คัมภีร์วิถีเซียน 1574.1-1574.2
ตอนที่ 1574-1 ไข่มุกผสมจิตสัมผัส
ยามนี้เสาลำแสงสีดำสองสายและลำแสงสีเหลืองสิบกว่าสายพลันพุ่งเข้าไปหาวิหคยักษ์ หมายจะโจมตีไปบนร่างของวิหคยักษ์ขนาดมหึมา
แต่ฉับพลันนั้นพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงแวววาวชั้นหนึ่งปรากฏออกมาจากในร่างของวิหคยักษ์
เสาลำแสงสองสายและลำแสงสีเหลืองสิบกว่าสายโจมตีไปยังลำแสงแวววาว คราแรกพลันหยุดชะงัก จากนั้นพลันเปลี่ยนทิศทาง คิดไม่ถึงว่าจะบินออกมาจากผิวของวิหคยักษ์ และโจมตีเข้ากับความว่างเปล่า
เสาลำแสงสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ ส่วนลำแสงสีเหลืองสิบกว่าสายพลันกะพริบวาบสองสามครั้ง แล้วหมุนวนพุ่งกลับไปหาวิหคยักษ์อีกครั้ง
แต่วิหคยักษ์แค่กระพือปีกทั้งสองข้าง
ชั่วขณะนั้นพายุสีขาวลูกยักษ์พลันปรากฏขึ้น เมื่อลำแสงสีเหลืองเข้ามาประชิดร่าง ก็ถูกม้วนไปที่ใดก็สุดจะรู้ได้
จากนั้นผิวของวิหคยักษ์พลันมีประกายไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายพลิ้วไหว กระโจนเข้าหาคนแคระท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามอย่างต่อเนื่อง
คนแคระมองเห็นหานลี่สังหารหญิงชราได้อย่างง่ายดายและยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีของตนเองยังถูกดีดกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา สีหน้าก็ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นวิหคยักษ์กระโจนเข้ามาอีก สีหน้าก็ซีดเผือด
แต่พลันใช้เท้าข้างหนึ่งตบลงไปบนเมฆสีเงินอย่างแทบไม่ต้องขบคิด ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง
ครู่ต่อมาพลันปรากฏขึ้นด้านข้างชายประหลาดเท้าเปลือย
จากนั้นเขาพลันชี้นิ้วไปที่ชามไม้สีเขียวมรกตข้างกาย สิ่งนั้นกลายเป็นม่านลำแสงสีเขียว คุ้มครองร่างของเขาเอาไว้
ชายประหลาดเท้าเปลือยพลันมีสีหน้าเขียวคล้ำเป็นพิเศษ หลังจากร้องตะโกนออกมา บนปลอกแขนสีดำสนิททั้งสองข้างพลันมีหมอกสีดำทะลักออกมา ชั่วพริบตาก็กลืนเขาและคนแคระที่อยู่ข้างกายเข้าไปพร้อมกัน
หมอกสีดำหมุนตัวไปทั่วสารทิศ และกระจายตัวออกมาไม่หยุด ชั่วพริบตาก็กินพื้นที่สามสิบจั้งเศษ และยิ่งไปกว่านั้นยังแผ่ออกมาไม่หยุด
เสียงกรีดร้องของภูตผีดังออกมาจากม่านหมอกสีดำ และยิ่งไปกว่านั้นเงาภูตยังปรากฏออกมารางๆ เป็นสายๆ
ส่วนกลิ่นอายของชายประหลาดเท้าเปลือยและคนแคระต่างก็สลายหายไปท่ามกลางเมฆหมอก
ยามนี้หานลี่ที่กลายเป็นวิหคยักษ์ เป็นเพราะคนแคระชิงหนีไปก่อน แน่นอนว่าจึงเปลี่ยนทิศทาง กลับไปมองทะเลหมอกสีดำที่ทะลักออกมา
“ไอทมิฬ!” เขาแทบจะรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของหมอกสีดำเหล่านี้ได้ในปราดเดียว และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไอทมิฬที่บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
หากผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาไม่ทันระวัง แล้วถูกหมอกนี้ม้วนเข้าไป เกรงว่าคงกลายเป็นซากแห้งในชั่วพริบตา
