พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1575-1578
บทที่ 1575 จับไม้สั้นไม้ยาว
ทว่าพอคิดไปคิดมาแล้วคิดไม่ออก จาหรูเยี่ยนก็ขี้คร้านจะคิดต่อแล้ว ถึงอย่างไรนายท่านกับพ่อบ้านก็มักจะทำเรื่องที่เป็นความลับบางอย่างโดยหลบเลี่ยงนางอยู่แล้ว ต่อให้นางไปถามก็ไม่ได้คำตอบ กลับถูกไล่ด้วยคำว่า ‘สมองอย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร’
เอาเป็นว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่นางเชื่อ คือไม่ว่าจะอย่างไร นายท่านกับพ่อบ้านก็ไม่มีทางทำร้ายลูกสาวตัวเองหรอก
“หนิวโหย่วเต๋อนี่กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ควรจะโดนประหารสักพันดาบหมื่นดาบ ข้าจะคอยดูว่าครั้งนี้เขาจะรอดไปได้ยังไง!” จาหรูเยี่ยนชำเลืองมองเหมียวอี้ที่กำลังถูกสอบสวน ปากทำเสียงฮึดฮัดไม่หยุด เพราะหลานชายของนางตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ นางจดจำความแค้นนี้มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนเตือนไว้อย่างเข้มงวด ถึงขั้นเขียนหนังสือหย่าให้นางดูจนนางตกใจ นางคงคิดหาทางล้างแค้นเหมียวอี้ไปนานแล้ว
เดิมทียังคิดจะด่าอีกสักสองสามประโยค แต่จู่ๆ ก็พบว่าพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วมาแล้ว นางถึงได้หุบปาก
“พ่อบ้านโกว เม่ยอ๋อร์จะไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“เหนียงเหนียงไม่ต้องห่วง ไม่เป็นอะไรแน่ขอรับ”
เมื่อได้ยินว่าลูกสาวตัวเองมาร่วมอยู่ในความขัดแย้งนี้ด้วย ทั้งยังมีลูกหลานของขุนนางชั้นสูงตายไปไม่น้อย หวังเฟยเม่ยเหนียงจึงนั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน วิ่งมาดูแล้ว ตอนนี้ลูกสาวยังโดนกักตัวอยู่ นางจึงร้อนใจนิดหน่อย อยากจะเข้าไปเจอลูกสาว แต่กลับถูกพ่อบ้านโกวเยว่ห้ามไว้
หลังจากสอบปากคำในที่เกิดเหตุเสร็จแล้ว ฮวาอี้เทียนก็นำรายชื่อฉบับหนึ่งออกมา ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับลั่วกุยนึกย้อนว่าก่อนหน้านี้มีลูกหลานขุนนางชั้นสูงคนไหนมาบ้าง ทำออกมาเป็นรายชื่อแผ่นนี้แล้ว
“มีคำสั่งให้ปิดอุทยานหลวง ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามถือวิสาสะเข้าออก”
ฮวาอี้เทียนถ่ายทอดคำสั่งลงมาทีละฉบับ แล้วทำสำเนารายชื่อชุดหนึ่งให้แม่ทัพใหญ่เกราะแดง “เจ้าพาคนไป ตามหาคนในรายชื่อนี้ให้ครบ จับตัวมาสอบปากคำให้หมด ถ้าบ้านไหนไม่ยอมส่งคนให้ ก็รายงานขึ้นมาทันที!”
“รับทราบ!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการ
พอหันกลับมา ฮวาอี้เทียนก็เอียงหน้ากำชับแม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกันอีก “คงสภาพที่เกิดเหตุเอาไว้ ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ได้บทสรุป ยังไม่ได้รายงานขึ้นไปเบื้องบน ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ใครทั้งนั้น”
“รับทราบ!” คนคนนั้นเอ่ยรับคำสั่ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไปให้ลูกน้อง
จากนั้นฮวาอี้เทียนก็เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเรียบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าจะลำบากทำไมอีกแล้ว”
“ผู้ตรวจการใหญ่ ท่านมองไม่ออกเชียวเหรอว่าพวกเขาต้องการจะเล่นงานข้าถึงตาย?” เหมียวอี้ถามกลับ
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวไว้แล้ว ลำบากต้องลำบากสร้างศัตรูให้ตัวเองอีก?” ฮวาอี้เทียนถาม
เหมียวอี้เงียบงัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ในขณะนี้เอง ฮวาอี้เทียนก็ได้รับข้อความจากระฆังดารา เมื่อคนในครอบครัวผู้ตายเห็นเขาสอบปากคำเสร็จแล้ว แต่กลับไม่ยอมให้พวกเขาแตะต้องศพ จึงพากันฟ้องขึ้นไปเบื้องบน เบื้องบนจึงออกคำสั่งลงมาให้ฮวาอี้เทียน สั่งให้เขาถอนกำลังออกไป ส่วนศพก็ให้คนในครอบครัวเก็บกลับไปได้ ไม่ต้องกักตัวคนอื่นๆ ไว้อีก ให้ปล่อยตัวไปทั้งหมด
ฮวาอี้เทียนย่อมต้องทำตามคำสั่ง ถ่ายทอดคำสั่งให้กองทัพองครักษ์ถอนกำลัง ให้พาตัวเหมียวอี้ไปด้วย ไม่พาไปคงไม่ได้ ถ้าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ต่อไป อาจจะทำให้ฝูงชนโกรธเกรี้ยวและตบจนตายได้
พ่อบ้านเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ข้างกายจาหรูเยี่ยนกำลังมองเหมียวอี้ ยิ้มบางๆ ให้เหมียวอี้อย่างแนบเนียบ
เหมียวอี้ที่ตามกลุ่มคนออกไปพยักหน้าเบาๆ อย่างรู้อยู่แก่ใจ นับว่าแสดงคำขอบคุณแล้ว
นอกจากพวกเขาสองคน ในที่ตรงนั้นก็ไม่มีใครรู้เงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในนั้น และไม่ประกาศให้ใครรู้ด้วย รวมทั้งตระกูลโค่ว
ทัพตะวันออกถูกควบคุมโดยอิ๋งจิ่วกวง ใต้สังกัดมีจอมพลสายชวด สายฉลู สายขาล ทัพใต้ถูกควบคุมโดยฮ่าวเต๋อฟาง ใต้สังกัดมีจอมพลสายเถาะ สายมะโรง สายมะเส็ง ทัพตะวันตกควบคุมโดยก่วงลิ่งกง ใต้สังกัดมีจอมพลสายมะเมีย สายมะแม สายวอก ทัพเหนือควบคุมโดยโค่วหลิงซวี ใต้สังกัดมีจอมพลสายระกา สายจอ สายกุน
เรื่องราวในครั้งนี้เป็นตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวที่ร่วมกันวางแผน โดยหลบเลี่ยงตระกูลก่วงกับตระกูลโค่ว สาเหตุที่หลบเลี่ยงตระกูลโค่วก็ไม่ต้องอธิบายแล้ว ส่วนสาเหตุที่หลบเลี่ยงตระกูลก่วง ก็เพราะจะหลอกใช้ประโยชน์จากลูกชายของลั่วหม่างจอมพลสายวอก ส่วนเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนก็เป็นลูกน้องของจอมพลสายเถาะพอดี เท่ากับเป็นคนฝั่งตระกูลฮ่าว กอปรกับทุกคนรู้เรื่องราวความแค้นระหว่างตระกูลของผังก้วนกับเหมียวอี้ จึงรู้สึกว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือ ดังนั้นเรื่องนี้จึงดึงลูกสาวของผังก้วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ที่บังเอิญก็คือ ผังก้วนกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่เปิดเผยไม่ได้ ความสัมพันธ์นี้แม้แต่จาหรูเยี่ยนฮูหยินของผังก้วนก็ไม่รู้
หลังจากผังก้วนรู้เรื่องนี้จากปากลูกชาย มีหรือที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ เขากับเหมียวอี้ยังมีผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่านั้นให้วางแผนร่วมกัน ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย จึงแอบติดต่อกับเหมียวอี้ไว้แล้ว ให้เหมียวอี้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ
ถึงแม้ตระกูลโค่วจะกังวลเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในงานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้ และเตือนให้เหมียวอี้ระวังตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเบื้องลึกเหมือนที่เหมียวอี้รู้มาจากฝั่งผังก้วนเลย เหมียวอี้รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ลั่วกุยจับไม้สั้นไม้ยาวได้ด้วยซ้ำ จะไม่เตรียมตัวได้เหรอ?
ตอนนั้นพอเหมียวอี้ได้ยินข่าว ก็บอกผังก้วนให้พาลูกสาวแยกออกไป
ผังก้วนได้ยินแล้วตกใจ จังหวะนี้เหมือนเตรียมลงมือ เขากลี้ยกล่อมเหมียวอี้ไม่สำเร็จ แต่ก็ยังเตือนเหมียวอี้ว่า จอมพลสายวอกลั่วหม่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก โปรดปรานลูกชายคนเล็กมาก รู้ว่าลุกชายคนเล็กสมองไม่ดี เพื่อที่จะรักษาความร่ำรวยและเกียรติยศให้ลูกชาย ถึงขั้นเตรียมจะให้ลูกชายคนนี้แต่งงานกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของก่วงลิ่งกง ลูกชายคนอื่นที่มีอำนาจไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้หรอกนะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโอ๋ลูกชายคนเล็กขนาดไหน คนพวกนั้นผลักลั่วกุยออกมาเรียกได้ว่าความคิดชั่วร้ายมาก ถ้าปกป้องชีวิตลั่วกุยได้ ลั่วหม่างจะต้องจดจำน้ำใจนี้แน่นอน แต่ถ้าเจ้าฆ่าลั่วกุยแล้ว ลั่วหม่างจะต้องตามจองเวรเจ้าไม่เลิกแน่ เกรงว่าก่วงลิ่งกงจะต้องออกหน้าเพื่อนลั่วหม่างเช่นกัน ให้เหมียวอี้ไตร่ตรองให้ดีแล้วค่อยลงมือ
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เหมียวอี้จะสงบนิ่งใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยที่ทำอะไรตามอารมณ์อย่างเหมียวอี้ ตอนเกิดเรื่องจะต้องตะโกนด้วยความโมโหแน่นอน ไม่อย่างนั้นตอนที่รีบร้อนลงมือ เขาจะเหลือลั่วกุยที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้ทำไม? เพราะเขาเตรียมทุกอย่างเอาไว้อย่างเป็นระบบระเบียบตั้งแต่แรกแล้ว วางกับดักรอเรียบร้อยแล้ว!
