ข้ามกาลบันดาลรัก 157.1-158
ตอนที่ 157.1
จูงมือ (บทแรก)
เมิ่งเหรินขุ่นเคือง คิดจะตอกกลับ แต่พอเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยว จำต้องกลืนคำที่มาถึงปลายลิ้นแล้วลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเย็นชา พูดกับเสี่ยวเอ้อ “เปิดห้องพักธรรมดาให้เขาหนึ่งห้อง”
เสี่ยวเอ้อลนลานลงบันทึก หยิบกุญแจแล้วพูดกับเมิ่งเหริน “เชิญตามข้ามา”
เมิ่งเหรินตามเสี่ยวเอ้อเดินไปที่ห้อง เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังไล่หลังมา “ประเดี๋ยวพออี้เซวียนตื่น พวกเราจะไปกินข้าวที่ภัตตาคารที่พี่รองทำงาน พี่ใหญ่ช่วยอยู่แต่ในห้อง อย่าออกไปเดินเพ่นพ่าน”
เมิ่งเหรินชะงักฝีเท้า ไม่ได้พูดอะไร ตามเสี่ยวเอ้อไปห้องพัก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูห้องพักของคนที่ซื้อตัวมา เห็นประตูห้องปิดสนิท รู้ว่าพวกเขายังหลับไม่ตื่น ก็ไม่ได้ร้องปลุกพวกเขา หันหลังกลับขึ้นไปพักผ่อนในห้องตัวเอง
ครั้งนี้เมิ่งอี้เซวียนนอนหลับลึกมาก กระทั่งฟ้าด้านนอกมืดสนิทถึงตื่นขึ้นมา ลืมตาสะลึมสะลือ พบว่าในห้องมืดสนิท ตกใจหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่งพลัน
เมิ่งเสียนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ถามเสียงเบา “อี้เซวียน เจ้าตื่นแล้ว”
ได้ยินเสียงเขา เมิ่งอี้เซวียนถึงโล่งอก ขานรับเสียงแผ่ว “อือ”
เมิ่งเสียนลุกขึ้นนั่ง จุดไฟ เห็นเมิ่งอี้เซวียนทำหน้าตื่นตกใจ ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร ฝันร้ายหรือ”
เมิ่งอี้เซวียนฝืนส่งยิ้มให้เขา ส่ายหน้างุด
เมิ่งเสียนพูดเสียงละมุน “ไม่เป็นไรก็ไปล้างหน้าก่อนเถอะ ข้าจะไปห้องข้างๆ ปลุกเมิ่งเชี่ยนโยว พวกเราควรไปกินข้าวได้แล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ลงจากเตียงไปล้างหน้า
เมิ่งเสียนมาถึงห้องข้างๆ เคาะประตูแล้วถามเสียงเบา “น้องสาว เจ้าตื่นอยู่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ เปิดประตูออก
เมิ่งเสียนพูด “อี้เซวียนตื่นแล้ว กำลังล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวพวกเราก็ออกไปกินข้าวได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงสลักประตู เดินมาห้องพักข้างๆ เห็นเมิ่งอี้เซวียนล้างหน้าเสร็จแล้ว ถามเขา “หิวไหม”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
“ไป พวกเราไปกินข้าวที่ภัตตาคารพี่รองกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ทั้งสามลงมาชั้นล่าง คนนั่งกินข้าวในโถงกลางแน่นขนัด เสี่ยวเอ้อจำนวนหนึ่งกำลังสาละวนกับการยกอาหารให้ลูกค้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหน้าโต๊ะคิดเงิน ซักถามหลงจู๊ “คนในห้องเหล่านั้นออกมากินข้าวแล้วหรือไม่”
หลงจู๊ตอบ “ยังขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว เดินไปหน้าห้องหนึ่งแล้วเคาะประตู ชายฉกรรจ์ขานรับเปิดประตูออก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง”
“พักผ่อนสบายดีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา
ชายฉกรรจ์ตอบอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นาง พวกเราพักผ่อนอย่างสุขสบาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อพักผ่อนดีแล้ว ก็ออกมากินข้าวเถอะ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อตระเตรียมอาหารให้พวกเจ้า”
ชายฉกรรจ์กล่าวขอบคุณอีกครั้ง ร้องเรียกคนที่เหลือในห้องอื่น ออกมานั่งโต๊ะสองสามตัวในโถงกลาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหน้าโต๊ะคิดเงิน หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “หลงจู๊ ยกอาหารมาให้พวกเขาหน่อย”
หลงจู๊รับเงินมา ทำการจดบันทึก สั่งเสี่ยวเอ้อไปยกอาหารออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไปที่โต๊ะชายฉกรรจ์ คนที่ถูกซื้อตัวมารีบลุกขึ้นยืน ร้องเรียกอย่างนบนอบ “แม่นาง” เสียงค่อนข้างดัง ทำเอาคนที่มานั่งกินข้าวในโถงกลางต่างหันขวับมองมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเจ้าเห็นข้าแล้วไม่ต้องเจียมตัวขนาดนี้ก็ได้ แม้ข้าจะซื้อพวกเจ้ามา แต่ข้าไม่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นคนรับใช้”
คนทั้งหมดตื้นตันใจยิ่งนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้ายังมีธุระ ต้องออกไปก่อน ข้าบอกหลงจู๊ให้เตรียมอาหารให้พวกเจ้าแล้ว ประเดี๋ยวเสี่ยวเอ้อจะยกเข้ามาให้ พวกเจ้ากินเสร็จก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้พวกเราจะกลับกันแต่เช้า”
ทั้งหมดพยักหน้าพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินมาตรงหน้าเมิ่งเสียน ชี้ไปที่ห้องพักหนึ่งพูดกับเขา “พี่ใหญ่ ไปเรียกพี่เมิ่งเหรินออกมา ให้เขานำพวกเราไปกินข้าว”
เมิ่งเสียนเดินขึ้นหน้า เคาะประตูห้อง
เมิ่งเหรินเปิดประตูห้อง
เมิ่งเสียนพูดกับเขา “พี่เมิ่งเหริน โยวเอ๋อร์อยากไปกินข้าวที่ภัตตาคารพี่เมิ่งอี้ รบกวนท่านพาพวกเราไปหน่อยเถอะ”
เมิ่งเหรินไม่ได้พูดอะไร ปิดประตูห้อง ยกเท้าเดินนำไป
เมิ่งเสียนส่ายหน้า เดินตามหลังเขาไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินตามออกไป
ออกมาหน้าโรงเตี๊ยม เมิ่งเหรินถึงพูดว่า “ภัตตาคารที่น้องอี้ทำงานอยู่ไม่ไกล พวกเราเดินไปหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งเหรินนำคนทั้งหมดมาถึงภัตตาคารที่เมิ่งอี้ทำงาน
ภัตตาคารมีขนาดไม่ใหญ่เป็นภัตตาคารหนึ่งคูหาธรรมดา
คนทั้งหมดเดินเข้ามาในภัตตาคาร เสี่ยวเอ้อเข้ามาต้อนรับ ถามอย่างฉันมิตร “ทุกท่าน ห้องรับรองหรือห้องโถงกลางขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ห้องรับรอง”
เสี่ยวเอ้อนำคนทั้งหมดขึ้นมาชั้นสองอย่างกระตือรือร้น เปิดประตูห้องรับรองออก หลีกทางให้คนทั้งหมดเข้าไปด้านใน
เมื่อทุกคนนั่งเรียบร้อย เสี่ยวเอ้อจึงถาม “ทุกท่านจะรับอะไรดีขอรับ”
“ขออาหารแนะนำของภัตตาคารพวกเจ้าสองอย่าง อาหารตามสั่งทั่วไปสอง และขออาหารรสจืดสอง ข้าวสวยคนละถ้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เสี่ยวเอ้อขานรับหน้าตาเบิกบาน กำลังจะออกไปสั่งอาหาร
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “ช้าก่อน”
เสี่ยวเอ้อหยุดชะงักถาม “แม่นางยังมีเรื่องใดจะกำชับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ภัตตาคารพวกเจ้ามีเสี่ยวเอ้อที่ชื่อเมิ่งอี้ใช่ไหม รบกวนเจ้าไปเรียกเขามาหน่อย พวกเราเป็นคนในครอบครัวพวกเขา”
เสี่ยวเอ้อมองประเมินพวกเขาอย่างไม่เชื่อหลายครั้ง ถึงพูดอย่างเป็นมิตร “ได้เลย ข้าจะตามเขามาให้เดี๋ยวนี้”
คนทั้งหมดนั่งรอในห้องรับรอง
ไม่นานก็มีคนเคาะประตู เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูด “เข้ามา”
เด็กชายร่างผอมคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา ยังไม่ทันมองคนด้านในชัดเจนก็พูดอย่างพินอบพิเทา “พวกท่าน”
“พี่เมิ่งอี้!” เสียงร้องยินดีของเมิ่งเสียนตัดบทคำพูดเขา
เมิ่งอี้พินิจมอง คนที่นั่งในห้องรับรองก็คือคนในครอบครัวของตัวเองจริงๆ พลันตะลึงค้าง
เมิ่งเสียนร้องเรียกอีกครั้ง
เมิ่งอี้ถึงได้สติกลับมา ถามอย่างดีใจระคนแปลกใจ “น้องเมิ่งเสียน พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
เมิ่งเสียนตอบ “อี้เซวียนเข้ามาสอบถงเซิงระดับอำเภอ พวกเราก็เลยใช้โอกาสนี้มาหาท่าน”
เมิ่งอี้ไม่ได้กลับบ้านมาปีกว่าแล้ว ไม่รู้เรื่องในครอบครัวอย่างสิ้นเชิง ได้ยินเขาพูดถึงอี้เซวียน มองเขาอย่างฉงน
เมิ่งเสียนชี้เมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “เขาก็คืออี้เซวียน”
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นยืน ส่งเสียงร้องเรียกพี่เมิ่งอี้
เมิ่งอี้เห็นเป็นเขาก็ถามอย่างตื่นตกใจ “เขาไม่ใช่หนิวอี้เซวียนหรือ”
เมิ่งเสียนยิ้มพูด “เขาก็คือหนิวอี้เซวียน ตอนนี้ได้รับการอุปการะจากครอบครัวพวกเรา เปลี่ยนชื่อเป็นเมิ่งอี้เซวียนแล้ว”
เมิ่งอี้ยิ่งทวีความตื่นตกใจ
เมิ่งเสียนพูด “เรื่องมันยาว เอาไว้มีเวลาข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง”
เมิ่งอี้พยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงร้องเรียกบ้าง “พี่เมิ่งอี้”
เมิ่งอี้มองนาง ถามอย่างยินดี “น้องโยวเอ๋อร์ก็มาด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งอี้เห็นว่าเมิ่งเหรินก็อยู่ด้วย ดีใจส่งเสียงร้องเรียกพี่ใหญ่
เมิ่งเหรินเปล่งเสียงขานรับ
เมิ่งอี้ไม่ได้เจอหน้าคนในครอบครัวมานานแล้ว พอเห็นพวกเขาก็ตื่นเต้นดีใจ เริงร่าพูด “พวกเจ้าอยากกินอะไรก็บอกเสี่ยวเอ้อนะ ข้าจ่ายให้เอง”
เมิ่งเสียนโบกมือ “ไม่ต้อง พี่เมิ่งอี้ พวกเราพกเงินมาด้วย”
เมิ่งอี้พูด “บ้านอารองลำบากแร้นแค้น เงินที่พวกเจ้าหามาได้ไม่ง่าย เก็บไว้ให้ดีเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะบอกหลงจู๊ ค่าอาหารของพวกเจ้าให้หักจากเงินค่าแรงข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราสั่งแต่อาหารแนะนำของภัตตาคารพวกท่าน เกรงว่าเงินเดือนทั้งเดือนของพี่รองจะไม่พอจ่ายค่าอาหารให้พวกเรา”
ได้ยินนางบอกว่าสั่งแต่อาหารแนะนำของภัตตาคาร เมิ่งอี้นิ่งงัน แล้วพูดแก้ว่า “ข้าจะให้หลงจู๊หักล่วงหน้าจากเงินค่าแรงของข้า พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อสั่งแล้วก็กินกันให้อร่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “พี่รองได้ค่าแรงต่อเดือนเท่าไหร่”
เมิ่งอี้ตอบ “ข้าทำงานมานาน และขอลาน้อย หลงจู๊จึงให้เงินค่าแรงมาก ได้เดือนละสองตำลึง บวกกับสินน้ำใจจากแขก อย่างมากที่สุดเคยได้เดือนหนึ่งสี่ถึงห้าตำลึง ปีที่แล้วหักค่าใช้จ่ายของพี่ใหญ่ไป ข้าเก็บเงินได้ถึงสามสิบตำลึง ฝากพี่ใหญ่ส่งกลับไปบ้านแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดชื่นชม “พี่เมิ่งอี้ทำงานเก่งจริงๆ”
เมิ่งอี้ส่ายหน้า พูดแก้เก้อ “ขอบใจน้องโยวเอ๋อร์”
พูดจบก็รีบพูดต่อ “ข้าไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงคนเยอะของภัตตาคาร ข้าไปทำงานก่อน พวกเจ้าค่อยๆ กิน ข้าลงไปแล้วจะไปบอกหลงจู๊ว่าค่าอาหารของพวกเจ้าให้หักจากเงินค่าแรงข้า”
เมิ่งเสียนคิดจะพูดบางอย่าง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแย่งพูดขึ้นก่อน “ขอบคุณพี่เมิ่งอี้”
เมิ่งอี้ตอบ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ขอบใจอะไร” พูดจบหันไปพูดกับเมิ่งเหริน “พี่ใหญ่ ข้าไปทำงานก่อน”
เมิ่งเหรินส่งเสียงขานรับ
