กระบี่จงมา 157-158.2
บทที่ 157 นับแต่โบราณกาลมาปราชญ์เมธีล้วนเงียบเหงา
โดย
ProjectZyphon
สำหรับในสายตาของแม่นางน้อยที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลแล้ว เขตการปกครองที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิงแห่งนี้ช่างคึกคักยิ่งนัก ต่อให้เมืองเล็กที่เป็นบ้านเกิดมารวมกันหลายแห่งก็ยังเทียบไม่ได้
แต่ในสายตาของซิ่วไฉเฒ่าที่เห็นโลกมามากมาย แน่นอนว่าต้องมองการณ์ไกล มองเห็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงได้ดีกว่า เขาอาจจะเห็นภาพที่กองทัพม้าเหล็กบุกลงใต้ ควันดินปืนปะทุสี่ทิศชวนสลดหดหู่ใจมานานแล้ว เสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้คนที่รวมตัวจอแจจะกลายมาเป็นต้นตอของความเจ็บปวดรวดร้าวในกาลหลัง กลับเป็นขอทานข้างถนนสวมเสื้อผ้าเก่าขาดต่างหากที่พอได้รับความทุกข์ทรมานในอนาคตจะยิ่งผ่อนคลายมากกว่า ส่วนพวกอันธพาลเกกมะเหรกเกเรก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะก้าวกระโดดขึ้นท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวาย ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นขุนนาง ชนชั้นสูง แม่ทัพนายกองรุ่นใหม่ของแคว้นหวงถิง
เพียงแต่ว่าซิ่วไฉเฒ่าที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนย่อมไม่มีทางเปิดเผยอารมณ์เหล่านี้ออกมาทางใบหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำลายอารมณ์สนุกสนานในการเดินเล่นของเด็กหนุ่มและแม่นางน้อย
ผู้เฒ่าพาพวกเขาเลี้ยวซ้ายทีขวาทีเจ็ดแปดตลบ พอเจอร้านหนังสือเก่าแก่ร้านหนึ่งก็ควักเงินตัวเองซื้อหนังสือให้คนทั้งสองหลายเล่ม ผู้เฒ่าเจ้าของร้านคือบัณฑิตตกอันดับที่สอบเคอจวี่ไม่สมใจปรารถนา เวลาปกติเห็นใครก็ไม่ใคร่จะให้ความสนใจ แต่พอเจอกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับกลับเหมือนกับวีรบุรุษที่ได้พบกันเมื่อสาย บวกกับที่ความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าสยบให้เขายอมศิโรราบ หนังสือราคายี่สิบตำลึงเงินจึงคิดแค่สิบตำลึงเงินเท่านั้น พอซิ่วไฉเฒ่าเดินออกมาจากประตู เห็นสีหน้าเลื่อมใสของเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ “เป็นยังไง เรียนหนังสือยังพอมีประโยชน์ใช่ไหม? วันนี้ช่วยพวกเจ้าประหยัดเงินไปได้แปดกว่าตำลึงเงิน เพราะฉะนั้นถึงมีคำบอกอย่างไรล่ะว่า ในตำราย่อมมีห้องทองคำ…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็ลดเสียงลง ทำท่าทางลึกลับ “แต่อย่าว่าไปนะ ทางทิศใต้มีสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า ในตระกูลสกุลเฉินที่เป็นชาวขงจื๊อดั้งเดิมมีตาเฒ่าคนหนึ่งที่ไม่ถูกชะตากับข้าเอาเสียเลย ตอนเขายังหนุ่มก็เอาแต่อ่านหนังสือทั้งเช้ากลางวันเย็น อ่านไปได้หลายสิบปี คงจะเพราะศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงแก่น มีวันหนึ่งสามารถอ่านจนเจอห้องทองคำและสาวงามคนหนึ่งจริงๆ”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง กลืนน้ำลาย “ห้องทองคำนั่นใหญ่แค่ไหน?”
ส่วนหลี่เป่าผิงกลับถามอย่างใคร่รู้ “แล้วสาวงามคนนั้นงามถึงขนาดไหน?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า ยื่นนิ้วชี้หน้าเด็กทั้งสอง “วันหน้ามีโอกาสก็ไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง ข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอก สิบปากว่าย่อมไม่เท่าตาเห็น ภูเขาสวย น้ำใส ทัศนียภาพงดงามล้วนมีเขียนบรรยายอยู่ในหนังสือก็จริง แต่ก็ไม่สู้ได้เห็นด้วยตาตัวเอง”
หลี่เป่าผิงพลันถาม “อาจารย์เฒ่าเหวินเซิ่ง ทำไมท่านถึงซื้อหนังสือพวกนั้นให้อาจารย์อาน้อยของข้า มันตื้นเขินมากจริงๆ นะ ขนาดข้ากับหลินโส่วอียังสอนได้ นี่ไม่เท่ากับว่าสิ้นเปลืองเงินหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม ตอบด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันมากๆ ตำราที่มีความรู้อัดแน่นมากที่สุดในใต้หล้า ต้องเป็นตำราที่อธิบายทฤษฎีที่ลึกซึ้งด้วยภาษาง่ายๆ เหมาะสมกับการนำมาสั่งสอนปวงประชามากที่สุด แล้วรู้หรือไม่ว่าตำราแบบนี้ขายด้วยราคาถูกที่สุด? ยกตัวอย่างเช่นตำราอักษรห้าพันตัวของมรรคาจารย์เต๋าเล่มนั้นที่ขายราคาย่อมเยาว์มาก ขอแค่อยากอ่าน ไม่ว่าใครก็หาซื้อได้ ขอแค่ยินดีอ่าน ไม่ว่าใครก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากในตำราเล่มนั้น”
หลี่เป่าผิงเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ “พิมพ์ไว้มาก บวกกับคนซื้อเยอะล่ะสิถึงได้ถูก”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับยิ้มๆ “เดาถูกครึ่งหนึ่ง หากหลักการในตำราแพงเกินไป ใครจะยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน? ทำไมไม่เอาเงินไปซื้อของกินที่ช่วยให้ท้องอิ่มได้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็คือ หากเหล่าอริยะผู้มีคุณธรรมที่สูงส่งเกินใครเหล่านั้นต้องการถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้กลายเป็นความรู้ของหนึ่งเขตการปกครอง หนึ่งแคว้น หรืออาจถึงขั้นหนึ่งทวีป ตลอดทั้งทั่วหล้า ลูกศิษย์ที่ตัวเองสามารถสั่งสอนได้ด้วยตัวเองจะมีสักกี่คน? ยังไม่สู้เผยแพร่แบบกว้างขวาง นำหลักการความรู้ของตัวเองพิมพ์ลงบนตำรา ธรณีประตูต่ำแล้ว คนที่เดินเข้าไปได้ก็จะมีมากขึ้น ธรณีประตูสูงเกินไป แค่ปีนยังปีนข้ามไม่พ้น สุดท้ายจะมีลูกศิษย์ในนาม ลูกศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจอยู่สักกี่คน?”