ในเวลานี้ เหมียวอี้กับเฉินหวยจิ่วก็แค่เหลือบมองกันแวบหนึ่งแล้วผ่านไป ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางสื่อสารอะไรกัน
พอฝ่ายกองทัพองครักษ์ถอนตัวไป กลุ่มผู้หญิงที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรก็กระโจนไปยังที่นาหลวง โผไปที่ศพลูกชายตัวเอง เรียกได้ว่าวุ่นวายเสียงดังมาก
โค่วเจิงตามไปที่จวนแม่ทัพภาคกองมังกรดำ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ได้รับการคุ้มครองจากที่นี่ชั่วคราว พอเจอหน้ากันเขาก็กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ทำไมเจ้าถึงข่มอารมณ์ไม่ได้ ข้าให้เจ้าทนเอาหน่อยไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ถามเสียงเรียบว่า “ถ้าข้าทนแล้วพวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ? ไม่สู้ทุกคนตรงไปตรงมาหน่อยดีกว่า ถ้าไม่ใช่ข้าตาย ก็เป็นพวกเขาตาย ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น!”
“…” โค่วเจิงพูดไม่ออก
เรือนพักของอ๋องสวรรค์ก่วง เม่ยเหนียงกับลูกสาวยังไม่ไปที่พระตำหนักอุทยาน แต่มาที่นี่แทน นี่เป็นสิ่งที่โกวเยว่ต้องการ
เม่ยเหนียงตกใจแทบแย่ พอกลับมาแล้วไม่เห็ฯว่ามีคนนอกแล้ว นางก็เลิกวางมากมั่นใจทันที ถามลูกสาวซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรหรือไม่
หลังจากยืนยันกับเม่ยเหนียงแล้วว่าไม่เป็นอะไร โกวเยว่ก็เริ่มถามแทรกทันที “คุณหนู เล่ารายละเอียดที่มาที่ไปให้บ่าวฟังได้หรือไม่?”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นให้ฟังทันที
โกวเยว่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ถามอีกว่า “ทำไมคุณหนูถึงไปหาหนิวโหย่วเต๋อในเวลานี้?”
คำถามนี้ทำให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างเขินอาย คนเป็นแม่พอจะเข้าใจความคิดของลูกสาว ดูออกตั้งนานแล้วว่าลูกสาวหวั่นไหวกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วจริงๆ นางไม่อยากจะให้ลูกสาวอับอาย จึงพูดแทรกว่า “พ่อบ้านโกว พอแล้ว เม่ยอ๋อร์ตกใจแทบแย่แล้ว ให้นางพักก่อนเถอะ”
โกวเยว่ไม่เลิก กุมหมัดคารวะต่อนางพร้อมบอกว่า “หวังเฟยเหนียงเหนียง ไม่ใช่ว่าบ่าวอยากถาม แต่ท่านอ๋องกำชับลงมา ท่านอ๋องบอกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย ต้องการให้บ่าวสืบให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”
“น่าสงสัยเหรอ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย “เม่ยอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อเป็นเพื่อนกัน แค่ไปเจอนิดหน่อยไม่เหมาะสมเหรอคะ? เห็นได้ชัดว่าลั่วกุยนั่นเกาะแกะไม่เลิก หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ แล้วคนกลุ่มนั้นก็ไม่ชอบหน้าหนิวโหย่วเต๋อด้วย”
โกวเยว่พยักหน้า “บ่าวรู้ว่าคุณหนูกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นเพื่อนกัน แต่ยังไม่ถึงเวลาเที่ยวเล่นในสวน การทักทายพบปะกันยังไม่จบ ทำไมคุณหนูถึงไปพบหนิวโหย่วเต๋อได้ล่ะ? ที่บ่าวอยากจะรู้ก็คือ ก่อนหน้านั้นคุณหนูได้บอกใครหรือเปล่าว่าจะไปเจอหนิวโหย่วเต๋อ หรือมีใครแอบบอกใบให้คุณหนูไปเจอหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วตะลึงงัน เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ตอบอย่างลังเลว่า “พวกพี่หนีเอ๋อร์กับพี่ฉางเอ๋อร์อยากรู้จักหนิวโหย่วเต๋อ เลยดึงข้าออกมาจากพระตำหนักอุทยาน”
โกวเยว่พลันหรี่ตาถาม “แล้วทำไมสองพี่น้องนั่นถึงไม่ไปกับคุณหนูด้วย?”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตอบว่า “พวกนางให้ข้าไปถามหนิวโหย่วเต๋อก่อนว่าเต็มใจจะเจอพวกนางหรือไม่…” ขณะที่พูดตัวเองก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน
โกวเยว่แสยะหัวเราะหึหึ แล้วไม่ได้ถามอะไรมากอีก กุมหมัดคารวะบอกว่า “บ่าวเข้าใจแล้ว คุณหนูตกใจมามากแล้ว ไปพักก่อนเถอะขอรับ” พูดจบก็ขอตัวถอยออกไป
เม่ยเหนียงก็ไม่ใช่คนโง่ ฟังออกถึงเงื่อนงำในนั้นแล้ว นางขมวดคิ้วมุ่น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มดุร้าย “นางเด็กแสบสองคนนั้น มาวางแผนกับลูกสาวข้าซะแล้ว!”
“ท่านแม่ เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน อย่าพูดซี้ซั้วเลยค่ะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล
“ไม่มีหลักฐานเหรอ?” เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “ทั้งชีวิตนี้แม่มีเจ้าคนเดียวที่สำคัญที่สุด ใครกล้ามาแตะต้องลูกสาวข้า ข้าก็จะสู้ตายกับคนนั้น! จะมีหลักฐานมั้ยไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือแม่ไม่ปล่อยพวกนางไปแน่ ชอบเล่นแผนสกปรกกันนักใช้มั้ย ดี ถึงยังไงข้าก็ไม่มีงานอะไรทำอยู่แล้ว งั้นก็มาเล่นด้วยกันเถอะ!”
ในเรือนพักเดียวของจอมพลสายวอก มารดาของลั่วกุยกำลังเช็ดรอยเลือดบนปากลูกชายด้วยน้ำตาคลอเบ้า ปากก็กล่าวอย่างคับแค้นไม่หยุดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! ต้องโดนมีดสับสักพันเล่ม นึกว่าได้กลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจะเลิศเลอนักรึไง…”
พ่อบ้านหลางจวี๋ยืนอยู่ข้างกายลั่วหม่างเงียบๆ มองไปที่สองพ่อลูกเป็นระยะ ลูกชายตัวสั่นหลบอยู่ข้างกายแม่ไม่กล้ามองพ่อ ส่วนพ่อก็จ้องลูกชายด้วยสีหน้าดุดัน
“ไม่ต้องเช็ดแล้ว หลบไปทางนั้นไป!” ในที่สุดลั่วหม่างก็ระเบิดอารมณ์ เสียงตะคอกนี้ทำให้สองแม่ลูกตกใจ ถงเหลียนซีรีบหลีกไปด้านข้างอย่างระแวงกลัว
ลั่วหม่างรูปร่างกำยำบึกบึน เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าลูกชายที่กำลังทำสีหน้าน้อยใจ “ข้าถามหน่อย ว่าใครเป็นคนให้เจ้าออกหน้าทำเรื่องนี้?”
ลั่วกุยก้มหน้าตอบว่า “ไม่มีใครให้ข้าออกหน้า ข้าชอบเม่ยเอ๋อร์”
ลั่วหม่างจึงบอกว่า “คนที่ชอบเม่ยเอ๋อร์มีเยอะแยะ วันนี้คนอื่นอยู่ข้างหลังกันหมด มีเจ้าคนเดียวที่ออกหน้า ต้องมีสักเหตุผลหนึ่งสิ!”
“ทุกคนจับไม้สั้นไม้ยาวด้วยกัน…” ลั่วกุยเล่าเรื่องที่จับไม้สั้นไม้ยาวให้ฟัง ความหมายที่จะสื่อก็คือ ในภายหลังเม่ยเอ๋อร์ก็จะเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว
ลั่วหม่างสูดหายใจลึกอย่างตกใจ กางนิ้วทั้งห้าไปที่ประตู กิ่งไม้ที่อยู่ด้านนอกมีเสียงดังกรอบแกรบ มีกิ่งไม้หลายกิ่งลอยเข้ามา เขาคว้าเอาไว้ในมือ แล้วยื่นไปตรงหน้าลั่วกุย “จับสิ! รีบจับ!”
ลั่วกุยตกใจทันที จากนั้นก็หยิบกิ่งหนึ่งมาไว้ในใอ ลั่วหม่างกางนิ้วทั้งห้า ในมือยังเหลืออีกสี่กิ่ง พอเอามาเทียบกันแล้วก็ดูออก ว่ากิ่งไม้ที่อยู่ในมือลั่วกุยสั้นที่สุด
พอหยิบกิ่งไม้จากมือลั่วกุยกลับมา ลั่วหม่างก็เอามือไขว้หลังแล้วจัดใหม่ แล้วก็กำกิ่งไม้ยื่นออกมาอีก ตะคอกอีกว่า “จับไม้สั้นไม้ยาว!”
ลั่วกุยทำตามอย่างซื่อสัตย์ ผลปรากฏว่าจับได้ไม้ที่สั้นที่สุดอีกแล้ว
ทำซ้ำไปซ้ำมาก็ได้ผลลัพธ์แบบนี้ ลั่วกุยจับได้ไม้ที่สั้นที่สุดตลอด เขาเองก็แปลกใจแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านพ่อ ข้าดวงดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า!”
