พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1571-1574

บทที่ 1571 มีเรื่องเข้ามาแล้ว

 

หลังจากกล่าวคำนี้ออกมาแล้ว จ้านหรูอี้ก็พลันหันตัวไปไม่มองเขาอีก ทอดสายตามองไปไกล


ยืนรออยู่ใต้เนินดินนานมาก เหมียวอี้รู้สึกว่าเสียเวลาแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี จึงกุมหมัดคารวะ “หากเหนียงเหนียงไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ผู้น้อยขอตัว”


“เจ้าไม่อยากถามข้าสักหน่อยเหรอว่าหลายปีมานี้ข้าเป็นยังไงบ้าง?” จ้านหรูอี้ถามขณะหันหลังให้เขา


เหมียวอี้เงียบไปสักครู่ แล้วถามว่า “หลายปีมานี้เหนียงเหนียงสบายดีมั้ยขอรับ?”


จ้านหรูอี้หันตัวมา แล้วเดินลงเนินดินช้าๆ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปประชิดเหมียวอี้ “ข้าสบายดีมาก! พอเข้าวังไปข้าก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสนมสวรรค์เลย เป็นสนมสวรรค์คนแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์ขึ้นมา ในบรรดาสนมนับหมื่นของวังหลังไม่มีใครเหนือกว่า ฐานะที่วังหลังเป็นรองแค่ราชินีสวรรค์ ฝ่าบาทโปรดปรานข้ามาก ในวังหลังไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่ราชินีสวรรค์ก็คนละระดับกับข้า ตั้งแต่เข้าวังไป จำนวนครั้งที่ข้าเปลื้องผ้าต่อหน้าฝ่าบาท จำนวนครั้งที่ฝ่าบาทมาอยู่กับข้า ถ้านำความถี่ของทุกคนในวังหลังมารวมกัน ก็ยังได้ไม่เท่าข้าคนเดียวเลย จะเห็นได้เลยว่าฝ่าบาทรักข้าขนาดไหน ข้ากลายเป็นสนมรักของฝ่าบาทอย่างแท้จริง ที่ข้าจ้านหรูอี้มีวันนี้ได้ก็เพราะเจ้าเลยนะหนิวโหย่วเต๋อ จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณจริงๆ ที่เจ้าทำให้ข้าสมปรารถนา!” ตอนที่พูดประโยคสุดท้าย นางมายืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างจริงจัง ดวงตางามจ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้ตาไม่กะพริบ


เหมียวอี้หลุบตาลง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ที่เหนียงเหนียงเข้าวังไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ข้าไม่ได้มีพลังมากขนาดนั้น เป็นการตัดสินใจของคนในครอบครัวเหนียงเหนียง”


จ้านหรูอี้บอกทันทีว่า “ไม่! เกี่ยวข้องกับเจ้าเยอะมาก ถ้าไม่ใช่เพราะฝากความหวังไว้ที่เจ้า ข้าก็จะสู้ตายเพื่อขัดขืน ไม่ยอมเด็ดขาด ข้ายอมตายดีกว่ายอมจำนน! เป็นเจ้าที่ทำร้ายหัวใจข้า ทำให้ข้าหมดอาลัยตายอยากเลยล้มเลิกการต่อต้าน ทำตามที่ครอบครัวจัดเตรียมไว้ให้ ข้าถึงได้มีวันนี้ไง เจ้าบอกมาซิว่าข้าจะไม่ขอบคุณเจ้าได้ยังไง?”


เหมียวอี้พลันเม้มริมฝีปากแน่นไม่ตอบอะไร กำหมัดสองข้างแน่น


ในที่สุดก็เห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเขาแล้ว จ้านหรูอี้ถาอมย่างใจเย็นว่า “อีกไม่นานก็คงจะถึงวันมงคลระหว่างเจ้ากับอวิ๋นจือชิว ข้ายินดีกับเจ้าตรงนี้เลย แต่ข้าอยากจะถามเจ้าสักคำ เจ้าชอบนางจริงๆ เหรอ?”


“ข้าให้คำสัญญากับนางไว้นานมากแล้ว ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับใครถ้าไม่ใช่นาง ทั้งชีวิตนี้จะไม่ทรยศนางเด็ดขาด!” เหมียวอี้กล่าว


จ้านหรูอี้ถามอีกว่า “แล้วข้าล่ะ? ข้าแค่อยากจะถามคำเดียว เจ้าเคยชอบข้าบ้างรึเปล่า”


“คำถามนี้ของเหนียงเหนียงทำให้ข้าน้อยหวาดกลัว” เหมียวอี้กล่าว


จ้านหรูอี้กัดฟัน แล้วบอกว่า “งั้นข้าขอถามอีก ตอนแรกที่ข้าขึ้นเกี้ยวหงส์เข้าวัง เจ้าบุ่มบ่ามอยากจะชักดาบขึ้นมาขวางไม่ให้ข้าเข้าวังรึเปล่า?”


เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เปล่าขอรับ!”


จ้านหรูอี้ขยับเท้า เดินเฉียดผ่านตัวเขาไป “ขอบคุณที่เจ้าช่วยให้สมหวัง ทำให้ข้ามีวันนี้ได้! ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่จะอกตัญญู ถึงยังไงข้าก็ร่วมนอนเคียงหมอนกับฝ่าบาท พอจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาทได้บ้าง ถ้ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ก็บอกมาได้เลย เจ้าบอกว่าต่อไปข้าจะเข้าใจเอง ข้าก็จะรอวันนั้น วันที่ข้าจะเข้าใจ!”


ลมพัดมา กระโปรงยาวปลิวพัดผ่านใบหน้าเหมียวอี้ไป กระโปรงยาวที่เจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ กวาดผ่านหน้าเหมียวอี้ ผิวกายที่สัมผัสกันราวกับวิญญาณได้สัมผัสกัน ปัดผ่านเลยไปทันที หายไปราวกับเงา ทำให้รู้สึกอยากเอื้อมมือไปคว้าแต่ก็คว้าไว้ไม่ได้


คนที่มองอยู่ไกลๆ มองดูทั้งสองหันหลังแยกจากกัน บนพื้นหญ้าสีเขียว กระโปรงปลิวพลิ้วราวกับเทพเซียน ร่างที่สวมเกราะเงินยืนตรงสะท้อนแสงวิบวับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์


รอจนกระทั่งเหมียวอี้ที่ยืนเงียบงันอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหันตัวมาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของจ้านหรูอี้และคนอื่นๆ แล้ว เขาถลันตัวเหาะไปเหยียบลงตรงตำแหน่งของตัวเอง คว้าทวนเงินออกมาปักพื้นแล้วยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์


หลังจากรู้ว่ากลุ่มชนชั้นสูงที่พระตำหนักอุทยานกลับวังสวรรค์ไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวเดินออกจากตำแหน่งตัวเอง เอาทวนเงินพาดบ่า ราวกับแบกไม้คานไว้บนหลัง ใช้แขนสองข้างงอพาดไว้บนนั้น แล้วเดินช้าๆ กลับไตลอดทาง


แต่ก็อิสระได้ไม่กี่วัน งานเลี้ยงอุทยานที่ตำหนักสวรรค์จัดทุกๆ หนึ่งพันปีมาถึงแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเวลามนุษย์ในโลกฉลองปีใหม่ จะฉลองกันทั้งหมดสามวัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นการนัดชุมนุมกันหนึ่งครั้งในทุกๆ พันปีของตำหนักสวรรค์ ในวันนี้ ไม่ใช่แค่ประมุขชิงที่จะพาสนมทั้งวังหลังมาร่วมงาน ขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมราชสำนักก็จะพาทั้งครอบครัวมาที่อุทยานสวรรค์ด้วย ฮูหยินบรรดาศักดิ์แต่ละแห่งล้วนได้รับคำเชิญ


งานแต่งงานของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวจึงต้องหลีกทางให้กับงานนี้ เอาไว้เฉลิมฉลองหลังจากนั้น


พวกเทพธิดาในแต่ละที่ของอุทยานสวรรค์งานยุ่งกันมาก ประดับตกแต่งแทบทั้งดาวเคราะห์ของอุทยานสวรรค์ กองทัพองครักษ์ก็ยิ่งเรียกรวมกำลังพลหนึ่งหน่วยไปประจำตามแต่ละจุดของอุทยานสวรรค์ ตำแหน่งของเหมียวอี้อยู่ตรงที่นาหลวงตลอด แต่ก็ไม่สะดวกจะทำงานอย่างขอไปที เมื่อถึงเวลาผลัดเวรยืนยามก็ต้องไป แน่นอนว่าจะไม่ไปก็ได้ กองมังกรดำไม่ว่าอะไรเช่นกัน แต่เขาก็ไม่อยากให้มู่อวี่เหลียนทำงานลำบาก


ในวันที่จัดงานเลี้ยงอุทยาน ขุนนางในราชสำนักนำครอบครัวทยอยกันไปคารวะราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ที่พระตำหนักอุทยาน รับการเข้าเฝ้าทีละครอบครัว ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ประทานรางวัลให้ทุกครอบครัว


นอกจากพื้นที่ต้องห้ามบางจุด วันนี้ทั้งอุทยานสวรรค์ก็เปิดให้ขุนนางในราชสำนักและครอบครัวใช้อย่างเต็มที่แล้ว บรรยากาศคึกคักมาก


โชคดีว่าตรงที่นาหลวงไม่ได้มีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมอะไร ไม่มีใครมารบกวน เพียงแต่บางครั้งจะมีคนมาดูความแปลกใหม่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นอนุภรรยาของขุนนางใหญ่บางคนที่เพิ่งจะรับเข้ามาใหม่ภายหนึ่งพันปีนี้ พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อนว่าที่นาหลวงเป็นอย่างไร อยากจะมาดูอะไรที่แปลกใหม่สักหน่อย หลังจากเห็นแล้วก็พบว่าก็เท่านั้นเอง แทบจะไม่มีใครอยู่ต่อ เดินเตร็ดเตร่ไปมานิดหน่อยก็ออกไปแล้ว


อวิ๋นจือชิวก็มาแล้วเช่นกัน มีคนกลุ่มใหญ่ของตระกูลโค่วอยู่เป็นเพื่อน


“น้องเขย! อาเขย! ลุงเขย!”


