พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1565-1570
บทที่ 1565 อ๋องสวรรค์โค่วออกโรง
หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ อิจฉาจนตาเป็นประกาย ในจินตนาการของพวกนาง แต่ไหนแต่ไรมาที่วังหลังมีแต่สนมที่ประจบเอาใจฝ่าบาท ฝ่าบาทหวีผมให้สนมด้วยตัวเองก็ยิ่งไม่เคยเห็น แต่ที่นี่เห็นบ่อยมาก และสิ่งที่ยิ่งทำให้พูดไม่ออกก็คือ สนมสวรรค์ไม่สะทกสะท้าน สงบนิ่งจนเหลวไหล แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งมองไม่เห็นรอยยิ้มของสนมสวรรค์ ฝ่าบาทก็ยิ่งอยากเอาใจสนมสวรรค์มากขึ้นไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยขึ้นว่าจะให้ท่านโหวจ้านผิงเป็นเทพประจำดาว บรรดาหญิงรับใช้ต่างก็รู้ นี่คือสิ่งที่สนมมากมายในวังหลังอยากได้จึงเอาใจฝ่าบาท
หยินซวงกับไป๋เสวี่ย หญิงรับใช้ประจำตัวสองที่มาจากตระกูลอิ๋งได้ยินแล้วแอบดีใจ เพียงแต่คาดว่าสนมสวรรค์คงจะไม่ซาบซึ้งในน้ำใจนี้
เป็นอย่างที่คาดไว้ จ้านหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “น้ำใจของฝ่าบาท หม่อมฉันซาบซึ้งแล้ว แต่ไร้ผลงานก็ไม่ควรได้รางวัล ไม่ต้องก็ได้เพคะ”
ประมุขชิงใช้สองใอประคองบ่านาง มองนางในกระจก พร้อมบอกว่า “จ้านผิงไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน มิหนำซ้ำยังอบรมเลี้ยงดูสนมรักที่ดีขนาดนี้ให้ข้า เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงแม้ในตอนนี้จะยังทำให้เป็นจริงไม่ได้ แต่ข้าจะเก็บใส่ใจเอาไว้ รอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสมแล้วกัน” เขาใช้มือรูดผมงามของนางขึ้นมาอีก “ได้ยินว่าเจ้าแทบจะไม่ได้ออกจากวังหลังเลย ข้ามอบอำนาจพิเศษให้เจ้าออกจากวังกลับบ้านได้ทุกเมื่อ ทำไมเจ้าไม่กลับไปเยี่ยมบ้านหน่อยล่ะ? สามารถกลับไปเยี่ยมบ้านพร้อมเกียรติยศและความมีหน้ามีตาของสนมสวรรค์…หรือว่าการแต่งงานกับข้าไม่สามารถนำเกียรติยศมาให้เจ้าเลยสักนิด?”
“ฝ่าบาทคิดมากไปแล้วเพคะ” จ้านหรูอี้กล่าว
ประมุขชิงถามอย่างลังเลอีกว่า “หรือว่าแต่งงานกับข้าแล้วทำให้เจ้าไม่มีความสุข?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “ในวังหรือนอกวังมีอะไรต่างกันเพคะ? นั่นคือบิดามารดาที่ให้เกิดและเลี้ยงดูหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากกลับไปแล้วให้พวกท่านทำความเคารพหม่อมฉัน หน้าตาเกียรติยศเช่นนี้ ฝ่าบาทคิดว่ามีความหมายหรือเพคะ?”
“สนมรักช่างเป็นคนที่มีความกตัญญูจริงๆ” ประมุขชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเรียกสาวใช้ “หยินซวง!”
“เพคะ!” หยินซวงรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ
“เดี่ยวเจ้าไปบอกผู้การซ่างกวนสักหน่อย ข้าจะประทานบรรดาศักดิ์ชั้นสามให้ฮูหยินของท่านโหวจ้านผิง” ประมุขชิงกล่าว
บรรดาศักดิ์ของตำหนักสวรรค์มีแบ่งระดับ ฮูหยินท่านอ๋องคือบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่ง ฮูหยินจอมพลบรรดาศักดิ์ชั้นสอง ฮูหยินเทพประจำดาวบรรดาศักดิ์ชั้นสาม ฮูหยินท่านโหวบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ ฮูหยินหัวหน้าภาคบรรดาศักดิ์ชั้นห้า ฮูหยินแม่ทัพภาคบรรดาศักดิ์ชั้นหก ฮูหยินผู้บัญชาการใหญ่บรรดาศักดิ์ชั้นเจ็ด ฮูหยินผู้บัญชาการบรรดาศักดิ์ชั้นแปด มีทั้งหมดแปดระดับ
ตั้งแต่ชั้นสี่ขึ้นไป ถ้าสามีมีเป็นขุนนางที่เข้าประชุมในราชสำนักตำหนักสวรรค์ก็จะได้บรรดาศักดิ์เหล่านี้ ถ้าอยู่กับสามีที่ตำแหน่งสูง บรรดาศักดิ์ที่ได้ก็จะสูงขึ้นได้ง่ายตามไปด้วย
ตั้งแต่ขั้นสี่ลงมา เป็นขุนนางที่ไม่ต้องเข้าราชสำนักของตำหนักสวรรค์ จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์หรือไม่ก็ได้ ต้องทราบไว้ว่าอำนาจการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อยู่ในมือราชันสวรรค์คนเดียวเท่านั้น สี่อ๋องสวรรค์ไม่มอำนาจในการแต่งตั้ง คนที่มีบรรดาศักดิ์ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ เมื่อไรที่ราชินีสวรรค์จัดงานเลี้ยงที่อุทยานหลวง ก็ล้วนมีสิทธิ์เข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่อุทยานหลวงด้วย นี่ก็คือเกียรติยศพิเศษ ลองคิดดูสิ สามีของพวกนางได้เข้าประชุมในราชสำนัก โดยทั่วไปล้วนมีเรือนพักเดี่ยวที่อุทยานหลวง ไปร่วมงานเลี้ยงที่อุทยานหลวงก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าราชสำนัก และสามีไม่ได้สร้างผลงานใหญ่อะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้อาศัยบารมีนี้ และเมื่อได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้ว ก็จะได้สวัสดิการค่าจ้างสอดคล้องกับชั้นบรรดาศักดิ์ด้วย
ยกตัวอย่างเช่นบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่ง ก็จะได้ค่าจ้างเท่าจอมพล บรรดาศักดิ์ชั้นสองจะได้ค่าจ้างเท่าเทพประจำดาว แล้วก็ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ
ดังนั้นการประทานรางวัลก็มีระดับเหมือนกัน บรรดาศักดิ์ชั้นสามจะประทานให้ฮูหยินของเทพประจำดาว แต่กลับไม่ให้ฮูหยินของท่านโหว จะเห็นได้ว่าเขาโปรดปรานนางขนาดไหน
“เพคะ!” หยินซวงเอ่ยรับแล้วถอยไปด้านข้าง เห็นชินกับการประทารางวัลแบบนี้แล้ว หลายปีมานี้ โดยปกติฝ่าบาทจะประทานรางวัลทุกปี ในปีแรกๆ ประทาบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ให้ ตอนนั้นประทานบรรดาศักดิ์ชั้นสามให้แล้ว คาดว่ารางวัลที่ฮูหยินท่านโหวได้รับมาในแต่ละปีนั้นเพียงพอให้ใช้จ่ายแล้ว
สาวใช้คนอื่นมองดูสนมสวรรค์ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในดวงตาฉายแววอิจฉา หลังจากมาอยู่ที่ตำหนักบูรพา ก็นับว่ารู้แล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘คนเหมือนกันแต่ชะตาต่างกัน’ วังหลังมีสนมสวยๆ ตั้งมากมาย ส่วนใหญ่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้รับรางวัลจากฝ่าบาทเลยสักครั้ง คนที่ได้รับรางวัลถี่ขนาดนี้ สนมสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งเดียวในวังสวรรค์ ส่วนพวกนางก็ได้อาศัยบารมีจากสนมสวรรค์ไปด้วย เอะอะฝ่าบาทก็ประทานรางวัลให้บ่าวรับใช้ของตำหนักบูรพา บอกให้พวกนางดูแลสนมสวรรค์ให้ดี
