เทพปีศาจหวนคืน 1566-1571

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1566 เผ่าเมิ้งค้นหาความจริง


 


ผู้อมตะสองคนบินอยู่บนท้องฟ้า พวกเขามีรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งสองคือผู้อมตะเผ่า เมิ่ง เมิ้งจื่อไจ๋ และเมิ้งเจา


 


เป็นดังที่ฟางหยวนคาดเดา ทันทีที่เขาปรากฏตัว เมิ้งตู๋ก็ส่งข้อความกลับไปที่เผ่าเมิ้งเรียบร้อยแล้ว


 


แต่เมื่อเมิ้งตู๋ใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ปิดผนึกพื้นที่ เขาก็ไม่สามารถส่งข้อความออกไปได้อีก


 


ด้วยข้อความสําคัญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบุกรุกทุ่งใบมีดร่วงโรย เผ่าเมิงจะไม่สนใจมันได้อย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงส่งผู้อมตะระดับเจ็ดเมิงจือใจและผู้อมตะระดับหกเมิ้งเจาออกมาทันที


 


“ท่านลุง ท่านคิดว่าผู้ใดกล้าบุกรุกเผ่าเม็งของเรา? ฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าน่าจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอก” เมิ้งเจากล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


เมิ้งจื่อไจ๋เป็นคนแข็งกระด้างแต่ดวงตาของเขายังเผยให้เห็นถึงความผ่อนคลาย “การคาดเดาของเจ้ามีเหตุผล แต่เจ้าต้องวางแผนสําหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้เสมอ ปัจจุบันถ้ําสวรรค์นิรันดรปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนและกําลังรวบรวมสมาชิกตระกูลฮวงจิน ปีศาจอมตะเซี่ยหูหายตัวไปจักรพรรดิสวรรค์ไปซูกลายเป็นฝ่ายธรรมะ ตอนนี้ฝ่ายธรรมะของภาคเหนือก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุด แต่แท้จริงแล้วยังมีบางคนที่ต่อต้านเรื่องนี้ คนผู้นี้ต้องเป็นคนบ้าหรือไม่ก็มีภูมิหลังบางอย่าง นั่นเป็นเหตุผลที่เผ่าส่งพวกเราออกมาเป็นกําลังเสริมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด”


 


“ท่านลุงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่…” เมิ้งเจาหยุดก่อนหัวเราะ “คนผู้นี้ช่างโชคร้ายนัก เขาเข้า มาในทุ่งใบมีดร่วงโรยที่มีท่านเติ้งตู้ปกป้องอยู่ ท่านเติ้งตู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งกระบี่และเป็นถึงปรมาจารย์เอกที่ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดของเผ่า!”


 


“เขาอาจไม่ได้เป็นเพียงกิ่งปรมาจารย์เอกอีกต่อไป” เมิ้งจื่อไจ๋ถอนหายใจ


 


ดวงตาของเติ้งเจาส่องประกายขึ้น “ท่านลุงหมายความว่า…”


 


เมิ้งจื่อไจ๋ยิ้ม “เขาเป็นรุ่นพี่ที่ข้าชื่นชมมากที่สุดในชีวิต ไม่มีผู้ใดในเผ่าสามารถแข่งขันกับเขาบนเส้นทางแห่งกระบี่เขาฝึกฝนอยู่ในทุ่งใบมีดร่วงโรยมานานหลายปี ด้วยพรสวรรค์ของเขา เขาควรจะก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์เอกเรียบร้อยแล้ว”


 


“ปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งกระ!! สมกับเป็นท่านเมิ้งตู๋!” เมิ้งเจากล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้อง” เมิ้งจื่อไจ๋หัวเราะ เมิ้งตู๋เป็นคนที่เมิ้งจื่อไจ๋ยกย่องและเฝ้ามองมาต ลอดดังนั้นเมื่อเลิ้งตู้ส่งข้อความกลับไปที่เผ่า เมิ้งจื่อไจ๋จึงเสนอตัวออกมาเป็นกําลังเสริมให้กับเมิ้งตู๋ ในความเป็นจริงเขามั่นใจในตัวเมิ้งตู๋เป็นอย่างมาก เขาเพียงต้องการมาพบปะสหายเก่าและแนะนหลานชายของเขาเม็งเจาให้เมิ้งตู๋รู้จักเท่านั้น


 


เมิ้งเจาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเมิ้งจื่อไจ๋ขณะที่เมิ้งตู๋และเมิ้งจื่อไจ๋เป็นฝ่ายเดียวกัน นี่เป็นการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายในเผ่าเมิ้ง


 


เมิ้งเจารู้ถึงความสําคัญของการเดินทางครั้งนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก


 


“ทุ่งใบมีดร่วงโรยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อีกไม่นานเราจะได้พบพี่เติ้งแล้ว เห้อ…ข้าไม่ได้พบเขา มาสองสามปีแล้วหากเขากลายเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งกระบี่ มันจะช่วยฝ่ายของเราได้มาก” เมิ้งจื่อไจ๋คิดในใจ


 


แต่ในเวลานี้ร่างกายของเขากลับสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดเผือด ขณะที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด


 


“ท่านลุง? เกิดสิ่งใดขึ้น?” เมิ้งเจาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและรู้สึกสงสัย เขาไม่เคยเห็นการแสดงออกเช่นนี้จากเมิ้งจื่อไจ๋มาก่อน


 


แต่เมิ้งเจายังเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเมิ้งจื่อไจ๋มากขึ้น


 


เมิ้งจื้อไจลดความเร็วลงก่อนจะหยุดลอยอยู่กลางอากาศราวกับรูปปั้น


 


สีหน้าของเขาซีดขาว นัยต์ตาแดงก่ําขณะที่น้ําตาเริ่มไหลออกมา


 


หัวใจของเมิ้งเจาสั่นไหวมากขึ้น มีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เขาไม่กล้าถามต่อ เขาทําได้เพียงหยุดรอและเผชิญหน้ากับลมหนาวเท่านั้น


 


เมิ้งจื่อไจ๋มันงงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ท่าทางของเขาจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาดูน่ากลัว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ


 


เมิ้งจื่อไจ๋คํารามเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้อง จากนั้นเขาก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง


 


เมิ้งเจาเร่งติดตามไปหลังจากสะดุ้งตกใจ


 


แต่ความเร็วของเขาจะสามารถเปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับเจ็ดได้อย่างไร?


 


ในไม่ช้าเขาก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง


 


เมิ้งเจารู้สึกงุนงงมาก “เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


เขามีความรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ “เดี๋ยว! ทิศทางที่ท่านลุงมุ่งไปคือทุ่งใบมีดร่วงโรย ท่านเติ้งตู้อยู่ในสถานการณ์อันตรายงั้นหรือ?”


 


ร่างกายของเมิ้งเจาสั่นสะท้านขึ้นกับความคิดนี้


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นฝันร้ายสําหรับเขาและเป็นข่าวร้ายสําหรับเผ่าเมิ้งเช่นกัน


 


หากเมิ้งตู๋ที่มีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ดบนจุดสูงสุดเสียชีวิต มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงมาก


 


เมิ้งเจารีบไปที่ทุ่งใบมีดร่วงโรยด้วยพละกําลังทั้งหมด


 


“นี่…เกิดสิ่งใดขึ้น!?” เมิ้งเจาตกตะลึง ก่อนบรรลุถึงทุ่งใบมีดร่วงโรย เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่พลุ่งพล่านอยู่ในอากาศ


 


ทุ่งใบมีดร่วงโรยถูกทําลายไปอย่างสมบูรณ์ มันเต็มไปด้วยหลุมและรอยแยก


 


ในไม่ช้าเกิ้งเจาก็เห็นเฉิงจื่อไจ้คุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับรูปปั้น


 


เมิ้งเจาบินลงไปอย่างระมัดระวัง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ที่หนาแน่นแทงเข้าไปในชั้นผิวหนังทําให้เขารู้สึกเจ็บปวด


 


เขาเดินไปด้านข้างเมิ้งจื่อไจ๋และพบว่าอีกฝ่ายกําลังหลั่งน้ําตา


 


เมิ้งเจาเห็นเพียงเจิ้งจือใจแต่ไม่เห็นเมิ้งตู๋ การคาดเดาในใจของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นั่นทําให้เขาแสดงออกด้วยความหวาดกลัว


 


เมิ้งจือใจค่อยๆมองไปที่เมิ้งเจาและกล่าวด้วยน้ําเสียงแหบแห้ง


 


“พี่เมิ้งตู๋ เสียชีวิตในสนามรบ!”


 


ร่างกายของเมิ้งเจาสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรงแม้เขาจะคาดเดาไว้แล้วก็ตาม


 


เมิ้งตู๋เสียชีวิตในสนามรบจริงๆงั้นหรือ?


 


ด้วยพลังการต่อสู้ของเขา ผู้ใดจะสามารถฆ่าเขา?


 


เมิ้งเจาเปิดปากกล่าวด้วยความยากลําบาก “ท่านลุง ท่านเติ้งตู้แข็งแกร่งมาก เหตุใดเขาถึงถูกฆ่าอย่างง่ายดายเช่นนี้? บางทีเขาอาจยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเพียงย้ายสถานที่ต่อสู้ไปที่อื่นเท่านั้น”


 


งชื่อไจกลับส่ายศีรษะ “ก่อนที่เราจะมาถึง เผ่าส่งข้อความมาบอกข้าว่าโคมไฟวิญญาณของเมิ้งตู๋้ดับลงแล้ว แต่ข้ายังมีความหวัง กระทั่งมาถึงที่นี่…”


 


เขากล่าวพร้อมกับน้ําตาที่ไหลนอง


 


บุรุษจะไม่หลั่งน้ําตาโดยง่าย เว้นเพียงจะเป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจจริงๆเท่านั้น


 


เฉิงจื่อไจกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงที่อ่อนแรง “ข้ารู้ว่าเขามีท่าไม้ตายอมตะที่เรียกว่าสละกระบี่ มันเป็นวิธีการระเบิดตัวเอง มันจะทําลายมิติช่องว่างของเขา วิญญาณอมตะ และทรัพยากรงหมดเพื่อปลดปล่อยพลังอํานาจที่น่าสะพรึงกลัวออกมา แต่นั่นก็หมายความว่าเขาต้องตายอย่าง แน่นอน”


 


“หากเป็นเช่นนั้น…” เมิ้งเจารีบกวาดตามองสนามรบและยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้น


 


เมิ้งตู๋ตายแล้ว!


 


ผู้อมตะที่ทรงพลังเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ เขาถูกบังคับให้ระเบิดตัวเองในระยะเวลาเพียงสั้นๆ


 


ศัตรูเป็นผู้ใดกันแน่!?