เพี้ยะ! ลั่วหม่างตบทีเดียวจนเขานอนคว่ำบนพื้น โยนกิ่งไม้ห้ากิ่งลงตรงหน้าเขา แล้วสะบัดแขนเสื้อ โยนกิ่งไม้อีกกองที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“เฒ่าหลาง หนิวโหย่วเต๋อจงใจจะไว้ชีวิตลั่วกุยชัดๆ!” ลั่วหม่างไม่สนใจลูกชาย เอามือไขว้หลังมองไปทางประตูแล้วถอนหายใจยาว
บทที่ 1576 สามัคคีปรองดอง
ลั่วกุยที่โดนตบจนล้มลงพื้นโง่ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้โง่บริสุทธ์ ในฐานะคนเป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าเขาไม่ฉลาดจึงสาธิตให้เขาดูอย่างชัดเจนขนาดนี้ด้วยตัวเอง ถ้าเขายังไม่เข้าใจอีก เช่นนั้นก็เอาหัวโขกพื้นให้ตายไปได้เลย
ขณะมองดูกิ่งไม้หักที่อยู่ตรงหน้า ลั่วกุยก็โมโหจนหน้าแดงก่ำ ตอนนี้เข้าใจแล้ว โดนคนอื่นปั่นหัวราวกับเป็นคนโง่แล้ว
ลั่วหม่างหันกลับมามองแวบหนึ่ง “โมโหแล้วจะมีประโยชน์อะไร…ดูแลลูกชายเจ้าให้ดี เสียเปรียบแล้วก็ต้องได้บทเรียน อย่าเลือดร้อนจนก่อเรื่อง”
ถงเหลียนซีเดินเข้ามา นั่งยองๆ ข้างกายลูกชาย จับศีรษะลูกชายที่โมโหจนพูดอะไรไม่ออกมาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง เอามือลูบใบหน้าลูกชายเพื่อปลอบใจไม่หยุด เมื่อเห็นลูกชายเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าคนอื่นรังแกเพราะลูกชายโง่ มาปั่นหัวเล่นเหมือนคนโง่ ในใจนางเป็นทุกข์มาก รู้สึกเป็นทุกข์มากจริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะในปีนั้นจอมพลโดนลอบสังหารแล้วนางดันทุรังมาขวางตรงหน้าให้จอมพล ลูกชายก็คงไม่เป็นแบบนี้ ตอนนั้นนางกำลังตั้งครรภ์ ผลปรากฏว่าหลังจากคลอดลูกชายออกมาแล้วก็พบว่าเป็นคนโง่คนหนึ่ง จอมพลต้องใช้ทรัพยากรไปไม่น้อยกว่าจะปรับให้เป็นผู้เป็นคนได้ เพียงแต่สติปัญหาก็ยังได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
แต่ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง จอมพลจึงรู้สึกผิดต่อนางและลูกชาย ถึงแม้นางจะเป็นแค่อนุภรรยา ถึงแม้ลูกชายจะเป็นแค่ลูกชายอนุภรรยา แต่จอมพลก็ดูแลดี คนในบ้านไม่มีใครกล้ามารังแกสองแม่ลูก นางรู้ว่าจอมพลคิดเตรียมการเพื่ออนาคต หวังจะให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของอ๋องสวรรค์ก่วง เพียงแต่เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก สภาพของลูกชายก็เห็นๆ กันอยู่
ขณะที่มองดูสองแม่ลูก พ่อบ้านหลางจวี๋ก็ถอนหายใจเบาๆ เดินมาข้างกายลั่วหม่างแล้วพูดต่อว่า “ดูจากสถานการณ์แล้ว หนิวโหย่วเต๋อกล้าฆ่าแม้กระทั่งหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ลูกชายลูกสาวของจอมพล เทพประจำดาว ท่านโหวก็ไม่ปล่อยไป ถึงขั้นใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงด้วย ไว้ชีวิตเพียงนายน้อยที่ออกหน้ามาอยู่ใกล้สุด แค่จับเป็นนนายน้อยเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเขามองออกว่านายน้อยโดนหลอกใช้ เขาใจกว้างไว้หน้าจอมพลจริงๆ ขอรับ”
ลั่วหม่างพยักหน้าเบาๆ “เมื่อก่อนข้านึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำเริบเสิบสานเกินไป พอมาดูตอนนี้แล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน เป็นคนรู้จักบันยะบันยังที่สุด ถ้าใครไม่รังแกเขา เขาก็ไม่รังแกใคร แต่ถ้าใครรังแกเขา เขาก็จะต้องเอาคืน ครั้งนี้ลั่วกุยเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก่อน แต่เขากลับปล่อยไป!”
หลางจวี๋บอกว่า “การที่ผลักนายน้อยมาอยู่ข้างหน้า ก็เพราะจะกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อฆ่านายน้อย คนพวกนั้นจิตใจชั่วร้ายทีเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อมองเงื่อนงำออกแล้วปล่อยนายน้อยไป ถ้าเกิดเรื่องกับนายน้อยขึ้นมา ฝั่งจอมพลก็จะไม่มีหลักฐานเพราะคนตายไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนี้ จะต้องโยงให้เกิดการปะทะระหว่างท่านอ๋องและตระกูลโค่วแน่นอน ให้โอกาสคนพวกนั้นหลอกใช้แล้ว”
“เบาะแสของเรื่องราวในครั้งนี้ เกรงว่าท่านอ๋องที่รักลูกสาวก็โดนวางกับดักแล้วเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญขนาดนี้เหรอ ต้นเหตุของเรื่องนี้เป็นอ๋องสวรรค์กับข้าพอดี ไม่รู้ว่าทางท่านอ๋องจะรู้ตัวรึยัง” ลั่วหม่างกล่าว
“จะต้องสังเกตเห็นแล้วแน่นอน ฝั่งท่านอ๋องจะสืบให้ชัดเจนแน่นอนขอรับ” หลางจวี๋กล่าว
ลั่วหม่างแสยะยิ้ม “ครั้งนี้พวกเขาเป็นฝ่ายทำลายธรรมเนียมก่อนนะ พวกเขาทำได้ ข้าก็ทำได้เหมือนกัน ไม่จริงใจต่อกันมากพอ ก็อย่าหาว่าข้าทำให้พวกเขาขาดลูกหลานสืบสกุลก็แล้วกัน!”
หลางจวี๋พยักหน้า “งานเลี้ยงยังไม่จบ จอมพลไปดูความเคลื่อนไหวที่พระตำหนักอุทยานก่อนแลวค่อยตัดสินใจดีกว่าขอรับ คาดว่าตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวคงไปหาท่านอ๋องกับตระกูลโค่วแล้ว”
ลั่วหม่างพยักหน้า
ถงเหลียนซีที่ประคองลูกชายอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน รู้ว่าก่อนหน้านี้ใส่ร้ายหนิวโหย่วเต๋ออย่างไม่เป็นธรรมแล้ว ไม่ควรไปด่าอีกฝ่าย แต่ควรจะขอบคุณด้วยซ้ำ นางเดินเบาๆ ไปข้างกายลั่วหม่างที่กำลังจะเดินออกไป มองสีหน้าลั่วหม่างอย่างอ่อนปวกเปียก แล้วถามอย่างเก้อเขินว่า “นายท่าน ข้าควรจะไปขอบคุณต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อดีหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องแล้ว!” ลั่วหม่างเหล่ตามองมา แล้วบอกว่า “เรื่องนี้แบบนี้ขอบคุณปากเปล่าไม่มีประโยชน์อะไร อีกฝ่ายปล่อยลั่วกุยไป สิ่งที่ต้องการไม่ใช่คำขอบคุณ เอาเป็นว่าข้าจดจำน้ำใจนี้ไว้แล้ว เดี๋ยวจะตอบแทนเอง เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ต้องเข้ามายุ่งมาก ดูแลลูกชายให้ดีก็พอแล้ว ถ้าข้าไม่ได้สั่ง เจ้าก็ไม่ต้องไปที่พระตำหนักอุทยาน”
“ค่ะ!” ถงเหลียนซีเอ่ยรับ แล้วย่อตัวคำนับส่งลั่วหม่างเดินก้าวยาวออกไป “นายท่านเดินระวังๆ”
ในลานบ้านเล็กๆ ของพระตำหนักอุทยาน พี่สาวน้องสาวของตระกูลโค่วดึงอวิ๋นจือชิวไปเยี่ยมคารวะสนมที่ค่อนข้างได้รับความโปรดปรานคนหนึ่งในวัง สนมคนนี้ตระกูลโค่วเป็นคนส่งเข้าวัง ดังนั้นตอนนี้อวิ๋นจือชิวจึงยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ตระกูลโค่วสั่งให้สาวๆ พวกนี้ดึงตัวอวิ๋นจือชิวไป ถ้าเรื่องยังไม่จบก็ยังไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวรู้สถานการณ์ กลัวว่าจะก่อเรื่องอะไรโดยไม่จำเป็น
และริมหน้าผาสูงแห่งหนึ่งนอกพระตำหนักอุทยาน เซี่ยโห้วท่าที่ออกมาชั่วคราวก็เจอกับพ่อบ้านเว่ยซูแล้วเช่นกัน
“ปล่อยลูกชายคนนั้นของลั่วหม่างไปงั้นเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าแปลกใจ จากนั้นก็ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ เดาะลิ้นแล้วส่ายหน้าด้วยความทึ่ง “สงสัยข้าจะประเมินรูปแบบของเจ้าเด็กนี่ต่ำไป เห็นได้ชัดว่าเป็นกับดัก เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่แค่ถือโอกาสวางกับดักนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยลูกชายของลั่วหม่างไปคนเดียวด้วย ความสามารถในการวินิจฉัยตัดสินเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ธรรมดาจริงๆ ตระกูลโค่วเก็บสมบัติล้ำค้าได้แล้ว!”
