คัมภีร์วิถีเซียน 1569-1570
ตอนที่ 1569 ล่าถอย
หานลี่มองไปยังเงาสีม่วงที่อยู่ไกลออกไป แต่ไม่ได้ขยับกายไล่ตาม
แม้นว่าจะอาศัยของเขตอาคมกระบี่ บีบให้ระดับผสานอินทรีย์ผู้นี้ล่าถอยไป แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะมีความสามารถเหนือกว่าอีกฝ่ายจนสามารถสังหารชายชราได้ และยิ่งไปกว่านั้นจากความเร็วที่น่าตกตะลึงของอีกฝ่าย เขาในยามนั้นก็ไม่มีทางไล่ตามทัน
หานลี่เองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า สาเหตุที่อีกฝ่ายล่าถอยไปนั้น ประการหนึ่งเป็นเพราะโดนปราณแท้ของกระบี่ ทำให้โลหิตไหลออกมาไม่หยุดและไม่อาจห้ามเลือดได้จนทำให้ทำอะไรไม่ถูก อีกประการหนึ่งคืออานุภาพของแมลงกลืนทองและพลังที่ตนสำแดงออกมาท้ายสุด ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตกอยู่ในอันตราย ความหวังที่จะโจมตีเขาจนพ่ายแพ้ยังคงรางเลือน ถึงได้ยอมหนีไปก่อนชั่วคราว
ความจริงแล้วชายชราแค่อาศัยพลังปราณและถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ไม่ว่าการที่ปราณแท้ของกระบี่ทำให้โลหิตไหลออกมาไม่หยุดหรือว่าการควบคุมแมลงกลืนทอง ก็ไม่อาจประคองเอาไว้ได้นานนัก
ถึงยามนั้นกวางจะตายในมือใคร[1]ก็พูดยาก หานลี่ไม่อยากต่อกรกับฝ่ายจนมัจฉาตายตาข่ายขาด[2]โดยไม่มีเหตุมีผล
และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าที่นี่จะอยู่ห่างจากเมืองแสงมรกตมาก แต่ทัพเสริมของเผ่าแมลงมีเขาก็สามารถไล่ตามมาทันได้ตลอดเวลา
นี่คือสาเหตุที่เขาใช้เขตอาคมกระบี่และใช้ปราณแท้ของกระบี่ออกมารวดเดียวอย่างไม่เสียดาย เทียบกับพลังคุกคามที่ชายชรามอบให้เขาแล้ว เขาให้ความสำคัญกับทหารไล่ล่าเผ่าแมลงมีเขามากกว่าหลายส่วน
เมื่อใช้เนตรวิญญาณมองไป ชายชราก็กลายเป็นเงาสีม่วงหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เก็บเคล็ดวิชาและสมบัติในมือกลับมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไปเช่นกัน
แต่เขาพลันเปลี่ยนทิศทางหนี พุ่งไปยังด้านข้าง
ชั่วครู่เส้นไหมสีเขียวก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า
เพราะว่าการต่อสู้ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าเกิดความวุ่นวาย มันจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
แต่หลังจากผ่านไปแค่หนึ่งเค่อ ท้องฟ้าพลันมีลำแสงสว่างวาบ สายรุ้งสองสายที่มาจากเมืองแสงมรกตพลันปรากฏขึ้น
แค่กะพริบวาบสองสามครั้ง ก็มาอยู่เหนือผืนป่า และวนโคจรไปมา
ลำแสงหลีกหนีหม่นลง ในสายรุ้งมีเงาร่างคนสองสายปรากฏขึ้น
คนหนึ่งคือชายชราแซ่ถูที่จากไปก่อนหน้า ยามนี้ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้ว อีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางสวมชุดสีเงินที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์อีกคนหนึ่ง
“จากไปแล้วดังคาด จากเคล็ดวิชาหลีกหนีของคนผู้นี้ น่าจะหนีออกไปเกินล้านลี้แล้ว” ชายชรากวาดสายตาไปด้านล่าง แล้วเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่คนบ้า จะรออยู่ที่นี่ทำไม ระยะห่างขนาดนั้น ต่อให้ใช้จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬ ก็ไร้ประโยชน์ และยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ยังใช้จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬไปแล้วครึ่งหนึ่ง จะใช้ได้อีกครั้งก็ต้องรออีกสามวันให้หลัง ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาเล็กๆ คนหนึ่ง จะทำร้ายพี่ถูได้อย่างไร” ชายวัยกลางคนมองหลุมยักษ์ที่ด้านล่าง แล้วเอ่ยถามพลางขบคิดเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำถามของชายวัยกลางคน ใบหน้าของชายชราพลันเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อกวาดสายตาไปที่หัวไหล่ของตนเองแล้ว ชั่วพริบตานั้นสีหน้าก็โหดเ**้ยมขึ้นหลายส่วน
