรับคำสั่ง!” เหมียวอี้รีบน้อมรับคำสั่ง แล้วก้าวขึ้นมารับคำสั่งจากมือของอีกฝ่าย
“เฮ้อ!” เวินเจ๋อที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วทำสีหน้าผ่อนคลาย เขาตบบ่าเหมียวอี้ ทำท่าทางเหมือนบอกว่าการช่วยเหลือตัวเองนั้นทำให้มีความสุขที่สุดแล้ว เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องชาย ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน ต่อไปนี้เลิกก่อความขัดแย้งได้แล้ว” พูดจบก็นำคนออกไปแล้ว
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ทำไมฟังจากความหมายที่อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยล่ะ
สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกว่าการไปเป็นแม่ทัพภาพที่ตลาดผีมีอะไรไม่เหมาะสม ตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีก็คือการใช้ชีวิตไปวันๆ กอปรกับอยู่ห่างไกลจากราชันสวรรค์ ไม่มีใครมาควบคุม อิสระเสรีมาก ทั้งยังได้นอนกินค่าจ้างเฉยๆ ถ้าเล่นไม่ไหวจริงๆ อย่างมากก็แค่หลบฝึกตนอยู่ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็พอแล้ว แล้วอีกอย่าง การที่ตระกูลโค่วดำเนินการให้แบบนี้ ก็ไม่ถึงขั้นทำร้ายตนหรอกมั้ง?
“ยินดีด้วยที่นายท่านได้กลับคืนสู่ตำแหน่งแม่ทัพภาค”
กลุ่มกำลังพลกองมังกรดำที่ไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนทยอยกันก้าวขึ้นมาแสดงความยินดี เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงกล่าวขอบคุณตามมารยาท
จนกระทั่งเขากลับมาที่เรือนพักของตระกูลโค่ว พอใช้ระฆังดาราติดต่อไปหาตระกูลโค่วแล้ว ถึงได้พบว่าแม้แต่ตระกูลโค่วก็ไม่รู้สถานการณ์ เรื่องนี้ไม่ใช่ผลงานของตระกูลโค่วเลย ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เกรงว่าเรื่องราวคงจะไม่ได้งดงามเหมือนที่ตนคิดไว้
ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว หอสามรากฐาน หลังจากโค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวได้รับข่าว สีหน้าก็ย่ำแย่มาก
ถึงแม้จะตระหนักได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าประมุขชิงไม่เต็มใจจะปล่อยคน เอาแต่ชักช้าถ่วงเวลาอยู่อย่างนั้น แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะถูกประมุขชิงวางแผนได้โหดขนาดนี้ ตลาดผีงั้นเหรอ ประมุขชิงช่างคิดได้เนอะ
“เขาอยากจะให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วสู้กัน สิ่งที่เขาอยากเห็นคือให้เจ็บตัวเสียหายกันทั้งสองฝ่าย!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
ผู้เฒ่าถังถอนหายใจแล้วบอกว่า “แผนนี้ของประมุขชิงช่างร้ายกาจจริงๆ ท่านอ๋อง การที่ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วสู้กันไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก ที่ตลาดผี ตระกูลโค่วไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเซี่ยโห้ว ฆ่าศัตรูตายแปดร้อย แต่ตัวเองก็บาดเจ็บไปแล้วสามพัน ไม่คุ้มค่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ทำได้เพียงปล่อยหนิวโหย่วเต๋อแล้ว”
โค่วหลิงซวีมองมาด้วยสายตาดุร้าย “ใช้ความพยายามไปมากขนาดนี้ ทำให้ใต้หล้ารู้กันทั่วกว่าจะได้ตัวมาไว้ในมือ พอโดนกดดันครั้งเดียวก็จะปล่อยแล้ว ถ้าแม้แต่คนคนเดียวข้าก็รักษาไว้ไม่ได้ แล้วจะคุมฝูงชนได้ยังไง จะให้คนในใต้หล้ามองข้ายังไง?”
ผู้เฒ่าถังขมวดคิ้ว นี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ ถ้าไม่สามารถรักษาหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ได้ ครั้งนี้ชื่อเสียงบารมีของนายท่านก็จะเสียหายหนักมาก
ไฟพิโรธของท่านพ่อเดือดดาลทะลุฟ้า สามพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างล่างไม่กล้าพูดอะไร หลังจากยืนเงียบอยู่ในโถงพักหนึ่ง โค่วเจิงก็ลองกล่าวว่า “ท่านพ่อ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ไม่สู้ให้ทางหนิวโหย่วเต๋อซ่อนตัวในที่ปลอดภัยก่อนชั่วคราว ถ้าตัวเขาไม่ออกจากแม่ทัพภาค คนข้างนอกก็โจมตีเข้าไปสังหารเขาไม่ได้อยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าถังส่ายหน้า “คุณชายใหญ่ เช่นนั้นการที่พวกเราดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมาได้ยังจะมีความหมายอะไรอีก? เจตนาของประมุขชิงชัดเจนมาก เห็นแก่หน้าท่านอ๋อง พวกเขาไม่สามารถทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อตรงๆ ได้ แต่การเอาหนิวโหย่วเต๋อไปทิ้งที่ตลาดผี ก็เพราะอยากจะให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วสู้กัน ถ้าหากไม่สู้กัน ก็สามารถบีบให้หนิวโหย่วเต๋อตายอยู่ที่ตลาดผีได้ อยู่ที่ตลาดผีหนิวโหย่วเต๋อไม่มีอะไรให้สร้างความดีความชอบ ถ้าไม่มีผลงานอะไรก็ไม่มีทางได้เลื่อนตำแหน่ง แบบนี้ก็จะมีข้ออ้างในการลงโทษต่อไปเรื่อยๆ สามารถกดให้เขาอยู่ที่ตลาดผีแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันได้ตลอดไป เช่นนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะหมดความหมายสำหรับตระกูลโค่วแล้ว ลูกศิษย์อสุราอัคนีอะไรนั่น ขุนผลมากฝีมืออะไรนั่นก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า กลายเป็นซี่โครงไก่ กินแล้วไร้รสชาติ จะทิ้งก็เสียดาย ทั้งยังต้องจ่ายทรัพยากรของตระกูลโค่วเพื่อปกป้องอีก ได้ไม่คุ้มเสีย!”
โค่วเจิงเงียบงัน เขาฟังเข้าใจความหมายที่ผู้เฒ่าถังสื่อแล้ว เจ้าตัวกำลังโน้มน้าวให้ท่านพ่อปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อไปตายตามยถากรรมที่ตลาดผี ไม่ต้องใช้กำลังปะทะเพื่อศักดิ์ศรีหน้าตา
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อตายที่ตลาดผี ก็อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลย แม่แต่เขาเองก็รู้สึกว่าต่อไปนี้จะไม่มีหน้าไปเจอใครอีก อุตส่าห์แย่งตัวมาจากอ๋องสวรรค์คนอื่นได้ เพิ่งดีใจได้ไม่นานเท่าไรเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว น่าหัวเราะเยาะของจริง!
