คัมภีร์วิถีเซียน 1575-1576
ตอนที่ 1575 คำเชิญ
เมืองยักษ์ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านลำแสงสีเหลืองอ่อน ด้านนอกมีเรือสงครามสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันนับร้อยลำลอยอยู่รอบๆ
เรือสงครามสีเงินเหล่านี้ เล็กหน่อยก็มีขนาดพันกว่าจั้ง ใหญ่หน่อยก็มีขนาดหมื่นกว่าจั้ง ราวกับเมืองขนาดย่อมอย่างไรอย่างนั้น ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบนเมืองยักษ์แห่งนี้
ในเรือสงครามลำใหญ่ที่สุด มีเผ่าแมลงมีเขาระดับหลอมสุญตาอยู่สิบกว่าคน ยืนอยู่ในสิ่งปลูกสร้างรูปทรงคล้ายตึกที่สูงที่สุด กำลังมองดูสถานการณ์ในเมืองยักษ์
ด้านหลังของพวกเขามีเก้าอี้ตัวหนึ่ง กลับมีหญิงสาววัยเยาว์ผิวสีเงินขาว ดวงตาสีม่วงทองนั่งอยู่คนหนึ่ง
คนกลุ่มนี้กำลังซุบซิบอะไรกันอยู่ บ้างก็ชี้ไปที่เมืองยักษ์ด้านล่าง
ส่วนหญิงสาววัยเยาว์กลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดอะไรสักอย่าง
ฉับพลันนั้นทางเข้าตึกก็มีลำแสงสว่างวาบ ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนก็พุ่งไปหาหญิงสาววัยเยาว์
หญิงสาววัยเยาว์พลันขมวดคิ้วเรียวยาว มือหนึ่งโบกผ่าลงลำแสงสีแดง ลำแสงนี้กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงกลุ่มหนึ่ง ร่อนลงมาด้านล่าง
หญิงสาวใช้มือหนึ่งถือเปลวเพลิงลำแสงเอาไว้ แทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านใน
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย ไร้ประโยชน์ทั้งกลุ่ม!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นหญิงสาวก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยประโยคที่เย็นชาออกมา
คนอื่นๆ ได้ฟังคำนี้ ต่างใจหายวาบ คำพูดหยุดชะงักลงพลางมองไปทางหญิงสาวอย่างไม่ทันรู้สึกตัว
“เรียนใต้เท้า เกิดเรื่องอันใด ให้ท่านใต้เท้าไม่สบอารมณ์หรือ” ชายร่างใหญ่ที่หลังค่อมเล็กน้อยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“หึ เผ่าเบื้องบนระดับเจ็ดแปดไปตามจับเจี่ยเทียนมู่ ผลคือส่งกลุ่มหนึ่งออกไปแต่ถูกสังหารจนหมดแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งกลับไม่แม้แต่จะได้ส่งตัว” นัยน์ตาของหญิงสาวมีลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ แค่นเสียงหึและเผยสีหน้าบึ้งตึงออกมา
“เป็นไปได้อย่างไร? แม้ว่าเจี่ยเทียนมู่จะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิด แต่ก็เป็นแค่ชนชั้นสูงระดับกลางเท่านั้น จะสังหารทหารไล่ล่าทั้งหมดได้อย่างไร” ฮูหยินอีกคนที่มีใบหน้าค่อนข้างยาวได้ยิน ก็มีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
“จากปากของผู้รอดชีวิต เจี่ยเทียนมู่ไม่ได้ทำ แต่เป็นอีกคนที่ลงมือ” หญิงสาววัยเยาว์สั่นศีรษะ
“อีกคน? หรือว่าที่นี่นอกจาก ‘เมืองเหิงสุ่ย’ แล้วยังมีเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นอยู่แถวบริเวณนี้?”ชายร่างใหญ่ที่พูดในตอนแรกพลันตกตะลึง
“ไม่ใช่ระดับผสานอินทรีย์! แต่เป็นระดับเผ่าเบื้องบนขั้นเจ็ด ดังนั้นฉันถึงได้บอกว่าคนเหล่านั้นมันไร้ประโยชน์! คนมากขนาดนี้คาดไม่ถึงว่าจะเพลี่ยงพล้ำในมือของผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน” นัยน์ตาของหญิงสาววัยเยาว์มีลำแสงสีม่วงไหลเวียน น้ำเสียงเองก็เย็นชา
คนอื่นๆ เห็นหญิงสาวมีท่าทีโมโห ก็ล้วนเงียบกริบไม่พูดอะไร ไม่กล้าเอ่ยปากโดยพลการ