“เพราะข้าประมาทเกินไป จึงตกเข้าไปอยู่ในเขตอาคมกระบี่ของคนผู้นั้นโดยไม่ทันระวัง และอานุภาพของเขตอาคมกระบี่นั้นก็ไม่ธรรมดา ประกอบกับคนผู้นี้รู้จักเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจหลายอย่าง สมบัติประจำกายก็ไม่ธรรมดา ถึงได้จะต้องถอยออกมา ใช่แล้ว อีกฝ่ายมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยหลายสิบตัว”
“อะไรนะ แมลงกลืนทอง!” เมื่อได้ยินคำพูดก่อนหน้า ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางไม่ใส่ใจ พลันหน้าเปลี่ยนสี
“หากไม่เป็นเช่นนั้น ตาเฒ่าคงไม่กลับไปด้วยความร้อนใจเช่นนี้” ชายชราเอ่ยอย่างคับแค้นใจ
“หากยี่สิบกว่าตัว ต่อให้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้มาพบเข้า ก็ยังต้องหวาดกลัวสองสามส่วน ทว่าขอแค่ไม่ถึงร้อยตัว ใช้สมบัติระดับสุดยอดประเภทไม้หินก็สามารถกักแมลงเหล่านี้เอาไว้ได้ชั่วคราว” ชายวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามหน ในที่สุดก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นเยือกเย็น
“หึๆ หากเป็นแมลงกลืนทองโตเต็มวัยน้อยตัว ข้าจะกล้าไปหาเจ้าแล้วกลับมาที่นี่อีกครั้งหรือ คงหนีเตลิดไปตั้งนานแล้ว” ชายชราหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“หากมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยมากนับพันหมื่นตัว เกรงว่าหากระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ถูกกักเอาไว้ ก็อาจเพลี่ยงพล้ำ ได้ยินว่าพันกว่าปีก่อน ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีเคยมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยปรากฏขึ้นฝูงหนึ่ง จำนวนเคยถึงสองสามหมื่นตัว ผลคือเผ่าเล็กๆ สามสี่เผ่าในบริเวณนั้นล้วนถูกฝูงแมลงกำจัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย หากไม่ใช่เพราะสุดท้ายถูกเผ่าที่ยิ่งใหญ่ใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬอย่าง ‘ค้อนทะลวงสวรรค์’ แยกมิติเวลาออก ส่งแมลงวิญญาณเหล่านี้ไปมิติอื่นนอกแดนวิญญาณ ไม่แน่ว่าคงมีเผ่าอีกจำนวนมากที่ประสบหายนะ” ชายวัยกลางคนมีท่าทีครุ่นคิดไปพลาง เอ่ยอย่างเนิบช้าไปพลาง
“แต่จะว่าไปแล้ว การเลี้ยงดูแมลงกลืนทองนั้นจำต้องเสียจิตสัมผัสไปจำนวนมาก ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามกี่ชั่วอายุคน ถึงจะโชคดีทำสำเร็จได้ มันเป็นหนึ่งในแมลงวิญญาณไม่กี่ชนิดที่เลี้ยงดูยากที่สุด คนผู้นั้นควบคุมได้ยี่สิบกว่าตัว ไม่รู้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ใด เขาเป็นคนของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์หรือ?” ชายวัยกลางคนนึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี
“ไม่ใช่ ยุทธภัณฑ์ที่ข้าพกอยู่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ท่าทางก็ดูธรรมดามาก ไม่รู้ว่ามาจากเผ่าใด” ชายชราย้อนนึกถึง สุดท้ายก็สั่นศีรษะ
