ลำนำบุปผาพิษ 1572-1583

 บทที่ 1572 ถึงเวลาตัดขาดทุกสิ่งกับเขาแล้ว!


“พี่หญิง?” หลานเหยากวงเรียกเธออีกครั้ง


กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆเฮือกหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมา “หลานเหยากวง ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าไม่ใช่พี่สาวของเจ้า อย่างน้อยในจิตใต้สำนึกของข้าก็บอกว่าข้าไม่ใช่พี่สาวของเจ้า บางทีชาติก่อนข้าอาจจะใช่หลานจิ้งเคอ แต่ชาตินี้ไม่ใช่ และข้าก็ยอมรับเพียงชาตินี้!”


หากว่ามนุษย์เรามีการกลับชาติมาเกิดจนริงดังว่า เช่นนั้นทุกคนล้วนต้องเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว! หนี้ในชาติก่อนนับว่าจบสิ้นแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับชาติภพนี้


นับประสาอะไรกับตัวเธอที่ถึงแม้ชาตินี้จะมีความทรงจำของหลานจิ้งเคออยู่บ้าง แต่ความทรงจำนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ อยู่เสมอ ราวกับเดิมทีไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอเลย แต่ถูกคนอื่นยัดเยียดใส่เข้ามา เรื่องราวของหลานจิ้งเคอที่เธอเห็นก็เหมือนมองจากมุมมองคนนอกที่รับชมภาพยนต์ที่ตัดต่ออย่างสับสนปนเปไม่มีความรู้สึกร่วมหรือความรู้ว่าเป็นตัวเองเลย


เธอไม่ต้องการเป็นหลานจิ้งเคอ แม้ว่าหลานจิ้งเคอจะเป็นประมุขเผ่าเงือกผู้ทรงเกียรติเธอก็ไม่ปรารถนา! เธอเป็นเพียงกู้ซีจิ่ว ไม่ใช่คนอื่น!


หลานเหยากวงนิ่งงัน


เขาสูดหายใจเบาๆ ยิ้มน้อยๆ มองดูเธอ “แต่หลานจิ้งเคอเป็นประมุขเผ่าเงือก ขอเพียงท่านตอบรับเป็นนาง ท่านก็จะเป็นประมุขเผ่าเงือก! ข้าสามารถส่งต่อตำแหน่งประมุขเผ่าเงือกให้ท่านได้ทันที ท่านอาจไม่รู้ว่าฐานะประมุขเผ่าเงือกมีเกียรติมากเพียงใด…เป็นตัวตนอันทรงเกียรติที่สุดในบรรดาชนเผ่าบาดาลทั้งหมด มีศักดิ์เทียบเทียมกับเผ่ามังกร บัญชาการเผ่าบาดาลกึ่งหนึ่ง มีอำนาจกว่าจักรพรรดิคนใดบนแผ่นดิน หากว่าท่านเป็นประมุขเผ่าเงือก เช่นนั้นจะอยู่ใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น”


กู้ซีจิ่วมีความทรงจำของหลานจิ้งเคอ ย่อมทราบข้อนี้ดี


เผ่าเงือกเป็นตัวตนที่พิเศษที่สุด เดิมทีเผ่าเงือกไม่ชอบการสู้รบ ขุมกำลังไม่นับว่าแข็งแกร่ง เป็นเพียงเผ่ารักสงบ ถูกเผ่าบาดาลมากมายกลั่นแกล้งรังแก


แต่หลังจากหลานจิ้งเคอปรากฎขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากหวงถู เผ่าเงือกจึงแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ยามที่หลานจิ้งเคอสิ้นชีพ เผ่าเงือกสามารถแยกตัวเป็นเอกราชจากเผ่ามังกรที่เป็นเจ้าสมุทรได้แล้ว กลายเป็นเผ่าบาดาลที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับสอง


และหลายปีมานี้ถึงแม้หลานเหยากวงจะเป็นประมุขเผ่าเงือก แต่ผู้กุมบังเหียนตัวจริงคือหวงถู อาณาเขตของเผ่าเงือกในยามนี้ขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ ล้ำหน้าเผ่ามังกรไปเรื่อยๆ กลายเป็นเจ้าสมุทรที่แท้จริงของเผ่าในท้องสมุทร


ดังนั้นตำแหน่งประมุขเผ่าเงือกจึงทรงเกียรติยิ่งกว่าจักรพรรดิของแดนมนุษย์มากนัก! หากว่าจักรพรรดิของแดนมนุษย์เข้าร่วมการค้าทางทะเล ตามธรรมเนียมแล้วจะต้องให้เจ้าผู้ครองแคว้นมาเอง ประมุขเผ่าเงือกแค่ส่งขุนนางใหญ่สักคนมาต้อนรับก็นับว่าเป็นการไว้หน้าจักรพรรดิแดนมนุษย์มากพอแล้ว


อำนาจเย้ายวนใจคน ไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่หมายตาตำแหน่งจักรพรรดิเผ่าเงือกนี้ ต่อให้เป็นภายในเผ่าเงือกเองก็มีผู้มีความสามารถมากมายที่จ้องตาเป็นมันอยู่ หากมิใช่เพราะวิธีการอันสะท้าสะเทือนของหวงถู ด้วยความสามารถของสองพี่น้องสกุลหลานไม่มีทางรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ได้


หลานเหยากวงทราบถึงความสามารถของตนเป็นอย่างดี ว่าไม่มีคุณสมบัติจะเป็นประมุขเผ่าได้ สาเหตุที่เขาสามารถยืนหยัดเอาไว้ได้ก็เป็นเพราะต้องการพิทักษ์ดินแดนนี้แทนพี่หญิงของตน ยามนี้พี่หญิงฟื้นคืนชีพแล้ว เขาย่อมต้องการมอบตำแหน่งนี้กลับคืนไป


ถึงอย่างไรเขาก็เป็นประมุขเผ่า ข่าวคราวบนแผ่นดินมิได้ถูกปินกั้นไว้ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับกู้ซีจิ่วเขายังคงทราบมากมายนัก และทราบถึงความสามารถของนางอย่างลึกซึ้ง เขาเชื่อว่าหากส่งมอบตำแหน่งประมุขเผ่าให้ จะต้องทำได้ยอดเยี่ยมกว่าตัวเขาแน่นอน!


ยิ่งไปกว่านั้นคือเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูรักใคร่พี่หญิงของเขาอย่างลึกล้ำ ถ้าพี่หญิงนั่งตำแหน่งนี้ดังว่า หวงถูจะต้องช่วยเหลือนางเป็นแน่ เผ่าเงือกจะรุ่งโรจน์เกรียงไกรยิ่งขึ้น


เขาคำนวณไว้ดียิ่งนัก เรื่องที่คาดไม่ถึงเพียงอย่างเดียวคือพี่หญิงที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาไม้ปรารถณาตำแหน่งนี้!


เขายังคิดจะเกลี้ยกล่อมต่อ กู้ซีจิ่วกลับเอ่ยตัดบทเขา “พี่หวงของเจ้าล่ะ?” ถึงเวลาตัดขาดทุกสิ่งกับเขาแล้ว!


“เขามีธุระต่อจึงจากไปแล้ว”


“ติดต่อเขาได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องต้องพบเขา”


“นี่…”


“พวกเจ้ามีวิธีพิเศษในการติดต่อกันใช่ไหม? รบกวนติดต่อเขาทีเถิด”


————————————————————————————-


บทที่ 1573 นางต้องการถอนหมั้นกับนายท่านของเขาจริงๆ!


“พวกเจ้ามีวิธีพิเศษในการติดต่อกันใช่ไหม? รบกวนติดต่อเขาทีเถิด” กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน


ในเมื่อตี้ฝูอีมีอำนาจมากมายขนาดนี้ในเผ่าเงือก เคยฝากฝังเรื่องราวยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไว้กับหลานเหยากวง เขาต้องมีเครื่องมือที่ติดต่อกันได้ตลอดเวลาแน่นอน


หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ตี้ฝูอีก็จะมาได้อย่างทันท่วงที


หลานเหยากวงทอดถอนใจ เขารู้ว่าเรื่องราวอันใดก็ไม่อาจปิดบังกู้ซีจิ่วได้ จึงยอมรับโชคชะตาหยิบป้ายหยกออกมาความพิเศษด้านการใช้งานเหมือนกันกับป้ายหยกของพวกมู่เฟิง ไม่นานเขาก็ติดต่อตี้ฝูอีได้…



มู่เฟิงมองนายท่านของตัวเองอย่างเป็นกังวล ช่วงนี้นายท่านมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติไป


เขาเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง ยืนมองต้นไม้ต้นหนึ่งได้นานแสนนาน มองต้นไม้ไม่ได้สลักสำคัญอันใด คนสมัยก่อนก็เรียนรู้ประสบการณ์จากต้นไม้อยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือ? เขาเพียงมองว่านายท่านกำลังคิดปัญหาซับซ้อนอยู่ก็ได้ ทว่ายามนี้นายท่านกลับพัฒนาไปถึงขั้นที่เหม่อลอยในสนามรบแล้ว…


มู่เฟิงมองตี้ฝูอีที่ยืนอยู่ข้างซากศพสัตว์ร้ายสี่ตัวอยู่นาน เขาทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง นี่ไง เหม่อลอยอีกแล้ว


เดิมทีเวลาที่ตี้ฝูอีเหม่อลอยนับว่ามีไม่มาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน นานๆ ทีเหม่อลอยก็ยังคงครุ่นคิดว่าจะเล่นงานคนอย่างไรดี เมื่อใดที่เขาเหม่อลอย ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคนโชคร้ายสุดๆ!


ทว่าหลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่าบ่อยครั้งมากขึ้น อีกทั้งไม่รู้ว่าคิดถึงสิ่งใด เมื่อสักครู่กำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายทั้งสี่ตัว จู่ๆ ก็หยุดมือกลางคัน เกือบจะถูกเขาของหนึ่งในสัตว์ร้ายทิ่มจนลอยกระเด็นไปแล้ว!