หยินซวง ไป๋เสวี่ยแอบทอดถอนใจ แต่ปีแรกๆ ตระกูลอิ๋งโมโหมากที่สนมสวรรค์ไม่เข้ามายุ่งเรื่องอะไรเลย ตอนหลังพอพบว่าราชันสวรรค์เหมือนจะชอบสนมสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าการช่วงชิงความโปรดปรานนี้สำเร็จแล้ว! ตระกูลอิ๋งคิดว่านี่คือวิธีการช่วงชิงความโปรดปรานของสนมสวรรค์ จึงไม่บีบบังคับสนมสวรรค์อีก กลับชื่นชมกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะตระกูลอิ๋งรู้ว่าสนมสวรรค์ไม่เอ่ยปากเท่านั้นเอง ถ้าเอ่ยปากขึ้นมา เกรงว่าราชันสวรรค์คงยากที่จะปฏิเสธได้ ดังนั้นโอกาสแบบนี้จึงล้ำค่า ตระกูลอิ๋งไม่มีทางนำมาใช้ง่ายๆ นับว่าบรรลุเป้าหมายในการส่งสนมสวรรค์เข้าวังแล้ว
เมื่อชำเลืองมองคนนั่งนิ่งหน้ากระจก แล้วเห็นไม่มีท่าทีว่าจะขอบคุณเลยสักนิด ประมุขชิงก็แอบยิ้มอย่างขื่นขม แต่เขาก็ชินจนมองเป็นเรื่องปกติแล้ว เขากล่าวในขณะที่มือยังไม่หยุดหวีผม “ถ้าว่างก็ออกไปเดินเล่นสักหน่อย อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในตำหนัก จะทำให้ตัวเองอึดอัดแย่ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ให้พวกหยินซวงไปบอกผู้การซ่างกวน”
“ได้ยินว่าบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์ส่งเครื่องประดับเข้ามาในวังหรือเพคะ?” จ้านหรูอี้ถาม
ประมุขชิงเห็นนางกล่าวเรื่องที่ไม่สำหลักสำคัญแบบนี้ ก็ถามอย่างดีใจทันที “ทำไมเหรอ? สนมรักสนใจสิ่งของพวกเครื่องประดับด้วยเหรอ? เป็นข้าเองที่ละเลย ผู้หญิงล้วนชอบของแบบนี้”
จ้านหรูอี้ตอบว่าว่า “หม่อมฉันเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อ นับว่ารู้จักการวางตัวของหนิวโหย่วเต๋อพอสมควร เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้วเพราะผู้หญิง อยากจะเห็นว่าผู้หญิงแบบไหนกันแน่ที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้เพคะ”
ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ “พูดถูก พอสนมรักพูดแบบนี้ ข้าก็รู้สึกสนใจด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวจะเรียกมาพบพร้อมกับสนมรักสักหน่อย”
“ฝ่าบาทเตรียมจะลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออย่างไรเพคะ?” จ้านหรูอี้ถาม
ประมุขชิงหยุดมือ แล้วมองคนในกระจกพร้อมถามว่า “สนมรักยังจดจำความแค้นในปีนั้นอยู่อีกหรือ?”
“ทุกอย่างผ่านไปแล้วค่ะ” จ้านหรูอี้ตอบ
ประมุขชิงไม่เชื่อ ถูกจับแขวนไว้บนเสาธงให้ได้รับความอัปยศมากมายขนาดนั้น ทั้งยังโดนด่าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ถ้าลืมได้ง่ายๆ ก็แปลกแล้ว จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “สนมรักวางใจเถอะ ข้าจะช่วยระบายความโกรธให้เจ้าเอง” เขาไม่ถือสาที่จะถือโอกาสแสดงน้ำใจเพื่อเอาใจสาวงาม
“เรื่องในปีนั้นผ่านไปแล้วค่ะ” จ้านหรูอี้เน้นย้ำอีกครั้ง
ส่วนประมุขชิงจะฟังเข้าหูหรือไม่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้…
ที่อุทยานหลวง อวี่จ้งเจินนำกำลังพลเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกจวนแม่ทัพภาค
ตรงประตูใหญ่มีคนไม่น้อยกำลังรออยู่ คนที่ควรมาก็มาหมดแล้ว บรรยากาศตรงนั้นค่อนข้างจริงจัง เนื่องจากมีสองคนที่ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่มาอยู่ตรงนี้แล้ว
ถังเฮ่อเหนียนยิ้มบางๆ ในขณะที่ยืนอยู่ข้างกายชายชราผมขาวคนหนึ่ง ชายชราคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดลำลองผ้าฝ้าย ทว่าสง่าราศีดูสูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆ ในดวงตาฉายแววคมกริบน่าตกใจ มีพลังอำนาจมากมาย ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครกล้าหายใจแรง เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอ๋องสวรรค์โค่วนั่นเอง
อวี่จ้งเจินเห็นแล้วอึ้งไปชั่วขณะ รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วกุมหมัดคารวะบอกว่า “ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์”
ไม่ว่าจะอยู่ในระบบงานเดียวกันหรือไม่ แต่ฐานะและระดับของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไปยั่วให้เขาไม่พอใจขึ้นมา คนของทัพเป่ยโต้วก็อย่าได้คิดจะปรากฏตัวที่อาณาเขตของเขาอีกเลย
สายตาของโค่วหลิงซวีไปหยุดอยู่บนใบหน้าเขา แล้วขานรับเสียงเรียบ “อืม” จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปที่เหมียวอี้ แล้วสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวที่สวมชุดที่ไม่เป็นทางการอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างกายเขาพยักหน้าเล็กน้อยและส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิว เป็นการยืนยันว่าท่านนี้คืออ๋องสวรรค์โค่ว ถึงอย่างไรอ๋องสวรรค์โค่วกับอวิ๋นจือชิวก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน
ถ้าจะกลบเกลื่อนคำโกหกก็ต้องทำท่าทางกลบเกลื่อนคำโกหก อวิ๋นจือชิวก้าวออกมาอย่างช้าๆ พอมาถึงตรงหน้าอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว นางก็ย่อเข่าข้างเดียว “คารวะท่านพ่อบุญธรรม!”
ทุกสายตาจ้องอยู่บนตัวอวิ๋นจือชิว ในดวงตาหยางชิ่งฉายแววประหลาดใจสงสัยไม่หยุด เขามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เป็นระยะ บนใบหน้าสวีถังหรานก็แสดงอาการตกตะลึงเช่นกัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่ว แบบนี้เรียกว่าก้าวครั้งเดียวสูงถึงฟ้า! เขามองเหมียวอี้ด้วยแววตาฮึกเหิมเร่าร้อน ถ้านายท่านแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ก็จะต้องบินทะยานขึ้นสูงแน่นอน! เดี๋ยวต่อไปต้องให้เสวี่ยหลิงหลงขยันไปมาหาสู่หน่อย
โค่วหลิงซวียิ้มบางๆ “ชิวเอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี ถ้ามีอะไรจะพูด เดี๋ยวเราสองพ่อลูกค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน”
ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละครหรือไม่ แต่อีกฝ่ายทำถึงขั้นนี้แล้ว อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยให้เกียรติมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง เหมียวอี้ก็แอบถอนหายใจ ติดหนี้นำใจคนคนนี้อย่างใหญ่หลวงแล้วจริงๆ
“ค่ะ!” อวิ๋นจือชิวเอ่ยรับแล้วยืนตัวตรง
โค่วหลิงซวีชี้มาตรงข้างกายอีก บอกใบ้ให้อวิ๋นจือชิวมายืนข้างกายเขา จ้องอวี่จ้งเจินพร้อมบอกว่า “ข้าจะพาลูกสาวไปอยู่ด้วยกันสักหน่อย หัวหน้าภาคอวี่คงไม่มีความเห็นแย้งหรอกใช่มั้ย?”