จู่ๆ โค่วฉินก็พึมพำว่า “หนิวโหย่วเต๋อนี่ก็จริงๆ เลย มั่นใจในตัวเองมากไปหน่อย ขนาดโดนทำโทษแล้วยังกำเริบเสิบสาน ไม่รู้จักยืนเฝ้ายามอย่างซื่อสัตย์ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ปล่อยให้จุดอ่อนใหญ่ขนาดนี้ตกอยู่ในมือประมุขชิงแล้ว”
คนที่เหลือชำเลืองมองมา ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้ไม่ว่าใครก็รู้ชัดอยู่แก่ใจทั้งนั้น ว่าจุดประสงค์ที่ประมุขชิงทำโทษให้หนิวโหย่วเต๋อยืนยามอยู่ที่อุทยานสวรรค์หนึ่งร้อยปี ก็เพื่อจะฉวยโอกาสพื้นฝอยหาตะเข็บ ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ประมุขชิงก็จะหาข้ออ้างอื่นอยู่ดี คนอยู่ในมือประมุขชิงแล้ว ประมุขชิงมีเวลามากพอที่จะครุ่นคิดหาวิธีการ
ปั้ง! โค่วหลิงซวีที่เงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ตบโต๊ะยืนขึ้น “ประมุขชิงรังแกกันเกินไปแล้ว ข้าจะต้องไปขอคำอธิบายจากเขา!”
ตรงนี้เพิ่งจะเดินอ้อมโต๊ะออกมา แต่ผู้เฒ่าถังก็ยื่นมือขวางไว้แล้ว “ท่านอ๋อง! มีคำสั่งลงมาแล้ว เกรงว่าน้ำที่สาดออกไปแล้วจะเอาคืนยาก พอมาดูตอนนี้ สิ่งที่เรียกว่าลงโทษหนึ่งร้อยปีนั้นถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว คิดแผนส่งไปตลาดผีได้ตั้งแต่ต้น หนิวโหย่วเต๋อทิ้งจุดอ่อนใหญ่ขนาดนี้ไว้ ถ้าไม่พูดออกมาก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าพูดออกมาแล้ว เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อก่อนี้ ไม่ว่าจะไปแก้ตัวตรงไหนก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น ถ้าจะลงโทษต่อไปอีก ใครก็ว่าอะไรไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ประมุขชิงคาดการณ์ได้แม่นยำแล้วว่าการทำแบบนี้จะมีท่านอ๋องคนเดียวที่คัดค้าน ตระกูลอื่นจะต้องนิ่งดูดายแน่นอน ไม่มีทางร่วมมือกับท่านอ๋องเพื่อคัดค้าน ไม่แน่ว่าอาจจะซ้ำเติมก็ได้ ท่านอ๋อง ถ้าขาดอำนาจของตระกูลอื่นสนับสนุน ก็ตบมือข้างเดียวไม่ดัง! ที่สำคัญคือฝั่งประมุขชิงมีเหตุผลที่ฟังขึ้น ถ้าจะลงโทษต่อไปก็ไม่มีอะไรผิด!”
โค่วหลิงซวีกล่าวเสียงต่ำว่า “อย่าบอกนะว่าจะให้ข้านั่งดูเฉยๆ? ถ้าไม่ไปหาเขา เช่นนั้นก็ไม่หลงเหลือความเป็นไปได้อะไรแล้ว ถ้าไปหาเขาอาจจะยังมีโอกาสก็ได้”
ผู้เฒ่าถังแอบถอนหายใจ แล้วหลีกทางให้เขา
วังสวรรค์ อุทยานสายัณห์
“การผลัดเวรหนึ่งหมื่นสองพันกว่าครั้ง เขาไปยืนยามเพียงสามร้อยกว่าครั้ง เป็นเพียงจำนวนเศษเท่านั้น มันใช่เรื่องเหรอ? ช่างทำให้คนยกนิ้วจริงๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าขุนนางโค่ว ข้าคงแค้นจนอยากจะตัดหัวเขาแล้ว! ถ้าทุกคนของตำหนักสวรรค์เอาเยี่ยงอย่างเขาหมดล่ะ กฎสวรรค์จะยังมีอยู่หรือ กฎระเบียบไปอยู่ไหนแล้ว? อย่าบอกนะว่าขุนนางโค่วยังคิดจะมาขอร้องให้เขาอีก?” ประมุขชิงแทบจะคำรามใส่โค่วหลิงซวีที่มาขอคำอธิบาย จงใจอารมณ์เสียใส่
โค่วหลิงซวีบอกว่า “ข้าน้อยไม่ได้มาเพื่อขอร้องให้เขา มีความผิดก็ย่อมต้องลงโทษ! ข้าน้อยเพียงคิดว่าเขาไม่เหมาะจะไปที่ตลาดผี ฝ่าบาทได้โปรดไว้หน้าข้าน้อย ให้ข้าน้อยนำเขาไปลงโทษที่ทัพเหนือ!”
ประมุขชิงจึงตอบว่า “ขุนนางโค่ว ข้าไว้หน้าเจ้าแล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะไว้หน้าเจ้า ด้วยยศของเขาในตอนนี้ จะไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ตลาดผีได้เหรอ?”
“ฝ่าบาท…” โค่วหลิงซวีกำลังจะพูด
“พอแล้ว!” ประมุขชิงพูดตัดบทเสียเลย “ข้าเข้าใจความคิดของเจ้า แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจความลำบากของข้าด้วย ทุกคนที่มีตาก็เห็นกันทั้งนั้น การผลัดเวรหนึ่งหมื่นสองพันกว่าครั้ง เขาไปยืนยามเพียงสามร้อยกว่าครั้ง ไม่ว่าจะแก้ตัวตรงไหนก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แล้วข้ายังจะให้ขุนนางโค่วพาเขาไปทัพเหนืออีก ทุกคนจะคิดยังไงล่ะ? พอมีคนนำให้ทำแบบนี้แล้ว ถ้าในภายหลังทุกคนเอาเยี่ยงอย่าง แล้วข้าจะเอาความมั่นใจจากไหนไปคุมกฎสวรรค์ล่ะ? ขุนนางโค่ว ไปที่ตลาดผีก็ไม่เป็นไรหรอก ยังมีโอกาสสร้างผลงาน รอให้เขาสร้างผลงานแล้ว ค่อยย้ายเขาไปที่ทัพเหนืออย่างสมเหตุสมผลก็ยังไม่สาย ทำไมต้องรีบร้อนทำตอนนี้ด้วยล่ะ? ตกลงตามนี้แล้วกัน!”
เหลวไหล! ถ้าจะสร้างผลงานที่ตลาดผี ก็หมายความว่าต้องปะทะกับตระกูลเซี่ยโห้วน่ะสิ เกรงว่ายังไม่ทันจะได้สร้างผลงาน ชีวิตก็คงไม่เหลือแล้ว! โค่วหลิงซวีด่าในใจ แต่ประมุขชิงไม่ยอมปล่อยคนโดยอ้างข้อหาโดดเข้าเวรหมื่นกว่าครั้ง นี่ไม่ใช่การโดนเวรแค่ครั้งสองครั้ง แต่เป็นหมื่นกว่าครั้ง แต่ยินแล้วยังตกใจ ทำให้เจ้าโวยวายไม่ออกเลย!
พยายามสุดความสามารถแล้ว รู้ว่าเถียงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องนี้กำหนดไว้แน่นอนแล้ว โค่วหลิงซวีทำได้เพียงขอตัวออกไป
ขณะมองคล้อยหลังเขาเดินออกไป ประมุขชิงก็เรียกลูกน้อง ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาใกล้ “ฝ่าบาท!”
ประมุขชิงบอกว่า “ถ้าอยากจะให้เขากล้ำกลืนความโกรธ เกรงว่าจะไม่ง่าย! โพ่จวินเองก็ไม่พอใจที่ส่งหนิวโหย่วเต๋อไปตลาดผี โพ่จวินยังหวังให้หนิวโหย่วเต๋ออยู่ทำงานต่อที่กองทัพองครักษ์ เจ้าดูซิว่ายังพอมีวิธีไหนอีกบ้าง?”