เมิ่งอี้รีบร้อนออกไปจากห้องรับรอง ไปทำงานของตัวเองต่อ
พอเมิ่งอี้จากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองเมิ่งเหรินเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง
เมิ่งเหรินก้มหน้าอย่างร้อนตัว
ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบ คีบอาหารให้เมิ่งอี้เซวียน ใส่ในถ้วยข้าวเขา พูดเสียงละมุน “กินเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนหยิบตะเกียบพุ้ยข้าวกินอย่างหน้าชื่นตาบาน
เมิ่งเสียนและเมิ่งเหรินก็หยิบตะเกียบลงมือกินบ้าง
ไม่รู้ว่าเพราะหิว หรือเพราะอาหารที่ภัตตาคารทำถูกปาก คนทั้งหมดกินไปเยอะมาก แทบจะกินอาหารที่มีบนโต๊ะทั้งหมดจนเกลี้ยง
พอกินอิ่ม คนทั้งหมดวางถ้วยตะเกียบ มองดูจานว่างเปล่าบนโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำเล็กน้อย
หลังจากนั่งพักครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าดึกมากแล้ว ร้องตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อคิดเงิน
ครู่ใหญ่เสี่ยวเอ้อถึงเข้ามา พูดด้วยกิริยาไม่ค่อยดี “พวกท่านไม่ต้องจ่ายแล้ว เมิ่งอี้บอกหลงจู๊แล้ว ให้หักเงินค่าอาหารของพวกท่านจากเงินค่าแรงของเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเขา ขมวดคิ้วยู่ย่นถาม “เสี่ยวเอ้อ พวกเรามีตรงไหนล่วงเกินเจ้าหรือ”
เสี่ยวเอ้อเบ้ปาก พูดอย่างดูแคลน “พวกท่านมิได้มีสิ่งใดล่วงเกินข้า ข้าเพียงรู้สึกเจ็บปวดแทนเมิ่งอี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจถาม “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พูดมาให้ฟังหน่อย”
เสี่ยวเอ้อเป็นเด็กหนุ่มตรงมาตรงไป เดิมก็รู้สึกไม่พอใจแทนเมิ่งอี้ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา จึงพูดออกไปตามตรง “ข้าได้ยินเมิ่งอี้บอกว่าพวกท่านเป็นคนในครอบครัวเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านน่าจะรู้ว่าเมิ่งอี้ได้เงินค่าแรงเพียงเดือนละสองตำลึงเท่านั้น แต่พวกท่านกลับอาศัยชื่อเขามากินอย่างอิ่มหนำที่นี่ พวกท่านรู้หรือไม่ว่ามื้อนี้พวกท่านกินกันไปเท่าไหร่”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เท่าไหร่”
เสี่ยวเอ้อตอบอย่างเดือดดาล “สิบแปดตำลึง เป็นเงินค่าแรงเมิ่งอี้ถึงหกเดือนเต็มๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ้อ” แล้วพูด “ไม่เยอะนะ”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อยิ่งอารมณ์ขึ้น “นี่ยังไม่เยอะหรือ พวกท่านรู้หรือไม่ว่ากว่าเมิ่งอี้จะหาเงินได้ต้องเหนื่อยยากแค่ไหน เขาไม่เคยยอมลาพัก แม้แต่ตอนปีใหม่ก็ไม่กลับบ้าน เพื่อจะหาเงินให้ได้มากขึ้น แต่พวกท่านกลับดี แค่มื้อเดียวก็ใช้เงินมากเท่านี้ มีคนในครอบครัวที่ไหนทำแบบพวกท่านบ้าง รู้แก่ใจว่าครอบครัวตัวเองฐานะไม่ดี ยังจะมากินดื่มอย่างเต็มที่ในภัตตาคารอีก”
ได้ฟังคำตำหนิของเขาจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคืองโกรธ กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่คิดจะให้พี่เมิ่งอี้จ่ายเงินให้ พวกเรามีเงินจ่ายเอง”
เสี่ยวเอ้อพูดอย่างไม่เชื่อ “พวกท่านมีเงินเหตุใดต้องให้เมิ่งอี้จ่ายแทน จนถึงตอนนี้เขายังถูกหลงจู๊เรียกไปอบรมอยู่เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “อยู่ที่ไหน”
เสี่ยวเอ้อตอบ “ที่โถงกลางชั้นล่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งเสียนลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับรอง เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินตามหลังออกไป เสี่ยวเอ้อเบะปาก ไม่แม้แต่จะร้องทักพวกเขา ด้านหนึ่งบ่นงึมงำเสียงเบา “ไม่เคยเห็นคนในครอบครัวแบบนี้มาก่อน” ด้านหนึ่งเก็บกวาดโต๊ะอาหาร
ตอนที่ 157.2
จูงมือ (บทแรก)
คนทั้งหมดเพิ่งจะเดินมาถึงปากบันไดชั้นสอง เสียงว่ากล่าวของหลงจู๊ก็ดังลอยมา “หากเสี่ยวเอ้อทุกคนเป็นเหมือนเจ้า มาขอเบิกเงินค่าแรงล่วงหน้าในคราเดียวถึงครึ่งปี ข้ายังจะเปิดภัตตาคารต่อไปได้ไหม”
น้ำเสียงขอร้องเสียงอ่อนของเมิ่งอี้ดังแว่วมา “หลงจู๊ ข้ารับประกันกับท่าน จะไม่ให้มีครั้งหน้าอีก”
หลงจู๊ยังคงดุว่า “เจ้ารับประกันกับข้าจะมีประโยชน์อะไร เจ้าลองไปสอบถามที่ภัตตาคารอื่น มีใครเป็นเหมือนเจ้าบ้าง ยังไม่ทำงานก็ขอเบิกเงินค่าแรงล่วงหน้า ยังดีที่เจ้าทำงานที่นี่มานาน ข้าถึงยอมให้เจ้า หากเป็นเสี่ยวเอ้อคนอื่น ดูสิว่าข้าจะให้เขาเบิกเงินล่วงหน้าหรือไม่”
เห็นหลงจู๊น้ำเสียงอ่อนลงแล้ว เมิ่งอี้รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณหลงจู๊ ท่านวางใจเถอะ ก่อนที่จะจ่ายเงินเหล่านี้หมด ข้าจะไม่ขอลางานเลยสักวัน”
เมิ่งอี้ทำงานที่ภัตตาคารแห่งนี้มาหลายปี หลงจู๊รู้นิสัยของเขาดี ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ค่อยคลายโทสะลง พูดว่า “เจ้านี่นะ ให้ลูกพี่ลูกน้องมากินข้าวมื้อเดียวก็กินค่าแรงเจ้าไปถึงครึ่งปี”
เมิ่งอี้รีบร้อนอธิบาย “หลงจู๊ ลูกพี่ลูกน้องข้าอายุยังน้อยทั้งไม่เคยกินข้าวในภัตตาคารมาก่อน ไม่รู้ราคาอาหารว่าแพงแค่ไหน จะโทษพวกเขาไม่ได้”
หลงจู๊ได้ฟังโทสะครุกรุ่นอีกครั้ง “ไม่รู้ราคาอาหารว่าแพงแค่ไหนยังกล้ามากินในภัตตาคาร พวกเขาเป็นใครกัน โชคดีมากินที่ภัตตาคารข้า หากไปที่อื่น ไม่มีเงินจ่ายได้ถูกทุบตีตายทั้งเป็น”