กลุ่มคนในตระกูลโค่วเดินมองประเมินรอบๆ เหมียวอี้พลางหัวเราะคิกคัก โค่วเหวินหลานต้องเรียก ‘อาเขย’ อย่างจนใจนิดหน่อย ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเจื่อน


อวิ๋นจือชิวไม่ได้เข้ามาใกล้ ได้แต่สบตากับเหมียวอี้อยู่ไกลๆ


เหมียวอี้ประคองทวนค้ำพื้นยืนมองนางพร้อมยิ้มให้บางๆ เขากับอวิ๋นจือชิวติดต่อกันอยู่ตลอด รู้ว่าตอนนี้ทุกคนของตระกูลโค่วดีกับนางมาก แต่ละฝ่ายถึงขั้นให้ความรู้สึกว่าประจบสอพลอด้วยซ้ำ เหมียวอี้ที่เคยได้รับคำเตือนมาจากโกวเยว่เตือนนางต่อ ว่าพยายามอย่าเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ภายในของตระกูลโค่ว


ขณะมองดูเหมียวอี้สวมเกราะเงินยืนเฝ้ายามอยู่ตรงมุมหนึ่งของที่นา อวิ๋นจือชิวกลับกัดริมฝีปากแน่น สุดท้ายก็ควบคุมอารมณ์ไม่ไหว ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ขุนพลที่กุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายมากมายในตอนแรก ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้ นางหันหน้าหนี น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นออกมา แล้วโผเข้าอ้อมกอดซูฮวนเหนียงที่อยู่ข้างกัน “ล้วนเป็นข้าที่ทำร้ายเขา…”


ซูฮวนเหนียงกอดนาง ตบหลังนางเบาๆ พร้อมกล่าวปลอบใจ “น้องเจ็ด ใกล้แล้วล่ะ อีกไม่นานก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แค่ทนรับความอัปยศชั่วครู่ก็เท่านั้นเอง อุปสรรคมากมายขนาดนั้นน้องเขยยังผ่านมาได้ ความล้มเหลวเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้อยู่ในสายตาน้องเขยเลย น้องเขยไม่ใช่คนธรรมดา ต้องกินขมในขม จึงจะได้ เป็นคนเหนือคน ถ้าเขาคิดจะผงาดขึ้นมา ก็ไม่มีทางราบรื่นสะดวกสบายเหมือนลูกหลานชนชั้นสูงอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ผงาดขึ้นมาเมื่อไร ก็แสดงว่าได้อาศัยศักยภาพที่แข็งแกร่งของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ลูกหลานชนชั้นสูงพวกนั้นจะเทียบติด ท่านพ่อถูกใจน้องเขยมาก รอให้การลงโทษหนึ่งร้อยปีนี้ผ่านไป ก็จะถึงเวลาที่น้องเขยก้าวเท้าครั้งเดียวเหยียบขึ้นฟ้าแล้ว!”


ภายใต้การบอกใบ้ของเหมียวอี้ กลุ่มคนของตระกูลโค่วพาอวิ๋นจือชิวเดินออกไปแล้ว


ก่อนจะเดินออกไป โค่วเจิงก็กล่าวเตือนเสียงเรียบว่า “เวลานี้อย่าก่อเรื่องอะไรมาก ข้าบอกลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่แถวนี้แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรพวกเขาจะโผล่มาช่วยเจ้าต้านทันที”


ก่อนงานเลี้ยงอุทยานเหมียวอี้ก็ได้รับคำเตือนจากตระกูลโค่วแล้ว บอกว่างานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้อาจจะมีคนมาหาเรื่องเขา ให้เขาระวังตัวไว้หน่อย


เหมียวอี้แปลกใจ อย่าบอกนะว่ายังมีคนกล้าก่อเรื่องที่อุทยานสวรรค์อีก?


ความหมายที่ตระกูลโค่วจะสื่อก็คือ กันไว้ดีกว่าแก้ มีตระกูลโค่วคอยต้านไว้ให้ ตระกูลอื่นก็ย่อมไม่กล้าเล่นงานอย่างโจ่งแจ้ง แต่เกรงว่าแต่ละตระกูลจะแอบลงมือ ฉวยโอกาสกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้ง อาจจะไม่ถึงขั้นลอบสังหาร แต่ลูกหลานชนชั้นสูงคงจะเดินร่อนไปทั่วงานงานเลี้ยงอุทยาน เป็นไปได้สูงว่าจะมีคนจงใจหาท้าทายหาเรื่องเขา พูดยั่วโมโหแล้วฉวยโอกาสลงมือ ถึงตอนนั้นต่อให้เกิดเรื่องขึ้น ก็จะเป็นอุบัติเหตุที่พวกลูกหลานไม่รักดีขัดแย้งกันเท่านั้น เดิมทีแต่ละตระกูลก็มีลูกหลานที่เอ้อระเหยไม่ทำการทำงานอยู่แล้ว


ดังนั้นตระกูลโค่วจึงย้ำแล้วย้ำอีก ว่าถ้ามีใครมาท้าทายก็ให้พยายามอดทนไว้อย่างถึงที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ผ่านร้อยปีนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน


เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ต้องก็ได้ขอรับ ถึงแม้ข้าจะโดนลดให้อยู่ตำแหน่งต่ำสุด แต่ถึงยังไงก็เคยควบคุมอุทยานสวรรค์มาหลายปี ถ้าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังรับมือไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว”


โดนลดตำแหน่งเป็นทหารสวรรค์หนึ่งแถบแล้วยังมีจิตใจอันทระนงองอาจได้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย! ในดวงตาโค่วเจิงฉายแววชื่นชม จากนั้นยกมือขึ้นตบบ่าเขา แล้วหันตัวเดินออกไป


อยู่เงียบได้ไม่นานเท่าไร เหมียวอี้ก็พบว่าพวกพี่น้องทหารที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ มองตรงมาทางเขา เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นข้างหลังมีผู้หญิงคนหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า สวมชุดกระโปรงสีชมพู เย้ายวนไร้ที่เปรียบ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นเอง


“พี่ใหญ่หนิว!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หลุดขำ แล้วถลันตัวมาข้างเขา


พูดตามตรง เมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกละอายใจ ตอนนั้นควบคุมมือที่ซุกซนของตัวเองไม่ได้ ไปลูบไล้ในจุดที่ไม่สมควร แต่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไรเลย เขาจึงยิ้มให้อย่างไม่หวาดหวั่น “เจ้ามาได้ยังไง? มาดูข้าทำตัวอัปลักษณ์น่าอายเหรอเหรอ?”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำท่าเอามือไขว้หลัง เดินวนมองประเมินเหมียวอี้รอบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่อัปลักษณ์หรอกค่ะ พี่ใหญ่หนิวสวมเกราะเงินแล้วดูมีพลังอำนาจมากนะคะ แล้วอีกอย่างนะ มีใครไม่รู้บ้างว่าท่านกำลังจะกลายเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์แล้ว เกราะเงินนี้เกรงว่าจะใส่ได้ไม่นานเท่าไรนัก”


“มีธุระอะไร?” เหมียวอี้ส่ายหน้า


ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลอกตาทันที “ไหนบอกว่าเป็นสหายกันแล้วไง ข้ามาที่นี่พอดี จะมาเยี่ยมสหายสักหน่อยไม่ได้เหรอคะ? อย่าบอกนะว่าตอนนั้นแค่พูดไปอย่างนั้น ตอนนี้จะกลับคำแล้วเหรอคะ?”


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เปล่าสักหน่อย…” ยังไม่ทันพูดจบ สายตาก็ย้ายไปมองอีกด้านหนึ่ง


ก่วงเม่ยเอ๋อร์เห็นเขาแปลกไป จึงมองตาม เห็นเพียงชายหญิงที่สวมเสื้อผ้าหรูหราหลายสิบคน ทุกคนเหาะลงมาจากฟ้าด้วยกัน ลักษณะท่าทางแบบนั้นกอปรกับมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานคนรวย แต่ละคนมีท่าทีหยิ่งจองหอง แต่ละคนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร


“ลั่วกุย ถ้าข้าพูดไม่ผิด น้องเม่ยเอ๋อร์กำลังแอบมาเจอใครลับๆ อยู่รึเปล่า?” ชายร่างผอมคนหนึ่งหุบพัดในมือ แล้วเคาะชายรูปร่างกำยำที่อยู่ข้างกัน แล้วหัวเราะเสียงดัง


ข้างๆ กันมีเพื่อนหลายสิบคน ผู้หญิงเม้มปากลอบหัวเราะ ส่วนผู้ชายก็หัวเราะเสียงดัง


ชายรูปร่างกำยำที่ชื่อว่าลั่วกุยกลั้นโกรธจนหน้าแดงอยู่ท่ามกลางเสียหัวเราะเยาะ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ชี้ชายที่ถือพัดพร้อมตวาดเสียงแหลม “อิ๋งฮุย หุบปากเหม็นของเจ้าซะ!”


จู่ๆ ลั่วกุยก็ชี้ไปที่เหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “เม่ยเอ๋อร์ คนนี้เป็นใคร?”


อิ๋งฮุยกางพัด แล้วส่ายหน้าเบาๆ พร้อมตอบแทน “ลั่วกุย รู้อยู่แล้วทำไมต้องแกล้งโง่ เรื่องดูตัวที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนน่ะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน สวมเกราะเงินยืนเฝ้ายามอยู่ตรงที่นาหลวงจะเป็นใครไปได้อีก? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าจะไม่เอาไหนขนาดนี้ ข้าคงไม่บอกเจ้าหรอก เจ้าจะได้ไม่ต้องปล่อยไก่แบบนี้”

 

 

 


บทที่ 1572 ข้าอยากจะเห็นว่าใครกล้า!