“เกรงว่าในงานเลี้ยงจะเกิดความวุ่นวายแล้ว” เว่ยซูกล่าว
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “จะเกิดความวุ่นวายอะไรได้? หนิวโหย่วเต๋อมีเหตุผลที่ฟังขึ้น เขาได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าที่นาหลวง แต่มีคนทำลายที่นาหลวงแล้ว ทั้งยังขัดขืนการจับกุม ที่หนิวโหย่วเต๋อฆ่าก็แปลว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี ไม่มีจุดไหนที่ทำผิด กลับมีผลงานด้วยซ้ำ จะบอกว่าการฆ่าลูกหลานขุนนางที่ก่อเรื่องแบบนี้เป็นการทำผิดไม่ได้หรอกกระมัง? อิ๋งจิ่วกวงหาเหตุผลให้ลูกหลานตระกูลอิ๋งได้หรือเปล่าล่ะ? ถ้าสมบัติของสนมในวังหลังสามารถเหยียบย่ำยังไงก็ได้ แล้วต่อไปจะไม่มีคนทำให้สนมสวรรค์หรูอี้อับอายหรอกเหรอ ถ้าตระกูลโค่วกับตระกูลก่วงไปยืนอยู่ฝ่ายเฉิงอวี่ขึ้นมา ชีวิตของสนมสวรรค์หรูอี้ที่วังหลังก็จะลำบากแล้ว ถ้าวันไหนโดนยัดข้อหาที่วังหลังขึ้นมาก็ไม่แปลก ต่อให้ประมุขชิงจะโปรดปรานสักแค่ไหน แต่ก็ยอมให้เกิดเรื่องนี้ไม่ได้ เขาไว้ชีวิตลูกชายของลั่วหม่างไว้อย่างดีทีเดียว ถ้ามีแค่ลูกสาวของก่วงลิ่งกงก็ยังพูดอะไรชัดเจนไม่ได้ แต่ถ้านำคำพูดของทั้งสองมาเปรียบเทียบกันแล้ว เกรงว่าคงจะนำมาเป็นพยานได้ คอยดูไปเถอะ ถ้าตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวไม่ยอมปาดเนื้อตัวเองทำให้ตำแหน่งโหวว่างหลายตำแหน่งเพื่อชดเชย ต่อไปตระกูลโค่วกับตระกูลก่วงก็จะทำให้สองตระกูลนั้นไร้ทายาทสืบสกุลได้ นอกเสียจากทายาทของสองตระกูลนั้นจะหลบซ่อนตลอดไป เดี๋ยวในการประชุมราชสำนักพรุ่งนี้ก็น่าจะได้รู้แล้ว ผลประโยชน์ที่ตระกูลโค่วมอบให้เพื่อปลอบใจที่ตัวเองแย่งตัวหนิวโหย่วเต๋อมา ครั้งนี้เกรงว่าจะทวงคืนทั้งต้นทั้งดอก การแปลกเปลี่ยนนี้นับว่าคุ้มค่า”
เว่ยซูครุ่นคิดเงียบๆ พลางพยักหน้า
ในพระตำหนักอุทยาน ประตูใหญ่ของตำหนักเล็กที่มีไว้สำหรับให้ขุนนางใหญ่พักผ่อนพลันเปิดออก อิ๋งจิ่วกวงกับฮ่าวเต๋อฟางเดินก้าวยาวออกไปด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ข้างหลังมีคนสองคนเดินตามช้า เป็นโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงนั่นเอง ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้ม มีปฏิกิริยาต่างกับสองคนแรกมาก
จู่ๆ ลั่วหม่างก็ปรากฎตัวที่ประตูพระจันทร์ด้านข้าง ก่วงลิ่งกงยื่นมือเชิญโค่วหลิงซวี ส่วนโค่วหลิงซวีก็เข้าใจความหมาย จึงเอามือไขว้หลังเดินนำไปก่อน
ลั่วหม่างเดินมาข้างกายก่วงลิ่งกง ตอนนี้ก่วงลิ่งกงกำลังมองคล้อยหลังโค่วหลิงซวีเดินออกไป แล้วถอนหายใจเบาๆ พร้อมบอกว่า “น่าเสียดายหนิวโหย่วเต๋อแล้ว โดนตาแก่โค่วตักตวงผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไปแล้ว…” เพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าคนที่อยู่ข้างกายก็ตั้งใจอยากให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวตนเหมือนกัน จึงไม่สะดวกจะพูดเรื่องดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกเขยอีก เปลี่ยนเป็นพูดว่า “ในเมื่อเรื่องราวไปถึงขั้นที่ไม่สามารถเอาคืนได้แล้ว งั้นก็ช่างเถอะ อย่าต่อต้านอีกเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
พอได้ยินแบบนี้ ลั่วหม่างก็รู้ผลลัพธ์แล้ว ถามว่า “ตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวเอายังไงขอรับ?”
ก่วงลิ่งกงตอบว่า “ตระกูลอิ๋งจะปล่อยตำแหน่งท่านโหวสองตำแหน่ง ตระกูลฮ่าวจะปล่อยหนึ่งตำแหน่ง สามตำแหน่งโหวนี้ พวกเรากับตระกูลโค่วแบ่งกันยาก สุดท้ายตระกูลโค่วก็หลีกทางให้ เอาตำแหน่งโหวไปแค่ตำแหน่งเดียว แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง ตาแก่โค่วไม่ชอบที่ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อตำแหน่งต่ำเกินไป แต่ก็ไม่สะดวกจะช่วยพูดให้ลูกเขยตัวเอง ขอให้อีกสามตระกูลช่วยเอ่ยปาก ข้ารู้จักนิสัยเจ้าดี เจ้าตอบแทนน้ำใจหนิวโหย่วเต๋อเสียเลยสิ ข้าก็เลยช่วยตัดสินใจแทนเจ้าไปแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าเป็นคนนำเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
เป็นอย่างที่เขาบอก เขารู้จักนิสัยการวางตัวของลั่วหม่างจริงๆ กลัวว่าในภายหลังลั่วหม่างจะไปมีความัสมพันธ์ไม่ชัดเจนกับหนิวโหย่วเต๋อเพราะเรื่องนี้ แบบนั้นก็เท่ากับไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับตระกูลโค่ว ดังนั้นจึงรีบช่วยขีดเส้นแบ่งระหว่างลั่วหม่างกับหนิวโหย่วเต๋อให้ชัดเจน
ลั่วหม่างพยักหน้าเงียบๆ ในขณะที่รู้ถึงความคิดของอ๋องสวรรค์ก่วง ก็เข้าใจความคิดของโค่วหลิงซวีด้วย หนิวโหย่วเต๋อถูกประมุขชิงลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำเกินไปจริงๆ ในภายหลังต่อให้โค่วหลิงซวีจะสนับสนุนอย่างไร แต่ก็จะเอาแต่ช่วยเลื่อนขั้นให้หนิวโหย่วเต๋อแบบก้าวกระโดดไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะกล่าวโทษว่าเขาใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ที่ทำแบบนี้เพราะต้องการปูพื้นฐานให้หนิวโหย่วเต๋อล่วงหน้า เมื่อถึงเวลานั้นจะได้สนับสนุนได้สะดวก
ในตำหนักใหญ่ เทพธิดาร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังเต้นระบำ ประมุขชิงนั่งอยู่เบื้องสูง เหล่ตามองพวกขุนนางใหญ่ที่ทยอยกันกลับมานั่งประจำที่หลังจากอนุญาตออกไปข้างนอกชั่วคราว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเลย
เซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะด้านล่างชำเลืองมองปฏิกิริยาของทุกคน ขณะที่ยกจอกสุราขึ้นจิบ บนใบหน้าก็เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำท่าเหมือนได้เห็นอะไรสนุกๆ
ผ่านไปไม่นาน ฮวาอี้เทียนที่จัดระเบียบเรื่องราวชัดเจนแล้วกลับเข้ามา เดินผ่ากลางกลุ่มเทพธิดาที่เต้นระบำเข้าไปโดยตรง เดินไปตรงกลางตำหนัก แล้วกุมหมัดรายงาน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงอย่างเป็นทางการ “ฝ่าบาท ทางที่นาหลวงเกิดการปะทะ…” เขารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังตรงนั้น แล้วอ่านรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่อหน้าทุกคน
พอได้ยินว่ามีเรื่องสำคัญ พิธีกรที่ยืนอยู่ด้านข้างนานแล้วก็โบกมือให้เหล่าเทพธิดาถอยออกจากตำหนักใหญ่ไป
ขณะนี้ในตำหนักเงียบงันเป็นแถบ เสียงโต้แย้งแก้ตัวอย่างที่จินตนาการไว้ไม่เกิดขึ้น ในตอนนี้มีคนไม่น้อยที่ตระหนักได้แล้ว ว่าลับหลังคนพวกนี้คงจะเจรจาประนีประนอมกันได้แล้ว ไม่ทำให้เรื่องใหญ่โตอีก พวกขุนนางใหญ่ที่ลูกหลานตายไปเม้มริมฝีปากแน่น!
ผ่านไปครู่เดียว เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาอะไร ประมุขชิงก็ย่อมรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ไฟโกรธลุกโชนอยู่ในอกแล้ว เพล้ง! เขาจบจอกสุราลงบนโต๊ะ ชี้กลุ่มคนข้างล่างพร้อมตะคอกอย่างโมโหว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าหวังดีจัดงานเลี้ยงให้ครอบครัวพวกเจ้าที่อุทยานหลวง แต่ดูพวกเจ้าทำสิ ปล่อยลูกหลานไปเหยียบย่ำอุทยานหลวงของข้า ต่อไปก็จะทำลายวังสวรรค์ของข้าเหมือนกันใช่มั้ย?”
พวกขุนนางใหญ่ที่เกี่ยวข้องทยอยกันลุกขึ้น โค้งตัวไปทางประมุขชิงพร้อมกุมหมัดคารวะ “เป็นข้าน้อยที่อบรมลูกหลานไม่ดี!”
ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปด้านล่าง แต่ไม่ได้แก้ตัวอะไร และไม่ได้ฉวยโอกาสกดดันด้วย มอบอำนาจในการตัดสินให้เขาทั้งหมดแล้ว
ให้เขาตัดสินใจเรื่องแบบนี้ก็ย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ? จะให้ลดตำแหน่งเพราะอีกฝ่ายไม่อบรมลูกหลานให้ดี ปล่อยมาเหยียบย่ำไร่นาคนอื่นเหรอ? หรือจะให้ประหารลูกหลานขุนนางใหญ่ให้หมดเลยล่ะ?
“ทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดนเฆี่ยนห้าครั้ง! พ่อแม่ของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ลงโทษลดข้าจ้างหนึ่งปี! ถ้ามีอีกครั้ง จะไม่ยกโทษให้ง่ายๆ แน่นอน!” ประมุขชิงตัดสินเรื่องการลงโทษแล้ว แต่ในใจกลับหงุดหงิด สิ่งที่เขาอยากเห็นก็คือข้างล่างต่อสู้กัน ไม่ใช่สามัคคีปรองดองแบบนี้ ทุกคนปรองดองกันแบบนี้ ถือหางกันเองแบบนี้ แล้วยังจะมีผู้ตัดสินแบบเขาไว้ทำไมอีก?
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ขุนนางผู้เกี่ยวข้องตะโกนพร้อมกัน
หลังจากกลุ่มขุนนางนั่งลงแล้ว กลับมีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้นั่งลง เขาคือลั่วหม่าง จอมพลสายวอกนั่นเอง
ประมุขชิงเริ่มรู้สึกสนใจแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าลั่วหม่างโอ๋ลูกชายคนนั้นมาก อย่าบอกนะว่าลั่วหม่างสามารถกล้ำกลืนความโกรธนี้ได้?
“หรือว่าจอมพลสายวอกยังมีความเห็นอะไรที่ต่างออกไป?” ประมุขชิงสีหน้าอ่อนโยนลงไม่น้อย มีท่าทีรอค่อยให้ลั่วหม่างเปิดเผยเรื่องราว เขาจะได้สั่งสอนคนบางกลุ่มได้สะดวก
บทที่ 1577 ขัดสนแร้นแค้น
“ข้าน้อยไม่ได้มีความเห็นต่างใดๆ!” ลั่วหม่างกุมหมัดคารวะ สายตาจ้องตรงไปที่ประมุขชิง พร้อมกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าน้อยรู้สึกเพียงว่า ควรแยกแยะการให้รางวัลและการทำโทษให้ชัดเจนถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง ลูกชายข้าน้อยกระทำความผิด ข้าน้อยจะไม่เข้าข้าง จะยอมรับโทษ! ข้าน้อยไม่คิดด้วยว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อทำร้ายลูกชายข้าน้อยจนบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ถึงแม้หนิวโหย่วเต๋อจะเฝ้าที่นาหลวงผืนเล็กๆ แต่ก็ยอมผิดใจกับกลุ่มลูกหลานขุนนางเพื่อรักษาเกียรติของเหล่าพระสนม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี ควรจะตบรางวัลอย่างงามถึงจะถูก! ข้าน้อยเสนอให้หนิวโหย่วเต๋อกลับคืนสู่ตำแหน่งขอรับ!”
“ข้าน้อยเห็นด้วย!”
“จอมพลลั่วพูดมีเหตุผล ข้าน้อยเห็นด้วย!”
“ข้าน้อยเห็นด้วย!”
ขุนนางในราชสำนักทยอยกันลุกขึ้นยืน นอกจากพวกลูกพี่ใหญ่ระดับบนสุด ส่วนใหญ่ขุนนางทั้งหมดก็ยืนขึ้นแสดงออกว่าเห็นด้วยกันหมด
พวกบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ตามมุมต่างๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน พอเห็นแบบนี้ก็ค่อนข้างตกตะลึงจนพูดไม่ออก คนฝั่งตระกูลโค่วไม่จำเป็นต้องพูดเองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ลูกน้องของตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวที่เสียเปรียบให้หนิวโหย่วเต๋อก็เห็นด้วยที่จะมอบรางวัลให้หนิวโหย่วเต๋อ กลุ่มขุนนางใหญ่รวมตัวกันขอรางวัลให้ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบคนเดียวเนี่ยนะ แปลกประหลาดเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ แล้ว
ประมุขชิงสีหน้าเย็นเยียบทันที ในฐานะผู้ควบคุมราชสำนักนี้ สิ่งที่เขาไม่อยากเห็นที่สุดก็คือสถานการณ์ประเภทนี้ ไม่อยากเห็นพวกขุนนางเบื้องล่างมีความเห็นไปในทางเดียวกัน มีความเห็นที่แตกต่างมาให้เขาตัดสินในตอนสุดท้ายสิถึงจะเหมาะสมที่สุด ถ้าทุกคนมีความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วมีราชันสวรรค์คนเดียวที่คัดค้าน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วไม่มีแพะรับบาปเลยสักคน คนที่ตัดสินใจผิดพลาดก็จะมีแค่เขาคนเดียวแล้ว แบบนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงบารมีของเขามาก แน่นอนว่าเขาสามารถใช้อำนาจตัดสินคนเดียวได้ แต่การกุมอำนาจไว้คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ ขนาดนั้น ทำเป็นบางครั้งบางคราวยังพอได้ ไม่ใช่ทำกับทุกเรื่องแบบนี้
ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองโค่วหลิงซวีที่ทำตัวสงบนิ่งใจเย็นราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ในใจเขารู้ชัดมาก ว่าตาแก่นี่ต้องเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลังแน่นอน
ประมุขชิงแสยะยิ้มในใจ ตอนนี้ให้เจ้าลำพองใจไปก่อนเถอะ เดี๋ยวต่อไปได้ถึงคราวที่เจ้าลำพองใจไม่ออกแน่
ทำไมเขาถึงต้องให้หนิวโหย่วเต๋อไปเฝ้าที่อุทยานหลวงล่ะ ก็เพราะจะหาข้ออ้างในการลดตำแหน่งให้หนิวโหย่วเต๋อไปอยู่ที่อื่นไง
ในขณะนี้เอง โพ่จวินก็ยืนขึ้นช่วยประมุขชิงแก้ไขสถานการณ์ เขาแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “จะจัดการยังไงกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็เป็นเรื่องของกองทัพองครักษ์ ทุกท่านมายุ่งมากไปหน่อยรึเปล่า?”
ลั่วหม่างตอบว่า “พวกเราไม่ได้บอกว่าจะไปยุ่งเรื่องของกองทัพองครักษ์ ข้าบอกไว้ชัดเจนมากแล้ว ว่าเป็นเพียงการเสนอความเห็น หรือว่าแค่วิจารณ์นิดหน่อยก็ทำไม่ได้? ถ้าพูดอะไรกับกองทัพองครักษ์ไมได้เลยสักนิด แบบนั้นจะเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
อู๋ฉวี่ยืนขึ้นอีก…
การเถียงกันนี้ทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างกันแล้ว สุดท้ายงานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันปีก็จบลงอย่างไม่รื่นเริง สรุปก็คือพองานเลี้ยงจบลง ประมุขชิงก็หมดสนุกที่จะไปเที่ยวชมอุทยานแล้ว กลับวังสวรรค์โดยตรงเลย
และที่นอกพระตำหนักอุทยาน เสียงกรีดร้องก็ดังเป็นแถบๆ ลูกหลานขุนนางที่ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่ละคนถูกแส้เฆี่ยนจนจะเป็นจะตาย รสชาตินี้ทำให้พวกเขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต
ส่วนการเลื่อนตำแหน่งกลับของเหมียวอี้ก็เป็นไปไม่ได้ เกิดความเห็นต่างในการถกเถียง ประมุขชิงจึงมีข้ออ้างในการตัดสิน หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ควรจะจัดการอย่างไรเดี๋ยวกองทัพองครักษ์จะจัดการเอง ทหารสวรรค์เกราะเงินเล็กๆ คนเดียวไม่มีค่าพอให้กลุ่มขุนนางใหญ่ถกเถียงเหมือนเป็นเรื่องใหญ่
แต่ขุนนางกลุ่มนั้นก็พูดจามีเหตุผลจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อปฏิบัติหน้าที่เฝ้าที่นาหลวงอย่างเต็มความสามารถถือว่ามีความดีความชอบจริงๆ มีผลงานแล้วให้รางวัลก็ถือเป็นหลักการปกติ
ดังนั้นในตอนที่คนกลุ่มนี้โดนแส่เฆี่ยนลงโทษ กองทัพองครักษ์ก็ออกคำสั่งเลื่อนตำแหน่งเหมียวอี้แล้ว จะให้กลับไปตำแหน่งเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรกลุ่มขุนนางใหญ่ก็เอ่ยปากแล้ว ประมุขชิงเองก็ไม่ตระหนี่ใจแคบ เลื่อนยศจากเกราะเงินหนึ่งแถบเป็นเกราะเงินสองแถบก็จะน่าหัวเราะเยาะ การรักษาเกียรติของเหล่าพระสนมมีค่าแค่นี้เองหรือ? ดังนั้นจึงเลื่อนให้หกขั้นในรวดเดียว เลื่อนเป็นทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบ
แน่นอน การเลื่อนขั้นแบบนี้ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเหมียวอี้ เกราะเงินหนึ่งแถบกับเกราะดำหนึ่งแถบมีความหมายสำหรับเขาด้วยเหรอ? อย่างน้อยโทษของเขาก็ยังไม่ได้ถูกยกเลิก ยังคงต้องยืนเฝ้ายามตรงที่นาหลวงต่อไป
ประมุขชิงยอมเลื่อนยศให้เหมียวอี้ แต่ก็ไม่ให้เขาไปหาฝั่งโค่วหลิงซวีในตอนนี้อยู่ดี
พอคำสั่งมาถึงกองมังกรดำ พวกมู่อวี่เหลียนก็พูดไม่ออก ตอนลดยศโดนลดไปสิบยี่สิบขั้น พอเลื่อนยศก็เลื่อนรวดเดียวหกขั้นเลย ความเร็วในการเลื่อนขึ้นเลื่อนลงราวกับเป็นของเด็กเล่น ที่สำคัญคือฆ่าลูกหลานขุนนางขั้นสูงไปมากขนาดนั้นแล้วยังได้เลื่อนยศอีก พวกมู่อวี่เหลียนทอดถอนใจอย่างตกตะลึง การพลิกฟ้าคว่ำฝนเรื่องราวต่างๆ ของพวกลูกพี่ใหญ่เบื้องบน คนเบื้องล่างเห็นแล้วไม่เข้าใจจริงๆ
แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่ทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าถ้าไม่มีตระกูลโค่วคอยวิ่งเต้นอยู่เบื้องหลัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะได้เลื่อนยศขึ้นเร็วขนาดนี้
หลังจากตัดสินเรื่องนี้จบแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้รู้ว่าในระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวที่อันตรายขนาดนี้ขึ้น ถึงได้รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ที่อุทยานหลวงก็ไม่ปลอดภัย นางเรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน
ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไปแล้ว พวกลูกหลานไม่เอาถ่านของตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์ก็นับว่าได้รับรู้ถึงความโหดของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนฆ่าลูกหลานขุนนางชั้นสูงมากมายขนาดนี้แล้วยังได้เลื่อนยศ ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องอีก แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อได้เห็นความสามารถของลูกหลานไม่เอาถ่านของขุนนางพวกนั้น ก็ไม่มีใครให้พวกเขาไปประมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีก เพราะเป็นคู่ต่อสู้ที่อยู่กันคนละระดับเลย เป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ!
ตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวนับว่าโดนลูกหลานตัวเองวางกับดักแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ลูกหลานพวกนั้นต้องลำบากขื่นขมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ค่าจ้างที่ให้พวกเขาก็ลดลงเยอะมาก บางคนถึงขั้นถูกลดตำแหน่งให้ไปเป็นเทพแห่งภูผากับเทพแห่งผืนดินเลย นับว่ามีเจตนาจะฝึกฝนก็ได้
ไม่ฝึกฝนไม่ได้หรอก หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไปแล้ว ถึงแม้จะเคยเห็นคนไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่เคยเห็นใครไร้ประโยชน์ขนาดนี้เลย แต่ละตระกูลทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยาน สิ่งที่ตามมาติดๆ ก็คืองานแต่งงานของเหมียวอี้และอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ไม่สามารถออกจากอุทยานหลวงได้ สถานที่จัดงานก็คือเรือนพักตากอากาศของตระกูลโค่ว
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าอวิ๋นจือชิวในวันนี้เปล่งประกายสดใสเป็นพิเศษ
สำหรับทั้งสองที่เป็นสามีภรรยากันมาตั้งแต่แรก บรรยากาศงานมงคลคึกคักก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงเช่นกัน
แขกผู้มีเกียรติก็ต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากคนของกองทัพองครักษ์ คนบางกลุ่มที่เหมียวอี้รู้จักก็มาที่อุทยานหลวงไม่ได้อยู่ดี
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ งานแต่งงานนี้คือเวทีหลักของตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน แต่ภายนอกก็ยังมองหน้ากันติด สี่อ๋องสวรรค์รวมทั้งเซี่ยโห้วท่ามารวมงานแล้ว พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็มาแล้วเช่นกัน ขนาดประมุขชิงกับราชินีสวรรค์ก็ยังโผล่หน้ามาด้วยเลย เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการสุดๆ
ส่วนสายของตระกูลโค่วก็มากันหมดตั้งแต่ข้างล่างยันข้างบน ส่วนคนที่มาอุทยานหลวงไม่ได้ ตระกูลโค่วก็จัดงานเลี้ยงแยกให้ที่จวนท่านอ๋อง แค่รับของขวัญแต่งงานอย่างเดียว ก็เป็นจำนวนที่เยอะจนน่าตกใจแล้ว แค่รางวัลที่วังสวรรค์ประทานให้ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว
เพียงแต่ธรรมเนียมก็มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แขกในงานพุ่งเป้ามาที่ตระกูลโค่ว ส่วนแบ่งนั้นยกให้ตระกูลโค่วทั้งหมด นั่นเป็นส่วนที่ตระกูลโค่วต้องให้ของขวัญคืนในภายหลัง ส่วนคนที่พุ่งเป้ามาหาเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ก็จะแบ่งส่วนแบ่งให้ทั้งสอง โชคดีที่วังสวรรค์ประทานรางวัลให้บ่าวสาวคู่นี้ด้วย
จอมพลสายวอกลั่วหม่าง ก็ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้บ่าวสาวคู่นี้อย่างเงียบๆ เช่นกัน เป็นของขวัญที่ค่อนข้างล้ำค่า ล้ำค่าจนทำให้เหมียวอี้กับตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ทั้งสองก็พอจะเข้าใจได้ คาดว่าคงเป็นเพราะเหมียวอี้ไว้ชีวิตลั่วกุย แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองตกตะลึงอย่างแท้จริงก็คือ สนมสวรรค์หรูอี้ได้ประทานของขวัญที่ค่อนข้างล้ำค่าให้
โพ่จวินผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายมอบของขวัญให้ไม่น้อยเลย ฮวาอี้เทียนก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ส่วนของขวัญที่อวี่จ้งเจินให้ก็เยอะกว่าของคนทั่วไป
สมาชิกกองมังกรดำที่โดนจับแยกไปก็ให้มู่อวี่เหลียนรวบรวมของขวัญมามอบให้เพื่อแสดงน้ำใจ สมาชิกกองมังกรดำในปัจจุบันก็รวมของขวัญมามอบให้เช่นกัน
ในเรือนหอ พิธีทุกอย่างก็ข้ามไปได้เลย ทำให้คนนอกดูพอเป็นพิธีก็พอแล้ว พิธีในห้องหอที่ไม่มีใครเห็นก็ปล่อยผ่านเช่นกัน
อวิ๋นจือชิวถอดมงกุฏหงส์และผ้าคลุมหน้าไว้อีกข้าง ตอนนี้กำลังนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตรวจนับจำนวนของขวัญ
ตระกูลโค่วก็รู้เช่นกันว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เป็นคนที่อวิ๋นจือชิวเรียกใช้งานจนชินแล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องใช้สาวใช้คนอื่นให้แต่งงานตามไปแล้ว พวกเขาตั้งใจช่วยอวิ๋นจือชิวดึงตัวสาวใช้สองคนนี้มา วันนี้นับว่าสองสาวได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ไปด้วย ไม่เพียงแค่ได้เห็นขุนนางใหญ่เต็มตำหนักสวรรค์ ทั้งยังได้เห็นราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ด้วย
ขณะมองดูอวิ๋นจือชิวโยนมงกุฎทิ้งและทำท่าทางร้อนใจอยากนับของขวัญ เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเดินมาข้างหลังนาง ประคองบ่าสองข้างของนาง แล้วบอกว่า “ข้าว่านะฮูหยิน เจ้าไม่เคยเห็นเงินเหรอ? มีทิวทัศน์งดงามเป็นใจขนาดนี้ เจ้าดันไม่ปรนนิบัติข้าให้ดีๆ มัวมานับของทำไม? ไร้รสนิยมไปหน่อยรึเปล่า!”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เม้มปากแอบขำพร้อมกัน
อวิ๋นจือชิวหันกลับมากลอกตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เจ้าไม่ได้เป็นคนดูแลบ้าน ไม่รู้หรอกว่าข้าวของแพงขนาดไหน เจ้ารู้รึเปล่าว่าการเลี้ยงตั๊กแตนพวกนั้นในแต่ละปีหมดเงินเท่าไร? หรือว่าเจ้าจะตัดสัมพันธ์กับอนุภรรยาพวกนั้นจริงๆ? ที่ควรต้องให้ทุกปีก็ยังต้องให้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นผู้ชายไปทำไม? พวกช่างไม้ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ที่พิภพเล็กเดี๋ยวเจ้าก็คิดถึงคนนั้นเดี๋ยวก็คิดถึงคนนี้ พอคิดถึงสหายคนนี้ก็ให้ข้ามอบเงินให้สักหน่อย วรยุทธ์ของทุกคนก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทางเยารั่วเซียนเอะอะเดี๋ยวก็ขอของขวิเศษจากพิภพใหญ่ไปศึกษา มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน หลายปีผ่านไปขนาดนี้แล้ว รายได้ของพวกเรายิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แต่ค่าใช้จ่ายกลับมากขึ้นเรื่อยๆ เกราะรบผลึกแดงที่เจ้าโยนให้พวกลูกน้องในศึกน่านฟ้าระกาติง เจ้าก็ไม่ทวงคืน แต่นี่ก็คือสิ่งที่สมควร ข้าไม่สะดวกจะว่าอะไร ก่อนหน้านี้เจ้าก็รวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ให้ลูกน้องร่วมศึกน่านฟ้าระกาติงที่รอดชีวิต ทั้งยังพยามส่งให้ถึงมือทุกคนด้วย หนึ่งหมื่นกว่าคน แต่ละคนเจ้าก็ไม่ยอมให้นิดเดียว เจ้าไม่ลองคิดดูบ้างล่ะว่าเป็นเงินจำนวนมากขนาดไหน อ้าปากก็จะขอ เจ้านี่ยิ่งนับวันจะยิ่งมือเติบใจกว้างแล้วนะ รู้รึเปล่าว่าข้าไม่ได้ใช้เงินเยอะขนาดนั้นเลย แล้วข้าก็ไม่สะดวกจะว่าเจ้าด้วย ทำได้เพียงกัดฟันรวบรวมจากตรงนั้นทีตรงนี้ที ขนาดของขวัญแรกพบที่ตระกูลโค่วให้ข้ามา ข้าก็ยังเอารวมไว้ด้วยกันเลย เครื่องประดับที่ขายให้วังสวรรค์ครั้งนี้ก็นับรวมไปด้วย แต่ก็ยังขาดอีกไม่น้อย แล้วข้าก็ยังต้องเตรียมทรัพยากรเพื่อช่วยให้เจ้าบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสองอีก มีอันไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย พอจะมีชดเชยกลับบ้างแล้ว นับว่าแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของข้าได้แล้ว ในที่สุดข้าก็สามารถเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับเจ้าได้แล้ว”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบมองเหมียวอี้เงียบๆ แวบหนึ่ง ที่จริงพวกนางก็ติดตามทำงานอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว เข้าใจความลำบากยากแค้นในตอนนี้ดีมาก รายได้ปัจจุบันของนายท่านไม่เพียงพอกับพฤติกรรมมือเติบและค่าใช้จ่ายมหาศาลของนายท่านเลย นั่งกินนอนกินสมบัติเก่ามาตลอด หลายปีก่อนเป็นกังวลมาก กำไรที่ฮูหยินได้จากการเปิดร้านก็ชดเชยไปหมดแล้ว ตอนนี้ยังรวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนั้นไปให้กำลังพลนับหมื่นในรวดเดียวอีก ฮูหยินเลยจำต้องแข็งใจหน้าด้านไปขอรวบรวมเงินจากอวิ๋นอ้าวเทียน แต่ฮูหยินก็ดันไม่ให้พวกนางบอกนายท่านด้วย บอกว่านายท่านอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ อย่าทำให้นายท่านเสียสมาธิ เดี๋ยวทางนี้จะคิดหาวิธีหารายได้ช่องทางอื่นเอง
“ลำบากฮูหยินแล้ว” เหมียวอี้ตบบ่าอวิ๋นจือชิวเบาๆ อย่างปลงอนิจจัง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับนาง “ตอนนี้โดนขังอยู่ที่อุทยานหลวง ก็เลยไม่มีทางเลือก เดี๋ยวข้าคิดหาทางอีกที ของสำหรับกำลังพลหนึ่งหมื่นนั้นจะน้อยไม่ได้ เจ้าพยายามคิดหาทางรวบรวมเงินแล้วส่งไปให้พวกเขาหน่อย ถ้ามีตรงไหนที่ขาดหรือขาดเท่าไร ก็บอกข้ามาได้เลย”
“คงไม่ต้องแล้ว…” อวิ๋นจือชิวทำท่าตกตะลึงนิดหน่อย หันหน้ามาช้าๆ ชูกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งขึ้นมา “ของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้ว!”