เมิ่งอี้โบกมือเป็นพัลวัน พูดว่า “วันนี้พวกเขาแค่มาเยี่ยมเยียนข้า ก็เลยกินข้าวไปด้วย พวกเขารู้อะไรควรไม่ควร ไม่มีเงินไม่มีทางไปกินข้าวที่ภัตตาคารแน่นอน”
หลงจู๊เห็นเขาช่วยออกรับแทนคนทั้งหมด พูดอย่างเสียความรู้สึก “นิสัยอย่างเจ้า สักวันจะต้องเสียเปรียบ”
เมิ่งอี้ก้มหน้าไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเรียกเสียงลั่น “พี่เมิ่งอี้”
เมิ่งอี้ได้ยินนางตะโกนร้อง เงยหน้าขึ้น เห็นพวกเขาออกมากันหมด มองหลงจู๊ด้วยสายตาวิงวอน ถึงหันมาถามพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พวกเจ้ากินอิ่มแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “กินอิ่มแล้ว อาหารที่ภัตตาคารนี้อร่อยทุกอย่าง พวกเราคิดจนพุงกางเลย”
หลงจู๊มองพวกเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง เจตนาพูดเสียงดัง “เมิ่งอี้ ยังไม่รีบไปทำงาน ติดเงินมากเช่นนี้ เมื่อไหร่ถึงจะชดใช้หมด”
เมิ่งอี้รีบขานรับ พูดกับคนทั้งหมดอย่างรู้สึกผิด “ข้าต้องไปทำงานแล้ว ไม่อยู่ส่งพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ากลับโรงเตี๊ยมก็ระวังด้วย”
พูดจบ กระวีกระวาดจะไปทำงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “พี่เมิ่งอี้ ท่านรอประเดี๋ยว”
เมิ่งอี้มองนางอย่างสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินออกมาวางบนโต๊ะคิดเงิน พูดกับหลงจู๊ “นี่เป็นเงินค่าอาหารของพวกเรา ท่านดูว่าพอหรือไม่”
หลงจู๊ตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “พอหรือไม่”
หลงจู๊ได้สติกลับคืน ลนลานพูด “พอๆๆ”
เมิ่งอี้มองเมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินมากเช่นนั้นออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ ตื่นตกใจจนพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับหลงจู๊ “เมื่อเงินจ่ายครบแล้ว ข้าจะขอพูดแทนพี่เมิ่งอี้เรื่องหนึ่ง นับแต่นี้ไปเขาจะไม่ทำงานที่ภัตตาคารของพวกท่านอีก รบกวนท่านตัดเงินค่าแรงของเขาด้วย”
ได้ยินนางจะลาออกให้ตัวเอง เมิ่งอี้ร้องเสียงหลง “น้องโยวเอ๋อร์ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ายังต้องหาเงินค่าใช้จ่ายให้พี่ใหญ่นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ต่อไปพี่ใหญ่ไม่ต้องการค่าใช้จ่ายแล้ว”
เมิ่งอี้ไม่เข้าใจ มองไปที่เมิ่งเหริน
เมิ่งเหรินโมโหเดินออกไปจากประตูใหญ่ภัตตาคาร
เมิ่งอี้ยิ่งทวีความงุนงง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับหลงจู๊ที่หน้าตาตื่นยิ่งกว่า “คำนวณค่าแรงของพี่เมิ่งอี้เสร็จหรือยัง”
หลงจู๊ตื่นจากภวังค์ พูดว่า “ภัตตาคารของเรามีกฎ หากจะลาออกต้องแจ้งข้าก่อน ไม่เช่นนั้น จะถูกริบเงินค่าแรงทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องแล้ว”
จากนั้นหันไปพูดกับเมิ่งอี้ “ท่านไปเก็บข้าวของของตัวเองเถอะ กลับไปโรงเตี๊ยมกับพวกเราก่อน พรุ่งนี้พวกเราจะกลับบ้านไปแต่เช้า”
เมิ่งอี้ไม่รู้เลยว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินขึ้นในครอบครัว ย่อมไม่ยินยอม ก้มหัวคำนับให้หลงจู๊ไม่หยุด “หลงจู๊ น้องสาวข้ายังพูดอะไรเชื่อถือไม่ได้ ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจ ข้าไม่มีทางลาออก”
หลงจู๊ไม่พูดอไร
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปส่งสายตาให้เมิ่งเสียนแวบหนึ่ง
เมิ่งเสียนเข้าใจ กระซิบบางอย่างข้างหูเมิ่งอี้
เมิ่งอี้ได้ฟังถามเขาหน้าตาตื่น “จริงหรือ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งอี้ดีอกดีใจใหญ่ “ข้าจะกลับบ้านไปกับพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ แต่ว่า จะลาออกจากงานไม่ได้ ข้าจะอยู่บ้านสองวันแล้วกลับมา”
พูดจบหันไปพูดกับหลงจู๊ “หลงจู๊ ข้าขอลากลับบ้านสองวัน พอครบกำหนดสองวัน ข้าจะกลับมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายค่าอาหารหมดแล้ว บวกกับที่สองปีมานี้เมิ่งอี้ไม่เคยขอลาหยุดเลย หลงจู๊ถึงพยักหน้าอนุญาต “ก็ได้ เจ้ารีบไปรีบกลับ”
เมิ่งอี้ดีใจกล่าวขอบคุณ หันไปพูดกับคนทั้งหมด “ไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ท่านไม่เก็บข้าวของหรือ”
เมิ่งอี้ไม่ทำอย่างที่นางคิด ตอบว่า “ไม่ต้องเก็บดอก อีกสองวันข้าก็กลับมาแล้ว”
คนทั้งหมดเดินออกมาจากภัตตาคาร เมิ่งเหรินเดินไปไกลแล้ว
เมิ่งอี้ถามอย่างประหลาดใจ “พี่ใหญ่เป็นอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนสบตากัน แล้วยิ้มพูด “พวกเราขอร้องให้เขากลับไปพร้อมพวกเรา พี่ใหญ่คงจะโมโห”
เมิ่งอี้พูดอย่างไม่เห็นด้วย “อีกครึ่งปีพี่ใหญ่ก็จะสอบซิ่วไฉแล้ว ช่วงเวลานี้ไม่ควรให้เขาเสียเวลา เมื่อข้ากลับไปพอดี มีเรื่องอะไรข้าจะทำแทนเขาเอง ให้พี่ใหญ่กลับไปโรงเรียนประจำอำเภอเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พี่ใหญ่จะต้องกลับไป”
เมิ่งอี้ถามอย่างกังขา “เพราะอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พี่ใหญ่กลับไปครั้งนี้เพื่อแต่งงาน ท่านจะทำแทนได้หรือ”