 

ชี้แนะชัดเจนขนาดนี้ ถ้ายังเดาไม่ออกว่าเหมียวอี้คือใครก็แปลว่าโง่แล้ว กุยลั่วที่โดนขนาบอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ทำสีหน้าเยาะเย้ยโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว เขากำหมัดสองข้างแน่น ทั้งตัวราวกับใกล้จะระเบิดอารมณ์แล้ว


ประวัติของเขาไม่ธรรมดา พ่อของเขาคือลั่วหม่างจอมพลสายวอก เป็นลูกชายคนสุดท้องของลั่วหม่าง คนที่มีฐานะแบบนี้เคยโดนทำให้อับอายขนาดนี้เสียที่ไหนกัน


ทำไมถึงมองว่าเป็นความอับอายน่ะเหรอ? ก็ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าตาเย้าย้วนไร้ที่เปรียบขนาดนี้ มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่อยากครอบครอง? กอปรกับฐานะของก่วงเม่ยเอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครตามจีบ และคนที่มีคุณสมบัติจะตามจีบก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ อย่างน้อยภูมิหลังฐานะก็ต้องเป็นขุนนางที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก ถ้าคนทั่วไปกล้าคิดอะไรเพ้อเจ้อ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตายอย่างไร และเป็นเพราะฐานะภูมิหลังของก่วงเม่ยเอ๋อร์เช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าใช้วิธีการแข็งกร้าวกับนางซี้ซั้ว


กุยลั่วย่อมเป็นหนึ่งในคนที่ตามจีบนาง บิดาของเขาคือลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์ก่วง อนุญาตให้เขาตามจีบแล้วเช่นกัน ด้วยสาเหตุเดียวกัน ถึงแม้อ๋องสวรรค์ก่วงจะไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้คัดค้านที่ลูกชายลั่วหม่างตามจีบลูกสาวตัวเอง ส่วนจะเต็มใจให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของลั่วหม่างจริงๆ หรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครรู้ชัดเจน


ในบรรดาผู้ชายสิบกว่าคนนี้ ขอแค่เป็นผู้ชาย ก็เรียกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่หวั่นไหวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์เลย แต่หลังจากมีเรื่องดูตัวที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร บางทีทุกคนอาจจะรู้สึกถึงวิกฤตการณ์ รู้สึกว่าถ้าทุกคนจีบต่อไปแบบนี้ก็จะไม่มีใครได้ทั้งนั้น ดังนั้นไม่กี่วันก่อนงานเลี้ยงอุทยาน กลุ่มคนที่จีบก่วงเม่ยเอ๋อร์จึงมารวมตัวกันจับไม้สั้นไม้ยาว ถ้าใครจับไม้สั้นไม้ยาวได้ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็จะเป็นของคนนั้น


แน่นอน ไม่ใช่ว่าการจับไม้สั้นไม้ยาวของพวกเขาจะสามารถตัดสินได้ว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะแต่งงานกับใคร แต่ถ้าคนไหนจับไม้สั้นไม้ยาวได้ คนอื่นที่เหลือก็จะถอยออกจากกระบวนแถวการจีบนี้ จะร่วมมือกันช่วยให้คนที่จับไม้สั้นไม้ยาวได้จีบก่วงเม่ยเอ๋อร์ สรุปก็คือจะให้ตกอยู่ในมือคนนอกไม่ได้ จะให้คางคกมากินเนื้อหงส์ไม่ได้


กุยลั่วดวงดีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจับได้ไม้ที่สั้นที่สุด เป็นที่อิจฉาจของคนรอบข้าง เมื่อไม่มีคู่แข่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเขาเอง หรือจะเป็นแนวคิดของแวดวงสหาย ก็จะต้องทำให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลายเป็นผู้หญิงของเขาให้ได้


หลายวันมานี้กุยลั่วดีใจแทบแย่ เอาแต่จินตนาการเพ้อเจ้อถึงภาพที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์ผู้น่ารักออดอ้อนเปลื้องผ้าหาความสำราญอยู่ในอ้อมกอดตัวเอง


แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าจู่ๆ ตรงหน้าก็มีตัวเห็บโผล่มาตัวหนึ่ง จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร! สายตาที่เคียดแค้นจ้องเหมียวอี้ราวกับจะฉีกเนื้อทั้งเป็นแล้ว!


เหมียวอี้กำลังยืนถือทวนค้ำพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอเหลือบมองปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้ก็เข้าใจทันที เรื่องที่ตระกูลโค่วกำชับไว้ตอนแรกเกิดขึ้นแล้ว มีคนมาหาเรื่องถึงที่แล้ว


ผ่านปัญหาอุปสรรคมามากมายขนาดนั้น ถ้าแค่นี้ก็มองไม่ออกว่ามีเงื่อนงำ ที่ผ่านมาเขาก็ใช้ชีวิตโดยเปล่าประโยชน์แล้ว


แต่เขาก็สงบนิ่งมากจริงๆ ตั้งตารอดู ดูว่าคนกลุ่มนี้จะใจกล้าขนาดไหน


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถลึงตาจ้องอิ๋งฮุยที่ถือพัดกระพือไฟอย่างแค้นใจ เมื่อเห็นกุยลั่วกำหมัดเดินประชิดเข้ามาหาเหมียวอี้ นางก็รีบเบี่ยงตัวมาข้างหน้า มาขวางไว้ตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วชี้กุยลั่วพร้อมตะคอกว่า “จะเป็นใครแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? กุยลั่ว ข้าสั่งให้เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าคิดจะทำอะไร?”


กุยลั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าหลีกไป!”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตะคอกทันที “เจ้านับเป็นตัวอะไร ถึงคราวที่เจ้าจะมายุ่งเรื่องของข้าแล้วเหรอ? ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”


ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ากุยลั่วชอบนาง แต่นางไม่ได้ชอบเขาเลย เม่ยเหนียงมารดาของนางก็ไม่ชอบเช่นกัน ตามที่มารดานางบอก กุยลั่วเป็นคนสมองทึบ อาศัยครอบครัวเพื่อประทังชีวิตรอความตายแท้ๆ เลย ตระกูลลั่วไม่มีทางเสียทรัพยากรจำนวนมากเพื่อผลักดันคนแบบนี้ให้ขึ้นตำแหน่งแน่นอน ต่อให้ผลักดันขึ้นมาได้แล้ว แต่ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนคู่ต่อสู้ดึงลงมา คุมสถานการณ์ไม่ไหวเลย ถ้าลูกสาวแต่งงานกับคนประเภทนี้ก็ไม่มีอนาคตเลยสักนิด แต่ท่านแม่ก็กำชับไว้แล้ว ว่าถึงอย่างไรบิดาของกุยลั่วก็เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านพ่อ เจ้าจะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ภายนอกก็อย่าทำอะไรให้ดูแย่เกินไป


กุยลั่วถลึงตาอย่างโมโห “เม่ยเอ๋อร์ เจ้ากับมันคงไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถูกคำถามนี้ทำให้อับอายแทบแย่ ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อเกิดเรื่องที่ทำให้บอกใครไม่ได้จริงๆ นางกระทืบเท้าชี้ด่าว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย!”


“ถ้าไม่มีอะไร เจ้าก็หลีกไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” กุยลั่วตะคอก


อิ๋งฮุยที่โบกพัดแสยะยิ้มมุมปาก แล้วก็ถือพัดโบกไปข้างหลัง ทำท่าส่งสัญญาณมือ


“เม่ยเอ๋อร์ ทุกคนเป็นสหายกันทั้งนั้น ทำไมถึงทะเลาะกันได้ล่ะ”


ด้านหลังมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมา แล้วกอดอยู่ข้างตัวก่วงเม่ยเอ๋อร์อย่างวุ่นวายไร้ระเบียบ ฉุดบ้างผลักบ้าง ควบคุมตัวก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปเกลี้ยกล่อมด้านข้าง


“พวกเจ้า…พวกเจ้า…พวกเจ้าทำอะไร? พวกเจ้าปล่อยข้านะ!”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ถูกกลุ่มสหายถ่วงไว้จนสลัดไม่หลุดร้องโวยวายเสียงดัง นางรู้ว่าถ้าตัวเองขัดขวางไม่ได้ ก็จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน


กุยลั่วจ้องเหมียวอี้อย่างโมโห เมื่อไม่มีก่วงเม่ยเอ๋อร์ขวางแล้ว เห็นเหมียวอี้สงบนิ่งขนาดนี้ ในใจเขากลับตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างไรเสียชื่อของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ มีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายที่ใช้กำลังสังการเข้าสังหารออกทัพใหญ่หนึ่งล้านถึงสองครั้ง


ถ้าจะให้กุยลั่วรังแกคนทั่วไปก็ยังพอไหว แต่เมื่อเจอกับขุนศึกที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าแบบเหมียวอี้ ทั้งยังมีชื่อเสียงว่ากล้าทำเรื่องทุกอย่าง กอปรกับมีตระกูลโค่วหนุนหลัง ทำให้เขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ชั่วขณะนั้นทำให้เขาหาบันไดลงไม่ได้


เหมียวอี้มองข้ามกุยลั่ว แต่จ้องทุกการกระทำของอิ๋งฮุยที่อยู่ข้างหลัง เขามองออกแล้ว ว่าอิ๋งฮุยก็คือคนที่คอยยุงแยงกระพือเชื้อไฟ ทั้งยังแซ่อิ๋งด้วย เกรงว่าคงจะหนีไม่พ้นความเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋ง


อิ๋งฮุยกับเหมียวอี้สบตากัน อิ๋งฮุ่ยไม่หลบหลีกเลยสักนิด กลับแสยะยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นยามปกติ เขาก็ไม่อยากจะไปหาเรื่องเหมียวอี้เช่นกัน แต่ครั้งนี้ต่างออกไปแล้ว เขาถูกคนเสนอแนะให้มา ทั้งยังมอบของวิเศษที่จะเอาชนะให้ด้วย เรียกได้ว่าไม่มีอะไรต้องกลัว


อิ๋งฮุยเก็บพัด แล้วเดินนำออกมาข้างหน้า นำกลุ่มผู้ชายมายืนอยู่ข้างๆ กุยลั่ว พวกผู้หญิงควบคุมก่วงเม่ยเอ๋อร์ไว้แล้ว


กุยลั่วมองซ้ายมองขวา เห็นพวกสหายเคียงข้างตัวเองแล้ว ชัดเจนว่าแสดงท่าทีที่จะรุกถอยร่วมกัน ในใจค่อนข้างซาบซึ้ง สงสัยทุกคนจะยอมรับผลการจับไม้สั้นไม้ยาวแล้ว


“มีคนประเภทหนึ่งที่เรียกว่าภายนอกร้ายกาจภายในขี้ขลาด ถ้าไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ ก็คงแต่งงานกับแม่หม้ายเพื่อเกาะขาตระกูลตระกูลโค่วหรอก ถุย แบบนี้มันตัวอะไรกัน!” อิ๋งฮุยโบกพัดพลางถ่มน้ำลาย ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้แล้วว่าด่าใคร


“พี่ใหญ่หนิว!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่โดนกักตัวไว้ร้องเรียก


เดิมทีกุยลั่วก็ไม่มีความมั่นใจอยู่แล้ว พอได้ยินว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์เป็นห่วงสนใจเหมียวอี้ขนาดนี้ บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาเดินประชิดเข้าไปหาเหมียวอี้ กลุ่มคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาเดินตามเข้าไปเช่นกัน


ทหารยามที่เฝ้าอยู่ไกลๆ แต่ละคนมองมาทางนี้ แล้วก็เริ่มรวมตัวกันมาทางนี้ เหมียวอี้ยกมือส่งสัญญาณห้าม ทำให้คนพวกนั้นหยุดฝีเท้าอย่างงุนงง


เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่กล้าเรียกคน กุยลั่วก็ยิ่งแสดงพลังอำนาจยิ่งกว่าเดิม


เหมียวอี้ขยับร่างกาย เหาะไปเหยียบลงกลางที่นาด้านหลัง


คนกลุ่มนั้นตามไป เหยียบจนพืชในนาเละเทะทันที เหมียวอี้เหลือบมองใต้เท้าคนพวกนั้นโดยไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน


คนกลุ่มนั้นล้อมเหมียวอี้ไว้ตรงนั้นแล้ว กุยลั่วเผยสีหน้ายิ้มดุร้าย “ยังคิดจะหลบอีกเหรอ? เจ้าแซ่หนิว ความสามารถอันน้อยนิดของเจ้านะ โอ้อวดให้พวกข้างล่างเห็นยังพอไว้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น ยังกล้ามาแย่งผู้หญิงกับข้าอีกเหรอ เจ้าบอกมาซิว่าเรื่องวันนี้จะจัดการยังไง?”


“พี่ใหญ่หนิว รีบหนีไปค่ะ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ร้องตะโกนอย่างร้อนใจอีกครั้ง


ทวนในมือเหมียวอี้พลันชูขึ้นฟ้า


พรึ่บๆ! แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนแฉลบเข้ามา คนที่นำหน้ามาก็คือเวินเจ๋อ เวินเจ๋อตะคอกถามเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”


อิ๋งฮุยอึ้งไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าแถวนี้จะมีแม่ทัพใหญ่วังสวรรค์ซุ่มอยู่ ด้วยความสามารถอย่างพวกเขาสู้ไม่ไหวเลย จึงแอบร้องว่าแย่แล้ว รู้ว่าวันนี้เล่นต่อไปไม่ไหวแล้ว


อิ๋งฮุยจ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเตรียมตัวไว้นานแล้ว จึงตบบ่ากุยลั่วแล้วบอกว่า “ช่างเถอะ! ถึงยังไงที่นี่ก็คืออุทยานหลวง ถ้าก่อเรื่องใหญ่โตคงไม่ดี เดี๋ยวตอนหลังค่อยคิดบัญชี”


กุยลั่วเห็นยอดฝีมือพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ก็รู้เช่นกันว่าถ้าก่อเรื่องต่อไปจะเสียเปรียบ จึงทำเสียงฮึดฮัดใส่เหมียวอี้ แล้วหันหน้าไป “ไป!”


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ที่เงียบมาตลอดกลับเอ่ยขึ้นในเวลานี้ กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ทั้งหมดหยุดอยู่กับที่!”


กลุ่มคนที่เพิ่งหันตัวไปทยอยกันหันกลับมา อิ๋งฮุยแสยะยิ้มถามว่า “ทำไมล่ะ? จะให้พวกเราอยู่กินข้าวด้วยกันเหรอ?”


เวินเจ๋อขมวดคิ้ว บอกเหมียวอี้เช่นกันว่า “น้องชาย ช่างเถอะ”


“ข้าเองก็อยากจะปล่อยไปเหมือนกัน” เหมียวอี้บุ้ยปากไปตรงใต้เท้าของคนกลุ่มนั้น “พืชพรรณที่สนมในวังปลูกไว้โดนพวกเขาเหยียบย่ำหมดแล้ว ถ้าปล่อยพวกเขาไปแบบนี้ ถ้าต่อไปมีคนเอาเรื่องนี้มาหาเรื่องจะทำยังไง คนที่เฝ้าที่นี่อย่างข้าจะแก้ตัวไม่ได้น่ะสิ ต้องให้คำอธิบายกันสักหน่อยสิ”


พวกอิ๋งฮุยมองไปที่ใต้เท้า ทำให้ทุกคนอึ้งทันที


เหมียวอี้ตะคอกในทันทีว่า “ทหาร!”


ทีแรกกำลังพลกองมังกรดำที่รวมตัวกันอยู่ไกลงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองข้ามว่าเหมียวอี้เป็นแค่ทหารเลวหนึ่งแถบคนหนึ่ง ทยอยกันเหาะมาตามคำสั่งแล้ว


เหมียวอี้บุ้ยปากบอกว่า “คนพวกนี้ไม่เห็นพืชของเหล่าสนมอยู่ในสายตา บังอาจทำลายตามอำเภอใจ แต่ถ้าเบื้องบนมาเอาเรื่อง พวกเราก็จะแก้ตัวไม่ได้แล้ว จับตัวไปลงโทษให้หมด!”


เวินเจ๋อเอามือเกาหัว คิดในใจว่าไม่จำเป็นหรอก ต่อให้จับคนพวกนี้ไปแล้ว อย่างมากก็แค่โดนด่า ตอนหลังก็จะไม่เป็นอะไรเลย กลับเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่จะดูเป็นคนเลวร้าย


“ข้าอยากจะเห็นว่าใครกล้า! สนมสวรรค์…” อิ๋งฮุยหันตัวมาตะคอกอย่าเกรี้ยวกราด ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็กระอักเลือดแล้ว ดวงตาสองข้างแทบจะถลนออกมา ที่มุมปากมีเลือดทะลัก


ซวบ! เหมียวอี้พลันแทงทวนออกมา แทงท้ายทอยเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ


เหมียวอี้แทงทวนออกไป แล้วก็ดึงออกมาอีก ทั้งตัวพุ่งเข้าไปในกลุ่มคน ชั่วพริบตาเดียวก็ออกทวนราวกับมังกร มีเลือดสาดกระจายหลายดอก “อา…” เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่อง ราวกับเสือเข้าไปในฝูงแกะ ชั่วพริบตาเดียวก็สังหารคนที่กำลังฉุกละหุกไปสิบกว่าคน


กุยลั่วโชคดี อยู่ใกล้เหมียวอี้ขนาดนี้ แต่เหมียวอี้กลับไม่ฆ่าเขา แต่เตะเขาจนกระอักเลือดแล้วกระเด็นออกไป


คนที่เหลือตกใจจนขวัญกระเจิง หนีกระเจิดกระเจิงแล้ว พวกเวินเจ๋อที่ยืนอยู่ไม่ไกลตะลึงค้าง


“อ๊า…” พวกผู้หญิงที่หัวเราะคิกคักอยู่รอบๆ ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าเขียวหมดแล้ว ตกใจจนหนีขึ้นไปหมดแล้ว


เหมียวอี้ถลันออกมา ใช้เท้าเหยียบกุยลั่วที่กำลังจะลุกขึ้นกลับลงดินไป แล้วปักทวนเงินลงตรงหน้าศีรษะที่แนบพื้นดิน ทำให้เขาตกใจจนตาแทบถนนออกมา ตกใจจนไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว มองดูเพื่อนตัวเองชักกระตุกเลือดทะลักออกปากอยู่ไกลๆ


พอปักทวนลงพื้นแล้ว เหมียวอี้ก็คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาไว้ในมือ เกิดเสียงดังปั้งๆ ลูกธนูดาวตกสองลูกถูกยิงออกไปพร้อมกัน “อ๊า…อ๊า…” ผู้หญิงสองคนที่อยู่บนฟ้าส่งสียงร้อง พวกนางร่วงลงจากฟ้า ยิ่งทำให้คนที่กำลังหลบหนีขวัญหนีดีฝ่อ


ลูกธนูดาวตกดอกที่สามกำลังจะยิงออกไป เวินเจ๋อที่ได้สติรีบถลันตัวเข้ามา คว้าข้อมือของเหมียวอี้เอาไว้ ไม่ให้เขาทำซี้ซั้วอีก

 

 

 


บทที่ 1573 กองมังกรดำไร้ระเบียบแล้ว

 

“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!” เวินเจ๋อตะคอกอย่างโมโห


เหมียวอี้มองดูกลุ่มคนที่หนีไปจนไม่เห็นเงา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พี่ใหญ่เวินกล่าวเกินไปแล้ว หนิวได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าผืนนาหลวง มีคนมาเหยียบย่ำผลงานของบรรดาพระสนมเสียหาย ทั้งยังขัดขืนการจับกุมต่อหน้าสาธารณะ บ้าระห่ำที่สุด ถ้าข้าไม่สนใจน่ะสิถึงจะบ้าจริงๆ มีความผิดที่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ เบื้องบนควรจะให้รางวัลข้าสิถึงจะถูก!”