“ส่งข่าวไปบอกท่านทูตถูเดี๋ยวนี้ บอกเรื่องนี้กับพวกเขา แล้วให้พวกเขารับหน้าที่ดูแลเจี่ยเทียนมู่ต่อ พวกเราก็รับหน้าที่ทะลายเมืองเหิงสุ่ย!” คำพูดของหญิงสาวเย็นชาดุจมีด ออกคำสั่งทีละคำๆ
“ทูตถูมีภารกิจอื่น ไม่มีทางมาหรอก?” คนหนึ่งพูดอย่างระมัดระวัง
“ขอแค่บอกเขาว่าผู้ที่ลงมือคือผู้ที่พวกเขาอยากสกัดกั้น เขาสองคนจะรับเรื่องนี้อย่างว่าง่าย” หญิงสาวกวาดสายตาไปหาคนถามแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“คนที่ช่วยเจี่ยเทียนมู่ไปคือคนที่ทูตถูตามหา!” ทุกคนพลันตกตะลึง มองสบตากันไปมา
“เอาล่ะ เรื่องนี้พอแค่นี้ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือจ้องทำลายเมืองนี้ภายในสามวัน! ขอแค่เมืองนี้ถูกทำลาย เมืองเกราะทองที่เหลือก็เป็นเมืองโดดเดี่ยวแล้ว จะตกอยู่ในมือของพวกเราหรือไม่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน พวกเจ้าทำตามแผนเถิด” หญิงสาวสำทับ
“ขอรับ” ชนชั้นสูงเผ่าแมลงมีเขาตนอื่นๆ ได้ยินกลับค้อมตัวลง เอ่ยตอบรับอย่างนอบน้อม
จากนั้นคนเหล่านั้นก็ออกไปจากหอคอย ทยอยกันบินกลับไปยังเรือสงครามขนาดใหญ่ที่ตนเองรับหน้าที่ดูแล
หนึ่งชั่วยามต่อมา เรือสงครามทั้งหมดก็เปล่งแสงสว่างวาบ เริ่มเปล่งเสียงอึกทึกดังเสียบแก้วหูออกมาตามคำสั่งของหญิงสาว
นักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขา อินทรียักษ์สองหัวรวมทั้งมังกรวารีขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนที่หานลี่เคยเห็นก่อนหน้าทะลักออกมาจากเรือสงคราม มาตั้งแถวที่กลางอากาศรอบด้านอย่างเป็นระเบียบ จากทั้งสี่ทิศแปดด้าน กลายเป็นวงล้อมเมืองยักษ์จนไร้ช่องโหว่
หลังจากที่กองทัพเผ่าแมลงมีเขาเหล่านี้ทะลักเข้ามา หุ่นเชิดหลากสีสันก็บินออกมาจากเรือสงคราม
หุ่นเชิดเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีรูปทรงมนุษย์ เล็กน้อยก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ใหญ่หน่อยกลับสูงสิบจั้งเศษ
ส่วนหุ่นเชิดรูปอสูร มีแค่สามตัว แต่ทุกตัวล้วนมีขนาดใหญ่เป็นร้อยจั้ง
ตัวหนึ่งคล้ายเต่ายักษ์ แต่ก็มีสามหัวในเวลาเดียวกัน กระดองมีหนามแหลมๆ ใหญ่ๆ งอกออกมา อีกตัวหนึ่งหัวเหมือนสิงโตตัวเหมือนวานร เหนือหัวมีเขากวางสีทองขนาดยักษ์
ตัวที่สามกลับเป็นหุ่นเชิดอสูรที่คล้ายมดบิน ไม่เพียงขนาดตัวใหญ่สุด และยิ่งไปกว่านั้นตัวยังเป็นสีขาวผุดผ่อง ราวกับสร้างขึ้นจากผลึกหินอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นคนของเผ่าแมลงมีเขาเริ่มการโจมตีเช่นนี้ ชั่วพริบตาเมืองที่อยู่ใต้ม่านลำแสงก็เดือดพล่าน
จากม่านลำแสงยักษ์สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่า สถานที่หลายแห่งในเมืองมีเขตอาคมต่างๆ เปล่งประกายอยู่ ทันใดนั้นเสาลำแสงหนาๆ สายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเขตอาคม ทยอยกันจมหายเข้าไปในม่านลำแสงกลางอากาศ
เดิมทีม่านแสงที่ดูเหมือนของจริง พลันเปลี่ยนเป็นสีสันแวววาวเปล่งประกาย และยิ่งไปกว่านั้นอักขระจำนวนมากพลันทะลักออกมาจากม่านลำแสง
และในสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในเมืองยักษ์ พลันมีเงาร่างคนจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาพร้อมๆ กัน คนจำนวนไม่น้อยขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีพุ่งตรงไปยังเขตอาคมที่เปล่งแสงเจิดจ้าเหล่านั้น