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างเป็นกังวล “ทำมรึ? รู้สึกว่าไม่น่าสนใจ? แบบนี้ไม่ได้นะ ยังไงก็ยังต้องอ่านหนังสือศึกษาเล่าเรียน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าแค่รู้สึกว่าทำแบบนี้เหมือนแย่งอาชีพของชาวบ้านเลย ที่ตรอกฉีหลงของบ้านเกิด ข้ามีร้านค้าสองร้านที่เพื่อนช่วยดูแลให้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้กำไรหรือขาดทุน”
ดูเหมือนว่าซิ่วไฉเฒ่าจะนึกถึงเรื่องหยุมหยิมเก่าเก็บอะไรได้ก็ให้ปลงอนิจจัง โบกมือเป็นวงกว้าง “ไป จะพาพวกเจ้าไปดื่มเหล้า เฉินผิงอันหากอยากกินจริงๆ ก็ลองดื่มได้สักเล็กน้อย เป่าผิงอายุน้อยเกินไปยังดื่มไม่ได้”
ยังเช้าอยู่มาก หอสุราส่วนใหญ่จึงยังไม่เปิดทำการ ยังดีที่ซิ่วไฉเฒ่าเจอร้านสุราร้านหนึ่งตรงมุมเลี้ยวของถนนเส้นหนึ่ง ในร้านค่อนข้างสกปรกเลอะเทอะอยู่บ้าง ยังดีที่คนทั้งสามไม่สนใจในข้อนี้ หากชุยฉาน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสามคนอยู่ด้วย เกรงว่าคงต้องขมวดคิ้ว อีกหนึ่งสายตามองแต่ที่สูง อีกคนหนึ่งเป็นโรครักความสะอาด ส่วนอีกคนก็ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก คาดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางมาดื่มเหล้าในสถานที่แบบนี้แน่นอน
ซิ่วไฉเฒ่าสั่งเหล้าซ่านจิ่ว (ลักษณะคล้ายเหล้าขาว ใช้วิธีหมักดองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีน คุณภาพเหมือนกับเหล้าขาวในท้องตลาดทั่วไป แตกต่างกันที่ซ่านจิ่วจะไม่มีบรรจุภัณฑ์ คนซื้อต้องเอาภาชนะมาเอง) มาหนึ่งจินกับถั่วลิสงโรยเกลือหนึ่งจาน เฉินผิงอันยังคงยืนกรานว่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่อาจดื่มเหล้า อันที่จริงหลี่เป่าผิงอยากดื่ม แต่มีอาจารย์อาน้อยอยู่ข้างกาย ไหนเลยจะกล้าบอกความต้องการนี้ออกไปจึงได้แต่น้ำลายสอจ้องซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าตาไม่กะพริบ
อยู่กับเฉินผิงอันมานานขนาดนี้ ตั้งแต่หลี่เป่าผิงไปจนถึงหลินโส่วอีและหลี่ไหวล้วนได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยินมาตลอดทาง สำหรับเรื่องที่ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเขาล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ อันที่จริงบางครั้งหลี่เป่าผิงก็รู้สึกว่าอาจารย์อาน้อยเข้มงวดเกินไป แต่เห็นแก่หีบหนังสือใบเล็กที่งดงามและรองเท้าสานคู่น้อยที่ทั้งอ่อนนุ่มทั้งแข็งแรงจึงไม่พูดอะไรให้มากความ
หลินโส่วอีก็เนื่องจากเป็นเทพเซียนบนภูเขา ปณิธานยาวไกลจึงไม่มีความคิดเห็นอะไรต่อเฉินผิงอัน เพราะว่ายืนอยู่สูงมองเห็นได้ไกลจึงรู้สึกว่าเรื่องยิบย่อยใต้เปลือกตาเหล่านี้ล้วนไม่มีค่าพอให้เขาเสียสมาธิ ดังนั้นจึงไม่เคยพูดอะไร
ส่วนหลี่ไหวนั้นเป็นประเภทที่เต็มใจพูดทุกเรื่องที่ตัวเองต้องการ น่าเสียดายก็แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นเรื่องที่ไร้สาระหาแก่นสารไม่ได้ เฉินผิงอันยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ถูกหลี่เป่าผิงกำราบไปก่อนแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปขอศึกษาต่อครั้งนี้จึงไม่เคยมีความแตกแยกไม่ปรองดองปรากฎขึ้น ยังคงรักษาความสมดุลอันมหัศจรรย์เอาไว้ได้ ภายหลังพ่อลูกจูเหอจูลู่จากไป ชุยฉานพาคนอีกสองคนเข้ามาร่วมกลุ่มที่นอกด่านเหย่ฟู ทำให้คนทั้งสี่ยิ่งเหมือนมีศัตรูคนเดียวกัน กลับยิ่งทำให้พวกเขาเกาะกลุ่มเหนียวแน่น สนิทสนมใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าได้แค่ครึ่งจินก็เริ่มเมามาย อาจเป็นเพราะทัศนียภาพเบื้องหน้าสะเทือนอารมณ์ อีกทั้งยังไม่ได้จงใจใช้วิชาอภินิหาร หายากที่จะผ่อนคลายได้แบบนี้ จึงปล่อยให้ตัวเองดื่มเหล้าดับทุกข์ ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านเขายากจนจึงต้องหยุดเรียนกลางคัน ภายหลังเปิดร้านเหล้าร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ที่ขนาดพอๆ กับร้านนี้นี่แหละ เขาแต่งภรรยามีบุตรตอนอายุสิบแปดปี จนกระทั่งป่วยตายตอนอายุหกสิบห้าปี เปิดร้านเหล้ามานานเกือบสี่สิบปี ขายสุรามานานเกือบสี่สิบปี”
ซิ่วไฉเฒ่าแกว่งถ้วยเหล้าเบาๆ “ขอแค่ในกระเป๋าข้ามีเงินเหลือ ขอแค่อยากดื่มเหล้าก็จะชอบไปซื้อเหล้าจากที่ร้านของข้า ไม่ว่าจะอยู่ห่างไปไกลแค่ไหนก็ต้องไปให้ได้”
รอยยิ้มของซิ่วไฉเฒ่าค่อนข้างเศร้าหมอง “แต่สุดท้ายมีวันหนึ่ง ประตูร้านปิดสนิท พอถามเอาจากร้านข้างเคียงถึงได้รู้ว่าเพื่อนของข้าคนนั้นตายแล้ว ในเมื่อร้านเดิมที่ตั้งใจไปเยือนปิดไปแล้ว ข้าจึงได้แต่ไปซื้อเหล้าที่ร้านอื่น นั่นถึงทำให้ข้ารู้ว่าเหล้าที่เขาขายให้ข้า ขายแพงกว่าร้านอื่น”
หลี่เป่าผิงกล่าวขุ่นเคือง “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านเห็นคนอื่นเป็นเพื่อน แต่ดูเหมือนคนอื่นกลับจะไม่เห็นท่านเป็นเพื่อนเลยนะ”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก “แต่พอผ่านไปอีกหลายปีข้าถึงเพิ่งรู้ว่า เหล้าที่เขาขายให้ข้าคือเหล้าที่เขาขึ้นภูเขาไปเก็บสมุนไพรมาหมักด้วยตัวเอง ไม่คิดต้นทุน ทุกอย่างล้วนใช้แต่ของที่ดีที่สุด ขายราคานั้นนับว่าเข้าเนื้อ”
หลี่เป่าผิงอ้าปากกว้าง ในใจของแม่นางน้อยพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ผู้เฒ่าคีบถั่วลิสงเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางลงในปากแล้วเคี้ยว “ในเวลาสี่สิบปี จากบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง กว่าข้าจะสอบติดได้ตำแหน่งซิ่วไฉไม่ใช่เรื่องง่าย ภายหลัง…ก็มีความสามารถและชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย ทุกครั้งที่เพื่อนคนนั้นพบข้าก็จะเอาแต่ร้องบอกให้ข้าดื่มเหล้า ไม่เคยเรียกร้องขอให้บุตรชายบุตรสาวของเขามาเรียนด้วย ไม่เคยพูดถึงเรื่องจุกจิกในบ้านของตัวเอง เพียงแค่บอกให้ข้าดื่มเยอะๆ ทุกครั้งเขาจะนั่งอยู่ในตำแหน่งของเจ้าเป่าผิงน้อย อยู่ฝั่งตรงข้าม ห่างไกลจากข้าที่สุด แต่พอเงยหน้าก็จะมองเห็นข้าได้ทันที และจะต้องส่งยิ้มโง่งมมาให้ทุกครั้ง”
หลี่เป่าผิงคิดตามแล้วก็เปลี่ยนที่เงียบๆ ขยับมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอันแล้วยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันทำหน้าหลอกผีใส่นาง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “แล้วหลังจากนั้นข้าถึงได้รู้อีกว่าบุตรชายบุตรสาวของเขา หากไม่เป็นขุนนางของที่ว่าการท้องถิ่น เป็นอันธพาลรังแกชาวบ้านสร้างหายนะให้แก่แว่นแคว้น ไม่ก็เป็นฮูหยินตราตั้งตั้งแต่อายุยังน้อย เอะอะก็ตบตีสังหารสาวใช้ ตระกูลของลูกสะใภ้เขารวยขึ้นในฉับพลัน กลายมาเป็นตระกูลใหญ่ของเมือง ตลอดทั้งครอบครัวชั่วร้ายเลวทรามอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ทำได้ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย”
ซิ่วไฉเฒ่าจับจ้องไปยังตำแหน่งฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า “แต่เจ้ากลับดึงดันจะเฝ้าอยู่ในร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนั้น คอยต้มเหล้าปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งแก่ตายไป”
หลี่เป่าผิงอ้าปากค้างอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ซิ่วไฉเฒ่าถอนสายตากลับมา ดื่มเหล้าเคล้าถั่วลิสงเป็นกับแกล้ม พูดกับเฉินผิงอันว่า “วันหน้าต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ์ฝึกกระบี่ให้ดี ไม่ต้องใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรทำตามหลักการในหนังสือไปทั้งหมด ต้องรู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ หาไม่แล้วเจ้าจะเหนื่อยมาก เมื่อถึงท้ายที่สุดข้างกายอาจเหลือเพียงเจ้าคนเดียว ไม่เหลือเพื่อนแม้แต่ครึ่งคน นับตั้งแต่โบราณกาลมา ปราชญ์เมธีที่ยิ่งตำแหน่งสูงส่งมากเท่าไหร่ ก็เพราะว่ายกตัวเองเป็นที่ตั้ง กระทำเรื่องไม่สมเหตุสมผลมีน้อยนักหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือออไปวาดเส้นเส้นหนึ่งบนโต๊ะ สุดท้ายแขนยืดตรงคล้ายต้องการจะวาดทางเส้นหนึ่งนอกโต๊ะ “เจ้าคิดดูนะ เส้นทางบางสาย เจ้าเดินเพียงลำพังหนึ่งปีนั้นยังได้ แต่สิบปีล่ะ? ร้อยปีพันปี? ทว่าปัญหากลับบังเกิดขึ้นแล้ว คนบางคนนั้นดื้อด้าน ดึงดันจะเดินต่อไป แล้วควรจะทำอย่างไร? นั่นก็ต้องทำเรื่องที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรคร่ำครึหัวโบราณ ไม่ว่าประสบการณ์ใดๆ ก็ล้วนผ่านมาแล้ว วันหน้าเมื่อต้องเดินอยู่เพียงลำพังบนมหามรรคก็จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง กลับกันยังจะรู้สึก…”
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มจนเมาแล้วจริงๆ ถึงได้ชูนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าแม่งสุดยอดไปเลย!”