“…” เวินเจ๋ออ้าปากค้างพูดไม่ออก มองดูพืชในนาที่ถูกทำให้เสียกาย ก็พอจะเข้าใจเจตนาคร่าวๆ ของเหมียวอี้แล้ว มุมปากกระตุกเล็กน้อย


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกสองคนมองดูพืชที่เสียหายในผืนนาหลวง แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


กลุ่มกำลังพลกองมังกรดำปาดเหงื่อเล็กน้อย ได้ยินชื่อเสียงบารมีของท่านนี้มานาน วันนี้นับว่าได้บทเรียนแล้ว ทำแบบนี้โหดเกินไปแล้วมั้ง ฆ่าใครไปบ้างแล้วล่ะ สงสัยงานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้จะครึกครื้นแล้วจริงๆ


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพียงลำพังตกใจจนเอามือปิดปาก นางทำสีหน้าตระหนกตกใจจริงๆ ราวกับย้อนกลับไปถึงภาพเหตุการณ์ที่นางเห็นตอนอยู่บนกำแพงเมืองตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอีกแล้ว


ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว พวกสหายที่ตอนเพิ่งมาถึงอุทยานหลวงยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ตอนนี้เลือดนองเต็มพื้นแล้ว ศพนอนเกลื่อนพื้น กุยลั่วที่เมื่อครู่นี้ยังวางอำนาจบาตรใหญ่ก็กำลังนอนตัวสั่นอยู่ใต้เท้าหนิวโหย่วเต๋อ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว


จะเป็นสหายหรือกุยลั่วอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้สีหน้าตระหนกตกใจของก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มบรรเทาลงทีละนิด สองมือที่ปิดปากวางลงอย่างช้าๆ ฟันขาวกัดริมฝากแดงเบาๆ มองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาแปลกๆ ค่อนข้างออดอ้อน


นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกมารดาถึงปรารถนาอย่างแรงแบบนั้น บรรดาสหายที่ยามปกติทำตัวสูงส่งและเรียกใช้ลูกน้องให้ทำนั่นทำนี่ พวกสหายที่ดูหรูหราไม่ธรรมดาราวกับไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เมื่อครู่ยังขู่เข็ญกดดันคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น แต่พอได้เจอกับของจริง แต่ละคนก็อ่อนแอราวกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา ตกใจจนหนีเอาชีวิตรอดไปหมดแล้ว


มองในมุมของเหมียวอี้ เขามองคนกลุ่มนี้อ่อนแอเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาจริงๆ ฆ่าได้อย่างสบายมือ ฆ่าแบบไม่ต้องเปลี่ยนสีหน้า ไม่ได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ฆ่าได้สิบกว่าคนแล้ว พอปักทวนลงพื้น ก็ใช้เท้าเหยียบควบคุมกุยลั่วเอาไว้ ลักษณะตอนง้างธนูยิงดูราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย กลายเป็นข้อเปรียบกับที่เด่นชัดกับบรรดาสหายที่หนีกระเจิงไป เผด็จการมากจริงๆ สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว ทำให้นางยอมอย่างราบคาบในรวดเดียว!


ฉากที่เผด็จการฉากนั้น ก่วงเม่ยเอ๋อร์คิดแล้วก็ใจลอย ดวงตางามจ้องเหมียวอี้อย่างเป็นประกาย


สายตาเวินเจ๋อย้ายจากพืชที่เสียหายบนที่นาไปที่ใบหน้าเหมียวอี้อีกครั้ง มองเหมียวอี้ราวกับมองสัตว์ประหลาด


ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว มารดาเจ้าเถอะ พวกเขาสามคนโดนเหมียวอี้หลอกใช้ประโยชน์แล้ว โผล่หน้ามาคุมสถานการณ์ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานบ้าบออะไรกันล่ะ เจ้าตัวเฝ้าอยู่ข้างผืนนาหลวง เกรงว่าคงเกิดความคิดที่จะหลอกล่อคนมาฆ่าในผืนนาหลวงตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาก็แค่มาคุมสถานการณ์จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาสามคนปรากฏตัว เดิมทีคนพวกนั้นก็เตรียมจะก่อเรื่องและลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ต้องต่อสู้กับเหมียวอี้สิถึงจะถูก มีหรือที่จะโดนเหมียวอี้ขู่ให้ตกใจหนีไปอย่างนี้ ผลปรากฎว่าพอพวกเขาโผล่มาคุมสถานการณ์ พวกนั้นจึงไม่กล้าโต้ตอบ ทำให้หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวฆ่าได้อย่างถึงอกถึงใจ


เวินเจ๋ออยากจะทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเหมียวอี้จริงๆ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เป็นไร พวกเขาแค่โผล่หน้ามา แต่ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น กลับมีผลงานที่มาช่วยห้ามด้วยซ้ำ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ความรับผิดชอบก็มาไม่ถึงพวกเขาหรอก หนิวโหย่วเต๋อแค่อาศัยแนวโน้มของพวกเขาก็เท่านั้นเอง ไม่นับว่าใช้ประโยชน์อะไร ถึงได้ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ช้าๆ แล้วชี้เหมียวอี้พร้อมกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “น้องชาย ข้าจะคอยดูว่าเจ้ารายงานขึ้นไปยังไง!”


“หึหึ! รายงานเหรอ? แค่พวกเขาเนี่ยนะ? นับประสาอะไรล่ะ! ข้าหนิวโหย่วเต๋อเคยฆ่าคนมามากเท่าไรแล้ว ขนาดตัวเองยังนับไม่หมดเลย ผ่านอุปสรรคความเป็นความตายมามากมาย ถ้าแค่พวกลูกหลานขุนนางเสเพลยังจัดการไม่ได้ งั้นข้าก็ไม่ต้องออกมาทำมาหากินอะไรแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม


ขนาดตอนไม่มีตระกูลโค่วหนุนหลังเขายังทำตัวกร่างเลย พอมีตระกูลโค่วหนุนหลังแล้วเขาจะกลัวอะไรอีกล่ะ ถ้าตัวเองได้เปรียบด้านเหตุผลแล้วตระกูลโค่วไม่ช่วยเหลือ เช่นนั้นในภายหลังตระกูลโค่วก็ไม่ต้องทำงานในราชสำนักแล้ว ถ้าเรื่องเล็กขนาดนี้ตระกูลโค่วยังช่วยไม่ได้ แล้วจะหวังให้ตระกูลโค่วหนุนหลังได้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ เขามีเหตุผลที่ฟังขึ้น เป็นลูกน้องปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี กองทัพองครักษ์จะยอมเข้าข้างคนนอกให้คนอื่นมาว่ากองทัพองครักษ์เหรอ?


พอเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว เหมียวอี้ก็ดึงทวนมาไว้ในมือ แล้วย้ายคมทวนตรงหน้ากุยลั่วอย่างช้าๆ ทำเอากุยลั่วตกใจจนร้องว่า “อย่า!”


เวินเจ๋อก็คว้าทวนในมือเหมียวอี้ไว้เช่นกัน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “รู้จักหยุดได้แล้ว! จับได้แล้วก็ส่งตัวให้เบื้องบนจัดการก็พอ ถ้าจับแล้วยังฆ่าอีก เดี๋ยวต่อไปต่อให้สิบปากแต่ก็เถียงขุนนางใหญ่พวกนั้นไม่ไหว”


เหมียวอี้บอกว่า “ถ้าข้าจะฆ่าเขาจริงๆ เขาตายไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้คนที่อยู่ใกล้ตรงหน้ารอดอยู่คนเดียวเหรอ ที่ไว้ชีวิตเขาก็เพื่อจะให้เขากลับไปรายงานคนในครอบครัวตัวเอง อย่าโง่จนโดนคนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัว “ตุ้บ” เขาเตะหนึ่งทีจนกุยลั่วกระเด็นออกไป


อั้ก! กุยลั่วที่ตกกระแทกพื้นกระอักเลือดออกมาอีกคำ เหมียวอี้ลงเท้าอย่างไม่เกรงใจ ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายทำตัวกำเริบเสิบสาน จะไม่สั่งสอนสักหน่อยได้อย่างไร


“มัดไว้ ส่งไปให้เบื้องบนจัดการ!” เหมียวอี้กำชับเสียงเรียบ


แบบนี้ใช้ได้เลย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น มีคนของกองมังกรดำพุ่งออกมาหลายคน มาควบคุมตัวกุยลั่วแล้วใช้เชือกมัดเซียนมัดไว้


เวินเจ๋อและแม่ทัพใหญ่อีกสองคนเห็นแล้วปวดประสาท เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนับว่าเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบที่ยศต่ำสุดไม่ใช่เหรอ? แต่ผู้บังคับการกองห้า ผู้บังคับการกองร้อยกับผู้ช่วยผู้บัญชาการจะทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องดูสีหน้าเขา ตกลงว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา!