“เริ่มโจมตี!” หญิงสาวแซ่อินที่อยู่บนเรือสงครามยักษ์พลันออกคำสั่ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หุ่นเชิดอสูรร่างกายมหึมาก็เริ่มทำการโจมตี
เห็นเพียงกระดองเต่ายักษ์มีลำแสงประหลาดไหลวนโคจร ชั่วพริบตาลำแสงเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกไป
ตัวประหลาดหัวสิงโตร่างวานรตัวนั้นอ้าปากออก พ่นเสาลำแสงสีทองสายหนึ่งออกมา ด้านในมีเสียงวายุอัสนีอยู่รางๆ
หุ่นเชิดมดยักษ์ที่เหมือนกับผลึกวานร กลับอ้าปากพ่นหมอกสีเขียวเข้มออกมาหมุนวนไป
แทบจะตามอสูรหุ่นเชิดสามหัวมาติดๆ เรือสงครามทั้งหมดเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในเวลาเดียวกัน เสาลำแสงเป็นสายๆ กรูกันเข้ามา
ชั่วพริบตาเสียงอึกทึกพลันดังขึ้น ราวกับระลอกคลื่นที่ไม่มีสิ้นสุด ดูเหมือนอัสนีฟาดเป็นระลอกๆ!
……
ตรงสันเขาในภูเขายักษ์ ในวิหารมืดสลัวแห่งหนึ่ง ทุกแห่งล้วนดูขมุกขมัว ไม่อาจมองเห็นด้านในวิหารอย่างชัดเจนได้ แต่รอบด้านกลับเงียบสงัด ไม่รู้ว่าไม่ได้มีคนมาที่นี่มากี่ปีแล้ว
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นในวิหารพลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ เขตอาคมขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นใจกลางวิหาร
เขตอาคมนี้เปล่งแสงระยิบระยับ เปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา
จากนั้นลำแสงพลันเจิดจ้า เงาร่างคนรางเลือนสองสายปรากฏขึ้นในเขตอาคม
หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียว อีกคนหนึ่งกลับผมยุ่งเหยิง ปิดบังผมไปครึ่งหน้า
นั่นก็คือหานลี่และเจี่ยเทียนมู่!
“ที่นี่ลึกลับมาก เป็นเขตอาคมส่งตัวที่เผ่าหมื่นโบราณของพวกเราสร้างขึ้น ไม่ถึงคราวอันตรายจะไม่ใช้มัน คนที่รู้มีอยู่น้อยมาก ที่นี่อยู่ห่างจากเขตที่เผ่าแมลงมีเขายึดครองมากนัก ห่างจาก ‘เมืองเมฆา’ เมืองที่สามของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราเป็นระยะทางแค่สองสามวันเท่านั้น” เจี่ยเทียนมู่กวาดตาไปรอบๆ แล้วฉีกยิ้มขณะเอ่ย
จากนั้นก็เห็นเขาชูมือข้างหนึ่งขึ้น อาคมสายหนึ่งถูกดูดเข้าไปหาผลึกศิลาเม็ดหนึ่งที่ฝังอยู่บนวิหารในละแวกนั้น
ชั่วขณะนั้นวิหารพลันเปล่งประกาย สถานที่สิบกว่าแห่งรอบกำแพงวิหารเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นมาพร้อมกัน สะท้อนวิหารทั้งหลังได้อย่างชัดเจน
หานลี่กวาดสายตาไปเช่นกัน เห็นวิหารนี้มีขนาดไม่ถึงร้อยจั้งเศษ ล้วนสร้างขึ้นจากหินยักษ์สีเขียวขาวสองสี แต่ด้านในวิหารกลับสะอาดเอี่ยม ไม่มีฝุ่นเลยสักนิด
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเอ่ยอย่างราบเรียบ
“อืม ดูท่าทางแล้วไม่มีคนมาใช้ที่นี่นานแล้วจริงๆ ทว่าที่นี่ห่างจากเมืองเมฆาที่สหายว่าเท่าไหร่? เมืองนี้มีชื่อเสียงมากสินะ ข้าเหมือนได้ยินว่ามหาอาวุโสของเผ่าหมื่นโบราณของพวกเจ้าอยู่ที่เมืองนั้น”
“อืม สหายหานก็รู้เรื่องนี้! หึๆ ทว่าวางใจ เมืองเมฆาห่างจากที่นี่เป็นระยะทางครึ่งเดือนเท่านั้น เมืองนี่คือเมืองที่ใหญ่อันดับสามในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ การก่อสร้างของมึงนี้มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมมีชื่อเสียงไม่น้อย และเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเมืองที่เผ่าแมลงมีเขาเข้าโจมตีมากที่สุด หลังจากสงครามปะทุขึ้นอย่างเป็นทางการ เมืองเมฆาคงจะเป็นศูนย์กลางของเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเรา” เจี่ยเทียนมู่กลับหัวเราะหึๆ