หลังกล่าวประโยคห้าวเหิมนี้จบ เสียงตุ้บก็ดังหนึ่งครั้ง ศีรษะของซิ่วไฉเฒ่าฟุบลงมาด้านหน้า หัวกระแทกลงบนหน้าโต๊ะอย่างแรง
เด็กหนุ่มเรียกเจ้าของร้านมาคิดเงินแล้วแบกผู้เฒ่าเดินออกไปข้างนอก
แม่นางน้อยแอบหัวเราะคิกคัก
ที่แท้ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ดื่มเหล้าเมาได้ด้วยหรือ แถมพอเมาแล้วยังพูดมากอีกด้วย
“เฉินผิงอัน! คนไม่หาความผ่อนคลายย่อมเสียดายวัยเยาว์ เจ้าจะต้องดื่มเหล้านะ ดื่มเหล้าดีนักล่ะ!”
“เป่าผิงน้อย จำไว้แม่นๆ เลยนะ จะต้องถนอมคนดีคนโง่อย่างเฉินผิงอันเอาไว้ให้ดี อย่ารู้สึกว่าเขานิสัยประหลาดเพียงเพราะเขาทำดีเกินไป ทำถูกเกินไป ยิ่งเดินกลับยิ่งเหินห่างจากเขา หาไม่แล้วสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องรู้สึกเสียใจทีหลัง เฉินผิงอันจะกลายเป็นเสี่ยวฉีคนที่สอง สุดท้ายเวลาเกิดเรื่อง หากไม่มีใครรับรู้ ก็รับรู้แล้ว แต่ไม่มีความกล้าจะออกหน้าให้ความช่วยเหลือ แบบนั้นคงน่าสงสารยิ่งนัก…”
“ผิงอันน้อย พวกเราใช้เหตุผลไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ค่อยๆ สะสมเอาไว้ หากวันใดรู้สึกว่าทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็ไร้เหตุผลไร้หลักการ เจ้ามีความมั่นใจและกำลังใจนั้นอยู่ จงพูดกับโลกใบนี้ดังๆ ว่า ‘พวกเจ้าผิดแล้ว!’”
ผู้เฒ่าพูดอ้อแอ้ด้วยความเมามายพลางตบศีรษะเด็กหนุ่มแรงๆ ไปด้วย
เฉินผิงอันที่แบกซิ่วไฉเฒ่าไว้บนหลังหน้าเบ้ ได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ
ซิ่วไฉเฒ่าเรอดัง ยืดคอขึ้นคล้ายกำลังมองหาแม่นางน้อยหีบหนังสือสีเขียว หลี่เป่าผิงรีบกระโดดแสดงตัว “ข้าอยู่นี่!”
ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ร้องอ้อๆ สองที จากนั้นตบศีรษะเฉินผิงอันแรงๆ อีกหนึ่งครั้ง “ผิงอันน้อย ข้าถามเจ้า ในอนาคตเมื่อเจ้าอ่านหนังสือได้มากขึ้น รู้สึกว่าหลักการในหนังสือมีเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หากมีวันหนึ่ง บัณฑิตตลอดทั้ง…หรืออาจจะครึ่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาลต่างก็เริ่มประณามหลี่เป่าผิง ด่าว่านางไม่ไร้คามละอายใจ ถึงกับชอบอาจารย์อาน้อยของตัวเอง เจ้าจะทำอย่างไร?”
แม่นางน้อยไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญแม้แต่น้อย ยังเอ่ยด้วยความโมโห “ข้าชอบอาจารย์อาน้อยมีอะไรผิดด้วยหรือ คนพวกนี้เรียนมายังไงกันแน่!”
มีชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ในชั้นชนระดับล่างมาตั้งแต่อายุยังน้อย เฉินผิงอันจึงคิดไกลกว่า คิดมากกว่า รู้เรื่องสกปรกโสมมดีกว่า เขาตอบอย่างไม่ลังเล “หากมีวันนั้นจริงๆ หากพวกเขาด่าเป่าผิงก็ต้องถามหมัดของข้าเฉินผิงอันก่อน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้แม่นางน้อย “นอกจากวิชาหมัดแล้ว วันหน้าอาจารย์อาน้อยยังมีกระบี่ ดังนั้นหากมีวันนั้นจริงๆ เจ้าจะต้องบอกอาจารย์อาน้อย ต่อให้อาจารย์อาน้อยอยู่ไกลสุดขอบฟ้าก็จะต้องรีบมาปกป้องเจ้า!”
ผู้เฒ่าพูดเสียงอ้อแอ้ “แล้วถ้าแม่นางน้อยรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เอาชนะคนพวกนั้นไม่ได้ กลัวว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ จงใจไม่ขอให้เจ้าช่วยล่ะ เจ้าเฉินผิงอันเพิ่งจะรู้จุดจบที่น่าสงสารของนางในตอนหลัง เจ้าควรจะทำอย่างไร? เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะยังตามไปไล่สังหารบัณฑิตพวกนั้นสะเปะสะปะอีกงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน มองไปยังแม่นางน้อย “เป่าผิง เจ้าอยากให้อาจารย์อาน้อยเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ถูกคนด่าตายตีตายเพื่อเจ้าหลังจบเรื่อง หรือว่าจะประจัญบานกับคนเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา พวกเราร่วมกันเผชิญหน้าคนเลวร้ายทั้งหลายตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ต่อให้ตายก็ตายอย่างสมเหตุสมผล แถมยังไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย?”
แม่นางน้อยเริ่มลนลาน “อาจารย์อาน้อย ฟังดูแล้วเหมือนว่าทางเลือกข้อหลังจะดีกว่านะ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่วนเสียงดัง “ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก บัณฑิตยังต้องรักษาหน้าตา ไม่ถึงขั้นตัดสินกันด้วยความเป็นความตาย แค่มีอุปสรรคบ้างเล็กน้อย”
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปากพูดชม “คำสอนที่ว่าทำตามลำดับขั้นตอน นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเอามาใช้เร็วขนาดนี้ เรียนแล้วได้เอามาใช้จริง ร้ายกาจๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ท่านผู้เฒ่า ท่านพูดขู่พวกเราก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ดื่มเหล้าแกล้งเมาทำเนียนไม่จ่ายเงิน จะไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
ศีรษะของซิ่วไฉเฒ่าพลันเอียงไปข้าง ปล่อยเสียงกรนดังสนั่น
หลี่เป่าผิงยังหวาดผวาไม่คลายจึงเอื้อมมือมาคว้าชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “กลัวอะไร วันหน้าเจ้าตั้งใจเรียนให้ดี ช่วงชิงให้ตัวเองเป็นฝ่ายมีเหตุผลก็เอาชนะพวกเขาได้แล้ว หากยังไม่ได้ นับจากวันนี้ไปอาจาร์อาน้อยจะตั้งใจฝึกหมัดฝึกกระบี่ให้มากกว่าเดิม ถึงเวลานั้นอาจารย์อาน้อยบังคับกระบี่บินทะยาน เสียงฟิ้วดังทีเดียวก็ข้ามผ่านระยะทางหมื่นลี้ไปอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าคิดดูสิ ทุกคนต่างก็เงยหน้า เบิกตากว้างมองอาจารย์อาน้อยของเจ้า เหมือนกับตอนนั้นที่พวกเรามองเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ถึงเวลานั้นเจ้าก็บอกกับทุกคนว่า นี่ก็คืออาจารย์อาน้อยของข้า เท่ห์หรือไม่? ร้ายกาจหรือไม่?”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับแรงๆ กระโดดโลดเต้นหัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง “ว้าว เท่ห์มาก เท่ห์มาก!”
