ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 157-164

 บทที่ 157 ลงจากเขา

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจ็ดโมงกว่า นีลเซ็นกับอีวิลสันพากันตื่นแล้ว ทั้งสองกำลังช่วยกันรื้อเต็นท์ของพวกเขาอยู่ ส่วนเต็นท์ของฉินสือโอวเหมาเหว่ยหลงยังคงหลับอยู่


พอฉินสือโอวเปิดเต็นท์ ฉงต้าก็มุดเข้าไปเลียหน้าเหมาเหว่ยหลงอย่างรู้หน้าที่ ฉินสือโอวที่อยู่ข้างนอกก็พูดด้วยเสียงอันดังว่า “ชายหนุ่มรูปงามตื่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ไอ้ขี้เหร่ยังหลับอยู่เลย!!”


เหมาเหว่ยหลงโวยวายลุกขึ้นมา แต่ครั้งนี้เขาไม่กล้าผลักฉงต้าแล้ว เมื่อคืนภาพตอนที่ฉงต้าแสดงความกล้าหาญและแข็งแกร่งออกมายังคงทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอยู่ไม่น้อย เขาเพิ่งรู้ว่าหมีที่สูงแค่ครึ่งหนึ่งของคนนั้นก็สามารถกัดคนได้แล้ว


“มาเอาลูกของแกไปเลย ให้ตายสิ มันแปรงฟันบ้างไหมเนี่ย? มันกินขี้รึเปล่า?”แม้ว่าเหมาเหว่ยหลงจะไม่กล้าลงไม้ลงมือ แต่คำพูดของเขานั้นช่างร้ายกาจเหลือเกิน


ฉินสือโอวหัวเราะเบาๆ แล้วผิวปาก เพียงเท่านั้นฉงต้าก็พุ่งไปหาเขาทันที


เจ้าลูกหมีนี่ชักจะตัวหนักเกินไปแล้ว ตอนที่มันกระโจนใส่ ฉินสือโอวถึงกับเสียหลักไปสามสี่ก้าวเลยทีเดียว


นีลเซ็นเติมไฟในกองขึ้นมาอีกครั้ง น้ำซุปเมื่อคืนยังเหลืออยู่เขาปิดมันไว้อย่างดีเพราะฉะนั้นนำมาอุ่นสักหน่อยก็กินได้แล้ว


ฉินสือโอวหั่นแบ่งเนื้อหมูที่เหลืออยู่ห้าสิบกว่ากิโลกรัมออกมาตามด้วยเนื้อกวาง จากนั้นก็นำมาโรยเกลือแล้วก็จึงไปก่อกองไฟใต้ต้นไม้โดยใช้ไม้สนเป็นเชื้อไฟ หลังจากนั้นก็นำเนื้อไปวางไว้ข้างบนแล้วค่อยๆ รมควัน


วิธีนี้จะทำให้เนื้อสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นโดยไม่เน่าเสีย อย่างน้อยก็จนกว่าจะลงจากเขาแล้วเอาไปใส่ช่องแช่แข็ง


อีวิลสันก็ย่างเนื้อเป็นเหมือนกัน เขาเสียบเนื้อกวางสี่ห้าชิ้นที่หนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม จากนั้นนีลเซ็นก็ช่วยอีวิลสันมัดไม้เข้ากับขาสำหรับย่าง เขาหัวเราะพลางหันไปทาน้ำมันสลับกับโรยเกลือเนื้อกวางของเขาต่อ


คนที่ไม่คิดอะไรมากมักจะมีความอดทนในการทำเรื่องต่างๆ อีวิลสันตั้งใจย่างเนื้ออย่างพิถีพิถัน เขาค่อยๆ หมุนเนื้อกวางไปเรื่อยๆ จนมันสุกทั่วถึงกันทั้งน้ำมันมะกอกยังถูกทาอย่างสม่ำเสมอ เนื้อสัตว์ที่ย่างด้วยวิธีนี้นั้นอร่อยกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด


หลังจากกินเนื้อไปเยอะฉินสือโอวก็รู้สึกเอียน เขาจึงนำพวกผักกูด ขึ้นฉ่ายป่า คะน้าป่า ผักป่าที่เก็บได้ตอนที่ไปเดินเล่นเมื่อเช้ามาตั้งใจจะผัดกิน


เหมาเหว่ยหลงย่อตัวลงดูก่อนจะมุ่ยหน้าแล้วพูดว่า “เอาล่ะ แกกินผักพวกนี้ไปคนเดียวเถอะ ฉันจะไปกินเนื้อยกับนีลเซ็น”


นีลเซ็นหัวเราะแล้วถามว่า “บอส ให้ผมทำน้ำเกรวี่ให้กินไหม?”


ฉินสือโอวเลือกผักที่สะอาด ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็เดินไปที่ริมน้ำแล้วปล่อยให้หู่จือกับเป้าจือออกตามหาเป็ด


บนเทือกเขาเคอร์บัลมีเป็ดป่าอยู่หลายชนิดเช่นเป็ดหัวเขียว เป็ดปีกสีน้ำเงินและนกเป็ดน้ำแดงเป็นต้น สิ่งที่ฉินสือโอวกำลังมองหาก็คือไข่ของมันที่อยู่ตามพงหญ้าริมน้ำ


และพวกลูกแลบราดอร์ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง พวกมันวิ่งเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ไม่นานหู่จือก็เห่าขึ้นมา พอฉินสือโอวเดินเข้าไปดูที่พงหญ้ากอใหญ่ก็พบว่ามีเป็ดหัวเขียวสี่ห้าตัวกำลังร้องก้าบๆ และวิ่งไปทั่วเพราะถูกหู่จือวิ่งไล่


เป็ดไม่มีอะไรน่ากิน หนังหนาไขมันเยอะแถมเนื้อก็สากและเหนียว ฉินสือโอวผิวปากเรียกหู่จือให้กลับมาแล้วแหวกพงหญ้าที่เป็ดหัวเขียวอาศัยอยู่จนพบกับรังเป็ดสองรังซึ่งมีไข่ทั้งหมด 7 ใบ ไข่แต่ละใบล้วนเล็กกว่าไข่เป็ดที่เลี้ยงตามบ้าน เปลือกไข่เป็นสีเขียวอ่อนๆ และเปลือกแข็งมาก


ตอนเด็กๆ ฉินสือโอวก็เคยกินไข่ของเป็ดป่าซึ่งก็คือไข่ของเป็ดหัวเขียวนี่แหละ เป็ดชนิดนี้สามารถพบเห็นได้ทั้งในเขตอบอุ่นและเขตหนาวทั่วโลก ถิ่นกำเนิดของมันเรียกมันว่าหัวเขียวใหญ่ซึ่งไข่ของมันนั้นมีกลิ่นที่หอมมาก


เขานำไข่กลับไปตอกใส่ชามแล้วตีจนไข่ขาวกับไข่แดงเป็นเนื้อเดียวกัน ฉินสือโอวรอให้น้ำมันมะกอกในกระทะก้นแบนร้อนจนได้ที่แล้วจึงเทไข่ลงไปทอด


เดิมทีน้ำมันมะกอกก็หอมอยู่แล้ว พอนำไข่ไก่ลงทอดก็ยิ่งหอมเข้าไปใหญ่ กลิ่นนั้นทำให้คนรู้สึกเจริญอาหาร หู่จือเป้าจือและฉงต้าเลียริมฝีปากของพวกมันไม่หยุด ขนาดต้าป๋ายที่ไม่กินเนื้อยังวิ่งมาดูตาที่เป็นประกาย


หลังจากผัดไข่ได้พอสุกก็นำออกจากกระทะ แล้วจึงขึ้นฉ่ายป่า กุยช่ายป่าและคะน้าป่าด้วยมีดทหาร หลังจากนั้นก็นำต้นหอมลงผัดแล้วนำผักที่หั่นไว้ลงไปผัดสักครู่หนึ่งแล้วนำไข่เป็ดที่ขึ้นจากกระทะเมื่อครู่ลงมาอีกรอบ โรยเกลือลงไปไม่ต้องปรุงอะไรอีกก็สามารถนำออกจากกระทะได้เลย


เหมาเหว่ยหลงเดินถือชามมาใช้ตะเกียบคีบไข่ไปสองชิ้น ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “ผักป่าก็อร่อยนะ พวกขึ้นฉ่ายป่ากับกุยช่ายป่าเนี่ยบำรุง ‘ตรงนั้น’ นะเว้ย”


ได้ยินดังนั้นเหมาเหว่ยหลงก็กลับมาคีบผักไปจำนวนหนึ่ง


ฉินสือโอวดื่มซุปเนื้อและกินผักป่าผัดไข่ กินเองไปป้อนเจ้าสามตัวนั้นไป ทั้งสี่คนนั่งด้วยกันและต่างคนต่างมีความสุขกับตัวเอง


กินอิ่มแล้วก็พากันเก็บของเตรียมลงจากเขากลับบ้าน แน่นอนยังเหลืออีกหนึ่งกิจกรรมสุดท้ายนั่นก็คือรัวปืน


ฉินสือโอวเอากระสุนมาสองร้อยกว่าลูก แต่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร เหลือไว้แค่พอป้องกันตัวสักหน่อยก็พอแล้ว ที่เหลือก็รัวปืนให้หมด


เหมาเหว่ยหลงดูกระตือรือร้นที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นปืนเออาร์-15 เอสไอจี556 หรือแม้แต่เรมิงตัน ทุกกระบอกล้วนก็มีแรงถีบที่สูงมาก หมอนั่นตัวเล็กแถมยังนั่งทำงานในออฟฟิศจนเคยชิน ยิงไปได้ไม่เท่าไรก็บ่นขึ้นมาแล้ว


อีวิลสันเห็นดังนั้นก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงหยิบปืนเรมิงตันขึ้นมาลองยิง มันดูเหมือนปืนของเล่นขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ในมือของอีวิลสัน อีวิลสันจับปืนอย่างมั่นคงแล้วเหนี่ยวไก ‘ปัง ปัง ปัง’ เส้นผ่านของกระสุนขนาดใหญ่ทำให้เปลือกของต้นเมเปิลแดงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


ฉินสือโอวช่วยนวดให้เหมาเหว่ยหลงไม่หยุด ไม่มียาดองก็ใช้เหล้าขาวแทน เหมาเหว่ยหลงยิงปืนได้สักพักก็มาให้ฉินสือโอวนวดอีก ความสามารถในการรับแรงถีบของปืนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คราวหน้าถ้ายิงเออาร์-15 ก็จะไม่มีปัญหานี้แล้ว


พอยิงปืนไรเฟิลจนเริ่มชินแล้วมายิงปืนพกก็จะสบายขึ้นเยอะ เหมาเหว่ยหลงเดินถือปืนพกกล็อก17เข้าไปในป่า หลังจากนั้นก็กลับออกมาพร้อมกับห่านดำของแคนาดาในมือด้วยใบหน้าที่มีความสุข


ห่านดำของแคนาดาเป็นห่านป่าชนิดหนึ่ง ลำตัวของมันมีขนาดปานกลาง เป็นพันธุ์ที่อดทนต่อความหนาวเย็นได้ดีและมักอาศัยอยู่แถวๆ อ่าว ท่าเรือไม่ก็ปากน้ำ ส่วนใหญ่กินต้นอ่อน ก้านไม่ก็ใบของพืชน้ำเป็นอาหาร และในฤดูหนาวพวกมันก็จะกินต้นกล้าข้าวสาลีและพืชอื่นๆ พวกมันไม่ค่อยได้รับความนิยมในแคนาดาเท่าไรนัก


เจ้าห่านดำตัวนี้ช่างโชคร้ายจริงๆ ที่บังเอิญบินไปโดนลูกปืนของนักล่ามือใหม่อย่างเหมาเหว่ยหลงเข้า ไม่ใช่เหมาเหว่ยหลงยิงโดนนะ เพราะฝีมือการยิงปืนของหมอนั่นยังไม่ถึงไหนเลย ฉินสือโอวไม่มีทางเชื่อว่าเขายิงโดนโดยตั้งใจ


“เที่ยงนี้มีน่องห่านใหญ่ๆ ให้กินแล้ว”เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างมีความสุข


ฉินสือโอวคิดว่ามันไม่จำเป็น พวกเรามีเนื้อเยอะแล้ว สำหรับเรื่องนี้เขามีความคิดแบบพอเพียงคือถ้าไม่อยากกินก็ไม่จำเป็นต้องล่าสัตว์ป่าและนกเพื่อความสนุก ถ้าหากยิงโดนแล้วก็ไม่ควรทิ้ง ต้องเอากลับบ้านไปกินให้หมดไม่อย่างนั้นก็เสียดาย


นีลเซ็นกับชาร์คพวกนั้นไม่เหมือนเขา ขอแค่ไม่ใช่สัตว์ป่าสงวนคนแคนาดายิงหมด ยิงมาแล้วกินไม่ได้ก็ทิ้ง


ห่านดำเป็นห่านที่ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาห่านทุกสายพันธุ์ที่ยังไม่สูญพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีการนำไปเพาะพันธุ์ด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่จัดอยู่ในสัตว์ป่าสงวน พอนีลเซ็นเห็นเหมาเหว่ยหลงล่ามาได้จึงเข้าไปแสดงความยินดี


เป็นเวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งแล้วที่รมควันเนื้อเอาไว้ หนังชั้นนอกนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว ส่วนน้ำที่อยู่ในเนื้อก็ถูกความร้อนทำให้ระเหยออกมาส่วนหนึ่งจนไม่สามารถทำให้เนื้อเน่าได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้แล้ว พวกเขาจึงเริ่มเตรียมออกเดินทาง


พอไม่มีกระสุนกับอาหารและน้ำที่นำขึ้นมากินบนเขา นีลเซ็นกับฉินสือโอวก็ทำหน้าที่แบกพวกเต็นท์ อุปกรณ์ให้ความสว่างและอุปกรณ์ในการกินต่างๆ ส่วนเหมาเหว่ยหลงก็เอาของจิปาถะและเนื้อสัตว์ยัดลงในกระเป๋าของอีวิลสัน


อีวิลสันคงอยากจะบอกว่าเอามาให้เขาเยอะๆ เพราะเขาชอบแบกเนื้อกับพวกของกิน


หู่จือกับเป้าจือวิ่งไปนำทางอยู่ข้างหน้า ฉงต้าเดินปิดท้ายโดยมีต้าป๋ายเกาะอยู่ที่ก้นแล้วพวกเขาทั้งหลายก็เดินลงจากเขาด้วยเสียงหัวเราะ


………………………………………..


