คัมภีร์วิถีเซียน 1577-1581

ตอนที่ 1577 เผ่าเมฆาสวรรค์

 

“พี่หานหมายถึง ‘เคล็ดวิชารวมสมาธิเป็นหนึ่ง’สินะ! เคล็ดวิชานี้มหัศจรรย์จริงๆ เป็นเคล็ดวิชาลับที่เผ่าเขียวคิดค้นขึ้น แต่การฝึกฝนเคล็ดวิชานี้มันยากลำบากเป็นอย่างมาก ไม่เพียงต้องใช้พี่น้องสายโลหิตเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนและพลังยุทธ์ต้องใกล้เคียงกัน ถึงจะสำแดงเคล็ดวิชานี้ได้ แต่เผ่าเขียวกับเผ่าอื่นนั้นไม่เหมือนกัน ผู้ที่ถือกำเนิดจากเผ่านั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพี่น้องร่วมท้องกันหลายคน ท้องหนึ่งมีหกเจ็ดคนก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยมาก แต่หลังจากโตขึ้นหน่อย พวกเขาก็จะแยกกันโดยอัตโนมัติ ประตูเมืองทั้งสี่ของเมืองเมฆาล้วนมีคนของเผ่าเขียวที่รับหน้าที่ตรวจสอบผู้ที่จะเข้าเมืองอยู่ หลังจากสำแดงเคล็ดวิชานี้ รวมจิตสัมผัสของพวกเขาเป็นหนึ่ง ก็จะเพิ่มระดับให้พวกเขาสามสี่ขั้น และไม่อาจปิดบังอะไรพวกเขาได้” เจี่ยเทียนมู่ฉีกยิ้มอธิบายสองประโยค


 


 


“เช่นนี้นี่เอง! ผู้แซ่หานช่างเป็นกบในกะลาเสียจริง แต่ข้าน้อยสนใจเคล็ดวิชานี้นัก สหายรู้วิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้หรือไม่” หานลี่ฟังจบ ตอนแรกพลันรู้สึกสิ้นหวัง แต่เมื่อคิดอีกที ก็ยังคงรู้สึกว่าเคล็ดวิชานี้มหัศจรรย์นัก จึงเกิดความคิดอยากดัดแปลงขึ้นมาและอดถามเช่นนั้นออกไปไม่ได้


 


 


“เคล็ดวิชาสมาธิไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเขียวให้ความสำคัญนัก แม้จะแพร่งพรายออกไปภายนอกไม่มากนัก แต่ผู้แซ่เจี่ยก็ยังพอหาได้ชุดหนึ่ง หากสหายต้องการจริงๆ กลับไปเดี๋ยวข้าจะคัดลอกให้ชุดหนึ่ง” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยอย่างใจกว้าง


 


 


“ขอบพระคุณขอรับ” หานลี่ได้ฟังพลันเผยรอยยิ้มออกมา และประสานกำปั้นคารวะขอบคุณ


 


 


“ฮ่าๆ เรื่องนี้เรื่องนี้ สหายหานช่วยชีวิตผู้แซ่เจี่ยเอาไว้ เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป ใช่แล้ว ข้าน้อยต้องไปคารวะเหล่าอาวุโสก่อน จากนี้เกรงว่าจะไม่อาจร่วมทางกับสหายได้ นี่คือตำแหน่งถ้ำพำนักในเมืองเมฆาของข้าน้อย หลังจากนี้สองสามวันสหายค่อยไปรับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าตามคำสัญญากับข้าน้อย กล่าวอย่างไม่ปิดบัง หุ่นเชิดระดับนี้ในถ้ำพำนักของข้ามีแค่สองสามตัวเท่านั้น แต่หากมอบให้คนนอกเผ่า ข้าน้อยต้องได้อนุญาตจากเหล่าอาวุโสของเผ่าก่อน ทว่าโปรดวางใจ จากตำแหน่งของข้าน้อยในเผ่า ไม่มีทางเกิดปัญหาแน่” เจี่ยเทียนมู่ฉีกยิ้ม ยกมือขึ้นส่งแผ่นหินให้หานลี่ แล้วกล่าวลา


 


 


ยามนี้ทั้งสองคนเดินออกมาจากประตูเมือง เบื้องหน้ามีเส้นทางกว้างๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้น สองฝั่งเป็นร้านรวงสูงใหญ่ไม่เท่ากัน มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังเดินไปมาอยู่บนถนน ไม่นับว่าคึกคัก แต่ก็ไม่ได้เงียบสงัด!


 


 


“ก็ดี ข้าน้อยเองก็มีธุระ คงต้องแยกกับสหายตรงนี้” หานลี่รับแผ่นหินมาแล้ว ก็ใช้จิตสัมผัสกวาดไป แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


 


“ในเมืองเมฆาเป็นสถานที่อาศัยร่วมกันของเผ่าเมฆาสวรรค์อยู่ ชนต่างเผ่าก็มีอยู่ไม่น้อย บ้างก็อาศัยอยู่ถึงสองสามร้อยปีแม้กระทั่งนับพันปีก็ยังไม่ยอมจากไป ดังนั้นในเมืองนอกจากที่พักชั่วคราวแล้ว ยังมีถ้ำพำนักให้เช่า แค่ค่าใช้จ่ายไม่ธรรมดา แต่หากพี่หานพักอยู่แค่ระยะสั้นๆ คิดดูแล้วค่าใช้จ่ายคงไม่มีปัญหา นอกจากนี้สหายต้องจำเอาไว้เรื่องหนึ่ง ห้ามต่อสู้กันหรือใช้พลังวิญญาณง่ายๆ ในเมือง มิเช่นนั้นหากถูกเขตอาคมพบเข้า เบาหน่อยก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองเมฆา หนักหน่อยก็คือกำจัดพลังยุทธ์ เรื่องนี้แม้แต่อาวุโสของสิบสามเผ่าอย่างพวกเราก็ไม่อาจฝ่าฝืนได้ง่ายๆ เอาล่ะ ข้าน้อยต้องขอตัวลาแล้ว” เจี่ยเทียนมู่บอกเรื่องราวต่างๆ กับหานลี่เป็นจำนวนมาก แล้วก็หันกายจากไป


 


 


หานลี่ไม่คิดจะรั้งรออยู่นาน มองเจี่ยเทียนมู่ที่อยู่ไกลออกไปกำลังขวางรถที่ถูกอสูรวิญญาณรูปร่างคล้ายกวางเหมยฮวา[1]สองตัวลากอยู่ นั่งลงบนรถ แล้วพุ่งตรงหายไปจากมุมถนนอีกฝั่งหนึ่ง


 


 


เขาถึงได้ถอนสายตาออกมา พิจารณาสองฝั่งถนนอย่างละเอียด


 


 


ที่นี่สมกับที่เป็นเมืองสำคัญของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ สิ่งปลูกสร้างทั้งสองฝั่งไม่เพียงแน่นขนัด ยิ่งไปกว่านั้นรูปทรงยังหลากหลาย มองแวบเดียวแทบจะไม่เห็นร้านค้าที่มีรูปทรงเหมือนกัน


 


 


สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้บ้างก็สูงถึงร้อยจั้งเศษ ราวกับภูเขาขนาดย่อม บ้างก็สูงแค่สองสามจั้ง แต่ก็วิจิตรงดงามมาก บ้างก็เป็นสี่ปลูกสร้างสี่เหลี่ยม คล้ายกับหอคอยเผ่ามนุษย์ บ้างก็ภายนอกคล้ายกับต้นไม้ยักษ์ เป็นสีเขียวมรกตระยิบระยับ…


 


 


หานลี่แค่พิจารณาชั่วครู่ ก็รู้สึกสนใจเมืองแห่งนี้


 


 


จะว่าไปแล้วสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์หมายถึงสิบสามชนเผ่า แต่ไม่รู้ว่ากี่หมื่นปีมาแล้วที่เผ่าต่างๆ ได้มาอาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งสิบสามเผ่าก็ต้องทำพร้อมกัน หากไม่นับเลือดเนื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ก็แทบจะเป็นเผ่าขนาดใหญ่เผ่าหนึ่ง


 


 


แต่แม้ว่าสิบสามเผ่าจะมีกำลังไม่แข็งแกร่งนัก ไม่อาจเทียบกับเผ่าใหญ่ในแดนวิญญาณอย่างเผ่าแมลงมีเขาได้ แต่เมื่อสิบสามเผ่าร่วมมือกัน กำลังกลับไม่แตกต่างอะไรกับเผ่าแมลงมีเขานัก มีพลังในการต่อสู้มาก


 


 


นี่คือสาเหตุที่เมฆาสวรรค์อยู่ที่กับเผ่าขนาดใหญ่อย่างเผ่าแมลงมีเขาทั้งสองด้าน แต่กลับยังคงปกป้องตนเองได้ และความจริงแล้วการสู้รบของเผ่าแมลงมีเขาและเมฆาสวรรค์ ก็แทบจะปะทุขึ้นทุกๆ ช่วงเวลา


 


 


ไม่ใช่เผ่าแมลงมีเขายึดครองอาณาเขตของเผ่าเมฆาสวรรค์ ก็เป็นสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ร่วมมือกัน ชิงดินแดนที่เสียไปกลับมา


 


 


แน่นอนว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่นั้น ยังเป็นเผ่าแมลงมีเขาที่มีกำลังมากกว่าเท่าหนึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบ


 


 


แต่เมื่อเผ่าเมฆาสวรรค์เรียนรู้จากกันและกันแล้ว ก็ไม่ได้เสียเปรียบมากนัก


 


 


ดังนั้นการโจมตีอย่างกะทันหันของเผ่าแมลงมีเขาในครั้งนี้ จึงไม่ได้ทำให้ชนชั้นสูงของเผ่าเมฆาสวรรค์ประหลาดใจใดๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว เริ่มรวบรวมกำลังเตรียมรับการโจมตี


 


 


คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หานลี่บังเอิญได้ยินมาจากเจี่ยเทียนมู่ตอนที่เดินทางมาด้วยกัน


 


 


ตามที่เจี่ยเทียนมู่กล่าว เมฆาสวรรค์มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นพิเศษ แต่เผ่าใหญ่ที่อยู่ติดกันไม่ได้มีเพียงเผ่าแมลงมีเขาเพียงเผ่าเดียว ยังมีเผ่าที่กำลังไม่ด้อยไปกว่าเผ่าเมฆาสวรรค์อย่าง ‘เผ่าราตรี’รวมทั้งเผ่าที่อ่อนแอกว่าพวกเขาอย่าง ‘เผ่าระเบิดเสียงเพรียก’


 


 


แต่เผ่าที่เล็กๆ เหล่านั้นโดยปกติแล้วก็จะทำได้เพียงอาศัยหรือเข้าร่วมกับเผ่าใหญ่ๆ เพื่อให้ได้อำนาจในพื้นที่แห่งนี้ มิเช่นนั้นไม่ถูกสังหาร ก็ต้องถูกบีบออกให้ไปหาที่อยู่ที่อื่น