 


เหตุการณ์และความทรงจําทุกประเภทปะทุขึ้นในใจของเมิ้งจื่อไจ๋


 


เขาไม่เคยคาดหวังถึงสถานการณ์ที่เมิ้งตู๋จะเสียชีวิต


 


เมิ้งจื่อไจ๋ร้องไห้อยู่ชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ


 


ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกขณะกล่าวกับเม็งเจา “เจ้าควรกลับไป เผ่าเมิ้งของเราจะไม่ยอมให้เมิ้งตู๋ตายอย่างไร้ความหมาย แต่ศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป เมิ้งตู้ส่งข้อความทันทีเมื่อศัตรูปรากฏตัวขณะที่พวกเราออกเดินทางมาอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพักแต่ในระยะเวลา สั้นๆ เมิ้งตู๋กลับไม่สามารถป้องกันตนเองและถูกบังคับให้ระเบิดตัวเอง”


 


“ข้ารู้จักนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาต้องการลากศัตรูไปพร้อมกับเขา แต่ดูจากรูปการณ์ ไม่มีร่องรอยการตายของศัตรูนี่หมายความว่าศัตรูแข็งแกร่งมาก กระทั่งการระเบิดตัวเองของเมิ้งตู๋ก็ไม่สามารถฆ่าเขา!”


 


“ข้าจะออกไล่ล่าศัตรู ข้าจะจับคนร้ายแม้ต้องแลกด้วยชีวิต! เรื่องนี้เกินความสามารถของเจ้า เจ้าควรกลับไปที่เผ่าและฝึกฝนต่อไป อย่าให้ข่าวนี้รั่วไหล


 


เมิ้งเจาพยักหน้าด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านลุงโปรดระวังตัวด้วย”


 


ความตายของเมิ้งตู๋ทําให้เผ่าเมิ้งสูญเสียผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ นี่ไม่ใช่การสูญเสียเล็กน้อยสําหรับพวกเขา ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็มีปัญหากับศัตรูที่ทรงพลังขณะที่เป้าหมายของ ฝ่ายตรงข้ามยังไม่แน่ชัด เผ่าเมิ้งต้องปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อรักษาเสถียรภาพ


 


สําหรับเมิ้งเจา การบ่มเพาะของเขาต่ําเกินไป สถานะของเขาก็ไม่สูง สิ่งนี้เห็นได้จากวิธีที่เผ่าเมิงไม่ได้แจ้งข่าวการเสียชีวิตของเมิ้งตู๋ให้เขาทราบ



“อย่ากังวล ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองกําลังมาพร้อมกับคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ลานสืบสวน” เมิ่งจื่อไจตบไหล่เมิ้งเจา


 


เมิ้งเจาพยักหน้าก่อนจะจากไป


 


ด้วยคฤหาสน์วิญญาณอมตะลานสืบสวน พวกเขาไม่ต้องกลัวแม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปด


 


เมิ้งเจาไม่ต้องรอนานก่อนที่เขาจะเห็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะลานสืบสวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


 


ต่อมาลานสืบสวนก็หยุดลง ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งเดินออกมาและพยักหน้าให้ เมิ้งจื่อไจ๋ด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึมก่อนจะเริ่มตรวจสอบสนามรบ


 


แต่ฟางหยวนจะทิ้งเบาะแสไว้งั้นหรือ?


 


หลังจากผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งเสร็จสิ้นการตรวจสอบ สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม


 


เมิ้งจื้อไจกล่าว “ศัตรูผู้นี้เก็บกวาดร่องรอยได้อย่างสมบูรณ์ ข้าไม่พบสิ่งใดเลย”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งพยักหน้า “อย่ากังวล เรามีลานสืบสวนอยู่ที่นี่!”


 


ลานสืบสวนเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่มีความสามารถพิเศษในการรวบรวมข้อมูล ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะของมันทันที


 


พวกเขาพบเบาะแสบางอย่าง


 


“เขาไปทางนั้น ตามไป!” ผู้อมตะทั้งสองของเผ่าเมิ้งเข้าไปในคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ลานสืบสวนและออกไล่ล่าฟางหยวนด้วยความโกรธและความเกลียดชัง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1567 หลอกใช้


 


“เบาะแสจบลงที่นี่!” คฤหาสน์วิญญาณอมตะลานสืบสวนของเผ่าเมิ้งหยุดอยู่กลางอากาศ


 


ผู้อมตะทั้งสองของเผ่าเมิ้งมองหน้ากัน


 


เมิ้งจื่อไจ๋มองไปยังหุบเขาสีเขียวชะอุ่มที่แตกต่างจากทุ่งหญ้าโดยรอบอย่างสิ้นเชิง


 


หุบเขาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ผู้อมตะเผ่าเมิงไม่แปลกใจ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของเผ่าเม็งกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่น “นี่คือหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหญิงนิทรา


 


เมิ้งจื่อไจ๋ขมวดคิ้ว “เป็นนางงั้นหรือ?”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งเงียบ


 


เจ้าหญิงนิทราเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งเสียง นางไม่มีพลังการต่อสู้ที่โดดเด่น แต่นางมีสัตว์อสูรแรกกําเนิดเม่นศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการควบคุม มันมีความสามารถในการยิงหนามที่รวดเร็วและทรงพลังออกมา


 


เจ้าหญิงนิทราสร้างหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างเผ่าเมิ่งและเผ่ามู่หลาน


 


นางไม่เพียงมีวิธีที่ทรงพลังในการควบคุมสัตว์อสูรแรกกําเนิด แต่ความสามารถทางการเมืองของนางที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน นางอาศัยอยู่ระหว่างสองกองกําลังใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีฝ่ายใดต่อต้านนางอย่างแท้จริง เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงมือ เจ้าหญิงนิทราจะสามารถเข้าข้างอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย


 


สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งเงียบ


 


สถานการณ์ค่อนข้างยุ่งเหยิง


 


พวกเขาติดตามเบาะแสของศัตรูมาจนถึงที่นี่ แต่พวกเขาไม่มีข้อมูลในเชิงลึกที่สามารถสืบค้นไปถึงตัวคนร้าย


 


พลังการต่อสู้ของเจ้าหญิงนิทราไม่สามารถเปรียบเทียบกับเมิ้งตู๋ แต่หากนางส่งเม่นศักดิ์สิทธิ์ ซื้ออกมานางอาจสามารถสังหารเมิ้งตู๋


 


นี่ทําให้นางกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างแท้จริง แต่….


 


เรื่องนี้ยากที่จะรับมือ


 


เผ่าเม็งและเผ่ามู่หลานมีความสัมพันธุ์ที่ดีกับเจ้าหญิงนิทรา พวกเขาแสดงความปรารถนาดีต่อนางและพยายามเอาชนะใจนางเพื่อป้องกันไม่ให้นางเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม


 


ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าเผึ้งและเผ่ามู่หลานไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด


 


กองกําลังใหญ่ทั้งหมดต่างต้องการขยายอาณาเขตของตน อาณาเขตของเผ่าเมิ้งและเผ่ามู่หลานอยู่ติดกัน แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีได้อย่างไร?


 


หากเจ้าหญิงนิทราเป็นผู้ร้าย แล้วนางนําความกล้าหาญเช่นนี้มาจากที่ใด? ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากที่นางจะเลือกเข้าข้างเผ่ามู่หลานแล้ว ในฐานะกองกําลังใหญ่และสมาชิกตระกูลฮวงจินของฝ่ายธรรมะ พวกเขาไม่สามารถโจมตีกองกําลังฝ่ายธรรมะอื่นโดยไร้เหตุผล มีความเป็นไปได้ที่เผ่ามู่หลานจะใช้เจ้าหญิงนิทราเป็นแนวหน้า


 


กระทั่งเจ้าหญิงนิทราจะไม่ใช่คนร้าย แล้วผู้อมะตทั้งสองของเผ่าเมิ้งจะสามารถตรวจสอบได้อย่างไร? ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทําให้เจ้าหญิงนิทราพัฒนาความคิดที่จะเข้าข้างฝ่ายตรงข้ามทันที จากนั้นความสูญเสียของเผ่าเม็งจะยิ่งมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย


 


ผู้อมตะทั้งสองของเผ่าเมิ้งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองจะเปิดปากกล่าว “ไปกันเถอะ เราจะไปเยี่ยมเจ้าหญิงนิทราและแจ้งข่าวการเสียชีวิตของเมิ้งตู๋ เจ้าหญิงนิทราจะตระหนักถึงเจตนาของเผ่าเม็ง ท้ายที่สุดเบาะแสก็หยุดอยู่ที่หุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ของนาง”


 


เมิ้งจื่อไจ๋พยักหน้า


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะลานสืบสวนไม่ได้ปิดบังกลิ่นอายของมัน ดังนั้นการมาถึงของพวกเขาย่อมถูกค้นพบโดยเจ้าหญิงนิทราแล้ว


 


อย่างไรก็ตามเจ้าหญิงนิทรายังสงบนิ่ง นางมีคุณสมบัติและความมั่นใจที่จะรับมือกับทุกสถานการณ์ นางสามารถอดทนรอให้ผู้อมตะเผ่าเมิ้งเข้ามาหา


 


เมื่อผู้อมตะเผ่าเมิ้งมาถึงบ้านของนาง พวกเขาก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้นางฟัง จากนั้นนางก็เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้


 


นางประกาศความบริสุทธิ์ของตนเองซึ่งได้รับการยอมรับโดยสองผู้อมตะเผ่าเมิงทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตัวนางเองก็กังวลเช่นกันเมื่อได้ยินว่าเบาะแสของคนร้ายหายไปที่หุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ของนาง


 


“คนร้ายสามารถสังหารเม็งตู เขามีพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว สหาย โปรด ช่วยข้าด้วยการตรวจสอบหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด!”


 


เจ้าหญิงนิทราขอความช่วยเหลือ


 


สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งมีความสุขมาก นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบรับปาก


 


สามผู้อมตะเคลื่อนที่ไปในหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์อย่างระมัดระวัง


 


เจ้าหญิงนิทราเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


นางมีความรู้เกี่ยวกับพลังอํานาจของคฤหาสน์วิญญาณอมตะลานสืบสวน เนื่องจากเบาะแสของคนร้ายหายไปในหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ มันมีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะซ่อนตัวอยู่ใน หุบเขาของนาง ตั้งแต่คนร้ายสามารถสังหารเม็งอย่างโหดร้าย แล้วเหตุใดเขาจะไม่สามารถจัดการนาง?


 


สามผู้อมตะค้นหาเป็นเวลานานแต่กลับไม่พบสิ่งใด


 


ผู้อมตะเผ่าเมิ้งมองหน้ากัน ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองจงใจกล่าว “เราค้นหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์เกือบทั้งหมดแล้ว ฆาตกรไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆงั้นหรือ?”


 


เฉิงจื่อไจแสร้งตอบราวกับไม่ได้ตั้งใจ “ยังมีพื้นที่ที่เรายังไม่ได้ค้นหาหรือไม่?”


 


เจ้าหญิงนิทรารู้ว่าคนทั้งสองกําลังแสดงละคร แต่นางไม่ใช่คนร้ายและต้องการตรวจสอบสถานที่แห่งนี้อย่างจริงใจ ดังนั้นนางจึงพยักหน้า “ข้าออกแบบหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์นี้มาเป็นพิเศษสําหรับเม่นศักดิ์สิทธิ์ มันอยู่ในส่วนลึกที่สุดของหุบเขา โปรดตามข้ามา”


 


สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งติดตามเจ้าหญิงนิทราไปยังส่วนลึกของหุบเขา


 


เม่นสีขาวที่มีร่างกายใหญ่โตกําลังพักผ่อนอยู่บนพื้นในมุมที่มืดมิด มันกําลังนอนหลับและหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ หนามแหลมบนร่างของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเตที่ปกป้องตัวมันอยู่


 


เปรียบเทียบกับเม่นศักดิ์สิทธิ์ ผู้อมตะเผ่าเม็งราวกับมดที่อยู่ต่อหน้ารถม้า


 


“สัตว์อสูรแรกกําเนิดตัวนี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก!” ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเม็งชมเชย


 


เจ้าหญิงนิทรารู้สึกขมขึ้น นี่เป็นสถานที่ที่สําคัญที่สุดของนางและเม่นศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นการดํารงอยู่ที่ทําให้นางสามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางสองกองกําลังใหญ่


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนกล่าว “เข็มศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ดูเหมือนจะมีคุณภาพสูงมาก เจ้าหญิงนิทรา ท่านจะนามันออกมาเมื่อใด?”