อวี่จ้งเจินกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาทำงาน ไม่อาจตัดสินใจเองได้”
โค่วหลิงซวีทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ให้คนที่ตัดสินใจได้ตอบกลับมา ข้าจะคอยดูว่าใครจะกล้าทำให้เสียเรื่อง!” น้ำเสียงและท่าทีดูมีบารมีน่าเกรงขามโดยธรรมชาติ ทำให้คนรู้สึกกดดันมาก
“ขอรับ!” อวี่จ้งเจินเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเบื้องบน
กับเรื่องแบบนี้ไม่มีทางขัดขวางได้ คดีจบลงแล้ว และอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ใครยังจะกล้าขัดขวางไม่ให้ลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่วกลับบ้านอีกล่ะ? มิหนำซ้ำอ๋องสวรรค์โค่วก็ออกหน้ามาด้วยตัวเอง จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่บนอาณาเขตของอ๋องสวรรค์โค่วก็จะมีปัญหาทันที อีกฝ่ายมีพลังแบบนี้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นเบื้องบน ฮวาอี้เทียนผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ตัดสินใจให้โดยตรง บอกให้อวี่จ้งเจินปล่อยคนไป
พอเก็บระฆังดาราแล้ว อวี่จ้งเจินก็เบี่ยงตัวแล้วทท่ายื่นมือเชิญ
โค่วหลิงซวีไม่รีบไป สายตาตกอยู่บนตัวเหมียวอี้แล้ว แต่กลับถามอวิ๋นจือชิวว่า “ชิวเอ๋อร์ เจ้าเด็กนั่นมันทำอะไรกับเจ้าแล้ว จะยุติเรื่องนี้ยังไง?”
“แล้วแต่ท่านพ่อบุญธรรมจะตัดสินใจค่ะ” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างสงบเสงี่ยม
โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาหลีกทางให้อย่างรู้สำนึก ปล่อยให้เขาเดินไปตรงหน้าเหมียวอี้
“ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้! เจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ บังอาจรังแกลูกสาวข้า เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? เชื่อมั้ยว่าถ้าจะฆ่าฟันเจ้าตายตอนนี้ เจ้าก็ตายเปล่า?”
“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่านางคือลูกสาวท่าน”
“ตอนนี้รู้แล้ว เจ้าเตรียมจะทำยังไงต่อไป?”
“แต่งงานกับนาง!” เหมียวอี้เงยหน้ายืดอกตอบ
ตรงไปตรงมามาก ไม่ปิดบังเลยสักนิด
เมื่เห็นเจ้าเด็กนี่ไม่ตื่นตัวในการแสดงละครสักเท่าไร โค่วหลิงซวีคิดไปคิดมาก็เข้าใจ มีเรื่องมากมายที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ แค่พูดพอเป็นพิธีก็พอแล้ว เขาหันกลับมามองอวิ๋นจือชิว แล้วบอกว่า “งั้นก็เอาตามนี้ ข้าจะจัดงานแต่งงานให้พวกเจ้าสองคน!”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยให้สมหวัง!”
เฟยหงที่ยืนต้อนรับอยู่ไม่ไกลก้มหน้าอย่างหดหู่ แม่เฒ่าลวี่ที่ยืนอยู่ข้างกันลูบหลังนาง แล้วถอนหายใจเบาๆ ด้วยสีหน้าเห็นใจ พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่เห็นความสำคัญต่อความรู้สึกของเฟยหงสักนิดเลย
เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ถึงบทสรุป ลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่วจะเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ไม่กล้าพูดอย่างนี้เช่นกัน ถึงแม้เฟยหงจะเป็นลูกสาวของแม่เฒ่าลวี่เหมือนกัน แต่เวลาแม่เฒ่าลวี่อยู่ต่อหน้าอ๋องสวรรค์โค่ว ก็ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปช่วงชิงอะไรทั้งนั้น และไม่มีคุณสมบัติจะไปช่วงชิงด้วย พอแต่งงานรับอวิ๋นจือชิวเข้าบ้านแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะเป็นฮูหยินเอกแน่นอน
บทที่ 1566 สลายกองมังกรดำ
นางเองก็รู้ว่าเฟยหงเป็นสายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายยัดไว้ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ แต่ถึงอย่างไรเฟยหงก็เป็นผู้หญิง เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้จะไม่สนใจสักนิดเลยได้อย่างไร เป็นผู้หญิงเหมือนกันสามารถเข้าใจความรู้สึกได้
“นางหนูเอ๊ย! ขอโทษด้วย ยายแก่คนนี้ช่วยเจ้าไม่ได้” แม่เฒ่าลวี่แอบถ่ายทอดเสียงปลอบใจ
หลายปีที่เหมียวอี้ถูกขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เฟยหงก็อยู่กับแม่เฒ่าลวี่มาตลอด พอจะมีความผูกพันต่อกันอยู่บ้าง
“ข้าก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งให้คนวางเท่านั้น ไม่เป็นไรค่ะ” เฟยหงถ่ายทอดเสียงตอบเบาๆ
พอโค่วหลิงซวีพาอวิ๋นจือชิวเดินไปแล้ว เฟยหงถึงได้ก้าวเข้ามาคำนับเหมียวอี้ บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “นายท่าน!”
ทุกคนเห็นผู้หญิงคนนี้หมดแล้ว พอนึกถึงอวิ๋นจือชิวเมื่อครู่นี้ ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรแบทอดถอนใจ นี่คงจะเป็นการฝืนยิ้มอย่างมีความสุข
เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองแขนนาง สีหน้าค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับนางดี ได้แต่พยักหน้าให้
อวี่จ้งเจินที่เหล่ตามองมากลับรู้ถึงตัวตนของเฟยหง เขาหันตัวเดินขึ้นบันไดจวนแม่ทัพภาคไปแล้ว พอเจอกับเวินเจ๋อแล้ว เวินเจ๋อก็ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ หลังจากอวี่จ้งเจินแล้ว ก็เหมือนจะตกใจ เงยหน้ามองเวินเจ๋อทันที แล้วเวินเจ๋อก็พยักหน้ายืนยัน
ขณะมองดูลูกน้องเก่ามาล้อมทักทายเหมียวอี้ อวี่จ้งเจินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คำสั่งกองทัพองครักษ์ ทุกคนของกองมังกรดำฟังให้ดี!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนข้างล่างก็รีบจัดแถวอย่างจริงจัง
อวี่จ้งเจินยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงดังว่า “แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อกองมังกรดำรวบรวมกำลังพลไปขู่คุกคามอยู่นอกตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน สร้างความวุ่นวายโกลาหลให้ตลาดสวรรค์ หลังจากเข้าเมืองแล้วก็ให้ท้ายลูกน้องฆ่าทหารที่เฝ้าเมือง บังคับให้พ่อค้าในเมืองบริจาคของ แล้วถือวิสาสะประหารหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติง แต่ละเรื่องที่ทำไม่อาจปฎิเสธความรับผิดชอบได้ สมควรถูกลงโทษตามกฎระเบียบ ถอดยศและตำแหน่งของหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ ลดยศเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบ ลงโทษให้ยืนเฝ้าอุทยานหลวงหนึ่งร้อยปี ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ห้ามเลื่อนตำแหน่ง!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ตรงนั้นก็เกิดเสียงฮือฮาทันที ทุกคนพากันตกตะลึง ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบไม่ใช่ยศที่ต่ำที่สุดหรอกเหรอ? ต่อให้เลื่อนตำแหน่งกลับคืนมาได้ แต่ต้องใช้เวลากี่ปีล่ะ? การลงโทษนี้หนักไปหน่อยแล้วมั้ง จะลดขั้นก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก แบบนี้เท่ากับลดขั้นรวดเดียวสิบกว่าขั้นแล้ว!
มีบางคนที่กลับมาจากน่านฟ้าระกาติงตะโกนว่า “ท่านหัวหน้าภาค เรื่องที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนไม่เกี่ยวกับท่านแม่ทัพภาค พวกเราถือวิสาสะทำเอง!”
“ไม่เกี่ยวกับแม่ทัพภาค!”