บทที่ 158 การแข่งขันเพื่อการกุศล

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนเขาไม่มีสัญญาณ เพราะฉะนั้นโทรศัพท์จึงใช้ไม่ได้ พอมีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่นานก็มีข้อความส่งเข้ามา


ฉินสือโอวก้มลงอ่านข้อความนั้น ที่แท้ก็คาร์ล พิสเซลศัลยแพทย์สมองจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดติดต่อมา เนื่องจากอาการของเออร์บักทำให้ก่อนหน้านี้ทั้งสองติดต่อกันหลายครั้งเพราะอยากจะหาวิธีรักษาอาการของชายชรา


ฉินสือโอวคิดว่าศาสตราจารย์อาจจะมีวิธีการรักษาแบบใหม่จึงรีบโทรกลับไปหาแล้วถามว่า “ศาสตราจารย์คาร์ล ผมฉินนะครับ มีอะไรรึเปล่าครับ?”


คาร์ลตอบว่า “อ๋อ…คือว่าอย่างนี้นะฉิน ผมได้ข่าวมาว่านักบาสดาวเด่นของเอ็นบีเอสามสี่คนกำลังเตรียมจัดการแข่งบาสการกุศลเพื่อผู้ป่วยทางสมองขึ้นในหน้าร้อนนี้ ก่อนหน้านี้ผมได้ยินว่าคุณชอบบาสเกตบอลก็เลยมาลองถามดูว่าคุณสนใจไหม?”


ฉินสือโอวฝืนยิ้ม เข้าใจแล้ว นี่เขาดีใจเก้อเหรอเนี่ย


แต่พอมาคิดดูดีๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่ดี เกาะแฟร์เวลตั้งอยู่ทางใต้สุดของรัฐนิวฟันด์แลนด์ เหมือนว่าจะอยู่ใกล้กับเส้นชายแดนทางทะเลระหว่างแคนาดากับสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ส่วนบอสตันก็อยู่สุดทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ระยะห่างระหว่างสองเมืองนี้ใกล้กันมาก หากบินไปน่าจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง


อีกอย่างมันถึงเวลาที่เออร์บักควรจะไปตรวจพอดีและเหมาเหว่ยหลงก็ชอบบาสเกตบอลเหมือนกัน เขาเป็นแฟนของเอ็นบีเอเลยแหละ แบบนี้ก็เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไปร่วมงานสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน


สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวินนี่อยู่ที่ไมอามีซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของอเมริกา เพียงแต่ว่าระยะทางมันก็ค่อนข้างจะไกลหน่อย เขากำลังคิดว่าเขาพอจะบินไปเจอเธอสักหน่อยได้หรือไม่


พอคิดดังนั้นแล้วเขาจึงรีบตอบตกลงไปทันที ส่วนศาสตราจารย์คาร์ลก็ดีใจที่สามารถดึงลูกค้ารายใหญ่มาได้หนึ่งคน


การแข่งบาสการกุศลนี้ไม่คิดค่าเข้าชม เนื่องจากอาศัยเงินบริจาคจากเหล่าคนมีเงินแทน เพราะฉะนั้นสมาคมผู้จัดการแข่งขันจึงพยายามเชิญเหล่าคนรวยให้เข้าร่วมอย่างสุดความสามารถ


ศาสตราจารย์คาร์ลพอจะรู้เรื่องฐานะของฉินสือโอวอยู่บ้าง เนื่องจากตอนนั้นที่วางแผนการรักษาให้กับเออร์บัก ประโยคแรกที่ฉินสือโอวพูดก็คือ ‘เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา’ หลังจากนั้นศาสตราจารย์คาร์ลก็ได้อ่านรายงานของบริษัทจัดประมูลริชชี่ก็เลยรู้ว่ารู้ว่าเขาเป็นมหาเศรษฐี


การแข่งขันเพื่อการกุศลนี้จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน มีเวลาอีกสี่วัน ฉินสือโอวขึ้นรถแล้วถามว่า “โคโกโร่ วีซ่าของแกเปลี่ยนได้ไหม มะรืนนี้ฉันว่าจะไปอเมริกา”


เหมาเหว่ยหลงมาที่ฟาร์มปลาเพื่อพักร้อนเขาจึงไม่อยากวิ่งไปนู่นมานี่เพราะฉะนั้นเขาจึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมีความสุขว่า “ไปทำอะไรที่อเมริกาอะ?”


ฉินสือโอวตอบ “ดาวเด่นของเอ็นบีเอจำนวนหนึ่งจะจัดการแข่งขันการกุศลเอ็นบีเอออลสตาร์ที่บอสตัน แล้วมีคนเชิญฉันไป ฉันก็เลยจะไปดูสักหน่อย แต่ถ้าแกไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้ามีเวลาฉันค่อยไปดูการแข่งขันก็ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรไปบอกเขาว่าไปไม่ได้แล้วก็แล้วกัน”


“เดี๋ยวๆๆ อยาก อยากไปดิวะ แกจะไปปฏิเสธเขาทำไมเล่า?  เขาเชิญแกเพราะเขาเชื่อถือแก แกจะไปทำให้เขาผิดหวังไม่ได้! ไป หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไปบอสตัน ฉันเปลี่ยนวีซ่าที่นี่ได้ แค่ไปสถานทูตแล้วประทับตราก็เรียบร้อยแล้ว”เหมาเหว่ยหลงตะโกนออกมาทันที


ฉินสือโอวหัวเราะ เขารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้


ไม่ใช่แค่เหมาเหว่ยหลงเท่านั้นที่ต้องไปที่สถานทูต ฉินสือโอวก็ต้องไปเหมือนกัน เขาต้องไปทำวีซ่า


ก่อนหน้านี้เรื่องพวกนี้เออร์บักเป็นคนทำแทนเขาทั้งหมด แต่ครั้งนี้เขาไม่อยากรบกวนเออร์บักก็เลยโทรศัพท์หาโรเบิร์ตเบลคที่สี่เพื่อให้เขาช่วยแนะนำทนายความสำหรับขอวีซ่าให้


แคนาดากับอเมริกาเป็นเพื่อนบ้านกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการลงนามในสนธิสัญญามากกว่าร้อยฉบับเพราะฉะนั้นการทำวีซ่าไปมาระหว่างสองประเทศจึงง่ายมาก แต่ว่าถ้ามีทนายความทำให้ก็จะสะดวกกว่า จ่ายเงินสักเล็กน้อยก็จะมีคนจัดการให้ทั้งรวดเร็วและครบถ้วน


เมื่อได้รับสายจากฉินสือโอว โรเบิร์ตก็หัวเราะออกมา “ฉิน คุณไม่ติดต่อผมมานานแล้วนะ แล้วนี่คุณจะเอาทนายไปทำอะไร?”


“ผมอยากได้วีซ่าไปอเมริกา แบบด่วนหน่อย”


“ไม่เห็นต้องใช้ทนายความเลย เดี๋ยวผมจัดการให้ วันที่ 23 เจอกันที่ออตตาวา คุณสามารถรับวีซ่าแล้วบินไปบอสตันวันนั้นได้เลย”


พอวางสายฉินสือโอวก็โทรหาวินนี่ แต่ว่าโทรไม่ติด เธอคงกำลังบินอยู่


หลังจากกลับถึงบ้าน ฉินสือโอวก็ไปหาเออร์บักแล้วบอกเรื่องที่จะไปร่วมการแข่งขันเพื่อการกุศลในวันที่ 24


เออร์บักเห็นด้วยอย่างง่ายดาย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฉิน ผมต้องไปขอบคุณเหมาสักหน่อย สมุนไพรที่เขาเอามาให้เหมือนยาวิเศษเลย ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ตรวจแต่ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าวายร้ายนี้ถูกกำราบจนอยู่หมัดแล้ว”เออร์บักพูดจบก็ชี้ไปที่หัว


ไม่ต้องไปขอบคุณไอ้เหมามันหรอก ที่คุณดีขึ้นเป็นเพราะพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนต่างหากไม่ใช่เพราะสมุนไพรนั่นสักหน่อย ฉินสือโอวได้แต่คิดในใจ เพราะเรื่องนี้พูดออกมาไม่ได้ แต่การรักษาด้วยพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้ผลดีแบบนี้เขาก็ดีใจ


เห็นแบบนี้แล้วเขาก็อยากจะรีบไปรับพ่อกับแม่มาให้เร็วที่สุดแล้วใช้พลังของเขาทำให้พ่อแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้น


การเดินทางขึ้นเขานั้นเหนื่อยล้าไม่ใช่เล่น ฉินสือโอวกลับมาถึงก็ไปที่ริมชายหาดห่างจากท่าเรือเพื่อหาที่ปักร่ม เขาสวมกางเกงบ็อกเซอร์นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมดื่มน้ำผลไม้ไปรับลมไป


หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งเล่นอยู่ที่ชายหาดอย่างมีความสุข เม็ดทรายสีทองเกาะอยู่บนเส้นขนสีทองเต็มไปหมด เจ้าตัวแสบทั้งสองผลักกัดคร่อมอีกฝ่ายไปมา เสียงเห่าของพวกมันนั้นใสและเพราะราวกับเสียงระฆัง


ฉงต้าตอนอยู่บนเขานั้นดูราวกับเป็นเจ้าป่า โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า มันไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ และดูหิวกระหายการต่อสู้


แต่พอกลับมาที่ฟาร์มปลา มันก็กลับมาขี้เกียจและขี้อายเหมือนเดิม มันนอนอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวแล้วยื่นคออ้วนๆ ของมันมองไปมารอบทิศ พอลมพัดหญ้ากระดิกมันก็รีบมุดเข้าไปในอ้อมแขนของฉินสือโอว


ส่วนเจ้าต้าป๋ายนั้นก็สงบนิ่งเหมือนเดิม ตอนที่กลับมาเจอกับเสี่ยวหมิงและเสี่ยวหวงมันก็เข้าไปทักทาย


รับลมทะเลไปได้สักพักฉินสือโอวก็เคลิ้มหลับไป ทันใดนั้นฉงต้าก็ร้องแล้วปีนขึ้นมาบนตัวเขา


ฉินสือโอวตื่นทันที เขาลุกขึ้นนั่งแล้วเห็นว่าหู่จือกับเป้าจือนั้นเลิกหยอกกันแล้วและพวกมันทั้งสองกำลังวิ่งไปกลับไป


เมื่อหันกลับมาฉินสือโอวก็ได้พบกับสิ่งที่น่าตกใจ นกยักษ์ที่มีลำตัวยาวเกือบหนึ่งเมตร ปีกกว้างเกือบสองเมตรกำลังพุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้า จะงอยปากแหลมคมของมันชี้ตรงไปยังกระรอกน้อยที่อยู่บนพื้น!


คาดว่าเจ้ากระรอกเสี่ยวหมิงเห็นฉินนอนกินลมอยู่บนชายหาด ก็เลยอยากจะวิ่งมาเล่นด้วย แต่พอวิ่งมาถึงชายหาดก็ถูกนกยักษ์นี้เห็นเข้า


ขนของนกยักษ์ตัวนี้เป็นสีเทาดำ แต่เมื่อโดนแสงอาทิตย์ปลายขนของมันก็เปล่งแสงสีทองแสบตาออกมา เมื่อเห็นชั้นขนสีทองกับขนาดตัวของมันก็ไม่ต้องคิดนาน นกชนิดนี้ก็คือ


อินทรีทอง!


นกนักล่าหมายเลขสามของอเมริกาเหนือ!


ฉินสือโอวไม่กลัวเจ้าอินทรีทองนี่ ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลคือความปลอดภัยของเจ้าเสี่ยวหมิง เขารีบลุกขึ้นแล้วตะโกนไล่ “ชิ่ว!”


มันเป็นเสียงดังที่สุดที่เขาจะสามารถเปล่งออกมาแล้ว แต่เหมือนเขาจะอยู่ไกลเกินไป เจ้าอินทรีทองจึงไม่สนใจ กรงเล็บสองของมันยื่นลงมาหมายจะจับเสี่ยวหมิง


คิดว่าจะสายไปเสียแล้ว อินทรีย์ทองตะครุบลงตรงทรายข้างเสี่ยวหมิง เห็นเพียงแต่ทรายกระจุยกระจาย ส่วนเสี่ยวหมิงนั่นหายตัวไปจากพื้นทราย


อินทรีทองสะบัดกรงเล็บแล้วบินออกบินอีกครั้ง


ฉินสือโอววิ่งกลับไปอย่างตกใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขาโล่งใจก็คือในกรงเล็บของอินทรีทองที่บินขึ้นไปนั้นไม่มีเจ้าเสี่ยวหมิง


หลังจากบินขึ้นไปอินทรีทองก็พลิกตัวกลับมาคิดจะพุ่งลงมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นจากนั้นก็มีนักล่าอีกตัวบินมา


ฉินสือโอวบ่นในใจว่าให้ตายสิ ก็แค่กระรอกน้อยตัวเดียว นี่พวกแกไปหิวมาจากไหนเนี่ย?