แต่เมื่อหานลี่มองเห็นผลลัพธ์ของหมอกทมิฬเหล่านี้ แววตาที่แปลงเป็นวิหคยักษ์ก็ฉายแววแปลกประหลาด
ไม่รอให้เขาที่กลายเป็นวิหคยักษ์แสดงท่าทีใดๆ อสูรวิญญาณครวญที่มองการต่อสู้อยู่ด้านข้างไกลออกไป ก็เปล่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจออกมา ปากก็เปล่งเสียงเพรียกอันไพเราะออกมาเช่นกัน ปีกทั้งสองกระพือออก ประจุไฟฟ้าบนร่างระเบิดออกมา กลายเป็นลูกบอลไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบอยู่เหนือหมอกสีดำ
และเมื่อสายฟ้ากะพริบวาบแล้วสลายหายไปแล้ว เสียงฟ้าผ่าดัง “เปรี้ยง” ก็ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีขาวราวกับโอ่งน้ำสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นบนหมอกสีดำ
วิหคยักษ์ร่างกายราวกับภูเขาขนาย่อมเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางประจุไฟฟ้า และหลังจากหมุนวน ก็ทำท่าเหมือนจะร่วงดิ่งลงสู่หมอกด้านล่าง
“รนหาที่ตาย!” แน่นอนว่าชายประหลาดเท้าเปลือยที่เอาแต่แอบอยู่ในหมอกสีดำ แค่ในมือมีธงสีดำปรากฏขึ้นด้ามหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางของหานลี่ ก็ไม่โกรธแต่กลับดีใจ
หลังจากเสียงตะโกนดังขึ้น ธงสีดำในมือของเขาพลันพลิ้วไหว
ชั่วขณะนั้นหมอกสีดำผืนใหญ่พลันรวมตัวกันแล้วหมุนวนไปบนท้องฟ้า หน้าผีสีดำขนาดสองสามหมู่พลันปรากฏขึ้น และดูราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของหน้าผีเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ อ้าปากออกพุ่งเข้าไปหาวิหคยักษ์กลางอากาศ
แต่ในยามนั้นเองลำแสงเทวะดูดวิญญาณกลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วม้วนวนจนมาถึงตรงนี้
วินาทีที่ลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ เพิ่งจะบินมาถึงหน้าผี พริบตานั้นก็เผยสีหน้าหวาดผวาพลางร้องครวญครางออกมา
หน้ายักษ์เริ่มบิดเบี้ยว จากนั้นเสียง “สวบ” ก็ดังขึ้นกลายเป็นไอสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกลำแสงสีเหลืองม้วนเข้าไปข้างใน
ไม่เพียงแค่นั้นพริบตาที่ลำแสงสีเหลืองปรากฏขึ้น หมอกสีดำทั้งผืนเบื้องล่างพลันหมุนวน
ทุกแห่งที่ลำแสงสีเหลืองกวาดผ่านไป หมอกสีดำพลันกลายเป็นเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
หากเปลี่ยนเป็นอสูรวิญญาณครวญในอดีต แม้ว่าจะพลังควบคุมพลังทมิฬ แต่อยากดูดซับไอทมิฬจำนวนมากขนาดนี้ ก็ต้องเสียแรงเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากผ่านการพัฒนาระดับขั้นมามากมายขนาดนี้ ลำแสงเทวะดูดวิญญาณจึงเพิ่มอานุภาพขึ้นไม่น้อย กลายเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
หมอกสีดำจำนวนมากขนาดนี้แทบจะถูกม้วนไปกว่าครึ่งได้ในชั่วพริบตา
ชายประหลาดเท้าเปลือยและคนแคระที่เดิมที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีดำ ปรากฏตัวขึ้นรางๆ ท่ามกลางม่านหมอกที่จางลง และยิ่งไปกว่านั้นครู่ต่อมาก็เผยร่างกายออกมาอย่างหมดจด