 


หนามแหลมบนร่างของเม่นศักดิ์สิทธิ์เป็นทรัพยากรอมตะระดับแปดที่ถูกเรียกว่าเข็มศักดิ์สิทธิ์


 


ทุกครั้งที่เม่นศักดิ์สิทธิ์เผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย มันจะยิงหนามแหลมออกไปสังหารศัตรู โดยธรรมชาติแล้วหนามเหล่านี้ไม่สามารถนํากลับคืน เมื่อเม่นศักดิ์สิทธิ์หลับหนามใหม่จะงอกขึ้นมาอีกครั้ง


 


เจ้าหญิงนิทรามีวิธีการพิเศษที่สามารถทําให้เม่นศักดิ์สิทธิ์นอนหลับอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าหญิงนิทราจะได้รับเข็มศักดิ์สิทธิ์จํานวนมากและสามารถนําไปขายเพื่อทํากําไร


 


เข็มศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ถูกขายให้กับเผ่าเมิงและเผ่ามู่หลาน สําหรับส่วนที่เหลือ มันถูกวางขายในสวรรค์สีเหลือง


 


ด้วยธุรกิจเข็มศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหญิงนิทราจึงค่อนข้างมั่นคั่ง


 


“เอาล่ะ ข้าจะไปนมันมา ครั้งนี้มีทั้งสิ้นสี่ร้อยสามสิบหกชิ้น” เจ้าหญิงนิทราตอบ


 


มีหนามอยู่บนร่างของเม่นศักดิ์สิทธิ์มากกว่าพันชิ้น แต่เจ้าหญิงนิทราไม่สามารถนาพวกมันออกมาทั้งหมด โดยปราศจากหนามเหล่านี้ พลังการต่อสู้ของเม่นศักดิ์สิทธิ์จะลดลงอย่างมาก


 


“เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ” เมิ้งจื่อไจ๋กล่าว


 


“กรุณาตรวจสอบให้ละเอียด ข้าจะทําให้เม่นศักดิ์สิทธิ์หลับลึก” เจ้าหญิงนิทรากล่าว


 


สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งเริ่มค้นหาเบาะแสต่อไปขณะที่เจ้าหญิงนิทราทําให้เม่นศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่สภาวะหลักลึก


 


หากเม่นศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้น มันจะโกรธและโจมตีอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหญิงนิทราไม่สามารถกําหราบสัตว์อสูรแรกกําเนิดตัวนี้ได้อย่างสมบูรณ์เพราะนางไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งทาส


 


“เราพบเบาะแสใหม่!” หลังจากค้นหาเป็นเวลานาน เมิ่งจื่อใจก็เปิดปากกล่าวอย่างมีชีวิตชีวา


 


เจ้าหญิงนิทราตกใจมาก “คนผู้นี้แทรกซึมเข้ามาในหุบเขาของข้าจริงๆ เหตุใดข้าถึงไม่รู้?”


 


สามผู้อมตะติดตามเบาะแสและเคลื่อนที่ลึกลงไปใต้พิภพ


 


ไม่นานเบาะแสก็นําพวกเขาขึ้นไปถึงทะเลสาบแห่งหนึ่ง


 


“นี่คืออาณาเขตของเผ่ามู่หลาน มันอยู่ห่างจากหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยล์” ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเผึ้งขมวดคิ้ว


 


เบาะแสหายไปอย่างสมบูรณ์ที่จุดนี้


 


สายตาของเมิ้งจื่อไจ๋สั่นไหว เจ้าหญิงนิทราเงียบ นางจะไม่กล่าวสิ่งใดในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้


 


สามผู้อมตะสํารวจบริเวณรอบๆเป็นเวลานานแต่ยังไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม


 


เจ้าหญิงนิทราเสนอให้พวกเขากลับไปพักที่หุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ หลังจากครุ่นคิด สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งก็ตกลงรับคําเชิญ


 


แต่เมื่อพวกเขากลับไปถึงหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจ


 


เม่นศักดิ์สิทธิ์ยังหลับสนิทแต่ร่างกายของมันว่างเปล่า เข็มศักดิ์สิทธิ์หายไปทั้งหมด!


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น? เข็มศักดิ์สิทธิ์ของข้าอยู่ที่ใด? ข้าเฝ้าอยู่ในหุบเขาเส้นด้ายศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ออกไปที่ใดเป็นเวลากว่าร้อยปีเพื่อเลี้ยงดูเม่นศักดิ์สิทธิ์และทําให้มันนอนหลับ ข้าก้าวข้ามความยากลําบากมากมายก่อนจะมาถึงจุดนี้!” เจ้าหญิงนิทราหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจขณะที่นางก รีดร้องด้วยน้ําเสียงที่ปวดร้าว


 


สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งมองหน้ากันขณะที่เหงื่ออันเย็นเยียบไหลลงมาจากหน้าผากของพวกเขาเพราะพวกเขาตระหนักได้ทันทีว่ามีคนหลอกใช้พวกเขา!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1568 เจ้าหญิงนิทรากระอัก เลือด


 


“ข้าต้องการให้เผ่าเมิ้งอธิบายเรื่องนี้เดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นแม้ข้าจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ข้าก็จะไม่ ปล่อยเรื่องนี้ไป!” เจ้าหญิงนิทรามองสองผู้อมตะเผ่าเมิ้งอย่างดุเดือด


 


การสูญเสียของนางคือหายนะอย่างแท้จริง สิ่งนี้ทําให้นางโกรธมากและต้องการคําอธิบายโด ยตรงจากเผ่าเมิ้ง


 


นางไม่เหมือนฟางหยวน ฟางหยวนสูญเสียธุรกิจวิญญาณความเด็ดเดี่ยวแต่เขายังมีแหล่งราย ได้อื่นเช่นธุรกิจปลามังกร ธุรกิจแมงมุมหน้าคน ธุรกิจอสรพิษเพลิง และอื่นๆ


 


สําหรับเจ้าหญิงนิทรา การสูญเสียเข็มศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เหมือนกับการสูญเสียเสาหลักทางการ เงินของนาง แม้นางจะยังมีเม่นศักดิ์สิทธิ์ แต่นางต้องรอให้หนามของมันงอกขึ้นมาใหม่ นางต้องใช้ ทั้งเวลาและเงินทุนจํานวนมหาศาล


 


เจ้าหญิงนิทรามีแผนการระยะยาว ทุกครั้งที่นางเก็บเกี่ยวเข็มศักดิ์สิทธิ์ นางไม่ได้นําทั้งห มดออกมาแต่จะเหลือไว้บางส่วนเพื่อให้พวกมันเติบโตต่อไป


 


อย่างไรก็ตามหัวขโมยผู้นี้กลับนําเข็มศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งหมด เขาไม่ได้ทิ้งไว้แม้แต่ชิ้นเดียว


 


เจ้าหญิงนิทราไม่ได้สูญเสียเพียงเข็มศักดิ์สิทธิ์แต่มันยังส่งผลกระทบต่ออนาคตของนางอีกด้วย


 


น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวิธีการย้ายเม่นศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่มิติช่องว่างของข้า! การออกไปข้างนอก มัน ไม่ปลอดภัยจริงๆ!” หมัดของเจ้าหญิงนิทราสั่นสะท้าน นางรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย


 


แต่ในความเป็นจริงแม้นางจะสามารถเคลื่อนย้ายเม่นศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็ยังมีปัญหา


 


ประการแรก นางไม่สามารถควบคุมเม่นศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ หากสัตว์อสูรแรกกําเนิดโจ มตีมิติช่องว่างของนาง นางจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่


 


ประการที่สอง หากเจ้าหญิงนิทราเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ เจตจํานงสวรรค์จะส่งภัยพิบัติที่ทรงพลังลงมาเนื่องจากการคงอยู่ของเม่นศักดิ์สิทธิ์


 


ประการสุดท้าย เม่นศักดิ์สิทธิ์เป็นไพ่ตายของเจ้าหญิงนิทราที่ทําให้นางสา มารถเอาตัวรอดจากเผ่าเมิ้งและเผ่ามู่หลาน หากนางวางมันไว้ในมิตช่องว่างและเกิดการต่อสู้ขึ้น ในอนาคต นางอาจไม่สามารถปล่อยมันออกมาได้ทันเวลา


 


“เจ้าหญิงนิทราโปรดสงบจิตใจลงก่อน” ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งเกลี้ยกล่อมซ้ํา แล้วซ้ําอีก


 


“สงบจิตใจงั้นหรือ? ข้าจะสงบจิตใจลงได้อย่างไร? เจ้าบอกว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้น เมิ้งตู๋้เสีย ชีวิตในสนามรบ ตกลงว่าข้าควรจะเชื่อเผ่าเมิ้งของพวกเจ้าหรือไม่? ข้าปล่อยให้พวกเจ้าเข้ามาข้าง ในและต้อนรับพวกเจ้าอย่างอบอุ่น พวกเจ้าบอกว่าพบหลักฐานแล้วขณะที่ข้าไม่พบสิ่งใดเลยและ อาศัยเพียงลานสืบสวนของพวกเจ้าเท่านั้น ต่อมามีเบาะแสที่ชัดเจนปรากฏขึ้น แต่พวกมันถูกทิ้งไว้ โดยคนร้ายจริงๆงั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรที่ลานสืบสวนจะไม่พบเบาะแสหลังจากนั้น?”


 


นางกล่าวขณะที่เหงื่ออันเย็นเยียบไหลลงมาจากหน้าผาก


 


นางพยายามสงบจิตใจลงและมองสองผู้อมตะเผ่าเมิ้งอย่างระมัดระวัง


 


จากนั้นนางก็ปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณจํานวนมากออกมาและค่อยๆถอยกลับหลังไปอย่างช้าๆ


 


สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งทําได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่นแต่พวกเขาเข้าใจความคิดของเจ้าหญิงนิทรา


 


ตอนนี้เม่นศักดิ์สิทธิ์สูญเสียหนานไปหมดแล้ว พลังการต่อสู้ของมันตกลงสู่จุดต่ําสุด นั่น หมายความว่าพลังการต่อสู้ของเจ้าหญิงนิทราก็ลดลงเช่นกัน ไม่ตายที่นางเคยใช้ ต่อรองกับสองกองกําลังใหญ่หายไปแล้ว เป็นธรรมดาที่เจ้าหญิงนิทราต้องระวังตัวให้มากขึ้น


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งถอนหายใจ “เจ้าหญิงนิทรา หากเรื่องนี้เป็นแผนการของ เผ่าเมิ้งของข้าเพื่อขโมยเข็มศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหตุใดเราต้องกลับมากับเจ้า? หากเราวางแผนร้ายต่อ เจ้า เราควรหลอกล่อให้เจ้าติดอยู่ในเขตแดนอมตะ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”


 


เจ้าหญิงนิทราเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “นั่นอาจเป็นเพราะเผ่าเมิ้งของพวกเจ้าเป็น ฝ่ายธรรมะและต้องปฏิบัติตามกฏ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่สามารถทําร้ายข้าได้โดยตรง ใน ทางกลับกัน ข้าได้ทําข้อตกลงกับเผ่าเมิ้งของพวกเจ้าไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าจึงวางแผนที่จะ ลดพลังการต่อสู้ของข้าก่อน จากนั้นจึงใช้วาทศิลป์เพื่อหลอกลวงข้า!”