—–
บทที่ 158.1 กินเกลี้ยง
โดย
ProjectZyphon
แม่นางน้อยเริ่มจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นแล้ว นางไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว กลับยังเต็มไปด้วยความรอคอยอันเดียงสา รอให้อาจารย์อาน้อยเหยียบอยู่บนกระบี่บิน ฟิ้วทีเดียวก็พุ่งไปไกลถึงสุดขอบฟ้าสุดมหาสมุทร พลิ้วกายมาอยู่ข้างกายนาง ได้บอกกับทุกคนว่าเขาก็คืออาจารย์อาน้อยของตน
ส่วนอันตรายและจิตสังหารที่ซ่อนแฝงอยู่ในวันนั้น หลี่เป่าผิงไม่ได้นึกถึงมากนัก อย่างไรซะต่อให้แม่นางน้อยจะฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีทางคิดได้ถึงจิตใจที่ชั่วร้ายของคนซึ่งไม่เคยถูกเขียนบรรยายไว้ในหน้าหนังสือ ต่อให้นางคิดจนสมองเล็กๆ แตกก็คิดไม่ถึงว่าคลื่นใต้น้ำที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันเย็นชาโหดร้ายเหล่านั้นจะซ่อนอยู่เบื้องหลังกวานสูงเข็มขัดกว้าง
แม่นางน้อยที่เพิ่งจะได้เผชิญโลกกว้างเพียงแค่เลือกที่จะมั่นในตัวคนคนหนึ่งสุดจิตสุดใจอย่างไร้เดียงสา
การที่ซิ่วไฉเฒ่าซึ่งนอนหลับอยู่บนหลังของเด็กหนุ่มเลือกที่จะเปิดเผยความลับสวรรค์ เกรงว่าคงเพราะอยากรักษาความน่ารักไร้เดียงสาของวัยเยาว์ที่ได้มาไม่ง่ายนี้เอาไว้
หลี่เป่าผิงเอ่ยเตือนเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย หากถึงเวลานั้นท่านเถียงชนะคนอื่นไม่ได้ แถมยังสู้คนอื่นไม่ได้ พวกเราสามารถเผ่นหนีได้นะ”
เฉินผิงอันยิ้ม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ขอแค่เจ้าไม่ทิ้งข้าไว้ก็พอ”
ภายหลังเฉินผิงอันพาหลี่เป่าผิงเดินเข้านอกออกในร้านเบ็ดเตล็ดอีกหลายร้าน หาซื้อรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ให้กับเด็กทั้งสาม ตัวเฉินผิงอันเองไม่ได้ซื้อไว้ ไม่ใช่ว่าเขาขี้เหนียวกับเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะไม่ชินที่จะสวม ตอนที่ทดลองสวมดูก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงขนาดเดินไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังซื้อชุดใหม่ให้เด็กทั้งสามอีกคนละสองชุด จ่ายเงินราวกับน้ำไหล หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่เสียดายเลยแสดงว่าโกหกแน่ ทว่าเงินที่ต้องจ่ายจะอย่างไรก็ต้องจ่าย
หลี่เป่าผิงยังคงเลือกชุดสีแดงสด ไม่เพียงแต่มองดูแล้วเป็นมงคล เฉินผิงอันยังเคยได้ยินแม่นางน้อยบ่นมาตั้งนานแล้วว่า ดูเหมือนตอนเด็กจะมีนักพรตพเนจรคนหนึ่งเดินทางผ่านถนนฝูลวี่แล้วเคยทำนายชะตาชีวิตให้สามพี่น้องตระกูลหลี่ ตอนที่คำนวณตัวอักษรแปดตัวให้กับหลี่เป่าผิงเคยบอกว่า ทางที่ดีที่สุดวันหน้าแม่นางน้อยควรสวมชุดสีแดงเพราะจะช่วยหลีกเลี่ยงความชั่วร้ายได้ ไม่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ตระกูลหลี่จะรักและเอ็นดูคุณหนูน้อยคนนี้แค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้กลับไม่เคยเว้นที่ว่างให้ปรึกษา ยิ่งหลี่เป่าผิงเติบโตก็ยิ่งกลัดกลุ้ม ทว่าก็ยังคงทำตามแต่โดยดี คราวก่อนตอนอยู่จุดพักม้าเมืองหงจู๋ได้รับจดหมายจากทางบ้านสามฉบับ ตั้งแต่บิดามาจนถึงพี่ชายสองคนอย่างหลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจินต่างก็เตือนแม่นางน้อยเหมือนกันหมดว่า ห้ามเปลี่ยนไปสวมชุดอื่นเพราะต้องการความแปลกใหม่เด็ดขาด
แม่นางน้อยมักจะมากระซิบกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวว่า วันหน้าหากเจอนักพรตตัวเหม็นผู้นั้นจะต้องอัดเขาให้น่วมสักที
ตอนที่เดินซื้อของ ซิ่วไฉเฒ่ายังคงนอนหลับสบายใจเฉิบ เฉินผิงอันจึงได้แต่แบกเขาไว้บนหลังตลอดเวลา ยังดีที่อีกฝ่ายตัวไม่หนัก น่าจะไม่ถึงหนึ่งร้อยจิน (ประมาณห้าสิบกิโลกรัม) เฉินผิงอันไม่รู้จริงๆ ว่าในท้องของอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้บรรจุความรู้มากมายขนาดนั้นไว้หมดได้อย่างไร?
ระหว่างที่เดินกลับโรงเตี๊ยมชิวหลู หีบหนังสือของหลี่เป่าผิงบรรจุของเต็มแน่น ทว่าตลอดระยะทางหลายพันลี้ที่เดินมานี้ แม้ว่ายิ่งนานวันแม่นางน้อยจะยิ่งผอมดำ แต่ร่างกายกลับแข็งแรง พละกำลังกายและกำลังใจต่างก็ดีเยี่ยม เฉินผิงอันจึงไม่เป็นกังวลว่าน้ำหนักเท่านี้จะทำร้ายร่างกายของแม่นางน้อย
มาถึงซอยเมฆคล้อยน้ำไหล ยังคงเป็นภาพมหัศจรรย์ที่เมฆหมอกลอยฟุ้งดังเดิม เฉินผิงอันมองอยู่หลายครั้งก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ แม้ว่าใน ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่นักพรตเต๋าตาบอดมอบให้ก่อนจากจะวาดภาพประหลาดที่น่าตกตะลึงเอาไว้มากมาย แต่ก็ยังไม่อาจสร้างความสะท้านใจได้เท่ากับคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง
มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมที่ติดภาพเทพทวารบาลหลากสีสูงใหญ่สองตน ผู้เฒ่าพลันตื่นขึ้นมา วินาทีที่เท้าทั้งสองสัมผัสพื้น บนหลังก็มีห่อสัมภาระห่อนั้นปรากฏขึ้น ในมือถือก้อนเงินหนึ่งก้อน ซิ่วไฉเฒ่าเห็นใบหน้าเด็กสองคนเต็มไปด้วยความมึนงงสงสัยก็กล่าวยิ้มๆ “ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา ข้ายังต้องไปอีกหลายแห่ง จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ ไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “เฉินผิงอัน ชุยฉานครึ่งตัวผู้นั้นแบ่งแยกดีเลวได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่เด็ดขาดชัดเจนนัก แต่ก็พอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร วันหน้าขอมอบให้เจ้าแล้ว คำว่าสั่งสอนด้วยคำพูดทำตัวเป็นแบบอย่างนั้น ทำตัวเป็นแบบอย่างสำคัญกว่าคำพูด และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าให้เขามาอยู่ข้างกายเจ้า”
หลี่เป่าผิงขมวดคิ้ว “เจ้าชุยฉานผู้นั้นคือคนเลว ทำไมท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งถึงชอบปกป้องเขาอยู่เรื่อย?”