ชายประหลาดเท้าเปลือยถือธงด้วยสองแขน ใบหน้าเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
ในเวลาเดียวกันที่ทั้งสองเผยร่างออกมา วิหคยักษ์พลันโฉบลงมาหาทั้งสอง กรงเล็บยักษ์ทั้งสองแยกออก ตะปบไปหาทั้งสองคน
สิ่งที่ถึงชีวิตยิ่งกว่าก็คือ ปีกทั้งสองข้างของวิหคยักษ์มีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ค่อยๆ กระพือไปด้านล่างพร้อมกัน
ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนประหลาดและคนแคระกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านตึงเครียด จากนั้นพลังมหาศาลไร้รูปร่างก็กดลงมาที่ไหล่ของทั้งสองคนราวกับภูเขาไท่ซาน
ชายประหลาดเท้าเปลือยยังพอว่า แค่ขาสั่นเทา อาศัยพลังยุทธ์ที่ไม่อ่อนแอ พอฝืนต้านทานเอาไว้ได้
แต่คนแคระที่มีพลังยุทธ์สู่สหายร่วมวิถีไม่ได้ ผลคือแค่นเสียงด้วยความกลัดกลุ้มออกมา ชั่วครู่ก็ถูกกดจนขาข้างหนึ่งคุกลงไปกับพื้น ลำแสงสีเขียวบนร่างของเขาเริ่มบิดเบี้ยวจนถึงขีดสุด ในเวลาเดียวกันเหนือหัวก็เริ่มเว้าลงมา สั่นเทาอย่างหนักไม่หยุด ราวกับว่าจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
นี่จึงทำให้คนแคระผู้ที่รู้จักพลังป้องกันของสมบัติของตนเองดี รู้สึกตกตะลึงจนหาที่เปรียบมิได้
แต่เมื่อทั้งสองเห็นกรงเล็บยักษ์ตะปบลงมา แม้ว่าร่างกายในยามนั้นจะหนักอึ้ง ก็ไม่อาจหลบหลีกได้เลยสักนิด แต่แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางยอมนิ่งงันรอความตาย
ทันใดนั้นชาวประหลาดเท้าเปลือยก็ฝืนยกแขนที่สั่นเทา ธงสีดำในมือไม่เพียงหมุนคว้าง กลายเป็นมังกรวารีหมอกพุ่งออกไปกลางอากาศ ปลอกแขนสีดำทั้งสองข้างมีลำแสงประหลาดไหลเวียนไปมาเป็นระลอกๆ เงาลวงตาสายหนึ่งบินออกมาจากด้านใน
หานลี่เพ่งพินิจมองไป คาดไม่ถึงว่าจะเป็นภูตอัปลักษณ์สีแดงและเขียวสองตัว หน้าตาของภูตผีดูโหดเ**้ยม บนหัวมีเขางอกออกมาคู่หนึ่ง ในเวลาเดียวกันกายท่อนบนกลับเปลือยเปล่า กายท่อนล่างมีหนังอสูรนิรนามบดบังอยู่ แขนทั้งสองของภูตชูขึ้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำผืนหนึ่งพลันบินไล่ตามมังกรวารีหมอกออกมา
ส่วนคนแคระที่อยู่ด้านข้างพลันเปิดส่วนตรงหน้าผากออก กระบี่เล่มเล็กสีขาวหยกเล่มหนึ่งบินออกมา สั่นเทาเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งเจิดจ้า ฟันไปที่กรงเล็บยักษ์
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังร้อนใจ ก็ดูเหมือนว่าจะพยายามสู้จนสุดชีวิตแล้ว
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง เรือสงครามสีทองลำนั้นปล่อยเสาลำแสงสีขาวออกมา พุ่งตรงไปหาวิหคยักษ์
วิหคยักษ์ยังพุ่งลงไปด้านล่างอย่างไม่มีท่าทีจะหยุดยั้งเลยสักนิด แต่ลำแสงแวววาวบนร่างกลับเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นโล่แวววาวใบหนึ่งบินออกมาจากร่าง
ยามแรกโล่ใบนั้นมีขนาดแค่สองสามจั้ง แต่หลังจากบินออกมาก็กลายเป็นโล่ยักษ์ขนาดยี่สิบกว่าจั้งในพริบตา
แวววาวโปร่งใส ดูงดงามท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา!