 


 


นี่จึงทำให้หานลี่เข้าใจเรื่องคร่าวๆ ในเผ่าต่างๆ ของที่นี่


 


 


ตอนนี้เขาพิจารณาสองฝั่งของถนนไปพลาง สาวเท้าเอื่อยเฉื่อย ครุ่นคิดถึงแผนการต่อไปอย่างรวดเร็วไปพลาง


 


 


ไม่ต้องสงสัยเลย เป้าหมายแรกของเขายังคงเป็นการตามหาเขตอาคมส่งตัวระดับสูงที่สามารถส่งตัวกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนได้ แต่เขตอาคมส่งตัวระดับนี้ไม่อาจตกอยู่ในมือของใครกัน แปดเก้าส่วนคงตกอยู่ในขุมอำนาจใหญ่ๆ ใดสักแห่งหนึ่ง หากคิดจะอาศัยเขตอาคมส่งตัว เกรงว่าก็ต้องคบค้าสมาคมชนชั้นสูงของขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่


 


 


นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญของเจี่ยเทียนมู่ในตอนแรก


 


 


ทว่าจะได้รู้จักกับชนชั้นสูงของเผ่าเมฆาสวรรค์หรือไม่ ก็ต้องสืบข่าวมาให้เสร็จก่อนถึงจะรู้


 


 


ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ หาที่พักในเมืองเมฆาก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ตามหาเบาะแสไป


 


 


หลังจากตัดสินใจแล้ว หานลี่ก็ไม่ลังเลอีก สายตากวาดไปตามร้านค้ารอบด้าน เลือกร้านที่เป็นสิ่งปลูกสร้างคล้ายกับหอคอยมนุษย์มาร้านหนึ่งแล้วเดินเข้าไป


 


 


ร้านนี้ไม่นับว่าใหญ่โตนัก มีเพียงสองชั้นเท่านั้น


 


 


ด้านในมีชั้นวางของวางเรียงอยู่ มีทุกสิ่งให้เลือกสรร ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านเบ็ดเตล็ดธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง


 


 


เถ้าแก่ในร้านคือชายผิวสีเขียวของเผ่าหมึกเขียว เดิมทีนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ เมื่อเห็นหานลี่มา ทันใดนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นต้อนรับด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ท่านอาวุโส อยากได้อะไรขอรับ ร้านของเราขายสินค้าท้องถิ่นของเมืองเมฆาโดยเฉพาะ พื้นที่ รวมถึง…”


 


 


ชนต่างเผ่าที่ดูอายุสี่สิบกว่าปี แม้ว่าจะมีพลังยุทธ์ระดับสร้างปราณ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหานลี่กลับไม่มีความเขินอาย หลังจากคารวะแล้ว ก็แนะนำอีกเป็นพวงอย่างคล่องปาก


 


 


นั่นก็ไม่แปลกจากพลังยุทธ์ที่ต่ำต้อยของอีกฝ่าย เกรงว่าระดับก่อกำเนิดและระดับหลอมสุญตาล้วนไม่อาจแยกแยะได้ และผู้ที่มีพลังยุทธ์ลึกล้ำในเมืองเมฆาก็มีอยู่ทั่วไป จึงพบเห็นมามากแล้ว แน่นอนว่าจึงเปลี่ยนเป็นท่าทีธรรมดาๆ เช่นนี้


 


 


“เอาแผนที่เมืองเมฆามาแผ่นหนึ่ง ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ยิ่งดี นอกจากนี้ข้าอยากจะถามอะไรเจ้าสักสองสามเรื่อง” หานลี่พิจารณาคนที่อยู่ตรงหน้าสองแวบ ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ผลึกศิลาระดับกลางก้อนหนึ่งบินออกมา ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“นี่คือแผนที่ที่ดีที่สุดของร้านเรา! ท่านอาวุโสมีเรื่องอะไร ก็ถามมาได้เลยขอรับ ชนรุ่นหลังจะบอกอย่างไม่มีกั๊ก!” เถ้าแก่รับผลึกศิลาไป แล้วหยิบแผ่นหินสีแดงอ่อนออกมาจากชั้นด้วยหน้าตาเบิกบานพลางส่งให้หานลี่ และเอ่ยอย่างดีใจ


 


 


……


 


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา หานลี่ก็เดินออกมาจากร้านด้วยสีหน้าเยือกเย็น จากนั้นก็เรียกรถอสูรคันหนึ่งบนถนน แล้วบอกชื่อสถานที่กับพลขับ แล้วพลันนั่งสมาธิหลับตาอยู่ภายในรถ


 


 


ส่วนพลขับก็ควบคุมรถอสูรออกไปในทันที ห้อตะบึงออกไป


 


 


รถอสูรพาหานลี่ไปยังมุมของเมืองเมฆาที่อยู่ใกล้ที่สุด ไม่รู้ว่าข้ามผ่านถนนไปกี่สาย หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ในที่สุดรถอสูรก็หยุดลงหน้าสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงภายนอกแปลกประหลาด


 


 


หานลี่โยนศิลาวิญญาณสองสามก้อนไป เดินลงมาจากรถ และมองสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง


 


 


นี่คือสิ่งปลูกสร้างประหลาดที่มีรูปทรงภายนอกคล้ายเนินเขาสูงใหญ่ สร้างจากวัตถุดิบสีเหลืองอ่อนคล้ายเม็ดทรายทั้งหลัง


 


 


สิ่งนี้ดูแล้วสูงพันจั้งเศษ สูงกว่าสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ในบริเวณรอบตั้งไม่รู้กี่เท่า


 


 


แต่ผิวของสิ่งปลูกสร้างนี้กลับมีประตูน้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด บางครั้งก็มีคนผลักประตูบินออกมาและเหาะออกไป


 


 


สิ่งปลูกสร้างที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มองไกลๆ ก็ดูเหมือนรังผึ้งระดับเหนือชั้น!


 


 


หานลี่ตกตะลึงอยู่ที่เดิมชั่วครู่ แล้วถึงได้เลื่อนสายตาลงมา มองไปยังประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงตีนของสิ่งปลูกสร้าง


 


 


สองฝั่งของประตูใหญ่เขียนอักษรประหลาดๆ เอาไว้ แม้ว่าหานลี่จะรู้จักตัวอักษรของชนต่างเผ่าจำนวนมาก แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจแยกแยะตัวอักษรนี้ว่ามาจากเผ่าไหนได้


 


 


หานลี่ไม่ได้ลังเลนานนัก ลูบใต้คางไปมา แล้วก็สาวเท้าเดินเข้าไปในร้าน


 


 


เมื่อเดินเข้าประตูบานใหญ่ ด้านในพลันมีห้องโถงขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นห้องหนึ่ง!


 


 


ห้องโถงมีความกว้างสองร้อยจั้งเศษ รอบด้านและพื้นดินปูด้วยหยกงามสีเขียวมรกต รอบด้านมีกระถางดอกไม้สูงสองสามฉื่อเรียงอยู่ ด้านในมีสมุนไพรวิญญาณและดอกไม้วิญญาณที่ดูงดงามปลูกอยู่


 


 


ตรงใจกลางของห้องโถง กลับมีโต๊ะไม้สีดำเก่าๆ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว บนโต๊ะมนุษย์เรือนผมสีขาวหิมะหมอบคลานอยู่ สวมชุดคลุมยาวสีเทา แต่กลับมองไม่เห็นใบหน้าของเขา


 


 


ดูร่างที่ไม่ยอมขยับ ดูเหมือนว่าหลับสนิทอยู่


 


 


“หาห้องเงียบๆ ให้ข้าห้องหนึ่ง ข้าจะพักสักสองสามวัน” หานลี่เดินมาหน้าโต๊ะอย่างเงียบ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


 


 


——


 


 


[1] กวางเหมยฮวา คือกวางซิก้าเป็นกวางที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกและถูกนำเข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงในหลายพื้นที่บนโลก

 

 

 


ตอนที่ 1578 พบสหายเก่าอีกครั้ง

 

น้ำเสียงของหานลี่ไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้ามาในโสตของชายชรากลับเป็นดังฟ้าผ่า เพียงพอจะทำให้เขาตื่นขึ้นจากนิทรารมณ์


 


 


“อ๊า ที่แท้ก็มีแขกมานี่เอง ชนรุ่นหลังจะหาห้องให้ท่านอาวุโสห้องหนึ่ง” ชายชราหยัดกายลุกขึ้นด้วยความสั่นเทา ชั่วครู่ก็ตื่นลุกขึ้นมานั่ง และควักยุทธภัณฑ์ประหลาดคล้ายกระดาษสีขาวเรืองรองออกมาจากส่วนล่างของร่างกายด้วยความรีบร้อน แล้วค้นหาในนั้นอย่างรวดเร็ว


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้ว!


 


 


ชายชราที่อยู่ตรงนั้นเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร เหตุใดถึงไม่มีท่าทีระมัดระวังตัวเลยสักนิด เมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะหลับอยู่จริงๆ และไม่ได้แสร้งทำ


 


 


เขาใจเต้นระรัว จากนั้นพลันเหลือบตามองชายชราแวบหนึ่ง ผลคือครู่ต่อมา พลันร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง


 


 


“เจ้า…เจ้าคือศิษย์พี่เซี่ยง! เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่!”


 


 


ชายชราใบหน้าเหลืองกรอบดูป่วยกระเสาะกระแส แต่หว่างคิ้วกลับมีแววเจ้าเล่ห์ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเซี่ยงจื่อหลี่ที่ก้าวเข้ามาในห้วงเวลาก่อนในวันนั้น ศิษย์พี่ในนามของเขา ‘ศิษย์พี่เซี่ยง’


 


 


โคมดวงจิตของเขา มารเฒ่าฮูและตัวประหลาดเฒ่าเฟิงหายไปตามลำดับหลังจากเข้าไปในห้วงเวลาได้ไม่นาน และถูกคนคิดว่าเพลี่ยงพล้ำไปตั้งนานแล้ว


 


 


ได้พบตอนนี้จะไม่ทำให้หานลี่ตกใจจนหน้าถอดสี น้ำเสียงเปลี่ยนไปได้อย่างไร


 


 


ชายชราได้ฟังคำพูดของหานลี่ เดิมทีที่กำลังก้มหาอะไรอยู่พลันหยุดชะงัก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้ามอย่างช้าๆ


 


 


“ศิษย์น้องหาน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า!” ชายชราเอ่ยพึมพำ ใบหน้าเผยสีหน้าเดี๋ยวจะร้องไห้เดี๋ยวจะหัวเราะออกมา เผยท่าทีแปลกประหลาดออกมา


 


 


“ผู้แซ่หานเอง ไฉนตอนนี้พลังยุทธ์และกลิ่นอายของท่าน…”


 


 


หานลี่ตอบไปพลาง จิตสัมผัสก็กวาดไปบนร่างของเซี่ยงจื่อหลี่ไปพลาง แล้วไม่อาจระงับสีหน้าให้เยือกเย็นได้