 


สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งมองหน้ากันด้วยความขมขื่น


 


คํากล่าวของเจ้าหญิงนิทราไม่สมเหตุสมผล การคิดอย่างรวดเร็วของนางทําให้สองผู้อมตะเผ่า เมิ้งรู้สึกหมดคําพูด


 


“อืม!” เจ้าหญิงนิทรากล่าวต่อ “พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้กลอุบายของฝ่ายธรรมะงั้นหรือ? หาก เผ่าเมิ้งของพวกเจ้าไม่อธิบายให้ข้าฟัง เช่นนั้นข้าก็จะขอให้โลกตัดสิน!”


 


“หยุด!” ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งตะโกนเสียงดัง ใบหน้าของเขากับเฉิงจือใจก ลายเป็นซีดเผือด


 


แต่มันสายไปแล้ว!


 


เจ้าหญิงนิทราเปิดเผยเรื่องนี้ในสวรรค์สีเหลืองโดยตรง นางรีบแจ้งเผ่ามู่หลานผ่าน การติดต่อของนางเช่นกัน


 


นี่ทําให้ความพยายามในการซ่อนเร้นเรื่องการเสียชีวิตของเมิ้งตู๋้กลายเป็นสูญเปล่า พวกเขาไม่ สามารถหาตัวฆาตกรและยังทําให้เจ้าหญิงนิทราสูญเสียเข็มศักดิ์สิทธิ์กระทั่งถูกเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดในที่สาธารณะ


 


“เจ้า…เจ้าเจ้า” เมิ่งจื่อใจชี้นิ้วไปที่เจ้าหญิงนิทราด้วยดวงตาที่แทบจะสามารถพ่นไฟออกมา


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งหน้าซีดขณะที่เขามองเจ้าหญิงนิทราด้วยเจตนาสังหาร


 


เจ้าหญิงนิทราแสดงออกอย่างเฉยเมยแต่ภายในกลับลอยเผยรอยยิ้มขมขื่น


 


ว่าการกระทําของนางได้ทําลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างนางกับเผ่าเมิ้งเรียบร้อย แล้ว แต่นางไม่มีทางเลือก


 


นางต้องทําสิ่งนี้


 


ข้อตกลงพันธมิตรใดๆล้วนมีโอกาสถูกทําลายโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสมอ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ รุนแรงเกินไป เจ้าหญิงนิทราต้องปกป้องตนเอง


 


แต่นางจะปกป้องตนเองได้อย่างไร?


 


แม้เมิ้งตู๋จะตายแต่เผ่าเมิ้งไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษระดับเจ็ดเช่นนางจะสามารถต่อต้าน


 


เจ้าหญิงนิทราเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการหยิบยืมความแข็งแกร่งของผู้อื่นเพื่อสนับสนุนนาง แม้ เผ่าเมิ้งจะมีเจตนาร้าย พวกเขาก็ต้องยับยั้งชั่งใจ ท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นกองกําลังฝ่ายธรรมะ


 


“เจ้าหญิงนิทรา ณ จุดนี้ คํากล่าวใดๆก็ไร้ความหมายอีกต่อไป แต่ข้าขอบอกเจ้าว่าอย่าได้คิด เช่นนั้น พวกเราถูกหลอกใช้โดยคนร้ายตัวจริง!” ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งกล่าวด้วยน้ํา เสียงที่หนักแน่น


 


สถานการณ์ชัดเจนมาก


 


แม้สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งจะไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา แต่พวกเขาก็สามารถสรุปได้ว่าผู้ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ชั่วร้ายมาก ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาบังคับให้เมิ้งตู๋ระเบิดตัวเองได้ อย่างไร แต่เขาตั้งใจทิ้งเบาะแสเอาไว้เพื่อหลอกล่อให้ผู้อมตะเผ่าเมิ้งออกไล่ล่าและบังคับให้เจ้าหญิ งนิทราเดินทางออกไปพร้อมกัน สุดท้ายคนร้ายจึงสามารถขโมยเพิ่มศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปได้อย่าง สะดวกสบาย


 


“เผ่าเมิ้งของเราจะอธิบายให้ฟัง!” ก่อนจากไปผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งทิ้งประโยคนี้เอาไว้


 


เมื่อผู้อมตะเผ่าเมิงจากไป เจ้าหญิงนิทราก็เริ่มจัดตั้งค่ายกลวิญญาณไว้รอบๆเม่นศักดิ์สิทธิ์


 


เผ่าเมิ้งสูญเสียเบาะแสของคนร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงทําได้เพียงเดินทางกลับ


 


แม้พวกเขาจะได้รับเบาะแสบางอย่างในเวลานี้ พวกเขาก็จะสงสัยว่ามันเป็นกับดักของศัตรู หรือไม่


 


ภายในลานสืบสวน เมิ้งจือใจกล่าวด้วยสายตาดุร้าย “คนร้ายผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก เรื่องนี้ถูกเปิด เผยแล้ว พวกเราจะตัดสินว่าเจ้าหญิงนิทราเป็นคนร้ายได้หรือไม่?”


 


ไม่ว่าเจ้าหญิงนิทราจะเป็นคนร้ายหรือไม่ หากเผ่าเมิงโจมตีและฆ่านาง พวกเขาจะสามารถ กู้คืนเกียรติยศและแก้ไขวิกฤตให้กลายเป็นชื่อเสียง นอกจากนั้นพวกเขาอาจยังได้รับเม่นศักดิ์สิทธิ์ อีกด้วย


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งถอนหายใจ “ข้าก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน แต่ประการ แรก ลานสืบสวนไม่สามารถจัดการเจ้าหญิงนิทราและเม่นศักดิ์สิทธิ์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ สถานที่ แห่งนี้อยู่ใกล้กับเผ่ามู่หลาน ไม่มีผู้ใดสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่เข้ามายุ่ง ประการที่ สอง เรามีข้อตกลงพันธมิตรกับนางและจะได้รับผลกระทบย้อนกลับที่รุนแรงหากเราโจมตี นางสุดท้ายสถานการณ์ของภาคเหนือไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”


 


ในปัจจุบันถ้ําสวรรค์นิรันดรปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน เหยากวงได้รับตําแหน่งราชันใต้ขณะที่ ถ้ําสวรรค์นิรันดรกําลังรวบรวมสมาชิกตระกูลฮวงจินเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลานี้ พวกเขาต้องอุทิศตนเพื่อภาคเหนือ


 


อย่างไรก็ตามกองกําลังฝ่ายธรรมะของภาคเหนือคือตระกูลฮวงจิน ดังนั้นมันจึงไม่มีความ จําเป็นต้องรวบรวมพวกเขา ในความเป็นจริงแผนการของถ้ําสวรรค์นิรันดรคือการรวบรวมผู้บ่ม เพาะสันโดษให้เข้าร่วมกับฝ่ายธรรมะ


 


อย่างไรก็ตามแผนนี้ถูกขัดขวางเล็กน้อยเมื่อวังสวรรค์ปลอมตัวเป็นฟางหยวนและสังหารผู้บ่ม เพาะสันโดษที่กําลังจะแต่งงานเข้าสู่กองกําลังฝ่ายธรรมะ


 


แต่ถ้ําสวรรค์นิรันดรยังไม่ยอมแพ้ พวกเขายังพยายามดําเนินการตามแผนเดิม


 


ดังนั้นในฐานะสมาชิกตระกูลฮวงจิน หากเผ่าเมิ้งโจมตีเจ้าหญิงนิทราที่เป็นผู้บ่มเพาะสัน โดษ มันจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม พวกเขาจะถูกตรวจสอบและลงโทษโดยถ้ําสวรรค์นิรันดร


 


นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของเผ่าเมิ้งกังวลมากที่สุด


 


ขณะที่สองผู้อมตะเผ่าเมิ้งมุ่งหน้ากลับฐานทัพ ฟางหยวนก็รับกลับเช่นกัน


 


เข็มศักดิ์สิทธิ์นอนอย่างเงียบๆอยู่ในมิติช่องว่างของเขา แน่นอนว่าเขาคือคนร้ายที่อยู่เบื้องห ลังเหตุการณ์ทั้งหมด


 


ฟางหยวนรู้จักเผ่าเมิ้งเป็นอย่างดี และด้วยความสําเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญา เขาได้วาง กับดักที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ


 


เพิ่มเติมด้วยโชคอันทรงพลังของเขา เจ้าหญิงนิทราจึงถูกบังคับให้ออกไปจากหุบเขาของนาง และทําให้แผนการของฟางหยวนประสบความสําเร็จทันที


 


ผู้อมตะทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าใกล้เม่นศักดิ์สิทธิ์ แต่ฟางหยวนมีท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่ คุ้นเคยและสามารถปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงนิทราได้อย่างสมบูรณ์ กระทั่งเม่นศักดิ์สิทธิ์จะลืมตาที่ นขึ้น มันก็ยังไม่สงสัย


 


สุดท้ายฟางหยวนจึงสามารถถอนหนานทั้งหมดของมันออกมา


 


จากความทรงจําในชีวิตแรกของฟางหยวน เจ้าหญิงนิทราเป็นหนึ่งในผู้อมตะของภาคเหนือที่ ต่อต้านวังสวรรค์ สําหรับเม่นศักดิ์สิทธิ์ ฟางหยวนไม่สนใจสัตว์อสูรแรกกําเนิดตัวนี้


 


มันจะดีกว่าที่เขาจะปล่อยให้เม่นศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของเจ้าหญิงนิทราต่อไป เมื่อเม่นศักดิ์สิท ธิ์สร้างหนานขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยังสามารถกลับมาขโมยมันได้อีกหน!


 


ฟางหยวนไม่รู้สึกผิดแม้แต่ตอนที่เขาฆ่าคนโดยไม่จําเป็นต้องกล่าวถึงการลักทรัพย์


 


“เทพปีศาจปล้นสวรรค์ช่างน่ายกย่องนักที่สามารถสร้างเส้นทางแห่งการโจรกรรมขึ้นมาได้ ฟางหยวนได้ลิ้มรสผลประโยชน์อันหอมหวานและต้องมองเส้นทางแห่งการโจรกรรมในมุมใหม่ทั้งหมด


 


ในการต่อสู้กับเมิ้งตู๋ มือปีศาจปล้นวิญญาณสามารถกําหนดชัยชนะได้ทันที โดยปราศจากสี่ งนี้ ฟางหยวนจะไม่สามารถพรากชีวิตของเมิ้งตู๋ได้อย่างง่ายดาย


 


“ก่อนการปรากฏขึ้นของเส้นทางแห่งการโจรกรรม แม้ผู้อมตะจะต่อสู้กันจนถึงแก่ความ ตาย พวกเขาก็ยังไม่สามารถรับผลประโยชน์จากการต่อสู้ แต่ด้วยการคงอยู่ของเส้นทางแห่งกา รโจรกรรม พวกเขาสามารถได้รับทรัพยากรโดยไม่จําเป็นต้องต่อสู้จนถึงชีวิต ค่าใช้จ่ายลดลง ขณะที่ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ช่างยอดเยี่ยมนัก!