แต่นกนักล่าตัวที่สองไม่ได้ต้องการจะจับเสี่ยวหมิง มันกระพือปีกบินพุ่งไปยังอินทรีทอง


……………………………………


บทที่ 159 ช่วยชีวิตนกใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวเพ่งมอง หืม มันคือนกฟรีเกตตัวหนึ่งนั่นเอง แต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวเดียวกับที่ไปแย่งนกบูบีเท้าแดงไปครั้งที่แล้วหรือเปล่า


นกฟรีเกตร่อนลงมาเหนืออินทรีทอง ตัวอินทรีที่เตรียมจะโจมตีอีกครั้งก็ผวารีบบินหลบออกไปอีก


ทันใดนั้นนกฟรีเกตก็โฉบลงมาก่อนบินหลบไปอีกรอบแล้วกางปีกบินจากไป


อินทรีทองที่เพิ่งถูกนกฟรีเกตยั่วโมโหเมื่อครู่นี้แผดเสียงลั่นด้วยความโกรธแล้วไล่ตามอย่างขุ่นเคือง


และในตอนนั้นก็มีศีรษะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่องสองตัวโผล่ขึ้นมาบนทราย ตัวหนึ่งเป็นสีน้ำตาลแดง อีกตัวเป็นสีทองเหมือนหาดทราย ที่แท้ก็คือเจ้าเสี่ยวหมิงกับกระรอกน้อยอีกตัวนั่นเอง


ฉินสือโอววิ่งเข้าไปคว้าเสี่ยวหมิงขึ้นบ่า ดวงตากลมๆ ของเจ้ากระรอกจับจ้องมาที่เขา แถมด้านหลังยังมีลูกน้อยทั้งสี่ปีนป่ายไปมาซ่อนอยู่หลังแม่กระรอก


ฉินสือโอวนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะอุ้มแม่กระรอกกับพวกลูกน้อยเอาไว้ในมือ เมื่อครู่นี้กระรอกแม่ลูกช่วยชีวิตเสี่ยวหมิงไว้ ถ้าไม่ได้มันขุดหลุมแล้วดึงเสี่ยวหมิงหลบเข้าไป ป่านนี้เสี่ยวหมิงคงโดนอินทรีทองคาบไปแล้ว


บนฟ้าอินทรีทองยังคงไล่ตามนกฟรีเกตไม่หยุด จากนั้นนกผู้ล่าทั้งสองก็เริ่มปะทะกัน


หนึ่งคือนักล่าบนท้องฟ้าสูง อีกหนึ่งคือราชาแห่งท้องฟ้า ต่างฝ่ายต่างมีความยาวปีกเท่ากัน แถมยังมีนิสัยอันธพาลดุร้ายเหมือนกันอีกด้วย


อินทรีทองนั้นคงอยู่เพื่อล่าเหยื่อขนาดใหญ่บนบกอย่างพวกแมวป่า หรือหมาป่าตัวเล็กๆ ทว่านกฟรีเกตคือเจ้าแห่งหมู่ปักษาที่มักขโมยอาหารจากนกตัวอื่น ดังนั้นการปะทะกันของนกทั้งสองตัวนี้จึงเรียกได้ว่าดุเดือดเลยทีเดียว


ฉินสือโอวหวังว่านกฟรีเกตจะชนะ แม้เมื่อครู่นี้อีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจช่วยเสี่ยวหมิงและคิดเพียงว่าพออินทรีทองล่าเหยื่อได้แล้วก็อยากมาขอส่วนแบ่งเสียหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็ได้ช่วยเสี่ยวหมิงไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนที่อินทรีทองโจมตีครั้งที่สอง เสี่ยวหมิงคงหนีไปซ่อนในทรายไม่ทัน


ทว่าในการต่อสู้ นกฟรีเกตย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอินทรีทอง ต่างฝ่ายต่างโจมตีกันไปหลายครั้งและตัวนกฟรีเกตก็โดนจิกจนขนร่วงไปหลายเส้น


เมื่อเป็นเช่นนี้ทางที่ดีที่สุดสำหรับมันคือการหลบหนี เพราะจุดแข็งของมันคือการบิน อินทรีทองไม่สามารถบินตามมันทันแน่


แต่นกฟรีเกตมีนิสัยค่อนข้างห้าวหาญ ต่อให้หล่นลงมากลางอากาศมันก็ไม่หวั่นเกรง เมื่อทรงตัวได้มั่นคงแล้วมันก็เปล่งเสียงใส่อินทรีทองแล้ววนกลับมาหมายสังหาร


นกผู้ล่าทั้งสองช่างเหมือนกับอัศวินผู้กล้าแกร่ง พวกมันกำลังประชันฝีมือกันกลางอากาศและต่อสู้อย่างดุเดือด พลังอันกล้าหาญนั้นทำฉินสือโอวที่อยู่บนพื้นเพลิดเพลินไม่หยุด


ลูกผู้ชายก็อย่างนี้แหละ ลึกๆ ในใจพวกมันต่างหวังว่าตัวเองจะได้เป็นนักรบที่ต่อสู้อย่างมีเกียรติในสนามรบ ไม่ใช่ไอ้ขี้ขลาดที่เสียเวลาอยู่ในห้องนอนกับห้องครัวทั้งชีวิต


ที่จริงการต่อสู้ระยะประชิดไม่ใช่จุดแข็งของนกฟรีเกต ขนนกมากมายร่วงจากฟ้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นของนกฟรีเกต และสุดท้ายอินทรีทองก็สบโอกาสจิกกระชากใต้ลำคอของมันจนทำให้นกฟรีเกตได้รับบาดจับรุนแรง มันกรีดร้องดังลั่นเหมือนว่าวสายป่านขาดแล้วตกลงมากลางอากาศ


ฉินสือโอวหัวใจเต้นรัว ถ้านกฟรีเกตตกลงมาจากฟ้าแบบนี้ มันได้ตายคาที่แน่


นกฟรีเกตกำลังหาทางเอาตัวรอด เมื่อห่างจากพื้นอีกสิบกว่าเมตร มันก็พยายามกางปีกออกด้วยกำลังทั้งหมดที่มีแล้วบินขึ้นไปอีกครั้งได้ไม่กี่เมตรจนหมดแรงไปในท้ายที่สุด แต่เพราะมันยังคงกางปีกไว้จึงทำให้มันร่อนลงมาบนหาดทราย


อินทรีทองส่งเสียงร้องอย่างจองหองแล้วสะบัดปีกบินขึ้นสูง


ฉินสือโอววิ่งเข้าไป เขายังมองไม่เห็นอะไรจากระยะไกล แต่พอเข้าไปใกล้เขาก็พบกับสภาพน่าอนาถ!


ขนบนร่างของนกฟรีเกตยุ่งเหยิงไปหมดจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดออกมา ขนปีกทั้งสองข้าง ท้องน้อยและหน้าอกล้วนโดนจิกหลุดหมดและเผยให้เห็นแผลฉกรรจ์บนเนื้อ แถมขาซ้ายของมันยังหักไปแล้วด้วย เมื่อเทียบกับกรงเล็บแข็งแรงของอินทรีทองแล้ว ขานกฟรีเกตช่างอ่อนแอราวกับกิ่งไม้


แต่พวกนั้นไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต ที่ร้ายแรงที่สุดคือตรงคอของมันต่างหาก คอของมันถูกอินทรีทองจิกจนเนื้อหลุดไปเป็นชิ้นใหญ่และยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดด้วย


เมื่อเห็นฉินสือโอว นกฟรีเกตที่มีสภาพร่อแร่ก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามยกหัวขึ้น แต่น่าเสียดายที่มันไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆแล้ว มันอ้าปากออกมาก่อนจะล้มลงไปบนพื้นทรายเหมือนเดิม


นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่พวกพาวลิสเลิกเรียนพอดี รถโรงเรียนต่างชาติแล่นเข้ามาในฟาร์มปลา เด็กทั้งสี่ลงจากรถโบกมือลาคนขับอย่างมีมารยาท เมื่อเห็นฉินสือโอวอยู่ที่ชายหาด พวกเขาจึงวิ่งมาหาจนกระเป๋านักเรียนใบเล็กกระเพื่อมขึ้นลง เหมือนกระต่ายน้อยกระโดดเด้งดึ๋ง


พอเห็นนกฟรีเกตในสภาพสะบักสะบอม เด็กสี่คนต่างก็เบิกตากว้าง กอร์ดอนถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นครับ?”


ฉินสือโอวตอบ “มันตีกับอินทรีทองแล้วบาดเจ็บน่ะ เพราะงั้นทีหลังพวกเธอก็อย่าทะเลาะกันนะ เข้าใจไหม? การทะเลาะวิวาททำให้เกิดการบาดเจ็บได้!”


เด็กทั้งสี่พยักหน้า ฉินสือโอวแอบดีใจที่ตัวเองสามารถสอนเด็กๆ ได้ มาคิดๆ ดูเมื่อก่อนไม่ว่าตอนเรียนหรือทำงานเขาก็ต้องเป็นฝ่ายโดนสั่งสอนตลอด แต่ตอนนี้ฮวงจุ้ยเปลี่ยนไปแล้ว ประโยคอะไรนะที่ในนิยายชอบใช้กัน? ‘อย่าดูถูกคนหนุ่มว่าตื้นเขิน’ สินะ!


มิเชลล์ครุ่นคิดก่อนถามเสียงเบา “ถ้าพวกเราถูกรังแก ก็สู้ไม่ได้เหรอครับ?”


ฉินสือโอวไม่ได้เป็นเด็กดีอยู่แล้ว ตอนเรียนเขาเคยทะเลาะวิวาทมาไม่น้อย และตอนที่เขาต้องเสียงานไปก็เพราะความใจร้อนของเขาเอง เพราะงั้นอย่างไรก็ควรสอนเด็กทั้งสี่คนเอาไว้


เมื่อได้ฟังคำถามมิเชลล์ เขาก็พูดออกมาอย่างเฉียบขาด “พวกเธอห้ามก่อเรื่อง แต่ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่ต้องกลัว! ถ้าใครมารังแกพวกเธอ พวกเธอสี่คนต้องร่วมมือกันแล้วกระทืบไอ้เวรนั่นให้ได้!”


เชอร์ลี่ย์ดึงมือเขาแล้วเอ่ยออกมา “ลุงฉิน อย่าเพิ่งพูดเรื่องทะเลาะได้ไหมคะ? คุณรีบช่วยเจ้านกน้อยนี่เถอะค่ะ ขอร้องล่ะค่ะ มันดูน่าสงสารมากเลย”


นกน้อย? มันน่าจะเป็นนกใหญ่มากกว่านะ? ฉินสือโอวแอบท้วงอยู่ในใจ ที่จริงเขาตั้งใจจะช่วยนกตัวนี้อยู่แล้ว แต่แค่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเท่านั้น สภาพของเจ้านกในตอนนี้เหมือนแค่ขยับเบาๆก็สามารถฆ่ามันตายได้แล้ว


เขาเงยหน้าขึ้นเห็นกระติกน้ำสีชมพูของเชอร์ลี่ย์จึงพลันเกิดความคิดขึ้นมา เขาเปิดกระติกน้ำเทลงบนปากแผลก่อนที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนจะแทรกซึมผ่านน้ำเข้าไปในร่างนกฟรีเกตแล้วส่งพลังไปทั่วบาดแผลตามตัวมัน


“ล้างแผลมันก่อน แล้วค่อยห่อมัน” ฉินสือโอวทำไปอธิบายไป


กอร์ดอนกับมิเชลล์กระซิบกัน “ฉันรู้สึกว่าลุงฉินทำไม่ค่อยถูกนะ หรือเขาจงใจจะทำนกตายกันแน่?”


“จะทำนกตายทำไมล่ะ?”


“กินเนื้อไง ลุงฉินชอบกินเนื้อจะตาย…”


ฉินสือโอวที่ได้ยินเสียงกระซิบของเด็กทั้งสองคนก็แทบจะร้องไห้ นี่เห็นเขาเป็นคนแบบนั้นกัน?


เชอร์ลี่ย์โบกมือเล็กๆ แล้วพูดอย่างดีใจ “เจ้านกขยับแล้ว มันขยับแล้ว!”


แม้บาดแผลจะไม่ได้สมานเร็วมาก แต่แผลส่วนใหญ่ก็ไม่มีเลือดไหลออกมาแล้วและดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อยจนสามารถค่อยๆขยับปีกได้


ฉินสือโอวแอบเรียกพลังโพไซดอนนี้ว่าเฮโรอีนเพื่อสุขภาพ เขาอุ้มนกฟรีเกตขึ้นมาวางเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลอย่างระมัดระวัง พาวลิสรีบวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์เพื่อหากล่องปฐมพยาบาลแล้ววิ่งเอากลับมาให้ฉินสือโอว


เขาใช้ไอโอดีนทารอบแผลนกฟรีเกตเพื่อฆ่าเชื้อ ฉินสือโอวเจอกิ่งไม้เลยคลี่ผ้ากอซมาพันรอบขาซ้ายของนกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ใช้เทปแต่งแผลพันรอบคอเพื่อปิดแผล เท่านี้ก็เรียบร้อย


เชอร์ลี่ย์นิ่งคิดแล้วหยิบสารละลายยาปฏิชีวนะ (Azithromycin) ออกมาให้นกฟรีเกตกินไปหลายคำ


นกไม่สามารถกินน้ำแบบนี้ได้ ฉินสือโอวอุตส่าห์พยายามช่วยนกอย่างยากลำบาก แต่กลายเป็นว่ามันจะตายเพราะโดนเชอร์ลีย์กรอกยาเสียแล้ว


พวกเด็กๆจริงจังกับการช่วยนกฟรีเกตเหมือนกลายเป็นภารกิจชิ้นหนึ่ง พวกเขาพากันรุมล้อมช่วยเสนอความคิด ฉงต้าเองก็มาร่วมด้วย มันเอนพิงเก้าอี้มองนกฟรีเกตตัวอ้วนพลางน้ำลายไหล


หู่จือกับเป้าจือขาสั้นตัวเล็ก พวกมันเลยขึ้นไปเบียดด้วยไม่ได้และได้แต่กระโดดไปมาอย่างกังวลอยู่ด้านนอก ส่วนเสี่ยวหมิงและต้าป๋ายก็ปีนขึ้นไปบนเสาร่มกันแดดราวกับพวกมันรู้อะไรบางอย่าง


……………………………………………………..