ก่วงเม่ยเอ๋อร์เข้ามาใกล้อย่างเก้อเขิน แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ศพของเพื่อนตัวเอง “พี่ใหญ่หนิว ล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าสร้างปัญหาให้ท่านแล้ว”


เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าก็แค่โดนคนหลอกใช้เท่านั้นเอง เจ้าไม่รู้ชัด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าแค่โดนคนอื่นหลอกใช้เท่านั้นเอง เจ้าไม่รู้ชัดเจน แต่คนในครอบครัวเจ้าจะเข้าใจ”


ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า มู่อวี่เหลียนได้ยินเบื้องล่างรายงาน จึงรีบนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งตามมาอย่างรวดเร็ว ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนรองแม่ทัพภาคทั้งสองก็อยู่ด้วย


พอเหยียบลงพื้นแล้วเห็นถาพเหตุการณ์นี้ แต่ละคนก็สีหน้าเคร่งเครียด


มู่อวี่เหลียนยังดีหน่อย แต่ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว บรรพบุรุษหนิวของข้า ท่านเล่นบ้าอะไรของท่าน ขนาดโดนลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุดแล้วยังไม่สงบอีก วันนี้เป็นงานเลี้ยงอุทยานหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันปีของตำหนักสวรรค์นะ มีลูกหลานขุนนางชั้นสูงตายไปมากมายขนาดนี้ในรวดเดียว นี่มันเรื่องใหญ่มากจริงๆ


พวกมู่อวี่เหลียนคารวะเวินเจ๋อก่อน ทั้งสามโบกมือแล้วรีบถลันตัวไปยืนไกลๆ ก่อนที่เรื่องนี้จะได้บทสรุป พวกเขาไม่อยากติดร่างแหไปด้วย


“ผู้น้อยคารวะท่านแม่ทัพภาค คารวะท่านรองแม่ทัพภาค!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ


มู่อวี่เหลียน ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนไม่กล้าวางมาดต่อหน้าเหมียวอี้ รีบกุมหมัดคารวะตอบ จากนั้นทั้งสามก็มายืนตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเบาว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่


พวกเวินเจ๋อที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ปวดประสาทอีกครั้ง พบว่ากองมังกรดำไร้ระเบียบไปแล้ว ขนาดเบื้องบนจับกองมังกรดำแยกกันแล้วนะ ขนาดกองมังกรดำเปลี่ยนคนใหม่ยกชุดแล้วนะ แต่ไม่มีทางลบบารมีของหนิวโหย่วเต๋อที่กองมังกรดำได้เลย ขนาดบุคคลระดับสูงของกองมังกรดำเห็นหนิวโหย่วเต๋อแล้วยังต้องเกรงใจ ถ้าเบื้องล่างกล้าแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อก็แปลกแล้ว


“เฮ้อ! ดูท่าแล้วกองมังกรดำจะประทับหนิวโหย่วเต๋อไว้ลึกทีเดียว ต่อให้ย้ายหนิวโหย่วเต๋อไปก็ไม่มีประโยชน์ วิญญาณนั้นยังอยู่ คนที่เข้ามาอยู่ในกองมังกรดำล้วนได้รับผลกระทบ ต่างก็เห็นยกศึกน่านฟ้าระกาติงให้เป็นความภาคภูมิใจ!” เวินเจ๋อส่ายหน้า


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกคนกล่าวอย่างรู้สึกขำ “ข้านับว่ามองออกแล้ว ต่อให้พวกเราไม่ออกหน้า ที่นี่ก็ยังเป็นอาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อเหมือนเดิม คนกลุ่มนั้นไม่มีทางทำสำเร็จอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อแค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้คนอื่นๆ ของกองมังกรดำก็เท่านั้นเอง ถึงได้ให้พวกเราออกหน้ามาคุมสถานการณ์ ข้าว่าเจ้าเด็กกลุ่มนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน หาเรื่องใครก็ไม่ไป ดันเสนอหน้ามาหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อที่ถิ่นของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้าเด็กนี่มันยี่ห้อไหน ถ้าจะเล่นแผนสกปรกก็อย่าให้ลูกหลานเสเพลพวกนี้มาทุ่มหินใส่เท้าตัวเองเลย ตอนนี้เบื้องบนได้บันเทิงแน่”


ยังมีอีกคนส่ายหน้าบอกว่า “ชื่อเสียงไม่ได้จอมปลอมเลย มิน่าล่ะสี่ตระกูลนั้นถึงอยากดึงตัวไปเป็นพวก หนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตรอดมาได้จนวันนี้ แสดงว่ามีอะไรไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”


ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ทางนั้นก็ไม่ได้ปิดบังมู่อวี่เหลียน บอกตรงๆ เลยว่ามีคนอยากจะลงมือทำร้ายเขา บอกเล่าขั้นตอนการโจมตีกลับอย่างชัดเจนมาก


หลังจากฟังจบ พวกมู่อวี่เหลียนก็โล่งอก วิธีการของเหมียวอี้พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้กองมังกรดำเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเช่นกัน ต่อให้เบื้องบนจะดันทุรังเอาเรื่อง แต่ถ้าจะให้ทั้งกองมังกรดำไปเกี่ยวข้องก็จะฟังดูเหลวไหล ดีไม่ดีอาจจะมาระบายอารมณ์กับเหมียวอี้คนเดียวก็ได้


พระตำหนักอุทยาน ในสวนที่สนุกสนาน ขุนนางและราชันกำลังอยู่ในงานเลี้ยง ราชันสวรรค์นั่งอยู่เบื้องสูง สมาชิกครอบครัวของขุนนางใหญ่ที่พามาเข้าเฝ้าและรับรางวัลได้ถอยออกไปหมดแล้ว


สมาชิกหญิงในครอบครัวของตระกูลต่างๆ กำลังต้อนรับขับสู้กันอยู่ในงานเลี้ยงกลางแจ้งที่ราชินีสวรรค์จัดให้ ไม่เปิดโล่งกลางแจ้งคงไม่ได้ แค่สนมในวังหลังอย่างเดียวก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว อนุภรรยาของขุนนางใหญ่ก็มีอีกมาก ถึงแม้พระตำหนักอุทยานจะใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดจุดคนมาร่วมงานเลี้ยงได้มากขนาดนั้นภายในคราวเดียว


วันนี้ขุนนางและราชันไม่คุยเรื่องงานกัน พวกเขากินดื่มและพูดคุยเรื่อยเปื่อย ดูสามัคคีปรองดองเช่นกัน


โค่วเจิงได้รับการผ่อนปรนจากทหารยาม เดินเข้ามาจากตำหนักด้านข้าง พอเดินมาถึงข้างกายโค่วหลิงซวีก็โน้มตัวลง แล้วกระซิบข้างหูโค่วหลิงซวีเบาๆ “ท่านพ่อ เกิดเรื่องแล้ว ที่ผืนนาหลวง หนิวโหย่วเต๋อสังหารลูกหลานของขุนนางใหญ่ไปสิบกว่าคน หลานชายของอิ๋งจิ่วกวง ลูกหลานของจอมพล เทพประจำดาว ท่านโหวก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”


ใบหน้าโค่วหลิงซวีเจือรอยยิ้มอ่อนจางในขณะที่รับการคารวะจากที่ไกลๆ พอจิบสุราหยกไปได้ครึ่งคำก็แทบสำลักตาย เขาสีหน้าเปลี่ยนทันที พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไอออกมา แล้วหันขวับมาถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าเด็กนั่นบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าไม่ได้กำชับเขาไว้ก่อนเหรอว่าให้เขาอดทนไหว?”


“กำชับแล้วขอรับ บอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว”


“เจ้าไม่ได้ส่งคนไปดูเหรอ?”


“เขาบอกว่าเขามีแผนในใจแล้ว รับมือไหวขอรับ”


“เลอะเลือน!”


“ทานพ่อ เรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่ท่านคิดไว้ หนิวโหย่วเต๋อวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือ…” โค่วเจิงแจงรายละเอียดให้ฟัง


หลังจากได้ฟังจบ โค่วหลิงซวีก็หน้าซีดเล็กน้อย สายตาชำเลืองไปทองหลายโต๊ะที่อยู่ในงาน มัมปากยิ้มเย้ยเล็กน้อย “ข้าว่าเจ้าเด็กนั่นก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญเสียเลย สงสัยจะมีคนยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง น่าสนใจ! อย่าประมาท เจ้าไปดูด้วยตัวเองสักหน่อย ดูว่ามีช่องโหว่อะไรหรือเปล่า…เจ้าไปเฝ้าอยู่ข้างกายเขาด้วยตัวเอง อย่าให้คนอื่นหาช่องโหว่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ใช้ระฆังดาราติดต่อข้า”


“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับแล้วรีบออกไป


ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ก็อยู่ในงานเลี้ยงเช่นเดียวกัน หลังจากเก็บระฆังดาราในมือแล้ว ก็เดินไปข้างโพ่จวิน ผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน ทำให้โพ่จวินเบิกตากว้างอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ทำสีหน้าปกติ พยักหน้าบอกใบ้ว่ารู้แล้ว


ฮวาอี้เทียนเพิ่งจะถอยออกไป ตอนที่สายตาโพ่จวินชำเลืองมองไปทางโค่วหลิงซวี ผลก็คือพบว่าโค่วหลิงซวีกำลังยิ้มตาหยีพร้อมชูจอกสุราให้ไกลๆ รู้ว่าตาแก่โค่วหลิงซวีนั่นกำลังโอ้อวดอะไร โพ่จวินโดนแย่งลูกน้องไปในใจจึงโมโห เขากลอกตาไม่สนใจโค่วหลิงซวี เอียงหน้าไปอีกด้านแล้วคว้าจอกสุราของตัวเองขึ้นมาดื่ม

 

 

 


บทที่ 1574 หูทวนลม

 

พอจะเข้าใจความรู้สึกของโพ่จวินได้ โค่วหลิงซวีไม่ถือสาอะไร สังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาข้างหลังอิ๋งจิ่วกวง เขาขยับสายตาเหล่สังเกตเล็กน้อย พบว่าอิ๋งจิ่วกวงสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อนิ้วที่จับจอกสุนานูนขันอย่างชัดเจน