 


โชคไม่ดีที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสําหรับการขโมยของ ด้านหนึ่งข้าไม่มีวิญญาณอมตะบนเส้นทาง แห่งการโจรกรรมมากนัก ข้ามีเพียงวิญญาณอมตะจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ระดับเจ็ด เท่านั้น ในทางกลับกัน ข้าได้เปิดเผยมือปีศาจปล้นวิญญาณไปแล้วที่ทะเลทรา ยตะวันตก หากข้าปล้นชิงไปทั่ว อาจมีบางคนสามารถเชื่อมโยงและอนุมานถึงตัวตนที่แท้จริงของ ข้า”


 


“หลังจากรวบรวมทรัพยาการทั้งหมด ข้าจะรีบกลับไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาและ หลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตน


 


แม้ฟางหยวนจะมีวิธีขโมยของแต่เขาไม่สามารถใช้มันได้มากนัก


 


หลังจากทั้งหมดการบ่มเพาะจิตวิญญาณของเขาเป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่า


 


การเพิ่มขึ้นของรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณหมายความว่าเขาจะสามารถใช้ประโย ชน์จากท่าไม้ตายอมตะราชันภูตได้มากขึ้น พลังการต่อสู้ของเขาจะพุ่งสูงขึ้น การบ่มเพาะจิตวิญ ญาณพึ่งพาวิญญาณความเด็ดเดี่ยวขณะที่วิญญาณความเด็ดเดี่ยวต้องการวัตถุดิบจากทะเลทราย ผีเขียว ดังนั้นตัวตนของซวนปัจินจึงต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับ


 


“โอ้ ถูกต้อง ข้าไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยง่าย” ฟางหยวนหัวเราะคิกคักและเริ่มปล่อยข่าวลือ ออกไปในสวรรค์สีเหลือง เขากล่าวว่าเจ้าหญิงนิทรากําลังโกหก นางวางแผนโจมตีเผ่าเมิ้ง เข็มศักดิ์ สิทธิ์ที่หายไปอยู่กับนาง นางกําลังเตรียมตัวเผชิญหน้ากับภัยพิบัติและก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น


 


ความจริงถูกบดบังมากขึ้นในขณะนี้ นั่นหมายความว่าฟางหยวนจะปลอดภัยมากขึ้นเช่นกัน


 


สําหรับเจ้าหญิงนิทรา เมื่อนางได้ยินข่าวลือเหล่านี้ นางแทบกระอักเลือดออกมาด้วยความ โกรธและวิตกกังวล


 


แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฟางหยวน


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1569 เพลิงชีวิต


 


สวรรค์สีเหลือง


 


เปลวไฟโปรงใสที่ไร้สีสันกําลังเผาไหม้อยู่อย่างเงียบๆ ขณะที่วิญญาณแสงสมบัติปลดปล่อย เสาแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


ผู้อมตะจางจื่อแห่งนิกายวัดสวรรค์สีดําเผยรอยยิ้ม เขาเป็นเจ้าของสินค้าชิ้นนี้


 


สมบัติล้ําค่าดึงดูดความสนใจของผู้อมตะจํานวนมากทันที


 


“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะทําให้ข้าได้รับทรัพยากรอมตะระดับเจ็ด กํา ไรของข้าควรจะเพียงพอที่จะเติมเต็มคลังเก็บพลังงานอมตะของข้าแล้ว


 


เขาคิดขณะบอกราคาสินค้ากับทุกคน


 


ราคาของเขาสูงกว่ามาตรฐานเล็กน้อยและทําให้ผู้คนรู้สึกสนใจ


 


“ข้าต้องการทั้งหมดนี้” สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของผู้อมตะผู้หนึ่งกล่าวกับจางจื่อ


 


หัวใจของจางจื่อเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “ท่านต้องการทั้งห มดงั้นหรือ มันมีราคา…”


 


“มาทําธุรกรรมกันเถอะ” อีกฝ่ายนําหินวิญญาณอมตะจํานวนมากออกมาโดยตรง


 


“ตกลง!” เมื่อเห็นหินวิญญาณอมตะจํานวนมาก ดวงตาของจางจื่อที่ส่องประกายขึ้นและตก ลงทําธุรกรรมกับคนผู้นี้ทันที


 


ธุรกรรมเสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ผู้อมตะที่เฝ้าดูอยู่แทบไม่สามารถตอบสนอง


 


“อย่ากังวล ข้ายังมีสินค้าเหลืออยู่” จางจื่อรีบประกาศและนําเปลวไฟออกมาอีกครั้ง


 


แต่มันมีขนาดเล็กก่อนก่อนหน้า


 


ธุรกรรมครั้งแรกกระตุ้นความปรารถนาของผู้อมตะคนอื่นๆ เปลวไฟชนิดนี้หายากมาก โดย ปกติแล้วพวกเขาจะพบเห็นเปลวไฟที่มีขนาดเท่ากําปั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยู่ต่อหน้า พวกเขาตอนนี้เป็นเปลวไฟขนาดเท่ารถม้า! ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการสูญเสียโอกาสที่หายากนี้


 


“แต่คราวนี้ราคาของมันสูงขึ้น” จางจื่อเผยรอยยิ้มสดใส เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเปลวไฟชนิ ดนี้มากนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมันและน้ํามันออกมาวางขาย เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของมัน ดังนั้นความกระตือรือร้นที่จะซื้อของผู้อมตะคนอื่นๆจึงเหนือกว่าความคาดหมายของเขา


 


เขาขึ้นราคาแต่ยังมีคนสนใจซื้อ


 


“บัดซบ! ดูเหมือนข้าจะทําพลาดในการขายครั้งก่อน!” จางจื่อรู้สึกเสียใจขณะเดียวกันก็มีความ สุขกับการตอบสนองของลูกค้า


 


จางจื่อไม่ใช่คนโง่ เขาแบ่งสินค้าออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือการทดลองตลาด ส่ว นที่เขากําลังขายอยู่คือส่วนที่สอง


 


เมื่อธุรกรรมดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น


 


“เพลิงชีวิต!” ฟางหยวนมองเปลวไฟไร้สีที่อยู่ในมิติช่องว่างของเขาด้วยความยินดี เขาเป็นคน แรกที่ซื้อสินค้าของจางจื่อ


 


เพลิงชีวิตเผ่าไหม้อย่างเงียบๆโดยปราศจากความร้อน แต่เมื่อมันเผาสิ่งมีชีวิต ฉากในอดีตของ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นท่ามกลางเปลวไฟ


 


จางจื่อได้รับเพลิงชีวิตมาโดยบังเอิญ เขาไม่มีวิธีใช้งานมัน


 


เมื่อฟางหยวนได้รับเพลิงชีวิต เขาใช้วิธีการบางอย่างเก็บรักษามันไว้อย่างพิถีพิถัน วิธีนี้ไม่ได้ มาจากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณแต่มันมาจากมรดกที่แท้จริงของนิกายหลางหยา


 


เดิมที่ข้าคิดว่าข้าต้องเดินทางไกลและต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงเพลิงชีวิตมาจากบา งคน แต่ผู้ใดจะคิดว่ามีบางคนขายมันในสวรรค์สีเหลือง โชคของข้าช่างยอดเยี่ยมนัก!”


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มมีความสุข


 


มีผู้อมตะจํานวนมากที่ต้องการเพลิงชีวิต


 


แต่เจตจํานงของผู้อมตะมักไม่สามารถตัดสินใจ พวกเขาสามารถทําตามคําสั่งของร่างต้นเท่านั้น


 


และการจ่ายด้วยหินวิญญาณจํานวนมากในครั้งเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อมตะทั่วไปจะทําได้


 


แม้พวกเขาจะร่ํารวย พวกเขาก็ต้องเจรจาต่อรองอย่างเต็มที่เป็นอันดับแรก


 


ด้วยเหตุผลหลายประการ มันจึงทําให้ฟางหยวนได้รับสินค้าราคาถูก!


 


สําหรับความเสี่ยง?


 


จางจื่อผู้นี้เป็นผู้อมตะของนิกายวัดสวรรค์สีดําซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของวังสวรรค์ แต่เขา ไม่รู้ว่าผู้ซื้อคือฟางหยวนและฟางหยวนก็ไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขา


 


การทําธุรกรรมในสวรรค์สีเหลืองปลอดภัยมาก กระทั่งวังสวรรค์ก็ไม่สามารถครอบงํามันได้


 


โดยรวมแล้วมันมีความเสี่ยงต่ํา


 


สุราใบมีด วิญญาณใบมีด เข็มศักดิ์สิทธิ์ และเพลิงชีวิต หลังจากรวบรวมทรัพยากรอมตะทั้ง สี่ ฟางหยวนก็รีบกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาทันที


 


กระบวนการเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาราบรื่นไม่มีอันตราย


 


การกลับมาของฟางหยวนเร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิด มันจึงทําให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามีความสุขมาก


 


“เมื่อเจ้ากลับมา ข้าก็จะเตรียมตัวหลอมรวมวิญญาณ” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก ระตือรือร้นมาก หลังจากทั้งหมดแรงกดดันจากวังสวรรค์รุนแรงเกินไป


 


“ข้าต้องขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งและผู้อมตะอีกสามเผ่าเป็นอย่างมากที่ให้ข้ายืมหิน วิญญาณอมตะ” ฟางหยวนกล่าวขอบคุณ


 


หากปราศจากความช่วยเหลือจากคนเหล่านี้ ฟางหยวนจะนําเงินก้อนโตมาจากที่ใด?


 


“ไม่จําเป็นต้องมากพิธี เราอยู่ฝ่ายเดียวกัน เมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้น มันก็หมายความว่าแดนศักดิ์ สิทธิ์หลางหยาจะปลอดภัยมากขึ้น หากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาตกอยู่ในอันตราย ทุกคนก็หนีไม่ พ้นเช่นกัน!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากล่าวอย่างตรงไปตรงมา


 


สถานการณ์ในปัจจุบันทําให้แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เผ่ามนุษย์หิมะ เผ่ามนุษย์หิน และเผ่าม นุษย์หมึกอยู่บนเรือลําเดียวกัน หากฝ่ายใดมีอันตราย ฝ่ายที่เหลือก็ไม่สามารถหลบหนี


 


ฟางหยวนมอบทรัพยากรอมตะทั้งหมดให้นิกายหลางหยาดําเนินการ


 


ทรัพยากรอมตะเหล่านี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบห้าวันในการแปรรูป นี่เป็นกระบวนกา รที่ซับซ้อนและเป็นงานของผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน


 


ความเหนือชั้นของเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนสามารถมองเห็นได้จากสี่งนี้


 


ด้วยเคล็ดลับการหลอมรวมที่คิดค้นขึ้นโดยกึ่งปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม เช่นฟางหยวน เคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนจึงมีความโดดเด่นมาก อาจกล่าว ได้ว่ามันอยู่บนจุดสูงสุดและไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้อีก


 


ฟางหยวนให้ความสําคัญกับการแปรรูปทรัพยากรมากที่สุด แม้ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น แต่เขาไม่ ลังเลเลยแม้แต่น้อย


 


เพราะขั้นตอนเหล่านี้เป็นขั้นตอนที่ผู้อมตะสามารถควบคุมได้ ตรงข้ามกับขั้นตอนกา รหลอมรวมที่ต้องพึ่งพาโชค


 


ด้วยวิธีนี้โอกาสที่การหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนจะประสบความสําเร็จก็สูงถึงห้าสิบส่วน!