ซ่างกวนชิงฟังเข้าใจแล้ว ประมุขชิงเองก็ไม่อยากปล่อยลูกศิษย์อสุราอัคนีไปง่ายๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เลี้ยงมาหลายปีแล้ว โดนคนฉกฉวยดอกผลจะต้องไม่พอใจแน่นอน เขาตอบอย่างลังเลว่า “นอกเสียจากจะตัดขาดการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่ว ข้าน้อยส่งคนไปกำจัดอวิ๋นจือชิวนั่นดีไหม?”
“ไม่เหมาะสม!” ประมุขชิงโบกมือ “ถ้าใช้วิธีการแข็งกร้าวแบบนี้ ผลกระทบจะเลวร้ายมาก ต่อให้ข้าไม่ได้ทำ โค่วหลิงซวีก็ต้องสงสัยว่าข้าทำอยู่ดี หากจะทำจริงๆ คงไม่รอถึงตอนนี้ กฎก็ยังต้องเป็นกฎ จะทำลายไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสงสัยว่าข้าสังหารเมียเขา เขาจะยังทำงานรับใช้ข้าอีกเหรอ? ข้าว่านะซ่างกวน ทำไมยิ่งนับวันเจ้าจะยิ่งเหมือนเกาก้วนเข้าไปเรื่อยๆ ทำไมเอะอะก็อยากจะฆ่าคน คิดวิธีการที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอ?”
ซ่างกวนชิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ทำสายตาล่อกแล่ก คิดแผนการได้แล้ว บอกว่า “งั้นก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นฝ่ายหย่ากับฮูหยิน!”
“เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้ มีหรือที่จะเป็นฝ่ายขอหย่าก่อน?” ประมุขชิงเลิกคิ้วถาม
ซ่างกวนชิงกล่าวเสียงต่ำว่า “โจรราคะเจียงอีอีสร้างผลงานหลายครั้ง ชำนาญการทำเรื่องนี้ที่สุด ทำให้ขุนนางที่ไม่เชื่อฟังต้องขมขื่นมานักต่อนักแล้ว คดีน่านฟ้าระกาติง หนิวโหย่วเต๋อก็เอาเจียงอีอีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเจียงอีอีจะล้างแค้นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล กอปรกับตัวตนของเจียงอีอี ไม่มีใครสงสัยว่าเขาคือคนของตำหนักสวรรค์”
ประมุขชิงหันหน้าช้าๆ กลับมามองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เอาสองมือไขว้หลัง เดินออกไปเงียบๆ…
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่กำลังเล่นหมากล้อมกับซูอวิ้นอยู่ในศาลาแสยะยิ้ม “ตลาดผี! เกรงว่าคงทำให้โค่วหลิงซวีปวดหัวแล้ว”
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิงกงที่ยืนพิงระเบียงตึกพ่นเสียงทางจมูก แล้วถามว่า “ตอนนี้โค่วหลิงซวียังยิ้มออกอยู่รึเปล่า?”
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงที่เดินไปเดินมาอยู่ในสวนแสยะยิ้มไม่หยุด “รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าประมุขชิงไม่ยอมหยุดแน่ ตอนนี้ตาแก่โค่วโยนหินใส่เท้าตัวเองเสียแล้ว”
จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้โบราณที่มีพุ่มไม้ใหญ่ราวกับกางร่ม เซี่ยโห้วท่ากำลังหลับตาเงียบๆ
เว่ยซูบอกว่า “นายท่าน ประมุขชิงอยากจะให้ตระกูลโค่วสู้กับพวกเราจนเสียหายทั้งคู่! ตระกูลโค่วไม่ถึงขั้นมองไม่ออกหรอก หวังว่าตระกูลโค่วจะให้หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ตลาดผีอย่างว่านอนสอนง่ายหน่อย”
เซี่ยโห้วท่าลืมตาขึ้นช้าๆ “เขาว่านอนสอนง่ายแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? อีกสามตระกูลอยากจะดูละครจะแย่อยู่แล้ว มีวิธีการปลุกปั่นเขาอยู่แล้ว”
เว่ยซูกำลังจะเอ่ยรับต่อ แล้วกลับชะงักงัน หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา หลังจากตั้งใจฟังแล้ว ก็รายงานว่า “นายท่าน โค่วหลิงซวีมาเยี่ยมถึงประตูบ้านแล้ว”
“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่าอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะลั่น แล้วโบกมือบอกว่า “เชิญเข้ามา!”
บทที่ 1583 การแลกเปลี่ยนข้อตกลงหลังม่าน
เขาเองก็ไม่ได้ถือตัวเพราะความอาวุโส ตอนที่โค่วหลิงซวีมาถึงประตูสวนต้องห้าม เขาก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
โค่วหลิงซวีปลอมตัวเข้ามา คลุมหมวกงอบตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ถอดหนังปลอมบนใบหน้าออกแล้ว กุมหมัดคารวะมาตั้งแต่ไกลๆ “ท่านปู่สวรรค์!”
“อ๋องสวรรค์ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับใกล้ๆ!” เซี่ยโห้วท่าต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ถือไม่เท้ากุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเข้ามาในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ที่มีพุ่มเหมือนร่มขนาดใหญ่จัดวางเก้าอี้เอาไว้แล้ว หลังจากหญิงรับใช้นำน้ำชามาวาง เว่ยซูก็โบกมือให้พวกนางออกไป
หลังจากดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณแล้ว โค่วหลิงซวีก็มองไปทางเว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พอเห็นเว่ยซู ก็นึกถึงเหล่าเว่ย น่าเสียดายนะ!”
เว่ยซูตอบอย่างเกรงใจว่า “ลิขิตฟ้าก็เป็นเช่นนี้ บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ก้าวผ่านระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านพ่อเองก็นับว่าชีวิตดับสิ้นไปในวัยชรา จากไปพร้อมรอยยิ้ม ไม่นับว่าน่าเสียดายหรอกขอรับ”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “อ๋องสวรรค์ปลงอนิจจังแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเตือนตาแก่คนนี้ว่าอยู่ไม่ไกลจากประตูผีแล้ว?”
โค่วหลิงซวีโบกมือ “ท่านปู่สวรรค์ทำไมต้องถ่อมตนขนาดนั้นล่ะ ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลเซี่ยโห้ว สักวันจะต้องหาพบไม้ไม่ผุที่ช่วยให้ท่านปู่สวรรค์อายุยืนยาวแน่”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม้ไม่ผุ ของสิ่งนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่เกินจะไขว่คว้า เน้นอาศัยโชคดี แต่รอมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตาแก่คนนี้ยังไม่มีวาสนานั้นเลย แต่ข้าก็ปลงแล้วล่ะ อยู่มาหลายปีขนาดนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วเช่นกัน ฝุ่นกลับสู่ฝุ่น ดินกลับสู่ดิน นับว่าเป็นแหล่งที่อยู่สุดท้าย”
มีใครบ้างที่จะไม่อยากเป็นอมตะ? โค่วหลิงซวีรู้สึกขำในใจ แน่นอนว่ารู้ว่าอีกฝ่ายก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านปู่สวรรค์ช่างปลงได้จริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่าบาทจะปลงได้เหมือนท่านปู่สวรรค์หรือเปล่า”
เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินแบบนี้แล้วก็เหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าแวบหนึ่ง
เซี่ยโห้วท่าแววตาวูบไหว ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอย่างสำรวม แล้วด้วยรยยิ้มเรียบๆ ว่า “เดิมทีอาจารย์ของฝ่าบาทก็เป็นยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฝ่าบาทได้รับถ่ายทอดวิชามา การจะก้าวข้ามประตูผีนั้นไปได้ก็ไม่ใช่ปัญหา”
โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “เกรงว่าคงไม่แน่หรอก! ทฤษฎีลึกลับของอายุขัย เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ทฤษฎีหลักจะทำความเข้าใจได้อยู่แล้ว นี่เป็นอายุที่ยืนยาวเท่ากับอุฟ้าดิน ตั้งแต่ยุคโบราณจนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่เคยเห็นใครที่เป็นอมตะจริงๆ เลย มักจะมีด่านเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้ ต่อให้เป็นพระปีศาจหนานโปแล้วยังไงล่ะ? ตกอยู่ในจุดจบที่อนาถเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าวิญญาณไปอยู่ที่ไหน ต่อให้มีเคล็ดวิชาฝึกตนเหมือนกัน แต่ถ้าอยากข้ามผ่านประตูผีได้ ก็ยังต้องอาศัยปัจจัยที่แตกต่างกันไป อันตรายของด่านนั้น เกรงว่าท่านปู่สวรรค์คงจะรู้ชัดดีกว่าใคร”
เซี่ยโห้วท่าเหมือนจะอมยิ้ม “อ๋องสวรรค์กล่าวอะไรแบบนี้ออกมา ไม่กลัวว่าหน้าต่างจะมีหู ประตูจะมีช่องเหรอ?”