ตรงนั้นมีเสียงตะโกนดังต่อเนื่องกัน
ใครจะคิดว่าอวี่จ้งเจินจะตะคอกเสียงต่ำอีกครั้งว่า “ทุกคนของกองมังกรดำถูกหนิวโหย่วเต๋อให้ท้าย ทุกการกระทำที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนทำลายชื่อเสียงความอันดีงามของกองทัพองครักษ์ จะปล่อยให้กระแสนี้มีต่อเนื่องไม่ได้ สลายกองมังกรดำให้ไปปะปนอยู่ตามหน่วยต่างๆ ของกองทัพองครักษ์เดี๋ยวนี้ สั่งให้ทัพเป่ยโต้วสร้างกองมังกรดำขึ้นมาใหม่!”
ตอนนี้ไม่มีใครตะโกนขึ้นมาอีกแล้ว แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ใช่แค่ท่านแม่ทัพภาคที่โดนลดยศ แม้แต่กองมังกรดำก็ต้องสลายตัวไปด้วย
“ปฏิบัติเดี๋ยวนี้!” อวี่จ้งเจินกล่าวเสริมอีก
ข้างกายเขามีคนเดินไปตรงข้างกายเหมียวอี้ทันที ยื่นมือออกมา บอกใบ้ให้เหมียวอี้ส่งของทุกอย่างออกมา
ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เหมียวอี้ถอดเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบยื่นให้ สิ่งของประเภทแผ่นหยกขุนนางก็ยื่นให้หมด สุดท้ายก็ได้เกราะเงินชุดหนึ่งมาไว้ในมือ
ทุกคนของกองมังกรดำ โดยเฉพาะคนที่รอดชีวิตมาจากน่านฟ้าระกาติง แต่ละคนเผยสีหน้าโกรธเคือง ทว่าลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่รอด อยากจะรวมตัวกันสนับสนุนโต้ตอบเพื่อนายท่านคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
คนบางกลุ่มกลับไม่ค่อยกังวล ยกตัวอย่างเช่นสวีถังหราน เขารู้สึกว่าเดี๋ยวหนิวโหย่วเต๋อก็จะได้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว ลดยศแค่สิบกว่าขั้นจะเป็นไรไป เดี๋ยวก็เลื่อนกลับขึ้นมาได้เร็วอยู่ดี ใช่เวลาไม่นานแล้ว จะต้องมียศขุนนางสูงกว่าตอนนี้แน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเบื้องบนเตรียมการไว้แล้ว ไม่ให้ทุกคนได้บอกลากันเลยด้วยซ้ำ ในจวนแม่ทัพภาคมีนายทหารชั้นสูงของกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้าทุกคนเดินออกมา แล้วแต่ละคนก็เรียกชื่อ ใช้เวลาไม่นานกำลังพลของกองมังกรดำก็แทบจะไม่เหลือแล้ว
เหมียวอี้ยืนหน้าตึงฟังอยู่ข้างๆ ใบหน้ากระตุกเป็นระยะ ความรู้สึกเวลามองเห็นลูกน้องตัวเองโดนคนจับไปโดยทำอะไรไม่ได้นั้นยากจะรับไหว ตอนนี้เขาเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดอะไรด้วยซ้ำ
สวีถังหราน หยางชิ่ง เหยียนซิวและพวกไห่ผิงซินก็ไม่ได้รับการยกเว้น ทั้งหมดถูกจับไปอยู่ตามหน่วยต่างๆ ขอกองทัพองครักษ์ ข่าวดีเพียงอย่างเดียวก็คือ มู่อวี่เหลียนได้เลื่อนยศสองขั้นติดต่อกัน ถูกเลื่อนตำแหน่งให้กลายเป็นแม่ทัพภาคกองมังกรดำ รับหน้าที่สร้างกองมังกรดำขึ้นมาใหม่ ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียน รองแม่ทัพภาคสองคนที่ได้อยู่กองมังกรดำต่อสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก นึกไม่ถึงว่ามู่อวี่เหลียนจะข้ามหัวพวกเขากลายเป็นแม่ทัพภาคไปแล้ว กดอยู่บนหัวพวกเขาแล้ว
เหมียวอี้ก็ยังอยู่ที่อุทยานหลวงต่อไปเช่นกัน การลงโทษหนึ่งร้อยปียังไม่เริ่มขึ้น ต้องยืนเฝ้าเวรอยู่ที่อุทยานหลวงหนึ่งร้อยปี เท่ากับยังอยู่กองมังกรดำเหมือนเดิม
มู่อวี่เหลียนมองเหมียวอี้ที่ยืนเงียบอยู่ตรงมุมแวบหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่อวี่จ้งเจินมาคุมด้วยตัวเอง ตอนนี้นางก็ดูแลเหมียวอี้ไม่ได้เช่นกัน จึงพาตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนไปรับกำลังพลกองมังกรดำที่มาใหม่ บางคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ ยกตัวอย่างเช่นเหยียนซิวและกำลังพลที่เฝ้าสวนบรรณาการก็ต้องถูกส่งต่อให้เช่นกัน
เบื้องบนไม่ให้โอกาสเบื้องล่างได้รวมตัวกันก่อเรื่อง ผู้ที่ถูกแต่ละหน่วยเรียกชื่อถูกพาตัวไปทันที มีคนมากมายยังไม่ทันได้บอกลาเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะไปสวีถังหรานสีหน้าเศร้าสลด เขารู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองอาศัยอะไรไต้เต้าขึ้นมา พอออกห่างจากเหมียวอี้แล้วเกรงว่าจะไม่ได้อยู่สุขสบาย ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเบื้องบนจะสลายกองมังกรดำกะทันหัน แทบจะทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูก
หมดธุระของเวินเจ๋อแล้ว เขาเดินมาข้างกายเหมียวอี้ ยกมือตบบ่าเหมียวอี้แล้วถอนหายใจ “เฮ้อ!” จากนั้นบอกว่า “น้องชาย ถ้ามีโอกาสก็เอาไว้ดื่มสุราด้วยกัน”
เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ เวินเจ๋อถอนหายใจอีกครั้ง แล้วหันตัวนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป
เฟยหงเดินเนิบนาบเข้ามาข้างกายเหมียวอี้ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “นายท่าน” ตอนนี้นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะติดตามเหมียวอี้ไปที่ไหน อยู่ที่เรือนพักหลังใหญ่ของจวนแม่ทัพภาคไม่ได้แล้วแน่นอน
“เจ้าอยู่กับแม่เฒ่าลวี่ไปก่อนแล้วกัน รอให้ข้าหาที่ทางได้แล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้แล้ว แม่เฒ่าลวี่พาเฟยหงออกไปด้วยแล้ว
จากนั้นเหมียวอี้ก็สมเกราะรบสีเงิน ถือทวนเงินด้ามหนึ่งแล้วยืนรอฟังคำสั่งอยู่ข้างนอก ตอนนี้เขาเป็นคนที่อยู่ระดับต่ำสุดของกองมังกรดำ เขามีสิทธิ์แค่ฟังคนอื่นสั่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์บงการคนอื่นอีกแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนใหม่กลุ่มหนึ่งย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ มีคนไม่น้อยชำเลืองมองเหมียวอี้ แล้วก็พากันกระซิบกระซาบ
พวกเขาพบว่าท่านนี้ช่างขึ้นเร็วลงเร็วจริงๆ ถูกขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี เพิ่งจะพ้นโทษถูกปล่อยออกมาแท้ๆ ก็ก่อเรื่องที่ทำให้ต้องลดไปอยู่ระดับดับสุดแล้ว นับว่าแปลกพิลึกคน จะไม่ให้ทุกคนแอบนินทาก็คงยาก
ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ทางหออวิ๋นฮว๋ายังไม่รู้สถานการณ์ของเหมียวอี้ มีคนของโถงฉากเมฆาเข้ามาทักทาย ในภายหลังหากมีเรื่องอะไรที่ตลาดสวรรค์ก็ไปหาที่โถงฉากเมฆาได้เลย หออวิ๋นฮว๋านับว่ามีคนหนุนหลังที่ตลาดสวรรค์แล้ว
ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในโถงหลักด้านใน โค่วหลิงซวีกำลังนั่งอย่างสง่างามอยู่ในโถงหลัก สามพี่น้องตระกูลโค่วยืนอยู่ด้านข้าง ต่างก็มองอวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากจะเห็นว่าเป็นความงามเลิศล้ำแบบไหนกันแน่ที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋ออยมเสี่ยงอันตรายก่อเรื่องนี้ขึ้น
พอได้เห็นตอนนี้ อวิ๋นจือชิวในตอนนี้สวมเสื้อผ้าตัวโคร่ง มองไม่ออกว่ารูปร่างดีหรือไม่ หน้าตาก็นับว่าสวย แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำว่างามเลิศล้ำเลย นับว่ามีสง่าราศีไม่เลวเหมือนกัน สง่าราศีที่ไม่เหมือนใครนั้นค่อนข้างสะดุดตา
สามพี่น้องเซ็งแล้ว ตอนที่ไปอุทยานหลวงพวกเขาก็หาโอกาสไปเห็นเฟยหงมาแล้ว นั่นต่างหากที่เรียกว่างามล้ำเลิศ สวยกว่าอวิ๋นจือชิวที่อยู่ตรงหน้านี้ตั้งเยอะ หนิวโหย่วเต๋อสายตาเป็นอย่างไรกันแน่!