 


นั่นหมายความว่าฟางหยวนมีโอกาสประสบความสําเร็จและล้มเหลวเท่ากัน


 


นี่เป็นอัตราความสําเร็จที่นี่ตกใจมาก


 


ผู้อมตะส่วนใหญ่จะมีความสุขหากพวกเขามีโอกาสประสบความสําเร็จในการหลอมรวม วิญญาณแม้เพียงหนึ่งส่วน


 


อย่างไรก็ตามสาเหตุหลักของเรื่องนี้เป็นเพราะความสําเร็จระดับกึ่งปรมาจารย์สูงสุดบน เส้นทางแห่งการหลอมรวมของฟางหยวน


 


หลังจากทั้งหมดมีถึงปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมอยู่บนโลกใบนี้กี่คน? ตั้ง แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญระดับเดียวกับฟางหยวนสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือ บุคคลระดับ สูงกว่าเขามีเพียงสามคนในประวัติศาสตร์


 


นอกจากนี้ยังมีผู้อมตะเพียงไม่กี่คนที่บ่มเพาะหลายเส้นทางและมีกี่คนที่บ่มเพาะบนเส้นทาง แห่งการหลอมรวม?


 


จากอีกมุมมองหนึ่ง ผู้อมตะส่วนใหญ่ล้วนเป็นมือสมัครเล่นในการหลอมรวมวิญญาณ อมตะ มันคงเป็นเรื่องที่น่าตกใจหากพวกเขาสามารถเพิ่มอัตราความสําเร็จในการหลอมรวมวิญ ญาณได้แม้แต่หนึ่งส่วน


 


ในความเป็นจริงกระทั่งฟางหยวนก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันมีโอกาสประสบความสําเร็จถึงห้าสิบส่วน


 


แต่เมื่อเขาคิดถึงบรรพชนผมยาว เขาก็สามารถยอมรับได้


 


บรรพชนผมยาวหลอมรวมวิญญาณอมตะจํานวนมากในช่วงชีวิตของเขา ท่ามกลางพวกมันยัง มีวิญญาณอมตะระดับเจ็ดและระดับแปดเป็นจํานวนมาก เขาเป็นปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทาง แห่งการหลอมรวม หากเขาไม่มีความสําเร็จดังกล่าว เทพอมตะตะวันเดือดและเทพปีศาจปล้นสวร รค์จะมาขอความช่วยเหลือจากเขางั้นหรือ?


 


“นอกจากนี้ข้ากําลังใช้ความสามารถทั้งหมดของนิกายหลางหยาในการหลอมรวม ในยุคปัจจุ บันไม่ต้องสงสัยเลยว่านิกายหลางหยาเป็นกองกําลังอันดับหนึ่งด้านการหลอมรวมวิญญาณ” 


 


“เหตุผลสุดท้ายคือโชคอันทรงพลังของข้า”


 


หนึ่งคือความสําเร็จระดับถึงปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม สองคือความ ช่วยเหลือจากกองกําลังอันดับหนึ่งของโลกในแง่การหลอมรวม สามคือโชคอันทรงพลังที่ได้ รับจากมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะตะวันเดือด


 


การรวมตัวกันของเหตุผลทั้งสามทําให้อัตราความสําเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะ หมื่นตัวตนบรรลุถึงระดับห้าสิบส่วน


 


“ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระจากคําสาปแห่งการหลอมรวมวิญญาณอมตะ” ฟางหยวนมีความสุข จนอยากจะร้องไห้


 


เขารู้ดีว่าเหตุผลสําคัญที่สุดคือการที่เขาเป็นกิ่งปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม


 


อีกสองเหตุผลมีประโยชน์แต่เขาก็มีทั้งสองสิ่งนี้มานานแล้ว อัตราความสําเร็จห้าสิบส่ว นมาจากความสําเร็จระดับถึงปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมอย่างแท้จริง


 


“ตอนนี้เป็นเพียงการคิดค้นเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะเท่านั้น ในอนาคตข้าจะดูแล และหลอมรวมมันด้วยตนเอง ด้วยวิธีนี้อัตราความสําเร็จจะเพิ่มขึ้นอีกมาก!”


น่าเสียดายที่ข้ามีเวลาไม่มากนัก


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1570 วิญญาณอมตะหมื่นตัวตน


 


แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ทวีปเมฆา


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาสูดหายใจลึกก่อนตะโกน “เปิดใช้ค่ายกล!”


 


ราวกับผึ้งหลายล้านตัวเต้นรําอยู่กลางอากาศและส่งเสียงดึงๆออกมา แสงสีทองขาวปะทุขึ้นรอบๆ


 


“เข้าสู่ค่ายกล!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาออกคําสั่งขณะที่เขาก้าวเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณ


 


ต่อมาผมที่หก ผมที่สาม ผมที่สี่ และผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนอีกหลายคนก็ตามเข้าไปในค่ายกลดังกล่าว


 


ฟางหยวนยืนอยู่ด้านนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์เท่านั้น


 


เขาไม่มีส่วนร่วมในการหลอมรวมวิญญาณในครั้งนี้แต่มอบภารกิจให้กับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนคนอื่นๆ


 


แม้ฟางหยวนจะเป็นถึงปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม แต่เขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้อมตะของนิกายหลางหยาในแง่ของความเชี่ยวชาญ


 


“หากเป็นเวลาปกติ ข้ายังสามารถเข้าร่วม แต่ครั้งนี้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากำลังใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะที่บรรพชนผมยาวคิดค้นขึ้นด้วยตนเอง ค่ายกลนี้ใช้ได้กับมนุษย์ขนเท่านั้น ในฐานะมนุษย์ หากข้าเข้าไป ข้าจะถูกฆ่าทันที”


 


แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามีรากฐานที่ลึกล้ำ ครั้งนี้พวกเขานําหนึ่งในค่ายกลวิญญาณอมตะที่ดีที่สุดของบรรพชนผมยาวออกมา


 


แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่ฟางหยวนจะใช้ความสามารถบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เพื่อเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ขน แต่อาจเป็นเพราะนิกายหลางหยาต้องการเก็บค่ายกลวิญญาณนี้ไว้ เป็นความลับและไม่ต้องการเปิดเผยมันต่อฟางหยวน


 


‘ข้าใช้มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณแลกเปลี่ยนกับมรดกที่แท้จริงของนิกายหลางหยา แต่มันไม่มีค่ายกลวิญญาณอมตะนี้รวมอยู่ เห็นได้ชัดว่านี่คือไพ่ตายของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา เขาจะไม่แลกเปลี่ยนมันเช่นเดียวกับท่าไม้ตายอมตะนําวิญญาณสู่ความฝันที่ข้าจะไม่มอบให้ผู้ใด’


 


ฟางหยวนมองไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่สะท้อนแสง


 


แม้นิกายหลางหยาจะผลักฟางหยวนออกมา แต่เขาก็ค่อนข้างพอใจกับมัน


 


เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากวังสวรรค์ จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากังวลมาก เขา กระทั่งนําค่ายกลวิญญาณอมตะของบรรพชนผมยาวออกมาเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะให้กับฟางหยวน


 


หลังจากทั้งหมดฟางหยวนเป็นหนึ่งในสมาชิกของนิกายหลางหยา ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขาจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


ค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมปลดปล่อยแสงหลากหลายสีสันออกมาอย่างช้าๆ ขณะที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนกําลังทํางานอย่างหนักอยู่ภายใน


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยานําทรัพยากรอมตะที่เตรียมไว้จํานวนหนึ่งออกมา


 


สิ่งนี้ดูคล้ายดอกทานตะวันแช่แข็ง ทันทีที่มันปรากฏขึ้นในค่ายกลวิญญาณอมตะ มันก็กลายเป็นควันและค่อยๆควบรวมเป็นดวงแสงสีทอง


 


ฟางหยวนเฝ้ามองอย่างตั้งใจ นี่เป็นขั้นตอนแรกที่สําคัญ เมื่อควันกลายเป็นแสงสีทองอย่างสมบูรณ์ พวกเขาจะสามารถดําเนินการในขั้นตอนต่อไป


 


ฟางหยวนไม่รู้สึกกดดันมากนัก


 


หากขั้นตอนแรกล้มเหลว การสูญเสียของเขาก็ยังไม่มาก เขาสามารถเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


 


หนึ่งชั่วโมงต่อมาควันก็กลายเป็นดวงแสงสีทองไปอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้มันมีขนาดเท่าบ้าน


 


หลังจากนั้นจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก็เริ่มขั้นตอนที่สอง


 


เมื่อเวลาผ่านไปทรัพยากรอมตะก็ถูกนําออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกัน


 


สามวันสามคืนต่อมา ผมที่สามก็เริ่มโยนวิญญาณเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณอมตะ


 


วิญญาณดวงแรกที่เขาโยนเข้าไปคือวิญญาณพึ่งพาตนเอง


 


มันเป็นเพียงวิญญาณระดับสามที่มีรูปลักษณ์เหมือนแมลงสาบสีน้ำตาล


 


วิญญาณพึ่งพาตนเองเป็นวิญญาณบนเส้นทางความแข็งแกร่งที่มีความสามารถในการรักษา ยิ่งผู้ใช้วิญญาณมีความแข็งแกร่งมากเท่าใด ผลของการรักษาก็ยิ่งสูงเท่านั้น


 


นี่เป็นวิญญาณหายาก ผู้ใช้วิญญาณทั่วไปไม่สามารถครอบครองมัน แต่ขณะนี้ผมที่หกกลับโยนวิญญาณพึ่งพาตนเองหลายร้อยดวงเข้าไปในค่ายกลวิญญาณอมตะ


 


จํานวนวิญญาณพึ่งพาตนเองที่ใช้ต้องแม่นยําเพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับปริมาณร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า


 


เมื่อวิญญาณพึ่งพาตนเองทั้งหมดถูกโยนเข้าไป จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก็กระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะของบรรพชนผมยาวอย่างเต็มที่


 


ภายในค่ายกลวิญญาณอมตะ เสาไฟนับร้อยหรือหลายพันต้นพุ่งขึ้นสู่อากาศ


 


กระแสลมกรรโชกแรงพัดออกมาแต่ค่ายกลวิญญาณอมตะกักเก็บพวกมันเอาไว้ภายในอย่างสมบูรณ์ ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่ยืนอยู่ด้านนอกไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย


 


กล่าวได้ว่าค่ายกลวิญญาณอมตะของบรรพชนผมยาวยอดเยี่ยมมาก


 


เสาไฟสีส้มยังลุกไหม้ต่อไปเป็นเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงก่อนจะค่อยๆอ่อนกําลังลง ทุกอย่างหลอมรวมกันจนกลายเป็นก้อนหินที่มีขนาดเท่ารถม้า