อิ๋งจิ่วกวงรีบมองไปที่โค่วหลิงซวีแวบหนึ่งเช่นกัน เห็นโค่วหลิงซวีกำลังชูจอกสุราให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน ราวกับไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว


บรรยากาศที่คุยกันอย่างคึกครื้นในตำหนักใหญ่เหมือนจะอึดอัดลงไม่น้อยในชั่วพริบตาเดียว ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงสังเกตเห็นความไม่ชอบมาหากล มีคนเข้าออกมากระซิบความเคลื่อนไหวข้างหูขุนนางใหญ่ไม่หยุด ภาพเหตุการณ์นี้ชัดเจนเกินไปแล้ว จะให้มองไม่ออกก็คงยาก


ลั่วหม่างจอมพลสายวอกที่กำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงลุกขึ้นกุมหมัดคารวะประมุขชิง ขอตัวออกจากงานเลี้ยงชั่วคราว


โพ่จวินเอียงหน้าส่งสายตาให้ฮวาอี้เทียน จากนั้นฮวาอี้เทียนก็ลุกขึ้นทันที ไม่ได้บอกอะไรใครทั้งนั้น รวมทั้งประมุขชิงด้วย เดินออกไปอย่างนั้นเลย


ประมุขชิงโค้งมุมปากเล็กน้อยอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก รู้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะเกี่ยวข้องอะไรกับลั่วหม่างโดยตรงด้วย จึงเอียงหน้าเล็กน้อย แล้วพบว่าซ่างกวนชิงไม่ได้อยู่ข้างกาย จะถามถึงสถานการณ์ก็ไม่สะดวก สายตาจึงมองไปยังโพ่จวินที่อยู่เบื้องล่าง ดูจากปฏิกิริยาของโพ่จวินเมื่อครู่นี้ คาดว่าน่าจะรู้สถานการณ์


โพ่จวินกำลังคิดจะถ่ายทอดเสียงบอก แต่กลับพบว่าซ่างกวนชิงขึ้นบันเดินไปข้างกายประมุขชิงแล้ว เขาจึงระงับอารมณ์ไว้ รู้ว่าใช้ปากตัวเองมากไปก็ไม่ได้ประโยชน์


“ฝ่าบาท ทางที่นาหลวงเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยยขอรับ…” ซ่างกวนชิงถ่ายทอดเสียงเล่าสถานการณ์ที่ได้รับรายงานมาให้ฟังคร่าวๆ


หลังจากฟังจบ ประมุขชิงก็เลิกคิ้ว พ่นเสียงทางจมูกเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว จากนั้นยกจอกสุราขึ้นช้าๆ มองประเมินปฏิกิริยาของคนในงาน


เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบครู่หนึ่ง แล้วหันมาชูจอกสุราคารวะให้ไกลๆ ราวกับในตรงกันมาก ท่าทางเหมือนรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย เห็นได้ชัดว่ามองอะไรบางอย่างออกแล้ว


จากนั้นข่าวก็แพร่ขยายไปวงกว้าง บรรยากาศในตำหนักใหญ่ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนยิ้มบางๆ มีบางคนแสยะยิ้ม มีบางคนยิ้มตึงๆ บางคนเงียบงันไม่พูดอะไร ต่างก็รอให้เรื่องนี้ถูกเปิดโปง


ผ่านไปครู่เดียว อิ๋งจิ่วกวงก็ลุกขึ้นยืน แล้วกุมหมัดคารวะประมุขชิง บอกใบ้ว่าขอตัวออกไปข้างนอกก่อน


พอออกจากตำหนักใหญ่แล้ว ก็เดินตรงออกไปจากพระตำหนักอุทยาน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าเสแสร้ง สีหน้าดำมืดแล้ว ไปเจอกับจั่วเอ๋อร์ที่รอพบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้านนอก


วันนี้คนที่สามารถเข้าออกพระตำหนักอุทยานได้ล้วนเป็นคนในครอบครัวของขุนนางใหญ่ทั้งนั้น บ่าวรับใช้ของขุนนางไม่มีสิทธิ์เข้าออก


พอเจอหน้ากัน อิ๋งจิ่วกวงก็ถามทันทีว่า “มันเรื่องอะไรกัน? เตรียมการไว้เหมาะสมแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าบอกว่าให้ของวิเศษฮุยเอ๋อร์ไว้แล้ว ถ้าลงมือขึ้นมาก็ชนะแน่นอนไม่ใช่เหรอ? เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต่อให้ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะกำจัดทิ้งได้ แต่ให้พวกเด็กๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตำหนิสั่งสอนสักหน่อยก็จะไม่เกิดเรื่องไม่ใช่เหรอ?”


อิ๋งจิ่วกวงถามแต่ละประโยคด้วยน้ำเสียงเดือดดาล ทำให้จั่วเอ๋อร์ทำสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย ขมขื่นจนยากจะเอ่ยออกมาจริงๆ


นางเป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ตามหลักการแล้วไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด นางเองก็ให้ของวิเศษที่สามารถกำจัดหนิวโหย่วเต๋อได้แน่นอนแล้วจริงๆ ถ้าลงมือขึ้นมาก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อตายได้แน่นอน ขนาดเป้าหมายในการเติมเชื้อเพลิง นางก็ช่วยหาให้อิ๋งฮุยแล้ว ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะอดทนได้หรือไม่ แต่ก็จะลงมือแน่นอน หลังจากจบเรื่องแล้ว ก็จะเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทของลูกหลานขุนนางเสเพลที่หึงหวงแย่งผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นเอง อย่างไรเสียลูกหลานขุนนางเสเพลกลุ่มนี้ก็ไม่มีการมีงานทำอยู่แล้ว


ผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเยอะขนาดนี้ ถึงอย่างก็ลงโทษคนจำนวนมากไม่ไหวอยู่แล้ว อย่างมากราชันสวรรค์ก็ช่วยลงโทษเด็กๆ พวกนั้นสักครั้งก็เท่านั้นเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าทิ้งหมด


นอกจากนี้ ราชันสวรรค์ก็อาจจะไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตอยู่ในมือตระกูลโค่วก็ได้ เพียงแต่ราชันสวรรค์ไม่สะดวกจะทำเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง ในภายหลังต่อให้โค่วหลิงซวีเดือดดาลสุดขีดแล้วดึงดันจะหาคนมารับผิดชอบให้คนตายให้ได้ ผู้รับผิดชอบหลักก็สาวมาไม่ถึงอิ๋งฮุยเช่นกัน เพราะหาผู้รับผิดชอบหลักไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมแพะรับบาปอย่างลั่วกุยเอาไว้เรียบร้อย ถ้าโค่วหลิงซวีต้องการจะเล่นงานลั่วกุยจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องสู้กับลั่วหม่างและก่วงลิ่งกงที่หนุนหลังลั่วหม่าง


ต่อให้ไปหาเรื่องทะเลาะด้วย จากนั้นเกิดการลงไม้ลงมือ แต่เรื่องที่เรียบง่ายขนาดนี้ จะลงมือพลาดได้อย่างไรล่ะ? ถ้าทำพลาดแล้ว เด็กกลุ่มนั้นก็แค่โดนด่าโดนทำโทษนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ พวกขุนนางใหญ่ก็ไม่มีทางกัดเด็กไม่เอาถ่านพวกนั้นไม่ปล่อยหรอก เพราะต่อให้จับไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าส่งขุนพลที่มีความสามารถออกไปลงมือ ก็จะมีคนฉวยโอกาสกำจัดเจ้าทิ้งแน่นอน ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่


เมื่อครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ก็พบว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรได้


แต่ต่อให้นางจะคิดวางแผนรอบคอบอย่างไร แต่ก็ยังมีช่องโหว่ให้หนิวโหย่วเต๋อเอาที่นาหลวงมาเป็นข้ออ้างได้ นึกไม่ถึงว่าเด็กโง่พวกนั้นจะมองไม่ออกแม้กระทั่งกับดักแบบนี้ ถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงเข้าไปในกับดักแล้ว และที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ หนิวโหย่วเต๋อโหดเหี้ยมมาอย่างที่คาดไว้ กล้าลงมือสังหารลูกหลานกลุ่มขุนนางชั้นสูงในเวลาแบบนี้ นางไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรดี!


นางอยากจะถามอิ๋งฮุยที่ตายไปแล้วมากว่า นอกจากกินนอนรอความตายไปวันๆ แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้าง? แค่ความสามารถในการรับมือเรื่องจวนตัวง่ายๆ แค่นี้ยังไม่มีเลย ขนาดกับดักแบบนี้เจ้ายังมุดเข้าไปได้? เข้าไปแล้วก็ต้องสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลบ้างสิ พอเห็นท่าไม่ดีแล้วยังไม่ระวังตัวอีกเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนฆ่าตายได้ง่ายๆ แบบนี้แล้ว?