ถังเฮ่อเหนียนยกถ้วยน้ำชาให้อวิ๋นจือชิวด้วยมือตัวเอง จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ
อวิ๋นจือชิวใช้สองมือประคองถ้วยน้ำชา เดินช้าเนิบนาบไปตรงหน้าโค่วหลิงซวี แล้วคุกเข่าลงช้าๆ ยกถ้วยน้ำชาเหนือศีรษะตัวเอง “ลูกสาวอวิ๋นจือชิวคำนับท่านพ่อบุญธรรมค่ะ!”
ความสัมพันธ์พ่อลูกก่อนหน้านี้ล้วนแสดงให้คนนอกดูเฉยๆ ตอนนี้นับว่าทำพิธีเสริมเรียบร้อยแล้ว จากนี้มีเพียงบุคคลที่สำคัญที่สุดของตระกูลโค่วเท่านั้นที่ได้เห็น คนอื่นๆ ไม่มีทางเห็น
โค่วหลิงซวีรับน้ำชามา หลังจากดื่มไปคำหนึ่ง ก็วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะชาข้างกาย แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ชิวเอ๋อร์ ยืนขึ้นเถอะ” เขาผายมือเล็กน้อย หลังจากอวิ๋นจือชิวลุกขึ้นแล้ว เขาก็หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมายื่นให้ “พบกันครั้งแรก นับว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากบิดา”
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมค่ะ!” อวิ๋นจือชิวรับไว้แล้ว
ถังเฮ่อเหนียนเชิญให้อวิ๋นจือชิวไปอยู่ด้านข้าง แล้วแนะนำสามพี่น้องตระกูลโค่ว “คุณชายใหญ่โค่วเจิง คุณชายรองโค่วฉิน คุณชายสามโค่วเหมี่ยน”
“น้องสาวคำนับพี่ชายทั้งสามคนค่ะ” อวิ๋นจือชิวทำความเคารพอีก
“น้องเจ็ดไม่ต้องมากพิธี” ทั้งสามทำท่าประคองพร้อมกัน ทุกคนต่างก็สุภาพเกรงใจมาก สาเหตุที่เรียกว่าน้องเจ็ด ก็เพราะโค่วหลิงซวียังมีลูกสาวแท้ๆ อีกสามคน ลูกสาวบุญธรรมอย่างอวิ๋นจือชิวนับว่าอยู่ในลำดับเจ็ดแล้ว
โค่วหลิงซวีลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ชิวเอ๋อร์ ต่อไปถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ไปหาผู้เฒ่าถังได้เลย ความคิดเห็นของเขาก็คือความคิดเห็นของข้า”
สามพี่น้องแอบรู้สึกตกใจ นี่สามารถติดต่อกับท่านอาถังได้โดยตรงเลยเหรอ ท่านพ่อดูแลดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย
“ค่ะ!” อวิ๋นจือชิวเอ่ยรับ แล้วก็ทำความเคารพถังเฮ่อเหนียนอีก “ต่อไปต้องรบกวนท่านอาถังด้วยค่ะ”
“เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่อยู่แล้ว คุณหนูเจ็ดให้เกียรติบ่าวมากไปแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนรีบทำความเคารพกลับ
โค่วหลิงซวีโบกมือบอกว่า “เอาล่ะ! พวกเจ้าสามพี่น้องพาเจ้าเจ็ดไปพบคนอื่นๆ ในบ้านเถอะ แนะนำสถานการณ์คร่าวๆ ในบ้านให้เจ้าเจ็ดรู้สึกหน่อย”
“ขอรับ!” สามพี่น้องเอ่ยรับคำสั่ง โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ยื่นมือเชิญ “น้องเจ็ด ตามพวกเรามาเถอะ”
หลังจากพี่น้องออกไปแล้ว โค่วหลิงซวีก็หัวเราะอย่างมีความสุข “ผู้เฒ่าถัง เรื่องครั้งนี้เจ้าทำได้งดงามมาก เจ้าไม่ได้เห็นสีหน้าตาแก่สามคนนั้น”
“เป็นเพราะนายท่านวางแผนได้ดีขอรับ” ถังเฮ่อเหนียนพูดประจบ แล้วกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “นายท่าน ข้าน้อยเพิ่งได้รับข่าวจากทางอุทยานหลวง ตอนที่พวกเราเพิ่งออกมาได้ไม่นาน กองทัพองครักษ์ก็เอาเรื่องตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนมาอ้าง ออกคำสั่งให้ลงโทษหนิวโหย่วเต๋อ ถอดตำแหน่งทั้งหมดของหนิวโหย่วเต๋อ ลดขั้นให้กลายเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบเลย ลงโทษให้เขายืนเฝ้าอุทยานหลวงหนึ่งร้อยปี ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ห้ามเลื่อนขั้น”
“อ้อ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “ประมุขชิงอับอายจนโมโหแล้วสินะ?” ลดขั้นได้ก็เลื่อนขั้นได้
ถังเฮ่อเหนียนกล่าวอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ กองมังกรดำใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อก็ถูกสลายแล้ว ให้แยกย้ายไปตามหน่วยต่างๆ ของกองทัพองครักษ์ นอกจากนี้ยังเลื่อนขั้นมู่อวี่เหลียน ผู้บัญชาการใหญ่ธงมังกรน้ำเงินที่เป็นลูกน้องหนิวโหย่วเต๋อให้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคคนใหม่ของกองมังกรดำ ให้รับหน้าที่สร้างกองมังกรดำขึ้นมาใหม่”
โค่วหลิงซวีถอนหายใจแล้วบอกว่า “กำลังพลกลุ่มนั้นมองข้ามคำสั่งเบื้องบน เชื่อฟังเพียงหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว ขนาดหัวหน้าภาคเบื้องบนยังบัญชาการไม่ไหว ประมุขชิงจะเก็บไว้ได้ก็แปลกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมาย เพียงแต่น่าเสียดายต้นกล้าชั้นดีที่ผ่านพิธีชำระล้างนั้นมา ถ้าตีเหล็กเข้ารูปเพิ่มอีกสักหน่อย เมื่อมีพลังเพิ่มขึ้นแล้ว จะต้องกลายเป็นกลุ่มทหารกล้าที่รบไม่แพ้แน่นอน น่าเสียดายจริงๆ!”
“บ่าวกลับคิดว่าประมุขชิงเดินหมากอย่างเลอะเลือน” ถังเฮ่อเหนียนกล่าว
“หืม?” โค่วหลิงซวีเอียงหน้ามองมา “หมายความว่ายังไง?”
ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “คนที่ไม่ได้เห็นกำลังพลกลุ่มนี้กับตาตัวเองไม่มีทางเข้าใจได้ ไม่อาจบรรยายลักษณะพลังของกำลังพลกลุ่มนั้นได้เลย ขนาดบ่าวเห็นแล้วยังสั่นสะเทือน! กำลังพลกลุ่มนั้นถึงขั้นหลับหูหลับตาเชื่อฟังหนิวโหย่วเต๋อแล้ว สั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ผู้บัญชาการกองทัพของพวกเขาอีกแล้ว แต่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่ร่วมเป็นร่วมตายและปีนขึ้นจากกองภูเขาศพทะเลเลือดมาพร้อมกับพวกเขา พวกเขาเชื่อมั่นในตัวหนิวโหย่วเต๋อเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยเลยสักคน ว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องนี้ขึ้นเพราะอวิ๋นจือชิว แต่ประมุขชิงดันแยกคนพวกนี้ไปยังหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพองครักษ์ ถ้าในอนาคตมีเรื่องขึ้นมา แล้วหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมพวกเขานิดหน่อย เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับกองทัพองครักษ์แน่นอน!”
บทที่ 1567 พลทหารหนิว
“อ้อ!” โค่วหลิงซวีรู้สึกสนใจทันที ที่บอกว่าเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับกองทัพองครักษ์หมายความว่าอะไรล่ะ? อยู่ดีๆ หนิวโหย่วเต๋อจะไปเกลี้ยกล่อมคนพวกนี้ทำไม? อาศัยกำลังของหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เหมือนว่าจะมีบทบาทกับตระกูลโค่วมากกว่านั้นหน่อย เขาฟังออกถึงความหมายลึกล้ำในคำพูดของเฒ่าถัง จึงถามว่า “เฒ่าถัง เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้?”
เฒ่าถังตอบว่า “เรื่องในภายหลังไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน ไม่อาจรับประกันว่าจะเกลี้ยกล่อมได้ทุกคน แต่ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อเอ่ยปาก ก็น่าจะเกลี้ยกล่อมได้จำนวนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรักษาความสัมพันธ์ไว้ บ่าวแนะนำให้แอบส่งทรัพยากรสนับสนุนให้คนพวกนั้นในนามของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้พวกเขาระลึกถึงน้ำใจของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเวลาที่ดีสำหรับลงมือ เมื่อเวลาผ่านไปใจคนก็ยากจะคาดเดา ความสัมพันธ์จืดจางลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรักษาไว้ นายท่าน นี่เป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกองทัพองครักษ์ ตอนนี้คนพวกนี้ยังไม่มีบทบาทอะไร แต่พอในอนาคตได้ขึ้นตำแหน่งแล้ว ต่อให้มีจำนวนน้อยนิดที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูง แต่พวกเขาล้วนแสดงบทบาทสำคัญได้ แต่กลัวว่าเรื่องราวจะไม่แน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะใช้ประโยชน์ได้!”
โค่วหลิงซวีหรี่ตาไตร่ตรองอยู่นานมาก ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ถ้าให้ประมุขชิงรู้ว่าพวกเรายื่นมือเข้าไปหลังบ้านเขา เจ้าเองก็รู้ถึงผลที่ตามมา” ความหมายแฝงก็คือตอบตกลงแล้ว
เฒ่าถังกล่าวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ดังนั้นจึงต้องอาศัยชื่อของหนิวโหย่วเต๋อ จะให้ผู้ถูกสนับสนุนรู้ไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับพวกเรา ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยชื่อหนิวโหย่วเต๋อสั่งให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ และระหว่างพวกเขาก็ถูกจับแยกแล้ว สะดวกให้พวกเราดำเนินการที่ละเรื่องพอดี เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้หนิวโหย่วเต๋อรู้”
โค่วหลิงซวีพยักหน้าเบาๆ “บ่าวจะไปจัดการ ความปลอดภัยเชื่อถือได้ต้องมาอันดับหนึ่ง”
“ขอรับ!” เฒ่าถังเอ่ยรับ แล้วถามอีกว่า “แล้วเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลดขั้นจะทำยังไงขอรับ?”
“วันหลังขาค่อยไปคุยกับประมุขชิง” โค่วหลิงซวีกล่าว
ในลานบ้านขนาดใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์โค่ว เรียกได้ว่าคึกคักอบอุ่น สามพี่น้องตระกูลโค่วมองอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
“น้องเจ็ด ข้าคือซูฮวนเหนียง มารดาของเหวินหลาน เจ้ากับเหวินหลานก็เป็นคนสนิทคุ้นเคยกันมานาน นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็กๆ น้อยๆ อย่ารังเกียจนะ” ซูฮวนเหนียง มารดาของโค่วเหวินหลานเป็นคนแรกที่เข้ามาหา ใบหน้ารูปยิ้มจนเกิดลักยิ้มสวยสองข้าง นางยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มืออวิ๋นจือชิว แล้วคล้องแขนอวิ๋นจือชิวไม่ยอมปล่อย เริ่มพูดแนะนำกับอวิ๋นจือชิว “นี่คือสุยฉู่ฉู่ มารดาของเหวินไป๋ เหวินหง นี่คือหร่วนจิ้ง มารดาของเหวินหวง เหวินลวี่ เหวินชิง”
“น้องเจ็ดสวยจริงๆ น้ำใจเล็กน้อยพวกนี้อย่ารังเกียจนะ”
ฮูหยินของโค่วเจิงกับโค่วฉินก็ทยอยกันนำของขวัญแรกพบมามอบให้เช่นกัน
ลูกสาวสามคนของตระกูลโค่วก็กลับมาแล้วเช่นกัน พวกนางต่างก็พาสามีมาด้วย เป็นตัวแทนของแต่ละบ้านมามอบของขวัญแรกพบให้อวิ๋นจือชิว
ทั้งยังมีอนุภรรยาแสนสวยของอ๋องสวรรค์โค่วอีกเป็นร้อยคน นำของขวัญแรกพบมาให้ในฐานะผู้อาวุโส ในจำนวนนั้น อนุภรรยาที่คลอดลูกให้อ๋องสวรรค์โค่วจะมีฐานะสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นลูกชาย หลักการ ‘แม่ได้ดีเพราะลูกชาย’ ทำให้ไม่ต้องกังวลฐานะในตระกูลโค่วเลย อวิ๋นจือชิวพยายามจดจำชื่อของคนพวกนี้ไว้แล้ว ที่จริงอนุภรรยามีเยอะเกินไป อวิ๋นจือชิวจำได้ไม่หมดภายในเวลาอันสั้นจริงๆ
โค่วเหวินไป๋กับโค่วเหวินหลานและกลุ่มรุ่นหลานก้าวขึ้นมาคำนับด้วยกัน “คำนับท่านอา” ในจำนวนนั้น ไม่ต้องบอกเลยว่าโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินหลานอึดอัดใจขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะกลายเป็นอาเขยของพวกเขาแล้ว