เสาลำแสงเหล่านั้นทยอยกันโจมตีไปบนโล่ยักษ์ จากนั้นลำแสงพลันเปล่งประกาย ทำให้การโจมตีเหล่านั้นบิดเบี้ยวพุ่งไปทางอื่น
การโจมตีของเรือสงครามไม่อาจสร้างผลกระทบต่อการโจมตีของหานลี่ได้แม้เพียงนิด
“ปัง” เสียงดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีขาวหยกกลายเป็นสายรุ้ง ชิงไปอยู่บนกรงเล็บก่อน
แต่ครู่ต่อมาก็ถูกดีดออกมาอย่างง่ายดาย แต่ทันใดนั้นกรงเล็บยักษ์พลันประสานกัน คิดไม่ถึงว่าจะตะปบสายรุ้งสีขาวเอาไว้ในมือ
ปล่อยให้มันดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่กลับไม่อาจออกจากพันธนาการของกรงเล็บนี้ได้
จากนั้นเสียงก้องกังวานพลันดังขึ้น คิดไม่ถึงว่ากระบี่บินเล่มนี้จะถูกพลังมหาศาลของกรงเล็บยักษ์บีบจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ชั่วขณะนั้นคนแคระที่อยู่ด้านล่างพลันร้องคร่ำครวญออกมา กระอักโลหิตสดๆ ออกมาสองสามครั้ง
กรงเล็บยักษ์จึงถือโอกาสนี้กดลงมา แค่กะพริบวาบ ก็ตะปบม่านลำแสงสีเขียวด้านล่างเอาไว้ได้
แม้จะเป็นคนแคระในม่านลำแสง ยามนั้นก็หน้าถอดสี
แต่ลำแสงสีเขียวก็ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะถูกการประสานมือของกรงเล็บยักษ์ ก็ยังเปล่งเสียงกึกๆ ของแรงเสียดสีออกมา แต่ยามนั้นคาดไม่ถึงว่าจะยังไม่พังทลาย
อีกด้านมังกรวารีหมอกตัวนั้นดูดซับหมอกสีดำเข้าไปในร่าง ร่างกายก็ดูเสมือนจริงขึ้น เผยเกล็ดสีดำเงามะเมื่อมออกมา ร้องคำรามด้วยท่าทีอันดุดัน สะบัดหัวสะบัดหางชนเข้ากับกรงเล็บยักษ์อีกข้างหนึ่ง
กรงเล็บยักษ์นี้หยุดชะงัก คิดไม่ถึงว่าจะถูกมังกรวารีสีดำต้านทานเอาไว้จนไม่อาจลดระดับลงมาได้
แววตาของหานลี่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่วิหคยักษ์พลันอ้าปาก พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินออกมา ในเวลาเดียวกันหัวก็จิกไปอีกด้าน
ชั่วขณะนั้นเสียง “ตูม” พลันดังขึ้น มังกรวารีสีดำที่ต้านกรงเล็บยักษ์เอาไว้ถูกลูกบอลเพลิงโจมตี เผาไหม้ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน
มังกรวารีหดเล็กลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ราวกับถูกเปลวเพลิงสีเงินกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น
และยามนั้นเองปากที่แหลมคมของวิหคยักษ์ก็จิกลงไปที่ม่านลำแสงสีเขียวที่กรงเล็บยักษ์อีกข้างตะปบอยู่
หลังจากเสียงกึกก้องดังขึ้น ม่านลำแสงที่แต่เดิมสั่นไหวไปมา ก็ไม่อาจต้านทานได้อีกมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
คนแคระที่อยู่ด้านในไม่อาจต้านทานได้อีก ถูกกรงเล็บยักษ์บีบจนระเบิดออก แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ภายในก็ไม่อาจหนีออกมาได้ สลายหายไปท่ามกลางหมอกโลหิต
สถานการณ์ของชายประหลาดเท้าเปลือยด้านล่างก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก เพราะมังกรวารีสีดำกลางอากาศหดเล็กลงหนึ่งในสามส่วน จึงไม่อาจต้านทานพลังมหาศาลของกรงเล็บยักษ์ได้ ถูกตะปบจนสลายหายไปอย่างง่ายดาย
จากนั้นกรงเล็บยักษ์นี้ก็ถูกเปลวเพลิงสีเงินห่อหุ้ม แล้วตะปบไปทางชายประหลาดเท้าเปลือย
วินาทีที่ชายประหลาดเท้าเปลือยเห็นคนแคระถูกสังหาร พลันหน้าเปลี่ยนสี ตอนนี้มองเห็นว่าตัวเองอาศัยสมบัติ คิดไม่ถึงว่าจะต้านทานไม่ไหว ในที่สุดแววตาก็เผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมา แต่ครู่ต่อมาก็กัดฟัน เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ยาวๆ ออกมา
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น ผิวของชายประหลาดเท้าเปลือยมีลำแสงโลหิตปรากฏขึ้น ร่างกายระเบิดออกอย่างไม่คาดคิด
ลำแสงโลหิตเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งกะพริบเรืองๆ กลายเป็นดวงอาทิตย์โลหิตขนาดเท่าล้อรถดวงหนึ่ง
แม้ว่ากรงเล็บยักษ์จะห่อหุ้มเปลวเพลิงสีเงินเอาไว้ แต่ก็ถูกดวงอาทิตย์ดีดออกมาได้อย่างง่ายดาย ยามนี้ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
และถือโอกาสนี้เงาโลหิตจางๆ สายหนึ่งพุ่งออกมาจากลำแสงสีโลหิตได้ยี่สิบสามสิบจั้ง แล้วเคลื่อนไหวอีกครั้ง จนออกห่างมาร้อยจั้งเศษ ห่างจากเรือสงครามที่ไร้ความเสียหายไม่ไกลนัก
หานลี่มีเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางไม่เห็นเงาโลหิตนี้ ทันใดนั้นก็ไม่สนลำแสงสีโลหิตด้านล่าง ร่างกายบิดเบี้ยว ไล่ตามไปในทันใด
แต่ในยามนั้นเองเสาลำแสงสีทองสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากอีกด้านอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง แค่กะพริบวาบก็โจมตีเข้ากับเงาโลหิตที่ปรากฏตัวอีกครั้งด้านบนเรือสงครามอย่างพอดิบพอดี
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนร่างของเงาโลหิต
หลังจากที่เงาโลหิตเปล่งเสียงร้องครวญครางออกมา ก็กลายเป็นกลุ่มควันแล้วหายวับไปท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีทอง
“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย!”