 


 


เดิมทีในแดนมนุษย์เซี่ยงจือหลี่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงแล้ว ยามนี้พลังยุทธ์กลับลดลงมาอยู่ในระดับหลอมรวม และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายยังอ่อนแอมา ดูเหมือนว่าปราณแท้จะได้รับบาดเจ็บหนัก


 


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้าเองก็มาถึงแดนวิญญาณด้วยห้วงเวลาสินะ ดูจากพลังยุทธ์ของเจ้า ลมปราณคงพัฒนาเป็นอย่างมาก ทว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะพูดคุยกัน อีกเดี๋ยวจะมีแขกมา ตามข้ามาก่อน ไปหาที่อื่นคุยกันเถิด” เซี่ยงจื่อหลี่มองหานลี่ด้วยความตกตะลึงชั่วครู่ ใบหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบร้อนหยัดกายลุกขึ้น พาหานลี่ไปยังประตูข้างของห้องโถง


 


 


หานลี่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังตามไป


 


 


เมื่อเข้ามาในประตูข้างก็เป็นทางเดินยาวๆ สายหนึ่ง สองฝั่งเป็นต้นไหม้ประหลาดๆ ฮูฉิ่งเหลยไม่ได้พาหานลี่เดินไปไกลนัก แต่ตรงไปผลักประตูหินบานหนึ่งแถวๆ นั้น แล้วเชิญหานลี่เข้าไปด้านใน


 


 


“ศิษย์น้องเชิญนั่ง ผู้เฒ่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบศิษย์น้องหานอีกครั้ง แต่ผู้แซ่เซี่ยงมีสภาพที่ตกอับเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่มีหน้าไปพบปะผู้คนแล้ว” เมื่อทั้งสองนั่งลง เซี่ยงจือหลี่ก็หัวเราะอย่างขมขื่นพลางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างกับท่าทีของผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่ในแดนมนุษย์เป็นอย่างมาก


 


 


“ตอนนั้นที่ข้ามผ่านห้วงเวลามา เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า อีกสองคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามเรื่องที่ตนอยากรู้ไปตรงๆ


 


 


“ตัวประหลาดเฒ่าเฟิงและมารเฒ่าฮูเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ตอนที่พวกเราข้ามมิติเวลามา โชคไม่ค่อยดีนัก คาดไม่ถึงว่าจะเจอวายุห้วงเวลาระเบิดตั้งสองสามครั้ง ครั้งสุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะเป็นวายุห้วงเวลาระเบิดสองลูกซ้อนกัน ในบรรดาทั้งสามคนมีเพียงข้าคนเดียวที่รอดชีวิต แต่เป็นเพราะข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับปกป้องชีวิตเอาไว้ พลังยุทธ์จึงแทบไม่เหลือ สองสามปีมานี้พลังยุทธ์ก็ค่อยๆ กลับมาทีละนิดๆ” เซี่ยงจื่อหลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กๆ


 


 


“ห้วงมิติเวลานั้นอันตรายมาก ศิษย์พี่เซี่ยงรอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ทว่าตอนแรกโคมดวงจิตที่พวกเจ้าทิ้งไว้ในแดนมนุษย์มันดับไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นท่านมาอยู่ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีได้อย่างไร เหตุใดถึงไม่ไปอยู่ในแดนที่พวกเผ่ามนุษย์บินขึ้นมา” หานลี่ปลอบใจหนึ่งประโยค แต่ก็เอ่ยถามด้วยความฉงน


 


 


“เรื่องโคมดวงจิตมอดดับนั้น เดาว่าน่าจะเป็นเพราะข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับปกป้องชีวิต ใช้อาคมแลกชีวิต ไม่ต่างอะไรกับการแลกชีวิตของตนนัก ส่วนเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนแรกถูกวายุห้วงเวลาม้วนเข้าไปข้างใน แม้ว่าจะอาศัยเคล็ดวิชาลับรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่พอออกจากห้วงมิติเวลา ก็มาอยู่ที่เมฆาสวรรค์ หากไม่ใช่เพราะถูกคนช่วยไว้ ตอนนี้อาจจะไม่ได้แม้กระทั่งจะมีชีวิตอยู่ ฟังจากคำพูดของศิษย์น้อง พอออกจากห้วงมิติเวลากลับต้องไปอยู่ในเขตแดนของเผ่ามนุษย์ในแดนวิญญาณ หากเป็นเช่นนั้น คงเป็นเพราะห้วงวายุระเบิดลูกแรกมันรุนแรงเกินไป จึงพัดพวกเราออกนอกเส้นทาง” เซี่ยงจื่อหลี่นึกถึงประสบการณ์การผ่านห้วงวายุระเบิดตอนแรกแล้ว สีหน้าก็ดูไม่ได้


 


 


ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้เอ่ยปากอะไร แค่พยักหน้าด้วยท่าทีครุ่นคิด


 


 


“ศิษย์พี่เซี่ยงมาทำอะไรที่นี่ เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของโรงเตี๊ยม ไม่เคยคิดจะกลับไปเผ่ามนุษย์หรือ?” หานลี่ไม่ได้สืบสาวอะไร แต่กลับเพ่งสมาธิเอ่ยถาม


 


 


“เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นชาวเผ่ารังไหมศิลา และเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ เขามีจิตใจไม่เลว พลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ ดูเหมือนจะมีหน้ามีตาในเผ่ารังไหมศิลาอยู่บ้าง ทางหนึ่งตอบแทนบุญคุณ ทางหนึ่งเองก็ไม่มีที่ไป จึงทำได้เพียงต้องช่วยเขาทำงานอยู่ที่นี่ชั่วคราว ผู้แซ่เซี่ยงยอมแพ้กับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์จะควบคุมเขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดินใหญ่อยู่ แต่ทุกครั้งที่เปิดใช้เขตอาคมส่งตัวนั้น ว่ากันว่ามีค่าใช้จ่ายมหาศาลจนทำให้ระดับศักดิ์สิทธิ์ถังแตกได้เลย ไม่อาจใช้ศิลาวิญญาณธรรมดามาควบคุมได้ ต่อให้ผู้แซ่หานมีพลังยุทธ์ดังเดิมก็ยังห่างไกลกับการมีคุณสมบัติจะใช้มากนัก อีกอย่างต่อให้โชคดีมีวิธีส่งตัวไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนจริงๆ พลังยุทธ์ของข้าต่ำต้อยขนาดนี้ ประกอบกับปราณแท้ได้รับความเสียหายนัก ก็ไม่มีหวังจะผ่านยุทธภพอันโหดร้ายกลับไปยังเขตแดนของเผ่ามนุษย์ได้ สถานการณ์ของผู้แซ่เซี่ยงในยามนี้สูญเสียโอกาสในการบรรลุระดับหลอมสุญตาไปแล้ว จึงไม่อยากเสี่ยงอันตรายอะไรอีกเลยตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต” เซี่ยงจื่อหลี่สั่นศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยงจือหลี่ หานลี่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงปิดปากเงียบ


 


 


“ใช่แล้ว ข้าน้อยไม่เคยถามประสบการณ์ของสหายศิษย์น้องเลย แม้ว่าข้าจะไม่อาจกลับไปยังเผ่ามนุษย์ได้ แต่ก็อยากฟังสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ในแดนวิญญาณเช่นกัน ศิษย์น้องเล่าให้ผู้แซ่เซี่ยงฟังคร่าวๆ ได้หรือไม่” เซี่ยงจื่อหลี่นึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


 


 


“ประสบการณ์ของข้าไม่มีอะไรน่าพูดถึง แค่ไปตามพิกัดที่ศิษย์พี่ส่งมา หลังจากฝึกฝนจนอยู่ในระดับเทพแปลง ก็ตามหาห้วงเวลาพบ จากนั้นก็ร่วมมือกันกับหงส์น้ำแข็งที่เพิ่งพัฒนาระดับมาอยู่ในระดับเทพแปลงเหมือนกันเข้ามาในห้วงมิติเวลา แต่ข้าดวงดีหน่อย แม้ว่าจะพบห้วงเวลาวายุระเบิด แต่ก็โชคดีอาศัยอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลาของหงส์น้ำแข็ง หนีออกมาจากห้วงเวลาที่ฉีกขาดได้ ส่วนสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์นั้น จากที่ข้ารู้ก็แค่พอจะยืนหยัดอยู่ได้และรักษาชีวิตในแดนวิญญาณได้เท่านั้น!ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น…”หานลี่เอ่ยเรื่องตัวเองอย่างง่ายๆ และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองเคยสูญเสียพลังยุทธ์ไป แต่เรื่องของเผ่ามนุษย์ก็ไม่ใช่ความลับอะไร หานลี่จึงบอกอีกฝ่าย


 


 


“สามเขตเจ็ดแดน! ฮ่องเต้ศักดิ์สิทธิ์ราชันย์ปีศาจ! ที่แท้แดนวิญญาณของพวกเราก็มีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์อยู่ไม่น้อย เช่นนั้นละก็ ผู้เฒ่าน้อยก็นับว่าวางใจแล้ว” เซี่ยงจื่อหลี่ได้ฟังอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


 


หานลี่เงียบขรึมไปอีกครั้ง แต่ชั่วครู่หลังจากที่แววตาเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยปากถามว่า


 


 


“สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์มีเขตอาคมส่งตัวเหนือชั้นจริงหรือ! ศิษย์พี่เซี่ยงรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด?”