“เช่นนั้นก็ยุ่งยากหน่อยแล้ว หากในตัวเขามีกล่องหยกอยู่จริง พวกเราก็เอาคืนมาได้ยาก” ชายวัยกลางขมวดคิ้ว
“สหายหนิง ทางเจ้าได้มากี่กล่อง” ชายชราแววตาเปล่งประกายพลันเอ่ยถาม
“ได้มาสองกล่อง คนเผ่าหมื่นโบราณผู้นั้นเจ้าเล่ห์มาก สุดท้ายยังจะทำลายกล่องแล้วหนีไป แต่ไม่คิดว่าเคล็ดวิชาหลอมโลหิตตัดสัมพันธ์ของข้านั้นเชี่ยวชาญการลอบโจมตีมากที่สุด เมื่อลงมือก็ควบคุมเขาได้ แล้วถึงได้แย่งมา” ชายวัยกลางพูดไปพลาง มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีกล่องหยกสองกล่องที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้น ด้านบนมียันต์ต้องห้ามแปะอยู่
“ชนต่างเผ่าหัวโตผู้นั้น แบ่งให้หานลี่และพวกอีกคนล่ะกล่อง ส่วนตัวเองเก็บเอาไว้มากกว่าสองเผ่า”
ชายชราพยักหน้า สะบัดแขนเสื้อเช่นกัน และหยิบกล่องหยกออกมาใบหนึ่ง กลับเป็นกล่องหยกใบที่ชายผิวสีเขียวได้ไป
“เช่นนั้นละก็ ในมือของพวกเราก็มีอยู่สามกล่อง ข่าวจากหงเมี่ยบอกว่าในมือของชนเผ่าหมื่นโบราณน่าจะมีกี่กล่อง?” ไม่รู้ว่าชายชราลืมไปแล้วจริงๆ หรือว่าอยากให้มั่นใจอีกครั้ง จึงจ้องเขม็งสหายร่วมวิถีพลางเอ่ยถาม
“ห้าหกกล่องกระมัง! ข่าวของเขาไม่ค่อยแม่นยำนัก” ชายวัยกลางลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“ห้าหกกล่อง ช่างเป็นจำนวนที่ยุ่งยากเสียจริง เช่นนั้นในตัวของคนผู้นั้นก็น่าจะมีอยู่อย่างน้อยกล่องหนึ่ง” ชายชราถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นยังมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย ดูแล้วหงเมี่ยคงเพลี่ยงพล้ำด้วยมือของเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ไม่อาจปล่อยคนผู้นี้ไปได้” แววตาชายวัยกลางฉายแววเย็นชา น้ำเสียงโหดเ**้ยม
“แต่คนผู้นี้หายตัวไปแล้ว พวกเราจะไล่ตามเขาอย่างไร” ชายชราเอ่ยถามอย่างฉงนสนเท่ห์
“อาศัยเพียงพวกเราย่อมไม่ได้ แต่พี่ถูอย่าลืมล่ะ เมืองกว่าครึ่งของที่นี่อยู่ในมือของเผ่าเรา พวกเราจะใช้ยันต์หมื่นลี้ส่งข่าวไปยังเมืองในละแวกนี้ ให้พวกเขาช่วยปิดผนึกช่องทางเอาไว้ และส่งคนจำนวนมากออกค้นหาคนผู้นี้ ผู้ที่ส่งออกมาไม่จำเป็นต้องเป็นคนผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งเท่าไหร่นัก ขอแค่แหวกหญ้าให้งูตื่น ให้คนผู้นี้เผยร่องรอยออกมาก็พอแล้ว จากนั้นพวกเราก็ใช้เขตอาคมส่งตัวรีบรุดไป” ชายวัยกลางคนขบคิดอย่างรอบคอบ แล้วเอ่ยเสนอแนะรอบเดียว
“อืม วิธีนี้ใช้ได้” แม้ว่าชายชราแซ่ถูจะรู้สึกว่าความหวังไม่มากนัก แต่ตนเองก็คิดวิธีที่ดีกว่าไม่ออก จึงพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นชายชราพลันสะบัดแขนเสื้อ ในมือมีแผ่นหินสีเขียวปรากฏขึ้น
ชายชราใช้นิ้วเขียนตัวหนังสืออะไรสักอย่างลงบนแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ด้านบนมีตัวอักษรสีทองอ่อนปรากฏขึ้นเป็นแถว
ครู่ต่อมาชายชราก็เขียนจบ มือหนึ่งปรบไปที่แผ่นหิน
ชั่วขณะนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ตัวอักษรเหล่านั้นทยอยกันหายวับไป
“พวกเรากลับไปที่เรือสงครามก่อนเถิด ชาวเผ่าหมื่นโบราณผู้นั้นวางเขตอาคมระเบิดตัวเองเอาไว้ที่เมือง แต่ถูกยุทธภัณฑ์ตรวจสอบพบเข้า และเรียกคนไปทำลาย แต่กลับพบปัญหาอยู่ไม่น้อย ต้องให้พวกเราสองคนไปช่วยสักหน่อย” ชายวัยกลางคนหัวเราะน้อยๆ ออกมาขณะเอ่ย
“ก็ทำได้เพียงเท่านี้!” ชายชราย่อมไม่มีข้อคิดเห็นอื่น
ดังนั้นทั้งสองคนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี ตรงไปยังทางที่มา ชั่วครู่ก็บินหายไปอย่างไร้ร่องรอย