เมื่อเห็นฉากที่คุ้นเคย หานลี่พลันตะลึงงัน!
ตอนที่ 1574-2 ไข่มุกผสมจิตสัมผัส
เขาหันหน้าไปมองลำแสงสีทอง
เห็นเพียงไกลออกไปชนต่างเผ่าผมยาวออกจากลูกบอลยักษ์สีทองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และตอนนี้ข้างกายกลับมีหุ่นเชิดร่างมนุษย์สีฟ้าสูงสองจั้งปรากฏขึ้น
หุ่นเชิดตัวนี้มีลำแสงแผ่ออกมาจากเรือนร่าง ชูแขนข้างหนึ่งขึ้น นิ้วทั้งห้า หว่างนิ้วทั้งห้ามีลำแสงสีทองสว่างวาบ
ชนต่างเผ่านามว่าเจี่ยเทียนมู่ผู้นี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้พกหุ่นเชิดระดับสูงมาแค่สองตัว และยิ่งไปกว่านั้นหุ่นเชิดที่ปรากฏขึ้นใหม่สามตน ยังสามารถปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้
นี่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่
ทว่าหานลี่ตกตะลึงแค่เพียงชั่วครู่!
ครู่ต่อมาวิหคยักษ์พลันกระพือปีกทั้งสองข้าง ชั่วขณะนั้นพายุลูกใหม่พลันมาอยู่เหนือเรือสงครามสีเงินลำนั้น เรือนร่างเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นกว่าครึ่งอีกครั้ง
จากนั้นกรงเล็บยักษ์สองข้างพลันมีสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ตะปบลงมาอย่างแรง
เสียง “กึกๆ” ดังขึ้น กรงเล็บยักษ์สองข้างจมหายเข้าไปในเรือสงครามในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็แยกออกซ้ายขวา
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าหนาๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา จมหายเข้าไปในรูอย่างไร้ร่องรอย
ประจุไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ในเรือสงครามมีเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้น ไม่รู้ว่ามีเผ่าแมลงมีเขาจำนวนเท่าไหร่ที่ถูกประจุไฟฟ้าสังหารทิ้ง
วิหคยักษ์ยังไม่หยุดแค่นั้น!
ปีกทั้งสองกระพือมาด้านล่าง พายุหมุนสีขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
วิหคยักษ์ปล่อยกรงเล็บทั้งสอง ชั่วขณะนั้นเรือสงครามขนาดยักษ์ที่ถูกพายุหมุนหมุนเข้าไป พลันหมุนติ้วๆ แล้วร่อนลงมาข้างล่าง
หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น เรือสงครามก็กดลงมาถึงพื้นดิน
วิหคยักษ์เปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา หุบปีกทั้งสองข้าง ลำแสงสีเขียวสว่างวาบพลางหดเล็กลง ชั่วพริบตาก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์
หานลี่กวาดสายตาไปพื้นแวบหนึ่ง สองมือร่ายอาคม
กระบี่เล่มเล็กสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มปรากฏขึ้นรอบๆ ด้าน แค่สั่นเทาก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวยี่สิบสามสิบสายพุ่งลงไปพร้อมกัน
ชั่วพริบตาเรือสงครามด้านล่างก็ถูกกระบี่ลำแสงจำนวนมากสับออกเป็นเจ็ดแปดส่วน สุดท้ายก็เปล่งเสียงร้องกึกๆ ออกมาแล้วระเบิดออก
เรือสงครามที่กำลังร่อนลงมาอีกลำ หานลี่เองก็ไม่ใส่ใจ ควบคุมกระบี่บินทั้งหมดไปทำลายมัน
ยามนี้นักรบชุดเกราะและอินทรียักษ์สองหัวที่กำลังชมการต่อสู้อยู่ ก็ถูกอสูรมิคาทนและอสูรวิญญาณครวญลงมือสังหารไปอีกแปดเก้าส่วน
มีเพียงสองสามตนที่หนีออกไปไกลแสนไกลตั้งแต่แรก ที่ยังโชคดีรอดชีวิตไปได้
หานลี่เองก็ขี้เกียจจะออกคำสั่งให้อสูรสองตัวนั้นไปไล่สังหารอะไรอีก แค่ชูมือวงแหวนสีดำสนิทวงหนึ่งก็พุ่งออกไป
ชั่วพริบตาร่างของวานรยักษ์สีดำพลันหดเล็กลง อสูรมิคาทนพลันกลายเป็นลำแสงสีทองและลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในวงแหวนสีดำอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ วงแหวนสีดำเปล่งเสียงร้องกึกๆ แล้วบินกลับมา ถูกเก็บลงไปอีกครั้ง