 


 


“หึๆ อันใด! ศิษย์น้องอยากใช้เขตอาคมส่งตัวหรือ! เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดนั้นไม่ใช่ความลับอะไร ไม่เพียงเมฆาสวรรค์ที่มี แม้แต่เผ่าแมลงมีเขาและเผ่าราตรีก็มีเช่นกัน เผ่าใหญ่ๆ ในละแวกนี้คงมีแต่เผ่าระเบิดเสียงเพรียกที่ไม่ได้สร้างกระมัง ข้าขอพูดหน่อย ศิษย์น้องลืมมันเสียเถิด เขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดินผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าผสานอินทรีย์อย่างพวกเราไม่มีคุณสมบัติให้ใช้หรอก และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ไม่ใช่คนของเผ่า ยิ่งหาโอกาสยาก โชคดีที่สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ไม่ได้รังเกียจคนนอกเผ่ามากนัก ศิษย์น้องหานฝึกฝนอยู่ที่จะดีกว่า และยังเป็นสหายให้ผู้แซ่เซี่ยงได้ด้วย วันข้างหน้าหากพัฒนาขึ้น ก็ค่อยกลับไปยังเผ่ามนุษย์ก็ไม่สาย ใช่แล้ว ตอนนี้พลังยุทธ์ของศิษย์น้องอยู่ขั้นไหนแล้ว ตอนนี้ข้าสัมผัสได้เพียงกลิ่นอายของศิษย์น้องสูงกว่าตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์ไม่น้อย แต่พลังยุทธ์เท่าใดกันแน่นั้น กลับไม่อาจสัมผัสได้” เซี่ยงจือหลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ


 


 


“เรื่องเขตอาคมส่งตัว ข้าต้องขบคิดอีกหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ส่วนพลังยุทธ์นั้น ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าน้อยพัฒนามาอยู่ในระดับหลอมสุญตาแล้ว” หานลี่ไม่ได้ปิดบังพลังยุทธ์ของตนเอง และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา


 


 


“ระดับหลอมสุญตา? คาดไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ เช่นนั้นศิษย์น้องก็ไม่ต้องติดอยู่กับอายุขัยแล้วสินะ!” เซี่ยงจื่อหลี่ได้ยินพลันมุมปากกระตุก อดที่จะชื่นชมไม่ได้


 


 


“ตามหลักแล้วก็มีอายุขัยไม่จำกัด แต่สามพันปีจะถูกเคราะห์สวรรค์ครั้งหนึ่ง จะมีชีวิตอยู่ยาวนานได้อย่างไร เคราะห์สวรรค์นั้นจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่บินขึ้นไปแดนเทพเซียน ก็ยังต้องเพลี่ยงพล้ำสักวันอยู่ดี” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


 


“พูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก หลังจากศิษย์น้องพัฒนามาอยู่ในระดับหลอมสุญตาแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีอายุขัยเกินหมื่นปี วันข้างหน้าก็สบายใจได้แล้ว ค่อยๆ ฝึกฝนไป จากคุณสมบัติของศิษย์น้อง จะไม่มีทางฝึกฝนไปอีกขั้นได้อย่างไร สุดท้ายก็จะได้บินขึ้นไปแดนเทพเซียน” เซี่ยงจื่อหลี่เบะปาก แล้วพยักหน้ารัวๆ


 


 


“บินขึ้นไปแดนเทพเซียน! สองเผ่ามนุษย์ปีศาจอย่างพวกเรา ผ่านมานานเป็นหมื่นปีขนาดนี้ มีผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ก้าวไปถึงก้าวสุดท้ายได้นั้นมีอยู่ไม่กี่คน ศิษย์น้องทำได้เพียงค่อยๆ ว่ากันไปทีละก้าวเท่านั้น!” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น


 


 


“หึๆ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันเถิด ตอนนี้ศิษย์น้องหานพักที่ร้านข้าก่อน ตอนนี้ข้ายังต้องไปดูแลลูกค้า ตกเย็นตอนมีเวลาจะมาคุยกับศิษย์น้องอีกครั้ง ศิษย์น้องคงไม่ปฏิเสธการเยี่ยมเยียนของผู้เฒ่าหรอกกระมัง” เซี่ยงจือหลี่มองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


 


“อืม ก็ดี ข้าก็มีธุระในเมืองเมฆาเช่นกัน ต้องให้พี่เซี่ยงชี้แนะสักหน่อย” หานลี่แววตาเปล่งประกายพลางพยักหน้า แล้วตอบรับอย่างเต็มปาก


 


 


ดังนั้นเซี่ยงจือหลี่จึงเลือกห้องที่สะอาดสะอ้านให้หานลี่ห้องหนึ่ง ตั้งอยู่ตรงมุมที่เงียบสงบ และนำทางหานลี่ไปด้วยตนเอง


 


 


ส่วนเขาก็กลับมายังห้องโถงใหญ่


 


 


หานลี่วางเขตอาคมกั้นเสียงภายในห้อง ตนเองก็นั่งสมาธิ เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบเซี่ยงจือหลี่ที่นี่ ทำให้เขาจำใจต้องขบคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง!

 

 

 


ตอนที่ 1579 เผ่าผลึก

 

ยามอาทิตย์อัสดงเซี่ยงจือหลี่ก็มาดังคาด และยิ่งไปกว่านั้นยังพูดคุยกับหานลี่ตกย่ำค่ำ


 


 


หานลี่รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเมืองเมฆาและสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์จากปากของเซี่ยงจื่อหลี่


 


 


จนถึงตอนท้องฟ้าเริ่มสดใส เซี่ยงจือหลี่ถึงได้หยัดกายลุกขึ้นขอตัวลา


 


 


แต่เมื่อหานลี่มาส่งเขาที่ประตูนั้น เซี่ยงจือหลี่ก็ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ ฉับพลันนั้นก็หันกายมาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลังเล


 


 


“ศิษย์น้องหาน ข้ากลับไปเผ่ามนุษย์ไม่ได้แล้ว แต่เจ้ากลับยังมีโอกาส หากศิษย์น้องอยากไปจากเมืองเมฆาวันไหน จะไปยังที่ที่ไกลแสนไกล มาหาศิษย์พี่สักครั้งได้หรือไม่ ข้ามีของอยากให้ศิษย์น้องหาน และมีเรื่องจะฝากฝัง ทว่าศิษย์น้องวางใจ ขอแค่กลับไปยังเผ่ามนุษย์ได้ เรื่องนี้ก็เป็นแค่เรื่องที่ง่ายดายสำหรับศิษย์น้อง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีประโยชน์มาก”


 


 


“อ๋อ เรื่องอะไรพูดตอนนี้ไม่ได้หรือ? ข้าไม่แน่ใจนัก หากเกิดเรื่องเข้า ก็ไม่แน่ว่าจะมากล่าวลาศิษย์พี่เซี่ยงได้” หานลี่ได้ฟังพลันตกตะลึง หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยถามเช่นนี้ออกไป


 


 


“ไม่ปิดบังศิษย์น้อง เรื่องนี้ไม่สะดวกที่จะพูดตอนนี้ และยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ต้องใช้เวลาถึงจะเตรียมของเหล่านั้นได้ ศิษย์น้องมาให้ได้เถิด มิเช่นนั้นหากพลาดไป เจ้ากับข้าก็อาจจะรู้สึกเสียดายมาก” เซี่ยงจือหลี่สั่นศีรษะ และเอ่ยอย่างมีเลศนัย


 


 


เมื่อได้ยินเซี่ยงจือหลี่กล่าวเช่นนี้ หานลี่ย่อมเอ่ยคำพูดว่า “จะพยายาม” มาเป็นคำสัญญา


 


 


เซี่ยงจือหลี่พยักหน้า แล้วถึงได้หันกายออกไปจากห้อง


 


 


หานลี่มองเซี่ยงจือหลี่หายไปจากประตูห้อง ใบหน้ากลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตะปบไปที่ประตูห้อง ชั่วขณะนั้นพลังมหาศาลก็สูบเข้ามา ประตูห้องที่ทำจากไม้สั่นไหว ชั่วพริบตาก็ปิดลงอีกครั้ง


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันกำแพงรอบห้องก็มีลำแสงสีขาวปรากฏขึ้น เขตอาคมทำงานโดยอัตโนมัติ ปกคลุมห้องทั้งห้องเอาไว้


 


 


หานลี่เดินไปที่มุมห้องอย่างไม่รีบร้อน นั่งสมาธิลงบนฟูกอีกครั้ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาเพราะเหตุใดก็สุดจะรู้ได้ แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับฉายแววเย็นชา ไม่รู้จะพูดอะไรอีก


 


 


วันที่สองหานลี่พักผ่อนอยู่ภายในห้อง และไม่ได้มีเจตนาจะออกจากห้องเลยสักนิด


 


 


เมื่อมาถึงเช้าวันที่สาม ประตูห้องถึงได้เปิดออกอย่างช้าๆ เขาถึงได้เดินออกจากด้านในอย่างเงียบเชียบ


 


 


เขาไม่ได้ไปหาเซี่ยงจือหลี่ที่ห้องโถงด้านล่าง แต่ตรงไปที่ทางออกของชั้นตนเอง และร่อนลงไปอย่างช้าๆ ไปถึงถนนที่โรงเตี๊ยมตั้งอยู่


 


 


หานลี่ดูเหมือนจะคิดเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าจะไปที่ใด เรียกรถอสูรมาคันหนึ่ง เอ่ยชื่อสถานที่ที่จะไป รถอสูรแล่นไปบนถนน


 


 


มองผ่านหน้าต่างของรถอสูร หานลี่มองทุกอย่างบนถนนได้อย่างชัดเจน


 


 


เมื่อสายตากวาดไปที่ลูกบอลยักษ์ที่อยู่ไกลกำแพงเมืองมากที่สุด หานลี่พลันใจเต้นระรัวเบาๆ


 


 


หลังจากผ่านการพูดคุยกับเซี่ยงจือหลี่เมื่อครู่ แน่นอนว่าเขารู้ว่าหน้าตาของสิ่งมหึมานี้คืออะไร ลูกบอลยักษ์เหล่านี้คือหุ่นเชิดต่อสู้ขนาดยักษ์สิบสามตัว ว่ากันว่าอานุภาพของมันเพียงพอจะต้านทานกับระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นได้


 


 


ส่วนหุ่นเชิดสิบสามตัวนั้นก็มีตัวหนึ่งที่สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์หน้าที่ดูแลพอดี


 


 


มีหุ่นเชิดต่อสู้ที่น่ากลัวขนาดนี้ พลังป้องกันเมืองเมฆาสวรรค์จะแข็งแกร่งแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว มิน่าล่ะเผ่าเมฆาสวรรค์ถึงได้ใช้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของการต้านทานเผ่าแมลงมีเขา อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าเผ่าแมลงมีเขาจะส่งทหารมาโจมตีเมืองนี้อย่างฉับพลัน


 


 


สายตาของหานลี่ถอนออกมาจากลูกบอลที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหลับตาทั้งสองข้างลง


 


 


ที่ที่เขาไปอยู่ไม่ไกลกันนัก รถอสูรเคลื่อนไปครึ่งชั่วยามก็มาถึงถนนสายเปลี่ยว


 


 


หานลี่โยนศิลาวิญญาณไปสองสามก้อน แล้วกระโดดลงจากรถอสูร และมองไปทางซ้ายทีขวาที


 


 


อย่ามองว่าถนนสายนี้ไม่สะดุดตา แต่เห็นได้ชัดว่าจำนวนคนบนถนนนั้นมากกว่าถนนสายหลักเป็นอย่างมาก


 


 


ส่วนร้านค้าทั้งสองฝั่งถนนก็ไม่ใหญ่โตนัก แต่คนที่เข้าๆ ออกๆ กลับมีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ธุรกิจรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก!