เมิ่งอี้ตกตะลึง พูดอย่างยินดี “พี่ใหญ่จะแต่งงานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งอี้ยิ่งดีอกดีใจ “ถึงว่าพวกเจ้าจะให้ข้ากลับไปด้วยให้ได้ ที่แท้เพราะพี่ใหญ่จะแต่งงานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งเสียนไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งอี้สะกดความรู้สึกดีใจไว้ไม่อยู่ เอาแต่ซักไซ้เรื่องในครอบครัว จนมาถึงโรงเตี๊ยม ถึงหยุดพูด ถามพวกเขาอย่างตื่นตะลึง “พวกเจ้าพักที่นี่”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งอี้อยู่ในตัวอำเภอมาหลายปี ย่อมรู้ว่าโรงเตี๊ยมเยว่ไหลเป็นโรงเตี๊ยมหรูระดับอำเภอ คนที่มาพักที่นี่ล้วนเป็นคนมีเงิน เห็นพวกเขาก็อาศัยอยู่ที่นี่ พลันตกใจไม่น้อย ถามอย่างเลือนลอย “พวกเจ้าไปเอาเงินจากไหนมาพักโรงเตี๊ยมดีเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “พี่เมิ่งอี้วางใจ ล้วนเป็นเงินที่พวกเราหามาได้เอง เอาไว้มีเวลาจะให้พี่ใหญ่ค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง ตอนนี้ท่านเข้าไปชำระล้างเนื้อตัวในห้องพี่เมิ่งเหรินก่อน ข้าจะให้หลงจู๊ทำอาหารชั้นดีไปให้”
เมิ่งอี้โบกมือ “อาหารชั้นดีต้องใช้เงินมาก ทำอะไรง่ายๆ มาก็พอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งอี้ตามเมิ่งเสียนเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับหลงจู๊ให้เตรียมอาหารชั้นดีสองสามอย่างให้เมิ่งอี้
พอเมิ่งอี้ออกมาเห็นอาหารทั้งหมดแม้จะปวดใจ แต่อาหารก็ทำเสร็จแล้ว สวาปามกินจนหมดไม่เหลือ
หลังจากกินเสร็จ พูดคุยอีกครู่หนึ่ง จึงแยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้องตัวเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น จัดเตรียมให้ทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวชำระเงินค่าห้องพักทั้งหมด เสี่ยวเอ้อนำรถม้าสองคันออกมา เมิ่งอี้ย่อมตะลึงตาค้างอีกครั้ง ตอนที่ได้ยินว่ากลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นคนที่เมิ่งเชี่ยนโยวซื้อตัวมา อากัปกิริยานั้นไม่อาจใช้คำว่าตกตะลึงมาบรรยายได้อีก เขาได้แต่อ้าปากค้าง ยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการเขา เจตนาถามขึ้น “พี่เมิ่งอี้ เป็นอะไรหรือ”
เมิ่งอี้ชี้สิ่งของทั้งหมด พูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ตอนนี้บ้านพวกเราไม่เหมือนก่อนแล้ว ไว้ท่านกลับไปก็จะรู้เอง”
เมิ่งอี้พยักหน้าเซื่องๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนที่ถูกซื้อมานั่งรถม้าหนึ่งคัน คนของตัวเองนั่งรถม้าอีกคัน
ชายฉกรรจ์เดินมาข้างหน้า พูดอย่างนบนอบ “แม่นาง ให้ข้าบังคับเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดได้ว่าเขาเป็นผู้คุ้มภัย ย่อมต้องบังคับรถม้าเป็น จึงมอบบังเ**ยนให้เขาอย่างวางใจ พูดว่า “เจ้าบังคับช้าหน่อย ตามหลังพี่ใหญ่ข้ามา บ้านพวกเราอยู่ไม่ไกล สองชั่วยามก็ถึงแล้ว”
ชายหนุ่มอีกคนเดินขึ้นหน้าคิดจะมารับบังเ**ยนจากมือเมิ่งเสียน เมิ่งเชี่ยนโยวบอกปัดเขา “ไม่ต้องแล้ว พวกเจ้าไม่รู้ทาง ให้พี่ใหญ่ข้าบังคับเองเถอะ”
ชายหนุ่มถอยหลัง ขึ้นไปนั่งที่คานรถด้านหน้าอีกคันกับชายฉกรรจ์
คนทั้งหมดนั่งดีแล้ว เมิ่งเสียนบังคับรถม้าค่อยๆ เดินทางกลับ ชายฉกรรจ์บังคับรถม้าเว้นระยะห่างไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไปตามหลังไป
คนทั้งหมดออกมานานหลายวัน เมิ่งชื่อเป็นกังวลแทบทนไม่ไหวแล้ว วันนี้ตื่นมาก็ไม่มีอารมณ์เย็บกระเป๋านักเรียนแต่เช้าแล้ว ยืนหน้าประตูคอยชะเง้อชะแง้คอมอง กระทั่งใกล้เวลาเที่ยงถึงเห็นรถม้าเข้ามา เข้าไปถามอย่างดีใจ “พวกเจ้ากลับมาซักที”
เมิ่งเสียนหยุดรถม้า คนทั้งหมดลงมาจากรถ
เมิ่งเหริน เมิ่งอี้ร้องเรียกเขา “อาสะใภ้รอง”
เมิ่งชื่อเห็นพวกเขาตามกลับมาด้วย ดีใจยกใหญ่ พูดขึ้น “พวกเจ้าก็มาด้วย รีบเข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”
เมิ่งอี้รีบร้อนตอบ “ไม่ล่ะ อาสะใภ้รอง ข้าไม่ได้กลับมานานแล้ว อยากรีบกลับไปเจอหน้าท่านปู่ท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่”
เมิ่งชื่อรู้ว่าเขาคิดถึงบ้าน ไม่ดึงรั้งเขาไว้
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้กลับบ้านไปด้วยกัน
คนที่ถูกซื้อตัวมาก็ลงจากรถแล้ว ยืนกระสับกระส่ายอยู่ข้างรถม้า
เมิ่งชื่อเห็นพวกเขา ถามอย่างไม่เข้าใจ “โยวเอ๋อร์ คนพวกนี้มาทำอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเขาเป็นคนที่ข้าซื้อมา”
เมิ่งชื่อร้องอุทาน “คนที่เจ้าซื้อมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแป้นเดินเข้าไปกอดแขนเมิ่งซื่อ พูดกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ ท่านอย่าตกใจเกินไป คนพวกนี้น่าสงสารมาก ข้าทนทำใจไม่ได้ ถึงได้ซื้อพวกเขามา ไม่เชื่อท่านถามพี่ใหญ่ได้”
เมิ่งชื่อมองไปที่เมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งชื่อมองดูกลุ่มคนที่ยืนกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข ทอดถอนใจ พูดว่า “ซื้อมาแล้วก็ช่างเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปีติยินดี “ท่านแม่ ท่านยอมตกลงแล้ว”
เมิ่งชื่อร้องเอ็ดแล้วตีนางหนึ่งที “ไม่อย่างนั้นเล่า จะให้แม่ไล่เจ้าออกไปพร้อมพวกเขาหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจร้องพูด “ท่านแม่ ท่านช่างแสนดีเหลือเกิน!”