บทที่ 1578 ของขวัญล้ำค่าจากตระกูลเซี่...
“ของขวัญของตระกูลเซี่ยโห้วทำไมเหรอ?” เหมียวอี้ไม่เข้าใจว่าทำไมนางสีหน้าเปลี่ยน จึงหยิบกำไลเก็บสมบัติขึ้นมาดู ทำให้เขาอึ้งไปเช่นกัน เขาเรียกของในกำไลเก็บสมบัติออกมา เป็นตั๋วแลกสีม่วงทองหนึ่งปึก บนตั๋วแลกเงินมีคำว่า ‘ธนาคารสัตยพรต’ ด้วย
เหมียวอี้ย่อมรู้จักกับ ‘ธนาคารสัตยพรต’ อยู่แล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ เป็นประเภทที่มีมูลค่ามากที่สุด หนึ่งใบเท่ากับหนึ่งร้อยล้านล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งพันล้านเม็ด เขาเชื่อว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ถึงขั้นนำตั๋วแลกเงินปลอมมาทำเป็นของขวัญในโอกาสและงานแบบนี้
เอาไปแลกได้หรือเปล่า? ไม่ต้องสงสัยเลย! ตั๋วแลกเงินของธนาคารสัตยพรตมีมาก่อนที่ตำหนักสวรรค์จะก่อตั้งขึ้นนานมาก ไม่ต้องพูดถึงความน่าเชื่อถือ นั่นคือชื่อยี่ห้อเลยล่ะ ที่นี่เบียดจนตำหนักสวรรค์ไม่สามารถสร้างธนาคารที่ทัดเทียมกับที่นี่ได้ กอปรกับการรักษาความลับที่ธนาคารสัตยพรตมีให้ การไปมาหาสู่ที่ธนาคารของทางการล้วนถูกจับตาดูได้ง่าย ดังนั้นจะขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังให้รู้ไว้ นั่นก็คือ แม้แต่ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็ยังแอบหอบเงินก้อนใหญ่ไปที่ธนาคารสัตยพรตเลย แค่ดูจากสิ่งนี้ก็รู้แล้ว
ตั๋วแลกเงินสีม่วงทองสิบใบ เหมียวอี้นับแล้วนับอีก มันคือสิบใบจริงๆ ก็เท่ากับมีผลึกแดงหนึ่งพันล้านล้าน เท่ากับว่าตระกูลเซี่ยโห้วมอบยาแก่นเซียนให้ตนหนึ่งหมื่นล้านเม็ดในรวดเดียว “ซี้ด!” เหมียวอี้ที่ยืนยันให้แน่ใจแล้วอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจอย่างตกตะลึง!
ของขวัญล้ำค่ามหาศาลส่วนนี้เพียงพอที่จะช่วยให้เขาเพิ่มวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งขั้นสี่เลย สำหรับเหมียวอี้ที่ไม่เคยขาดทรัพยากรมาก่อนเลย จำนวนนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ถ้าเป็นสำหรับคนทั่วไป นักพรตส่วนใหญ่ทั้งชีวิตนี้แค่รวบรวมทรัพยากรฝึกตนจนบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งให้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ต่อให้เป็นคนในตำหนักสวรรค์ก็ตาม ถ้าเหมียวอี้ไม่เคยครองตำแหน่งที่เงินทองอุดมสมบูรณ์มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเคยรวยแบบพรวดพราดมาก่อน ก็คงต้องใช้เวลาสะสมทีละนิด คนที่ไร้เงินไร้อำนาจทั้งยังไม่มีโอกาสอะไร มีหรือที่จะรวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนี้ได้ง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ที่อวิ๋นจือชิวนับของขวัญจากลั่วหม่างจอมพลสายวอกก็ถือว่าได้เยอะแล้ว เป็นของขวัญที่เยอะที่สุดที่นับได้ก่อนหน้านี้ ให้มาสิบล้านล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยล้านเม็ด แต่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับให้เยอะกว่าลั่วหม่างหนึ่งร้อยเท่า!
หน้าใหญ่ใจโตจนหน้าตกใจ!
เหมียวอี้เตรียมจะมอบให้เป็นน้ำใจกับลูกน้องเก่าหนึ่งหมื่นที่รอดชีวิต จะให้ยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด หนึ่งหมื่นคนก็เท่ากับหนึ่งหมื่นล้านเม็ด การจ่ายครั้งนี้ของตระกูลเซี่ยโห้ว สามารถเติมส่วนที่ขาดได้ภายในรวดเดียว ตอนนี้นับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมอวิ๋นจือชิวถึงบอกว่าไม่ต้องแล้ว เพราะของขวัญส่วนนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วก็เพียงพอแล้ว
อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างตกใจปนประหลาดใจว่า “เจ้าแอบมีความสัมพันธ์อันดับกับตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเลยล่ะ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้าเงียบๆ ทำท่าเหมือนคิดไปร้อยตลบแต่ก็ยังไม่เข้าใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงมอบของขวัญให้แพงขนาดนี้ ข้ากับตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกัน ไม่ได้ไปมาหาสู่กันด้วย ต่อให้จะส่งของขวัญ แต่ก็ควรส่งให้ถึงมือตระกูลโค่วสิ ถ้าส่งให้ตระกูลโค่ว ของขวัญส่วนนี้ก็ไม่ได้นับว่ามากมายอะไร แต้ถ้าให้ข้าแบบนี้…พวกเขาส่งผิดรึเปล่า ที่จริงแล้วอยากจะส่งให้ตระกูลเซี่ยโห้ว แต่กลับส่งมาให้ที่มือพวกเรา”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “ด้วยความสามารถในการทำงานของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ถึงขั้นส่งของขวัญผิดหรอกมั้ง”
เหมียวอี้พยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจ บอกเชียนเอ๋อร์ว่า “เชียนเอ๋อร์ เจ้าไปสืบดูหน่อย ถามหน่อยว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันรึเปล่า”
“ค่ะ!” เชียนเอ๋อร์เอ่ยรับแล้วออกไป
สามคนที่อยู่ในห้องรอไม่นาน เชียนเอ๋อร์ก็กลับมารายงานว่า “นายท่าน ฮูหยิน ทางตระกูลโค่วบอกว่าได้รับของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้วเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วพึมพำว่า “การให้ครั้งนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วทำให้คนมองไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ว่าจะมองยังไงก็คล้ายกับอยากจะสานสัมพันธ์กับพวกเรา แต่ตามหลักการแล้ว ใช่ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราเป็นคนของตระกูลโค่ว ขอเพียงคสามสัมพันธ์ของเขากับตระกูลโค่วได้ที่แล้ว ฝั่งพวกเราก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่การให้ของขวัญมากมายกับพวกเราเงียบๆ แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ?”
เหมียวอี้ก็ไตร่ตรองดูเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว จะมีเจตนาอะไรก็รอดูต่อไปแล้วกัน ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วทำอย่างนี้ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวจุดประสงค์ก็จะเผยออกมา” เขาโบกตั๋วแลกเงินในมือ “แต่กำลังทรัพย์ของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วที่ผูกขาดการค้าใต้ดิน เงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอก! เออใช่ เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนไม่ได้ส่งของขวัญมาให้เหรอ?”