โค่วหลิงซวีโบกมือชี้ไปรอบๆ แล้วหัวเราะเสียงดัง “เกรงว่าในใต้หล้านี้คงไม่มีใครสอดแนมเข้ามาในสวนต้องห้ามของท่านปู่สวรรค์ได้หรอก คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้างก็ไม่มีอะไรน่ากลัว อย่างไรเสียยามอยู่ต่อหน้าท่านปู่สวรรค์ ข้าก็พูดออกมาจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ เรื่องบางเรื่องท่านปู่สวรรค์คงจะเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่ายิ้มบางๆ “ไม่ทราบว่าอ๋องสวรรค์หมายถึงการเตรียมตัวด้านไหน?”
โค่วหลิงซวีเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ข้ารู้สึกว่าฝ่าบาทควรจะมีทายาท ฝ่าบาทจะบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่าก็ยังพูดได้ไม่ชัดเจน ความเป็นความตายหน้าด่านประตูผีเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ถ้าไม่เตรียมตัวเรื่องผู้สืบทอดเอาไว้ เมื่อใดที่เรื่องจวนตัวแล้ว จะไม่ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูกหรอกเหรอ ดีไม่ดีใต้หล้าอาจจะวุ่นวายก็ได้ ต่อให้พิจารณาเพื่อใต้หล้า แต่เรื่องทายาทก็ควรเริ่มลงมือฝึกเลี้ยงได้แล้ว ราชินีสวรรค์คือมารดาแห่งใต้หล้า ปรนนิบัติฝ่าบาทมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ควรจะถือโอกาสตอนที่ยังเป็นหนุ่มสาวรีบให้กำเนิดโอรสสวรรค์เพื่อฝ่าบาทสิถึงจะถูก อย่าบอกนะว่าจะถ่วงเวลาไปจนแก่ชรา?”
ถึงแม้เซี่ยโห้วท่าจะเงียบสงบ พอได้ยินแล้วก็ใจเต้นตึกตักเช่นกัน หากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้เกิดเนิดโอรสแก่ประมุขชิงเมื่อไร ฐานะของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะมั่นคงไม่สั่นคลอนแน่นอน หากในอนาคตประมุขชิงผ่านด่านระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้จริงๆ และโอรสของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขึ้นตำแหน่งราชันแทน ถึงตอนนั้นต่อให้เซี่ยโห้วท่าจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็นับเป็นหลักประกันที่ใหญ่มากให้ตระกูลเซี่ยโห้วได้เช่นเดียวกัน
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่จนใจที่ตระกูลเซี่ยโห้วถูกประมุขชิงข่มไว้ มีอำนาจน้อยในราชสำนัก ไม่มีอำนาจจะพูดอะไร คนที่สามารถกระโดดออกไปพูดอะไรได้มีไม่กี่คน แต่ตระกูลโค่วนั้นไม่เหมือนกัน มีอำนาจในการพูดในราชสำนักเยอะมาก ขอเพียงโค่วหลิงซวีเต็มใจ ก็สามารถยุยงให้คนกลุ่มใหญ่กดดันประมุขชิงได้
แต่ภายนอกเขาก็ยังนิ่งสงบ กล่าวถามเสียงเรียบว่า “เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ได้คิดเช่นนี้ เหมือนฝ่าบาทจะโปรดปรานสนมสวรรค์มาก!”
โค่วหลิงซวีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “โอรสสวรรค์ไม่เหมือนเด็กทั่วไป ต้องทำให้ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมเป็นธรรมดา ฮูหยินเอกย่อมต้องให้กำเนิดทายาท หน้าที่นี้ราชินีสวรรค์ไม่อาจปฏิเสธได้! ไม่ว่าจะยังไง ข้าก็ต้องผลักดันเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง พยายามกระตุ้นให้ขุนนางในราชสำนักเสนอความคิดนี้ หากวันนี้ฝ่าบาทยังไม่ยอมตอบตกลง ข้าก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์คิดว่าอย่างไร?”
ในใต้หล้าไม่มีผลประโยชน์ใดได้มาเปล่าๆ โดยเฉพาะกับเรื่องแบบนี้ เซี่ยโห้วท่ายอมเข้าใจจุดนี้ชัดเจน อีกฝ่ายถามถึงความเห็นของเขา ก็แสดงว่าต้องการสิ่งตอบแทน ถ้าไม่ได้สิ่งตอบแทน อีกฝ่ายคงไม่พยายามอย่างเต็มที่หรอก ถึงขนาดวางเรื่องอื่นไว้ก่อนเพื่อมาจัดการเรื่องนี้เลย เขาถึงได้ยิ้มบางๆ พร้อมถามว่า “อ๋องสวรรค์มาเพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
เข้าใจก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายต่อไป! โค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ถ้าท่านปู่สวรรค์สามารถยื่นมือช่วยเรื่องนี้ได้ นั่นก็ย่อมดีอยู่แล้ว”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่คนโง่ มีคนอยากเห็นพวกเราสองฝ่ายต่อสู้กันไง! มีหรือที่ข้าจะยอมให้คนที่มีเจตนาแบบนั้นสมหวัง? อย่างอื่นข้าก็รับประกันไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ที่ตลาดผี ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถรับประกันความปลอดภัยให้หนิวโหย่วเต๋อได้”
“เฮ้อ! หนิวโหย่วเต๋อได้รับคำพูดแบบนี้จากท่านปู่สวรรค์ ก็นับเป็นวาสนาของเขาแล้ว เพียงแต่ว่า…” โค่วหลิงซวีลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า “ถ้าจะให้หนิวโหย่วเต๋อรบกวนท่านปู่สวรรค์ที่ตลาดผีตลอด เกรงว่าคงไม่ใช่แผนการที่ดีในระยะยาว ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของเจ้าเด็กนั่น คาดว่าท่านปู่สวรรค์ก็คงได้ยินมาบ้างแล้ว ข้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ อย่างไรเสียคนที่เจตนาไม่ดีก็มีเยอะเกินไป! แต่เจ้าเด็กนั่นก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ถ้ามีโอกาสหเขาสร้างผลงานสักนิดสักหน่อยก็จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ถ้าสร้างผลงานแล้วได้ออกจากตลาดผีไวๆ จะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนชื่นชอบหรอกเหรอ”
เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แอบส่ายหน้า นี่ไม่ใช่แค่ต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วรับรองความปลอดภัยให้หนิวโหย่วเต๋อเมื่ออยู่ที่ตลาดผี ทั้งยังต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยหนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานด้วย ตระกูลโค่วออกแรงสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อไม่น้อยเลย
เซี่ยโห้วท่าตอบกลั้วหัวเราะว่า “ตัวเขายังไม่ได้ไปเลย ว่าพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ถึงตอนนั้นค่อยดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
โค่วหลิงซวีเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เป็นเพราะยังไม่เห็นกระต่ายจึงยังไม่ล่อยเหยี่ยว ต้องดูความจริงใจของเขาในการประชุมราชสำนักก่อน จึงพยักหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่ท่านปู่สวรรค์พูดมาก็มีเหตุผล”
การแลกเปลี่ยนข้อตกลงหลังม่านนับว่าเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองล้วนไม่ใช่คนที่พูดอะไรเหลวไหล จึงวางเรื่องนี้ไว้แล้วดื่มร่วมกัน เริ่มคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย
หลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปสักพัก โค่วหลิงซวีก้ขอตัวลา ขอร้องให้เซี่ยโห้วท่าอยู่ตรงนี้ ไม่กล้ารบกวนให้ไปส่ง
หลังจากเว่ยซูส่งโค่วหลิงซวีกลับไปแล้ว เห็นเซี่ยโห้วท่าดื่มน้ำชาอย่างเนิบนาบโดยไม่พูดอะไร เขาก็เดินมาข้างๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โค่วหลิงซวีใช้ความพยายามเพื่อลูกเขยจอมเอาเปรียบคนนี้จริงๆ ถ้าหากรู้ว่าเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อมีหกลัทธิ เกรงว่าคงจะร้องไห้ไม่ทันแล้ว”
เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม “ต่อให้เขาไม่มาหาข้า ข้าก็ไม่คิดจะนั่งดูหนิวโหย่วเต๋อเป็นอะไรไปที่ตลาดผีหรอก ในเมื่อเป็นฝ่ายเอาผลประโยชน์มาให้ข้าก่อนแล้ว ข้าจะถือโอกาสส่งมอบน้ำใจให้เขาก็ได้ อย่างไรเสีย การดึงตระกูลโค่วเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหกลัทธิก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ยิ่งตกหลุมพรางลึกเท่าไรก็ยิ่งดี ถึงตอนนั้นก็จะมีกำลังต่อต้านประมุขชิงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อย่างไรเสียในมือโค่วหลิงซวีก็กุมอำนาจทางทหารของใต้หล้าเอาไว้สองส่วน สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วของพวกเรา ไม่อาจเอาไข่ไก่ไปไว้ในตะกร้าใบเดียวกันได้ แบบนั้นเสี่ยงเกินไป ถ้าประมุขชิงกล้าไร้ความจริงใจ ก็อย่าหาว่าข้าไร้คุณธรรม ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถผลักดันให้คนเป็นใหญ่มาหลายคนแล้ว ไม่ถือสาที่จะผลักดันเพิ่มอีกสักคน!” ใบหน้าชราพลันหรี่ตาขณะที่พูดประโยคนี้
คำพูดนี้เว่ยซูได้ยินแล้วแอบหนาวในใจ เขามองเห็นความดุร้ายในร่องตาของเซี่ยโห้วท่า ไม่ได้เห็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว
ครบกำหนดการลงโทษหนึ่งร้อยปี ตรงประตูใหญ่เรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่วในอุทยานหลวง เหมียวอี้ที่ได้รับแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางใหม่กำลังยืนอยู่หน้าประตูและทอดสายมองแนวภูเขา ครั้งนี้นับว่าจะได้ออกจากกองทัพองครักษ์อย่างเป็นทางการแล้ว ค่อนข้างรู้สึกทอดถอนใจ
อวิ๋นจือชิวกับเฟยหงและคนอื่นๆ ที่เก็บของแล้วกำลังยืนรออยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ได้รบกวน พวกมู่อวี่เหลียนที่มาส่งก็รออยู่เงียบๆ เช่นกัน
“ในภายหลังก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาที่นี่อีกหรือเปล่า เหอะๆ ไม่พูดอะไรแล้ว ขอตัวก่อน” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อกลุ่มคนที่มาส่ง พวกเวินเจ๋อไม่ได้มาส่ง อีกฝ่ายพูดผ่านระฆังดาราเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่านับแต่นี้ไปเขาไม่ใช่คนของกองทัพองครักษ์อีก ไม่สะดวกจะไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัย
มู่อวี่เหลียนใช้สองมือส่งสัญญาณมือ แล้วถอยหลังไปกุมหมัดคาระพร้มกับคนที่อยู่ข้างหลัง “นายท่านโปรดรักษาตัวด้วย!”
เหมียวอี้พยักหน้าให้คนของตระกูลโค่วที่มารับและนำทาง แล้วคนกลุ่มนี้ก็เหาะจากไป ไม่หันหน้ากลับมาอีก
จ้านหรูอี้ที่กำลังถือตะกร้าเก็บผักอยู่ในผืนนาหลวงเงยหน้าขึ้น มองดูคนกลุ่มนี้หายไปในท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ในดวงตาฉายแววเศร้าสลดเล็กน้อย
เมื่อมาถึงดาวหยกงาม เหมียวอี้ที่ได้มาจวนอ๋องสวรรค์โค่วเป็นครั้งแรกก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนตระกูลโค่ว มีเสียงเรียกน้องเขย อาเขยไม่หยุด
โค่วเหวินหลานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน พอได้ยินเจ้าหมอนี่เรียกตนว่าอาเขยอย่างอ่อนปวกเปียก เหมียวอี้ก็กลั้นขำนิดหน่อย โชคดีที่อ๋องสวรรค์โค่วเรียกพบ กลุ่มคนที่อยู่ตรงประตูจึงไม่ได้เกาะแกะมากนัก ได้แต่ไปเกาะแกะคุยเล่นอยู่กับอวิ๋นจือชิว
เฟยหงที่อยู่ข้างๆ ไม่มีใครมาสนใจ เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลโค่วไม่ค่อยโปรดปรานนาง
เรื่องบางเรื่องก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลโค่วยืนอยู่ฝ่ายอวิ๋นจือชิว กอปรกับพื้นเพอาชีพเต้นกินรำกินของเฟยหง ช่างขัดตาคนของตระกูลโค่วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ เกรงว่านางคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าประตูตระกูลโค่วด้วยซ้ำ
เหมียวอี้เข้ามาในลานบ้านด้านในของตระกูลโค่ว แล้วถูกนำตัวเข้าไปในหอสามรากฐานโดยตรง ตอนนี้เขายังไม่รู้ถึงความหมายของหอสามรากฐาน คนในตระกูลโค่วไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาได้
โค่วหลิงซวีเรียกพบเขา ก็แสดงว่ามีเรื่องจะบอก การช่วยกำจัดอุปสรรคขวางทางให้เหมียวอี้ก็ย่อมต้องพูดให้ชัดเจนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็กำชับเรื่องที่ต้องระวังเอาไว้ด้วย
หลังจากจบเรื่องแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ได้รีบจากไป มาที่จวนตระกูลโค่วเป็นครั้งแรก หากเข้าประตูมาแล้วออกไปเลยก็คงไม่ใช่เรื่องดี ต้องอยู่ที่นี่สักหนึ่งเดือนแล้วค่อยออกเดินทาง
ต่อไปยังต้องคลุกคลีกับคนของตระกูลโค่วอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ผู้หลักผู้ใหญ่เยอะไปหน่อย ทำให้เหมียวอี้ปวดหัว อนุภรรยาของโค่วหลิงซวีมีเยอะมากจริงๆ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนที่เหมียวอี้ออกจากจวนอ๋องสวรรค์ ก็เห็นพวกเหยียนซิว หยางชิ่ง หยางเจาชิง สวีถังหรานกับไห่ผิงซินอยู่ในสวนนอกจวนแล้ว
เป็นอย่างที่จ้านหรูอี้คาดไว้ ถ้าต้องการคนไม่กี่คนก็ไม่จำเป็นต้องให้นางออกหน้า พออ๋องสวรรค์โค่วเอ่ยปากก็สามารถดึงคนพวกนี้มาจากกองทัพองครักษ์ได้แล้ว ทางวังสวรรค์กลั่นแกล้งเหมียวอี้เรื่องนี้ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งพวกเหยียนซิวอีก เตะคนพวกนี้ออกจากกองทัพองครักษ์อย่างใจกว้าง
ในสวน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังมองรอบวง แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “พวกเจ้าคงรู้แล้วว่าข้าจะไปต้องไปที่ไหน ข้าอยากจะบอกอะไรบางอย่างเอาไว้ตรงนี้ ถ้าเต็มใจจะไปกับข้าก็ไปกับข้าได้ แต่ถ้าไม่เต็มใจข้าก็ไม่บังคับ ข้าจะหาตำแหน่งที่ทัพเหนือให้พวกเจ้า พวกเจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้าก็ได้”
สวีถังหรานเป็นคนแรกที่กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยยินดีติดตามนายท่าน!”