เมิ่งชื่อหลุดขำ
ซุนเหลียงไฉที่เล่นกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงอย่างสุดเหวี่ยง เห็นพวกเขาก็วิ่งออกมา พูดอย่างเริงร่า “พวกเจ้ากลับมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสภาพเขา เจตนาพูดขึ้น “ใช่สิ พวกเรากลับมาแล้ว เจ้าไปเตรียมการบ้านที่ข้าทิ้งไว้ให้พร้อม ประเดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบ”
ซุนเหลียงไฉนิ่งอึ้ง แล้วส่งเสียงร้องโอดโอย “ไหนเจ้าบอกจะตรวจตอนกลางคืนไง ข้ายังทำไม่เสร็จนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตา “ยังไม่รีบไปทำ จะไม่กินข้าวสองวันจริงๆ ใช่ไหม”
ซุนเหลียงไฉตะลีตะลานหันหลังวิ่งกลับไปทำการบ้านในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยแขนเมิ่งชื่อ เก็บคืนสีหน้า พูดกับคนที่ซื้อตัวมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านนี้คือมารดาข้า ต่อไปพวกเจ้าเรียก “นายหญิงใหญ่”
เมิ่งชื่อหน้าแดงเรื่อฉับพลัน ไม่รู้จะวางมือวางไม้อย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “เขาเป็นพี่ใหญ่และน้องชายข้า พวกเจ้าเรียกนายน้อยก็พอ”
คนทั้งหมดร้องเรียกนายน้อยพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดกับทุกคนอย่างขึงขัง “ข้าเคยพูดแล้ว แม้ข้าจะซื้อพวกเจ้ามา แต่ข้าจะไม่ปฏิบัติกับพวกเจ้าเยี่ยงคนรับใช้ ขอเพียงพวกเจ้าทำตามคำสั่งของข้าให้ดีก็พอ ข้าก็จะไม่ลงโทษพวกเจ้าอย่างไร้เหตุผล”
คนทั้งหมดกล่าวขอบคุณโดยพร้อมเพรียง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ตอนนี้ ให้ทุกคนแนะนำตัวเอง ให้คนในครอบครัวพวกเราได้รู้จัก”
ชายฉกรรจ์พูดก่อน “ข้าชื่อเหวินเปียว” จากนั้นชี้ผู้หญิงและเด็กอีกสามคนพูดว่า “นี่เป็นลูกชายสองคนและลูกสาวข้า”
จากนั้นชี้คนในครอบครัวอีกด้านพูดว่า “นี่เป็นครอบครัวน้องชายข้าเหวินหู่” จากนั้นชี้คนสุดท้ายที่เหลือพูดว่า “นี่เป็นน้องคนเล็กข้าเหวินเป้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันไปพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ วันนี้พวกท่านอย่าเพิ่งเย็บกระเป๋านักเรียน ช่วยพวกเขาจัดเตรียมผ้าห่มที่นอน ข้าจะพาพวกเขาไปเก็บกวาดที่บ้านยายหลี่ ให้พวกเขาไปอาศัยนอนที่บ้านนาง”
เมิ่งชื่อพยักหน้า พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน เหนื่อยแล้วสินะ รีบเข้าไปพักในบ้านก่อน แม่จะทำของอร่อยให้กิน”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า เดินตามเมิ่งชื่อไป
เมิ่งเชี่ยนโยวให้ชายฉกรรจ์และเมิ่งเสียนนำรถม้าไปหลังเรือน ถึงพาคนทั้งหมดมายังบ้านหลี่ต้าฉุยและภรรยา
สองสามีภรรยาหลี่หลายวันมานี้กำลังยุ่งกับการก่อเตาไฟ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดกับนางอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว รีบมาดูเร็ว พวกเราก่อเตาไฟเป็นอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ดีมากๆ ฝีมือท่านตาหลี่ไม่มีที่ติเลย”
ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดยกยอ หลี่ต้าฉุยดีใจหนวดกระตุก
ภรรยาหลี่ต้าฉุยก็หัวเราะตามไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับพวกเขา “ยายหลี่ ตาหลี่ ข้ามีเรื่องจะรบกวนพวกท่าน”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยพูดขึ้น “รบกงรบกวนอะไรกัน มีอะไรก็พูดมาได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้กลุ่มคนด้านหลัง พูดว่า “พวกเขาเป็นคนที่ข้าเพิ่งซื้อตัวกลับมา ในบ้านไม่มีที่รองรับพวกเขา ข้าอยากให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่”
ช่วงเวลานี้สองสามีภรรยาหลี่คุ้นชินกับชีวิตที่อึกทึกผู้คนพลุกพล่านเสียแล้ว อยู่ๆ โรงงานรมควันเนื้อก็มาปิดตัวลง เงียบเหงาหดหู่ ทั้งสองคนย่ำแย่ไปหลายวัน ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกจะจัดคนเหล่านี้มาพักที่บ้านตัวเอง ต่างดีอกดีใจ ภรรยาหลี่ต้าฉุยพูดไม่หยุดปาก “ได้ๆๆ ข้าจะไปเก็บกวาดให้พวกเขาเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง “ไม่ต้องแล้ว ให้พวกเขาเก็บกวาดกันเองก็พอ”
พูดจบชี้เรือนที่พักยกเว้นเรือนสองห้องของสองสามีภรรยาหลี่พูดว่า “ต่อไปที่นี่ก็คือที่พักของพวกเจ้า พวกเจ้าเข้าไปเก็บกวาด ดูว่าขาดเหลืออะไรจะได้ไปกลับไปเอาที่บ้านข้า”
คนทั้งหมดรับคำ เข้าไปเก็บกวาดห้องโดยไว
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับภรรยาหลี่ต้าฉุยอีกว่า “ท่านยายหลี่ ต่อไปอาหารสามมื้อของพวกเขาก็กินกับพวกท่านด้วย ท่านดูว่าต้องการอะไร ให้บอกข้าได้ทันที”
ภรรยาหลี่ต้าฉุยโบกมือ “ยังต้องการอะไรอีก เจ้าวางใจให้พวกเขาอยู่ที่นี่ก็พอ กระดูกข้ายังแข็งปั๋ง ทำอาหารวันละสามมื้อไม่มีปัญหา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าให้พวกเขามาอยู่ที่นี่จะได้ปรนนิบัติพวกท่านได้ทุกเวลา จะให้ท่านช่วยทำอาหารสามมื้อให้พวกเขาได้อย่างไร พวกเขาทำได้ ท่านมีหน้าที่กินข้าวให้ตรงเวลาก็พอ”
ตอนที่ 158
จูงมือ (บทหลัง)
ภรรยาหลี่ต้าฉุยรีบโบกไม้โบกมือ “ได้อย่างไรกัน ข้ายังแข็งแรงกำลังวังชาเต็มเปี่ยม ไหนเลยจะต้องให้คนอื่นมาปรนนิบัติ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เดินกลับมาบ้าน สองผู้เฒ่าเมิ่งเห็นพวกเขาดีใจเบิกบาน ดึงเมิ่งอี้มาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก พูดอย่างปวดใจ “ไม่เจอกันปีกว่า อี้เอ๋อร์ผอมซูบไปเยอะมาก”
เมิ่งอี้กลัวนางทุกข์ใจ รีบพูดปลอบประโลม “ท่านย่า อย่าเห็นแค่ว่าข้าผอม ร่างกายข้าแข็งแรงกำยำมาก ทนทานยิ่งกว่าวัวอีก”
เดิมหญิงชราเมิ่งตกอยู่ในภาวะทุกข์ตรม ถูกเขาหยอกล้อจนหัวเราะลั่น
เมิ่งจงจวี่เห็นเมิ่งเหรินก็กลับมาด้วย ถามเขาอย่างไม่พอใจ “เจ้าเพิ่งจะกลับไปไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงกลับมาอีกแล้ว?”