บทที่ 160 บอสตัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


นกฟรีเกตมาอาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลาชั่วคราว แน่นอนว่า ต่อให้มันอยากเดินก็เดินไม่ไหว ขาหักหนึ่งข้างปีกหักข้างหนึ่ง จะไปไหนได้กัน?


พาวลิสกับเชอร์ลีย์รวมทั้งสี่คนหาไม้กระดานมาตอกตะปูทำเป็นกระท่อมไม้หลังเล็กทรงเบี้ยวๆ สุดท้ายซีมอนสเตอร์ก็ช่วยแก้ให้พวกเขาทำเป็นรังนก


ฉินสือโอวนำกระท่อมน้อยไปตอกไว้บนหน้าประตูต้นเมเปิล เจ้านกฟรีเกตดูไม่เต็มใจจะเข้าไป


เขาหาข้อมูลมา นกฟรีเกตเป็นนกที่อยู่กลางแจ้ง หรือนกที่ชอบอาศัยอยู่ในที่โล่งนั่นเอง เช่นอีกา นกกระจอก เหยี่ยวฯลฯ ไม่ใช่นกที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างแคบๆ


แต่ไม่มีทางเลือก กระท่อมไม้นี้เป็นน้ำใจจากเด็กๆ ทั้งสี่ พวกเขายุ่งตลอดทั้งบ่ายเพื่อสร้างที่พักให้นกฟรีเกต


ไม่รู้ว่าเพราะนกฟรีเกตเป็นผู้มีพระคุณครึ่งหนึ่งหรืออย่างไร เสี่ยวหมิงถึงแสดงความเป็นมิตรต่อเจ้านกที่เข้ามาในอาณาเขตตัวเองขนาดนี้ กระท่อมน้อยมาตั้งได้ไม่ถึงวันก็เอาลูกไม้มาให้หลายลูกเสียแล้ว


นกฟรีเกตเริ่มจิกกินชิ้นหนึ่ง ปรากฏว่ามันคาอยู่ที่ถุงใต้คางจนเกือบสำลักตาย จากนั้นมันก็ไม่แตะอีกเลย พอเวลาฉินสือโอวให้เนื้อปลา ไม่ว่าปลาทะเลหรือปลาคาร์ฟเอเชีย มันก็กินจนเกลี้ยง


“เฮ้อ เหมือนฉงต้าไม่มีผิด เจ้าตะกละอีกตัว” ฉินสือโอวมองเจ้าตัวที่สวาปามโดยไม่แม้แต่จะเลือกกิน แล้วถอนหายใจอย่างอดไม่ไหว


ผลการรักษาของพลังโพไซดอนเป็นไปด้วยดี วันที่ 23 ตอนที่พวกเขาเตรียมตัวจะไปออตตาวา นกฟรีเกตก็สามารถลุกขึ้นเดินไปมาได้แล้ว ถึงแม้จะยังเดินกะเผลกๆ


ทุกครั้งที่เห็นมันเดินรอบๆ ในกระท่อมเล็ก ฉินสือโอวอดนึกถึงการแสดงของลุงเปิ่นชาน[1]ในละครสั้นตอนขายไม้ค้ำ[2]ไม่ได้ “เอ้าเดินสิ ไม่เป็นไรเดินเถอะ… ดูจะเป๋แล้วนะเนี่ย…”


พวกเด็กๆ มีเรียน เพราะยังไม่ถึงเวลาปิดเทอม พวกเขาจึงต้องอยู่ที่ฟาร์มปลาต่อ ฉินสือโอวให้นีลเซ็นคอยดูแลพวกเขา รวมทั้งจับตาดูนกฟรีเกต ไม่ให้โดนเด็กทั้งสี่เล่นจนทำมันตาย แล้วจึงขับเรือไปยังเซนต์จอห์น


ฉินสือโอวโทรหาวินนี่ แต่โทรไม่ติด จนจวนถึงเวลาเที่ยวบินของเขาแล้ว วินนี่ถึงโทรกลับ “พระเจ้า ฉิน ช่วงนี้ยุ่งมากเลย ฉันวุ่นจะแย่แล้วเนี่ย! จริงสิ คุณมีอะไรหรือเปล่า?”


ทีแรกฉินสือโอวอยากบอกว่าเขาต้องไปที่บอสตันกะทันหัน แล้วจะไปหาเธอที่ไมอามี่ แต่คิดๆ ดูแล้ว เขาเตรียมเซอร์ไพรส์เธอดีกว่า จึงพูดว่า “ไม่มีอะไร วินนี่ คือไม่ได้ติดต่อกันตั้งหลายวัน ผมเลยคิดถึงคุณน่ะ”


“ฉันรู้สึกดีใจกับคำพูดหวานๆ นะ ยิ่งได้ค่อยได้ยินประโยคแบบนี้จากปากคุณเท่าไร โอเค ฉิน วิธีพูดอย่างนี้มันไม่ใช่สไตล์คุณเลย”


“ไม่ วินนี่ คุณแค่ยังไม่รู้จักผมทั้งหมด ที่จริง อะแฮ่ม ถึงผมจะเป็นชายซื่อๆ ไม่รู้จักคำหวานเท่าไร แต่สำหรับหญิงสาวที่ผมรัก กลับยังไม่เคยกล่าวชม…”


“แหวะ แม่ง ฉินโซ่ว ไอ้หน้าไม่อาย นายเนี่ยนะเป็นชายซื่อๆ ? ผู้ชายที่ในไดร์ฟดีมีแต่หนังญี่ปุ่นแอ็คชั่นรักโรแมนติก ไดร์ฟอีก็มีแค่หนังยุโรปอเมริกันแอ็คชั่นติสท์ๆ ส่วนไดร์ฟเอฟมีแต่เกมแนวแอ็คชั่นอินดี้ ยังกล้าเรียกตัวเองว่าซื่อๆ อีกเหรอ? ฉันล่ะอยากจะอ้วก…”


จู่ๆ เหมาเหว่ยหลงที่อยู่ด้านหลังก็โพล่งขึ้นมา พูดยิ้มเยาะเสียงดัง


“เฮ้ ฉิน มีใครอยู่ข้างๆ คุณเหรอ? เปิดวิดีโอคอลได้ไหม?” วินนี่ถามอย่างสงสัย


อินเทอร์เน็ตของอเมริกาและแคนาดาพัฒนาหน้าไปมาก เทียบกับเน็ตมือถือประเทศตัวเองก็เหมือนเน็ต 4G ความต่างด้านความเร็วเหมือนกับลัมโบร์กินีกับแทรกเตอร์ไถ ดังนั้นพวกเขาจึงชอบโทรแบบวิดีโอคอลกัน


ฉินสือโอวกลัวว่าเหมาเหว่ยหลงจะแฉเรื่องในอดีตตัวเอง เลยรีบวางสาย แล้วไล่ตีเหมาเหว่ยหลง


เหมาเหว่ยหลงหัวเราะพลางหนีไปซ่อน ปรากฏแอร์โฮสเตสคนหนึ่งเข้ามาพูดทั้งรอยยิ้มว่า “ขออภัยค่ะ คุณสุภาพบุรุษทั้งสอง ที่นี่คือสนามบิน ขอความกรุณาปฏิบัติตามระเบียบด้วยค่ะ”


ฉินสือโอวกำลังจะตอบ เหมาเหว่ยหลงที่เห็นคนรอบข้างมองอย่างไม่พอใจมาที่ตัวเอง ก็โค้งเก้าสิบองศาให้แอร์โฮสเตสคนนั้น กล่าวว่า “โยช(โอเค) ซูมิมาเซน!(ขอโทษครับ) ซูมิมาเซน!(ขอโทษครับ)”


ฉินสือโอวรู้สึกอับอายไม่เหลือหน้า เขารีบสะพายกระเป๋าสีเทาหม่นไปเข้าแถวแลกตั๋วเครื่องบิน


เมื่อถึงออตตาวา โรเบิร์ต เบลคที่สี่ ก็รอพวกเขาอยู่ที่ทางออกเครื่อง ต่างฝ่ายต่างถามสารทุกข์สุกดิบ โรเบิร์ตรู้จักกับเออร์บักอยู่แล้ว ฉินสือโอวช่วยแนะนำเหมาเหว่ยหลงให้เขา แล้วทั้งสามก็นั่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ S600 ไป


โรเบิร์ตพาพวกเขาไปส่งสถานทูต เพื่อให้ฉินสือโอวดำเนินการเรื่องพาสปอร์ตอเมริกาก่อน ซึ่งไม่ได้ซับซ้อน ในเมื่ออเมริกาและแคนาดาเป็นประเทศพี่น้องกัน เขาแค่นำวีซ่าถาวรแคนาดาไป ก็ใช้เป็นกรีนการ์ดที่อเมริกาได้แล้ว


ฉินสือโอวยื่นจดหมายเชิญของผู้จัดการการแข่งขันเพื่อการกุศลของเอ็นบีเอ รูปถ่ายตัวเองกับข้อมูลเครดิตการ์ด หลังตรวจสอบแล้วไม่มีอะไรผิดพลาดก็ถือว่าทำพาสปอร์ตอเมริกาเรียบร้อย กรอกแบบฟอร์มและจ่ายเงิน ก็เป็นอันเสร็จสิ้น


เหมาเหว่ยหลงยุ่งยากยิ่งกว่า ในการทำพาสปอร์ตของเขาต้องมีใบรับรองด้วย ซึ่งโรเบิร์ตได้แสดงความสามารถให้ได้ประจักษ์ในเวลานี้ โดยการโทรศัพท์ไม่กี่ครั้ง ก็มีคนเข้ามาให้ความช่วยเหลือเหมาเหว่ยหลงกรอกข้อมูลบางอย่างลงในคอมพิวเตอร์ และจัดการช่วยเขาย้ายพาสปอร์ตได้ทันที


“ฉันนึกว่าที่แคนาดาไม่มีระบบเส้นสายเสียอีก ที่แท้ของแบบนี้ก็มีอยู่ทั่วโลกนี่นา” เหมาเหว่ยหลงลดเสียงพูดกับฉินสือโอว


ฉินสือโอวเล่าถึงสิ่งที่เออร์บักเคยบอกเขาให้กับเหมาเหว่ยหลงฟัง “ที่ประเทศจีน เส้นสายเป็นเหมือนประตูหลัง ส่วนที่แคนาดา ดอลลาร์แคนาดาก็คือกุญแจสู่ประตูหลัง รวบรัดกว่าเยอะ”


โรเบิร์ตพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ แค่วันเดียวพวกเขาก็สามารถบินไปที่บอสตันได้แล้ว แต่ฉินสือโอวก็ยังพาไปเลี้ยงข้าวกลางวันก่อนเดินทาง


ร้านอาหารมีชื่อว่า ‘ซับพลาย แอนด์ ดีมานด์’ สร้างด้วยสไตล์โบราณ ด้านนอกดูเหมือนเรือลำใหญ่ ลานหน้าประตูสร้างเป็นทรงดาดฟ้าเรือ ส่วนอาคารหลักสร้างเป็นทรงห้องโดยสาร พอเข้าประตูไปก็จะเป็นหางเสือ เหมือนเรือลำใหญ่


ฉินสือโอวมองร้านอาหารที่ถูกแนะนำมา ว่ากันว่ารสชาติอาหาร ราคา การบริการและบรรยากาศของร้านนี้ โดยรวมถือเป็นร้านอาหารทะเลอันดับสี่ของแคนาดาเลยทีเดียว สามอันดับก่อนหน้าอยู่ที่โทรอนโต อีกร้านหนึ่งในนิวฟันด์แลนด์ ก็คือร้าน ‘เงือกน้อย’ ที่เรค บิ๊กฟุตเคยพาไปกินครั้งที่แล้วนั่นเอง


มื้อเที่ยงมีอาหารทะเลเป็นหลัก ฉินสือโอวคิดเผื่อเหมาเหว่ยหลงให้เขาได้ทานอาหารทะเลที่แคนาดาจนได้


หลังทานเสร็จ โรเบิร์ตมาส่งพวกเขาที่สนามบิน เครื่องบินออกตอนบ่ายสองแล้วลงจอดสนามบินนานาชาติตอนสี่โมง ที่นั่นเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของบอสตัน มีพื้นที่สองพันสี่ร้อยไร่ เป็นสถานีขนส่งของแคนาดา ลาตินอเมริกาและยุโรป เป็นหนึ่งใน 20 สนามบินที่ยุ่งที่สุดในโลก


มีคนอเมริกามากกว่าแคนาดา โดยสามารถดูได้จากสนามบิน พอออกมา ก็จะเห็นว่าผู้คนที่สัญจรไปมาล้วนมีหลากหลายเชื้อชาติ คนขาว คนผิวสี คนมองโกลอยด์มากมายนับไม่ถ้วน


เออร์บักส่ายหัว กล่าวว่า “มาอเมริกาทีไร ฉันก็ไม่ชินเสียที จังหวะชีวิตของผู้คนที่นี่เร่งรีบเกินไป”


เหมาเหว่ยหลงขยิบตาให้ฉินสือโอว เออร์บักรู้ตัว ก็หลุดหัวเราะ พูดว่า “อ้อ ขอโทษที ฉันลืมไปว่าพวกเราตรงนี้ยังมีเพื่อนจากเมืองปักกิ่งอยู่ เกรงว่าจังหวะของนิวยอร์กคงเทียบกับปักกิ่งไม่ติดเลยสินะ”


ชายชราผิวขาวอายุรุ่นราวเดียวกับเออร์บักรอพวกเขาอยู่ตรงประตูทางออก เมื่อเห็นเขา เออร์บักก็อ้าแขนเข้าไปกอดทันที “เพื่อนเก่า ขอบคุณที่มารับพวกเรานะ”


“ก็ต้องมาอยู่แล้วสิ เพื่อน” ชายชราหัวเราะเสียงดัง เขาพิจารณาเออร์บักอย่างละเอียด แล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนช่วงนี้นายจะได้พักผ่อนเพียงพอนะ สีหน้านายดูดีมาก แววตาเฉียบคมเหมือนช่วงสมัยเรียนเลย ฉันต้องเรียกนายว่าอินทรีทองแห่งโรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ดอีกไหมเนี่ย?”