เหมียวอี้เพิ่งจะพยักหน้ายิ้ม แต่ใครจะคิดว่าไห่ผิงซินจะโพล่งออกมาว่า “ข้าไม่อยากไป ได้ยินว่าที่ตลาดผีมองไม่เห็นแสงอาทิตย์เลยทั้งปี อยู่ในความมืดมิดตลอดไป คิดดูแล้วน่าเบื่อ นายท่านช่วยหาตำแหน่งที่ทัพเหนือให้ข้าอีกว่า”
เหมียวอี้มือชี้นาง “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ต่อให้ไม่อยากไปก็ต้องไป!”
บทที่ 1584 เผยพิรุธ
ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับนางหนูคนนี้ เขาก็จะแก้ตัวกับทางปี้เยว่ไม่สะดวก จะแก้ตัวกับทางไห่ยวนเค่อก็ไม่สะดวกเช่นกัน ทางฝั่งลัทธิอู๋เลี่ยงก็จัดการยาก ถึงแม้ไห่ยวนเค่อจะไม่ว่าอะไร แต่ฝั่งจินม่านก็เคยย้ำมาแล้ว ว่าฐานะของนางหนูคนนี้ที่ลัทธิอู๋เลี่ยงแทบจะไม่ต่างอะไรกับองค์หญิงน้อย จะให้เกิดเรื่องกับนางไม่ได้เด็ดขาด
แม้แต่เหมียวอี้เองยังกลุ้มใจ ไม่ตั้งใจ ปักกิ่งหลิว แต่ต้นหลิวกลับให้ร่มเงา จะเล่นงานปี้เยว่คนเดียว แต่พอให้กำเนิดนางหนูคนนี้ขึ้นมา กลับทำให้พวกพี่ใหญ่ของลัทธิอู๋เลี่ยงให้ความสำคัญกับนางมาก
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะให้ไห่ผิงซินเพ่นพ่านไปทั่ว ถึงแม้อยู่กับตนอาจจะไม่ถึงกับปลอดภัยเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยก็อยู่ในการควบคุมของตน มองเห็นนางอยู่ใต้หนังตาตน ก็ยังพอจะสงบใจได้หน่อย
“ทำไมล่ะ?” ไห่ผิงซินถลึงตาถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “นายท่านบอกว่าจะไม่บังคับไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ก้มหน้าเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่านางหนูคนนี้จะจับช่องโหว่ในคำพูดของเขาได้แล้ว ถึงถามช้าๆ ว่า “เฟยหงก็ไป เจ้าจะไปหรือไม่ไป?”
ไห่ผิงซินส่ายหน้า “ไม่อยากไป ไม่ไปไม่ได้เหรอ?” ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขอร้อง
จากจากหลุดออกจากข้างกายเหมียวอี้ ได้ไปเห็นโลกภายนอก นางก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยเข้าสังคมเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว ฉากอันยอดเยี่ยมที่ได้เจอเฟยหงในปีนั้นกลายเป็นปกติธรรมดาไปแล้ว นำสิ่งนี้มาล่อลวงนางไม่ได้ผลแล้ว
พวกหยางชิ่งมองประเมินไห่ผิงซินเงียบๆ ที่จริงในใจของทุกคนเคลือบแคลงมาตลอด ว่านางหนูที่จู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นมามีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ จะว่านายท่านกำลังดูแลก็ได้ จะว่ากำลังโอ๋ก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ถ้าจะบอกว่านายท่านชอบเด็กสาวคนนี้ ก็ดูไม่เหมือนจะเป็นอย่างนั้น มองไม่ออกถึงท่าทางรักใคร่ระหว่างชายหญิงเลย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องกันนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายดูแลน้องสาว
เหมียวอี้อับอายนิดหน่อยจนเริ่มโมโห สั่งอย่างดุดันว่า “ไม่ได้!”
“งั้นท่านจะยังถามความเห็นพวกเราทำไมอีก?” ไห่ผิงซินถาม
เหมียวอี้เอ่ยเรียกอย่างเย็นเยียบว่า “เหยียนซิว!” เขารู้ว่าไห่ผิงซินกลัวใครมากที่สุด ใครเห็นแล้วก็ต้องทำท่าเหมือนหนูเจอแมว
เหยียนซิวหันตัวไปมองไห่ผิงซินทันที พร้อมด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นพิศวง “ไปด้วยกันดีกว่า”
พอเห็นใบหน้ายิ้มของเหยียนซิว ไห่ผิงซินก็ตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว ตอนนี้นางเสียงเบาลงหลายส่วนแล้ว บ่นว่า “ไปก็ไป”
ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็พยักหน้าตอบตกลง บ้างก็ตบปากรับคำแล้ว ต่างก็แสดงออกว่าเต็มใจจะไปด้วย
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่หยางชิ่งเข้าใจดีที่สุด ว่าคนที่มาจากพิภพเล็ก ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะปล่อยไปโดยไม่สนใจ ถ้าความรับรั่วไหลขึ้นมาก็จะกลายเป็นภัยคุกคามได้ง่ายๆ ไม่มัดไว้ให้แน่นคงไม่ได้ ที่ถามว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็เป็นเพียงการแสดงท่าทีเท่านั้น ถ้ากล้าบอกว่าไม่เต็มใจเพราะมีแผนอีกอย่างเตรียมไว้ เกรงว่าเหมียวอี้คงจะไม่ปล่อยตนไปแน่ อีกฝ่ายย้ายตนมาโดนไม่ถามความยินยอม มีหรือที่จะปล่อยให้หลุดไปง่ายๆ
และสำหรับเหมียวอี้ การที่สวีถังหรานเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาแสดงออกว่ายินดีจะติดตามเขาไป ก็ทำให้เขาค่อนข้างปลื้มใจ ถึงอย่างไรก็ห่างกันไปนานขนาดนี้ แต่ก็ยังยืนหยัดว่าจะติดตามตนไปอยู่ตลาดผีที่ไม่ค่อยมีอนาคน สิ่งนี้สะท้อนความจงรักภักดีแล้ว
หารู้ไม่ว่าสำหรับสวีถังหรานแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ได้สัมผัสกับบุคลระดับบน ก็ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าออกห่างจากเหมียวอี้แล้วจะใช้ชีวิตได้หรือไม่ จุดพื้นฐานที่เขาคิดได้ก็คือ นายท่านได้ไต่เต้าไปเกาะกิ่งไม้สูงอย่างอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว ถ้าอยู่กับนายท่านจะต้องอนาคตยาวไกลไร้ขอบเขตแน่นอน!