เมิ่งเหรินสะท้อนแววตา พูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์บอกว่าที่บ้านเกิดเรื่อง ให้ข้าตามกลับมาด้วย”
เมิ่งอี้ได้ยินเขาพูด ถามอย่างประหลาดใจ “น้องโยวเอ๋อร์บอกว่าท่านจะกลับมาแต่งงานมิใช่หรือ?”
เมิ่งจงจวี่ชะงักงันเล็กน้อย ถามอย่างแคลงใจ “โยวเอ๋อร์พูดเช่นนั้นกับเจ้า?”
เมิ่งอี้พยักหน้า
เมิ่งจงจวี่ใคร่ครวญ ก็คิดไม่ออกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีแผนอะไรกันแน่
หญิงชราเมิ่งกลับปลาบปลื้มใจ พูดว่า “พวกเราคิดจะรอให้สร้างบ้านเสร็จก่อน ค่อยให้เขาแต่งงาน เมื่อโยวเอ๋อร์ให้เจ้ากลับมา ประเดี๋ยวข้าจะให้แม่เจ้าไปหาสะใภ้ซุน ดูว่าจะกำหนดวันแต่งงานได้วันไหน”
เมิ่งเหรินไม่พูดอะไร
เมิ่งอี้เห็นเมิ่งต้าจินและภรรยาไม่อยู่ในบ้าน ถามขึ้น “ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ข้าเล่า?”
หญิงชราเมิ่งตอบกลับ “ครอบครัวกำลังจะปลูกเรือน พ่อแม่เจ้าไปวุ่นวายอยู่ที่นั่น”
เมิ่งอี้ปลาบปลื้มใจอีกครั้ง พอถามรู้ชัดว่าปลูกเรือนใหม่ที่ไหน ก็ดีใจวิ่งออกไป
เมิ่งเหรินกลับอยู่ที่บ้าน
เหวินเปียวนำคนทั้งหมดเก็บกวาดห้องเสร็จอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาตามตัวเองกลับบ้านไปเอาวัตถุดิบจำนวนหนึ่ง บอกให้จากนี้ไปพวกเขาต้องทำอาหารเอง
เหวินเปียวรับคำอย่างนบนอบ
พอเมิ่งชื่อกลับเข้ามาในบ้าน ก็ให้พวกผู้หญิงวางงานในมือ ช่วยกันทำผ้าห่ม
บรรดาผู้หญิงแม้จะไม่รู้ว่าอยู่ๆ เมิ่งชื่อจะให้ทำผ้าห่มมากมายไปทำอะไร แต่ก็วางกระเป๋านักเรียนในมือลง ทำตามที่เมิ่งชื่อบอก
เมิ่งเสียนเก็บรถม้าเสร็จ ตรงไปโรงงานกุนเชียงจดบันทึกจำนวนกุนเชียงที่ผลิตได้ของหลายวันนี้ กระทั่งเมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จออกมาร้องเรียกเขาถึงจดบันทึกเสร็จ
เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมากินข้าวเที่ยง เห็นพวกเขากลับมาก็ดีใจมาก ถามเมิ่งอี้เซวียนว่าสอบเป็นอย่างไรบ้าง?
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างมั่นใจ “ท่านพ่อ ไม่มีปัญหา ข้าจะต้องสอบผ่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “ขี้โม้ให้น้อยๆ หน่อย รอให้ประกาศผลออกมาก่อนค่อยพูดเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าจะต้องสอบผ่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่ ไม่สนใจเขาอีก
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางไม่เชื่อ พูดว่า “พวกเราพนันกันก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาทำหน้าขึงขัง “พนันอะไร?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดจริงจัง “ถ้าข้าสอบไม่ผ่าน ต่อไปเจ้าให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำ ถ้าข้าสอบผ่าน เจ้าต้องรับปากข้าหนึ่งเงื่อนไข”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เงื่อนไขอะไร?”
คนอื่นๆ ก็อยากรู้ว่าเขาจะเสนอเงื่อนไขอะไร ต่างมองเขาอย่างเฝ้ารอ แม้แต่สองสามีภรรยาเมิ่งก็หยุดชะงักตะเกียบในมือมองเขา
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ถ้าข้าสอบระดับอำเภอผ่าน ทุกสิบวันเจ้าจะต้องจูงมือพาข้าไปส่งที่โรงเรียน”
สิ้นเสียงเขา ตะเกียบในมือเมิ่งเสียนหล่นใส่โต๊ะกินข้าว ซุนเหลียงไฉรีบยกถ้วยข้าวเดินห่างโต๊ะกินข้าวไปหลายก้าว กลัวว่าประเดี๋ยวพอเมิ่งเชี่ยนโยวบันดาลโทสะ คว่ำโต๊ะกินข้าว ตัวเองจะไม่มีข้าวกิน สองสามีภรรยาเมิ่งอ้าปากค้างมองเขาอย่างไม่เชื่อ ส่วนเมิ่งเจี๋ยปิดตาตัวเองแน่นนานแล้ว กลัวจะเห็นภาพเมิ่งอี้เซวียนถูกซ้อม
ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดอย่างไม่แยแส “ไม่มีปัญหา ถ้าเจ้าสอบผ่านระดับจังหวัด ข้าไปส่งเจ้าทุกห้าวันก็ยังได้”
เมิ่งอี้เซวียนพูดเงื่อนไขนี้ออกไปเสร็จ ก็หลับตาปี๋อย่างหวาดกลัว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เบิกตาโพลงฉับพลัน ถามอย่างยินดี “เจ้ารับปากแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รับปากแล้ว”
ซุนเหลียงไฉยกถ้วยข้าวกลับมา ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อ “เจ้ารู้ไหมว่าเขาพูดอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “รู้สิ ก็แค่จูงมือพาเขาไปส่งที่โรงเรียน”
ซุนเหลียงไฉถลึงตาโตถาม “เจ้าไม่กลัวคนในหมู่บ้านซุบซิบนินทาเรอะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “เขายังเป็นเด็ก ข้าจูงมือพาเขาไปส่งโรงเรียน คนในหมู่บ้านจะนินทาอะไรได้?”