“อือ อย่างนั้นยิ่งดี เมืองนี้มีชื่อเสียงขนาดนี้ คิดดูแล้วคงไม่ธรรมดา ข้ากำลังอยากไปเมืองใหญ่เพื่อทำธุระสักหน่อย” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบสองสามประโยค
“ข้าน้อยพักอยู่ในถ้ำพำนักชั่วคราวในเมืองเมฆา นับว่าเป็นเจ้าบ้านครึ่งหนึ่ง หากสหายมีธุระอะไร ก็มาหาผู้แซ่เจี่ยก็แล้วกัน หากเป็นเรื่องใหญ่ก็พูดยาก เรื่องเล็กน้อยข้ามั่นใจว่าจะช่วยท่านได้แน่” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยกับหานลี่ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อผ่านเหตุการณ์ที่หานลี่สังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันสองสามคนลงอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเจี่ยเทียนมู่ย่อมรู้ว่าหานลี่ไม่ใช่เผ่าชนชั้นสูงธรรมดาๆ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะพ้นจากอันตรายแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีฐานะที่พิเศษในเผ่าหมื่นโบราณ แต่ก็ยังคงคิดจะคบค้าสมาคมกับหานลี่
“ขอบคุณสหายเจี่ย ถึงตอนนั้นผู้แซ่หานอาจจะมีเรื่องให้สหายช่วยสนับสนุน” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีแต่ก็ปฏิเสธความปรารถนาดีของอีกฝ่ายนั้น
“เมืองเมฆาในตอนนี้ หากเป็นสหายคนอื่นๆ นอกจากสิบสามเผ่าจะเข้าเมืองไปละก็ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนหน้าใหม่อย่างพี่หาน ยิ่งยุ่งยาก ทว่าข้าน้อยเห็นสหายสังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันของคนเผ่าแมลงมีเขากับตา แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้รับประกันให้สหายได้ หึๆ ทว่าจะว่าไปแล้ว พี่หานเข้ามาในเผ่าหมื่นโบราณของพวกเรา เป็นแขกผู้เกียรติเป็นอย่างไร? ข้าน้อยมั่นใจว่าสามารพูดกับคนในเผ่า และแนะนำสหายให้กับอาวุโสในเผ่าได้โดยตรง จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย จะต้องเป็นกำลังเสริมที่สำคัญกับเผ่าเราแน่ และหากเป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่าเรา ประโยชน์ที่จะได้รับก็ย่อมมากกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ หากทำอะไรในเมืองเมฆาสวรรค์ก็จะได้ลงแรงน้อยได้ผลตอบแทนสูง” เจี่ยเทียนมู่กะพริบตา ฉีกยิ้มบางๆ ขณะเอ่ย
“ขอบพระคุณความหวังดีของพี่เจี่ย แต่ข้าน้อยไม่อาจอยู่ในเมืองเมฆาสวรรค์ได้นานนัก เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ” หลังจากที่หานลี่ขบคิด ถึงได้ตอบกลับอย่างคลุมเครือ
“ก็จริง! ค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย พวกเรารีบไปที่เมืองเมฆาเถอะ ข้าน้อยมีสหายสนิทอยู่ในเมืองสองสามคน ถึงตอนนั้นจะได้แนะนำให้สหายหาน” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยอย่างกระตือรือร้น
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แต่พยักหน้าไม่ได้เอ่ยปากอะไร
ยามนี้หานลี่เดินออกมาจากเขตอาคมส่งตัว ตรงไปยังประตูวิหาร
ผลักประตูวิหาร ด้านนอกเป็นทางเดินหินสีเขียวสายหนึ่ง หมุนวนขึ้นไปด้านบน