“ระวังเกินไปแล้ว ทางนั้นระวังตัวมาก ไม่ได้ให้ของขวัญมา น่าจะส่งไปให้ตระกูลโค่วแล้ว” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า
เหมียวอี้ยัดตั๋วแลกเงินใส่มืออวิ๋นจือชิว “ในเมื่อมีเงินก้อนนี้แล้ว ก็รบกวนฮูหยินจัดการเรื่องลูกน้องเก่าหมื่นกว่าคนพวกนั้นหน่อย พยายามส่งไปให้ถึงมือพวกเขาให้ได้ ข้ารู้ว่าพวกเรากำลังขัดสน แต่เรื่องที่น่านฟ้าระกาติงทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อพวกเขาจริงๆ พวกที่รบตายไปแล้ว ข้าไม่มีความสามารถจะชดเชยให้พวกเขาได้ ทำได้แค่แสดงน้ำใจเพื่อให้ตัวเองสงบใจก็แล้วกัน”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายกับข้าหรอก ข้าไม่ได้บอกว่าไม่อยากทำเสียหน่อย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ข้าก็แค่อยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย ว่าพวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงทัพใหญ่ ดูแลได้แค่ครั้งนี้ แต่ครั้งต่อไปทำไม่ได้แล้ว หวังว่าเจ้าจะมีแผนในใจ”
เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ “ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกหนึ่งร้อยปี ค่าใช้จ่ายในหนึ่งร้อยปีนี้ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าขัดสนจริงๆ เจ้าลองดูว่าจะหาทางปล่อยขายยาเจี๋ยตันเม็ดนั้นกับสมุนไพรเทพต้นนั้นไปก่อนได้รึเปล่า? ทางตลาดมืด…”
อวิ๋นจือชิวปฏิเสธลูกเดียว “ไม่ได้! สมุนไพรเซียนที่เจ้าได้มากจากแดนอเวจี ส่วนใหญ่ข้าเอาไปปล่อยขายที่ตลาดมืดแล้ว แต่ของสองสิ่งนั้นไม่มีทางปล่อยขายได้เลย นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะซื้อขายกันได้ ถ้าไม่ได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พอปล่อยขายออกไปก็จะทำให้คนสงสัย ถ้าไม่ถึงขั้นเอาสมบัติเก่ามากินจนหมดจริงๆ พวกเราก็ต้องเหลือสมบัติรองหีบไว้เป็นทางหนีทีไล่สักหน่อยสิ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ของขวัญที่อยู่ในมือยังประคองไปได้สักระยะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะหยุดใช้ยาเจี๋ยตันกับตั๊กแตนชั่วคราว ให้พวกมันพ่นผลึกสกัดบริสุทธิ์เอาไว้ขายสักหน่อย ยังพอหมุนเงินไหว เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว เรื่องในบ้านข้าคิดหาทางได้เอง” พูดจบก็หันตัวไปบอกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นับของขวัญต่อไป หลังจากนับเสร็จก็ต้องบันทึกไว้ทุกรายการ ในภายหลังจะต้องให้ของขวัญคืน
เหมียวอี้ยืนดูอยู่ข้างๆ ยืนดูใบหน้าด้านข้างที่งดงามของอวิ๋นจือชิว ทำให้เขาใจลอยโดยไม่รู้ตัว ความคิดลอยไปที่ตัวหวงฝู่จวินโหรว เรื่องเงินไม่ได้ทำให้เขาคิดมากเลย แต่ไม่รู้ว่าถ้าหวงฝู่จวินโหรวรู้ว่าเขากับอวิ๋นจือชิวอยู่ด้วยกัน นางจะรู้สึกอย่างไร…
ชั่วขณะนั้นเขาคิดจนเหม่อลอยเล็กน้อย นับของขวัญเสร็จตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถอยออกไปตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย
หลังจากเรียกสติกลับมาแล้ว เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความสงสาร เขาจึงอดขำไม่ได้ “บนหน้าข้ามีดอกไม้บานเหรอ? มองข้าแบบนี้ทำไม?”
อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่เห็นเหมียวอี้มีสีหน้ากังวลจางๆ อย่างที่เห็นได้ไม่บ่อย นางนึกว่าเขากำลังกังวลเรื่องเงิน นี่ก็คือสาเหตุที่นางไม่รีบบอกเหมียวอี้ว่าขัดสนเงินทอง นางกลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามไปเสี่ยงอันตรายอะไรอีกเพื่อเงิน
“กำลังคิดเรื่องเงินเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเอ่ยถามเสียงเบา
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ด้วยเส้นสายของข้าในตอนนี้ เงินถือเป็นเรื่องเล็กแล้ว หกลัทธิสะสมเงินอยู่ข้างนอกมาหลายปี เอามาจากพวกเขานิดหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา ข้าแค่กำลังคิดว่าต่อไปจะทำยังไงดี ตกอยู่ในการต่อสู้ของบุคคลระดับสูงในตำหนักสวรรค์ คงมีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้”
อวิ๋นจือชิวเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าบอกเจ้าว่าอย่าทำซี้ซั้ว เจ้าก็ไม่ฟัง ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ทำได้แค่ค่อยๆ ดูไปทีละก้าว ด้วยความสามารถของพวกเรา ยังไม่มีทางวางแผนได้ไกลขนาดนั้น”
เหมียวอี้กอดปลอบใจนาง ดมกลิ่นหอมของผมนาง ทำอย่างนั้นเงียบๆ อยู่นานมาก บางทีอาจจะรู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่ค่อยดี จึงพูดหยอกข้างหูอวิ๋นจือชิวว่า “ร่างกายฮูหยินของขาดมานานแล้ว แล้วนี่ก็เป็นคืนเข้าห้องหอด้วย…”
อวิ๋นจือชิวเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าอกเขา ช้อนตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ขนาดสี่อ๋องสวรรค์ยังอยากยกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าเลย เจ้ายังมาชอบข้าได้อีกเหรอ? ข้าไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งอำนาจ หน้าตาก็ไม่ได้สวยมากมายเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข จะไปเทียบกับก่วงเม่ยเอ๋อร์อะไรนั่นได้ยังไง ข้าเห็นนางที่พระตำหนักอุทยานแล้ว เรียกว่าสวยเย้ายวนแพรวพราวก็ได้ ขนาดผู้หญิงด้วยกันมองแล้วยังใจสั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ชายเลย มิน่าล่ะหนิวเอ้อร์ของเราเลยหึงจนลงมือเพื่อนาง พูดจริงๆ เลยนะ ถ้าเจ้านึกเสียใจทีหลังก็ยังไม่สายหรอก ข้าจะหลีกทางให้ ไม่เป็นตัวถ่วงอนาคตของเจ้าหรอก”
เหมียวอี้ไถลมือจากแผ่นหลังลงไปข้างล่าง บีบแก้มก้นของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กองทัพนับหมื่นนับแสนนองเลือดเป็นแม่น้ำเพื่อเจ้า หัวคนหลายแสนร่วงลงพื้นเพื่อเจ้า ยังทำให้ฮูหยินยิ้มสักครั้งไม่ได้เชียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าแบบนี้ยังพิสูจน์ความจริงใจของข้าไม่ได้อีก?”
ชั่วพริบตานั้น อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งแล้ว นางเขย่งปลายเท้า เป็นฝ่ายส่งริมฝีปากแดงไปหาเขาก่อน
เหมียวอี้ก้มหน้าลงประกบริมฝีปาก สองร่างคลอเคล้าอยู่ด้วยกัน อยากจะรวมเข้าไปอยู่ในร่างของอีกฝ่ายใจจะขาด ความรักเข้มข้นลึกซึ้ง เหมียวอี้โน้มตัวอุ้มนางขึ้นมา แล้วโถมทับลงบนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมา เสื้อผ้าปลิวว่อน ในที่สุดก็ได้เห็นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิในโถน้ำผึ้ง ท่านขุนนางเหมียวดื่มด่ำตามอำเภอใจ
แสงเทียนสีแดงส่องสว่างในห้อง…
ตอนเที่ยงคืน อวิ๋นจือชิวที่ยังทำสีหน้าออดอ้อนไม่หายกำลังนอนกอดเหมียวอี้อย่างเกียจคร้าน อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องที่เหมียวอี้ประสบในแดนมรณะดึกดำบรรพ์
พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ดึงอวิ๋นจือชิวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ นั่งหันหน้าชนกัน
การมองหน้ากันในท่านี้ขณะที่ร่างกายเปลือยเปล่า อวิ๋นจือชิวยังไม่ค่อยคุ้นชิน เอามือสองข้างปิดหน้าอก แล้วถลึงตาถามว่า “อยากจะเล่นลูกไม้แบบไหนอีกล่ะ?”
“แบบที่ประหยัดทรัพยากรไง!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ แล้วโบกมือเรียกลูกแก้วพลังปรารถนาให้ลอยอยู่กลางอากาศ
ลูกแก้วพลังปรารถนาในมือเดิมทีหายไปแล้ว โชคดีที่ตอนหลังเวินเจ๋อนำค่าจ้างภายในหนึ่งพันปีนั้นมาส่งให้
ผ่านไปไม่นาน ร่างเปลือยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเตียงก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ข้างในมีเสียงพึมพำของทั้งสองดังมา “เป็นยังไงบ้าง?” ในที่สุดก็ทำให้อวิ๋นจือชิวร้องอุทานอย่างประหลาดใจแล้ว…
หลังจากวันแต่งงาน เหมียวอี้ก็ไม่สามารถออกจากอุทยานหลวงได้ ตระกูลโค่วก็เตรียมเรือนพักให้อวิ๋นจือชิวที่อุทยานหลวงชั่วคราวเช่นกัน ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้ว จะอยู๋ที่เรือนพักเดี่ยวก็ไม่มีใครว่าอะไร ถือว่าให้ทั้งสองคนได้เจอกันได้สะดวก
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวก็คือ ตอนนี้เขาต้องขยันยืนเฝ้ายามมากขึ้นหน่อย ทุกวันนี้สนมสวรรค์หรูอี้มักจะมาทำนาที่อุทยานหลวงบ่อยๆ สิ่งที่ทำให้เขาพูกไม่ออกก็คือ จ้านหรูอี้มักจะเรียกใช้เขาบ่อยๆ ให้ไปช่วยนางทำงานเบ็ดเตล็ด ยกตัวอย่างเช่นยกถังน้ำให้นางรดน้ำต้นไม้
จ้านหรูอี้กลับไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด ท่าทางใจกว้างตรงไปตรงมา แต่แบบนี้กลับทำให้เหมียวอี้อกสั่นขวัญแขวน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่กลัวคนอื่นสงสัยสักนิดเลยล่ะ อย่ามาทำร้ายข้านะ!
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาเป็นเพียงนายทหารเล็กๆ สนมสวรรค์สั่งให้เขาทำงาน เขาจะโวยวายใส่ได้เหรอ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น