 


 


หานลี่พยักหน้า มองไปยังร้านค้าร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้แค่คืบ มองไปยังแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนประตู ทันใดนั้นก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


ร้านมีขนาดประมาณยี่สิบสามสิบจั้ง รอบด้านล้วนมีชั้นวางของเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ด้านบนมีแผ่นหิน จานหยก แผ่นเงินจำพวกคัมภีร์ต่างๆ วางเรียงอย่างหนาแน่น แต่ทั้งหมดล้วนถูกม่านลำแสงแวววาวบดบังเอาไว้


 


 


คาดไม่ถึงว่านี่จะเป็นร้านขายคัมภีร์โดยเฉพาะร้านหนึ่ง


 


 


จากที่เซี่ยงจือหลี่กล่าว แม้นว่าร้านค้าต่างๆ ในเมืองเมฆาจะมีมากมายดังขนนก แต่ร้านค้าที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงซึ่งหานลี่สนใจนั้น กลับมารวมตัวกันอยู่ที่ถนนสายนี้


 


 


ยามนี้แค่มองไปก็รู้แล้วว่าเป็นความจริง


 


 


แม้ว่าร้านค้าจะไม่ใหญ่นัก แต่คัมภีร์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะมีอยู่ไม่น้อย


 


 


ส่วนชนต่างเผ่าสองสามคนที่อยู่ในร้าน ต่างกำลังมองอะไรสักอย่างอยู่บนชั้น ล้วนอยู่ในระดับหลอมรวม


 


 


ชนต่างเผ่าเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะตั้งใจเลือกของอยู่ และไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของชนชั้นสูงระดับเผ่าเบื้องบนอย่างหานลี่


 


 


ส่วนเจ้าของร้านกลับเป็นชนต่างเผ่าเพศหญิงวัยดรุณีคนหนึ่ง


 


 


ดูแล้วมีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี แต่ผิวกลับเป็นสีขาวราวกับหิมะ หูทั้งสองข้างเรียวแหลม หว่างคิ้วมีผลึกศิลาสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วฝังอยู่ ดวงตาคู่งามฉายแววลึกล้ำ ให้ความรู้สึกชาญฉลาด


 


 


“เผ่าผลึก”


 


 


เมื่อเห็นรูปร่างของหญิงสาว หานลี่กลับตะลึงงัน


 


 


เขาในยามนี้แน่นอนว่าย่อมรู้จักเผ่าต่างๆ ของสิบสามเผ่าไม่น้อย


 


 


“เผ่าผลึก” คือหนึ่งในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ แต่เผ่านี้กลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ไม่เพียงคนคนในเผ่าจะน้อยจนน่าประหลาดใจ ว่ากันว่าจำนวนทั้งหมดมีไม่ถึงหนึ่งล้านตน และยิ่งไปกว่านั้นยังอ่อนแอกว่าเผ่าอื่นๆ แต่เผ่านี้กลับมีอายุขัยยืนยาว แทบจะมากกว่าเผ่ามนุษย์สามถึงสี่เท่า และยิ่งไปกว่านั้นหน้าตาของเผ่าผลึกทุกตนยังงดงาม ฉลาดเป็นกรด ล้วนมีความสามารถด้านการปรุงยา สร้างเขตอาคม เขียนยันต์วิเศษที่สูงส่งกันแทบทุกคน


 


 


ดังนั้นเผ่าผลึกจึงได้รับการต้อนรับจากเผ่าอื่นๆ เป็นอย่างมาก แม้ว่านิสัยพื้นฐานจะไม่ชอบการต่อสู้แย่งชิง แต่ก็จัดอยู่ในอันดับที่ไม่ได้ต่ำต้อยในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้สังเกตเห็นหานลี่ ดวงตาสีดำขลับคู่งามกวาดไปบนร่างของหานลี่ ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนมองระดับพลังยุทธ์ของหานลี่ออก


 


 


นางหยัดกายลุกขึ้นเดินเข้ามาคารวะอย่างอ่อนช้อยในทันที


 


 


“ยินดีต้อนรับท่านอาวุโสมาเยือนร้านเล็กๆ แห่งนี้ ไม่ทราบว่าชนรุ่นหลังมีอะไรพอจะช่วยท่านอาวุโสได้หรือไม่เจ้าคะ!”


 


 


หญิงสาวเอ่ยอย่างมีจริตจะก้าน ไม่เห็นว่านางจะมีท่าทางที่เกินงามอะไร แต่แค่เคลื่อนไหว ก็ให้ความรู้สึกที่สง่างาม


 


 


เหมือนกับในตำนานเผ่านี้เหนือกว่าชนต่างเผ่าอื่นๆ ที่ตนเคยพบเห็นมาจริงๆ


 


 


หานลี่ชื่นชมอยู่ในใจ แต่กลับไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมา แค่เอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ฉันจะเลือกดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน สหายไปจัดการธุระของตนเถิด”


 


 


“เช่นนั้นเชิญท่านอาวุโสตามสบายเจ้าค่ะ!” หญิงสาวเผ่าผลึกพยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกแล้วทำความเคารพ ถอยกลับไปโดยอัตโนมัติ


 


 


ทว่าการกระทำของหญิงสาวเผ่าผลึก กลับทำให้ผู้ที่เลือกคัมภีร์อยู่ภายในร้านตกใจ


 


 


เสียง “ซื้ด” ดังขึ้น พวกเขาใช้สายตาตื่นตะลึงมองมาทางนี้


 


 


ผลคือล้วนสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมดูระดับพลังของหานลี่ไม่ออก แต่พลังยุทธ์ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดา ก็เพียงพอจะทำให้พวกเรารู้ระดับความสูงส่งของหานลี่ ว่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะจินตนาการได้


 


 


ชนต่างเผ่าเหล่านั้นหน้าเปลี่ยนสีเป็นไม่สบายใจ บางคนหันกายจากไปในทันที บางคนกลับเลือกคัมภีร์มาเล่มหนึ่ง ทันใดนั้นก็รีบร้อนจากไปจากที่นี่


 


 


ชั่วพริบตาทั้งร้านก็เหลือเพียงหานลี่และหญิงสาวเผ่าผลึก


 


 


หานลี่ทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น เดินไปหน้าชั้นที่อยู่ใกล้เคียง และพิจารณาคัมภีร์ต่างๆ บนนั้น


 


 


แค่ภายนอกย่อมดูไม่ออกว่าคืออะไร หานลี่ใช้จิตสัมผัสแทรกเข้าไปในม่านลำแสงและกวาดไปบนแผ่นหินแผ่นหนึ่ง


 


 


ม่านลำแสงเหล่านี้มีความวิเศษดังคาด จิตสัมผัสอ่านได้เพียงข้อมูลง่ายๆ บนแผ่นหินเท่านั้น หากอยากอ่านข้อมูลที่เป็นทางการ กลับถูกกั้นเอาไว้ด้วยเขตอาคม


 


 


แน่นอนว่าจากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา หากอยากแทรกเข้าไป เขตอาคมบางๆ เหล่านี้ย่อมไม่อาจขวางกั้นได้ แต่เช่นกันการกระทำเช่นนี้ย่อมไม่อาจไม่ถูกเจ้าของร้านพบได้ ผู้ที่มีฐานะหน่อย จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร


 


 


หานลี่มองคัมภีร์บนชั้นสองสามแวบ พบว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นการแนะนำประเพณีวิถีชีวิตของเผ่าต่างๆ แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจ ทันใดนั้นพลันสาวเท้าไปสองสามก้าว ร่างกายมาอยู่ตรงหน้าอีกชั้นหนึ่ง ใช้จิตสัมผัสกวาดออกไปอีกครั้ง


 


 


ครั้งนี้ดูเหมือนจะเจอเป้าหมาย หานลี่แค่ดูสองครั้ง ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมา


 


 


ทันใดนั้นมือหนึ่งก็โบกลงจานหยกสีฟ้า ชั่วขณะนั้นพลันบินออกมาอยู่ในมือของเขา


 


 


เช่นนั้นหานลี่จึงค่อยๆ หาไปทีละอย่างๆ ชั่วพริบตาก็ได้คัมภีร์มามากกว่ายี่สิบม้วน


 


 


จากนั้นเขาถึงได้เดินไปอยู่ข้างกายของหญิงสาวเผ่าผลึกด้วยความพึงพอใจ นำของทุกอย่างวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของนาง ปากก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบว่า


 


 


“เท่าไหร่ ของเหล่านี้ข้าเอาทั้งหมด!”


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกมองกองสิ่งของตรงหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด แต่แววตาคู่งามแค่กลอกไปมา ฉับพลันนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจออกมา


 


 


“ของเหล่านี้มีค่าแค่ไม่กี่ศิลาวิญญาณ ท่านอาวุโสเอาไปเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


“อันใดสหายคิดว่าข้าจ่ายไม่ไหวหรือ?” หานลี่พลันตกใจ แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นชา


 


 


“แน่นอนว่าชนรุ่นหลังไม่ได้เจตนาเช่นนั้น แต่ชนรุ่นหลังมีของชิ้นหนึ่ง บางทีท่านอาวุโสอาจจะสนใจ หากท่านอาวุโสอยากได้ คัมภีร์เหล่านี้ก็นับว่าชนรุ่นหลังมอบให้ท่านอาวุโสก็ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้มเบิกบาน คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


“อ๋อ อะไรล่ะ รีบเอาออกมาดูเถิด” หานลี่พลันตกตะลึง สีหน้าผ่อนคลายลงขณะเอ่ย


 


 


“ชนรุ่นหลังขอเวลาสักครู่ ของสิ่งนี้ค่อนข้างล้ำค่า ชนรุ่นหลังวางไว้ในห้อง” หญิงสาวเผ่าผลึกได้ยินหานลี่ตอบเช่นนี้ ก็ฉีกยิ้ม ทันใดนั้นก็หันกายเดินเข้าไปในร้าน


 


 


หานลี่ไม่ได้ใส่ใจ รออยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงสาวก็ถือกล่องธาตุทองสีดำสนิทออกมา


 


 


“ท่านอาวุโสดูของที่อยู่ในกล่องเถิด ชนรุ่นหลังเชื่อว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อท่านอาวุโส มิเช่นนั้นชนรุ่นหลังคงไม่มีทางเป็นฝ่ายบอกว่าจะนำออกมา” หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้มให้หานลี่ขณะเอ่ย ดูเหมือนว่าจะรู้อะไรบางอย่าง

 

 

 


ตอนที่ 1580 เกราะมารเหนือฟ้า

 

หานลี่ได้ฟังคำพูดของหญิงสาวเผ่าผลึก ก็ไม่ได้เสียเวลาพูดอะไรอีก กลับรับหมอกสีดำเอาไว้ กวาดจิตสัมผัสเข้าไปในกล่อง


 


 


แม้ว่าฝากล่องจะมียันต์วิเศษแปะอยู่ กลับไม่อาจขวางกั้นจิตสัมผัสของเขาให้สัมผัสอะไรไม่ได้


 


 


“เอ๋!” หานลี่เปล่งเสียงอุทานเบาๆ ออกมา มองไปยังหญิงสาวเผ่าผลึกแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


 


 


“ดูแล้วเหมือนว่าเจ้าจะรู้อะไรนะ ไม่ได้โอ้อวดจริงๆ!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า


 


 


“ชนรุ่นหลังคาดเดาเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เหตุใดท่านอาวุโสถึงไม่เปิดออกดู จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าเป็นของจริงหรือไม่? ใช่แล้ว ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก เราสองคนต้องไปคุยกันที่อื่น” หลังจากที่หญิงสาวกลอกตาอันเปล่งประกายไปมา ก็ฉีกยิ้มเบิกบาน