เมื่อมีความเห็นเป็กเอกฉันท์ เรื่องราวก็ถูกกำหนดแบบนี้แล้ว ตอนที่ทุกคนแยกย้ายออกไป จู่ๆ เหมียวอี้ก็บอกว่า “หยางชิ่ง เจ้าอยู่ก่อน”
หยางชิ่งที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหยุดฝีเท้า หันตัวกลับมา แล้วกุมหมัดคารวะ “นายท่านยังมีอะไรจะกำชับอีกขอรับ?”
ขณะมองดูหยางชิ่งที่สีหน้าเยือกเย็นสุขุม ในแววตาเหมียวอี้ก็สื่อหลากหลายอารมณ์ หลังจากเกิดคดีที่น่านฟ้าระกาติง หยางชิ่งก็รักษาระยะห่างจากตนอย่างเห็นได้ชัด ถ้าตนไม่ติดต่อไป อีกฝ่ายก็ไม่เป็นฝ่ายติดต่อตนมาก่อนอีก ด้วยเหตุนี้เขาถึงรู้ตัวแล้วว่าที่หยางชิ่งบอกว่าฝึกตนจนป่วยในครั้งนั้นคงจะเป็นข้ออ้าง สาเหตุก็เดาได้ไม่ยาก เป็นเพราะตนไม่ฟังความเห็นของเขา แทบจะดึงให้ทุกคนตกอยู่ในภัยคุกคามถึงชีวิตแล้ว
และที่มาในครั้งนี้ ก็เป็นความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ความคิดของอวิ๋นจือชิวก็เรียบง่ายมาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ไม่ต้องกังวลทางฝั่งเวยเวยด้วย ฆ่าหยางชิ่งเสียเลยสิ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรน่าหวั่นเกรง นอกเสียจากเจ้าจะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวว่าจะจัดการกับหยางชิ่งไม่ได้ ถ้ามีความมั่นใจแล้วจะมีอะไรให้กลัวล่ะ? เรื่องนี้เจ้าต้องเลือกสักทาง ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อไปอย่างนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าไม่ไว้ใจอีกฝ่าย ถ้าจะไม่ให้คนฉลาดแบบหยางชิ่งมีใจเป็นอื่นก็คงยาก เจ้าเอาแต่ป้องกันเขาเหมือนป้องกันโจร แบบนี้ไม่ใช่พฤติกรรมของลูกผู้ชาย ถ้าปล่อยให้เวลานานไปจนทำให้หยางชิ่งแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่มีอนาคต ก็จะต้องกดดันให้หยางชิ่งเดินไปสุดปลายทางแน่นอน”
เหมียวอี้ยังคงลังเลกับสิ่งนี้ สาเหตุหลักเป็นเพราะเรื่องที่หยางชิ่งแอบจะลงมืออวิ๋นจือชิวครั้งก่อน เขาจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอด
พอได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ทั้งซาบซึ้งทั้งปลงอนิจจัง โน้มน้าวด้วยความหวังดีอีกครั้ง “เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ต้องทำความเข้าใจไว้นะ ในฐานะพ่อคนหนึ่ง การที่เขาอยากจะให้ลูกสาวได้มีชีวิตดีขึ้นหน่อยก็ใช่ว่าจะแย่เสียทั้งหมด คนเรายิ่งฉลาดก็ยิ่งมีแผนการเยอะ ไม่ได้บริสุทธิ์เต็มร้อยเหมือนเหยียนซิว ในโลกนี้ไม่มีใครบริสุทธิ์เต็มร้อยเหมือนเหยียนซิวหรอก มีใครบ้างที่ไม่จุดด่างพร้อยเลยสักนิด ไม่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด? หนิวเอ้อร์ เจ้าเองก็ไม่ใช่นักปราชญ์เหมือนกัน ถ้ามัวพะวงถึงความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยของคนอื่น แล้วในใต้หล้านี้เจ้าจะหาใครมาทำงานให้เจ้าได้เหรอ? ดูอย่างประมุขชิงสิ ประมุขชิงจะไม่รู้เชียวหรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วกับสี่อ๋องสวรรค์ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัว? ถึงยังไงข้างกายเจ้าก็มีคนที่ใช่ประโยชน์ได้ไม่เยอะอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในการใช้งานคนก็คือควบคุมคน ไม่ใช่มีข้อเรียกร้องที่รุนแรงเกินไป ถ้าใช้งานได้ดีก็ย่อมเป็นแรงสนับสนุน ถ้าใช้งานได้ไม่ดีก็จะเป็นปัญหา กุญแจสำคัญอยู่ที่ตัวเจ้าเอง ไม่ได้อยู่ที่ตัวหยางชิ่ง…”
สรุปก็คืออวิ๋นจือชิวแนะนำให้เขาไปกระชับความสัมพันธ์กับหยางชิ่ง
ก็อย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เหมียวอี้ไม่ใช่นักปราชญ์ บนตัวก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน บุ่มบ่ามมุทะลุ ทำอะไรตามอารมณ์ได้ง่าย ถ้าคนทั่วไปบอกอะไรเขาก็อาจจะไม่ฟัง มีเพียงอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่สามารถจับจุดเขาได้อย่างแม่นยำ หลังมีความสุขด้วยกันอย่างเต็มที่แล้วนางก็ตั้งใจกอดเหมียวอี้แล้วพูดสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดก็ทำให้เหมียวอี้เชื่อฟังแล้ว
“เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เป็นความผิดของข้าเอง”
จู่ๆ เหมียวอี้ก็พูดแบบนี้ออกมา ทำให้หยางชิ่งที่มีสีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขารีบใช้ความคิดไตร่ตรองว่าเหมียวอี้หมายความว่าอะไร ในภาพความทรงจำของเขา เหมียวอี้ไม่ใช่คนที่จะยอมรับผิดได้ง่ายๆ โดยเฉพาะการยอมรับผิดต่อเขา
เขาคิดไปในทางความน่าสงสัย พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าอวิ๋นจือชิวบงการอยู่เบื้องหลัง เขารู้จักเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้ คนที่ทำให้เหมียวอี้พูดแบบนี้ได้ไม่ใช่เขาแน่นอน เกรงว่าจะมีแค่อวิ๋นจือชิวแล้ว
หยางชิ่งแอบถอนหายใจ น่าเสียดายที่เวยเวยไม่ได้มีผลกระทบมากขนาดนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ เขาตอบว่า “นายท่านไม่ได้ผิด นายท่านเตรียมการไว้ทางฝั่งอ๋องสวรรค์โค่วตั้งแต่แรกแล้ว เป็นข้าน้อยเองที่คิดมากไป”
เหมียวอี้รู้ว่าเขารู้ชัดอยู่แก่ใจ ที่พูดแบบนี้เพราะต้องหาหาบันไดลงให้เขาเฉยๆ จึงไม่วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก กล่าวอย่างลังเลว่า “ช่วงนี้ข้ามีเรื่องที่คิดไม่ตก อยากจะฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย”
“ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง” หยางชิ่งกล่าว
“ที่งานแต่งงานในอุทยานหลวง ข้าได้รับของขวัญล้ำค่าจากตระกูลเซี่ยโห้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วขอคำชี้แนพ “ตอนนี้ข้าไม่เข้าใจว่าการที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบของขวัญให้มากขนาดนี้หมายความว่าอะไร เจ้าคิดว่ายังไง?”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว หลังจากลังเลอยู่นาน ถึงได้ถามว่า “นายท่านกับตระกูลเซี่ยโห้วมีการไปมาหาสู่อะไรกันเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “นอกจากคบค้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงนิดหน่อย ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกันแล้ว”