หานลี่และเจี่ยเทียนมู่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสาย เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในทางเดิน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งและสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากสันเขาภูเขายักษ์ กะพริบวาบสองสามครั้ง แล้วพุ่งไปที่ขอบฟ้า
ตอนที่ 1576 เมืองเมฆา
“นี่คือเมืองเมฆา?” หานลี่ที่อยู่ในลำแสงสีเขียวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
“ใช่แล้ว! พอเห็นชื่อก็จะทราบความหมายแฝง เมืองเมฆาเป็นรองเพียงเกาะนภาในแดนวิญญาณ เป็นที่อยู่อาศัยประเภทที่สองที่สามารถลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าได้ แม้ว่าจะไม่เหมือนเกาะนภาที่สามารถเคลื่อนย้ายไปตามแรงลมได้ แต่เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถเพิ่มระดับความสูงได้อย่างอิสระ” เจี่ยเทียนมู่ที่ยืนอยู่ข้างกายหานลี่ ลูบเคราสั้นๆ ใต้คางพลางตอบอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ
ยามนี้เขาสองคนอยู่เหนือยอดเขาเล็กๆ และไกลออกไปสองสามร้อยลี้ก็เป็นเมืองขนาดยักษ์ลอยนิ่งอยู่
เมืองอยู่สูงจากพื้นดินไปสองสามหมื่นจั้ง ไม่เพียงจะมีเมฆาสีขาวลอยคลอเคลียอยู่ ตัวมันยังสร้างขึ้นจากวัตถุดิบสีขาวที่ไม่รู้จักชนิดหนึ่ง
เมืองที่อยู่สูงนี้มีขนาดภายนอกใหญ่มหึมา ทำให้คนที่เห็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตะลึง
สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างหนึ่งคือลูกบอลยักษ์สีขาวบริสุทธิ์สิบกว่าดวงที่วนล้อมรอบเมืองยักษ์อยู่ ทุกดวงมองไกลๆ ดูเหมือนไม่ใหญ่มากนัก แต่หากเข้ามาใกล้ กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นหมื่นจั้ง
ส่วนจำนวนที่แน่นอนของลูกบอลเหล่านี้นั้น เป็นเพราะเห็นเมืองเมฆาแค่ด้านเดียว หานลี่จึงไม่อาจคาดเดาจำนวนที่แน่นอนได้
“นั่นคืออะไร” หลังจากที่หานลี่ตกตะลึงแล้ว ก็ชี้ไปที่ลูกบอลเหล่านั้น แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“สหายหานหมายถึงเหล่าผู้พิทักษ์เมืองเมฆาสินะ! พวกมันเป็นผลงานอันพิถีพิถันของความร่วมมือจากเผ่าหมื่นโบราณและเผ่ารังไหมศิลา เป็นหนึ่งในอาวุธป้องกันของเมืองเมฆา ส่วนสภาพการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น หลังจากสหายเข้าไปในเมืองเมฆาแล้วไปสอบถาม ก็จะรู้แล้ว ฮ่าๆ ตอนนี้ถูกผู้แซ่เจี่ยแสร้งสร้างสถานการณ์แล้ว!” เจี่ยเทียนมู่เผยรอยยิ้มลึกลับขณะเอ่ย
หานลี่ได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกหมดคำพูด
ทว่าเขากลับไม่ได้ซักถามเรื่องนี้อย่างไม่ยอมลดละ ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีทั้งที่ยังรู้สึกประหลาดใจกับเมืองแห่งนี้ แล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เจี่ยเทียนมู่เองก็กลายเป็นลำแสงสีขาวไล่ตามไปติดๆ
ระยะห่างสองสามร้อยลี้ ไม่รอให้เข้าใจเมืองสถานการณ์คร่าวๆ ของเมือง แต่เมื่อเข้าใกล้เมืองนี้ในระยะสองสามร้อยลี้ ความใหญ่ยักษ์ของ ‘เมืองเมฆา’แม้หานลี่จะมีประสบการณ์มามากมาย เมื่อเห็นชัดๆ ก็ยังอดที่จะสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้
ระยะใกล้แค่นี้ เมืองเมฆาแทบจะปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
ระหว่างทางพวกเขาเริ่มมองเห็นลำแสงหลีกหนีของผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าคนอื่นๆ รวมทั้งยุทธภัณฑ์เหาะเหินต่างๆ อย่างรถอสูร เรือวิญญาณ