ยามนี้หานลี่ถึงได้มองเจี่ยเทียนมู่ที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไป
แค่กะพริบวาบ เขาก็มาปรากฏหน้าชนต่างเผ่าห่างออกไปสองสามจั้งราวกับภูตผีก็ไม่ปาน ดวงตาทั้งสองข้างมองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชา ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
เจี่ยเทียนมู่ใจหายวาบ แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น สองมือกำหมัดพลางพูดกับหานลี่
“ขอบพระคุณสหายที่ลงมือช่วยเหลือ ข้าน้อยจะทำตามที่ตกลงกันไว้อย่างแน่นอน รอให้กลับไปที่เผ่าแล้ว จะมอบหุ่นเชิดสะท้านฟ้าให้ตนหนึ่ง”
“เจ้าช่างกล้าหาญไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะกล้าลากผู้แซ่หานเข้าไปด้วย ไม่กลัวว่าข้าจะสังหารเจ้าในดาบเดียวเหรอ” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง หว่างคิ้วมีจิตสังหารปรากฏขึ้น
“สหายล้อเล่นแล้ว! หากนายท่านจะทำเช่นนั้น เมื่อครู่คงสังหารข้าไปด้วยแล้ว จะเก็บผู้แซ่เจี่ยเอาไว้ถึงตอนนี้หรือ! และยิ่งไปกว่านั้นที่รุ่นหลังทำเช่นนี้ ก็เพราะก่อนหน้านี้ไม่อาจปกป้องตนเองได้ จึงไม่มีทางเลือก ท่านอาวุโสโปรดอภัย” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยพร้อมกับยิ้มประจบ
“เจ้ารู้ว่าข้าอยู่ด้านล่างได้อย่างไร ข้ามั่นใจว่าเคล็ดวิชาอำพรางกายของข้านับว่ายอดเยี่ยม ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าไม่อาจมองออกได้” หานลี่ครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม
“จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย ข้าน้อยจะพบด้วยพลังยุทธ์ของตนเองได้อย่างไร สาเหตุที่พบร่องรอยของท่านอาวุโส ล้วนเป็นเพราะสิ่งนี้” เจี่ยเทียนมู่ลังเลเล็กน้อย อ้าปากออก พ่นของสิ่งหนึ่งออกมา และคว้าเอาไว้ในมือ พลางถือเอาไว้
หานลี่ตั้งสมาธิเพ่งมองไป คิดไม่ถึงว่าจะเป็นไข่มุกกลมสีดำสลับขาว แต่ผิวของมันกลับมีไอวิญญาณเป็นรูประลอกคลื่นหมุนวนอยู่รางๆ
“นี่คืออะไร?” หานลี่รู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หรือว่าท่านอาวุโสไม่รู้จักสิ่งนี้ นี่คือ ‘ไข่มุกผสมจิตสัมผัส’ สร้างขึ้นจากแก่นอสูรวิญญาณที่หายากอย่าง ‘อสูรชั่ว’ สามารถเพิ่มระดับจิตสัมผัสได้ชั่วคราว จนอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ แม้ว่าทุกครั้งที่ใช้จะเวลาหลอมใหม่สองสามปี ใช้แล้วมีผลข้างเคียงไม่น้อย แต่ในบางเวลาที่สำคัญ ก็มีประโยชน์มาก” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยอย่างซื่อสัตย์
“เพิ่มระดับจิตสัมผัส?” หานลี่พลันตื่นตะลึง
หากได้ฟังว่าสามารถเพิ่มระดับพลังยุทธ์ได้หลายส่วน เขาก็อาจจะไม่ตกตะลึงขนาดนี้ ถึงอย่างไรเสียการเพิ่มพลังปราณชั่วคราว แม้ว่าในแดนวิญญาณจะมีอยู่น้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่การเพิ่มพลังจิตสัมผัสเต้น เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกหลังจากมาที่แดนวิญญาณ
ถึงอย่างไรเสียจิตสัมผัสนั้นก็เพิ่มขึ้นตามพลังยุทธ์ และเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาที่ฝึกฝน โดยปกติแล้วสิ่งอื่นล้วนไม่อาจมีผลกระทบต่อจิตสัมผัสได้
“ไข่มุกผสมจิตวิญญาณ! อสูรชั่ว!” หานลี่พึมพำหนึ่งประโยค จ้องเขม็งไปยังไข่มุกในมือของอีกฝ่าย ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาไม่ได้