 


ฟางหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นหินก้อนนี้ เพราะมันหมายความว่าขั้นตอนที่สองของการหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนสิ้นสุดลงแล้ว


 


ตอนนี้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนคนอื่นๆเริ่มพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพละกําลัง ขณะเดียวกันผมที่สี่และผมที่หกก็ใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะทําลายหินก้อนนั้นอย่างช้าๆ


 


เมื่อเวลาผ่านไปหินก้อนใหญ่ก็กลายเป็นเศษหินกระจัดกระจายอยู่บนพื้น


 


ผมที่สามดื่มสุราใบมีดก่อนจะพ่นมันไปที่เศษหินเหล่านั้น


 


สุราใบมีดเป็นทรัพยากรอมตะที่ฟางหยยวนได้รับมาจากการสังหารเมิ้งตู๋เมื่อไม่นานมานี้และมันก็มีประโยชน์มากในเวลานี้


 


ควันสีเทาลอยขึ้นมาจากพื้นและควบแน่นเป็นกลุ่มควันลอยอยู่กลางอากาศ


 


ผมที่สี่และผมที่หกเริ่มพักผ่อนขณะที่ผมที่สามนําวิญญาณระเบิดพลังจํานวนหนึ่งออกมา


 


ฟางหยวนยังไม่ได้หลอมรวมวิญญาณอมตะระเบิดพลังในตอนนี้ สิ่งที่ผมที่สามนําออกมาคือวิญญาณระเบิดพลังระดับหนึ่งถึงระดับห้า


 


วิญญาณระเบิดพลังบินเข้าไปในกลุ่มควันแต่ไม่ได้หลอมรวมกันมัน


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเริ่มดําเนินการต่อ เขาส่งเพลิงชีวิตที่เตรียมไว้เข้าไป


 


ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ไร้สีสัน วิญญาณระเบิดพลังเริ่มหลอมรวมกับกลุ่มควันสีเทา


 


นี่เป็นขั้นตอนที่ยาวนาน


 


ครึ่งเดือนต่อมาขั้นตอนนี้ก็ประสบความสําเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเพลิงชีวิตวิญญาณระเบิดพลังหรือกลุ่มควันสีเทา พวกมันล้วนอันตรธานหายไปอย่างสมบูรณ์และทิ้งไว้เพียงสายฝนที่โปรยปรายลงมาเท่านั้น


 


ฝนตกอย่างต่อเนื่องอยู่ในค่ายกลวิญญาณอมตะ


 


เมื่อถึงจุดนี้ ขั้นตอนที่สามก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว


 


สายฝนที่โปรยปรายลงมาค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนรับผิดชอบงานในส่วนของตนเองอย่างเต็มที่


 


เคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะมีขั้นตอนมากมาย ฟางหยวนคิดค้นเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนขึ้นมาโดยปฏิเสธการใช้วิญญาณอมตะเป็นวัสดุในการหลอมรวม แต่เลือกใช้ทรัพยากรอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์จํานวนมากเป็นการทดแทน


 


ด้วยวิธีนี้เขาจะไม่สูญเสียวิญญาณอมตะแต่ต้องใช้ทรัพยากรอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์มากขึ้นหลายสิบเท่า ปริมาณงานที่ต้องทําก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน นี่เป็นสาเหตุที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตัดสินใจใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะของบรรพชนผมยาว


 


เมื่อเวลาผ่านไปขั้นตอนต่างๆก็เสร็จสิ้นโดยไม่มีอันตรายหรืออุบัติเหตุมากนัก


 


หลังจากสองเดือนของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา การหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่สําคัญที่สุด


 


ฟางหยวนมีวิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาแต่เขาไม่สามารถลดเวลาของการหลอมรวมวิญญาณครั้งนี้ การลดเวลาของการหลอมรวมวิญญาณโดยพื้นฐานแล้วก็คือการแกะสลักร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาลงไปและนั่นจะเป็นการขัดขวางการหลอมรวมวิญญาณ


 


สองเดือนคือขีดจํากัดในปัจจุบันของฟางหยวน เขาใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่สามารถใช้ในการหลอมรวมวิญญาณอมตะทั้งหมดแล้ว วิธีการเหล่านี้จะเปลี่ยนร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาให้เป็นวัสดุในการหลอมรวมวิญญาณ


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่ค่ายกลวิญญาณอมตะสั่นสะท้านและระเบิดแสงสว่างออกมา


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาถอนหายใจ ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่เหนื่อยล้าแสดงความยินดีขึ้นบนใบหน้า


 


ขั้นตอนสุดท้ายสําเร็จ


 


เมื่อแสงจางหาย วิญญาณอมตะก็ปรากฏตัวขึ้น


 


วิญญาณอมตะหมื่นตัวตนระดับเจ็ด!


 


“ผู้ใดจะคิดว่ามันจะประสบความสําเร็จตั้งแต่ครั้งแรก!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดเราก็หลอมรวมมั่นได้สําเร็จ!”


 


วิญญาณอมตะหมื่นตัวตนลอยอยู่ในค่ายกลวิญญาณ เนื่องจากฟางหยวนยังไม่ได้ปรับแต่งมัน มันถึงเป็นวิญญาณที่ไร้เจ้าของ


 


แต่ในไม่ช้าฟางหยวนก็รีบปรับแต่งมั่นอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม


 


“ใช้ความพยายามเพียงครั้งเดียวเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับเจ็ด ช่างยอดเยี่ยมนัก! ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางหยวนมีความสุขมาก เขาไม่เคยกล้าฝันถึงสิ่งนี้มาก่อน


 


หลังจากทั้งหมดโอกาสประสบความสําเร็จห้าสิบส่วนสูงเกินไป


 


ฟางหยวนส่งพลังงานอมตะให้กับวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนก่อนที่ภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งจํานวนนับไม่ถ้วนจะปรากฏขึ้น มันเหมือนกับท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนมาก!


 


“อย่างไรก็ตามมั่นอ่อนแอกว่าท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนเล็กน้อย ท้ายที่สุดท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนก็ใช้วิญญาณจํานวนมหาศาล ฟางหยวนรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง “แต่ค่าใช้จ่ายของมันก็ลดลงอย่างมาก การใช้งานก็สะดวกขึ้น มันต้องการเพียงหนึ่งความคิดเพื่อปลดปล่อยพลังอํานาจขณะที่ท่าไม้ตายอมตะต้องใช้เวลาเตรียมตัว ไม่ว่าข้าจะคุ้นเคยกับมันมากเพียงใด มันก็ยังใช้พลังจิตมหาศาล!”


 


ฟางหยวนทดสอบและพอใจกับวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนดวงนี้เป็นอย่างมาก


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1571 ตราประทับเหล่าโป


 


แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ทวีปเมฆา


 


ท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน!


 


ฟางหยวนลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายอันทรงพลังปะทุขึ้นขณะที่กําบั้นยักษ์ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและพุ่งลงไปบนพื้น


 


สายลมกรรโชกแรงเมื่อกําปั้นยักษ์ปะทะพื้นเมฆอย่างรุนแรงราวกับภูเขาถล่ม


 


ทวีปเมฆาถูกสร้างขึ้นโดยจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา มันทํามาจากดินเมฆที่สามารถลอยอยู่กลางอากาศได้โดยไม่ร่วงหล่น


 


เมื่อกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนระดับเจ็ดของฟางหยวนปะทะดินเมฆ มันสามารถทะลวงผ่านดินเมฆและตกลงสู่มหาสมุทรที่อยู่ด้านล่างได้อย่างง่ายดาย


 


ฟางหยวนกําลังทดสอบท่าไม้ตายของเขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้พยายามทําลายทวีปเมฆา นอกจากนั้นทวีปเมฆายังมีค่ายกลวิญญาณอมตะปกป้องอยู่ เมื่อกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนปะทะกับดินเมฆ ค่ายกลวิญญาณอมตะก็ทํางานทันที


 


ค่ายกลวิญญาณอมตะทําให้ดินเมฆปลดปล่อยแสงสีเงินออกมา อย่างไรก็ตามกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนยังสามารถทําลายการป้องกันของมันและทะลวงผ่านดินเมฆลงไปด้านล่าง


 


ฟางหยวนหยุดใช้กําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนก่อนที่มันจะทําลายแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ


 


“ด้วยวิญญาณอมตะหมื่นตัวตน ตอนนี้ข้าสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนได้ อย่างง่ายดาย!”


 


ในอดีตเพื่อปลดปล่อยกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน ฟางหยวนต้องกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนและรวบรวมภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งจํานวนมากไว้ในมิติช่องว่างของ เขาก่อนจะหลอมรวมภูตมนุษย์เหล่านั้นเพื่อสร้างกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน


 


มันเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและน่าเบื่อมาก หากเขาไม่เก็บภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งจํานวนมากไว้ในมิติของว่าง เขาจะไม่สามารถใช้งานกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนได้อย่างทันท่วงทีในการต่อสู้แห่งชีวิตและความตาย อย่างไรก็ตามภูตมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งไม่สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน พวกมันจะสลายไปหลังจากชั่วระยะเวลาหนึ่ง


 


มันสามารถใช้งานได้ในการต่อสู้ที่เขามีเวลาเตรียมตัวเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือถูกซุ่มโจมตี เขาจะไม่สามารถใช้กําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน


 


โชคดีที่ฟางหยวนมีสติปัญญาและเป็นคนระวังตัว เขาจะสังเกตสถานการณ์รอบตัวอยู่เส มอและไม่เคยลงตกลงสู่จุดที่น่าอึดอัดใจ


 


ในอดีตการปลดปล่อยท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนจําเป็นต้องใช้วิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของตนเอง วิญญาณความขมขื่น วิญญาณยืมความแข็งแกร่ง วิญญาณพึ่งพาตนเอง วิญญาณระเบิดพลัง และวิญญาณอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้ข้าเพียงต้องกระตุ้นการทํางานของวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนเท่านั้น”


 


สําหรับท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน ข้าสามารถใช้วิญญาณอมตะหมื่นตัวตนเป็นแกนกลางร่วมกับวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางความแข็งแกร่งอีกเล็กน้อย ความต้องการของมันลดลงอย่างมากและใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม


 


หลังจากหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตน ฟางหยวนต้องปรับเปลี่ยนท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวเองโดยใช้วิญญาณอมตะหมื่นตัวตนเป็นแกนกลางวิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของตนเองซึ่งเป็นแกนกลางเดิมของมันไม่จําเป็นอีกต่อไปและถูกนําออก


 


นี่หมายความว่าวิญญาณอมตะดวงนี้สามารถนําไปใช้ในด้านอื่น


 


แน่นอนว่าเขายังสามารถเพิ่มมันเข้าไปในท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง


 


นั่นจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฟางหยวน


 


ในความเป็นจริงกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนยังมีพื้นที่สําหรับการปรับปรุงตัวอย่างเช่นความเร็วที่ไม่เพียงพอของมัน ข้าสามารถเพิ่มวิญญาณระดับมนุษย์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องนี้ ข้ายังสามารถเพิ่มวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณเพื่อเพิ่มความสามารถในการจับดวงวิญญาณ นอกจากนั้นพลังอํานาจของกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนก็ถูกจํากัดโดยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่ง ข้าสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับมัน กําปั้นยักษ์หมื่นตัวตนมีพลังโจมตีระดับเจ็ดแต่ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุด นั่นเป็นเพราะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งของข้าไม่เพียงพอ