หากไม่ใช่มู่เฟิงเข้าไปช่วยเหลืออย่างสุดชีวิต เกรงว่าครั้งนี้นายท่านคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส


ในที่สุดมู่เฟิงทนไม่ไหว ก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง “นายท่าน บาดแผลของท่าน…”


ตี้ฝูอีเหมือนกับไม่ได้ยิน ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น โลหิตที่หลั่งจากบาดแผลบนข้อมือชุ่มโชกเสื้อคลุมด้านนอกเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว จมอยู่ภายใต้ความคิดส่วนลึก


มู่เฟิงแอบทอดถอนใจ ทำได้เพียงยืนนิ่งๆ อยู่เป็นเพื่อนตี้ฝูอีท่ามกลางสายลม


ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด จู่ๆ ป้ายหยกที่เอวของตี้ฝูอีเปล่งแสงขึ้นมา


มู่เฟิงรู้ว่าประมุขเผ่าเงือกติดต่อนายท่านมาอีกแล้ว


และที่ประมุขเผ่าเงือกติดต่อนายท่านมาโดยพื้นฐานก็ไม่มีเรื่องอื่นใด ล้วนเป็นการถามเขาแทนกู้ซีจิ่วว่าเมื่อใดจะมาเผ่าเงือกเพื่อจัดการเรื่องถอนหมั้นได้…


มู่เฟิงยังคงแปลกใจในครั้งแรกที่ได้ทราบข่าว ยังคิดว่ากู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเล่นพ่อแง่แม่งอนกัน เป็นการล้อเล่นที่ไร้ซึ่งพิษภัย


ทว่าไม่นานจึงรู้สึกได้ว่ากู้ซีจิ่วจริงจัง นางต้องการถอนหมั้นกับนายท่านของเขาจริงๆ!


ผ่านไปวันสองวัน นางก็ฝากให้หลานเหยากวงถามไถ่อีกครั้งหนึ่ง ส่วนตี้ฝูอีก็จะตอบกลับไปเหมือนเดิมทุกครั้ง เขากำลังยุ่ง ไม่มีเวลาไปถอนหมั้น รอให้ทำธุระช่วงนี้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน


มู่เฟิงรู้สึกว่านายท่านของตัวเองประหลาดยิ่งนัก ในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าหลานเหยากวงติดต่อมาด้วยเหตุอันใด ทว่าทุกครั้งล้วนรับสายอย่างรวดเร็ว หลังจากฟังคำเรียกร้องของอีกฝ่ายจบอย่างเงียบงันแล้วจึงกล่าวคำพูดชุดนั้น จากนั้นก็ตัดสายป้ายหยกทิ้ง และหลังจากนั้นเขาก็จะเหม่อลอยไปอีกนานสองนาน…


ยิ่งไปกว่านั้นยังเหม่อมองกำไลวงหนึ่งบนข้อมือ จ้องมองกำไลวงนั้นอยู่บ่อยครั้ง ราวกับบนกำไลจะมีดอกไม้งอกออกมา


ทำให้มู่เฟิงก็มองตามไปด้วยหลายครา ทว่าก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น


กำไลวงนั้น นอกจากเปลี่ยนสีสันอยู่บ่อยครั้งแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ


สิ่งของของเทพศักดิ์สิทธิ์มีสีสันฉูดฉาดมากกว่ากำไลวงนี้เป็นพันเท่า ไม่รู้มีสิ่งของล้ำค่าที่งดงามและสดใสกว่านี้เป็นพันเท่ามากมายเท่าไหร่ แต่ไม่เคยเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์จะปรายตามองเท่าใดเลย


มีเพียงกำไลวงนี้ เมื่อใดที่เขาเหม่อลอยจะจ้องมองมัน ราวบนของสิ่งนี้มีลิขิตสวรรค์ปรากฏขึ้น


มู่เฟิงไม่เข้าใจยิ่งนัก ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยถาม นายท่านตนทำการสิ่งใดไม่เคยมีกฎเกณฑ์ตายตัว ใครจะรู้ว่าเขามีแผนการใดอยู่ในใจ


บทที่ 1574 นางต้องการรับสวามีเคียงตั่ง


ครั้งนี้นายท่านก็รับสายอย่างรวดเร็วอีก หลานเหยากวงถอนหายใจยาวมากก่อน แล้วจึงส่งผ่านน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งหนทางไป “พี่หวง พี่หญิงให้ข้าถามท่าน เมื่อใดท่านจะมาเผ่าเงือกเพื่อถอนหมั้น?”


นายท่านยังคงใช้ข้ออ้างเหล่านั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ หลังจากนั้นโดยปกติหลานเหยากวงจะถามไถ่อีกไม่กี่ประโยคแล้วจบบทสนทนา แต่ครานี้หลังจากหลานเหยากวงถามไถ่เสร็จกลับไม่ได้ตัดสายยันต์ถ่ายทอดเสียง ทว่าถอนหายใจลากยาวอีกหนึ่งครา “พี่หวง อันที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าเก็บมันเอาไว้หลายวัน ลังเลอยู่ว่าควรบอกท่านดีหรือไม่…”


ผ่านไปเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดตอบกลับ หรือว่าตัดสายไปแล้ว?


หลานเหยากวงมองยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือที่ยังส่องสว่าง กล่าวหยั่งเชิงว่า “พี่หวง พี่หวง ท่านยังอยู่หรือไม่?”


ความจริงตี้ฝูอีไม่ได้ฟังคำพูดไร้สาระด้านหลังเหล่านั้นของหลานเหยากวงเลย เขาเหม่อลอยอีกแล้ว


ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานเหยากวง ในที่สุดเขาก็คืนสติกลับมา ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “มีเรื่องอันใด? ว่ามา” น้ำเสียงยังคงเหม่อลอยเล็กน้อย


“พี่หวง ท่านคงเคยได้ยินเรื่องหนึ่ง ประมุขเผ่าเงือกของพวกเราก็เหมือนกับจักรพรรดิในโลกมนุษย์ สามารถรับนางสนมได้มากมาย ดังเช่นผู้น้อง ข้างกายมีสนมหลายนาง…” หลานเหยากวงดึงหัวข้อสนทนาออกไปไกลแปดพันจั้ง


ตี้ฝูอีใจร้อน “เจ้าจะรับสนมอีกแล้วหรือ? แล้วแต่ ข้าเคยบอกไว้แล้ว ข้าไม่อาจเข้าไปแทรกแซงประเพณีเผ่าเงือกของเจ้า”


“ไม่ใช่ ไม่ใช่ผู้น้องอยากรับสนม…” หลานเหยากวงปฏิเสธ บ่นงึมงำแล้วพูดจาไร้สาระอีก


ตี้ฝูอีรู้ว่าหลานเหยากวงพูดจาไร้สาระเสมอมา ทว่าการพูดจาไร้สาระอย่างวันนี้ถือเป็นครั้งแรก เขาจึงยิ่งร้อนใจ “พูดเข้าประเด็นหน่อยเถอะ ข้าไม่สนใจฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า!”


หลานเหยากวงทอดถอนใจเบาๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ส่งเสียงกระแอมคราหนึ่ง “พี่หวง ท่านก็รู้ว่าพี่หญิงไม่ยอมรับฐานะนั้น และไม่ต้องการเป็นประมุขเงือก ทว่าสามวันก่อนหน้านางยอมอ่อนข้อ ตกปากรับคำว่าจะลองดู…แน่นอน นางไม่ได้ยอมรับที่จะลองเป็นตัวตนที่เคยเป็นดู แต่ลองรับตำแหน่งประมุขเงือก ตอนนั้นผู้น้องดีใจเป็นอย่างมาก…”


ตี้ฝูอีรู้สึกว่าวันนี้หลานเหยากวงพูดจาหัวไปทาง หางไปทาง วาจาไม่สอดคล้องกันเอาเสียเลย หัวข้อวกไปวนมา ไม่รู้ว่าต้องการจะสื่ออะไร


หากเป็นเมื่อก่อนตี้ฝูอีตัดบทคำพูดไร้สาระของเขาไปนานแล้ว หรือไม่ก็ตัดการติดต่อของป้ายหยกไป ไม่ฟังคำพูดไร้สาระของเขา


ทว่าตอนนี้ตี้ฝูอีกลับรับฟัง เมื่อได้ยินหลานเหยากวงหยุดชะงักไปอีกครั้ง เขายังเร่งถาม “แล้วยังไงต่อ?”


“จากนั้นพี่หญิงก็เสนอเงื่อนไขหนึ่งขึ้นมา ถึงแม้เงื่อนไขข้อนี้ไม่ได้ละเมิดประเพณีของประมุขเผ่าเงือก แต่…แต่ผู้น้องรู้สึกลำบากใจ จึงมาถามความคิดเห็นของท่านเป็นพิเศษ”


“เงื่อนไขอะไร?” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา


เป็นไปตามคาด หลานเหยากวงรวบรวมความกล้าอยู่นาน ในที่สุดก็พูดเงื่อนไขของกู้ซีจิ่วออกมา “นางต้องการรับสวามีเคียงตั่ง…”


เสียงแกร๊งดังขึ้น ป้ายหยกในมือของตี้ฝูอีร่วงหล่นลงบนพื้น


“นี่ พี่หวง? ท่านฟังอยู่รึไม่? พี่หวง?”


ตี้ฝูอีสะบัดแขนเสื้อ ป้ายหยกที่อยู่บนพื้นโผบินขึ้นมา ร่อนลงบนฝ่ามือเขาใหม่อีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเหมือนเปล่งออกมาจากนรก “นางจะรับสวามีเคียงตั่งอันใด?!”


“ประเพณีของเผ่าเงือก ประมุขเงือกมีสามมเหสีสี่สนมได้ ไม่ว่าชายหรือหญิง พี่หญิงจะเป็นประมุขหญิง ตามกฎนางรับสวามีเคียงตั่งได้สามคน ตอนนี้นางเลือกไว้สองคนแล้ว…” สุ้มเสียงของหลานเหยากวงแผ่วลงเรื่อยๆ เขาเหมือนรับรู้ได้ถึงลมเย็นอันหนาวเหน็บที่ส่งผ่านป้ายหยกถ่ายทอดเสียงมาจากฝั่งตี้ฝูอี…


————————————————————————————-


บทที่ 1575 คู่รัก


เนื่องจากป้ายหยกไม่มีการปิดกั้นเสียง มู่เฟิงจึงได้ยินทั้งหมด เขาอ้าปากค้างเล็กน้อย มองดูใบหน้าที่พลันเขียวคล้ำของนายท่าน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง!


สวรรค์ เขาได้ยินอะไรนี่?


กู้ซีจิ่วจะรับสวามีเคียงตั่ง? เช่นนั้นนายท่านของเขาจะทำอย่างไร? สวามีเอก?