“แบบนี้…” หยางชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ข้าน้อยก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่มีอยู่จุดหนี่งที่ข้าน้อยมั่นใจได้ ในเมื่อเป็นของขวัญล้ำค่า ก็แสดงว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร มีความหมายในทางที่ดีเกินครึ่ง บางทีอาจจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เพียงแค่เกริ่นนำก่อนก็เท่านั้น เวลาออกหน้าประสานงานในภายหลังจะได้ไม่พรวดพราด”
เหมียวอี้ไต่ตรองพลางพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็บอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าก็รู้เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง กำลังพลกองมังกรดำหมื่นกว่าคนที่รบรอดกลับมา หลังจากแยกย้ายกันแล้ว ข้าก็นำของขวัญล้ำค่าส่วนนั้นที่ได้จากตระกูลเซี่ยโห้วไปแจกจ่ายให้พวกเขา แต่ก็พบเรื่องที่มีเงื่อนงำ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนส่งทรัพยากรไปช่วยพวกเขาในนามของข้าก่อนแล้ว…”
พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ตกใจไม่เบา กำลังพลที่เหลือรอดพวกนั้น ตามหลักการของกองทัพองครักษ์แล้วก็ไม่กล้ารับของจากหน่วยงานภายนอกได้ง่ายๆ หลังจากรู้ว่าเป็นน้ำใจจากเขา คนพวกนั้นถึงไม่ปฏิเสธ แต่คนที่ใช้ทรัพยากรช่วยก็สั่งในนามของข้าเช่นกัน ว่าให้คนพวกนั้นเก็บเป็นความลับ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าจะแสดงน้ำใจถัดจากนั้นไม่นาน ทำให้คนพวกนั้นพบความผิดปกติและติดต่อมาหาเขาว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เกรงว่าจนป่านนี้เขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาไม่สามารถติดต่อกับกำลังพลหนึ่งหมื่นคนนั้นในระยะยาวได้ ส่วนทรัพยากรที่คอยส่งช่วยเหลือให้หลังม่านก็ส่งให้ตามกำหนดเวลาตลอด ไม่เคยขาดเลย
พอได้ยินแบบนี้ หยางชิ่งก็ตกใจมากเช่นกัน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าถามว่า “อีกฝ่ายใช้ทรัพยากรช่วยพวกเขาในนามของนายท่านเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้า
หยางชิ่งถามอย่างร้อนใจอีกว่า “แล้วนายท่านได้เปิดโปงเรื่องนี้หรือเปล่า สะเทือนไปถึงคนที่อยู่หลังท่านนี้หรือยัง”
เหมียวอี้เห็นเขาทำสีหน้าเหมือนเดาอะไรออกแล้ว ส่ายหน้าตอบว่า “เปล่า! ข้าเองก็อยากจะสืบเหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง ข้าก็เลยแอบบอกพวกลูกน้องเก่าให้รับของพวกนั้นต่อไปแบบเนียนๆ อย่าเพิ่งแหวกหญ้าใหงูตื่น เจ้าเดาอะไรได้แล้วใช่มั้ย?”
หยางชิ่งร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ถึงได้ตอบช้าๆ ว่า “ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นตระกูลโค่ว”
“ตระกูลโค่ว?” เหมียวอี้ตกใจ แล้วถามว่า “ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้วหรอกเหรอ? ตระกูลเซี่ยโห้วเพิ่งจะส่งทรัพยากรก้อนใหญ่ให้ข้าในเวลานั้นพอดี”
หยางชิ่งส่ายหน้า “ตระกูลเซี่ยโห้วให้ทรัพยากรมามากมายขนาดนั้นแล้ว ก็เพื่อให้นายท่านมีทรัพยากรจำนวนมากไปช่วยเหลือกำลังพลเก่า ถ้าเขายังแอบไปช่วยให้ทรัพยากรอีก แบบนี้ไม่เป็นการเผยพิรุธหรอกเหรอ? มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะชนปะทะกัน ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะแอบส่งทรัพยากรให้คนพวกนั้นโดยปิดบังนายท่านจริงๆ ก็คงไม่ให้ทรัพยากรนายท่านมากขนาดนั้นหรอก”
คำพูดนี้มีเหตุผล! เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ แล้วบอกว่า “ว่ากันตามจริงนะ ข้าเองก็สงสัยตระกูลโค่วเหมือนกัน แต่ตระกูลโค่วจำเป็นต้องปิดบังข้าด้วยเหรอว่าทำเรื่องนี้? ในเมื่อข้ายอมยอมศิโรราบแล้ว ถ้าจะให้ทรัพยากรช่วยก็เอ่ยปากตรงๆ ก็ได้ แบบนี้ข้าจะได้จดจำน้ำใจของพวกเขาด้วย ทำไมต้องลักลอบทำแล้วปิดบังข้าแบบนี้?”
หยางชิ่งแววตาวูบไหว “แผนการของตระกูลโค่วยาวไหลมาก ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความได้เปรียบหรือขาดทุนที่อยู่ตรงหน้า ไม่แปลกใจที่ยืนในราชสำนักได้โดยไม่ล้ม!”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้รีบถาม
หยางชิ่งอธิบายอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ถ้าตระกูลโค่วบอกนายท่านแล้ว นายท่านก็แค่จดจำน้ำใจมากขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าแอบส่งทรัพยากรช่วยอย่างลับๆ ตระกูลโค่วก็จะได้กุมทั้งน้ำใจของนายท่านและน้ำใจของคนพวกนั้น! ถ้านายท่านทำงานเพื่อตระกูลโค่วอย่างจงรักภักดีตลอดไป รอให้ถึงตอนที่นายท่านต้องการแรงสนับสนุนจากลูกน้องเก่าพวกนั้น ตระกูลโค่วก็จะบอกนายท่านเอง นายท่านก็ยังจะจดจำน้ำใจของตระกูลโค่วเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ถ้าในภายหลังนายท่านไม่ได้ยืนฝั่งเดียวกับตระกูลโค่ว นายท่านก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าตัวเองยังมีแรงสนับสนุนจากลูกน้องเก่าพวกนั้นอยู่ ตระกูลโค่วไม่มีทางให้นายท่านใช้งานกำลังพลพวกนี้ หากเมื่อใดเกิดเหตุไม่คาดคิดกับนายท่าน หากนายท่านตายไปแล้ว คนพวกนั้นที่กองทัพองครักษ์ได้รับทรัพยากรสนับสนุนจากตระกูลโค่วมาหลายปี ก็เท่ากับจุดอ่อนพวกเขาตกอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว จำเป็นต้องฟังคำสั่งตระกูลโค่วเช่นกัน แผนนี้ของตระกูลโค่วเรียกได้ว่าทำครั้งเดียวได้ประโยชน์หลายอย่าง ต่อให้ถูกตำหนักสวรรค์จับสังเกตได้ว่ามีคนยื่นมือเข้าไปในกองทัพองครักษ์ แต่ก็จะไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าตระกูลโค่วทำ เกรงว่านายท่านคงจะเป็นเพียงแพะรับบาปตัวหนึ่ง ทว่าต่อให้ตระกูลโค่วจะวางแผนคาดการณ์มาดีขนาดไหน แต่ก็คาดไม่ถึงว่านายท่านจะเห็นแก่ไม่ตรีเก่าขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะนำทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนี้มาแสดงน้ำใจต่อลูกน้องเก่าที่แยกย้ายกันไป ทำให้เรื่องราวชนกันจนเผยพิรุธออกมาแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น