พอได้ฟังที่ชายชราพูด ฉินสือโอวถึงนึกออก ว่านี่คือศาสตราจารย์คาร์ลที่เคยโทรศัพท์หาเขาหลายครั้งนั่นเอง


ชายชราเป็นมิตรมาก ทักทายเออร์บักเสร็จก็จับมือขอบคุณฉินสือโอวที่มาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อการกุศลนี้


เหมาเหว่ยหลงพูดยิ้มๆ “คนอเมริกันนี่น่าสนใจจริง ไม่ใช่ว่าการแข่งออลสตาร์นี้ฟรีหรอกเหรอ? เขาขอบคุณเราที่มาเข้าร่วมเนี่ยนะ ทำเหมือนมันไม่ดังไปได้”


ฉินสือโอวเพียงยิ้มไม่ได้อธิบายอะไร แอบตอบในใจว่าไว้รอนายอยู่จนจบการแข่งก่อนเถอะจะได้รู้ว่าพ่อต้องจ่ายไปเท่าไรถึงให้นายได้มาดูการแข่งออลสตาร์นี่


……………………………………………………………


[1] จ้าวเปิ่นชานนักแสดงตลกชาวจีนคนหนึ่ง


[2] อยู่ในรายการโทรทัศน์ที่ฉายช่วงปีใหม่ เกี่ยวกับคนสองคนที่พยายามหลอกขายไม้ค้ำให้ชายคนหนึ่ง


บทที่161 น่าเหลือเชื่อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ศาสตราจารย์คาร์ลพาพวกเขามาส่งยังโรงแรมที่จองไว้ก่อนแล้ว เป็นโรงแรมสี่ดาว ชื่อ ‘อีสต์ โคสต์ การ์เด้น’


ที่มาพักโรงแรมนี้ เพราะมันอยู่ใกล้กับสถานที่จัดการแข่งขันออลสตาร์เพื่อการกุศล การแข่งขันของพรุ่งนี้จะจัดขึ้นที่สนามกีฬาชื่อดังของอเมริกา ทีดี การ์เด้น ที่นี่คือสนามกีฬาหลักของทีมเซลติกส์ เอ็นบีเอ รวมทั้งเป็นสนามกีฬาที่มีกลิ่นอายประวัติศาสตร์และมีเกียรติที่สุดของเอ็นบีเอด้วย


ศาสตราจารย์คาร์ลจองห้องเดี่ยวหนึ่งห้องและห้องคู่หนึ่งห้อง ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงพักด้วยกัน ไม่ใช่เพื่อประหยัดเงิน แต่ทั้งสองคนแค่อยากพูดคุยเรื่อง เอ็นบีเอ ด้วยกัน เป็นความสนุกของพวกเขาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย


ฉินสือโอวหวังว่าเออร์บักจะไปตรวจร่างกาย แต่ศาสตราจารย์คาร์ลบอกว่าพวกเขาเพิ่งลงจากเครื่องมาคงค่อนข้างเหนื่อยกัน ค่อยไปตรวจพรุ่งนี้ดีกว่า อย่างไรการแข่งขันก็เริ่มตอนเย็น กลางวันยังมีเวลา


ศาสตราจารย์คาร์ลพูดเช่นนั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเหนื่อยจริงๆหรอก เที่ยวบินจากออตตาวามาบอสตันแค่สองชั่วโมง เครื่องบินเพิ่งบินขึ้นแล้วก็บินลง จะเหนื่อยได้อย่างไร?


อีกอย่างเออร์บักเพิ่งจะตรวจไปเมื่อต้นเดือน จึงไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำก็ได้เพราะผลลัพธ์คงไม่ต่างกันเท่าไร แต่ก็เกรงว่าอาจมีอะไรผิดพลาดได้ เนื้องอกแบบไกลโอมา เมื่อเคยอาการกำเริบแล้วครั้งหนึ่งก็ยากจะควบคุมได้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาย่อมไม่ใช่ข่าวดี


ฉินสือโอวแทบอดใจไม่ไหว พอกลับถึงห้องผลักหน้าต่างเปิด ก็เห็นอาคารขนาดใหญ่เหมือนโกดังปรากฏอยู่ไม่ไกล ซึ่งก็คือสนามกีฬาทีดี การ์เด้นฝั่งเหนือ หนึ่งในสถานที่อันทรงเกียรติของเอ็นบีเอ


เหมาเหว่ยหลงเพิ่งเคยได้อยู่ใกล้เอ็นบีเอขนาดนี้ เขาชี้ไปยังถ้วยรางวัลสีทองขนาดใหญ่ตรงประตูทางเข้า เอ่ยว่า “ดูสิ สัญลักษณ์ของลาร์รี โอ ไบรอันใหญ่อะไรอย่างนี้ ดีเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปถ่ายรูปกัน”


ลาร์รี โอ ไบรอันก็คือชื่อของถ้วยรางวัลแชมป์ที่สมาคมทั้งสามสิบทีมต่างแย่งชิง


มาอเมริกาครั้งแรก ฉินสือโอวคิดว่าตัวเองน่าจะตื่นเต้น เพราะหนังฮอลลีวูดในช่วงมหาวิทยาลัยทำเขาใฝ่ฝันถึงอเมริกาไม่น้อย


ตอนนี้พอได้มาแล้วกลับไม่รู้สึกอะไรเลย บอสตันต่างจากเซนต์จอห์นตรงไหน? ตึกสูงกว่า คนเยอะกว่า ถนนกว้างกว่า แล้วอย่างอื่นล่ะ? โอเค มีสาวสวยมากกว่า โดยเฉพาะสาวเซ็กซี่…


คำถามคือ สาวสวยพวกนี้ มีใครเทียบกับวินนี่ได้บ้าง? ไม่ต้องพูดถึงวินนี่ ขนาดอาจารย์สาวหุ่นดินระเบิดอย่างเชอรีลแห่งโรงเรียนอนุบาลแกรนท์ยังสวยกว่าพวกหล่อนเยอะ


เหมาเหว่ยหลงฮึกเหิมมาก จนต้องลากฉินสือโอวออกไปเดินเล่น ท้องฟ้ามืดแล้ว การรักษาความปลอดภัยในบอสตันไม่ค่อยดีเท่าไร ทั้งสองจึงไม่กล้าไปไกลมาก เลยไปเดินแค่บริเวณสนามกีฬาทีดี การ์เด้นฝั่งเหนือ


ด้านนอกสนามกีฬามีถนนบาสเกตบอล ที่ขายของเกี่ยวกับบาสเกตบอลทั้งหมด ตรงสุดถนนคือแป้นบาสที่เรียงกันเป็นแถว แม้จะเป็นเวลามืดจนเปิดไฟแล้ว แต่คนเล่นบาสก็ยังมีไม่น้อย


ฉินสือโอวแวะดูสักพัก จากเกณฑ์และมุมมองของเขาในปัจจุบัน เขาดูถูกพละกำลังของคนพวกนี้ไม่ได้เลย ไม่มีประโยชน์ที่จะประชันด้วย เขาจึงจำต้องดึงเหมาเหว่ยหลงออกมาอย่างเสียดาย


มาถึงบอสตันทั้งที ทำไมจะซื้อสินค้าบาสเกตบอลสักหน่อยไม่ได้ล่ะ?


ทั้งสองเดินเตร่ไปหลายร้าน สุดท้ายก็เข้าร้านแบรนด์ทางการของทีมเซลติกส์ ภายในร้านเต็มไปด้วยสินค้าตระการตา ทั้งลูกบาสเกตบอล เสื้อ รองเท้า อุปกรณ์ป้องกันนิ้ว แผ่นป้องกันหัวเข่า สนับข้อศอก เข็มขัดกระชับสัดส่วน และของเล่นนักบาสชื่อดัง อีกมากมาย


เจ้าของร้านเป็นชายชราอายุประมาณหกสิบปี สวมเสื้อบาสรัดรูปลายเก่าตัวหนึ่ง พื้นสีขาว มีสีเขียวด้านข้าง ด้านหลังมีเลข 6 ฉินสือโอวถามขึ้นว่า “คุณใส่เสื้อบาสของบิล รัสเซลใช่ไหมครับ?”


ได้ฟังดังนั้น ชายชราก็พยักหน้าอย่างภูมิใจ กล่าวว่า “ใช่ นี่คือเสื้อของคุณบิล ตอนฉันอายุสิบสองเขาเป็นคนมอบเสื้อบาสตัวนี้ให้ฉันเอง แล้วตั้งแต่นั้นฉันก็ใส่มันมาตลอด”


ไม่ต้องสงสัยเลย ว่านี่คือแฟนคลับเซลติกส์ตัวยง ฉินสือโอวคุยกับเขาอีกสองประโยค แล้วซื้อเสื้อบาสของเพียร์ซ(พอล เพียร์ซ)มาสองตัว เหมาเหว่ยหลงสนใจลูกบาสลูกหนึ่ง ที่ด้านบนมีลายเซ็นอยู่เต็มไปหมด ราคา 3850 ดอลลาร์อเมริกา


ฉินสือโอวยิ้มกว้าง เขามองดู ลายเซ็นพวกนี้ล้วนฉวัดเฉวียน เขาพยายามอ่านแต่มองออกแค่ไม่กี่ชื่อ มีเควิน การ์เน็ต เรย์ อัลเลน ราจอน รอนโด ฯลฯ


เจ้าของร้านอธิบาย “นี่คือเหล่าแชมป์เมื่อปี 2008 มีลายเซ็นของดาวเด่นในทีมเราทั้งหมด เป็นของที่ระลึกที่มีค่ามาก ถ้าพวกคุณชอบบาสเกตบอล ก็ควรซื้อไว้สักลูกนะ”


ฉินสือโอวตอบยิ้มๆ “ลูกบาสนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เอาไปเล่นก็ไม่ได้ ทำได้แค่ดู จะมีความหมายอะไร?”


เจ้าของร้านยิ้ม ตอบว่า “เวลาผ่านไป เราก็แก่ตัวขึ้น ตราบใดที่คุณยังเก็บบอลนี้ไว้ แล้วมองดูมันอีกครั้งตอนคุณอายุเท่าผม ก็จะนึกถึงเรื่องราวในอดีตต่างๆ บอลลูกนี้คอยเชื่อมตัวคุณในปัจจุบันและอนาคตไว้ ทำให้เวลาที่คุณไม่สามารถเล่นบาสเกตบอลได้อีกแล้ว จะคิดถึงตัวเองสมัยวัยรุ่นที่ไล่ตาม เอ็นบีเอ ไล่ตามความฝันที่ได้จะเล่นบาสเกตบอลนั้น”


ฉินสือโอวต้องยอมรับว่า ชายชราคนนี้คู่ควรกับการมาเป็นคนแนะนำสินค้าแบรนด์ทางการของทีมเซลติกส์จริงๆ ฝีปากร้ายกาจมาก


เหมาเหว่ยหลงสนใจอยากซื้อ เขามีเงินเก็บจากการทำงานอยู่ส่วนหนึ่ง และลูกบาสลูกนี้แปลงเป็นหยวนได้ราคาประมาณสองพัน จะซื้อเสียหน่อยก็ไม่ได้หนักหนาอะไร


จากนั้นพวกเขาเลือกซื้อของกันอีกหลายอย่าง ฉินสือโอวเลือกของขวัญไปให้เด็กๆทั้งสี่ ส่วนเหมาเหว่ยเลือกของขวัญส่วนหนึ่งไปให้เพื่อนในประเทศ หลังทั้งสองจ่ายเงินเรียบร้อย ต่างก็หอบถุงใหญ่ถุงเล็กกลับโรงแรม


เช้าวันที่สอง ฉินสือโอวตื่นขึ้นมา เมื่อคืนหลังซื้อของเสร็จแล้วกลับมาที่โรงแรม เขากับเหมาเหว่ยหลงยังคงพูดคุยกันต่ออีก ส่วนใหญ่คือรำลึกความหลังเรื่องดีๆสมัยมหาวิทยาลัย และคุยเพลินจนลากยาวถึงเที่ยงคืน


ฉินสือโอวได้นอนหกชั่วโมงก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก แต่ไม่ใช่กับเหมาเหว่ยหลง จากการโต้รุ่งและดื่มเที่ยว ทำให้ร่างกายเขาพังจนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


อาหารเช้าเขาได้ชิมเอเธนส์ครัวซองต์และน้ำผลไม้ธัญพืชของขึ้นชื่อของบอสตัน รสชาติยอดเยี่ยม ฉินสือโอวกินครัวซองต์ไปห้าชิ้นทีเดียว


แม้มันจะชื่อเอเธนส์ครัวซองต์ แต่เจ้าขนมปังนี้เป็นของในบอสตันแน่แท้ เพราะอีกชื่อของบอสตันก็คือ ‘เอเธนส์แห่งอเมริกา’ และด้วยรูปร่างอันสวยงามของครัวซองต์อเมริกาดั้งเดิม มันจึงได้ชื่อนี้มา


เก้าโมงตรง ศาสตราจารย์คาร์ลนำทั้งสามไปยังโรงเรียนแพทย์ เพื่อพาเออร์บักไปตรวจสมองส่วน 2.0 ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


เมื่อผลการตรวจออกมา ฉินสือโอวได้ยินเสียงศาสตราจารย์คาร์ลอุทานเสียงดัง เขารีบผลักประตูเปิดเข้าไป ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นครับ?”


ดวงตาของคาร์ลนิ่งค้าง เขายกแผ่นการตรวจคลื่นไฟฟ้ารูปหนึ่งส่องไฟดูโดยไม่ได้ตอบคำถามฉินสือโอว เขามองพลางพึมพำว่า “ช่างน่าเหลือเชื่อ! น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! พระเจ้า เป็นไปไม่ได้ ไกลโอมากำลังหดตัวลง! หดลงได้ยังไงกัน? เขายังไม่ได้ทำเคมีบำบัดด้วยซ้ำ!”