ทวีปหลานเฟิงถึงแม้จะอยู่ใต้สมุทร ทว่ายังคงมองเห็นดวงจันทร์และดวงดาราบนท้องนภาได้ ด้วยวิชาพิเศษกับการหักเหของน้ำทะเล


เทศกาลจันทร์เพ็ญเวียนมาบรรจบอีกครา


แหงนหน้ามองท้องนภา ดวงจันทร์กลมโตประหนึ่งพานทองขนาดใหญ่


ที่ทวีปหลานเฟิง เทศกาลจันทร์เพ็ญเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันแห่งความรัก ในวันนี้ เหล่าคู่รักที่ต้องใจกันจะออกมานัดพบกัน ต่อให้เป็นชายหนุ่มหญิงสาวที่ยังโสดและไม่ได้แต่งงานก็จะออกมาเดินเตร็ดเตร่ เพื่อสร้างโอกาสในการพบปะมิตรสหายให้มากขึ้น ร้องเพลงตอบโต้หรือเชิญชวนเต้นรำ ไม่แน่อาจได้พบเจอเนื้อคู่และได้ครองคู่กันก็เป็นได้…


กู้ซีจิ่วก็กำลังนัดพบเช่นกัน คนที่นัดพบกับเธอเป็นชายหนุ่มเผ่าเงือกท่านหนึ่ง


สถานที่นัดหมายของเธอก็คือเนินเขาเล็กๆ ซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าเขียวขจีอันอ่อนนุ่ม


บนเนินเขามีต้นไม้ที่ไม่รู้จักชื่อเป็นพุ่มๆ ใบไม้เป็นแถบยาวอ่อนนุ่ม แผ่ออกสลับซับซ้อน เขียวมรกตเป็นประกาย ดุจเส้นผมยาวสลวยของหญิงสาว


อีกทั้งยังมีต้นปะการังสีแดงสด สีเขียวมรกต และสีเงินแซมระหว่างต้นไม้เหล่านี้ ลักษณะและรูปร่างหลากหลาย ประดับประดาไว้ ทำให้ทิวทัศน์ที่นี่งดงามดุจความฝัน


สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่นิยมนัดหมายกัน ถึงแม้ไม่ใช่เทศกาลจันทร์เพ็ญ หากมาเยือนก็จะพบเจอคู่รักมากมาย…


ส่วนวันเทศกาลจันทร์เพ็ญ คู่รักที่นี่ยิ่งมากมายละลานตา แทบจะมีคู่รักคู่หนึ่งทุกๆ สิบก้าว


ทว่าคืนนี้ คู่รักที่นัดหมายกันที่นี่มีเพียงคู่เดียว


เป็นเหตุผลอื่นไปไม่ได้ ที่นี่ถูกกวาดล้างแล้ว!


ไม่ใช่ว่าถูกกองกำลังอันใดกวาดล้าง ทว่าเป็นชายหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นใช้เงินทองและเกียรติยศขับไล่คนอื่นออกไปหมด…


ชายหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นชื่อหลานเฝ่ย เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในทวีปแห่งนี้ เป็นที่เคารพนับถือของชาวเงือกในฐานะนักร้องต้นแบบ เทียบเท่ากับซูเปอร์สตาร์ยุคปัจจุบัน รวมกลุ่มทรงอิทธิพลและกลุ่มไอดอลเข้าไว้ด้วยกัน มีแฟนคลับจำนวนมาก


เดิมทีกู้ซีจิ่วยังเคยแข่งร้องเพลงกับเขา นับได้ว่าเคยมีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง


ความจริงการพบกันครั้งนี้ของกู้ซีจิ่วกับหลานเฝ่ยเหมือนดังละคร หรือจะพูดว่ามีบุญวาสนายิ่งนัก


เธอเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนน ก็พบกับหลานเฝ่ยออกมาจากสถานที่แห่งหนึ่งพอดิบพอดี ดึงดูดให้แฟนคลับรายล้อมและส่งเสียงกรี๊ด สถานการณ์ดุเดือดยิ่งกว่าดาราปรากฏตัวเสียอีก


พูดแล้วก็น่าแปลก ทั้งที่รอบกายหลานเฝ่ยรายล้อมด้วยชายหนุ่มหญิงสาวมากมายขนาดนั้น เขากลับมองเห็นกู้ซีจิ่วที่ยืนกอดอกชมความครึกครื้นอยู่ที่มุมถนน จากนั้นเขาฝ่าวงล้อมของหนุ่มสาวในชุดงดงามที่บ้าคลั่งอยู่ข้างกาย พุ่งตัวมาในทันที…


ท่าทางที่พุ่งตัวเข้ามานั้นราวกับต้องการทวงสิ่งใดคืนจากกู้ซีจิ่ว ทำให้กู้ซีจิ่วตกตะลึง


“กู้ซีจิ่ว!” เขาตะโกนเรียกชื่อนางมาแต่ไกล นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจที่ ‘เพียรตามหาสตรีแสนงามผู้นั้นเป็นร้อยพันครั้ง เมื่อหันกลับมานางกลับอยู่ตรงโคมฉายหม่นมัว[1]’


ผู้คนบนถนนทั้งสายล้วนได้ยินเสียงที่เขาตะโกนเรียกกันหมด กู้ซีจิ่วเพียงแค่ออกมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของฝูงชน ดังนั้นจึงพูดคุยกับหลานเฝ่ยเพียงเล็กน้อยแล้วแยกย้ายกันไป


ไม่ง่ายเลยที่หลานเฝ่ยจะตามหานางเจอ เขาย่อมไม่อยากพบเจอกันด้วยความบังเอิญเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วปล่อยมันไป หลังจากที่กู้ซีจิ่วจากไป เขาสอบถามจากทั่วทุกสารทิศ ในที่สุดก็รู้สถานที่ที่กู้ซีจิ่วพำนักอยู่ในตอนนี้ และฐานะของนาง…


เขาเป็นพวกลงมือฉับไว วันถัดมาหลานเหยากวงก็ได้รับหนังสือหมั้นหมายของหลานเฝ่ยแล้ว…


ลำดับชนชั้นของอาณาจักรเงือกไม่เคร่งครัดเท่ากับโลกมนุษย์ ต่อให้เป็นชาวบ้านธรรมดาก็พูดคุยกับประมุขเงือกได้


เขามีความสุขที่ได้พบกับประมุขเงือก เขายังรื่นเริงไปกับผู้คน ร้องรำทำเพลงกันบนเวที…


————————————————————————————-


[1] เพียรตามหาสตรีแสนงามผู้นั้นเป็นร้อยพันครั้ง เมื่อหันกลับมานางกลับอยู่ตรงโคมฉายหม่นมัว เป็นช่วงหนึ่งของบทกวีสมัยราชวงศ์ซ่ง เปรียบเทียบการตามหาหญิงงามในอุดมคติในคืนเทศกาลงานโคมไฟ


บทที่ 1576 นัดหมาย


ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะของหลานเฝ่ยภายในอาณาจักรเงือกก็ไม่ต่ำต้อย เป็นนักร้องต้นแบบของชาวเผ่าเงือก


เขามาขอหมั้นหมายกับอนาคตประมุขเงือกก็ไม่นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายอันใด


หนังสือหมั้นหมายของเขาเขียนด้วยความรักใคร่จริงใจ เนื้อความบอกว่าเมื่อแปดปีก่อน เขาเฝ้าคะนึงหาแต่กู้ซีจิ่วไม่เคยลืมเลือน ตามหานางมาแปดปี วันนี้สวรรค์เมตตา ในที่สุดเขาก็ได้พบกับนางอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าสวรรค์เบื้องบนเมตตาเขา ช่วยให้เขาสมหวังดั่งใจหมาย…


หลานเหยากวงตกตะลึงดังถูกฟ้าผ่าเมื่อได้รับหนังสือนี้!


หากหลานเฝ่ยมาขอหลานจิ้งอี๋หมั้นหมาย เขาจะเปรมปรีดิ์เสียยิ่งกว่า จึงรีบตกปากรับคำด้วยความยินดี


ทว่ากู้ซีจิ่ว…


ภายในจิตใต้สำนึกของหลานเหยากวง พี่สาวของตัวเองเป็นบุปผาที่มีเจ้าของแล้ว เป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธทันที บอกว่ากู้ซีจิ่วหมั้นหมาย มีคู่หมั้นแล้ว และส่งแม่สื่อกลับไป


ทว่าหลานเฝ่ยกลับไม่ย่อท้อ หลังจากเงียบหายไปสองวันก็ส่งหนังสือมาอีกครั้ง ยินยอมเป็นสวามีเคียงตั่งของอนาคตประมุขหญิง จะไม่แก่งแย่งชิงดีกับสวามีเอกของนาง เพียงขอแค่ได้อยู่ข้างกายนางก็พอ


หลานเหยากวงรู้สึกลึกๆ ว่าสมองของหลานเฝ่ยต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ถูกสิ่งใดพุ่งชนจนศีรษะวิงเวียน ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธอีกครั้งและไล่แม่สื่อออกไป นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วกลับมาเห็นหนังสือสองฉบับนี้…


นางเหม่อมองหนังสือนั้นอยู่นาน จากนั้นก็แย้มยิ้ม พลันตอบกลับแม่สื่อคนนั้นด้วยตนเองว่านางจะลองคบหากับหลานเฝ่ยดูก่อน หากทั้งสองฝ่ายนิสัยใจคอเข้ากันได้ดี นางจะพิจารณาเรื่องรับเขาเป็นสวามีเคียงตั่ง…


ดังนั้นจึงเกิดเป็นการนัดหมายขึ้นมาในวันนี้


……


ทุกคนล้วนมีเทพบุตรหรือเทพธิดาอยู่ในใจคนหนึ่ง


หลานเฝ่ยเป็นเทพบุตรในใจของหญิงสาวเผ่าเงือกมากมาย ทว่ากู้ซีจิ่วก็คือเทพธิดาในใจของหลายเฝ่ย


เพื่อให้การนัดหมายกับเทพธิดาเป็นไปอย่างราบรื่น หลานเฝ่ยกวาดล้างสถานที่แห่งนี้ ภายในรัศมีสิบลี้จะไม่มีทางเห็นคู่รักคู่ที่สองเป็นอันขาด…


ผ้าปูพื้นใยเงือกผืนหนึ่ง ดุจแสงจันทร์ปกคลุมผืนหญ้า


ด้านบนจัดวางขนมเลิศรสที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเงือกไว้ อีกทั้งยังมีสุราผลไม้ที่หมักเป็นพิเศษของห้วงสมุทรนี้


สุราเลิศรสสีอำพันใต้แสงจันทร์ ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน มือนุ่มนวลและขาวผ่องของกู้ซีจิ่วถือจอกสุรา ดื่มด่ำสุรา กินขนมบ้างเป็นครั้งคราว อาภรณ์สีควันบนตัวนางและผมยาวสลวยปลิวไสวตามสายลม ดูน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก


หลานเฝ่ยอดไม่ได้ที่จะตรึงสายตาไว้บนตัวนาง


กู้ซีจิ่วเมื่อแปดปีก่อนรูปร่างยังเด็ก ใบหน้ายังมีกลิ่นอายความไม่ประสา ทว่าสุ้มเสียงไพเราะ อารมณ์ดีเลิศ เปรียบเสมือนสายลมพัดโชยยามวสันต์ ภายใต้ความเย็นชาเผยให้เห็นความอบอุ่นจางๆ ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก


กู้ซีจิ่วในยามนี้รูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าเพริศพริ้ง อาภรณ์สีควันขับผิวของนางให้ยิ่งขาวผ่อง ลักษณะท่าทางงดงามยิ่งขึ้น นางดูเฉื่อยชาลงไปมากนัก ราวกับไม่สนใจสิ่งใดแล้ว สิ่งสวยงามอันใดล้วนเป็นดั่งอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับนาง


นางนั่งอยู่ตรงนั้นประหนึ่งภาพวาดขุนเขาธาราท่ามกลางหมอกจางที่วาดโดยจิตรกร ทำให้ผู้คนแทบไม่อาจละสายตาได้


การนัดหมายของทั้งสองคนในครั้งนี้นับได้ว่าราบรื่นยิ่งนัก ริมฝีปากนางโค้งยิ้มบางๆ ตลอดเวลา สุราก็ดื่มจนเกือบหมดกา


นางพูดจาไม่มาก ทว่าก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกน่าอึดอัดอะไร ทั้งยังกระตุ้นความต้องการสนทนาพาทีของผู้อื่นได้


หลานเฝ่ยเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเปล่งประกาย ที่ที่เขาอยู่คล้ายมีตะวันสาดแสงรอนๆ


เขาร้องเพลงได้ดี เมื่อใดที่ร้องเพลง เขาจะดึงดูดหมู่มวลมัจฉาที่แหวกว่ายในมหาสมุทรใกล้เคียงจนไม่อาจจากไปได้


เขาบอกเล่าชีวิตของตนในช่วงแปดปีมานี้ให้กู้ซีจิ่วฟัง บอกเล่าความเงียบเหงาที่ไม่อาจตามหาคนรู้ใจได้ บอกเล่าความคะนึงหาที่เขามีต่อนางในหลายปีมานี้


กู้ซีจิ่วนั่งฟังอยู่ตรงนั้นอย่างเฉยชา ชนจอกสุรากับเขาเป็นครั้งคราว อันที่จริงเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของหลานเฝ่ยเสียเท่าใด


เธอเคยพบหน้าหลานเฝ่ยแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นการแข่งขันตัวต่อตัวครั้งหนึ่ง นั่นทำให้เขาคะนึงหาเพียงแต่เธอได้ถึงแปดปีเชียวหรือ?


————————————————————————————-


บทที่ 1577 ค่ำคืนมิได้โสภาเช่นกาลก่อน


นี่คือสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบงั้นหรือ?


มุมปากของกู้ซีจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย หัวใจที่เคยหวานชื่นขื่นขมร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาแล้ว ความรักที่เคยคิดว่าทำให้สวรรค์ซาบซึ้งได้ล้วนเป็นการหลอกลวงทั้งสิ้น แล้วจะมีความเชื่อถือในรักแรกพบสักแค่ไหนกันเล่า?


ตอนนี้เธอไม่เชื่อความรักอันใดแล้ว! และไม่คิดจะคุยเรื่องรักอะไรด้วย…


จึงดื่มสุราเข้าไปอีกคำหนึ่ง กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ เอ่ยขัดการสารภาพความในใจของหลานเฝ่ย “ข้าไม่คิดจะคุยเรื่องรักกับผู้ใด พวกเราพูดคุยเรื่องผลประโยชน์กันดีกว่า เจ้าอยากเป็นสวามีเคียงตั่งของข้าจริงๆ หรือ? มีเงื่อนไขอะไรบ้าง?”


หลานเฝ่ยชะงักไปแวบหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อ “เจ้า…เจ้าถามเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นความรู้สึกของข้า ข้าเพียงชมชอบเจ้า ไม่มีเงื่อนไขอันใด…”


กู้ซีจิ่วโคลงจอกสุราในมือ ถามอย่างเฉื่อยชา “ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย? เจ้าคงไม่ได้วางแผนให้ข้าชมชอบเจ้ากระมัง?”


หลานเฝ่ยชะงักไปอีกครา “แน่นอนว่าต้องการให้เจ้าชมชอบข้า ข้าเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ เจ้าจะต้องรักข้าแน่”


กู้ซีจิ่วหัวเราะแล้ว “ข้าไม่คิดจะชอบผู้ใด ดังนั้นเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวนี้ของเจ้าข้าทำให้บรรลุไม่ได้”


ความรักเป็นตัวอันใดกัน บุรุษเป็นตัวเช่นไรกัน นับแต่นี้ไปเธอไม่เชื่อถืออีกแล้ว! และจะไม่ตกหลุมรักอีกแล้ว!


หลานเฝ่ยมองเธออย่างตกตะลึง ราวกับคาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะพูดจาเด็ดขาดเช่นนี้ มองอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ชอบข้า เหตุใดจึงยินดีมาพบหน้าข้า? ซ้ำยังบอกว่าจะพิจารณาเรื่องให้ข้าเป็นสวามีเคียงตั่งด้วย…”


กู้ซีจิ่วใช้ปิ่นด้ามหนึ่งเคาะจอกสุราในมือเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าคิดจะรับสวามีเคียงตั่งสองคนจริงๆ และคิดจะรับไว้เท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ผลประโยชน์ที่สวามีเคียงตั่งพึงมีข้าล้วนมอบให้พวกเจ้าได้ทั้งสิ้น”


หลานเฝ่ยพานพบสตรีมานับไม่ถ้วน นิสัยใจคอเช่นใดล้วนมีหมด แต่ที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นกู้ซีจิ่วนี้นับว่าเป็นคนแรก


เป็นเพียงแม่นางน้อยเจริญวัยคนหนึ่งแท้ๆ แต่วาจาของนางกลับให้ความรู้สึกเหมือนผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแล้ว


ที่แท้นางเคยพบพานอะไรมากันแน่?


เขามองดูนาง เอ่ยอย่างทีเล่นทีจริงว่า “หากข้าต้องการเรียกร้องสิทธิ์ในการเป็นสามีของข้าเล่า?”


กู้ซีจิ่วดื่มสุราอึกหนึ่ง สีหน้าเฉยเมย “หลังจากเจ้ากลายเป็นสวามีข้างตั่งของข้าย่อมทำได้”


หลานเฝ่ยนิ่งงัน


เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่นๆ “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นแม่นางที่เอาจริงเอาจังถึงเพียงนี้”


กู้ซีจิ่วยิ้ม “ความจริงแล้วข้าเอาจริงเอาจังยิ่งนักเสมอมา เพียงแต่เจ้าไม่ทราบก็เท่านั้น นี่ก็เป็นข้อเสียของรักแรกพบ เจ้าได้เห็นข้าเพียงผิวเผินเล็กน้อย ทว่าไม่ทราบเลยว่าที่แท้เป็นคนเช่นใด ไม่แน่ว่าข้าอาจมีเพียงเปลือกนอกที่พอเข้าที แต่อย่างอื่นกลับไม่มีอะไรเลย…”


หลายเฝ่ยอดไม่ได้จะทอดถอนใจ “ซีจิ่ว อย่าได้ดูหมิ่นตนเอง…เจ้าต้องเชื่อว่าตัวเจ้าดีที่สุด!”


กู้ซีจิ่วเงยหน้าหัวเราะ “แน่นอนว่าข้าย่อมดีที่สุด! บนโลกนี้มีข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น!”


ทุกคนล้วนมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะโลกนี้มีตัวคุณแค่คนเดียว


กู้ซีจิ่วเชื่อมั่นในตัวเองเสมอมา แต่ระยะนี้เธอกลับมีความรู้สึกพ่ายแพ้ไร้เรี่ยวแรงอย่างหนึ่ง…


เธอแกว่งจอกสุรา “เอาล่ะ ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราดื่มกันเถอะ!”


หลานเฝ่ยก็รู้สึกเช่นกันว่านี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่ดี เขาจึงยิ้มแวบหนึ่ง “ได้ พวกเราดื่มกัน!”


เขาสนใจในตัวกู้ซีจิ่วล้ำลึกกว่าเดิมแล้ว!


ทั้งสองชนจอกร่ำสุรา หลานเฝ่ยยังเกิดอารมณ์ศิลป์ร้องเพลงให้กู้ซีจิ่วเพลงหนึ่งด้วย จากนั้นก็เชิญให้กู้ซีจิ่วร้องสักเพลงเช่นกัน


เขาชี้ไปที่จันทราบนฟากฟ้า “ซีจิ่ว เป็นคืนจันทร์เพ็ญ ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทัศนียภาพที่งดงามเพียงนี้สมควรร้องรำกันอย่างเบิกบาน…”


กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้า เมื่อเธอชอบคืนจันทร์เพ็ญ เนื่องจากค่ำเธอมีความทรงจำอันงดงามากมายในค่ำคืนเช่นนี้


แต่ยามนี้เธอชิงชังจันทร์เพ็ญ สิ่งที่เคยงดงามยามนี้เมื่อนึกถึงล้วนเป็นยาพิษผลาญลำไส้ทั้งสิ้น!


ประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเธอ ‘ค่ำคืนมิได้โสภาเช่นกาลก่อน กำหนดยามเที่ยงคืนเพื่อผู้ใด…’


บทที่ 1578


หมู่ดาราวาโยในคืนวาน ความรักในวันวานพัดไปกับสายลม ไม่มีผู้ใดกำหนดยามเที่ยงคืนเพื่อเธอแล้ว และเธอก็ไม่อาจกำหนดยามเที่ยงคืนให้ผู้ใดได้แล้ว…


เธอยิ้มแวบหนึ่ง เชิดหน้ายกหมดจอก “มา ดื่มเพื่อทัศนียภาพอันงดงามนี้เถิด!”