ซุนเหลียงไฉสะอึกกึก
รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนชืดจางลง
สองสามีภรรยาเมิ่งเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่บันดาลโทสะ ถอนใจโล่งอก ไม่คาดคิดเลยว่า เมิ่งอี้เซวียนจะยื่นข้อเสนอพิลึกพิลั่นเช่นนี้
เมิ่งเสียนแอบเก็บตะเกียบขึ้นมาเงียบๆ คีบอาหารใส่ถ้วยข้าวตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองปฏิกิริยาแตกต่างกันของทุกคน ถามอย่างไม่เข้าใจ “พวกท่านเป็นอะไรไป?”
คนทั้งหมดไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตากินอาหารในถ้วยตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วยู่ย่นข้องใจ ยกถ้วยข้าวขึ้นกินบ้าง
กินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่พักผ่อนจะออกไปทำงานที่ที่ดินต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “ท่านพ่อ พี่เมิ่งเหรินและพี่เมิ่งอี้กลับมาแล้ว ท่านเห็นพวกเขาหรือไม่?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “พ่อเห็นอี้เอ๋อร์แล้ว ผอมซูบไปมาก เหรินเอ๋อร์ยังไม่เห็น”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “ลุงใหญ่และป้าใหญ่ไม่ได้ว่าพวกเขากลับมาทำอะไรหรือ?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบอย่างสุขใจ “ถามแล้ว อี้เอ๋อร์บอกว่าเจ้าให้พวกเขากลับมาเพราะเหรินเอ๋อร์จะแต่งงาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วพลัน
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่ได้สนใจ ผลุนผลันเดินจากไป
เมิ่งเสียนถามนางอย่างเป็นห่วง “น้องสาว ครานี้จะทำอย่างไรดี?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น
เมิ่งฉีเดินเข้ามา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว ท่านปู่บอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันธงชัยสำหรับเริ่มงานก่อสร้าง อาสามให้คนไปแจ้งข่าวอาโหย่วเหรินแล้ว ให้วันพรุ่งเขาพาคนทั้งหมดเข้ามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งฉีขยี้หัว “พรุ่งนี้ข้าต้องไปซื้อวัตถุดิบแล้ว ทำไมถึงรู้สึกตื่นเต้นก็ไม่รู้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เป็นครั้งแรกที่พี่รองแบกรับความรับผิดชอบใหญ่ขนาดนี้ ย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา พอซื้อหลายๆ วัน คุ้นเคยแล้วก็จะดีเอง”
เมิ่งฉีหัวเราะแหะๆ
คนงานเข้ามาทำงาน เมิ่งเสียนไปโรงงานกุนเชียง
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิด แล้วมาหาเหวินเปียวที่บ้านหลี่ต้าฉุย พูดกับเขา “พรุ่งนี้เช้า เจ้าและน้องชายตามข้าไปส่งพวกน้องชายข้าไปโรงเรียน ทำความคุ้นเคยกับเส้นทางก่อน ต่อไปงานนี้ก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ห้ามให้พวกเขาเป็นอะไรเด็ดขาด”
เหวินเปียวรับประกัน “วางใจเถอะ นายหญิง ข้าจะคุ้มกันนายน้อยอย่างดีที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีก “พรุ่งนี้ครอบครัวข้าจะเริ่มปลูกเรือน พวกเจ้าส่งนายน้อยเสร็จให้กลับมาช่วยงาน แล้วบอกคนในครอบครัวพวกเจ้า ตอนนี้ยังไม่มีงานอื่น ให้พวกนางมาช่วยทำอาหารเที่ยง”
เหวินเปียวรับคำ “ทราบแล้ว นายหญิง เดี๋ยวข้าจะไปบอกพวกนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าตามข้าไปดูสถานที่ปลูกเรือนหลังใหม่”
เหวินเปียวเดินตามหลังนางมาถึงสถานที่ปลูกเรือนหลังใหม่อย่างนอบน้อม
เมิ่งอี้ที่กำลังช่วยทำงานเห็นพวกเขาเข้ามา ร้องทักทายนางอย่างดีใจ “น้องโยวเอ๋อร์ พวกเจ้ามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “พี่เมิ่งอี้ งานพวกนี้ให้คนอื่นทำก็พอ ท่านพักผ่อนให้เยอะๆ ดีกว่า”
เมิ่งอี้โบกมือ “ไม่ต้อง ข้าชินเสียแล้ว ไม่ทำงาน จะครั่นเนื้อครั่นตัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เดินมาตรงหน้านาง พูดหน้าบาน “โยวเอ๋อร์ เมื่อคืนป้าไปหาสะใภ้ซุน วันพรุ่งให้นางกลับไปถามบ้านฝ่ายแม่ ดูว่าครอบครัวพวกเขายินดีให้อิงจื่อแต่งงานเร็วขึ้นได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ป้าใหญ่ เรื่องนี้ไม่รีบร้อน รอให้ปลูกเรือนเสร็จค่อยไปก็ยังไม่สาย”
“เจ้ารับเหรินเอ๋อร์กลับมาไม่ใช่ให้เขาแต่งงานหรอกหรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงพูดว่าไม่รีบแล้ว?” ภรรยาเมิ่งต้าจินถามอย่างฉงนงงงวย
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่นพูด “พี่ใหญ่พูดกับพวกท่านเช่นนี้?”
ภรรยาเมิ่งต้าจินส่ายหน้า “พอเหรินเอ๋อร์กลับมา ก็เอาแต่นอนอยู่ในห้องไม่พูดอะไรทั้งนั้น เป็นอี้เอ๋อร์ที่บอกพวกเรา บอกว่าเจ้าให้เหรินเอ๋อร์กลับมาแต่งงาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ตอนค่ำข้าจะเข้าไปบ้านใหญ่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยปรึกษากันเรื่องพี่เมิ่งเหริน”
ภรรยาเมิ่งต้าจินรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ ถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหรินเอ๋อร์หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าแก้ไขได้ง่าย ป้าใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวล”
ภรรยาเมิ่งต้าจินคิดจะถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากพูดต่อหน้าคนอื่น จำต้องสะกดความขุ่นข้องภายในใจ รอถามอีกครั้งตอนค่ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับภรรยาเมิ่งต้าจิน “ป้าใหญ่ นี่คือเหวินเปียว ต่อไปถ้าไม่มีงานอะไรเขาจะพาคนเข้ามาทำงาน”
ภรรยาเมิ่งต้าจินนึกว่าเป็นคนในหมู่บ้านเข้ามาหางานทำ ไม่ได้สนใจอะไร เปล่งเสียงรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหาเมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถงบอกพวกเขาว่าต่อไปเหวินเปียวจะพาคนเข้ามาทำงานทุกวัน ทั้งสองก็ไม่ได้สนใจอะไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น