……
หานลี่บินมารวดเดียวล้านลี้ เมื่อมั่นใจว่าคนของเผ่าแมลงมีเขาไม่อาจไล่ตามเขามาได้อีก ถึงได้ผ่อนความเร็วลำแสงหลีกหนีลง กลับมาอยู่ในความเร็วธรรมดาอีกครั้ง
แต่บินมาเนิ่นนานเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นหานลี่เองก็ยังรู้สึกเสียแรงไปไม่น้อย
ทันใดนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ในมือมีผลึกสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นสองก้อน
ผลึกสองก้อนนี้คือผลึกวิญญาณธาตุได้ระดับสุดยอด
แม้ว่าผลึกวิญญาณนี้จะหายาก แต่ตอนนี้อยู่ในวิกฤตอันตราย หานลี่จึงใช้มือกำผลึกเอาไว้อย่างไม่เสียดาย และเริ่มดูดซับพลังวิญญาณจากในนั้น
โชคดีที่รอบๆ ล้วนเป็นสถานที่รกร้าง หานลีจึงหาภูเขามาลูกหนึ่งแล้วร่อนลงไป นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ และเริ่มตั้งจิตฟื้นฟูพลังลมปราณ
แม้ว่าเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์จะมีอิทธิฤทธิ์น่าอัศจรรย์ แต่พลังปราณที่เสียไปก็ไม่ธรรมดาเลยสักนิด
โดยเฉพาะการสับครั้งสุดท้ายของปราณแท้กระบี่ เกือบจะทำให้เขาสูญเสียปราณแท้ไป
ในเวลาต่อมา บนภูเขาที่หานลี่นั่งสมาธิอยู่ไม่ได้มีลำแสงหลีกหนีใดพุ่งผ่านไปเลย
เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลมปราณในร่างของหานลี่ฟื้นฟูกลับมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว
เมื่อหานลี่ลืมตาขึ้นด้วยความยินดีนั้น ก็ไม่มีเจตนาจะรั้งรออยู่ที่นี่อีก เขาเก็บศิลาวิญญาณในมือ ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่หลังจากที่สายรุ้งบินออกมาได้ร้อยกว่าจั้ง ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็รางเลือน ราวกับไม่มีอยู่จริง
ตัวอยู่ในลำแสงหลีกหนี หานลี่หยิบคัมภีร์ออกมาม้วนหนึ่ง
นั่นก็คือแผนที่น่านน้ำในบริเวณรอบที่เขาได้มาจากชิงเสี่ยวก่อนส่งตัวจากหมู่เกาะปะการังเพลิงมาที่เมืองแสงมรกต
แม้จะกล่าวว่าน่านน้ำปะการังเพลิงของนางไม่ได้ติดต่อกับแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ในแผ่นที่กลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
หานลี่แผ่จิตสัมผัสเข้าไปในคัมภีร์ เริ่มค้นหาเส้นทางที่เหมาะสม
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสถานการณ์การกระจายตัวของเผ่าแมลงมีเขาในละแวกนี้ แต่เมืองรอบๆ นั้นไม่มีทางไปแน่ จึงคิดจะอ้อมไปยังเมืองอื่น ตรงไปยังเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์นั่นก็คือ ‘เมืองเกราะทอง’
ว่ากันว่าเป็นเพราะตำแหน่งมันสำคัญมากเกินไป ดังนั้นไม่เพียงจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ ในเวลาเดียวกันที่นี่ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตนี้ มีกองทัพหัวกะทิของสิบสามเผ่าประจำการระยะยาวอยู่ ในเวลาเดียวกันชนชั้นสูงจำนวนมากก็อาศัยอยู่ที่นี่
หากตำแหน่งในแผ่นที่ไม่ผิดพลาด เผ่าแมลงมีเขาไม่กวาดล้างเมืองอื่นๆ ในบริเวณรอบก่อน ก็ไม่มีทางโจมตีเมืองนี้ได้ในทันทีแน่
หลังจากครุ่นคิดเช่นนั้น หานลี่พลันมองไปยังแสงแดดเจิดจ้าบนท้องฟ้า หลังจากเปรียบเทียบทิศทางอีกครั้งแล้ว ก็กระตุ้นลำแสงหลีกหนี พุ่งตรงไปยังจุดที่ไกลออกไป
——
[1] กวางตายในมือใคร หมายถึง ผู้ที่ชนะในศึก
[2] มัจฉาตายตาข่ายขาด หมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปทั้งสองฝ่าย