“ทว่าการนำอสูรชั่วมาหลอมเป็นไข่มุกนี้ แทบจะหายไปจากแดนวิญญาณแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไข่มุกเม็ดนี้ก็ถูกคนใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่อาจถูกคนที่สองใช้ได้แล้ว มิเช่นนั้นหากกลืนไข่มุกเม็ดนี้ลงไป จะทำให้จิตสัมผัสถูกปะปนจนเป็นคลุ้มคลั่งตาย” เจี่ยเทียนมู่เห็นหานลี่มีสีหน้าเช่นนั้น ก็เอ่ยขึ้นในทันใด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” จิตสังหารที่เพิ่งผุดขึ้นมาในใจของหานลี่ ได้ยินคำพูดนี้พลันหมัดหวัง หางตากระตุกถี่ๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมอย่างรวดเร็ว
ทว่าเขามองไข่มุกสีดำเม็ดนั้น แล้วก็รู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนในกำไลเก็บของของเขาจะมีอยู่เม็ดหนึ่ง
หานลี่กะพริบตาสองสามครั้ง ฉับพลันนั้นพลันนึกถึงผลเทียนวิญญาณที่เก็บมาจากหุบเขามารโรย แก่นอสูรที่สังหารอสูรนิรนามไปตัวหนึ่ง มีไข่มุกผสมจิตสัมผัสที่คล้ายคลึงกับสิ่งนี้ หรือว่าอสูรประหลาดตัวนั้นคืออสูรชั่ว! หานลี่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หากเขามีไข่มุกผสมจิตสัมผัสอยู่เม็ดหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าสามารถกระตุ้นแมลงกลืนทองได้มากขึ้นกว่าครึ่งหรือ เพียงพอจะทำให้ศัตรูขนานใหญ่หวาดกลัวและล่าถอยไป!
ทว่าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมองออก หานลี่จึงไม่ได้ถามเกี่ยวกับไข่มุกผสมจิตสัมผัสเม็ดนี้อีก แต่พิจารณาเขาและหุ่นเชิดร่างมนุษย์ที่อยู่ด้านข้างอีกครึ่งแวบหนึ่ง เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ดูท่าทางเผ่าแมลงมีเขาจะให้ความสำคัญกับนายท่านมาก สหายน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาสินะ! ไม่ทราบว่าจะแนะนำตนเองก่อนได้หรือไม่!”
“ข้าน้อยเป็นแค่เผ่าเบื้องบนคนหนึ่งเท่านั้น แค่รู้เคล็ดวิชาหลอมหุ่นเชิด จึงมีชื่อเสียงอยู่บ้าง” เจี่ยเทียนมู่ฉีกยิ้ม เอ่ยอย่างคลุมเครือ
“งั้นหรือ? ทำให้อาวุโสของเผ่าแมลงมีเขาให้ความสำคัญขนาดนี้ได้
ดูแล้วเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของสหายคงจะไม่ธรรมดา” หานลี่แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม
เมื่อได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้ เจี่ยเทียนมู่ก็หัวเราะหึๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรต่อ กลับกวาดตาไปรอบๆ ด้าน เอ่ยอย่างกังวลใจเล็กๆ
“ท่านอาวุโส อย่าอยู่ที่นี่นานเลย พวกเราไปกันเถอะ จากนั้นค่อยว่ากันเรื่องอื่น”
“เหอะ! มีเหตุผล ทว่าผู้แซ่หานไม่เคยพูดว่าจะไปกับนายท่าน เจ้าก็ไปตามสะพานไม้ต้นเดียว[1] ข้าจะไปทางถนนหลวง นายท่านเป็นเป้าหมายขนาดนี้ ข้าน้อยไม่อยากถูกลูกหลงอีก” หานลี่แค่นเสียงหึ แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
จากนั้นร่างของเขาก็คดงอ ผิวมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ดูเหมือนจะพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศแล้วหลีกหนีไป
“ช้าก่อน หรือว่าท่านอาวุโสไม่รู้ว่ายิ่งเดินไปข้างหน้า ผู้ที่ปิดล้อมไว้ก็จะยิ่งเข้มงวดขึ้น ต่อให้เคล็ดวิชาหลีกหนีของท่านอาวุโสสูงส่งขนาดไหน เกรงว่าก็ไม่อาจหนีออกจากที่นี่ได้ง่ายๆ ข้าน้อยกลับรู้เขตอาคมส่งตัวลับแห่งหนึ่ง ที่สามารถส่งเราหนีออกจากเขตยึดครองของเผ่าแมลงมีเขาได้” เจี่ยเทียนมู่อยู่ในอารามตกใจ พลันเอ่ยปากงึมงำอย่างรีบร้อน
กลัวว่าหานลี่จะจากไปทั้งอย่างนั้นจริงๆ!