 


 


จากนั้นนางพลันพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีจานอาคมปรากฏขึ้น มองไปทางประตูแวบหนึ่ง มือหนึ่งร่ายอาคม ในเวลาเดียวกันปากก็ร่ายคาถาและชี้ไปที่จานอาคม


 


 


ชั่วขณะนั้นจานอาคมพลันเปล่งแสงเจิดจ้า หมอกลำแสงห้าสีบินม้วนวนออกมาจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน


 


 


หญิงสาวผู้นี้และหานลี่ถูกหมอกลำแสงห่อหุ้มเอาไว้


 


 


หานลี่เลิกคิ้ว สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นที่ไม่อ่อนแอในม่านลำแสงห้าสี


 


 


แววตาของเขาเปล่งประกาย สองเท้ากลับนิ่งงันอยู่ที่เดิม ไม่มีเจตนาจะหลบหลีกเลยสักนิด


 


 


หมอกลำแสงเหล่านี้วนล้อมรอบหานลี่แล้วกลายเป็นเขตอาคมห้าสี


 


 


หานลี่รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพรอบด้านรางเลือน คนตกอยู่ในห้วงเวลาสีเทาขมุกขมัว


 


 


ห้วงเวลานี้แคบเล็กนัก มีขนาดแค่สิบจั้งเศษ นอกจากโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้สองตัวตรงมุมแล้ว ก็ไร้ซึ่งสิ่งใดอีก


 


 


ทว่าใต้ฝ่าเท้าของหานลี่กลับมีเขตอาคมส่งตัวลำแสงห้าสีเปล่งประกายระยิบระยับ


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกด้านข้างพลันยืนอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ที่นี่คือรอยแยกห้วงเวลาขนาดเล็กที่ข้าเชิญให้คนมาเปิดออกโดยเฉพาะ หากพูดคุยกันอีกครั้ง จะไม่มีทางถูกคนตรวจสอบได้ แน่นอนว่าจากอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโส แม้ว่าจะไม่มีจานอาคม ก็สามารถกลับไปมิติเวลาเดิมได้อย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ” หญิงสาวเผ่าผลึกเม้มริมฝีปากแดงก่ำ เอ่ยอย่างสง่างาม


 


 


เมื่อจิตสัมผัสของหานลี่สัมผัสกำแพงกั้นรอบด้าน แน่นอนว่าย่อมสัมผัสสิ่งที่หญิงสาวพูดถึงได้ ทันใดนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มือหนึ่งปัดไปบนกล่องอย่างไม่เกรงใจ


 


 


ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งประกาย ยันต์วิเศษสองแผ่นร่อนลงมาทันที ฝากล่องถูกเปิดออก


 


 


ไอสีดำกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากในกล่อง วนล้อมรอบกล่องเอาไว้ แล้วคลี่ขยายตัวไปทั่วทั้งสี่ทิศ


 


 


แต่หานลี่กลับดูเหมือนจะคาดเดาฉากนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออกหมอกสีทองพุ่งออกมาจากปาก


 


 


ไอสีดำทั้งหมดถูกหมอกลำแสงม้วนวนเข้าไป กลายเป็นเสาหมอกสีดำเสาหนึ่ง ถูกหานลี่ดูดเข้ามาแล้วกลืนลงไปในท้อง


 


 


“ไอมารบริสุทธิ์!” หานลี่มีลำแสงสีทองไหลโคจรอยู่บนใบหน้า คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยราวกับไม่แยแส


 


 


ไอสีดำเหล่านี้คือไอมารบริสุทธิ์ แต่สำหรับหานลี่ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ขอแค่ไม่ดูดซับพลังไปจำนวนมากในทีเดียว แน่นอนว่าย่อมสามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังปราณของร่างได้อย่างง่ายดาย


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แววตาพลันฉายแววตกตะลึง


 


 


ไอมารที่แผ่ออกมาจากในกล่องทรงพลังเพียงไหน ผู้อื่นไม่รู้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไร


 


 


ยามที่นางเปิดใช้งานทุกครั้ง ก็จะเพิ่มพลังป้องกันของตนเองตั้งไม่รู้กี่เท่า ถึงได้กล้าเข้าใกล้ของในกล่อง


 


 


มิเช่นนั้นหากไม่ทันระวังถูกไอมารรุกรานเข้า เบาหน่อยก็พลังยุทธ์ถดถอย หนักหน่อยก็ถึงชีวิต


 


 


ยามนี้หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศทางกล่องใบนั้น ของสีดำสนิทชิ้นหนึ่งบินออกมา หมุนวนโคจรแล้วร่อนลงในมือ


 


 


เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะสงครามสีม่วงขนาดครึ่งฉื่อ ไม่เพียงจะมีรูปทรงน่ากลัว ตรงหัวไหล่มีหนามแหลมสองสามอัน ผิวมีลวดลายสีดำเรียงตัวกันเต็มไปหมด ไอมารสูงเสียดฟ้า


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเกราะสงครามแปลงมาร


 


 


ทว่าทรวงอกของเกราะใบนี้มีรูขนาดใหญ่อยู่ ตรงขอบแตกออกเป็นชิ้นๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางได้รับความเสียหายหนัก


 


 


หานลี่จ้องมองเกราะสงครามในมือ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


 


 


จากระดับการฝึกฝนเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเขา แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าเหลือเชื่อซึ่งแฝงอยู่ในเกราะมารตรงหน้า เป็นเกราะสงครามที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เข้ามาในยุทธภพเทพเซียน


 


 


และยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่เกราะได้รับบาดเจ็บ หากซ่อมแซมแล้ว อานุภาพจะไม่เพิ่มจนไปอยู่ในระดับที่ยากจะเชื่อหรือ


 


 


หานลี่จ้องเขม็งไปยังเกราะมารบนร่างของเทวรูป สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมา


 


 


“นี่คือเกราะมารสีม่วง ชนรุ่นหลังได้สมบัติชิ้นนี้มาโดยบังเอิญ ตอนแรกก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของเจ้าสิ่งนี้ แต่ต่อมาหลังจากตรวจสอบแล้ว ถึงได้รู้ว่าของสิ่งนี้คือเกราะมารเหนือฟ้าในตำนาน ดูแล้วคงเป็นเกราะสงครามที่ร้ายกาจของมารเหนือฟ้าโดยกำเนิด ทว่าดูจากระดับความเสียหายของเกราะมารนี้ เจ้าของเดิมของมันคงเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ตอนนี้อานุภาพของเกราะนี้น่าจะมีอานุภาพไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน แน่นอนว่าหากซ่อมแซมมันใหม่ละก็ น่าจะฟื้นฟูพลังของมันได้สองสามส่วน” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม


 


 


“มารเหนือฟ้า! นั่นเป็นมารที่เข้าใกล้กับระดับวิญญาณเที่ยงแท้แล้ว มิน่าล่ะเกราะชิ้นนี้ถึงได้มีไอมารที่บริสุทธิ์แฝงอยู่ขนาดนี้ มันเป็นสิ่งที่หายากมาก” หานลี่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


จากนั้นเขาพลันโยนเกราะมารขนาดเล็กในมือขึ้นไปกลางอากาศ มือหนึ่งร่ายอาคมสีทองโจมตีออกไป


 


 


ลำแสงสีทองสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเกราะสีม่วง


 


 


ชั่วขณะนั้นอักขระบนผิวของเกราะมารพลันเปล่งประกาย ขนาดขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ไอมารที่แผ่ออกมาในเวลาเดียวกันหนาแน่นขึ้นสองสามส่วน แล้วม้วนวนไปรอบด้าน


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกเห็นไอสีดำกระโจนเข้ามา หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันชูขึ้น ยันต์วิเศษสีขาวสองสามแผ่นบินออกมา ทันใดนั้นก็ระเบิดออก กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งปกป้องตนเองอยู่ในนั้น


 


 


เมื่อไอมารสัมผัสกับม่านลำแสง เสียงร้องประหลาดก็เปล่งออกมา และถูกต้านทานเอาไว้ด้านนอก


 


 


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา สองมือพลันร่ายอาคม ลำแสงสีทองเปล่งประกาย รัศมีสีทองปรากฏขึ้นบนศีรษะ เทวรูปสามเศียรหกกรปรากฏขึ้น


 


 


เทวรูปสามเศียรบริกรรมคาถา แขนทั้งหกชี้ไปทางเกราะสงครามที่แผ่ไอมารออกมา


 


 


พ่นเสาลำแสงสีทองหกเสาออกมา โจมตีไปยังเกราะสงครามสีม่วง


 


 


ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น


 


 


เกราะมารสีม่วงที่ถูกลำแสงสีทองโจมตีหมุนคว้าง ฉับพลันนั้นพลันพลิ้วไหวแล้วหายไปท่ามกลางลำแสงสีทอง


 


 


ครู่ต่อมาเทวรูปสีทองก็มีไอสีดำหมุนวน เกราะมารสีม่วงปรากฏขึ้นบนผิว สวมอยู่บนร่างของเทวรูป


 


 


ชั่วพริบตาเมื่อสวมเกราะแห่งนี้ เทวรูปก็ขยายร่างขึ้นสองสามเท่า ในเวลาเดียวกันไอสีดำบนร่างก็หมุนวน ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยไอมาร


 


 


หานลี่เงยหน้าขึ้นมองเทวรูปกลางอากาศ ใบหน้าเผยสีหน้ายินดีออกมา


 


 


ไอวิญญาณในเกราะใบนี้ยังไม่หมดสิ้นไป และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถถูกเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ควบคุม


 


 


นั่นก็ไม่แปลก


 


 


เดิมทีเคล็ดวิชานี้ถือกำเนิดจากเคล็ดวิชาลับในแดนมารโบราณ แม้ว่ามารโบราณเหล่านี้และมารเหนือฟ้าจะไม่เหมือนกัน แต่ก็มีพลังต้นกำเนิดมาจากมารเที่ยงแท้ จุดนี้ล้วนเหมือนกัน


 


 


แน่นอนว่าหากเกราะมารเหนือฟ้านี้ไร้ความเสียหาย ไอวิญญาณสมบูรณ์ หรือเจ้าของมันยังอยู่ คิดจะเก็บเกราะมารเหนือฟ้านี้ไป กลับเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้


 


 


“เยี่ยมมาก เกราะมารนี่มีประโยชน์ต่อข้า แต่น่าเสียดายมันชำรุดไปแล้ว มิเช่นนั้น…” หานลี่พยักหน้า แต่ก็เอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยความเสียดาย


 


 


“หากเกราะนี้ไม่เสียหาย เกรงว่าคงไม่มีทางตกมาอยู่ในมือของชนรุ่นหลัง ทว่าหากท่านอาวุโสยอมจ่ายค่าตอบแทน ชนรุ่นหลังก็มีวิธีซ่อมแซมมัน อย่างน้อยก็สามารถฟื้นฟูพลังของเกราะใบนี้ได้สองสามส่วน” แม้ว่าหญิงสาวเผ่าผลึกจะจ้องเขม็งไปยังเทวรูปกลางอากาศ ในใจพลันรู้สึกตกตะลึง แต่กลับเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