ทว่าต่อให้วันนี้จะอึดอัดขนาดไหน แต่ก็ต้องเจียดรอยยิ้มออกมา ทุกคนรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือคนที่ท่านอ๋องเตรียมจะฝึกเลี้ยง ได้รับความสำคัญจากท่านอ๋องมาก ในไม่ช้าก็เร็วจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมกำลังทหารจำนวนมากของจวนท่านอ๋อง ดังนั้นทุกคนจึงมีท่าทีที่ดีมากต่ออวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวย่อมมีของขวัญมองคืนให้ทุกคนอยู่แล้ว การมอบของขวัญราคาแพงให้ต่อหน้าคนตระกูลนี้ก็เหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย ด้วยพื้นเพชาติกำเนิดของอีกฝ่าย มีอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงแสดงน้ำใจเล็กน้อย โชคดีที่นางนำเครื่องประดับมาด้วยไม่น้อยเลย ของขวัญไม่ได้ราคาแพง แต่สวยงามประณีต นางแบ่งออกมาส่วนหนึ่ง ให้ทุกคนไปเลือกกันเอาเอง
กลุ่มผู้หญิงมาล้อมอวิ๋นจือชิวไว้สามชั้นทันที อุทานตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ต่างคนต่างเลือกเครื่องประดับที่ตัวเองชอบแล้วถอยออกไป แล้วให้คนที่อยู่ข้างหลังเข้ามาเลือก ครึกครื้นกันอยู่นานมากจริงๆ
สามพี่น้องตระกูลโค่วที่ดูอยู่ข้างๆ เห็นแล้วส่ายหน้า รับไม่ไหวกับผู้หญิงพวกนี้ ผู้ชายจะสนใจเหรอว่าผู้หญิงใส่เครื่องปะดับอะไร? ทั้งร่างกายของผู้หญิง เกรงว่าสิ่งที่ผู้ชายไม่สนใจที่สุดก็คือเครื่องประดับที่สวมใส่นี่แหละ
“ตระกูลโค่วไม่ได้ครึกครื้นอย่างนี้มานานแล้ว” โค่วเจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนพยักหน้า ในจุดนี้พวกเขายอมรับ…
อุทยานหลวง เดิมทีมู่อวี่เหลียนอยากจะดูเหมียวอี้ จะให้เหมียวอี้ไปพักที่จวนแม่ทัพภาค แต่เหมียวอี้ปฏิเสธเอง ไม่จำเป็นต้องทำให้มู่อวี่เหลียนอึดอัด ทำบ้านพักที่เรียบง่ายอยู่ในค่ายทหารใกล้ๆ ที่นาหลวง
ผู้บังคับการกองห้าที่รับผิดชอบเหมียวอี้ ถึงแม้จะมาใหม่ แต่ชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเหมียวอี้กำลังจะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่จะดีจะร้ายก็เคยรับตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำ เป็นบุคคลโด่งดังที่นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านจนแตกพ่าย แม่ทัพภาคคนปัจจุบันก็เป็นลูกน้องเก่าของเจ้าตัวด้วย ถ้ากล้าเฉยชาต้อนรับไม่ดีก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว ผู้บังคับการกองห้าจึงแบ่งห้องเดี่ยวที่ดีที่สุดให้เหมียวอี้อย่างเกรงใจ
เมื่ออยู่ด้วยกันไปสักระยะหนึ่ง ก็พบว่าเส้นสายของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้จะสวมเกราะเงินเดินไปเดินมา แต่ก็มักจะมีแม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่เฝ้าวังสวรรค์มาดื่มสุราด้วยบ่อยๆ สหายที่ไปมาหาสู่กับพลทหารหนิวทำให้ผู้บังคับการกองห้าตะลึงค้างจริงๆ
ที่จริงตอนแรกเหมียวอี้ไม่ได้รู้จักแม่ทัพใหญ่เกราะแดงพวกนั้น แต่ตอนหลังที่เวินเจ๋อมาหา นำค่าจ้างรวมตอนที่เหมียวอี้โดนขังอยู่ในแดนมรณะอเวจีมาให้เหมียวอี้ ก็ถือโอกาสดื่มสุรากับเหมียวอี้ด้วย ตอนหลังพวกสหายของเวินเจ๋อที่อยู่วังสวรรค์ก็อยากจะทำความรู้จักคนประหลาดคนนี้สักหน่อย ดังนั้นเวินเจ๋อจึงพาสหายมาทุกๆ สามวันห้าวัน คนที่เคยมาก็สนิทกับเหมียวอี้แล้ว ทั้งยังพาสหายที่อยากรู้อยากเห็นมาดื่มสุรากับเหมียวอี้อีก
ถึงอย่างไรก็มีทั้งคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายและหน่วยองครักษ์ขวา นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้คลุกคลีกับแม่ทัพใหญ่วังสวรรค์มากมายขนาดนี้ เลยถือโอกาสให้คนพวกนี้ช่วยเหลือสักหน่อย ให้พวกเขาช่วยดูแลลูกน้องเก่าของตัวเองที่ถูกจับแยกไป โดยเฉพาะพวกลูกน้องคนสนิท เรื่องนี้พูดง่าย บางทีการช่วยเลื่อนขั้นอาจจะทำไมได้ แต่ช่วยไม่ให้โดนคนอื่นรังแกก็ไม่มีปัญหา
เหมียวอี้ได้ค้นพบเรื่องที่น่าตกตะลึงจากคนพวกนี้เช่นกัน พวกทหารที่ติดตามเขาไปทำศึกเลือดที่น่านฟ้าระกาติงได้เลื่อนตำแหน่งหมดแล้ว ไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว อย่างน้อยได้เลื่อนตำแหน่งติดกันสองขั้น บางคนเลื่อนจากระดับต่ำสุดข้ามผู้บังคับการกองห้าไปเลย ผู้บังคับการกองร้อยเลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการแล้ว กำลังพลนับหมื่นอย่างแย่สุดก็ได้กลายเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ส่วนผู้บัญชาการ บัญชาการใหญ่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ส่วนคนอื่นๆ ของกองมังกรดำที่ไม่ได้ร่วมศึกใหญ่น่านฟ้าระกาติง ส่วนใหญ่ก็ถูกโยกย้ายไปในตำแหน่งเดิม ไม่ได้โอกาสเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วอย่างคนที่ร่วมศึก
ตอนหลังพอเวินเจ๋อมาหา เหมียวอี้จึงถามถึงเหตุผลที่อยู่ในนั้น เวินเจ๋อยิ้มพร้อมตอบว่า “น้องชาย กำลังพลห้าหมื่นถูกทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านโจมตี สละชีวิตทำศึกเลือดภายใต้สถานการณ์ที้สียเปรียบอย่างแน่นอน แต่ก็ยังสามารถโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านจนล้มตายไปหลายแสนได้ คนที่ยังรอดชีวิตก็แปลว่ามีประวัติส่วนตัวที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรไม่ได้หากจะเลื่อนขั้นให้พวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะสลายตัวไปหมดแล้ว แต่กองทัพองครักษ์เคยปฏิบัติต่อคนที่มีผลงานการรบอย่างอยุติธรรมเสียที่ไหนกัน มีแต่จะสรรเสริญ ไม่มีทางข่มเหง เบื้องบนยังหวังให้พวกเขาบอกเล่าประสบการณ์ศึกน่านฟ้าระกาติงต่อกองทัพองครักษ์ด้วย พวกเขากลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่แต่ละหน่วยงานเพาะเลี้ยงไปแล้ว แน่นอน เจ้าเป็นแค่คนเดียวที่โดนลดขั้น ใครใช้ให้เจ้ายืนผิดกลุ่มเพราะผู้หญิงคนเดียวล่ะ แต่จะว่าไปแล้ว กำลังพลนับหมื่นนั่นก็ได้อาศัยบารมีเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะศึกนี้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตอาจจะไม่มีโอกาสได้ทะยานขึ้นเร็วแบบนี้ด้วยซ้ำ นับว่าสู้ตายเพื่ออนาคนก็แล้วกัน!”