จากนั้นก็เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าเองก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด
เมื่อหานลี่ใช้ตาเนื้อก็สามารถเห็นลูกบอลยักษ์ลูกหนึ่งที่อยู่ตรงทิศทางของตนเอง รอบๆ มีลำแสงหลีกหนีสัญจรไปมาอยู่จำนวนมาก แลเท่าที่ตามองเห็น ล้วนมีอยู่เต็มไปหมด
ทว่าไม่ใช่แค่นั้นแทบจะทุกคนเมื่อเข้าใกล้ลูกบอลยักษ์นั่น ก็จะอ้อมไปอย่างว่าง่าย ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเฉียดลูกบอลลูกนี้
หานลี่เห็นเช่นนั้น ย่อมทนไม่ไหวพิจารณามองอย่างละเอียดสองสามแวบ
ส่วนลึกในรูม่านตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวของลูกบอลแทบจะปรากฏอยู่ในสายตาของเขาใกล้แค่คืบ
เห็นได้ชัดว่าภายนอกของสิ่งยักษ์นี่ใช้วัตถุดิบเดียวกันกับเมืองเมฆา แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่า ผิวของลูกบอลดูเหมือนจะเป็นผิวสีขาวที่เรียบลื่น คาดไม่ถึงว่าจะมีร่องรอยจางๆ
ผิวของลูกบอลเหล่านี้ราวกับใช้วัตถุดิบจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบเข้าด้วยกัน และวัตถุดิบที่ประกอบเข้าด้วยกันนั้น ทุกชิ้นต่างแฝงอักขระสีทองเงินสองสีเอาไว้ ทำให้ผิวของลูกบอลเหล่านี้ดูลึกลับเป็นอย่างมาก
หานลี่ขมวดคิ้ว และกวาดจิตสัมผัสไปบนลูกบอลลูกนี้อย่างไม่เกรงใจ
ผลคือเมื่อสัมผัสกับผิวของลูกบอล ก็จะถูกพลังต้องห้ามที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งดีดออกมา ไม่อาจเข้าไปในลูกบอลได้เลยสักกระผีก
หานลี่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ของลึกลับเช่นนี้ หากถูกเขาสำรวจด้านในอย่างง่ายๆ มันจะทำให้เขาตกตะลึงเสียมากกว่า
“สหายโปรดจำไว้หากในตัวท่านมีสมบัติและวัตถุดิบธาตุทอง ห้ามเข้าใกล้พวกมันในระยะพันจั้ง มิเช่นนั้นสิ่งของธาตุทองทั้งหมดจะถูกพวกมันดูดและกลืนลงไป และความเสียหายทั้งหมดนี้ เมืองเมฆาจะไม่รับผิดชอบ” เจี่ยเทียนมู่เห็นหานลี่พิจารณาลูกบอลอยู่ไกลๆ ก็เอ่ยปากตักเตือน
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หานลี่อึ้งไปเล็กน้อย สายตากวาดไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกนั้น ความจริงแล้วก็เชื่อถือไปแล้วเจ็ดแปดส่วน
ลำแสงหลีกหนีจำนวนไม่น้อยรอบๆ เปลี่ยนทิศทาง ทยอยกันบินไปทางประตูเมืองยักษ์ของเมืองเมฆา
ตรงประตูเมืองผู้พิทักษ์ประตูสวมชุดเกราะยี่สิบสามสิบคน กำลังยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของประตูเมืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และตรวจสอบอะไรสักอย่างกับคนที่อยากจะเข้าไปในประตูเมือง
การตรวจสอบที่ละเอียดรอบคอบเช่นนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยากเข้าเมืองเท่านั้น หากอยากออกไป ก็ไม่มีใครเข้าไปซักถามเลยสักนิด
และเกราะสงครามที่ผู้พิทักษ์ประตูเหล่านั้นสวมอยู่ ก็ปกคลุมอย่างแน่นหนาตั้งแต่หัวจรดหาง แต่ล้วนมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน มีความแตกต่างกันมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนในเผ่าเดียวกัน
เมื่อหานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ สองตาก็อดที่จะหรี่ลงไม่ได้ แต่ลำแสงหลีกหนีก็ไม่ได้หยุดลง ชั่วครู่ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูเมืองพร้อมกับเจี่ยเทียนมู่