“เจ้าซ่อมเกราะใบนี้ได้ อ๋อ ข้าเกือบลืมไป สหายคือคนของเผ่าผลึก ซ่อมแซมเกราะใบนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เจ้าเรียกว่าค่าตอบแทนมันคืออะไร? นอกจากนี้สหายคิดจะขายเกราะนี้ให้ข้าอย่างไร?” หานลี่ฉีกยิ้ม ก้มหน้าลงเอ่ยกับผู้ที่อยู่ตรงข้าม


 


 


“หากให้พูดถึงของสิ่งนี้น่าจะไร้ราคา แต่น่าเสียดายที่เกราะมารชิ้นนี้ นอกจากมารผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่อาจควบคุมเกราะใบนี้ได้ ส่วนมารผู้บำเพ็ญเพียรในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีก็มีอยู่น้อยมาก ส่วนผู้ที่ฝึกฝนจนอยู่ในระดับเดียวกับท่านอาวุโส ตั้งแต่ที่ชนรุ่นหลังได้สมบัติชิ้นนี้มา ก็เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก มิเช่นนั้นเกราะใบนี้คงไม่มีทางอยู่จนมาถึงทุกวันนี้”


 


 


“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากท่านอาวุโสมีวัตถุดิบและยาวิเศษที่หายากอะไรก็เอาออกมาเถิด บวกกับสิลาวิญญาณระดับสุดยอด ชนรุ่นหลังก็พอจะไตร่ตรองขายเกราะให้ท่านอาวุโสได้” หญิงสาวเผ่าผลึกดูเหมือนจะขบคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเล


 


 


“ง่ายดายเช่นนี้หรือ?” หานลี่ได้ฟังคำตอบของหญิงสาวผู้นี้ พลันตกตะลึง


 


 


เงื่อนไขนี้มันธรรมดาเกินไปหน่อย


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกได้ยิน กลับฉีกยิ้มไม่ปริปาก


 


 


“เจ้าพูดมาก่อนว่าจะซ่อมแซมเกราะใบนี้อย่างไร?” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นก็เอ่ยปากตอบรับทันที ย้อนถามเรื่องซ่อมเกราะมารแทน


 


 


หญิงสาวเผ่าผลึกเผยสีหน้าลังเลออกมา แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า


 


 


“หากอยากซ่อมเกราะนี้นั้นง่ายมาก ขอแค่ท่านอาวุโสมี ‘แก่นมาร’ เพียงพอ ชนรุ่นหลังก็สามารถซ่อมแซมเกราะมารใบนี้ได้อย่างง่ายดาย”


 


 


“แก่นมาร คืออะไร?” หานลี่ขมวดคิ้ว เพิ่งเคยได้ยินชื่อวัตถุดิบนี้เป็นครั้งแรก


 


 


“ความจริงแล้วแก่นมารที่พูดถึงคือแก่นของมารอสูรระดับสูง หากจะมีประโยชน์ต่อเกราะมารเหนือชั้นชิ้นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้แก่นมารหลายร้อยแก่น และยิ่งไปกว่านั้นล้วนต้องเป็นอสูรมารระดับเผ่าเบื้องบนขึ้นไป วัตถุดิบหลักในการซ่อมแซมเกราะมาร ระดับสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทางที่ดีที่สุดควรเป็นแก่นมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์” หญิงสาวเอ่ยอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


“อสูรมารระดับศักดิ์สิทธิ์? หรือว่าสหายล้อกันเล่น แก่นระดับสูงจำนวนมากขนาดนั้น ผู้แซ่หานจะไปหามาจากไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับศักดิ์สิทธิ์เลย เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าการซ่อมแซมมันแพงกว่าราคาของเกราะใบนี้อีก สหายอย่าพูดจาเหลวไหลเลย” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ


 


 


“ท่านอาวุโสคิดผิดแล้ว ผลที่เพิ่มขึ้นจากการซ่อมแซมนั้น มันขึ้นอยู่กับแก่นมารหลักครึ่งหนึ่ง หากแก่นมารมีระดับต่ำหน่อย ชนรุ่นหลังก็ซ่อมแซมได้ แต่ผลกลับจะลดลงเป็นอย่างมาก หากใช้ระดับศักดิ์สิทธิ์ซ่อมแซม อานุภาพก็น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองถึงสามส่วน ผลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ค่าตอบแทนสูงหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ และยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อชนรุ่นหลังเอ่ยถึงแก่นมารระดับศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าย่อมมีเบาะแส ข้ามีข่าวอยู่สองเรื่องที่จะบอกท่านอาวุโสได้โดยไม่คิดเงิน ล้วนเป็นเรื่องที่จะได้แก่นมารระดับศักดิ์สิทธิ์มา” หญิงสาวเผ่าผลึกหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนว่าจะขบคิดเรื่องนี้อย่างละเอียดมาตั้งนานแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1581 เทือกเขามารสีทอง

 

“ข่าวสองเรื่อง? สหายลองพูดมาซิ” หานลี่ถามอย่างราบเรียบ 


 


 


“สามเดือนต่อจากนี้ จะมีการประมูลเมฆามงคลหนึ่งในงานประตูของเมืองเมฆา จะมีการนำแก่นมารของมารอสูรหนามระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมาประมูล จากที่ข้ารู้มาแก่นมารนี้หายากเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ในเมืองยังจับจ้องสิ่งนี้ ต่างคิดจะซื้อเอาไว้” หญิงสาวเอ่ยอย่างแช่มช้า 


 


 


“เผ่าศักดิ์สิทธิ์!” หานลี่ขมวดคิ้ว 


 


 


ต่อให้เขาไม่ได้ยากจน แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะรวยกว่าระดับผสานอินทรีย์ ตัวประหลาดเฒ่าเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีชีวิตมานับหมื่นปีหรือแม้กระทั่งสองสามหมื่นปีแล้ว ของที่รวบรวมได้และจำนวนของผลึกศิลาที่มีคงอยู่ในขั้นที่น่าเหลือเชื่อ 


 


 


แน่นอนว่าหากไม่พะว้าพะวง นำวัตถุดิบสมุนไพรจำนวนมากที่เขาพกติดตัวออกมาแลกเป็นผลึกศิลา ก็ไม่ใช่ว่าจะแย่งประมูลกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไม่ได้ 


 


 


แต่หานลี่อยู่ในแดนของชนต่างเผ่า จะกล้าเปิดเผยตัวตนง่ายๆ ได้อย่างไร มิเช่นนั้นเกรงว่ายังไม่ทันซื้อแก่นมารได้ ก็ถูกคนจับตามองแล้ว 


 


 


เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่มีเหตุผล 


 


 


จิตสัมผัสของหานลี่โคจรอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็สั่นศีรษะ 


 


 


“ในเมื่อมีเผ่าศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วมการประมูล ข้าย่อมไม่อาจประมูลของสิ่งนี้ได้ วิธีนี้ไม่มีทางสำเร็จ” 


 


 


“อ๋อ ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ งั้นก็มีเพียงต้องฟังข่าวที่สองแล้ว ท่านอาวุโสเพิ่งเข้ามาในเมฆาสวรรค์สินะ ไม่ทราบว่าเคยได้ยิน ‘เทือกเขามารสีทอง’หรือไม่” หญิงสาวฉีกยิ้ม ท่าทีไม่ใส่ใจเท่าใดนัก 


 


 


“เทือกเขามารสีทอง! ข้ารู้เพียงว่ามีที่แห่งนี้ แต่เหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น ก็ยังไม่แน่ใจ” หานลี่ได้ฟังแล้วพลันใจเต้น 


 


 


“ท่านอาวุโสไม่ค่อยข้องแวะทางโลกก็ไม่แปลก! ที่นี่เพิ่งปรากฏขึ้นช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา ที่อื่นมีคนรู้น้อยมาก ชนรุ่นหลังจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดก็แล้วกัน” หญิงสาวกลอกตาไปมาแล้วฉีกยิ้มเบิกบาน 


 


 


“งั้นก็รบกวนสหายแล้ว” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ในเวลาเดียวกันในหัวพลันมีแผนที่บริเวณรอบของเมืองเมฆาปรากฏขึ้น และมีตำแหน่งของเทือกเขามารสีทองพอดี 


 


 


“หมื่นปีก่อน ณ ที่รกร้างที่อยู่ห่างจากเมืองเมฆาไปเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน มีห้วงเวลาวายุระเบิดเกิดขึ้น และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากวายุระเบิดแล้ว ที่นั่นก็มีเทือกเขาสีดำปรากฏขึ้น และถูกไอมารเข้มข้นปกคลุมไว้ และยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศก็ไม่มั่นคง คาดไม่ถึงว่าจะรอยแยกห้วงเวลาปรากฏขึ้นไม่น้อย ในรอยแยกเหล่านั้นมีไอมารทะลักออกมาจำนวนมาก และมีมารอสูรระดับสูงกรูตามกันเข้ามา หนึ่งในนั้นมีมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ภายในระยะเวลาสั้นๆ จากรัศมีสองสามล้านลี้ของเทือกเขาก็กลายเป็นดินแดนมาร และยิ่งไปกว่านั้นยังแผ่ออกมารอบๆ ไม่หยุด เรื่องนี้ทำให้ระดับสูงสุดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราตกใจ ผลคือเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับหกและเจ็ดร่วมมือกันเข้าไปในนั้นสองสามคน และร่วมมือกันสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าครึ่ง และเข้าไปในใจกลางของเทือกเขา คิดจะจัดการเรื่องนี้” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


ส่วนหานลี่นั้นเมื่อหญิงสาวพูดถึงรอยแยกมิติเวลาและไอมารจำนวนมากทะลักออกมานั้น พลันตกตะลึง แทบจะนึกถึงแม่น้ำยมโลกในเผ่าวิญญาณเหาะเหินได้ในทันที 


 


 


แต่ยามนี้หญิงสาวเผ่าผลึกพลันพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ยปากว่า 


 


 