ตอนที่ 1570 พบระหว่างทาง
เพราะว่าหานลี่จงใจเลี่ยงเมืองในละแวกนี้ ดังนั้นเส้นทางที่เลือกจึงล้วนเป็นสถานที่รกร้างไร้ผู้คน สองสามวันแรกยังคงปลอดภัยไร้อันตราย และไม่พบความยุ่งยากใดๆ
แค่บังเอิญเห็นผู้บำเพ็ญเพียรของชนต่างเผ่าขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีอยู่ไกลๆ ผ่านไปผ่านมาอย่างรวดเร็วเท่านั้น
ดูจากทิศทางที่ผู้บำเพ็ญเพียรของชนต่างเผ่าเหล่านี้บินไป นั่นก็คือเมืองในละแวกนี้
หานลี่มองแล้วทำได้เพียงสั่นศีรษะ ไม่มีเจตนาจะเข้าไปเตือนสติอะไรเลยสักนิด
คนเหล่านี้มีพลังยุทธ์ต่ำต้อย อยู่แค่ระดับสร้างปราณและหลอมรวม หากเผชิญหน้ากับการโจมตีของเผ่าแมลงมีเขา แน่นอนว่าคงคิดจะหนีไปในเมืองหรือว่าอาศัยเขตอาคมส่งตัวส่งตัวไปที่อื่น ไม่ก็ขอให้ชนชั้นสูงในเมืองช่วยปกป้อง
ทว่าเมื่อหานลี่บินไปคนเดียวได้สิบกว่าวัน ในที่สุดก็มาพบกับกลุ่มนักรบชุดเกราะผู้ตรวจตราของเผ่าแมลงมีเขา
จำนวนคนไม่มากนัก มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แต่ทุกคนล้วนขี่นกอินทรีสองหัวสีขาวหิมะ ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งของพวกเขาอยู่ในระดับก่อกำเนิด คนอื่นๆ ล้วนอยู่ในระดับหลอมรวม
หานลี่มองนักรบชุดเกราะเหล่านี้ แล้วรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
หากเขาจำไม่ผิดละก็ ไม่ได้อยู่ใกล้กับเมืองใดๆ ในละแวกนี้ เผ่าแมลงมีเขาเหล่านี้มาจากที่ใด คาดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวในที่รกร้างเช่นนี้
หานลี่รู้สึกฉงนสงสัย แต่คนที่เบื้องหน้าเหล่านี้กลับไม่อยู่ในสายตาเลยสักนิด สังหารพวกเขาเป็นแค่เรื่องพลิกฝ่ามือเท่านั้น
แต่เขาที่พบเผ่าแมลงมีเขาก่อน กลับหลบซ่อนตัวอยู่ตั้งนานแล้ว ใช้สายตาส่งพวกเขาจากไปแล้วถึงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เขามองไปยังจุดที่กองกำลังหายลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ลังเลอะไรอีก กลายเป็นลำแสงหลีกหนีเดินหน้าต่อทันที
แต่หลังจากที่พบกับนักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขา สองสามวันต่อมา ก็พบกับกลุ่มที่สอง กลุ่มที่สาม กลุ่มที่สี่…
หานลี่บังเอิญกับกลุ่มลาดตระเวรของเผ่าแมลงมีเขาไปหลายครั้ง และค่อยๆ ชุกชุมมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะเป็นเพราะพลังยุทธ์ต่างกันเกินไป ไม่อาจพบร่องรอยของหานลี่ได้ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
หรือว่าเขตแดนแห่งนี้ จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าแมลงมีเขาหมดแล้ว
ในยามที่หานลี่รู้สึกระแวดระวังตัวอีกครั้ง ในเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองแสงมรกตหลายเท่า ซึ่งถูกเผ่าแมลงมีเขาโจมตีได้ไม่นาน ชนชั้นสูงของเผ่าแมลงมีเขาสามคนกำลังนั่งอยู่ในวิหาร และกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่
สตรีที่มีเรือนผมสีแดงก่ำ ชายชราร่างกายผ่ายผอม ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของเก้าอี้สีทอง
บนเก้าอี้กลับมีหญิงสาววัยเยาว์อายุประมาณยี่สิบกว่าปีนั่งอยู่
ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ช่างสะคราญนัก แต่ผิวกลับมีสีเงินอ่อนราวกับทอง ดวงตาคู่งามกลอกไปมา รูม่านตาเป็นสีม่วงทอง ทำให้ผู้คนที่มองมา รู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา
หว่างคิ้วมีเขาเล็กๆ ยาวสองสามชุ่นงอกออกมา มันเป็นประกาย เผยความวิจิตรงดงามออกมา