ได้ยินดังนั้น ในใจฉินสือโอวก็พลอยยินดีอย่างมาก จะยังมีข่าวอะไรที่น่ายินดีไปกว่านี้อีก?!


แต่เขาแสดงอาการออกมามากไม่ได้ ต้องทำเป็นพูดอย่างตกใจ “เนื้องอกเริ่มหายไม่ใช่เรื่องดีเหรอครับ? แสดงว่าอาการปู่เออร์บักดีขึ้นแล้วไม่ไหมครับ?”


คาร์ลศาสตราจารย์คาร์ลดูสับสนมาก เขาโบกมือปฏิเสธเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังแน่ใจไม่ได้ เจ้าหนุ่ม ฉันต้องตรวจต่ออีกหน่อย ถ้าภาพออกมาไม่มีปัญหาอะไร พระเจ้าคงทรงโปรดต่อสหายชาร์คแมนแล้ว ซึ่งคงดีทีเดียว!”


ในใจฉินสือโอวสงบลงแล้ว เขารู้ว่าพลังโพไซดอนใช้ได้ผล อย่างที่คิด พลังของพระเจ้าช่างทรงพลัง ไม่เพียงเพิ่มพลังการวิวัฒนาการให้ปลาและสัตว์ ยังรวมถึงสภาพร่างกายของมนุษย์ สามารถรักษาโรคได้นั่นเอง!


…………………………………………….


บทที่ 162 เหล่านักบาสชื่อดัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เออร์บักถูกศาสตราจารย์คาร์ลและเหล่าผู้ช่วยของเขารายล้อม เพื่อเก็บตัวอย่างเลือด ถ่ายทำ และตรวจปัสสาวะ เห็นดังนั้นฉินสือโอวก็แอบไม่สบายใจ


บ้าเอ้ย คราวหลังเขาต้องระวังกว่านี้แล้ว นอกจากพวกคนที่สนิทใกล้ชิดกับตัวเอง คงไม่สามารถใช้พลังโพไซดอนใส่ตัวคนอื่นๆได้แล้ว สิ่งนี้มันคือพลังของพระเจ้า ไม่ควรให้ปรากฏอยู่บนโลก ถ้าโดนพบเข้า เขาได้จบเห่แน่!


โชคดี ยังไม่มีคนคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉินสือโอว เออร์บักบอกกับพวกหมอว่า เมื่อเร็วๆนี้เขาได้ใช้ยาสมุนไพรที่เหมาเหว่ยหลงเอามาให้ บางทีอาจเป็นผลจากยาวิเศษตะวันออกนั้น


ในส่วนของยาสมุนไพรจีน พวกศาสตราจารย์คาร์ลไม่เคยศึกษามาก่อน เรื่องนี้จึงต้องระงับไปชั่วคราว


แม้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเออร์บักสามารถเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ต่อการแพทย์ แต่ปาฏิหาริย์นี้ยังไม่มีการวิจัยมายืนยัน มีแค่ประเด็นเรื่องยาสมุนไพรเท่านั้น อย่างไรก็ตามสมาคมการแพทย์อเมริกาเหนือปฏิเสธที่จะศึกษาเรื่องยาสมุนไพรมาตลอด


กล่าวได้ว่า ยาสมุนไพรจีนนำมาซึ่ง ‘การคุกคามทางทฤษฎีของจีน’ ที่มีแต่จะเลวร้ายลง


ในทางการแพทย์ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเออร์บักนับเป็นข่าวดีครั้งใหญ่ทีเดียว คาร์ลรู้สึกตื้นตันใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขายิ่งกว่าฉินสือโอวเสียอีก ตอนเที่ยงศาสตราจารย์เฒ่าถึงขั้นเตรียมโต๊ะพิเศษเพื่อฉลองให้กับเรื่องนี้


ฉินสือโอวอดเตือนพวกเขาไม่ได้ “สภาพปู่เออร์บักตอนนี้น่าจะยังไม่ถือว่าน่ายินดีหรือเปล่าครับ? ไอ้นั่นมันยังอยู่ในสมองเขาอยู่เลยนะครับ”


ศาสตราจารย์คาร์ลยิ้มตอบ “ไม่ เจ้าหนู ตอนนี้ชาร์คแมนหนีจากเงื้อมมือความตายมาได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่จากการตรวจเลือดและตรวจเซลล์สมองแสดงให้เห็นว่าระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเขาตอนนี้อยู่ในสภาพดีมาก และกำลังอยู่ระหว่างการทำลายเซลล์ไกลโอมา อธิบายแบบนี้อาจไม่ชัดเจนเท่าไร งั้นฉันจะบอกให้ละเอียดอีกหน่อยแล้วกัน นายต้องรู้ไว้ว่าเซลล์เนื้องอกนั้นเป็นเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวได้ไม่สิ้นสุด…”


หลังการอธิบายชุดใหญ่จากผู้เชี่ยวชาญ ฉินสือโอวได้ฟังก็หัวหมุนไปหมด สรุปคือสภาพร่างกายของเออร์บักได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เซลล์ไกลโอมาที่สูญเสียฐานการแบ่งตัวทำให้จากนี้พวกมันจะค่อยๆ หยุดการแบ่งตัวไป และเซลล์ก็จะตาย ถือว่าสามารถควบคุมอาการไว้ได้


ช่วงบ่ายศาสตราจารย์คาร์ลหยุดงาน พาฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงทัวร์บอสตัน


บอสตันเป็นเมืองเก่าแก่ ก่อตั้งขึ้นในปี 1630 โดยกลุ่มพิวริตันจากประเทศอังกฤษที่อพยพเข้ามา


เมืองนี้สร้างอยู่บนคาบสมุทร โดยมีช่องแคบคอคอดเชื่อมระหว่างเกาะหลัก ถูกล้อมรอบด้วยอ่าวแมสซาซูเซตส์กับอ่าวแบ็ค…และปากแม่น้ำชาร์ลส์ เพราะเนินเขาเล็กๆสามลูกบริเวณช่องแคบ บอสตันจึงได้ชื่อว่าเมืองสามภูเขา


ตามปกติ บอสตันมักโดนเข้าใจว่าเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่โดดเด่นของอเมริกา หลังสร้างเมืองนี้ได้ไม่นานในปี 1635 พวกพิวริตันก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนรัฐแห่งแรกในอเมริกา คือโรงเรียนลาตินบอสตัน และปีถัดมาก็ถือกำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งแรกในอเมริกา วิทยาลัยนั้นก็คือ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่โด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง!


ตลอดทางศาสตราจารย์คอยแนะนำความรู้เรื่องภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของเมืองนี้มากมายให้พวกเขา จากนั้นพาพวกเขาไปดูโบสถ์เก่าทางเหนือที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในบอสตัน ชมหอแฟนิวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ต้นกำเนิดสงครามปฏิวัติอเมริกา’ เยี่ยมชมห้องสมุดบอสตัน และแน่นอน ไชน่าทาวน์


แทบจะทุกเมืองใหญ่ของอเมริกาล้วนมีไชน่าทาวน์ ถึงเศรษฐกิจในสถานที่นี้จะยังเติบโตได้ดี แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนผิวขาวและคนผิวสีทั้งยอมรับและไม่ยอมรับกัน


มื้อเย็นพวกเขากินอาหารเสฉวนดั้งเดิมที่ไชน่าทาวน์กันสบายๆ เพราะเหมาเหว่ยหลงไปพูดสำเนียงซีหนานเก่าไม่กี่ประโยคกับเจ้าของร้านที่ดันเป็นคนท้องถิ่น เจ้าของร้านจึงยืนกรานจะให้ส่วนลด 20% และยังทำบัตรวีไอพีให้กับพวกเขาอย่างมีน้ำใจ


เมื่อกินเสร็จ ก็เตรียมตัวไปสนามกีฬาชมการแข่งขันต่อ


การแข่งเพื่อการกุศลจะเริ่มตั้งแต่หกโมงตรง ซึ่งไม่ได้มีแค่การแข่งขัน ช่วงแรกคือเหล่าแพทย์ที่มาเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งในสมองแก่พวกนักบาสชื่อดัง เป็นการเตือนผู้คนที่มาชมให้ความสนใจโรคนี้ เพื่อเข้ารับการรักษาและช่วยควบคุมโรค


ฉินสือโอวเป็นหนึ่งในวีไอพีที่ถูกเชิญมา เขาจึงมีห้องส่วนตัวพิเศษ


ห้องส่วนตัวของสนามกีฬาทีดี การ์เด้นฝั่งเหนือตั้งอยู่ตรงกลาง หนึ่งห้องมีขนาดยี่สิบสี่ยี่สิบห้าตารางเมตร ด้านในมีโซฟา โต๊ะเก้าอี้ ตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศแบบพิเศษ เหมือนห้องส่วนตัวที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรา


โดยทั่วไปห้องส่วนตัวไม่ได้เตรียมไว้สำหรับแฟนคลับ แต่สำหรับเหล่าผู้ประกอบการที่จัดให้ลูกค้าคนสำคัญ จุดมุ่งหมายการมาสนามกีฬาของคนพวกนี้ก็ไม่ใช่การมาดูบอล แต่เพื่อเจรจาธุรกิจและอื่นๆ ซึ่งตัวห้องแยกห่างจากสนามค่อนข้างไกล จึงไม่เหมาะสำหรับดูการแข่งขัน


เหมาเหว่ยหลงกับฉินสือโอวมาการแข่งขันออลสตาร์เพื่อการกุศลโดยเฉพาะ ก็เพื่อดูการเล่นของนักบาสชื่อดังในเอ็นบีเอให้ดีต้องได้อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธห้องส่วนตัว แล้วไปยังแถวที่สองของที่นั่งผู้เข้าแข่งขัน


แน่นอนว่า พวกวีไอพีไม่สามารถเดินเข้าไปได้ตามใจชอบ ผู้จัดงานย่อมกลัวว่าจะต้องเจอกับความไม่ใส่ใจ อย่างการดูบาสแล้วแอบหนีหายไม่บริจาคเงิน แม้ว่าการบริจาคจะต้องทำด้วยความสมัครใจก็ตาม


ฉินสือโอวดึงเช็คสองแสนดอลลาร์อเมริกาใบหนึ่งขึ้นมาให้ก่อน ผู้จัดงานพึงพอใจมาก เงินเท่านี้ไม่นับว่าเยอะอะไร เมื่อแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆเรียบร้อย ฉินสือโอวเสนอว่าเขาอยากไปดูการแข่งขันที่แถวหน้า ผู้จัดงานก็กระตือรือร้นรีบจัดการเรื่องที่นั่งให้เขาทันที


เหมาเหว่ยหลงเห็นเช็คที่ยื่นส่งไป เหงื่อเย็นๆ ก็เริ่มไหล ถามว่า “สองแสนดอลลาร์อเมริกา? ให้ไปเลยเหรอ?”


ฉินสือโอวมองค้อนเขาทีหนึ่ง ตอบว่า “นายคิดสิ พวกเราจะโดนเชิญมาเป็นแขกวีไอพี ให้นายมาดูบาสฟรีๆ หรือไง”


แต่วันนี้หลังได้รู้ว่าสภาพร่างกายของเออร์บักดีขึ้นกว่าที่คิด ในใจฉินสือโอวก็ยินดีอย่างมากจนไม่ได้สนใจเรื่องเงินเท่าไร อีกไม่นานฟาร์มปลาเขาก็จะเพาะพันธุ์ปลาค็อดได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเดี๋ยวเขาก็ได้กำไรเพิ่มเอง


ผู้สนับสนุนการแข่งเพื่อการกุศลนี้คือดาวเด่นของเอ็นบีเออย่าง เลอบรอน เจมส์ เหตุผลการเลือกจัดที่สนามกีฬาทีมเซลติกส์ เพราะผู้จัดงานคือโรงพยาบาลใหญ่หกแห่งในอเมริกาของเครือโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด


เจมส์มีพรรคพวกไม่น้อยที่เอ็นบีเอ นักบาสชื่อดังที่เชิญมาล้วนไม่ธรรมดา เควิน ดูแรนท์, แอนโธนี่, ดเวน เวด, คริส บอช, ชาลเมอร์ส, สตีเฟน เคอร์รี, ไทรีค เอแวนส์, เลโอนาร์ด แน่นอนว่ายังมีดาวเด่นทีมเซลติกส์อย่างเพีร์ซกับรอนโด เป็นต้น


ตอนฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงเข้าไป จอยักษ์บนสนามกีฬากำลังฉายประโยคหนึ่ง ขอขอบคุณคุณ SHIOU-QIN จากนิวฟันด์แลนด์ที่บริจาค $200,000 สำหรับกิจกรรมของเรา


คนฉายไฟที่ได้รับแจ้งก็สาดดวงไฟใหญ่มาทางเขา ฉินสือโอวที่ไม่ทันตั้งตัว จึงมึนงง โบกมือตอบพลางยิ้มแหยๆไป


เหมาเหว่ยหลงพูดเสียงเบา “เวรแล้วไง พวกเราจะโดนมองเป็นคนทรยศขายชาติไหมเนี่ย ออกเงินทุนวิจัยวิทยาศาสตร์ให้สหรัฐแบบนี้”


ฉินสือโอวยังคงรักษารอยยิ้มสุภาพ พลางเอ่ยอย่างไม่แยแส “นายน่ะสิเป็น ฉันไม่ใช่ ตอนนี้ฉันเป็นผู้เสียภาษีในแคนาดาแล้ว จะใช้เงินตัวเองยังไงก็ได้ อีกอย่าง ฉันสนับสนุนการวิจัยวิทยาศาสตร์ การแพทย์ที่ไร้พรมแดน ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”


ด้วยอำนาจของเงิน เมื่อทั้งสองนั่งลงหลังที่นั่งผู้เล่น สตีเฟน เคอร์รีที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็หันมาทักทาย “ไฮ สวัสดีครับ คนจีนใช่ไหมครับ? เฮ้ ผมมีเพื่อนคนจีนที่ซานฟรานซิสโกหลายคนเลย มีคนหนึ่งแซ่ฉินเหมือนกัน”


เคอร์รีเป็นดาวเด่นของเอ็นบีเอที่ค่อนข้างหน้าตาดี หน้าเด็ก บุคลิกดี


ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงหันไปแตะมือกับเขา ฉินสือโอวเอ่ยว่า “นั่นเยี่ยมไปเลย เพื่อน ผมรักทีมของคุณมาก น่าเสียดายผมอยู่ที่นิวฟันด์แลนด์ ได้เจอพวกคุณแค่ตอนแข่งฤดูกาลละหนึ่งครั้งเอง แต่ผมอยากไปเชียร์คุณที่ซานฟรานซิสโกในฤดูหน้านะ เพื่อน”


“มาเชียร์ผมที่ไมอามีด้วยสิ” เวดหันมาตอบยิ้มๆ


ฉินสือโอวแตะมือกับเขา ตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว แฟนผมก็อาศัยอยู่ชั่วคราวที่ไมอามี เธอเป็นแอร์โฮสเตสของเอซีอี (บริษัทถือหุ้นสายการบินแคนาดา) บินไปมาระหว่างโทรอนโตกับไมอามี เป็นสาวที่น่ารักมากเลย”


ฉินสือโอวกำลังจะพูดต่อ ปรากฏเวดกลับชะงัก แล้วถามขึ้นว่า “แฟนสาวคุณ คงไม่ใช่สาวผมดำที่ชื่อวินนี่ เซโรวาหรอกนะ”


………………………………………


 

 

 


บทที่ 163 จดหมายเชิญมูลค่านับล้าน

 

ฉินสือโอวนิ่งไป ชื่อเสียงวินนี่ดังขนาดนี้เลยเหรอ? คนที่ตามบาสเกตบอลต่างรู้ดี เวดที่เป็นถึงวีรบุรุษด้านกีฬาแห่งไมอามี ก็ยังรู้จักวินนี่ด้วย?