“ไม่รู้ว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นพบกับสิ่งใด คาดไม่ถึงว่าเข้าไปได้ครึ่งปีก็กลับมา หลังจากพวกเขากลับมาแล้วก็ออกคำสั่งให้วางเขตอาคมผนึกที่นั่นไว้ เหลือเอาไว้เพียงทางเข้าออก จากนั้นก็บอกเผ่าต่างๆ ว่า ทำได้เพียงรักษาขนาดและจำนวนมารอสูรในตอนนี้เอาไว้เท่านั้น แต่หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปที่นั่น ระดับต่ำกว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์เองก็สามารถเข้าไปสังหารมารอสูรที่นั่นเพื่อเอาแก่นอสูรและวัตถุดิบที่ล้ำค่าได้ ไม่เพียงเวลาที่เข้าไปจะเข้าไปได้แค่หนึ่งเดือนต่อหนึ่งปี และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่ ทุกครั้งก็อยู่ได้เพียงหนึ่งเดือน ก็ต้องออกมา เมื่อเวลาผ่านไปมันจะปิดตายทันที ต้องเข้าใจว่าไอมารที่นั่นเข้มข้นขนาดนั้น เกรงว่ามารผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่อาจอยู่ที่นั่นได้นานนัก มิเช่นนั้นจะถูกไอมารกลืนกิน กลายเป็นมาร และในนั้นก็มีมารอสูรอยู่จำนวนมาก เป็นสถานที่ที่ดีในการตามหาวัตถุดิบล้ำค่ามาแลกกับศิลาวิญญาณจริงๆ ด้วยเหตุนี้ช่วงสองสามปีแรก แทบจะทุกปีที่ประตูเปิดออก ก็จะมีชนชั้นสูงจำนวนมากกรูกันเข้าไป แต่หลังจากผ่านมาระยะหนึ่ง คนก็น้อยลงถนัดตา จนถึงตอนนี้คนที่ยังกล้าเข้าไปข้างใน ก็เหลือน้อยจนน่าเวทนา” 


 


 


เอ่ยจนมาถึงตรงนี้หญิงสาวเผ่าผลึกก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 


 


 


“เพราะเหตุใด?” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย 


 


 


“การบาดเจ็บล้มตายมันน่าตกตะลึง ผู้ที่เข้าไปในแดนมารแล้วออกมาได้นั้น ล้วนบรรทุกข้าวของมาเต็มลำ แต่ผู้ที่ออกมาไม่ได้กลับกินจำนวนผู้ที่เข้าไปหนึ่งถึงสองส่วน อัตราที่สูงเช่นนี้ หากแค่สองสามครั้งยังพอว่า แต่มันกลับเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เห็นว่าจำนวนของมารอสูรระดับสูงจะลดลงเลย แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัว และในแดนมารนั้นนอกจากมารอสูรระดับสูงแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน มีแม้กระทั่งมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ยังหลงเหลืออยู่สองสามตัว แม้ว่าปกติแล้วพวกมันจะอยู่แค่ตรงใจกลาง แต่หากบังเอิญไปพบเข้า นั่นย่อมมีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น ความจริงแล้วการเข้าไปในเทือกเขาก็พูดไม่ได้ว่าเป็นการที่เผ่าต่างๆ ไปสังหารมารอสูร แต่เป็นการให้มารอสูรกลืนกินผู้บำเพ็ญเพียรจากเผ่าต่างๆ ต่างหาก โชคดีที่ยิ่งอสูรมารระดับสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา ไม่ออกมาที่ชายแดนง่ายๆ มิเช่นนั้นหากผู้ใดเข้าไปก็มีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น ยามนี้หากกล้าเสี่ยงเข้าไป และรอดชีวิตออกมาได้ ก็เรียกได้ว่าร่ำรวยในชั่วข้ามคืน ดังนั้นแดนมารแห่งนี้ จึงค่อยๆ ถูกเรียกว่าเทือกเขามารสีทอง ใช้บรรยายถึงความโกรธแค้นและความหลงใหลที่มีต่อที่นี่ของพวกเรา” หญิงสาวเผ่าผลึกอธิบายด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“สหายพูดมามากมายเช่นนี้ หรือว่าอยากให้ข้าเข้าไปสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ในนั้น?” หานลี่ลูบใต้คาง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบ 


 


 


ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ในใจกลับตัดสินใจแล้ว หากหญิงสาวตรงหน้าแนะนำอย่างบ้าดีเดือด เขาก็จะจบบทสนทนาและจากไปในทันที 


 


 


แม้ว่าเกราะมารเหนือฟ้าจะมีประโยชน์ต่อเขา แต่ก็ไม่ถึงกับต้องนำชีวิตน้อยๆ ไปแลก 


 


 


“ใจกลางของเทือกเขามารสีทองอันตรายเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะไปแนะนำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ชนรุ่นหลังมีแผนการให้ท่านอาวุโส และเป็นแก่นมารของมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งในเทือกเขามารสีทอง” หญิงสาวเผ่าผลึกเม้มปาก แล้วสั่นศีรษะเบาๆ 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรออก 


 


 


“จากที่ข้ารู้มา ร้อยกว่าปีก่อนมีมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นิรนามตัวหนึ่ง บุกออกมาจากเทือกเขามารสีทองด้วยเพราะเหตุใดก็มิอาจรู้ได้ และโจมตีเมืองในละแวกนั้นไปสองสามเมือง แต่ในเวลาเดียวกันก็ถูกเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ที่รู้ข่าวโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก และหนีเตลิดไป และความบังเอิญของชนรุ่นหลังก็คือ ไปรู้ที่ซ่อนตัวของมารอสูรตัวนั้นเข้า” หญิงสาวเผยสีหน้าลึกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงออกมา 


 


 


“เจ้าพูดจริงหรือ?” หานลี่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม 


 


 


“ไม่ผิดอย่างแน่นอน! และยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นอสูรตัวนี้ก็ได้รับบาดเจ็บหนักมาก จึงแอบกลับซ่อนตัวอยู่ในเขตแดนของเทือกเขามารสีทองอย่างเงียบๆ และกำลังหลับลึก เหลือพลังอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือ ไอมารที่สร้างขึ้นในจุดที่อสูรหลับใหลนั้น นอกจากมารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่ควบคุมไอมารได้เช่นกัน มิเช่นนั้นหากสัมผัสกับเขตแดน ก็จะปลุกอสูรตัวนี้ในทันที นี่เป็นร่องรอยของอสูรตัวนี้ที่ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว แต่กลับไร้ซึ่งหนทาง ส่วนค่าตอบแทนในการซ่อมแซมเกราะมารนั้น นอกจากแก่นมารแล้ว ก็ขอเป็นวัตถุดิบอื่นในร่างก็แล้วกัน หากท่านอาวุโสเห็นว่าเหมาะสม ข้าก็จะบอกสถานที่ที่อสูรตัวนี้หลับใหลให้” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยจบ ในที่สุดก็เอ่ยเงื่อนไขของตนเองออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


“อสูรตัวนี้หลับใหลอยู่ตรงขอบของเทือกเขามารสีทองจริงๆ หรือ และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ยังมีแค่หนึ่งในสิบส่วน? เจ้ารู้สถานการณ์ของอสูรตัวนี้ได้อย่างไร” หานลี่ครุ่นคิดอยู่นาน ถึงได้เอ่ยถามเช่นนี้ขึ้น 


 


 


เขาได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมสนใจ แต่เรื่องนี้ยิ่งใหญ่นัก ต้องถามให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยว่ากัน 


 


 


“ชนรุ่นหลังมิได้หลอกลวง ดูท่าทางลังเลของท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังให้ท่านดูของสิ่งหนึ่ง ก็จะเข้าใจเอง” หญิงสาวเผ่าผลึกเห็นหานลี่มีท่าทีเคร่งขรึม กลับเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ จากนั้นก็ชูมือหนึ่งขึ้น ฉับพลันนั้นควันสีดำกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ผนึกรวมตัวกัน กลายเป็นสัตว์ตัวหนึ่งหยุดอยู่บนเหนือหัวของหญิงสาว 


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวิหคประหลาดขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง มันมีเรือนกายสีดำสนิท แต่ปากเป็นสีแดงเพลิง ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ 


 


 


“วิหคควันมาร!” หานลี่รู้ที่มาที่ไปของวิหคตัวนี้ได้ในแวบเดียว แล้วพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็ถึงบางอ้อขึ้นมา 


 


 


“ใช่แล้ว! อสูรวิญญาณตัวนี้คือหนึ่งในมารอสูรที่ถูกพวกเราปราบให้เชื่องได้ไม่กี่ชนิดในแดนวิญญาณ แม้ว่าจะไร้ซึ่งพลังการโจมตี แต่ในด้านการตามหาสิ่งของนั้นวิเศษมาก แม้กระทั่งสามารถทำให้จิตสัมผัสส่วนหนึ่งของเจ้าของติดไปกับร่างของมัน และสามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวเอง ข้ารู้เบาะแสของอสูรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น มาจากการควบคุมวิหคตัวนี้แอบเข้าไปในสถานที่หลับใหลของมันสองสามครั้ง และได้เห็นมันกับตาตัวเอง” หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย 


 


 


“ในเมื่อมีวิหคมารตัวนี้อยู่ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าไม่หลอกลวง แต่ผู้แซ่หานขอถามหน่อย อสูรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้หนีออกมาจากการร่วมมือกันของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ น่าจะไม่ใช่ระดับศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสินะ และยิ่งไปกว่านั้นมารอสูรคนละประเภทกัน อิทธิฤทธิ์ของมันที่อยู่ในระดับเดียวกันก็ยังแตกต่างกันมาก สหายไม่อาจตัดสินได้หรือว่ามันเป็นอสูรประเภทใด?” หานลี่พยักหน้า แต่ก็เอ่ยถามอย่างละเอียด 


 


 


“แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นอสูรนี้ต่อสู้กับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตอนที่มีกำลังเต็มเปี่ยม แต่ว่ากันว่าน่าจะเท่ากับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับสองถึงสาม แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ข้าแค่รู้มาจากปากของคนอื่นๆ จึงไม่มั่นใจนัก ส่วนประเภทของอสูรตัวนี้กลับวิเคราะห์ได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับ ‘วานรยักษ์เทือกเขา’จิตวิญญาณเที่ยงแท้ในตำนานอยู่หลายส่วน ไม่แน่ว่าอาจจะมีเชื้อสายอยู่บ้างกระมัง ใช่แล้ว” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด 


 


 


“วานรเทือกเขา!” หานลี่ได้ยินคำนี้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย 


 


 


“ใช่แล้วชนรุ่นหลังมีภาพเหมือนของอสูรตนนี้ ท่านอาวุโสลองดูเถิด” หญิงสาวเผ่าผลึกดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ มือเรียวยกขึ้น แล้วโยนแผ่นหินที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกไป 


 


 


หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ คว้าแผ่นหินมาไว้ในมือ และวางไว้บนหน้าผาก แผ่จิตสัมผัสเข้าไปในนั้น 


 


 


“คล้ายอยู่หลายส่วนจริงด้วย!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็ปล่อยมือออก แล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด  


 


 


“ชนรุ่นหลังพูดไปเยอะแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสตัดสินใจได้หรือยัง” หญิงสาวเผ่าผลึกมองหานลี่ เผยสีหน้ารอคอยออกมาขณะเอ่ย 


 


 


“ไม่ทราบว่าสหายมีนามว่าอย่างไร?” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกันออกมา  


 


 


“ท่านอาวุโสเรียกข้าว่า ‘เซียนเซียน’ก็ได้เจ้าค่ะ!” หญิงสาวเผ่าผลึกตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)