“ช่วยไม่ได้นี่นา”
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย ได้แต่ยิ้มแล้วอธิบายอย่างอดทน “ข้าสลายตราผนึกบนร่างเขาออกไปแล้ว หากครั้งหน้าเจ้ายังรู้สึกว่าเขาสมควรถูกฆ่าก็ไม่ต้องสนใจว่าตาแก่อย่างข้าจะคิดอย่างไร ควรจะทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น การที่ข้าคอยให้การปกป้องเขาอยู่อย่างนี้ หนึ่งเพราะการที่เขาเดินทางผิด สาเหตุเกินครึ่งล้วนเป็นเพราะในอดีตข้าสั่งสอนเขาผิดๆ ไม่ควรที่จะปฏิเสธเขาทุกเรื่องอย่างหนักแน่นถึงเพียงนั้น สร้างความผิดพลาดให้ชุยฉานกลายเป็นคนที่สรุปทุกอย่างตามอำเภอใจตัวเอง”
ผู้เฒ่าสีหน้าเหนื่อยล้า เสียงทุ้มต่ำ “แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นข้าแบ่งเวลามาไม่ได้จริงๆ มีการถกเถียงครั้งหนึ่งที่ต้องเอาชนะให้ได้ จึงไม่ทันมีเวลามาอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เขาฟังดีๆ ไม่ได้ช่วยเขาวิเคราะห์อนุมานไปทีละนิด ดังนั้นเรื่องในภายหลังจึงเป็นแบบนั้น เจ้าเด็กนี่พอโมโหก็ทรยศต่ออาจารย์ ทิ้งเรื่องเละเทะกองใหญ่ไว้ข้างหลัง หม่าจานก็คือหนึ่งในนั้น อีกอย่างทางเส้นใหม่ที่เขาเลือก หากสามารถเดินได้มั่นคงทุกย่างก้าว ก็มีหวังว่าจะประทานบุญคุณให้กับคนในโลกไปอีกร้อยปีพันปีจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถช่วยเพิ่มควันธูปอีกหนึ่งก้าวให้กับระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรา…บัญชีเลอะเลือนที่เป็นทั้งกิจการยิ่งใหญ่และเป็นทั้งเรื่องน่าอับอายนี้ วันหน้าเมื่อพวกเจ้ามีโอกาสเดินสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกล ไม่แน่ว่าก็อาจจะได้พบเจอเหมือนกัน ถึงเวลานั้นอย่าทำแบบข้า จงตรึกตรองให้มาก อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ต้องมีความอดทน โดยเฉพาะกับคนข้างกาย อย่าเห็นเป็นเงาดำใต้โคมไฟ (เปรียบเปรยว่ามองข้ามคนใกล้ชิดหรือเรื่องใกล้ตัว) ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียใจมาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ฝ่ามือที่ผอมแห้งของผู้เฒ่าก็ลูบลงบนศีรษะของเฉินผิงอัน แล้วจึงลูบลงบนศีรษะเล็กๆ ของหลี่เป่าผิง “พวกเจ้าน่ะ อย่าคิดจะรีบร้อนเติบโต เพราะเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เข้าจริงๆ แล้ว เรื่องที่ไม่อาจทำตามใจปรารถนาจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งน้อยนักที่จะมีเพื่อนอยู่ข้างกายตลอดเวลา เสื้อผ้ารองเท้านั้นยิ่งใหม่ยิ่งดี แต่เพื่อนกลับยิ่งเก่ายิ่งดี ทว่าเก่าแล้วแก่แล้ว ก็ย่อมมีวันที่ต้องแก่ตายไป”
หลี่เป่าผิงเอ่ย “เทพเซียนบนภูเขาที่เป็นผู้ฝึกลมปราณอย่างหลินโส่วอี หากฝึกตนได้สำเร็จก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยปี หรืออาจถึงพันปีเชียวนะ!”
ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “แล้วหลังจากหนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปีล่ะ?”
หลี่เป่าผิงถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน?”
ผู้เฒ่าถูกความไร้เดียงสาของแม่นางน้อยหยอกให้อารมณ์ดี หลุดหัวเราะพรืด “งั้นมาพูดถึงในทางกลับกัน แม่นางที่ดีเยี่ยมอย่างเจ้าเป่าผิงน้อยนี้ หากวันหนึ่งเจ้าไม่อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว เพื่อนของเจ้าคงเสียใจมากๆ อย่างน้อยตาแก่อย่างข้าก็ต้องเสียใจจนร้องไห้โฮ ถึงเวลานั้นแม้แต่เหล้าก็คงไม่อยากดื่ม”
หลี่เป่าผิงพลันกระจ่างแจ้ง พยักหน้ารับราวไก่จิกข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ ใครก็ห้ามตาย!”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือส่งเงินก้อนนั้นออกไป เฉินผิงอันมองมันแล้วถาม “คงไม่ใช่แมลงเงินหรอกกระมัง? ชุยฉานก็มีอยู่ก้อนหนึ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้ายิ้ม “ของเด็กเล่นแบบนั้นก็มีแต่ชุยฉานตอนเด็กเท่านั้นที่ชื่นชอบ รู้สึกว่าน่าสนใจ หากเปลี่ยนมาเป็นชุยฉานตอนแก่ ขนาดจะมองให้นานหน่อยเขายังคร้านจะทำด้วยซ้ำ วัตถุที่เหมือนก้อนเงินชิ้นนี้คือตัวอ่อนกระบี่ที่ไม่มีเจ้าของ เมื่อเทียบกับชิ้นที่ชุยฉานซ่อนไว้ในวัตถุฟางชุ่นแล้วก็ยังมีระดับสูงกว่ามาก ประเด็นสำคัญคือมันมีที่มายิ่งใหญ่ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสได้ไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะต้องพากันไปที่ภูเขาสุ้ยซานสักรอบ ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้ดื่มเหล้าเลิศรสของใครบางคนสักครั้ง เหล้าผลไม้ของภูเขาสุ้ยซานรสชาติยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเลยล่ะ!”
ซิ่วไฉเฒ่าชูนิ้วโป้ง “แม้แต่เทพเซียนก็ยังดื่มเหล้าเมามาย”
เฉินผิงอันรับก้อนเงินมา
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้า “นั่นแน่ ก่อนหน้านี้ไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าพูดจนปากแทบฉีกก็ยังไม่พยักหน้าตอบรับ ทำไมตอนนี้ถึงรับมันไว้แล้วล่ะ”
เฉินผิงอันตอบอย่างกระอักกระอ่วน “รู้สึกว่าหากยังปฏิเสธความหวังดีจะทำร้ายความรู้สึกกันมากเกินไป”
หลี่เป่าผิงเอ่ยเบาๆ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ก็เพราะว่าของชิ้นนี้เหมือนเงินไงล่ะ อาจารย์อาน้อยจะไม่ชอบได้หรือ?”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง
หลี่เป่าผิงกุมหัว ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “เป่าผิงน้อย เจอกันครั้งหน้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอะไรแล้ว เจ้าคือลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน ข้าคืออาจารย์ของฉีจิ้งชุน เจ้าควรเรียกข้าว่าอะไร?”
หลี่เป่าผิงตะลึงงัน “อาจารย์ปู่? อาจารย์ตา?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มตาหยี “แบบนี้ถึงจะถูก เรียกได้ทั้งสองอย่าง เอาตามที่เจ้าชอบ”
แม่นางน้อยรีบกุมมือคารวะ โค้งตัวลงต่ำมาก เพียงแต่ลืมไปว่าด้านหลังตัวเองยังแบกหีบหนังสือที่ค่อนข้างหนักเอาไว้ ศูนย์ถ่วงร่างกายไม่มั่นคงจึงเกือบจะล้มคะมำหน้าทิ่มพื้น เฉินผิงอันต้องรีบเขาไปช่วยยกหีบหนังสือใบน้อยให้นาง
ผู้เฒ่ายืดตัวตรง ยืนนิ่งไม่ขยับ รับการคำนับครั้งนี้ไว้อย่างตรงไปตรงมา
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็ขยับห่อสัมภาระให้เข้าที่ ถอนหายใจหนึ่งที “ตัวอ่อนกระบี่มีชื่อว่า ‘เสี่ยวเฟิงตู’ จงรับไว้อย่างสบายใจ โชคชะตาและผลกรรมของตัวอ่อนกระบี่ก่อนหน้านี้ล้วนถูกตัดขาดจนสะอาดเอี่ยมมานานแล้ว ส่วนข้อที่ว่าจะใช้มันอย่างไรก็ง่ายมาก แค่ใช้ใจอย่างเดียวเท่านั้น เรือมาถึงท่าย่อมต้องจอด มันจะรับเจ้าเป็นนายด้วยตัวเอง หากไม่ใช้ใจ ต่อให้เจ้าประคองมันไว้ในอุ้งมือหนึ่งหมื่นปี มันก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมา ยังสู้ทองแดงหรือเหล็กผุๆ สักชิ้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันเก็บมันไว้ด้วยความระมัดระวัง
ซิ่วไฉเฒ่าเห็นแล้วก็พยักหน้า “ไปล่ะ”
ผู้เฒ่าหมุนตัวจากไป
หลี่เป่าผิงเอ่ยเรียกด้วยความสงสัย “อาจารย์ตา?”