เขาหยิบโทรศัพท์ที่มีรูปเขาถ่ายเซลฟี่กับวินนี่ออกมาแล้วส่งให้เวดดู อีกฝ่ายพลันทำหน้าหม่นหมอง ส่ายหัวกล่าวว่า “มิน่าเล่า ที่แท้เธอมีแฟนอยู่แล้วนี่เอง ผมถึงเห็นเธอเก็บโทรศัพท์ไม่ห่างตัวเลย”


บอชที่นั่งอยู่ด้านข้างหยิบมาดู พวกเขาล้วนเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ถ้าฉินสือโอวไม่ได้พบปะกับอีวิลสันบ่อยๆ คงรู้สึกกดดันที่ต้องนั่งกับคนพวกนี้


บอชเห็นก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “คริส รอบนี้นายตัดใจดีกว่าไหม? หึๆ นายต้องเปลี่ยนเป้าหมายแล้วล่ะ สาวแอร์คนนี้คงไม่ใช่เหยื่อของนายแล้ว”


จากนั้นเขาก็อธิบายให้ฉินสือโอวฟัง “ปีนี้ตอนพวกเราไปแข่งรอบสุดท้ายในโทรอนโต เที่ยวบินที่พวกเรานั่งก็คือของแฟนคุณนั่นแหละ แฟนคุณน่ะเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมมากเลย ทำพวกเราพี่น้องหลงกันไปหมด”


เวดพูดอย่างไม่พอใจ “บ้าเอ้ย เป็นไปไม่ได้ ฉิน คุณกับวินนี่แต่งงานกันหรือยัง?”


ฉินสือโอวยักไหล่ “ยังไม่แต่งงาน…”


เวดเริ่มยิ้ม แต่ฉินสือโอวพูดต่อ “แต่เรามีลูกสองแล้วล่ะ”


เวดยิ้มค้างบนหน้า


ฉินสือโอวแอบคิดในใจว่า ตัวเขาไม่ได้พูดมั่วนะ วินนี่ถึงกับเรียกหู่จือกับเป้าจือว่า ‘ลูกๆ ที่น่ารักของฉัน’ ล่าสุดเขายังโดนเรียกเป็น ‘พ่อ’ เลย จะบอกว่าหมาสองตัวนั้นไม่ใช่ลูกได้ไง?


เคอร์รีและบอชโห่ คริส พอลที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างจึงถามด้วยความสงสัย พอเข้าใจเรื่องทั้งหมดก็หลุดหัวเราะออกมา พูดกับเวดว่า “พ่อยอดนักรักเอ้ย สมควรโดนแล้ว”


ด้านเหมาเหว่ยหลงไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย มัวยุ่งหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป ซึ่งพวกนักบาสชื่อดังดูจะชินแล้ว เลยไม่มีใครแสดงท่าทีไม่พอใจ ยิ่งคนอารมณ์ดีอย่างเคอร์รีกับพอล ยังให้ความร่วมมือโพสท่าตามด้วย


หลังการบรรยายความรู้ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง การแข่งขันจึงเริ่มขึ้น เหล่าแพทย์ลงจากสนาม นักบาสดาวเด่นเข้าสนามวอร์มร่างกาย


จอใหญ่บนสนามกีฬายังคงแสดงรายชื่อผู้บริจาค คนที่บริจาคมากที่สุดคือจิม วอลตัน ด้วยจำนวนเงินห้าล้าน ขณะที่ไม่มีใครบริจาคถึงหนึ่งล้านเลย คนส่วนใหญ่จะบริจาคหลักร้อยถึงหลักพันดอลลาร์ ซึ่งคนพวกนี้ได้นั่งบนอัฒจันทร์ปกติ


“จิม วอลตันเป็นใครกัน?” ฉินสือโอวกระซิบถาม โทรศัพท์เขาไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตที่อเมริกาได้ จึงหาข้อมูลของคนนี้ไม่ได้


เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวตอบไม่รู้เหมือนกัน แต่เขารู้ว่าพลังการขูดรีดเงินของอเมริกานั้นทรงพลังมาก ทีแรกเขาคิดว่าการแข่งเพื่อการกุศลนี้ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว ตอนนี้ถึงเข้าใจว่ามันเก็บเงินไม่ต่างกัน โดยหักเป็นเงินค่าเช่าสนามกีฬา และที่เหลือเป็นทุนของศูนย์วิจัยมะเร็งสมอง


นอกจากดาวเด่นเอ็นบีเอที่เข้าสนามมา ยังมีเอ็นซีเอเอ[1]บางส่วนที่ตอนนี้กลายเป็นจุดสนใจกว่าดาวเด่นนักบาสไปแล้ว แต่ฉินสือโอวไม่รู้เกี่ยวกับพวกเขาเท่าไร เห็นแค่เด็กหนุ่มที่ดันได้รับความนิยมมากกว่าเหล่านักบาสชื่อดังเท่านั้น ตอนจิบน้ำระหว่างวอร์มร่างกาย พวกแฟนบาสก็ส่งเสียงเชียร์ไม่หยุด


การแข่งเริ่มขึ้นแล้ว ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงยืนขึ้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาจงใจ แต่พอได้ดูการแข่งแบบนี้ เลือดมันก็พลุ่งพล่านจนนั่งไม่ติดไปเอง แม้จะเป็นแค่การแข่งกระชับมิตร แต่ก็แข่งกันอย่างดุเดือดมาก


เพื่อป้องกันตัวเอง และเพื่อทำให้การแข่งขันน่าสนใจขึ้น ส่วนใหญ่พวกดาวเด่นจึงไม่เน้นป้องกัน แต่เน้นการประสานทีมและการรุก การปะทะส่งบอลอันยอดเยี่ยมและการชู้ตลูกยาวครึ่งสนามที่ดูจะไม่สิ้นสุด เสียงลมแหวกอากาศราวจามขวานยามสแลมดังก์ ทั้งสนามแทบลุกเป็นไฟ


การแข่งขันเอ็นบีเอต้องดูที่สนามกีฬาเท่านั้น ถึงจะสัมผัสได้ถึงความดุเดือดเลือดพล่าน


ถ้าดูผ่านโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ จอที่เล็กเกินไปจะลดเสน่ห์ของการแข่งลง ยิ่งละสายตาจากจอก็ยิ่งทำให้เสียอรรถรสไปอีก ด้วยเหตุนี้เองเอ็นบีเอจึงชนะใจแฟนคลับนับไม่ถ้วน หากได้ดูจากในสนาม แฟนคลับคงแทบเป็นลมกันเพราะความบ้าคลั่งของการชิงชัยอันดุเดือดและบรรยากาศการแข่งขัน


ตอนดูการแข่งเอ็นบีเอโดยเฉพาะตำแหน่งพอยต์การ์ด (คนส่งลูก) กับชู้ตติ้งการ์ด ต้องตั้งใจเป็นพิเศษ เผลอไปนิดเดียวอาจพลาดฉากสำคัญได้


โค้ชของทั้งสองทีมต่างก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน ท่านหนึ่งคือเจฟฟ์ ฟาน กันดี้ ที่แฟนๆชาวจีนคุ้นเคยดี ช่วงขาขึ้นของเหยาหมิงส่วนใหญ่ก็เล่นอยู่ในทีมของโค้ชท่านนี้นั่นเอง อีกท่านหนึ่งคือสตีฟ เคอร์ ตัวเต็งที่คอยอยู่เคียงบ่าจอร์แดนแทบทุกสนาม


การแข่งกระชับมิตรและโค้ชไม่ได้เกี่ยวข้องกันอย่างใด โค้ชทั้งสองจึงกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร บางครั้งก็เรียกขอเวลานอก เพื่อให้พวกเชียร์ลีดเดอร์ได้มีโอกาสแสดง


แข่งไปสี่สิบแปดนาที ไม่ทันครึ่งชั่วโมงก็จบเสียแล้ว ซึ่งในสถานการณ์ปกติ นัดหนึ่งเอ็นบีเอจะใช้เวลาเล่นประมาณสองถึงสามชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับการหยุดขอเวลานอก


เมื่อการแข่งจบลง เหล่าดาวเด่นนักบาสก็กลับห้องล็อกเกอร์ แล้วผู้จัดงานก็มากล่าวขอบคุณทุกคนที่ช่วยบริจาคมาตลอด คนที่บริจาคหลักล้านขึ้นไป ล้วนได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ ส่วนฉินสือโอวอยู่ระดับกลางๆ ระหว่างนั้นฉินสือโอวได้รับข้อความจากเออร์บักว่าให้เขาบริจาคเพิ่มเป็นหนึ่งล้าน


ฉินสือโอวไม่ค่อยเข้าใจ แต่เออร์บักมักจะทำโดยคำนึงถึงเขาเสมอ ดังนั้นเขาจึงเพิ่มไปอีกแปดแสน รวมเป็นหนึ่งล้านดอลลาร์อเมริกา ทำเหมาเหว่ยหลงอุทานว่าเขาบ้าไปแล้ว


พวกดาวเด่นเองก็มีระดับการบริจาคต่างกันไป คนที่บริจาคเยอะที่สุดก็คือผู้สนับสนุนรายหลัก จักรพรรดิน้อยเลอบรอน เจมส์ เขาและฉินสือโอวบริจาคหนึ่งล้านเท่ากัน ขณะที่นักบาสคนอื่นบริจาคกันหนึ่งแสนสองแสน


ในสนามแข่งเพื่อการกุศลตกอยู่ในความเงียบ กระทั่งผู้จัดงานแสดงความขอบคุณสั้นๆ อีกครั้ง ฉินสือโอวจึงได้รู้ว่ารวมค่าตั๋วแล้ว ได้รับเงินบริจาคทั้งหมดเกือบยี่สิบล้านดอลลาร์อเมริกา!


พอทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็มีรปภ.มาพาพวกแฟนบาสออกจากสนาม ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงกำลังจะเตรียมเดินออก ก็ถูกศาสตราจารย์คาร์ลขวางพวกเขาไว้ บอกว่ายังมีงานเลี้ยงต่ออีกจะไปร่วมด้วยก็ได้


ฉินสือโอวไม่ได้สนใจงานเลี้ยงแบบนี้ ศาสตราจารย์คาร์ลจึงเตือนเขาว่า “ฉิน นายจะพลาดงานเลี้ยงนี้ได้อย่างไร คนที่เข้าร่วมงานได้นอกจากนักบาสดาวเด่นที่ได้รับเชิญแล้ว ก็มีแค่เศรษฐีที่บริจาคหนึ่งล้านเท่านั้น”


ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก ฉินสือโอวก็เข้าใจทันที งานเลี้ยงนี้คือการพบปะในวงการสังคมและเป็นโอกาสในการเพิ่มเส้นสาย เออร์บักถึงให้เขาบริจาคหนึ่งล้านเพื่อได้รับโอกาสนี้


จริงอยู่ ที่เส้นสายของฉินสือโอวค่อนข้างแคบ แม้ฐานะทางสังคมเขาจะมีค่าเกือบหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์แคนาดาแล้วก็ตาม แต่นอกจากเศรษฐีที่รู้จักในบริษัทจัดประมูลริชชี่ เขายังไม่มีเส้นสายในแวดวงอื่นเลย


ไม่ว่าที่ไหน เส้นสายล้วนเป็นสิ่งสำคัญ


ฉินสือโอวจึงตามศาสตราจารย์คาร์ลขับไปยังร้านอาหารที่จัดเตรียมไว้ในโรงแรมฮิลตันบอสตัน เออร์บักรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว คาร์ลพาฉินสือโอวมาส่งให้เพื่อน แล้วขับรถจากไป


เมื่อเข้าประตูไปก็มีรปภ.มาต้อนรับ หลังยืนยันฐานะของฉินสือโอวเรียบร้อย จึงอนุญาตให้เขาเข้าได้


เออร์บักอธิบาย “งานเลี้ยงครั้งนี้คุณจิม วอลตันเป็นผู้จัด คนที่เข้าร่วมได้มีแต่เศรษฐีเท่านั้น แต่นอกจากนักบาสชื่อดัง นายคงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดแล้ว บางทีอาจกลายเป็นจุดสนใจก็ได้”


ฉินสือโอวยิ้ม แล้วถามคำถามที่กวนใจเขามานาน “ว่าแต่คุณจิม วอลตันนี่ เขาเป็นใครเหรอครับ?”