หลานเฝ่ยมีความอดทนยิ่งนัก เขายังคงรอให้เธอร้องเพลงอยู่


กู้ซีจิ่วดื่มสุราไปค่อนข้างมาก ทว่าไม่ได้ปฏิเสธอันใด เธอลุกขึ้นร้องเพลง ไม่เพียงแต่ร้องเพลงเท่านั้นยังร่ายรำไปด้วย “จันทร์กระจ่างกลางฟากฟ้าเพลาไห ยกจอกสุราถามไถ่ถึงสวรรค์ หาทราบไม่ว่าวิมานบนแดนสรวง ในยามนี้เป็นปีใด? ข้าใคร่ควบวาโยพัดหวนคืน แต่เกรงว่าวิมานหยกอันเลอโฉม ยิ่งสูงล้ำยิ่งหนาวเหน็บ…[1]”


เสียงเพลงว่างเปล่าล่องลอย หมุนวนอ้อยอิ่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์ อาภรณ์สีควันปลิวไสวตามสายลม ราวกับช่อแหนเบ่งบานที่ร่ายรำอยู่บนยอดเมฆา…


หลายเฝ่ยก็ค่อนข้างเมามายเช่นกัน ดวงตาดั่งวิฬาร์จ้องมองกู้ซีจิ่ว รู้สึกเพียงว่าเคลิบเคลิ้มหลงใหล…


ขอเพียงสามารถอยู่ข้างกายคนที่คะนึงหาอยู่ไม่สร่างซาได้ เขาก็ไม่ใส่ใจศักดิ์ฐานะแล้ว และไม่สนใจว่าภายหน้านางจะรับสวามีอีกกี่คน ขอเพียงเขาได้จับจองพื้นที่ในใจนางบ้างก็พอ


ทัศนคติที่เขามีต่อกู้ซีจิ่วก็เหมือนทัศนคติที่แฟนคลับมีต่อไอดอล ขอเพียงในใจของอีกฝ่ายมีเขาอยู่ก็พอแล้ว ไม่กล้า เขาไม่กล้าคิดเหิมเกริมผูกขาดไว้เพียงคนเดียว…


สายลมเบาบางพัดโชย ในพุ่มไม้มีกลีบบุปผาบอบบางปลิวตามแรงลม หมุนล้อมรอบกายกู้ซีจิ่ว เกาะอยู่บนอาภรณ์และเรือนผมเธอ…


เธอร้องเพลงร่ายรำตามใจนึก เขามองดั่งลุ่มหลงมัวเมา ผู้ใดก็มองไม่เห็นว่าบนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะหลอมละลายใต้แสงจันทร์ เขายืนอยู่ตรงนั้นตลอด และไม่ทราบเช่นกันว่ายืนอยู่นานเพียงใด มองอยู่นานแค่ไหน


มีอยู่หลายครั้งที่ดูคล้ายว่าเขาอยากพุ่งออกไป ทว่าสุดท้ายก็ข่มกลั้นเอาไว้ สีหน้าของเขาขาวเผือดยิ่งกว่าแสงจันทร์ แววตามืดมนยิ่งกว่ารัตติกาล


ในชีวิตนี้คนที่ใส่ใจที่สุดก็คือนาง กลับนึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ต้องทำร้ายอย่างถึงที่สุดก็คือนางเช่นกัน…


หากว่าเป็นไปได้ เขาปรารถนาจะปกป้องนางไว้ใต้ปีกของตนยิ่งนัก ไม่มีวันปล่อยมือ แต่ว่าเขาทำไม่ได้…


เขาวางแผนอย่างแยบยล คิดคำนวณจัดการทุกอย่างไว้อย่างดี สามารถทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผยไปทั้งชาติได้ กลับนึกไม่ถึงว่าชะตาสวรรค์จักเล่นงานคน อาคมของเขาไม่ได้ผลกับร่างนาง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเมื่อผิดแล้วก็ผิดต่อไป…


เขาหลุบตามองกำไลบนข้อมือ ยามที่หมั้นหมายกันครานั้นเขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่ากำไลคู่นี้จะปรากฏขึ้นบนข้อมือเขากับนาง คู่สวรรค์สรรสร้าง เขาก็เคยนึกว่าเป็นสวรรค์สรรสร้างให้เช่นกัน…


ถึงขั้นที่หลงนึกว่าด้วยกำไลวงนี้อาจทำให้ชะตาชีวิตของเขาพลิกผันไปก็ได้ นึกไม่ถึงว่าไม่เพียงไม่พลิกผันเท่านั้นกลับหนักหนายิ่งกว่าเดิมเสียอีก…


มองเห็นนางกรอกสุราเสมือนกรอกน้ำ มองเห็นนางร้องเพลงร่ายรำภายใต้แสงจันทรา…


เหตุการณ์เหล่านี้ในแปดปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาสักกี่ครั้งแล้ว ตัวนางในยามนั้นมีความสุขเสมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ทำตัวออดอ้อนเง้างอนต่อหน้าเขาเหมือนเด็กเล็กๆ


แต่ตัวนางในยามนี้เล่า?


กู้ซีจิ่วดื่นจนเมามายไปแล้ว!


การดื่มสุราครั้งนี้เธอไม่ใช่ใช้เคล็ดวิชาอันใดขับสุราออกมา ประกอบกับอารมณ์ไม่ดีอยู่ ดื่มสุราเข้าไปอย่างดุเดือด เบื้องหน้าเธอจึงหมุนกลับตาลปัตรเป็นพักๆ จึงนั่งพิงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเสียเลย พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหลานเฝ่ย พลางสัปหงกไปด้วย


“ซีจิ่ว เจ้าเมาแล้ว มาเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ”


หลานเฝ่ยยื่นมือหมายจะพยุงเธอขึ้นมา


กู้ซีจิ่วผลักเขาออกไป “ข้าเพียงมึนเมาอยากหลับใหล มิใช่อยากไปดื่มอีกสามร้อยจอก!” เธอก็จำไม่ได้เช่นกันว่าเห็นสองวลีนี้มาจากนิยายเล่มใด ยามนี้เพียงเอ่ยโพล่งออกมาก็เท่านั้น


หลายเฝ่ยค่อนข้างงุนงง


หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วเหนื่อยมากจริงๆ มักจะนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนอยู่เสมอ ยามนี้เมื่อดื่มจนเมามายเช่นนี้ เธอจึงผล็อยหลับไป ซ้ำยังหลับสนิทยิ่งนักด้วย


หลายเฝ่ยเรียกเธออยู่หลายครั้ง เธอล้วนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดเลย


เธอพิงอยู่ใต้ต้นไม้ แพขนตาดั่งเล่มพัดหลุบลู่อยู่บนด้านล่างดวงตา ทิ้งเงาสลัวๆ ไว้


ดวงหน้าขึ้นสีชมพูอ่อนจาง ริมฝีปากแดงเรื่อ


เธอในยามหลับใหลมีความแข็งกร้าวน้อยกว่ายามตื่น มีความอ่อนแอไร้ที่พึ่งอยู่หลายส่วน ทำให้คนอยากโอบกอดเอาไว้ยิ่งนัก


หลายเฝ่ยกลืนน้ำลายเล็กน้อย เขยิบเข้าใกล้นาง ทาบริมฝีปากลงบนปากของนางอย่างระมัดระวัง…


————————————————————————————-


บทที่ 1579 ความพิโรธของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 1


สายลมพลันโหมกรรโชกขึ้น เบื้องหน้าหลานเฝ่ยพร่ามัว เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างกายก็หมุนกลิ้งออกไปดั่งกังหันลมแล้ว!


ชนเข้ากับต้นไม้จนเกิดเสียงดัง ‘ปัง!


แรงกระแทกนี้เปรียบเสมือนดางหางพุ่งชนโลก ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นส่งเสียงแกรกกรากแล้วหักโค่นทันที ล้มลงเสียงดังสนั่น


ในอาณาจักรเงือก วรยุทธ์ของหลานเฝ่ยก็เป็นเลิศเช่นกัน ยามปกติแล้วคนหลายร้อยคนก็ไม่อาจเข้าใกล้ร่างเขาได้ในคราวเดียว แต่การโจมตีครั้งนี้รวดเร็วและรุนแรงเกินไป ไม่มีแม้แต่เวลาให้เขาตอบสนองด้วยซ้ำ!


ยามที่ปฏิกิริยาตอบสนองเขากลับคืนมา ร่างกายเขาก็ล้มอ่อนยวบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แล้ว อวัยวะภายในตันห้ากลวงหก[2]ราวกับเคลื่อนตำแหน่งไปแล้ว เจ็บปวดจนสายตาเขามืดมัวเป็นพักๆ มึนงงจนมองเห็นดาวทองลอยวิบวับ


ยากนักกว่าเขาจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาได้ ดาวทองและหมอกครึ้มเบื้องหน้าสลายไปแล้ว เขามองเห็นบุรุษชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว


หน้ากากภูตผีดุร้ายสีเงิน อาภรณ์ขาวโบกพลิ้วปลิวไสว คล้ายว่าต้องการจะหลุดจากร่างไป


บุรุษผู้นั้นมีดวงตาลึกล้ำดั่งท้องนภายามราตรี นัยน์ตาคู่นั้นคล้ายมีดวงดาวหนาวยะเยือกกำลังลุกโชนอยู่


ทุ่งหญ้าแห่งนี้เดิมทีค่อนข้าวหนาวเย็น ทว่ายามนี้กลับมีความอบอุ่นล่องลอยขึ้น คลื่นความร้อนกรุ่นขึ้นมา ต้นหญ้าเขียวขจีบนพื้นขดม้วนหงิกงอราวกับถูกเผาจนแห้ง


หยาดเหงื่อผุดพรายทั่วศีรษะหลานเฝ่ย ครึ่งหนึ่งเพราะเจ็บ อีกครึ่งหนึ่งเพราะร้อน ซ้ำยังมีความตกใจอีกกึ่งหนึ่งด้วย!


คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เขาก็นับว่าคุ้นเคยเช่นกัน


….ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!


ราชครูของอาณาจักรเงือกลึกลับที่สุด และเป็นผู้กุมบังเหียนอาณาจักรเงือกตัวจริง


ถึงแม้เขาจะมาที่อาณาจักรเงือกไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวล้วนเป็นยามที่อาณาจักรเงือกเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น ไม่ว่าจะเกิดความวุ่นวายภายนอกหรือความวุ่นวายภายใน เขาก็จะใช้กำลังเข้าสยบความวุ่นวายอย่างรวดเร็วดั่งเข็มเทพสะกดทะเล[3]…


เขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ของชาวเงือก หลานเฝ่ยก็เคยเห็นเขาจากที่ไกลๆ อยู่แวบหนึ่ง


อำนาจบนร่างคนผู้นี้แข็งแกรงเหลือเกิน หลานเฝ่ยเห็นแวบเดียวก็เกิดความประทับใจอย่างลึกล้ำ


และยามนี้คนผู้นี้เสมือนทวยเทพที่ทอดตามองเหล่าเวไนยสัตว์ กลิ่นอายบนร่างแผ่ออกมาเต็มที่! แรงกดดันมหาศาลถาโถมออกมา หลานเฝ่ยรู้สึกเพียงว่าไอเย็นเยียบคืบคลานแผ่ลามไปทั่วร่าง เขาแข็งทื่อไปทั้งร่าง ราวกับถูกกดทับด้วยน้ำหนักที่หนักอึ้ง สองขาอ่อนยวบ คุกเข่าลงไปอีกครั้งทันที!


เดิมทีเขาคิดจะคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แต่พอถูกอานุภาพของอีกฝ่ายกดทับไว้ แม้แต่วาจาเขาก็เปล่งไม่ออกเลย


ในชั่วขณะหนึ่ง เขาเกือบนึกว่าอีกฝ่ายจะสังหารเขาเสียแล้ว! ซ้ำยังเป็นการสังหารแบบมิให้ซากศพครบถ้วนสมบูรณ์ด้วย หยาดเหงื่อเย็นเฉียบไหลลงมาจากขมับทันที!


เคราะห์ดีที่เสียงดังกึกก้องนั้นทำให้กู้ซีจิ่วที่นอนหลับอยู่ตรงนั้นขยับตัวเล็กน้อย คล้ายว่าแรงกดดันมหาศาลบนร่างตี้ฝูอีจะทำให้เธออึดอัดไปด้วย คิ้วจึงมุ่นแน่น


แม้จะเป็นเพียงความเคลื่อนไหวเล็กน้อยยิ่งนัก ทว่ากลับทำให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่ในสภาวะโกรธเกรี้ยวได้สติกลับมา เขาเหลียวมองนางแวบหนึ่ง มองเห็นแพขนตานางไหวระริกสองครา นัยน์ตาที่ปรือปรอยด้วยฤทธิ์สุราก็ลืมขึ้นแล้ว


เพียงแต่เธอยังไม่ทันได้เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าชัดเจน ตี้ฝูอีก็โบกแขนเสื้อพรึ่บ กู้ซีจิ่วหลับใหลไปอีกครา


ต้นไม้นั้นที่เธอพิงอยู่ค่อนข้างเพรียวบาง เมื่อเธอขยับตัวเช่นนี้จึงโอนเอน เอนโน้มลงไปเบื้องล่าง และใต้ร่างของเธอก็มีเศษไม้จำนวนหนึ่งอยู่ หากว่าเธอล้มหงายลงไปจะต้องถูกทิ่มแทงเป็นแน่…


ขณะที่ร่างกายของเธอเจียนจะล้มหงายลงไป ก็ร่วงลงในอ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง


ในอ้อมแขนนั้นมีกลิ่นแผ่วจาง กู้ซีจิ่วที่เดิมทีหลับสนิทอยู่กลับขมวดคิ้วขึ้นมารางๆ คล้ายว่าไม่อยากได้กลิ่นนี้ เธอขยับตัวเล็กน้อย แม้อยู่ในห้วงนิทราก็ยังดิ้นรนขัดขืน


การดิ้นรนหลังจากที่นางเมามายเช่นนี้สำหรับตี้ฝูอีแล้ว เป็นเพียงสายฝนแผ่วปรอยเท่านั้น เขาหลุบตามองนางแวบหนึ่ง คล้ายจะนึกไม่ถึงว่าขนาดตนใช้มนต์หลับใหลแล้วนางก็ยังมีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาอยู่


ชัดเจนว่าตัวนางในยามนี้ระแวดระแวงผู้อื่นอย่างลึกล้ำแล้วจริงๆ ต่อให้เมามายก็ยังเหมือนลืมตาไว้ข้างหนึ่งอยู่


————————————————————————————-


[1]ขออำนวยชัยให้อายุมั่นขวัญยืน เป็นบทเพลงที่ขับร้องโดย เติ้งลี่จวิน นักร้องสาวผู้เป็นตำนาน โดยในบทเพลงนี้ได้มีการสอดแทรกบทกวีของยอดกวีซูตงผอเอาไว้ด้วย เป็นบทเพลงที่นิยมร้องในเทศกาลไหว้พระจันทร์


[2]อวัยวะภายตันห้ากลวงหก อวัยวะตันห้าได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปวด ไต อวัยวะกลวงหกได้แก่ ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ และซานเจียว ซานเจียวเป็นแนวคิดของอวัยวะที่หกในการแพทย์แผนจีน ซึ่งไม่มีระบุในการแพทย์แผนตะวันตก


[3]เข็มเทพสะกดทะเล เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในฐานะกระบองทองคู่ใจของซุนหงอคง เดิมเป็นเข็มวิเศษยืดได้หดได้ ปักอยู่ที่สะดือทะเลเพื่อสะกดไม่ให้มหาสมุทรเกิดคลื่นลมปั่นป่วน


บทที่ 1580 ความพิโรธของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 2


นัยน์ตาตี้ฝูอีมืดมนเล็กน้อย ตอนที่นางเพิ่งข้ามภพมา ก็มีอาการเช่นนี้เหมือนกัน ชีวิตที่ไม่มีความปลอดภัยเลยสักนิดเนิ่นนานปีทำให้นางรักษาสติเอาไว้ตลอด


หลังจากแต่งงานกับเขา อาจเป็นเพราะหาที่พึ่งได้แล้ว ยามที่นางหลับใหลจึงผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากนางทราบว่าขอเพียงมีเขาอยู่ข้างกาย อุปสรรคอันตรายใดๆ ไม่มีทางร่วงหล่นใส่ร่างนางได้ นางจึงหลับอยู่ข้างกายเขาอย่างไร้การป้องกันเยี่ยงเด็กน้อย


ไม่นึกเลยว่าผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น นางจะกลับมาอยู่ในสภาวะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยจึงตื่นตัวตลอดเวลาอีกแล้ว


อันที่จริงนี่ก็เป็นความเคยชินที่ดีอย่างหนึ่ง เช่นนี้นางจะได้ไม่ถูกผู้อื่นลอบทำร้ายง่ายๆ


แต่ว่าผู้ใดจะนึกถึงเล่าว่าการที่นางกลับสู่สภาวะเช่นนี้อีกครั้งเบื้องหลังต้องจ่ายค่าตอบแทนอันใดออกไป?


ความทุกข์สามารถทำให้คนเติบใหญ่ได้ภายในชั่วข้ามคืน…


ตรงหัวใจเสมือนถูกคนขยุ้มอย่างรุนแรง แววตาตี้ฝูอีมืดสลัว อ้อมแขนที่กอดนางพลันรัดแน่น แขนเสื้อโบกผ่านใบหน้านางเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนเล็กน้อย “อย่ากลัวเลย หลับเถิด”


เห็นได้ชัดว่าเขาใช้อาคมอีกแล้ว กู้ซีจิ่วต่อต้านอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้านทานความง่วงงุนที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหว ในที่สุดก็หลับสนิทไป ครั้งนี้ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ตื่นแล้ว!


บางทีอาจเป็นเพราะในอ้อมแขนเขาอุ้มคนเอาไว้ แรงกดดันบนร่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงอ่อนโยนลงไม่น้อยเลย


เขาปรายตามองหลานเฝ่ยแวบหนี่ง เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “ภายหน้าถ้าเจ้าเข้าใกล้นางในระยะสามฉื่ออีก เปิ่นจุนจะทำให้เจ้ากลายเป็นฟองอากาศทันที!”


หลานเฝ่ยนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็สามารถเอ่ยออกมาได้แล้ว “เจ้า…นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้ากับนางก็มิได้ละเมิดกฎเกณฑ์อันใดกระมัง?”


ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “หรือว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คือสวามีเอกของนาง? ผู้น้อยมิได้มีความคิดจะช่วงชิงตำแหน่งสวามีเอกกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เลยจริงๆ ผู้น้อยยินยอมเป็นสวามีข้าง…”


วาจาท่อนหลังเขากล่าวต่อไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตวัดแขนเสื้อเข้าใส่ ลำคอเขาพลันปวดแปลบ ราวกับถูกเพลิงแผดเผา สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนทันที “ท่าน…”


เพิ่งจะเปล่งเสียงออกมาก็ต้องตกใจยิ่งนัก!


เสียงที่สร้างความภาคภูมิใจให้เขาเสมอมาแหบแห้งจนใช้การไม่ได้เลย ราวกับกลืนผงเหล็กคั่วร้อนๆ เข้าไปหนึ่งจิน (ครึ่งกิโล)


“นี่เป็นบทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ ที่เปิ่นจุนมอบให้เจ้า เจ้าจะเสียงแหบไปหนึ่งปี ถ้าพูดเหลวไหลอีกสักประโยคล่ะก็ เปิ่นจุนจะทำให้เจ้าเสียงแหบไปชั่วชีวิต!” น้ำเสียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เย็นยะเยือก ทำให้หลานเฝ่ยสั่นสะท้าน ใบหน้าหล่อเหลาเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ทว่าไม่กล้าพูดสักประโยคแล้วเช่นกัน


เขาเป็นนักร้อง อาศัยกล่องเสียงสร้างชื่อให้ตน หากว่าต้องเสียงแหบไปชั่วชีวิต เช่นนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสังหารเขาเสียอีก!


ตี้ฝูอีไม่มองเขาอีก เรือนกายส่องแสงวาบ อุ้มคนหายตัวไปทันที


หลานเฝ่ยอ่อนยวบไปทั้งร่าง นั่งตรงนั้นลุกไม่ขึ้นอยู่เนิ่นนาน


ผ่านไปสักพัก เขาก็ยิ้มขื่นๆ แวบหนึ่ง มีสวามีเอกเช่นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ เกรงว่าหนทางการเป็นสวามีข้างตั่งของประมุขหญิงคงสมปรารถนาได้ยากยิ่งนักเสียแล้ว…


….