ผู้เฒ่าหันกลับมาถามยิ้มๆ “ทำไมรึ?”
แม่นางน้อยชี้ไปที่ท้องฟ้า “อาจารย์ตา ท่านจะเดินทางไกลไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่ฟิ้วหนึ่งทีแล้วหายตัวไปล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว พยักหน้ารับทั้งที่รอยยิ้มยังแต้มใบหน้า เสียงสวบดังหนึ่งครั้งก็หายตัวไปจริงๆ
เฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงต่างก็เงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บนนั้นไม่มีเงาร่างของผู้เฒ่าอยู่แล้ว
แต่แท้จริงแล้วหน้าตรอกเมฆคล้อยน้ำไหลที่อยู่ติดกับถนนกลับมีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ เขาหันหน้ากลับมามองหน้าประตูโรงเตี๊ยมชิวหลู ก่อนจะเดินจากไปอย่างเชื่องช้า
……
กลับเข้ามาในลานบ้าน สตรีร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนม้านั่งหิน กำลังเงยหน้ามองม่านฟ้า มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน
ในลานบ้านแห่งเดียวกัน ใกล้ในระยะประชิด อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยต่างก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของวิญญาณกระบี่ท่านนี้ ทุกครั้งที่นางปรากฏตัวจะต้องมีการกั้นขวางลมปราณระหว่างสองฝ่าย เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มเด็กสาวมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่อาจรับสัมผัสถึงนางได้เลย
หลี่เป่าผิงเอ่ยทักทายแล้วก็เดินเอาของไปวางในห้อง เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายวิญญาณกระบี่
สตรีร่างสูงใหญ่ยื่นมือออกมา ในฝ่ามือก็มีกระบี่โบราณที่แขวนอยู่ใต้สะพานมาอย่างยาวปรากฎขึ้น นางเอ่ยเข้าประเด็นทันที “ในเมื่อเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ข้าเองก็ควรปรับตัวตามไปด้วย เดิมทีพวกเราตกลงกันไว้ที่หนึ่งร้อยปี ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน แต่หลังจากนี้ข้าจะเพิ่มความเร็วในการขัดเกลาตัวกระบี่ให้มากขึ้น เพื่อให้มันกลับคืนสภาพดั้งเดิมได้สักเจ็ดแปดส่วนภายในเวลาหกสิบปี นี่หมายความว่าแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้นของเจ้ายังไม่พอ ไม่พอมากๆ”
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ แท่นสังหารมังกรขนาดเล็กที่จู่ๆ ก็มาปรากฏในลานบ้านตัวเองชิ้นนั้นถูกตนแบกไปไว้ที่ร้านตีเหล็กแล้วไม่ใช่หรือ
นางยิ้มบางๆ “ยังจำได้หรือไม่ว่ามีครั้งหนึ่งที่เจ้านั่งฝันอยู่บนสะพาน เคยตกลงไปในน้ำพร้อมตะกร้าไม้ไผ่ที่แบกอยู่ด้านหลัง? อันที่จริงครั้งนั้นข้าเอาแท่นสังหารมังกรไปเก็บไว้ ภายหลังหินที่เจ้านึกว่าเป็นแท่นสังหารมังกรคือหินธรรมดาที่ข้าใช้เวทบังตาอำพราง อืม จะบอกว่าธรรมดาก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก ควรจะเรียกว่าเป็นหินดีงูที่มีคุณภาพดีที่สุดชิ้นหนึ่ง มากพอจะทำให้สัตว์เลื้อยคลานตัวน้อยกลายมาเป็น…สัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่? ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายหากต้องการเปลี่ยนเวลาหนึ่งร้อยปีเป็นประมาณหกสิบปีก็คือ อย่างน้อยข้าจำเป็นต้องใช้แท่นสังหารมังกรขนาดใหญ่ในภูเขาลูกนั้นจนหมดเกลี้ยง บางทีอาจไม่ต้องใช้หินทั้งหน้าผา แต่ก็ต้องเกินครึ่งแน่นอน ทว่าเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีวิธีตบตาคนอื่น หากไม่ได้จริงๆ ก็โยนตำราลับสักสองสามเล่มให้กับพวกนักพรตสำนักการทหารของศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ ฯลฯ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าการค้าครั้งนี้ไม่คุ้มค่า ไม่แน่ว่าอาจจะดีใจจนหลั่งน้ำตา แต่ละคนกุมหัวร่ำไห้อย่างซาบซึ้งใจก็เป็นได้”
เฉินผิงอันเหมือนกำลังอ่านหนังสือสวรรค์ที่อ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงได้แต่เหม่อลอยไร้คำโต้ตอบ
บทที่ 158.2 กินเกลี้ยง
โดย
ProjectZyphon
นางยื่นมือไปยังท้องฟ้า กลางฝ่ามือก็มีใบบัวสีขาวหิมะตั้งตระหง่านปรากฏขึ้นมา “เพราะซิ่วไฉยากจนเป็นต้นเหตุ บวกกับที่กระบี่นั้นของเจ้าไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป ใบบัวจึงไม่อาจประคับประคองได้นานนัก และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ข้ารีบร้อนกลับไป อีกอย่างก็คือซิ่วไฉรับปากข้าว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับนายท่านด้วยเรื่องของชุยฉาน เขาจะเดินทางไปหาสกุลเฉินอิ่งอินเพื่ออธิบายเหตุผลให้พวกเขาฟังก่อนแล้วค่อยเดินทางไปยังตะวันตก ดังนั้นหลังจากนี้ก็ทำเหมือนที่เขาบอกไว้ นั่นคือพาเด็กกลุ่มนั้นไปขอศึกษาต่อให้สบายใจ มีคนเลวอย่างชุยฉานและอวี๋ลู่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกคอยคุ้มครองอยู่ข้างกาย ข้าเชื่อว่าต่อให้นายท่านไม่มีปราณกระบี่แล้ว ต่อให้พบเจออุปสรรคก็ยังเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้”
ระหว่างคิ้วของนางมีแววกลัดกลุ้มวนเวียน “แต่พอไปถึงสำนักศึกษาของต้าสุยแล้ว ระยะเวลาหกสิบปีหลังจากนั้น ข้าจำเป็นต้องถูกกักตัวอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่อาจออกไปได้ง่ายๆ หาไม่แล้วทุกสิ่งที่ทำมาอาจจะเสียเปล่า เจ้าต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตาย แล้วก็ต้องรับประกันว่าขอบเขตจะเพิ่มพูนขึ้น อาจจะเป็นปัญหาสักหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าว “อาเหลียงเคยพูดถึงโดยบังเอิญว่า ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกลมปราณ เมื่อถึงขอบเขตที่สามก็สามารถทดลองเดินทางในแคว้นหนึ่งเพียงลำพังได้ ขอแค่ตัวเองไม่รนหาที่ตายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากเป็นขอบเขตที่ห้าก็ท่องเที่ยวได้ครึ่งทวีป แต่เงื่อนไขก็คือห้ามเข้าร่วมเรื่องครึกครื้นส่งเดช ไม่ควรเดินทางไปยังสถานที่อันตรายที่มีชื่อเสียง อีกอย่างก็คือห้ามเลือดร้อนบุ่มบ่าม ไม่ว่าพบเจอเรื่องอะไรก็รู้สึกว่าสามารถผดุงความยุติธรรม หรือไม่ก็สังหารปีศาจกำจัดมาร เพียงเท่านี้ก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยแล้ว หากเจอกับหายนะที่บินเข้าหาแล้วต้องตายสถานเดียว นั่นก็ได้แต่โทษว่าโชคไม่ดี ชะตาที่เฮงซวยเช่นนี้ต่อให้อยู่บ้านก็ไม่อาจมีชีวิตที่สงบสุขได้ ดังนั้นไม่ว่าจะออกนอกบ้านหรือไม่ ผลลัพธ์ก็คงพอๆ กัน”
นางพยักหน้ารับอย่างปลาบปลื้ม “เจ้าคิดได้อย่างนี้ย่อมดีที่สุด แล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ หากวิตกกังวลไปเสียทุกเรื่อง เจออะไรก็กลัวจนหัวหด ชั่วชีวิตก็อย่าหวังจะฝึกตนจนประสบผลสำเร็จเลย”