ชายชราร่างกายผ่ายผอมและสตรีผมสีแดงล้วนอยู่ในระดับหลอมสุญตา แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวผู้นี้กลับมีท่าทีว่านอนสอนง่าย ท่าทางเคารพนบน้อม
“อันใด จนถึงตอนนี้ยังไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้นหรือ?” ฉับพลันนั้นหญิงสาวพลันเอ่ยปากออก น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู แต่สีหน้ากลับเย็นเยียบ
“รายงานนายท่านอิน กลุ่มลาดตระเวนทั้งหมดยังไม่ส่งข่าวมา คนผู้นี้น่าจะหาที่หลบซ่อนตัว เช่นนั้นละก็ หากจะหาคนผู้นั้นให้พบ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย” ชายชราร่างกายผ่ายผอมตอบกลับอย่างเคารพนบน้อม
“หลบอยู่ เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่าเผ่าของพวกเรากำลังเริ่มทำการโจมตีเมืองในละแวกนี้ เขาน่าจะรู้ดี พวกเราต้องการควบคุมพื้นที่แห่งนี้ ต่อให้เขามีพลังยุทธ์สูงส่งขนาดไหน สุดท้ายก็มีเพียงแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเริ่มโจมตีเมืองในละแวกนี้ และจะพบกับมัจฉาตัวใหญ่ขนาดนี้ หากจับเป็นคนผู้นี้ได้จริงๆ พวกเราจะต้องตกรางวัลอย่างงาม” หญิงสาวขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“คนผู้นี้มีความสำคัญต่อสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ นายท่านน่าจะรู้ ไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีออกไปจากที่นี่ได้ ข้าได้วางกำลังคนเอาไว้จำนวนมาก ปิดผนึกพื้นที่แห่งนี้เอาไว้แล้ว นอกจากนี้ยังมีกำลังคนอีกสองกลุ่มที่รอคอยคำสั่งอยู่ตลอดเวลา ขอแค่มีข่าว พวกเขาก็จะถูกส่งตัวไปทันที แม้ว่าวิธีการส่งตัวจะได้รับข้อจำกัดเรื่องระยะทาง และยิ่งไปกว่านั้นยังสิ้นเปลืองมาก แต่เพื่อคนผู้นี้ แน่นอนว่าย่อมคุ้มค่า” สตรีผมสีแดงเอ่ยปากอย่างนอบน้อม
“อืม เช่นนั้นข้าก็วางใจ ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ทูตเทียนถูเองก็ให้พวกเราร่วมมือ หยุดใครสักคนมิใช่หรือ?” หญิงสาวพยักหน้า แต่ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“ขอรับ! อรหันต์ถูส่งภาพเหมือนมาให้พวกเราม้วนหนึ่ง ให้กองกำลังลาดตระเวนแต่ละเมืองคอยจับตาดูคนผู้นี้ บอกว่าเป็นเผ่าเบื้องบนระดับเจ็ด แต่ในตัวมีของสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของพวกเขาอยู่” ชายชราร่างกายผ่ายผอมลังเลเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างสัตย์จริง
“หึ พวกเขาช่างไร้ประโยชน์นัก ทั้งสองคนอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าวแล้ว แต่ยังปล่อยให้เผ่าเบื้องบนจิ๊บจ๊อยคนหนึ่งหนีไป หากไม่ใช่เพราะเดิมทีก็มีแผนจะปิดตายที่นี่ ข้าย่อมไม่มีทางสนใจคำขอนี้” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างเหยียดหยามเล็กๆ
เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงสาว ชายชราและหญิงสาวผมสีแดงก็เหลือบตามองกัน แต่กลับไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
“ทว่าข้าเองก็ประหลาดใจอยู่บ้าง อาวุโสส่งพวกเขาสองคนมาที่นี่ เพราะอยากแย่งสิ่งใดกันแน่ แม้กระทั่งให้ข้านำเรือสงครามระดับป้อมปราการไปให้เขาลำหนึ่งอย่างไม่เสียดาย ทำให้แผนการเดิมเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้จึงยังไม่อาจครอบครองพื้นที่แห่งนี้ได้ทั้งหมด” หญิงสาวแซ่อินหัวเราะอย่างเย็นชาไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะรู้สึกไม่พอใจชายชราแซ่ถูและพวกเป็นอย่างมาก