“เขตอาคมส่งตัว? สหายคงไม่หลอกลวงสินะ?” ลำแสงวิญญาณของหานลี่หม่นแสง หันกลับมาเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ เขตอาคมส่งตัวนี้เป็นเขตอาคมส่งตัวลับที่สมาชิกพิเศษของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราวางเอาไว้ เมื่อถึงที่นั่นก็จะรู้ว่าไม่ได้หลอกลวง หากข้าน้อยพูดปด ก็ยอมให้ท่านอาวุโสจัดการตามแต่ประสงค์” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่หานลี่ได้ฟังแล้ว ก็เผยสีหน้าขบคิดออกมา
พวกลาดตระเวนของเผ่าแมลงมีเขาชุกชุมกว่าที่ผ่านมาจริงๆ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ก็มีเรือสงครามสีเงินปรากฏขึ้นอยู่ไม่น้อย
เขาไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ว่าจะสามารถฝ่าด้านป้องกันไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
หากมีเขตอาคมส่งตัวส่งตัวออกไปภายนอกได้ละก็ ย่อมมั่นคงกว่ามาก
แม้ว่าเผ่าแมลงมีเขาและสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์จะไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ดูท่าทางเหมือนรุกรานเมืองของเผ่าแมลงมีเขาในเมืองลำแสงมรกต ก็รู้ว่าหากเขาเสนอกล่องหยกให้แล้วเข้าข้างเผ่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ก็ไม่ได้ใช้วิธีการกำจัดเผ่าอื่นนอกเหนือสิบสามเผ่า ไปยังดินแดนที่พวกเขาควบคุมอยู่เพื่อหาที่พักชั่วคราว ค่อยๆ หาวิธีกลับไปแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนก็ได้
และยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีกล่องหยกอยู่สองใบ ต้องถูกกำจัดทิ้งเช่นกัน คนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งในเผ่าหมื่นโบราณที่ไม่เล็กเลยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะอาศัยได้
เมื่อขบคิดในใจเสร็จ หานลี่ก็พยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงพลางเอ่ยว่า
“เอาล่ะ ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็ยินดีทำตามคำบัญชา สหายเจี่ยนำทางเถอะ” น้ำเสียงของเขามีมารยาทขึ้นหลายส่วน
เจี่ยเทียนมู่ได้ยินพลันดีใจ เอ่ยปากพูดขอบคุณไม่หยุด
ศิลาวิญญาณวิเศษสองสามชนิดที่เขาใช้กับหุ่นเชิดถูกใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว หากไม่มีการคุ้มครองของชนชั้นสูงอย่างหานลี่ อาศัยระดับเผ่าเบื้องบนขั้นสามของเขา ล้วนไม่อาจหนีไปยังเขตอาคมส่งตัวได้
ดังนั้นเจี่ยเทียนมู่จึงหมุนวนทันใด เอาหุ่นเชิดทั้งสองที่ถูกคนเผ่าแมลงมีเขาฉกชิงไปกลับมา แล้วเก็บหุ่นเชิดร่างมนุษย์ และพาหานลี่พุ่งไปยังขอบฟ้า
สายรุ้งสีทองและเขียวสองสายกะพริบสองสามครั้ง ก็หายวับไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
——
[1] สะพานไม้ต้นเดียว หมายถึง ระยะทางที่อันตราย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น