นางพลันหรี่ตาเอ่ยถามอย่างมีเลศนัย “ทำไมมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่ข้าใกล้จะจากไปแล้ว เจ้าก็ยังไม่ถามข้าว่าจะช่วยต่อชีวิตให้เจ้า ช่วยขจัดภัยร้ายที่ตามมาภายหลังได้อย่างไร? ในเมื่อพวกเรามีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกันแล้ว เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทำไมข้าไม่ช่วยเจ้าซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะ ให้เจ้าได้เดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนได้อย่างราบรื่น? นี่ก็สมเหตุสมผล ไม่ใช่ขอเรียกร้องที่เกินไปไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันตอบตามตรง “เมื่อคืนก่อนนอนข้าก็คิดว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วจะถามคำถามนี้ แต่ตอนหลังกลับอดกลั้นเอาไว้”
วิญญาณกระบี่ถาม “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่ว่าข้าเกรงใจที่จะเปิดปาก สำหรับเรื่องใหญ่อย่างการมีชีวิตอยู่ต่อนี้ ต่อให้ข้าจะหน้าบางแค่ไหนก็ไม่รู้สึกลำบากใจ แต่ข้าเชื่อใจหยางเหล่าโถวมาโดยตลอด เขาก็คืออาจารย์ของข้าครึ่งตัวตอนที่ข้ายังเผาเครื่องปั้น ข้าเชื่อในคำพูดประโยคหนึ่งที่เขาเคยเอ่ย…”
วิญญาณกระบี่ตัดบทคำพูดของเด็กหนุ่ม พยักหน้ารับ “ข้ารู้ ท่ามกลางภาพที่สะท้อนออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาหนึ่งกอบมือนั้น ข้าสามารถมองเห็นและได้ยิน เป็นประโยคที่น่าสนใจอย่างมาก”
แต่แล้วจู่ๆ นางก็หงุดหงิด ถือร่มใบบัวลุกขึ้นยืน “รู้หรือไม่ว่าทำไมในโลกมนุษย์ของพวกเจ้าถึงมีคำเรียกว่า ‘ภินทลักษณ์’ นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่ามนุษย์คนใดที่เสียโฉมก็ล้วนเป็นเรื่องของโชคชะตา ต่อให้เปลี่ยนชื่อแซ่ก็ยังคงอยู่ในกฎเกณฑ์เดิม ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไร แต่หากเกี่ยวพันกับสะพานแห่งความเป็นอมตะ การเปลี่ยนแปลงของช่องโพรงลมปราณมากมายในร่างกลับเป็นเรื่องใหญ่”
“เดิมทีการฝึกบำเพ็ญตนก็เป็นการกระทำที่ทวนกระแสอยู่แล้ว หากจะพูดไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือการละเมิดกฎสวรรค์ คำว่าพิสูจน์มรรคาของผู้ฝึกตน แท้จริงแล้วก็คือพิสูจน์ให้เห็นว่ามหามรรคาของตนสามารถทำให้มรรคาสวรรค์ก้มหัวให้ สวรรค์ต้องการให้ข้าเกิดแก่เจ็บตาย แต่ข้าจะฝึกตนจนมีร่างทองคำไร้ตำหนิ มีอายุขัยยืนยาว เสวยสุขกับอิสระเสรี ต้องการให้สวรรค์ฝืนใจยอมรับชีวิตอันเป็นอมตะของตนเอง เจ้าลองคิดดูสิว่าจะยากแค่ไหน”
“หากสามารถสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะได้อย่างง่ายดาย พวกตระกูลเซียนชนชั้นสูงบนภูเขาแค่ให้เหล่าบรรพบุรุษลงมือก็จะไม่ทำให้ลูกหลานทั้งตระกูลกลายเป็นเทพเซียนกันหมดหรอกหรือ? เพราะเดิมทีเส้นชีพจร ช่องลมปราณและระบบเลือดในร่างกายของมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดใต้หล้าอยู่แล้ว ต้องรู้ว่า ‘ฟ้าดินเล็กใหญ่ในนอกสองแห่ง’ ที่ลัทธิเต๋าสรรเสริญนั้น คำว่าฟ้าดินขนาดเล็กนี้หมายถึงเรือนกายของมนุษย์ นอกจากจะหมายความว่าเรือนกายคือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแล้ว นอกจากนี้ความหมายของสะพานแห่งความเป็นอมตะก็คือสะพานที่เชื่อมโยงฟ้าดินสองแห่งเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นเรื่องที่ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครทำได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายกลับสูงมาก มีข้อเรียกร้องสูงมากสำหรับขอบเขตของผู้ที่ต้องการซ่อมทางสร้างสะพาน อีกทั้งยังจำกัดอยู่แค่ในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณใหญ่อย่างคนจากลัทธิหยินหยาง สำนักการแพทย์ ฯลฯ เท่านั้น และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้ที่อยู่ในสำนักเหล่านี้ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหาร แต่กลับยังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง”
แม้จะเห็นว่าแววตาของเด็กหนุ่มค่อนข้างผิดหวัง แต่กลับไม่ย่อท้อ วิญญาณกระบี่จึงวางใจลงได้ จึงยิ้มหยอกเย้า “ตอนนี้ไม่ว่าจะอย่างไร ผิงอันน้อยเจ้าควรชำระล้างหล่อหลอมร่างกายเพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้ได้ก่อน ย่อมเป็นเรื่องดีแน่ หาไม่แล้ววันหน้ารอให้ข้าขัดเกลาลับกระบี่ได้แล้ว แม้แต่ยกกระบี่เจ้าก็ยังยกไม่ขึ้น แบบนั้นคงขายหน้าแย่ อย่านึกว่ายกกระบี่เป็นเรื่องที่ง่ายมากนะ ตอนที่อยู่ในภาพวาดภูเขาแม่น้ำของซิ่วไฉยากจน นั่นเป็นเพราะเขามอบ ‘ภาพลวงตา’ ของนักพรตตบะสิบให้กับเจ้า เรือนกายของนักพรตขอบเขตเก้าทั่วไปอาจจะเทียบกับผู้ที่ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าหกไม่ได้ แต่นักพรตที่ตั้งปณิธานว่าจะต้องฝ่าธรณีประตูขอบเขตสิบไปให้ได้นั้นกลับไม่มีใครที่โง่จนกล้าดูหมิ่นเรื่องการหล่อหลอมเรือนกาย ในขอบเขตขั้นนี้ คนส่วนใหญ่มักจะอาศัยความมุมานะพยายามและการขัดเกลาตัวเองอย่างไม่ย่อท้อค่อยๆ หล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณไปทีละนิด ไม่อาจปล่อยให้มีช่องโหว่หรือข้อบกพร่องได้แม้แต่น้อย จนกลายเป็นว่าพวกเขาขยันกว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเสียอีก นี่ถึงได้สร้างนักพรตขอบเขตสิบขึ้นมาบนโลก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎเกณฑ์น่าสนใจที่พวกตะพาบแก่ใต้น้ำตั้งไว้”
เฉินผิงอันจดจำคำพูดเหล่านี้ไว้ขึ้นใจ
สตรีชุดขาวยืนอยู่ในลานบ้าน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ผิงอันน้อย เจ้าต้องรอข้าหกสิบปีนะ อีกอย่างเมื่อถึงเวลานั้นอย่ากลายเป็นตาแก่ผมขาวโพลน ทำลายบรรยากาศอันดีงามเสียล่ะ ระวังข้าจะจำเจ้านายอย่างเจ้าไม่ได้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เผยอปากจะพูด
นางกลับเดินเข้ามาหาเขา ยื่นฝ่ามือออกมาทำท่าจะตีมือให้คำสัญญาแล้ว
เฉินผิงอันรีบยกมือขึ้นสูงทันใด
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วฝ่ามือของคนทั้งสองตัดผ่านกันไปกลางอากาศ
ที่แท้สตรีชุดขาวได้หายตัวไปจากที่แห่งนี้แล้ว
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปที่เดิม พลันยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเอง นึกถึงกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นขึ้นมาได้ เขาลืมถามนางและท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไปเลยว่าเด็กหญิงชุดทองที่ซ่อนตัวอยู่ในกระบี่ไม้คืออะไรกันแน่!