“นายท่าน! เรื่องเรือสงครามระดับป้อมปราการนั้น ท่านอาวุโสเป็นผู้รับสั่งด้วยตนเอง พวกเราไม่อาจต่อต้านได้ ในเมื่อท่านอาวุโสให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ คิดดูแล้วการแย่งชิงของมาจะต้องมีประโยชน์ต่อเผ่าเราเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องกำลังคนไม่พอนั้น โชคดีที่เผ่าได้มอบหุ่นเชิดสงครามให้พวกเรามากองทัพหนึ่ง เพียงพอจะทำให้พวกเราควบคุมพื้นที่แห่งนี้ได้ ตอนนี้ที่นี่เหลือเพียงสองเมืองที่ยังไม่ถูกยึดครอง แต่ก็ถูกล้อมเอาไว้แล้ว” สตรีผมแดงตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“หุ่นเชิดสงครามเหล่านั้นก็พอใช้งานได้ แต่ใช้ได้เพียงในการต่อสู้เท่านั้น ใช้ตรวจตราหรือไล่ล่าล้วนไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ปิดผนึกพื้นที่นี้ไว้ ก็ใช้กำลังคนไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนเมืองอีกสองเมืองที่ยังไม่ได้โจมตี พลังการป้องกันก็ไม่ธรรมดา จนถึงตอนนี้ก็ยังจัดการไม่ได้ ดูแล้วคงไม่อาจยืดเวลาต่อไปได้แล้ว พวกเราต้องจัดการที่นี่ให้ได้ก่อนที่ทัพเสริมของเผ่าจะมาถึง เพื่อจะได้สร้างความดีความชอบให้กับเผ่าเรา! ดูแล้วจำต้องลงมือเองสักตั้งแล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่อาจรายงานกับท่านอาวุโสได้” หลังจากที่หญิงสาวขบคิด แววตาก็ฉายแววเย็นเยียบขณะเอ่ย
“หากนายท่านจะลงมือเองละก็ เช่นนั้นอีกสองเมืองก็ย่อมถูกจับอยู่แล้ว!” ชายชราพลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มประจบประแจง
“ตกลงตามนี้! เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ พรุ่งนี้จะโดยสารเรือสงครามไป” หญิงสาวแซ่อินกวาดสายตาไปยังลูกน้องทั้งสองของตน แล้วออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
“รับคำบัญชา!”
สตรีผมสีแดงและชายชราร่างกายผ่ายผอมย่อมค้อมตัวลงรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
……
ครึ่งเดือนต่อมาหานลี่อยู่ใต้ต้นไม้ยักษ์ในป่าลึกตรงตีนเขาแห่งหนึ่ง บนร่างสวมผ้าโปร่งสีดำ เก็บกลิ่นอายเอาไว้อย่างมิดชิด ในเวลาเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นเพียงบนท้องฟ้าไม่ไกลนัก มีเกาะสีเงินขนาดเล็กที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วสองเกาะปรากฏขึ้น
รูปร่างภายนอกของ ‘เกาะสีเงิน’ ทั้งสองเกาะ ดูคล้ายคลึงกับที่เมืองแสงมรกต แต่มีขนาดแค่สองสามร้อยจั้งเท่านั้น แต่เช่นนั้นรอบๆ เรือสงครามขนาดเล็กทั้งสองของเผ่าแมลงมีเขา ก็มีนักรบชุดเกราะสีเงินและอินทรียักษ์สองหัวบินวนเวียนอยู่เต็มไปหมด
เผ่าแมลงมีเขาวางเขตอาคมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับแค่เพื่อชนต่างคนคนหนึ่งที่ถูกพวกเขาล้อมเอาไว้เท่านั้น
คนผู้นี้มีผมยาวยุ่งเหยิงสีดอกเลา ใบหน้าแปลกประหลาด อายุประมาณห้าสิบหกสิบปี สองมือไพล่หลังเหยียบอยู่บนเรือเหาะทรงกระสวยไม่ขยับเขยื้อน
ส่วนด้านข้างของคนทั้งสอง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดรูปอสูรตัวหนึ่ง
ตัวหนึ่งกายเป็นอาชาหัวเป็นมังกรวารี แผ่นหลังมีปีกงอกออกมา เรือนกายเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ ขนาดสองสามจั้ง นอกจากนี้หัวหนึ่งกลับเป็นสิงโตประหลาดเจ็ดหัว หัวหนึ่งใหญ่อีกหกหัวเล็ก ท่าทางน่าดุดัน กลับมีขนาดยี่สิบจั้งเศษ