 


ฟางหยวนอยู่ในช่วงเริ่มต้นการพัฒนาท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน หลังจากเปลี่ยนแกนกลาง มันยังมีพื้นที่ในการพัฒนาอีกมาก


 


ในอดีตท่าไม้ตายอมตะนี้ซับซ้อนเกินไป มันใช้ความคิดและเวลาในการกระตุ้นใช้งานมากเกินไป การเพิ่มวิญญาณเข้าไปจะยิ่งทําให้มันใช้งานได้ช้าลง


 


แต่ตอนนี้วิญญาณจํานวนมหาศาลได้รวมตัวกันเป็นวิญญาณอมตะเพียงดวงเดียว นี่ทําให้กระบวนการทั้งหมดง่ายดายขึ้นเป็นอย่างมากขณะที่เขายังเหลือพลังงานมากพอที่จะเพิ่มวิญญาณอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์เข้าไปเพื่อเพิ่มพลังอํานาจให้กับกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน


 


ครั้งนี้ฟางหยวนไม่ได้ฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวเองเท่านั้นแต่มันยังเป็นการทดสอบค่ายกลวิญญาณอมตะของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอีกด้วย


 


เมื่อฟงจิวเก้อบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาคราวก่อน ค่ายกลวิญญาณอมตะนี้มีประโยชน์มาก มันสามารถรักษาชีวิตของผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์และยังช่วยให้แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยารอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลําบาก


 


ฟงจิวเก้อใช้เพลงแยกหลายครั้งเพื่อกําจัดค่ายกลวิญญาณอมตะนี้ แต่ฟางหยวนคาดเดาไว้ แล้วและแบ่งค่ายกลวิญญาณอมตะออกเป็นหลายสิบชั้นเพื่อป้องกันการโจมตีของฟงจิวเก้อ


 


ดังนั้นครั้งนี้ฟางหยวนจึงพัฒนามันขึ้นไปอีกและทําให้มันครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา


 


หลังจากทดสอบความแข็งแกร่งของกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน เขาเปลี่ยนไปทดสอบสิ่งที่สําคัญกว่า


 


ท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน!


 


มีเพียงท่าไม้ตายนี้ที่ทําให้ฟางหยวนสามารถแข่งขันกับผู้อมตะระดับแปด


 


แกนกลางของมันคือแม่น้ำหวนคืน วิญญาณอมตะหมื่นตัวตน วิญญาณอมตะความพยายาม วิญญาณอมตะถึงแม่น้ำ และวิญญาณระดับมนุษย์อีกมากกว่าหนึ่งร้อยดวง แม้มันจะซับซ้อนกว่าท่าไม้ตายอมตะกําปั้นยักษ์หมื่นตัวตน แต่ตอนนี้มันก็ใช้งานได้ง่ายกว่าเกราะหวนคืนรุ่นก่อนหน้ามากแล้ว


 


หลังจากลดความซับซ้อนของท่าไม้ตายอมตะ โอกาสประสบความสําเร็จในการกระตุ้นใช้งานเกราะหวนคืนก็เพิ่มสูงขึ้น มันสามารถใช้งานได้สะดวกขึ้นในการต่อสู้


 


‘ระหว่างการต่อสู้ที่ทะเลทรายผีเขียว ข้าถูกลอบโจมตีและไม่สามารถใช้เกราะหวนคืนได้ทันเวลา ตอนนี้เวลาเตรียมตัวเพื่อกระตุ้นใช้งานมันลดลงอย่างมาก ข้าจะสามารถรับมือกับการโจมตีส่วนใหญ่’


 


“อย่างไรก็ตาม..ข้าไม่สามารถปกปิดเกราะหวนคืนฉบับปรับปรุงใหม่เพื่อวางกับดักได้อีกต่อไป อุบายที่ข้าใช้จัดการจักรพรรดินีอสูรสายฟ้าไม่สามารถใช้ได้เป็นครั้งที่สอง


 


ฟางหยวนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย


 


ท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืนใช้งานง่ายขึ้นมากเพราะการคงอยู่ของวิญญาณอมตะหมื่นตัวตน แต่นี่ก็เป็นขีดจํากัดในปัจจุบันของเขาแล้ว การเพิ่มวิญญาณอมตะมากกว่านี้ยังเป็นเรื่องยาก


 


เขาไม่สามารถวางกับดักเหมือนการต่อสู้ก่อนหน้าได้อีกเพราะเขาเปิดเผยเกราะหวนคืนฉบับปรับปรุงใหม่ล่าสุดออกไปแล้ว


 


หลังจบการฝึกฝนในวันนี้ฟางหยวนเก็บตัวอนุมานท่าไม้ตายอมตะอื่นๆต่อไป


 


แม้ฟางหยวนจะดูสงบเยือกเย็นแต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน


 


เผชิญหน้ากับกองกําลังใหญ่เช่นวังสวรรค์ ผู้ใดจะไม่กดดัน?


 


จุดประสงค์ของการหลอมรวมวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนไม่เพียงเกี่ยวกับการยกระดับท่าไม้ตายเดิมเท่านั้น แต่แรงจูงใจที่แท้จริงของฟางหยวนคือการสร้างท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนรูปแบบที่สาม


 


ท่าไม้ตายอมตะตราประทับเหล่าโป!


 


“ก่อนหน้านี้ข้าติดอยู่ในเขตแดนอมตะของลั่วเว่ยหยินและใช้ชีวิตสามภพชาติอยู่ในความฝันที่ลึกลับเหล่านั้น โดยเฉพาะภพที่สาม มันทําให้ข้าได้รับแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับตราประทับเหล่าโป”


 


“เดิมที่ข้าพบอุปสรรคมากมายในการอนุมานท่าไม้ตายอมตะตราประทับเหล่าโป แต่วิญญาณอมตะหมื่นตัวตนอนุญาตให้ขากระโดดข้ามอุปสรรคทั้งหมดและก้าวเข้าสู่ความสําเร็จ!”


 


ฟางหยวนรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวัง


 


แม้เขาจะยกระดับชื่อเสียงของตนโดยใช้การต่อสู้กับจักรพรรดินีอสูรสายฟ้าและการปราบปรามฟงจิวเก้อ แต่เขาก็ตระหนักว่าตนเองยังด้อยกว่าฟงจิวเก้อในหลายแง่มุม


 


ฟงจิวเก้อสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดเพราะเขามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งเสียงที่เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด แม้เขาจะไม่มีวิญญาณอมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งเสียง แต่ท่าไม้ตายอมตะของเขาก็มีพลังเทียบเท่ากึ่งระดับแปดเนื่องจากการสนับสนุนของร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า


 


สําหรับฟางหยวน เขาสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดได้เพราะการพึ่งพาร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจํานวนมหาศาลของแม่น้ำหวนคืน แต่พลังการต่อสู้โดยรวมของเขายังห่างไกลจากระดับแปด


 


แม้เขาจะมีเมืองจิ๋ว มันก็ยังไม่สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของเขาได้มากนัก


 


ฟางหยวนไม่ด้อยกว่าฟงจิวเก้อในด้านความสามารถ


 


ฟงจิวเก้อสามารถสร้างท่าไม้ตายอมตะเพลงลมมรณะ เขาเป็นผู้อมตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถเรียกลมมรณะออกมา ขณะที่ฟางหยวนสร้างท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนที่ผสานเส้นทางความแข็งแกร่งเข้ากับเส้นทางแห่งทาสซึ่งเป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นทั้งสองจึงเป็นคู่แข่งที่เท่าเทียม


 


ตอนนี้ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนในการครอบครอง สิ่งนี้ทําให้สถานะของเขาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งเนื่องจากเขาจะสามารถสร้างท่าไม้ตายใหม่ๆบนพื้นฐานของความก้าวหน้านี้ เปรียบเทียบกับท่าไม้ตาย การคงอยู่ของวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนจะทําให้ท่าไม้ตายอื่นๆมีพื้นที่พัฒนาได้อีกมาก


 


ในความเป็นจริงนี่คือวิธีสร้างเส้นทางใหม่ๆแห่งการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณ บางเส้นทางเป็นการหลอมรวมสองเส้นทางเข้าด้วยกันขณะที่บางเส้นทางแตกแขนงเป็นเส้นทางย่อย


 


ฟางหยวนและฟงจิวเก้อแตกต่างกันในแง่ของอายุเท่านั้น


 


ฟางหยวนบ่มเพาะมากี่ปีตั้งแต่กําเนิดใหม่? สําหรับฟงจิวเก้อ เขามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว


 


ฟางหยวนประสบความสําเร็จก่อนอายุห้าสิบปี นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก เปรียบเทียบกับคนปกติ ฟงจิวเก้ออาจเป็นสัตว์ประหลาด แต่การเกิดใหม่ของฟางหยวนมีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่


 


ความจริงก็คือฟางหยวนสามารถสะสมร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าได้ค่อนข้างมาก


 


แต่ตอนนี้เจตจํานงสวรรค์พยายามหยุดยั้งเขาโดยการส่งภัยพิบัติที่อ่อนแอที่สุดลงมา ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถรับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋เพิ่มเติมได้มากนัก การกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดยังไม่กลับมา ขณะที่วิธีอื่นๆจําเป็นต้องพึ่งพาวิญญาณอมตะชนิดพิเศษและมีปัญหาในการหลอมรวม วิธีบนเส้นทางอาหารเช่นวิญญาณอาหารว่างสามารถใช้เป็นแกนกลางเพื่อสร้างท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่ง แต่ประสิทธิภาพของมันไม่ดีนัก


 


ในทางตรงข้ามฟางหยวนค่อนข้างมีโชคกับแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพ


 


เขามีทั้งภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป แม่น้ำหวนคืน และเมืองจิ๋ว


 


ท่ามกลางพวกมัน แม่น้ำหวนคืนถูกใช้เป็นแกนกลางเพื่อสร้างท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน นั่นทําให้ฟางหยวนสามารถต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับแปด ภูเขาตงฮันถูกทําลาย ไปแล้วและยังอยู่ระหว่างฟื้นฟู เมืองจิ๋วพึ่งพาการคงอยู่ของมนุษย์กลายพันธุ์ และในแง่ของความสําเร็จบนเส้นทางแห่งกฏ ฟางหยวนก็ยังขาดแคลน


 


ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ในขณะนี้มีเพียงหุบเขาเหล่าโป


 


ความสําเร็จบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของฟางหยวนค่อนข้างธรรมดา แต่เขามีมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณซึ่งเป็นมรดกบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณอันดับหนึ่งของโลกใบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธ


 


บนรากฐานเหล่านี้รวมกับแรงบันดาลใจที่ฟางหยวนได้รับมาจากชีวิตสามชาติภพในเขตแดนอมตะของลั่วเว่ยหยิน ตลอดจนการคงอยู่ของวิญญาณอมตะหมื่นตัวตนและแสงแห่งปัญญา


 


ข้าควรประสบความสําเร็จในการอนุมานท่าไม้ตายอมตะตราประทับเหล่าโปใช่หรือไม่?” ฟางหยวนคิด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)