ขนาดเรื่องที่เตรียมการไว้อย่างราบรื่นขนาดนี้ยังกลายเป็นแบบนี้ได้เลย! นางนับว่าเข้าใจแล้ว ว่าลูกหลานผู้ดีมีเงินกลุ่มนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อเลย ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นคู่ต่อสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่ผ่านปัญหาอุปสรรคมามากมายด้วยซ้ำ อาศัยวงศ์ตระกูลหนุนหลังให้กินดื่มเที่ยวเล่นรังแกคนอื่นยังพอไหว แต่ส่งไม่ใช่ทำงานที่จริงจังเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้เลย


นางรู้สึกว่าความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ไม่น่าให้พวกอิ๋งฮุยลงสนามไปทำเรื่องแบบนี้เลย…


ที่นาหลวง กองทัพองครักษ์หลายหมื่นปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีระดับค่อนข้างสูงด้วย แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอย่างเดียวก็ปาไปสิบกว่าคนแล้ว พวกเขามาล้อมที่เกิดเหตุไว้แล้ว


ด้านนอกวงล้อม มีคนหลายกลุ่มทยอยกันเข้ามา ล้วนเป็นขุนนางชั้นสูงที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยาน


อิ๋งอู๋เชวีย บิดาของอิ๋งฮุยอยากจะเข้าไปยังจุดที่ถูกล้อมไว้ แต่ก็ถูกขวางไว้ไม่ให้เข้าไป


มีทหารยามของกองทัพองครักษ์กั้นไว้ ขณะมองดูลูกชายท้ายทอยเละและนอนคว่ำหน้าแน่นิ่ง อิ๋งอู๋เชวียก็เม้มริมฝีปากแน่น สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกย้ายไปหาเหมียวอี้ที่สวมเกราะเงิน สีหน้าเดือดดาลเคียดแค้นนั้นยากจะปิดบังไว้ อยากจะสับเนื้อเหมียวอี้สักหมื่นดาบพันดาบ


เหมียวอี้ไม่เป็นไรเลย คนที่มองเขาด้วยสายตาแบบนี้ไม่ได้มีแค่อิ๋งอู๋เชวียคนเดียว มีตั้งสิบกว่าคน ถ้าเก่งนักก็โจมตีฝ่ากองทัพองครักษ์มาคิดบัญชีกับเขาสิ


“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย!” จู่ๆ ลั่วกุยที่สภาพจนตรอกไปทั้งตัวตะโกนเสียงดังอย่างตื่นตัว ราวกับได้พบกับดาวช่วยชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว ปลดปล่อยฝีเท้าเตรียมจะวิ่ง แต่ปรากฏว่าโดนดาบสองด้ามจ่อคอเอาไว้ ทำให้ตกใจจนไม่กล้าขยับตัวทันที


ลั่วหม่างเหยียบลงพื้นแล้วมองไปทางนั้น เห็นลูกชายผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่มุมปากมีคราบเลือด โดนเชือกมัดเซียนทัดไว้อย่างแน่นหนา ถึงแม้สภาพจะแย่ไปหน่อย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าพวกที่นอนนิ่งจมกองเลือดอยู่บนพื้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า


ลั่วหม่างแอบโล่งใจ เขายังกลัวว่ามาช้าแล้วลูกชายจะตายอยู่เลย


ชีวิตของลูกชายคนเล็ก หลานชายคนโตและคนแก่สำคัญที่สุด ใช่ว่าคำกล่าวนี้จะไม่มีเหตุผลเลย


“เดรัจฉาน! นี่มันใช่ที่ที่เจ้าจะมาก่อเรื่องมั้ย?” ลั่วหม่างเปลี่ยนสีหน้าตะคอกอย่างเดือดดาล เดินก้าวยาวบุกเข้าไป ต้องกาจจะสั่งสอนลูกสายต่อหน้าฝูงชน


ผลปรากฏว่าอาวุธหลายสิบชิ้นมาก่อตรงหน้าเขาพร้อมกัน กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนแล้ว ต่อให้เป็นจอมพลอย่างเขาก็ไม่มีประโยชน์


ลั่วหม่างกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วถามเสียงต่ำว่า “ข้าจะสั่งสอนลูกชายตัวเองก็ไม่ได้เหรอ?”


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ แล้วโบกมือให้ลูกน้องวางอาวุธลง ก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “คำสั่งเบื้องบนเป็นอย่างนี้ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้จนรู้ชัดเจน ก็ไม่ให้ใครเข้าใกล้ทั้งนั้น จอมพลลั่วอย่าทำให้พวกเราทำงานลำบากเลย”


ในขณะนี้เอง ฮวาอี้เทียนเหาะลงมาจากฟ้า ลั่วหม่างหันขวับมองกลับมา แล้วถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ฮวา ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”


“จอมพลลั่วไม่ต้องร้อนใจ ผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายสั่งให้ข้ารับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้” ฮวาอี้เทียนกดมือลง บอกใบ้ให้เขาอดทนรอสักประเดี๋ยว แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อ กองทัพองครักษ์ที่ปิดล้อมข้างหน้าไว้หลีกทางให้ทันที ปล่อยให้เขาเข้าไปแล้ว


หลังจากเข้าไปแล้ว ฮวาอี้เทียนก็เดินไปตรงหน้าเหมียวอี้แล้วมองอย่างสื่อความหมายล้ำลึก แล้วก็มองลูกหลานขุนนางชั้นสูงที่ตายเกลื่อนพื้น ถึงแม้จะรู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาว่าคนเป็นๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ดีๆ ตายเกลื่อนพื้น ก็ยังทำให้เขาปวดประสาทนิดหน่อย


ภายใต้การรวมกลุ่มของเขา สมาชิกที่เกี่ยวข้องกับเหตุถูกสอบปากคำแล้ว เหมียวอี้ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ลั่วกุย ทหารยามที่เฝ้าอยู่ใกล้ที่นาหลวง รวมทั้งพวกเวินเจ๋อด้วย ทั้งหมดถูกสอบสวนเพื่อเอาเป็นหลักฐาน


โค่วเจิงที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เห็นกองทัพองครักษ์เข้าร่วมแล้ว น่าจะไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของเหมียวอี้แล้ว โล่งใจแล้วเช่นกัน


คนที่ได้ยินข่าวแล้วตามมายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ พวกฮูหยินที่รู้ว่าลูกชายลูกสาวตัวเองโดนฆ่า ก็เลยวิ่งมาดู ก็ว่าเป็นตามข่าวจริงๆ พวกนางร้องไห้จนตาพร่ามัว


“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องไม่ตายดี!”


“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเอาชีวิตลูกสาวข้าคืนมานะ!”


พวกผู้ชายสีหน้าแย่แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ไว้ได้ แต่พวกผู้หญิงกลับด่าอย่างเคียดแค้น มีบางคนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างเจ็บปวดและต้องการจะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกผู้ชายที่อยู่ข้างกันดึงไว้


ท่ามกลางเสียงก่นด่าต่างๆ นาๆ เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมหลายชั้นทำสีหน้าเรียบเฉย ทำหูทวนลมราวกับไม่ได้ยิน


ยังมีฮูหยินอีกกลุ่มที่ได้ยินข่าวแล้วมาดูเอาสนุกเฉยๆ จาหรูเยี่ยนก็เป็นหนึ่งในนั้น พอเห็นฉากนองเลือดในที่นาหลวง นานงก็ทอดถอนใจไม่หยุด นางมองไปทางเหมียวอี้ที่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแวบหนึ่ง ถึงแม้จะแค้นใจ แต่กลับยังหวาดกลัว นางเอียงหน้ามองผังอวี้เหนียงลูกสาวตัวเองที่อยู่ข้างกาย แล้วก็ดึงแขนลูกสาวพร้อมกล่าวถามเสียงต่ำว่า “อวี้เหนียง เจ้าไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่มั้ย?”


ผังอวี้เหนียงก็หวาดกลัวเช่นกัน ที่จริงนางก็นับว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่ก่อนจะมา จู่ๆ พ่อบ้านเฉินหวยจิ่วก็มาหานาง พาตัวนางไปแล้ว นางส่ายหน้าอย่างรู้สึกโชคดีว่า “เปล่าค่ะ”


จาหรูเยี่ยนถลึงตาเล็กน้อย ถามอย่างกลัวอยู่บ้างว่า “ไม่เกี่ยวข้องจริงเหรอ? ทำไมก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้ามายุ่งกับคนพวกนี้ล่ะ”


ผังอวี้เหนียงตอบว่า “ท่านแม่ เปล่าจริงๆ ค่ะ ลุงเฉินเป็นพยานได้เลย เมื่อครู่นี้ข้าคุยอยู่กับท่านลุงเฉินตลอด คุยกันนานมาก พอได้ยินว่าเกิดเรื่องถึงได้วิ่งมาดู แล้วอีกอย่าง ถ้าข้าเกี่ยวข้องจริงๆ ตอนนี้ข้าคงไม่กล้ามาอยู่ตรงนี้หรอก”


จาหรูเยี่ยนคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “พ่อบ้านเรียกเจ้าไปคุยเรื่องอะไรนานขนาดนั้น?” ในภาพความทรงจำของนาง แต่ไหนแต่ไรมาพ่อบ้านก็มีหน้าที่ช่วยนายท่านจัดการธุระสำคัญ มีหรือที่จะว่างมาคุยกับลูกสาวตัวเองไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้น ในโอกาสและสถานที่อย่างวันนี้ ก็ยิ่งไม่น่าจะมีเรื่องอะไรมารบกวนการเที่ยวเล่นของลูกสาวตนสิ


ผังอวี้เหนียงเอียงศีรษะนึกย้อนไป แล้วตอบว่า “บอกว่าท่านพ่อให้มาถามข้าว่าหลายปีมานี้ข้าทำอะไรบ้าง บอกให้ข้าพูดให้ชัดเจนทุกเรื่อง”


“ถามแค่นี้น่ะเหรอ?” จาหรูเยี่ยนงงยิ่งกว่าเดิม เรื่องนี้นายท่านมาถามเองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องให้พ่อบ้านมาถามลูกสาวนางด้วยล่ะ?


ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ครั้งนี้นายท่านกับพ่อบ้านว่ามีบางอย่างไม่ปกตินิดหน่อย ก่อนจะจัดงานเลี้ยงอุทยาน นายท่านก็มอบหมายหน้าที่ให้ลูกชายไปทำ เลยทำให้ลูกชายไม่ได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยานในครั้งนี้ แล้ววันนี้ก็ให้พ่อบ้านมาหาลูกสาวอีก ทำไมรู้สึกว่าพ่อบ้านกับนายท่านเริ่มให้ความสำคัญกับลูกสาวขึ้นมาแล้วล่ะ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)