เออร์บักมองเขาอย่างตะลึง ก่อนส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจกล่าวว่า “ฉิน ฉันรู้ว่านายรู้เรื่องแวดวงในสังคมเศรษฐีไม่มาก แต่ไม่นึกว่าจะน้อยขนาดนี้ นายคงรู้จักวอลมาร์ตใช่ไหม? จิม วอลตันก็คือประธานวอลมาร์ตยังไงเล่า!”


วอลมาร์ต บริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก!


ฉินสือโอวแอบสบถว่าหลอกลวง ตอนแรกเขาเข้าใจว่า เจ้าของวอลมาร์ตก็นามสกุลวอลมาร์ตเหมือนกัน ที่ไหนได้เป็นวอลตันหรอกเหรอ คนละอย่างกันเลย


………………………………………………………


[1] National Collegiate Athletic Associatio สมาคมกีฬาระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ องค์กรอาสาสมัครจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ 

 

 


บทที่ 164 ต้อนรับแขก

 

เมื่อเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบสวมชุดสูทเนี้ยบคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทั้งรอยยิ้ม เขาสวมแว่นตาขอบสีดำ มีกลิ่นอายความสง่างาม เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สวมชุดทางการท่านหนึ่ง


“จิม สวัสดีตอนเย็นครับ เป็นเกียรติที่ได้มางานของคุณมากครับ” เออร์บักเข้าไปยื่นมือทักทายก่อน เป็นการบอกฉินสือโอวกลายๆ ว่า คนผู้นี้ก็คือราชาแห่งอาณาจักรวอลมาร์ตอันยิ่งใหญ่ จิม วอลตันนั่นเอง


วอลตันเป็นกันเองมาก เขาจับมือเออร์บักกล่าวยิ้มๆ “การได้เชิญคุณมาก็ถือเป็นเกียรติสำหรับผมเหมือนกันครับ คุณเออร์บัก คุณพ่อเคยบอกผมว่า ไม่มีทนายคนไหนในอเมริกาที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพเท่าคุณอีกแล้ว ซึ่งผมก็จำไว้ในใจมาตลอด หวังว่ายามจำเป็นในอนาคต ผมจะได้รับความช่วยเหลือจากคุณนะครับ”


จากนั้นก็มีคนเข้ามาเพิ่ม แต่วอลตันไม่ได้ออกไปรับด้วยตัวเอง แม้แต่พวกนักบาสชื่อดังอย่างแอนโธนี่กับบอชที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้ว


แสดงให้เห็นว่าชื่อเสียงของเออร์บักไม่ได้มีอยู่แค่ในแคนาดา ที่อเมริกาเองเขาก็เป็นคนดังมากเช่นกัน


เออร์บักกล่าวชมวอลตันอีกเล็กน้อย แล้วจึงแนะนำฉินสือโอว


สำหรับฉินสือโอว วอลตันไม่ได้สนใจมากนัก ไม่ว่าอายุ เส้นสาย ความรู้หรือทรัพย์สิน พวกเขาก็อยู่คนละระดับกัน วอลตันเข้ามารับเองก็เพราะเออร์บัก ดังนั้นเมื่อเขาต้อนรับเออร์บักเสร็จ จึงทำความรู้จักฉินสือโอวเพียงสั้นๆแล้วจากไป


พอวอลตันไปแล้ว ก็มีหญิงสาวขายาวสะโพกผายสวมชุดสูท OL สีขาวน้ำนมเข้ามายื่นนามบัตรใบหนึ่งให้ฉินสือโอวอย่างสุภาพ ตัวนามบัตรบางแต่แข็ง ด้านบนเขียนว่าจิม วอลตันมีเบอร์บริษัท เบอร์มือถือ และอีเมล


แน่นอน นี่ก็คือเป้าหมายของเหล่าเศรษฐีในงานเลี้ยงครั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อเพื่อวันหลังจะได้ทำธุรกิจร่วมกัน


ฉินสือโอวเริ่มกระอักกระอ่วน เขายังไม่มีนามบัตรเลย ปรากฏเออร์บักยกยิ้มแล้วดึงนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าชุดสูทส่งให้หญิงสาว ฉินสือโอวแอบชำเลืองดู นั่นนามบัตรเขานี่หว่า


หญิงสาวรับนามบัตรเขาไปเก็บไว้ ก่อนจะผละไปเธอขยิบตาให้ฉินสือโอว แฝงท่าทีมีลับลมคมในชัดเจน


ในใจฉินสือโอวรีบท่อง ‘รูปลักษณ์คือความว่างเปล่า’ ‘สาวเสน่ห์ร้ายก็เหมือนกระดูกขาว’ ‘ฉันเป็นผู้ชายของวินนี่’ ฯลฯ ไปมาให้ใจมันสงบลง หญิงสาวคนนี้ถือว่าคุณภาพสูงทีเดียว ไม่ว่าความสวย เสน่ห์ทางเพศ และท่าทางที่ดูมีประสบการณ์ ดูอย่างไรก็ปีศาจกระดูกขาวชัดๆ


นอกจากนี้ยังเป็นถึงเลขาสาวของจิม วอลตันได้ ย่อมไม่มีทางธรรมดาแน่


รอจนหญิงสาวเดินไปไกลแล้ว เออร์บักก็ลดเสียงพูดยิ้มๆ ว่า “ดอริสถือเป็นผู้จัดการสาวมืออาชีพในย่านธุรกิจเลย คนมีความสามารถอายุน้อยหลายคนของวอลสตรีตต่างหมายปองเธอ แต่ก็ไม่สำเร็จทั้งนั้น คิดว่าไงล่ะ? นายไม่ลองหน่อยเหรอ? ฉันรู้สึกว่าเธอน่าจะสนใจนายนะ”


ดอริสมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม ถึงกับสามารถติดตามวอลตันได้ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์โชกโชนมาขนาดไหน แค่มองแวบเดียวก็เห็นถึงความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อและความไม่ธรรมดาที่อยู่ภายในร่างวัยเยาว์ คนอายุน้อยแบบนี้อาจยังไม่เป็นที่รู้จักในช่วงหนึ่ง แต่เมื่อไรที่มีโอกาส จะทะยานขึ้นฟ้าแน่นอน


นอกจากนี้ ขนาดไม่รู้สถานะหรือปูมหลังของฉินสือโอว ก็มองออกว่าการที่เขาพาเออร์บักทนายชื่อดังของอเมริกามาร่วมงานด้วยได้นั้น ก็รู้ทันทีว่าความสามารถเขาต้องไม่ธรรมดา


ฉินสือโอวยักไหล่ พยายามคุมสายตาตัวเองไม่ให้มองตามสาวขาสวยสะโพกผายคนอื่น แล้วพูดเสียงเบาหวิวว่า “ผมไม่ได้สนใจผู้หญิง…”


สตีเฟน เคอร์รีและคริส พอลที่เดินผ่านมา ได้ยินประโยคนั้นของฉินสือโอวเข้าพอดี นักบาสทั้งสองมองหน้ากัน แล้วก้าวถอยหลังไปเงียบๆ


ฉินสือโอวรีบอธิบาย “บ้าเอ้ย ผมไม่ได้สนใจผู้ชายด้วย…”


เคอร์รียักไหล่ จงใจเหยียดยิ้มตอบว่า “คุณไม่ต้องอธิบายก็ได้ ฉิน เราไม่เลือกปฏิบัติกับคุณหรอก”


“ใครจะกล้าเลือกปฏิบัติกับคุณกัน? ที่อเมริกาถ้าทำแบบนั้นกับคนรักร่วมเพศเดี๋ยวได้โดนฟ้องกันพอดี โดยเฉพาะตอนที่ข้างตัวคุณมีทนายความชื่อดังอยู่คนหนึ่งด้วยเนี่ย” พอลกล่าวเสริม


หยอกล้อกันเสร็จ ทั้งสองก็หัวเราะเสียงดัง ฉินสือโอวยื่นกำปั้นไปด้านหน้า ชนกับทั้งสองคน พอนิสัยเข้ากัน คุยแค่ไม่กี่ประโยคก็กลายเป็นเพื่อนกันได้แล้ว


ทว่ามันก็มาจากการสร้างพื้นฐานทางฐานะ ทรัพย์สิน และความเท่าเทียมของทั้งสองฝ่ายด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเหมาเหว่ยหลง ต่อให้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองนิสัยเข้ากับพวกดาวเด่นเอ็นบีเอมากแค่ไหน แต่พวกนั้นก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้เร็วเท่านี้


ฉินสือโอวเพิ่งเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ครั้งแรก ยิ่งมีเออร์บักพามายิ่งไม่ชิน ไม่ต้องบอกเลยว่าอึดอัดขนาดไหน


หลังได้คุยกับประธานบริหารเมอร์เซเดสเบนซ์อีกเล็กน้อย ฉินสือโอวพาลไม่อยากสนใจต่อแล้ว วัฒนธรรมกับวิธีสื่อสารต่างกันเกินไป ผู้คนชูแก้วกับเขาแล้วเริ่มคุยเรื่องวัฒนธรรมไวน์ และไล่ลำดับแต่ละห้าโรงงานผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ซึ่งเขาได้แต่ฟังอย่างอึ้งๆ ไม่สามารถต่อบทสนทนาได้


เหนื่อยจะเจรจากับคนพวกนี้ต่อแล้วนะ ฉินสือโอวแอบบ่น ‘ตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่พนักงานเล็กๆ อีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเจอหน้าพวกนายไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะงั้นพ่อไม่อยู่คอยมันแล้ว’


ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาผละจากการนำของเออร์บักที่พาไปแลกนามบัตรเสร็จรอบหนึ่งแล้ว ก็ตรงไปคุยกับพวกดาวเด่นนักบาสแทน


ในส่วนของคนอายุน้อย นอกจากลูกหลานผู้มีอิทธิพลของวอลตัน ที่เหลือก็มีฉินสือโอว เหมาเหว่ยหลงและดาวเด่นเอ็นบีเอ


พวกดาวเด่นมีอำนาจเต็มที่ในสนามบาส แต่ก็ไม่ได้ชื่นชอบการต้องมาพูดคุยแบบนี้เท่าไรเช่นกัน ด้วยเหตุผลเดิม ต่างฝ่ายมีข้อมูลและที่มาไม่เท่ากัน


เหมาเหว่ยหลงดูจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เขาแลกข้อมูลติดต่อ แค่กับพวกดาวเด่น ดีที่เขามีทวิตเตอร์อยู่พอดี จึงสามารถกดติดตามพวกเขาได้ ยามนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองนั้นช่างยอดเยี่ยมจนแทบเปล่งประกายทีเดียว


เมื่อคนมาครบแล้ว วอลตันก็กล่าวเปิดงานเลี้ยง ขอบคุณผู้บริหารโรงพยาบาลใหญ่ทั้งห้าแห่ง ขอบคุณเหล่านักบาสชื่อดังเอ็นบีเอ ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมแก้ปัญหาทั่วโลกอย่างมะเร็งสมอง ตามด้วยบทพูดอีกชุดหนึ่ง ซึ่งฉินสือโอวได้ยินมามากพอแล้ว วอลตันยังพูดไม่ดีเท่าคำปราศรัยการประชุมประจำปีของผู้จัดการที่บริษัทปิโตรเลียมเลย


งานเลี้ยงเริ่มไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่ถึงเที่ยงคืนก็เลิกแล้ว ฉินสือโอวกอดบอกลากับเคอร์รี พอล และดาวเด่นคนอื่นๆ แยกย้านกลับบ้านตัวเอง และชวนพวกเขาว่าถ้าตอนมาพักร้อนไม่มีอะไรทำจะไปเที่ยวกับพวกเขาก็ได้


ระหว่างทางกลับ เหมาเหว่ยหลงที่ยังไม่หายตื่นเต้น ก็ไถเว่ยป๋อ ไถ** ไถคิวคิว ไถทวิตเตอร์ จนโทรศัพท์ไม่มีอะไรเหลือให้เขาไถแล้ว


ในที่สุดก็ถึงห้องพักโรงแรม เหมาเหว่ยหลงไปอาบน้ำก่อน แสงจากโทรศัพท์ฉินสือโอวกะพริบไม่หยุด เขาจึงเปิดดู เจ้าหมอนี่แกล้งโพสเรื่องลงในบอร์ดบาสเก็ตบอลหู่พู[1] ชื่อรูปที่โพสคือ ‘อวดนักบาสดาวเด่นเอ็นบีเอที่คุณเคยเจอกัน’


ด้านล่างมีคนตอบกลับ ส่วนใหญ่เป็นรูปโคบี ไบรอันต์ที่มาประเทศจีน แม็คเกรดี มาร์บูรี่และพวกนักบาสดาวเด่นที่มาจีน สุดท้ายเหมาเหว่ยหลงก็อวดรูปที่เขาถ่ายด้วยกันก่อนหน้า ทั้งเคอร์รี่, พอล, เจมส์, เพียร์ซไปทีละรูป


ฉินสือโอวยิ้ม ตอนนี้เขายิ่งชอบเหมาเหว่ยหลงกว่าเดิมอีก เพราะเวลาอยู่กับหมอนี่ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้ ที่โดนเนียนฉวยโอกาสไม่หยุด หรือประโยคที่ว่า ‘ระดับความเสแสร้งฉันมันเท่าฟ้า’


เขาโยนโทรศัพท์ไปบนหัวเตียง ฉินสือโอวล็อกอินเข้าเว็บท่องเที่ยวอเมริกาเหนือเตรียมจองเที่ยวบินไปไมอามี เขาเซ้าซี้ถามเวลากลับถึงไมอามีของวินนี่มาแล้ว เที่ยวบินเธอจะหมดพรุ่งนี้ช่วงเย็น แล้วพักผ่อนอีกสองวัน


………………………………………………..


[1] เว็บกลุ่มที่ใช้แชร์เรื่องราวตามหมวดต่างๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)