ยามนี้ลำแสงหลีกหนีที่อยู่รอบๆ พลันร่อนลงมาด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ผู้บำเพ็ญเพียรที่เตรียมจะรับการตรวจสอบ มีอยู่สิบกว่าคน
ความจริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า ‘การตรวจสอบ’ เป็นแค่จานอาคมลักษณะพิเศษที่ผู้พิทักษ์สองสามคนถือเอาไว้ ตรวจสอบใบหน้าของคนแปลกหน้าไปมาไม่หยุด ในเวลาเดียวกันอีกคนหนึ่งก็หยิบของอีกชิ้นออกมาอย่างรวดเร็ว ฟังไปพลาง เพิ่มเจ้าสิ่งนั้นเข้าไปไปพลาง
กลางอากาศของเมืองเมฆาไม่ได้มีเขตอาคมม่านลำแสงต่างๆ ปรากฏขึ้น แต่กลางอากาศของเมืองเมฆากลับว่างเปล่า ไม่มีลำแสงหลีกหนีสักสายกล้าบินข้ามผ่านกำแพงเมืองสูงสองสามร้อยจั้งเข้าไปในเมืองตรงๆ
ครั้งนี้เจี่ยเทียนมู่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร หลังจากฉีกยิ้มน้อยๆ ฉับพลันนั้นก็รอให้ชนต่างเผ่าที่เข้ารับการตรวจสอบเดินเข้าไปสองสามคน
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวที่เหมือนกับการ ‘แซงแถว’ย่อมทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าส่วนใหญ่นั้นล้วนอยู่ในระดับสร้างปราณและหลอมรวม เมื่อกวาดจิตสัมผัสมาที่เจี่ยเทียนมู่ ผมว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าเบื้องบนคนหนึ่ง ทันใดนั้นก็ปิดปากฉับไม่พูดอะไร แม้กระทั่งไม่กล้าเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา
แต่เมื่อเห็นการกระทำของเจี่ยเทียนมู่ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของผู้พิทักษ์ สายตาเย็นชาสองสามสายกวาดไปบนร่างของเจี่ยเทียนมู่
พลังยุทธ์ของคนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าเจี่ยเทียนมู่
แต่เมื่อเจี่ยเทียนมู่เจอเหตุการณ์นี้ กลับสะบัดแขนเสื้อไปอย่างไม่รีบร้อน แผ่นป้ายสีดำสนิทขนาดเท่าฝ่ามือบินออกไป ตรงไปยังผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นผู้นำ
แววตาของผู้พิทักษ์คนนั้นฉายแววตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองคว้าแผ่นป้ายเอาไว้ และก้มหน้าลงเพ่งพินิจมอง
และแทบจะในเวลาเดียวกัน เจี่ยเทียนมู่พลันขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ไม่รอให้ได้เปล่งเสียงใดๆ ก็สำแดงเคล็ดวิชาถ่ายทอดเสียง!
แต่สิ่งที่ทำให้ชนต่างเหล่านั้นประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ผู้พิทักษ์คนนั้นมองเห็นแผ่นป้ายในมือ แววตาพลันฉายแววตื่นตะลึง จากนั้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ถ่ายทอดไปของเจี่ยเทียนมู่ ชั่วขณะนั้นก็ไร้ซึ่งความสงสัย ทันใดนั้นพลันสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว คืนแผ่นป้ายในมือให้เจี่ยเทียนมู่ และคารวะอย่างนอบน้อมพลางเอ่ยว่า
“ที่แท้ก็เป็นปรมาจารย์เจี่ยของเผ่าหมื่นโบราณ! เชิญท่านปรมาจารย์รีบเข้ามาเถิดขอรับ อาวุโสของเผ่าท่านได้กำชับเอาไว้ตั้งนานแล้ว หากท่านปรมาจารย์กลับมาถึงเมืองเมฆาอย่างปลอดภัย ให้เชิญท่านไปพบพวกเขาที่หออาทิตย์อุทัย ใช่แล้ว เนื่องจากตอนนี้ในเมืองอาจจะมีจารชนจากเผ่าแมลงมีเขาแอบลักลอบเข้ามา ข้าน้อยจะส่งคนไปคุ้มครองท่านปรมาจารย์ไปส่งที่หออาทิตย์อุทัย”