……
ชุยฉานกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งของโรงเตี๊ยมชิวหลู ผู้ดูแลโรงเตี๊ยม หลิวเจียฮุ่ย ฮูหยินผู้มีชื่อเสียงในบรรดาชนชั้นสูงกลับเป็นเหมือนสาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่งที่คอยสังเกตสีหน้าและการกระทำ มองประเมินราชครูต้าหลีที่เพิ่งเปิดเผยตัวตนผู้นี้อย่างระมัดระวัง
เดิมทีทำเนียบตะวันม่วงสำนักของนางก็คือหมากของแคว้นหวงถิงที่ถูกต้าหลีดึงตัวไปเป็นพวก พันธมิตรครั้งนี้ได้บรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักที่เปิดเผยหน้าตาน้อยครั้งเป็นฝ่ายพยักหน้าอนุญาตด้วยตัวเอง คนทั่วทั้งทำเนียบตะวันม่วงย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ฝ่ายนอกอย่างหลิวเจียฮุ่ยที่คิดว่าตัวเองไม่มีหวังต่อมหามรรคา ซึ่งยิ่งต้องให้ความระมัดระวังต่อสัญลักษณ์ของกลุ่มผู้มีอำนาจบนโลกอย่างราชสำนักมากเป็นพิเศษ
แม้จะบอกว่าจักรพรรดิสกุลหงของแคว้นหวงถิงทำตามกฎระเบียบที่บรรพชนตั้งไว้โดยการปฏิบัติต่อตระกูลเซียนเป็นอย่างดี เสียดายก็แต่แคว้นหวงถิงเล็กๆ แห่งนี้สามารถทำให้พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกล้ำยอมศิโรราบทั้งกายและใจได้ แต่กลับไม่สามารถทำให้กลุ่มอิทธิพลอย่างทำเนียบตะวันม่วงจงรักภักดี เพราะบ่อน้ำเล็กเกินไป เจียวและมังกรที่อยู่ใต้น้ำย่อมหวังให้ตัวเองได้มีพื้นที่ที่กว้างขวางยิ่งกว่าเดิม”
เมื่อเทียบกับศาลมังกรซุ่มที่ต้องการแค่คำว่า “ตำหนัก” แล้ว ทำเนียบตะวันม่วงกลับมีใจทะเยอทะยานมากกว่านั้น
หลิวเจียฮุ่ยไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ว่าแค่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาซึ่งมีไฝแดงกลางหว่างคิ้วมาเยือนประตูบ้านพร้อมแนะนำตัวเองแล้วนางจะเต็มใจเชื่ออีกฝ่ายทันที แต่เหตุผลนั้นมีแค่ขอเดียว นั่นก็คือการแสดงออกของชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มซึ่งเหมือนกับข้ารับใช้ยิ่งกว่านางเสียอีก
หลิวเจียฮุ่ยนึกไม่ออกว่าในแคว้นหวงถิงจะมีใครที่สามารถทำให้เทพแม่น้ำหันสือผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตยินยอมรับหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้อย่างเต็มใจ
หลังจากสอบถามสถานการณ์ภายในของทำเนียบตะวันม่วงอย่างพอเป็นพิธีแล้ว ชุยฉานก็พลันคลี่ยิ้มถามว่า “ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองอย่างเว่ยหลี่นี้คือคนรักของฮูหยินกระมัง วันหน้ามีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นหินขวางทางของต้าหลี หากวันนี้ข้าให้เจ้าสังหารเขากับมือของตัวเอง ฮูหยินจะตัดใจลงมือได้หรือไม่?”
หัวสมองของหลิวเจียฮุ่ยขาวโพลน ร่างขึงเกร็ง
ชุยฉานหัวเราะร่วน “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ ข้าเป็นคนชอบทุบตีคู่ยวนยาง (บังคับให้คู่รักพรากจากกัน) งั้นหรือ”
หลิวเจียฮุ่ยช้อนตาขึ้นเล็กน้อย
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวพยักหน้าพึมพำอยู่กับตัวเอง “ใช่สิ ข้าเป็นคนแบบนี้”
หลิวเจียฮุ่ยอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก สีหน้าซีดขาว
เด็กหนุ่มโบกมือ กล่าวอย่าง ‘เข้าอกเข้าใจผู้อื่น’ ว่า “แต่จะให้เจ้าฆ่าเขาด้วยมือตัวเองก็ออกจะโหดร้ายเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ทำเนียบตะวันม่วงเป็นพันธมิตรกับต้าหลี ข้าไม่มีทางให้ฮูหยินที่ดูแลกิจการนี้อย่างระมัดระวังและมีจิตใจที่รับผิดชอบสูงต้องลำบากใจ นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีที่อยู่ด้านหลังข้าท่านนี้ไม่ค่อยสนิทกับใต้เท้าเว่ยสักเท่าไหร่ ให้เขาเป็นคนลงมือก็แล้วกัน”
หลิวเจียฮุ่ยพยายามข่มกลั้นน้ำตาที่กำลังจะทะลักออกมา ก้มหน้าต่ำ เอ่ยเสียงสั่น “ใต้เท้าราชครู หากเว่ยหลี่ต้องตายจริงๆ ข้าจะเป็นคนฆ่าเขาเอง! ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีลงมือ”
ชุยฉานถอนหายใจเหมือนเวทนา พูดกับตัวเองว่า “หากเป็นอย่างนี้หลิวฮูหยินต้องเคียดแค้นข้าและต้าหลีแน่ ไม่สู้เอาแบบนี้ หลังจากเจ้าฆ่าชายคนรักแล้ว ข้าค่อยให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีฆ่าเจ้า อย่างน้อยพวกเจ้าก็ยังเป็นคู่ยวนยางที่ตายด้วยกัน…”
สตรีแต่งงานแล้วที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลเงยหน้าขึ้น ดวงตาดอกท้อที่ดึงดูดวิญญาณคนคู่นั้นเต็มไปด้วยปราณสังหารเข้มข้นคล้ายต้องการให้อีกฝ่ายพินาศวอดวายไปด้วย
ชายชุดดำเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
คนอย่างหลิวเจียฮุ่ย ในสายตาของเขาก็เป็นแค่มดตัวเล็กที่ไม่ประมาณตนเท่านั้น
สตรีแต่งงานแล้วพลันคืนสติ ถอยกรูดไปหลายก้าว
ชุยฉานที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ใช้นิ้วคีบถ้วยชา เป่าไอร้อนที่ลอยอยู่เหนือถ้วยเบาๆ กลิ่นหอมสดชื่นลอยมาปะทะจมูก เขาจึงหลับตาลงสูดกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้ม จากนั้นจึงลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองสตรีแต่งงานแล้วที่ความคิดในใจยังคงตีกันวุ่นวาย ชุยฉานพลันคลี่ยิ้ม จุ๊ปากพูด “สรรพชีวิตล้วนทนทุกข์ทรมาน คนมีรักนั้นล้ำค่าที่สุด เห็นแก่ชาดีถ้วยนี้ ข้าจะปล่อยเว่ยหลี่ไป พูดจริง ไม่หลอกเจ้า”
ร่างของสตรีแต่งงานแล้วอ่อนยวบ เกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น หลังจากปลุกความกล้าที่เหลืออยู่เสี้ยวสุดท้ายขึ้นมาได้ก็ถามขึ้นอย่างขลาดกลัว “ใต้เท้าราชครูไม่หลอกบ่าวจริงหรือ?”
ชุยฉานหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “หลอกเจ้าจะมีความหมายอะไรล่ะ?”
หลิวเจียฮุ่ยไม่กล้าเชื่อว่าอีกฝ่ายพูดจริง สตรีที่เดิมทีฉลาดเฉลียวอย่างถึงที่สุดกลับสติหลุดขวัญหาย
ชุยฉานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว จำไว้ว่าวันหน้าจับตามองเว่ยหลี่ให้ดี อย่าให้เขาทำเรื่องโง่ๆ ที่เยียวยาไม่ได้อะไรอีก ในอนาคตเจ้าจะได้เป็นฮูหยินตราตั้งของต้าหลีหรือไม่ เว่ยหลี่จะเจริญก้าวหน้าในวงการขุนนางต้าหลีหรือไม่ ล้วนอยู่ที่ความสามารถของเจ้าหลิวเจียฮุ่ยแล้ว”
กล่าวอย่างนี้ หลิวเจียฮุ่ยก็ฟังเข้าใจแล้ว แต่หากให้คาดเดาจินตนาการบรรเจิดของราชครูต้าหลี นางก็คงตามไม่ทันจริงๆ บัดนี้ความรู้สึกหวาดกลัวแทรกซอนซึมลึกไปยันกระดูกของนางแล้ว
ไม่เพียงแต่หวาดกลัวเด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนอ่อนแอ แต่จิตใจซับซ้อนเกินจะคาดเดาเท่านั้น ยังหวาดกลัวราชครูต้าหลีที่อยู่ใต้คนหนึ่งคน อยู่เหนือคนนับหมื่นที่นำพากองทัพต้าหลีให้บุกตะลุยทุกที่ที่ก้าวผ่านราบเป็นหน้ากลอง
พอคิดถึงท่าทางเป็นมิตรอ่อนโยนในครั้งแรกที่พบเจอกัน สตรีแต่งงานแล้วก็รู้สึกเพียงว่านั่นคือเรื่องชวนหัวใหญ่เทียมฟ้า แถมตนยังเก็บเงินสองพันตำลึงเงินของเขามาอย่างสบายใจ
เกรงว่านั่นคงเป็นเงินที่ร้อนลวกมือที่สุดในใต้หล้าแล้ว
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น