กู้ซีจิ่วไม่ได้ลิ้มรสการเมามายอย่างแท้จริงมากว่าหนึ่งปีแล้ว


ในความฝันเธอรู้สึกว่าในท้องอึดอัดยิ่งนัก อยากร้องไห้อยากอาเจียน…


ในฝันเธอย่ำตะลุยอยู่ท่ามกลางโคลนเลน ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไม่ได้ ใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ เส้นทางใต้ฝ่าเท้าล้วนเป็นหนทางโคลนสายเล็กๆ เป็นประเภทย่างหนึ่งก้าวจมลงไปหนึ่งก้าวเช่นนั้น เดินยากยิ่งนัก เมื่อมองไปเบื้องหน้า เป็นม่านหมอกสีเทา เมื่อมองไปเบื้องหลัง เป็นฉากเลือนรางลายตา


เธอมองไม่เห็นหนทางที่จะไปถึง มองทิศทางในอนาคตไม่กระจ่าง ในท้องยังคงปั่นป่วนพลิกตลบรุนแรง ในใจก็รู้สึกคับข้องหมองใจอย่างน่าพิศวง คับข้องหมองใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา


เธออยากนั่งยองๆ ลงข้างทางเพื่ออาเจียนออกมา ร้องไห้ออกมายิ่งนัก แต่ก็รู้สึกอยู่เสมอว่าท่ามกลางหมอกสีเทาที่รายล้อมอยู่ซุกซ่อนฆาตกรสังหารเอาไว้ ขอเพียงเธอเผอเรอไปสักนิด ก็จะมีบางอย่างกระโจนออกมาเอาชีวิตเธอ


ด้วยเหตุนี้ เธอจึงฝืนอดทนไว้ จะลำบากมากเพียงใดก็ต้องอดทน


เพื่อทำให้ศัตรูท่ามกลางหมอกสีเทาสับสน เธอถึงขั้นหยักมุมปากยิ้ม ร้องเพลงด้วยรอยยิ้ม ร้องด้วยเสียงดังยิ่งนัก


————————————————————————————-


บทที่ 1581 แค่เป็นผู้ชายฉันก็โยนทิ้งได้ทั้งหมด


ความรักเป็นแค่ของเล่นทั่วไปไม่ได้แปลกใหม่เลยสักนิด


ผู้ชายเป็นแค่ของแก้เหงาไม่ได้ดีเด่อะไรเลย


ความรักเป็นแค่ของเล่นทั่วไปไม่ได้แปลกใหม่เลยสักนิด


ผู้ชายเป็นแค่ของแก้เหงาไม่ได้ดีเด่อะไรเลย


สิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่เรียกว่าใคร่มิใช่ตัวตนของทุกคนหลอกตัวเองอยู่หรือ


สิ่งที่เรียกว่าหลงสิ่งที่เรียกว่าใหลเป็นแค่การเล่นละครของชายหญิง


แค่เป็นผู้ชายไม่ว่าจะยากดีมีจนสูงส่งหรือต่ำต้อยฉันก็ชอบทั้งนั้น


แค่เป็นผู้ชายฉันก็โยนทิ้งได้ทั้งหมดโดยไม่เกรงกลัวว่าคุณจะมีอำนาจวิเศษสักแค่ไหน…


เพลงที่เธอร้องคือเพลง ‘บัตรผ่านประตู’ น้ำเสียงพรั่งพรู เสียงแหบเสียดหู ราวกับแรปเปอร์…


….


หลานเหยากวงค่อนข้างหดหู่ใจ ไม่กี่วันก่อนกู้ซีจิ่วให้เขาเร่งรัดให้ตี้ฝูอีกลับมาเพิกถอนสัญญาวิวาห์อยู่ทุกสามวันห้าวัน จนปัญญาที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ยอมกลับมาเลย ถึงขั้นที่คร้านจะคุยกับกู้ซีจิ่วตรงๆ โดยซ้ำ


จากนั้นพี่หญิงของเขาก็ออกอุบายใหม่ เริ่มจัดหาเรื่องสวามีข้างตั่ง ถึงขั้นที่ว่านางคัดสรรมาแล้วสองคนอย่างรวดเร็วยิ่งนัก


คนหนึ่งคือหลานเฝ่ย อีกคนเป็นประชาชนธรรมดาที่รูปโฉมหล่อเหลา ถึงขั้นที่เริ่มนัดพบกับสองคนนี้แล้วด้วย เห็นได้ว่ามิใช่การล้อเล่น!


ดังนั้นเขาใคร่ครวญอยู่หลายตลบ ยังคงติดต่อไปท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี…


หนนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาอย่างรวดเร็ว เขาตัดสัญญาณป้ายหยกสื่อสารไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงแล้ว…


จากนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไปตามหาคนทันที


เนื่องจากหลานเหยากวงเกรงว่ากู้ซีจิ่วจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น จึงส่งคนไปตามอารักขานางตลอด คอยรายงานเบาะแสของนางตลอดเวลา ดังนั้นหลานเหยากวงจึงทราบว่ากู้ซีจิ่วนัดพบกับหลานเฝ่ยในสถานที่ใด อยู่ไม่ไกลจากวังเงือกนัก เป็นระยะทางห้าสิบกว่าลี้เท่านั้น


ด้วยฝีเท้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาสามารถติดตามไปจนพบตัวคนได้ไม่ช้า


กลับนึกไม่ถึงว่าเที่ยวนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไปค่อนข้างนานเป็นเวลาสองชั่วยามเต็ม! ทำให้หัวใจหลานเหยากวงกระสับกระส่าย เขาเกิบนึกว่าสายสืบที่เขาส่งไปรายงานตำแหน่งผิดเสียแล้ว!


ขณะที่เขากำลังร้อนใจเดินวนไปวนมาอยู่ ในที่สุดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็อุ้มคนกลับมาแล้ว


ด้วยเหตุนี้หลานเหยากวงจึงได้ยินเสียงเพลงก้องกังวานของกู้ซีจิ่ว


เพลงนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าไพเราะนัก ทว่าเนื้อเพลงกลับทำให้คนยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก


เมื่อหลานเหยากวงได้ยินสีหน้าก็มืดทะมึน ขณะที่กำลังจะเข้าไปดู ตี้ฝูอีก็อุ้มนางเข้าตำหนักบรรทมไปเสมือนลมหอบหนึ่งแล้ว


ประตูห้องบรรทมพลันปิดฉับทันทีหวิดจะซัดถูกจมูกของหลานเหยากวงแล้ว!


หลานเหยากวงถอยหลังไปสองก้าว มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าเหล่าองครักษ์ของตนมีสีหน้าปานถูกสายฟ้าฟาด เห็นได้ชัดว่าได้ยินเสียงเพลงสั่นประสาทนั้นของกู้ซีจิ่วกันถ้วนหน้าแล้ว


เพียงแต่ทุกคนล้วนสงสัยเช่นเดียวกันกับหลานเหยากวง เนื้อเพลงเช่นนี้สำหรับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วนับว่าเป็นการลบหลู่ชัดๆ เหตุใดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ลงมือยับยั้งเล่า? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาใช้อาคมเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้คนในอ้อมแขนเงียบปากได้แล้ว…


….


กู้ซีจิ่วที่อยู่ในห้วงฝันฮึกเหิมลำพอง ร้องเพลงจนคอแทบแตกแล้ว ราวกับการทำเช่นนี้สามารถระบายความอึดอัดที่สะสมอยู่ในใจมาหลายวันออกมาได้ ทำให้ตัวเองสบายขึ้นเล็กน้อย


ว่าไปแล้วก็แปลก  ในความฝันเดิมทีเธอย่ำอยู่ท่ามกลางโคลนเลนหมอกหนา แต่หลังจากร้องเพลงไปสักพัก กองโคลนใต้ฝ่าเท้าก็ดูเหมือนจะไม่หนืดติดเท้าถึงเพียงนั้นอีกแล้ว เธอไม่ต้องก้าวไปลื่นไปอีก…


ระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่เธอรู้สึกคอแห้งอยู่บ้าง ขณะที่กระแอมคราหนึ่งแล้วหมายจะร้องต่อ น้ำถ้วยหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธออย่างกะทันหัน มีเสียงแผ่วเบาคล้ายแว่วมากจากขุนเขาลำเนาไพรดังขึ้น “ดื่มน้ำสักอึกแล้วค่อยร้องต่อ…”


รสชาติหอมหวานแผ่ซ่านอยู่ที่ริมฝีปากเธอ เธอกลับหุบปากฉับทันที มองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง


เธอได้ยินเสียงของคนคนนั้น!


คนคนนั้นคงไม่มอบน้ำให้เธอด้วยความปรารถนาดีถึงเพียงนี้หรอก คนคนนั้นไม่อยากให้เธอมีชีวิตอยู่ รังเกียจที่เธอยึดครองฐานะของนางในดวงใจเขา…


น้ำนี่เป็นการวางยาพิษสังหารเธอใช่ไหม?


บทที่ 1582 นางในยามเมามาย


น้ำนี่เป็นการวางยาพิษสังหารเธอใช่ไหม? ถ้าเธอดื่มน้ำถ้วยนี้เข้าไปจะสูญเสียตัวตนไปหรือเปล่า? จะกลายเป็นคนอื่นไหม?


เธอยื่นมือไปปัดน้ำถ้วยนั้นทิ้งทันที!


เกิดเสียงดัง ‘เพล้ง’ เธอได้ยินเสียงถ้วยแตกเป็นเสี่ยง แต่เมื่อกะพริบตาอีกที ถ้วยใบนั้นก็หายไปแล้ว…


เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก ย่ำเท้าตะลุยทางพลางร้องเพลงต่อไป


หลานเหยากวงได้จัดเตรียมห้องนอนไว้ให้กู้ซีจิ่วโดยเฉพาะ


การตกแต่งภายในห้องนอนเป็นลักษณะแบบที่หลานจิ้งเคอเคยชื่นชอบ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นลักษณะแบบที่กู้ซีจิ่วชอบแทน


เป็นอันชัดเจนยิ่งนัก ไม่ว่ายามไหนกู้ซีจิ่วก็ไม่อยากสูญเสียความเป็นตัวเองไป


คล้ายว่านางต้องการยืนยืนด้วยสารพัดลู่ทางว่านางเป็นแค่กู้ซีจิ่วเท่านั้นมิใช่หลานจิ้งเคอ…


ตี้ฝูอีมองการตกแต่งภายในตำหนักบรรทมแวบเดียวก็เข้าใจแนวคิดของนางแล้ว หลังจากเขาอุ้มกู้ซีจิ่วเข้ามาก็วางนางลงบนเตียง ต่อมาก็นั่งฟังนางร้องเพลงอยู่ข้างกายนาง…


กู้ซีจิ่วยามเมามายเขามีวาสนาได้พบพานอยู่หนหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่ายามนี้นางจะกระทำเรื่องใดออกมาเขาก็ไม่รู้สึกว่าแปลกใจเท่าไหร่แล้ว


เพลงนี้ที่นางร้องเขาก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ฟังได้ไม่กี่ประโยคก็รู้สึกว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอย่างยิ่ง


แต่หลังจากฟังจนจบแล้ว เขากลับคล้ายว่าได้รับความสะเทือนใจเข้า ดวงตาฉายแววปวดร้าว นั่งอยู่ข้างกายนาง หลุบตามองนางที่นอนร้องรำทำเพลงอยู่ตรงนั้น…


นางร้องอย่างเต็มที่นัก ร้องจนเสียงแหบแห้ง ยามที่คนเราเมามายย่อมร้องเพลงผิดทำนองเป็นธรรมดา ส่วนใหญ่แล้วเสียงเพลงนี้จึงค่อนข้างเสียดหูจริงๆ