“อ๋อ เหล่าอาวุโสล้วนอยู่ที่หออาทิตย์อุทัย! ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็จะไปพบพวกเขาทันที ส่วนเรื่องคุ้มครองนั้น ไม่ต้องหรอก มีสหายหานร่วมเดินทางไปกับข้า ขอแค่ไม่ถูกระดับผสานอินทรีย์ลอบโจมตี ก็ปลอดภัยแล้ว พวกเจ้าจัดการธุระของพวกเจ้าเถิด ใช่แล้ว สหาpหานไม่ใช่คนของเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเรา เตรียมป้ายแสดงฐานะที่เป็นอิสระระดับสูงที่สุดให้เขาด้วย ข้าเป็นคนรับประกันเขาเอง” เจี่ยเทียนมู่หลังรับแผ่นป้ายมา แล้วใช้น้ำเสียงออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
“ขอรับ ท่านปรมาจารย์!” ผู้พิทักษ์คนนั้นได้ยินแล้วพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยปากตอบรับ
ยามนั้นหานลี่พลันเดินไปอย่างไม่รีบร้อน
เหล่าผู้พิทักษ์พลันใช้จานอาคมในมือกวัดแกว่งไปมาทางเขาพร้อมกัน
หานลี่สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดจางๆ ที่แผ่ออกมาจากจานอาคมประหลาดเหล่านั้น จากนั้นพลังจิตสัมผัสสองสามกลุ่มก็ปล่อยออกมาจากร่างของเหล่าผู้พิทักษ์ จากนั้นคาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกัน กวาดไปบนร่างของหานลี่
หานลี่พลันตะลึงงัน จากนั้นแววตาพลันฉายแววตกตะลึง
เคล็ดวิชาที่สามารถนำจิตสัมผัสของคนสองสามคนมาผนึกรวมกัน เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เมืองเมฆาคู่ควรกับที่เป็นศูนย์กลางของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์จริงๆ แค่ผู้พิทักษ์ประตูเมืองคนหนึ่งก็ยังมีเคล็ดวิชาลับที่น่าเหลือเชื่อ
ทว่าหลังจากผู้พิทักษ์เหล่านั้นตรวจสอบพลังยุทธ์ของหานลี่ ชั่วขณะนั้นแต่ละคนพลันใจหายวาบ
เผ่าเบื้องบนระดับเจ็ด แม้ว่าจะเป็นเผ่าที่เป็นพันธมิตรกับสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ ก็ยังหาได้ยาก
ทันใดนั้นหลังจากผู้ที่เป็นผู้นำมองจานอาคมไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองจากโลหิตเผ่าแมลงมีเขา ทันใดนั้นก็ผ่อนคลายลงพลางเอ่ยกับหานลี่
“ท่านอาวุโส! ในเมื่อมีปรมาจารย์เจี่ยรับประกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังผ่านการตรวจสอบขั้นแรกของข้า พวกเราจะมอบป้ายแสดงฐานะชนชั้นสูงให้ท่านป้ายหนึ่ง หลังจากรับแผ่นป้ายไปแล้ว นอกจากสถานที่ลับในเมืองเมฆา ที่เหลือท่านอาวุโสก็สามารถเข้าออกได้ทุกแห่ง”
“รบกวนนายท่านแล้ว!” หานลี่กลับเผยท่าทีเป็นมิตรออกมา
ผู้พิทักษ์ระดับเทพแปลงคนนั้น จึงเอ่ยปากว่ามิกล้าๆ อย่างเกรงใจ
ส่วนเรื่องที่จะส่งคนไปคุ้มครองเจี่ยเทียนมู่นั้น แน่นอนว่ายามนี้ย่อมไม่ต้องพูดถึง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คิดว่า มีหานลี่ผู้ซึ่งอยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนระดับเจ็ดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องส่งใครไปอีก
เรื่องต่อจากนี้ก็ง่ายขึ้นแล้ว ชั่วครู่คนเหล่านั้นก็หลอมแผ่นป้ายหยกที่มีข้อมูลคร่าวๆ ของหานลี่เสร็จ แล้วส่งให้หานลี่ จากนั้นผู้ที่เป็นผู้นำก็โบกมือ ชั่วขณะนั้นพลันเกิดทางเดินสายหนึ่ง
เจี่ยเทียนมู่เองก็ไม่ได้เกรงใจ สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไปในเมือง หานลี่เองก็ตามไปติดๆ อย่างไม่รีบร้อน
“สหายเจี่ย เคล็ดวิชาที่คนเหล่านั้นใช้ผนึกรวมจิตสัมผัสเมื่อครู่ มันคือเคล็ดวิชาลับใดกันแน่ หากใช้เคล็ดวิชาลับเช่นนี้ต่อกรกับศัตรูจะไม่เป็นเครื่องมือสังหารชั้นหนึ่งหรือ!” เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในประตูเมือง หานลี่ก็เอ่ยปากขึ้นทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น