แค่ดูก็รู้ว่าหุ่นเชิดทั้งสองตัวไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่ไม่น้อย
ส่วนคนของเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ในบริเวณรอบก็ไม่กล้าลงมือง่ายๆ ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ราวกับเป็นเครื่องยืนยันจุดนี้
หานลี่มองไปในใจกลับอดพึมพำไม่ได้
ต้องเข้าใจว่าเดิมทีเขาเพิ่งจะพบเรือสงครามและคนของเผ่าแมลงมีเขาจำนวนมาก ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง
แต่ทันใดนั้นก็พบว่าในบรรดาคนของเผ่าแมลงเหล่านี้ไม่มีผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาขึ้นไปปะปนอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังรายล้อมชนต่างเผ่าแปลกหน้าอยู่คนหนึ่ง ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกสนใจ หนีไปในบริเวณใกล้เคียงอย่างเงียบเชียบ แล้วจับตาดูทุกอย่างอยู่เงียบๆ
พลังยุทธ์ของชนต่างเผ่าผู้นี้ หานลี่มองปราดเดียวก็มองออก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่ง
แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากหุ่นเชิดทั้งสองตัวข้างกาย กลับอยู่ในระดับหลอมสุญตา และยิ่งไปกว่านั้นตัวหนึ่งยังอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง อีกตัวหนึ่งกลับแข็งแกร่งกว่า อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย
หุ่นเชิดสองตัวที่แข็งแกร่งนี้ทำให้หานลี่รู้สึกใจสั่นสะท้าน แต่สิ่งที่ทำให้เขาฉงนสนเท่ห์ก็คือ มีหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เหตุใดชนต่างเผ่าผู้นี้ไม่ควบคุมพวกมันให้สังหารนักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขาและอินทรียักษ์ แต่กลับยืนกรานต่อกันเช่นนี้!
อินทรียักษ์เหล่านี้และนักรบชุดเกราะมีอยู่จำนวนมาก แต่ในนั้นมีตัวที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดแค่ระดับเทพแปลงสองสามตัวเท่านั้น
ปัญหาเดียวก็คือ เรือสงครามที่ไม่รู้ว่ามีพลังด้านในเท่านั้น
หานลี่ขบคิดไปมาอย่างรวดเร็ว
และในตอนนั้นเอง หัวที่ถูกชนต่างเผ่าล้อมรอบอยู่กลางอากาศพลันกวาดสายตาไปที่นักรบชุดเกราะและอินทรียักษ์ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ในที่สุดหุ่นเชิดสองหัวก็เคลื่อนไหว
อสูรประหลาดร่างเป็นอาชาหัวเหมือนมังกรวารีสบายปีกทั้งสองออก ปีกคู่นั้นกลายเป็นใบมีดยักษ์สองใบ เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป
ครู่ต่อมาลำแสงสีเขียวก็จมหายไปด้านใน
ทุกแห่งที่กวาดไป อินทรียักษ์สิบกว่าตัวและนักรบชุดเกราะจะแยกออกเป็นสองส่วน
หุ่นเชิดสิงโตประหลาดตัวนั้น หัวทั้งเจ็ดอ้าปากออก เพลิงลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกบอลเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาอย่างเนืองแน่น ชั่วพริบตาก็ผนึกรวมกัน กลายเป็นทะเลเพลิง กลืนกินศัตรูที่อยู่อีกฝั่งเอาไว้จนหมด
นักรบชุดเกราะที่อยู่รอบด้านพลันตะลึงงัน จากนั้นหัวหน้าสองสามคนก็ร้องตะโกน นักรบชุดเกราะทั้งหมดชูมีดอาวุธขึ้น ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปที่หัวของหุ่นเชิดทั้งสอง
ส่วนอินทรียักษ์เหล่านั้นพลันหมุนวนอยู่กลางอากาศ กระโจนเข้าไปหาหุ่นเชิดในเวลาเดียวกัน
ยามนั้นรอบด้านพลันมีเสียงกรีดร้องแหลมสูงระเบิดออกมาไม่หยุด การต่อสู้ปะทุขึ้น!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น