ระหว่างทางมาหูของชาวเงือกที่ชื่นชอบเสียงเพลงต่างได้รับมลพิษไปมากมาย…


เคราะห์ดีว่าหลังจากตี้ฝูอีเข้ามาก็ติดตั้งเขตแดนไว้ในตำหนักหลังนี้ เสียงในห้องล้วนไม่เล็ดลอดออกไป เพลงนี้ของนางมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยิน


เขาฟังจนเข้าสู่ภวังค์ เสมือนเคลิบเคลิ้มมัวเมา ราวกับนี่คือเสียงสวรรค์ที่ไพเราะที่สุดในโลก


บทเพลงที่นางขับขานไม่ว่าจะไพเราะหรือยากจะฟังได้ เขาล้วนชอบฟังทั้งนั้น แต่เขาทราบดีว่าโอกาสที่เขาจะได้ฟังนางร้องเพลงเหลือไม่มากแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย…


และเขาก็ทราบว่าในใจนางมีความอึดอัดคับข้องสะสมอยู่มากมายเหลือเกิน จำเป็นต้องระบายออกมา จึงให้นางใช้ช่วงที่เมามายระบายอารมณ์ออกมา ป้องกันไม่ให้ถูกธาตุไฟเข้าแทรก


ผลลัพธ์ที่ตามมาคือนางร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง เขาจึงเทน้ำให้นางถ้วยหนึ่ง ใส่น้ำตาลลงในน้ำ เป็นน้ำตาลดอกกุ้ยฮวาที่นางเคยชอบที่สุด


บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตนางได้ลิ้มรสชาติขมขื่นมากเกินไป ดังนั้นนางจึงชอบรสหวาน เหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง


ถ้วยน้ำจ่อชิดริมฝีปากนาง เขาเกลี้ยมกล่อมนางด้วยเสียงอ่อนโยน กล่อมให้นางดื่มน้ำ อยากให้คอนางได้ชุ่มชื่นบ้าง


เริ่มแรกนางหลบเลี่ยงด้วยความระแวง จากนั้นก็ปัดน้ำทิ้งทันที!


ถ้วยน้ำหล่นลงพื้นแตกเป็นเสี่ยง น้ำก็สาดใส่ร่างของตี้ฝูอี ทำให้อาภรณ์เขาชุ่มโชกไปกึ่งหนึ่ง


เขาตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง จรดนิ้วร่ายคาถา คิดจะใช้คาถาชำระล้างทำให้เสื้อผ้าบนร่างตนแห้ง แต่ทำมุทราไปได้ครึ่งทางก็หยุดลงอีกครั้ง ปล่อยให้อาภรณ์เปียกชุ่มแนบลู่ผิวกาย เหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก


ดูเหมือนนางจะตกอยู่ในฝันร้าย ตะโกนร้องเพลงอยู่ตลอด เสียงแหบพร่าขึ้นเรื่อยๆ…


ดูเหมือนนางจะค่อนข้างหวาดกลัว ร่างกายแข็งทื่อด้วยความประหม่า


ตี้ฝูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย เตรียมน้ำแกงสร่างเมาถ้วยหนึ่งให้นางอีกครั้ง จ่อเข้าที่ริมฝีปากนาง


นางยังคงไม่ยอมอ้าปาก ปัดมันทิ้งอีกครั้ง…


ต่อให้ตกอยู่ในฝันร้ายนางก็จะไม่เชื่อใจผู้ใดแล้ว ไม่เชื่อใจเขาอีกต่อไป


ตี้ฝูอียืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงเรียกน้ำแกงสร่างเมาออกมาอีกถ้วยหนึ่ง ยามที่ส่งให้ถึงริมฝีปากนางเขาเขาก็ตั้งใจเก็บงำกลิ่นอายบนร่างตนไว้โดยเฉพาะ


นางไม่ต่อต้านอีกต่อไปแล้วจริงๆ เพียงแต่ยังไม่ยอมอ้าปากเช่นเคย


ตี้ฝูอีถอนหายใจ ปรับเปลี่ยนเส้นเสียง ยามที่เปล่งวาจาอีกครั้งก็เป็นน้ำเสียงเหมือนจิ้งจอกน้อยหลานไว่หู “ซีจิ่ว นี่เป็นน้ำแกงสร่างเมา มาเถอะ ดื่มมันเสีย”


————————————————————————————-


บทที่ 1583 ให้ตัวเองเข้มแข็งไว้…


กู้ซีจิ่วตะลึงไปชั่วขณะก่อน ดวงตาภายใต้เปลือกตากลอกหมุน คล้ายจะตามหาผู้เอ่ยวาจาอยู่ในความฝัน…


มือนางยกขึ้นมาช้าๆ เหมือนต้องการจะคว้าบางอย่าง แต่กลับขัดขืนอีกครั้ง


ตี้ฝูอียื่นมือไปจับแขนข้างนั้นของนางไว้ ร่างนางพลันแข็งทื่อ ประสานมือกับเขาตามความเคยชิน…


การจับมือเช่นนี้สำหรับคนทั้งสองแล้ว เป็นท่าทางที่คุ้นเคยที่สุด แทบจะกลายเป็นนิสัยตามธรรมชาติไปแล้ว ทันทีที่มือประสานกันเขาก็ทึ่มทื่อปานน้ำเข้าสมอง มึนงงไปชั่วขณะ


นิ้วมือเกาะเกี่ยวกันตามความเคยชิน หัวแม่มือแนบชิดเคียงกัน ดั่งยวนยางไขว้คอร่วมเรียงเคียงคู่


นางบอกว่าความคิดเขาล้ำลึกเกินไป มีแต่ต้องกุมมือกันไว้เช่นนี้ถึงจะสามารถอ่านความคิดของเขาได้ ถึงจะทราบถึงความอาวรณ์ที่เขามีต่อนาง ถึงจะทำให้นางรู้สึกปลอดภัย


ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงเคยชินที่จะกุมมือกันเช่นนี้ จับมือกันเดินเช่นนี้มาแปดปีแล้ว…


หลายปีมานี้เขากับนางฝ่าฝันอุปสรรคขวากหนามกันมานับไม่ถ้วน ใจสื่อถึงกัน มีหลายช่วงที่ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่ต้องใช้สัญญาณ เพียงกุมมือกันไว้สักครู่ ก็สามารถเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้กระจ่างแล้ว…


ระยะเวลาแปดปีสำหรับชีวิตที่ยืนยาวของเขาแล้วเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าเป็นแปดปีที่ชีวิตเขามีสีสันที่สุด เป็นตัวของตัวเองที่สุด ราวกับความกระตือรือร้นทั้งชีวิตของเขาได้ปลดปล่อยออกมาในช่วงแปดนี้หมดแล้ว


ยามนี้เขากุมมือไว้เช่นนี้อีกครั้ง จะสามารถทำให้นางที่อยู่ในห้วงฝันไม่หวาดผวา ไม่หวาดกลัวอีกต่อไปได้หรือไม่? จะสามารถฉุดดึงนางออกมาจากโคลนตมในฝันร้ายได้ไหม?


ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ สองมือเพิ่งประสานกันได้ไม่กี่วินาที นางก็ชักมือกลับไปทันทีประหนึ่งถูกไฟลวก!


นางชักกลับไปอย่างรวดเร็วร้อนรน ราวกับว่าถ้าดึงกลับไปช้าสักนิด นางจะถูกอีกฝ่ายสังหารโดยไม่เหลือศพไว้ในสภาพสมบูรณ์…


เขาหลุบตามองฝ่ามือที่ว่างเปล่าครู่หนึ่ง สายตาวกกลับไปที่ดวงหน้าพริ้มเพราของนางอีกครั้ง


นางยังคงหลับตาแน่น ดวงตาภายใต้เปลือกตากลอกหมุนอยู่เนืองๆ ราวกับต้องการให้ตนฟื้นขึ้นมาอย่างยิ่งทว่าทำไม่ได้ เม้มริมฝีปากแน่น คล้ายว่านางกำลังหวาดกลัวอะไรอยู่ ทว่าฝืนบังคับให้ตัวเองเข้มแข็งไว้…


นางตกอยู่ในห้วงฝันร้ายแล้ว


หากว่าเพียงร้องเพลงอยู่ในความฝัน จะช่วยระบายความอึดอัดคับข้องในอกนางได้ แต่ถ้าตกสู่ห้วงฝันร้าย กลับจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของนาง


เขายื่นมือไปคลายมนต์หลับใหลบนร่างนางออก คิดจะให้นางตื่นขึ้นมา


แต่ครั้งนี้ห้วงฝันของนางลึกล้ำเกินไป เขาเรียกนางต่อเนื่องกันหลายครั้ง นางก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย กลับขดกายแน่นเหมือนหอยกาบ


เขาขมวดคิ้ว สถานการณ์แบบนี้มิใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนก็เคยเกิดขึ้น นางติดอยู่ในฝันร้ายเกือบบจะออกมาไม่ได้แล้ว!


เป็นเพียงการเมามายธรรมดา เหตุนางถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?


ตี้ฝูอีไม่สนใจการดิ้นรนของนางฉุดนางให้ลุกขึ้นนั่งทันที ไม่กรอกน้ำแกงสร่างเมาให้นางแล้ว บังคับให้นางนั่งนิ่งๆ ตรงหน้าตน ใช้พลังวิญญาณสลายฤทธิ์สุราในร่างนาง


ถึงแม้วิธีนี้จะสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ขอเพียงนางให้ความร่วมมือสักครู่ ก็สามารช่วยสลายฤทธิ์สุราให้นางอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว


แต่กู้ซีจิ่วกลับดูเหมือนจะตื่นตระหนก ดิ้นรนขัดขืนอยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขาอย่างสุดชีวิต


ปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้ของนางทำให้ตี้ฝูอีตกตะลึง รีบคล้ายมือออก ให้นางนอนลงไปอีกครั้ง นางไม่ร้องเพลงต่อแล้ว เพียงนอนตัวแข็งทื่อ ในฝ่ามือกลับเรียกกระบี่คมกริบออกมา ตั้งท่าป้องกันไว้ตรงอก ราวกับเม่นที่เต็มไปด้วยความระแวง…


ตี้ฝูอีนิ่งงัน


ทันใดนั้นดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ พลันกำมือแน่น!


เป็นเขาสะเพร่าไปแล้ว!


ดวงวิญญาณของนางเพิ่งกลับสู่ร่างนี้ได้ไม่นาน ยังประสานกันได้ไม่สมบูรณ์ ประกอบกับร่างนี้ของนางเดิมทีถูกเขาลงอาคมไว้ ถ้านางต้องการจะประสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างนี้อย่างสมบูรณ์ก็ต้องงดดื่มสุราอย่างเด็ดขาด…


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)