เหมียวอี้เงียบไป ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็กลับรู้สึกผิดน้อยลงบ้างนิดหน่อย ไม่ง่ายเลยกว่าคนพวกนั้นจะรอดชีวิตมาได้ ต่อให้อยู่ที่กองมังกรดำต่อ กองมังกรดำก็อาจจะไม่มีตำแหน่งมากพอให้พวกเขาก็ได้ การโดนจับแยกกันตอนนี้กลับส่งผลดีต่ออนาคตพวกเขา
และสาเหตุที่กองมังกรดำย้ายเหมียวอี้มาประจำอยู่ใกล้ๆ ที่นาหลวง ก็เพื่อที่จะดูแลเหมียวอี้ เรื่องงานผลัดเวรเฝ้าประตู มีหรือที่จะให้เหมียวอี้ไปทำ แต่ถ้าจะไม่เตรียมงานให้เหมียวอี้ทำเลยก็ไม่ได้ เพราะนี่คือบทลงโทษที่เบื้องบนสั่งลงมา นาหลวไงล่ะ ไม่มีของล้ำค่าอะไรให้เฝ้า พวกขุนนางชั้นสูงในวังสวรรค์มาไม่บ่อย ยามปกติเหมียวอี้สามารถฝึกตนอย่างสงบใจได้ ถ้าเบื้องบนมีขุนนางชั้นสูงมาจริงๆ ค่อยให้เหมียวอี้ออกมารับมือสักหน่อย ถึงอย่างไรขุนนางชั้นสูงพวกนั้นก็มาพอเป็นพิธีอยู่แล้ว อยู่ไม่นานแล้วก็ไป ดังนั้นโดยทั่วไปก็ไม่มีเรื่องอะไร นับว่าเป็นการดูแลเหมียวอี้เป็นพิเศษ
และพวกผู้บังคับการกองห้า ผู้บังคับการกองร้อย ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่เบื้องบนก็รู้ถึงเจตนาของเบื้องบน ไม่มีใครมาชี้นิ้วสั่งเหมียวอี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกลั่นแกล้งเขาเลย เวลาเรียกรวมเหมียวอี้จะมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร ทุกคนก็ไม่อยากให้เขามาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าท่านนี้มาแล้ว เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียกใช้งานดีหรือไม่ ทำเอาทุกคนอึดอัดทำตัวไม่ถูก
สาเหตุสำคัญเป็นเพราะท่านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่กองทัพองครักษ์ ตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีใครไม่รู้จัก ใช้กำลังที่อ่อนแอกว่าเอาชนะกำลังที่แข็งแกร่งกว่า สร้างผลงานการรบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาตร์ของกองทัพองครักษ์ สร้างผลงานรบอันน่าเลื่อมใสดุจศิลาจารึกอันสูงใหญ่ที่ไม่มีใครเหนือไว้ในกองทัพองครักษ์! ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสบประมาทได้
ในกองทัพองครักษ์มีคนที่ตำแหน่งสูงกว่าท่านนี้เยอะ แต่คาดว่าคงไม่มีใครที่หน้าด้านถึงขั้นกล้าอวดผลงานการรบต่อหน้าท่านนี้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ทอดถอนใจ ต่อให้ท่านนี้จะไม่ได้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่อนาคตก็ไม่แย่เหมือนกัน วันใดวันหนึ่งต้องได้เลื่อนเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะถูกเลื่อนขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาคกองทัพองครักษ์เป็นกรณีพิเศษก็ได้ แต่กลับก่อเรื่องจนกลายเป็นแบบนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียว แบบนี้ต้องรออีกกี่ปีถึงได้ตำแหน่งกลับมาล่ะ? อ๋องสวรรค์โค่วเองก็คงไม่เจียดผลประโยชน์ส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว เลื่อนขั้นให้เจ้าภายในสองสามวันหรอกมั้ง!
เมื่อใช้ชีวิตว่างๆ ผ่านไปช่วงหนึ่ง ในวันหนึ่งขณะกำลังฝึกวิชา จู่ๆ เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากประมุขขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงจินม่านแห่งแดนอเวจี
จินม่านถามทันทีที่เอ่ยปากพูด : หลานสาวของประมุขปราชญ์ลัทธิมารกลายเป็นลูกบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้วจริงเหรอ?
เหมียวอี้ : ใช่!
จินม่าน : ประมุขต้องการจะรับลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีเป็นฮูหยินเอกจริงเหรอ?
เหมียวอี้ : ใช่!
จินม่าน : ประมุขปราชญ์ ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราและลัทธิมาร มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ประมุขปราชญ์ยังไม่รู้ ข้าน้อยรู้สึกว่าจะต้องเตือนสักหน่อย ระหว่างไห่ยวนเค่อกับโค่วหลิงซวีมีความแค้นที่ล้ำลึกเหมือนทะเลเลือด ทุกคนในครอบครัวและผู้หญิงที่ไห่ยวนเค่อรักที่สุดล้วนตายด้วยน้ำมือโค่วหลิงซวี
เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้อยู่ด้วย หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า : ก็แค่ใช้ประโยชน์กันและกัน เจ้าไม่รู้สึกว่าโค่วหลิงซวีมีเอี่ยวขึ้นเรือโจรของหกลัทธิแล้วเหรอ? เรือนี้เขาลงไม่ได้แล้ว!
จินม่าน : ถ้าประมุขปราชญ์คิดแบบนี้ได้ เตรียมการแบบนี้ได้ งั้นข้าน้อยก็วางใจและจะสนับสนุนเต็มที่แน่นอน นอกจากนี้ข้าน้อยยังอยากจะถามอีกสักหน่อย ได้ยินว่ากำลังพลของประมุขปราชญ์ ในกองทัพองครักษ์โดนจับแยกหมดแล้ว ไห่ผิงซินก็ถูกย้ายไปแล้ว นางจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : เจ้าวางใจเถอะ ข้าฝากฝังให้คนดูแลแล้ว รอให้โอกาสเหมาะสมก่อน ข้าค่อยคิดหาทางย้ายนางกลับมาอยู่ข้างกายอีกที
จินม่าน : รบกวนประมุขปราชญ์แล้ว
บทที่ 1568 หญิงงามมากมาย
หลังจากการประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์ โค่วหลิงซวีก็ยังไม่ได้ไปไหน แต่ขอเข้าพบประมุขชิง เดินเดินเล่นเป็นเพื่อนประมุขชิงอยู่ในอุทยานสายัณห์
ราชันและขุนนางปรองดองกัน หลังจากชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปสักพัก ในที่สุดโค่วหลิงซวีก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาแล้ว “ข้าน้อยมีบุตรสาวบุญธรรม…”
ประมุขชิงคิ้วกระตุกเล็กน้อย รอให้เขาเอ่ยสิ่งนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว นึกไม่ถึงว่าตาเฒ่าคนนี้จะข่มเอาไว้จริงๆ ถ่วงเวลามาถึงวันนี้แล้วค่อยเอ่ยปาก จึงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดตัดบทว่า “อ๋องสวรรค์มาเพื่อหนิวโหย่วเต๋อใช่มั้ย?”
“ฝ่าบาทช่างปราดเปรื่อง!” โค่วหลิงซวีกล่าวประจบ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจอีกว่า “เป็นเพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ความบริสุทธิ์ของลูกสาวข้าถูกหนิวโหย่วเต๋อทำลายแล้ว ทำได้เพียงตกกระไดพลอยโจน ไม่อย่างนั้นทั้งชีวิตนี้ก็จะถูกทำลายแล้ว ข้าน้อยไร้ยางอาย ขอให้ฝ่าบาทได้โปรดย้ายหนิวโหย่วเต๋อไปที่ทัพเหนือขอรับ ข้าน้อยจะได้เลือกวันแต่งงานให้พวกเขาได้สะดวก”
ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเข้าใจจิตใจของอ๋องสวรรค์ เพียงแต่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงโทษคนกระทำผิด ถ้าปล่อยตัวไปก่อนครบกำหนดเวลาลงโทษหนึ่งร้อยปี ก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไปจริงๆ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ได้นะ อ๋องสวรรค์ควรทำตัวเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้สิ เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่ออ๋องสวรรค์เอ่ยปากแล้ว ข้าก็จะช่วยให้เรื่องดีงามนี้สมปรารถนา เจ้ามีเรือนพักอยู่ที่อุทยานหลวงไม่ใช่เหรอ? จัดงานแต่งงานที่นั่นก็แล้วกัน ส่วนเรื่องย้ายหนิวโหย่วเต๋อ หลังจากลงโทษครบหนึ่งร้อยปี ข้าจะปล่อยเขาออกจากกองทัพองครักษ์”
โค่วหลิงซวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตได้ว่าประมุขชิงไม่อยากปล่อยคนไปตรงๆ แต่ก็ยังกุมหมัดขอบคุณ “ขอบคุณที่ฝ่าบาทช่วยให้สมปรารถนา!”
จู่ๆ ประมุขชิงก็เอียงหน้าบอกอีกว่า “เออใช่! ได้ยินว่าเครื่องประดับที่บุตรสาวบุญธรรมคนนั้นของเจ้าขายสวยมากเลย กลุ่มสตรีในวังหลังชอบของพวกนี้ ครั้งก่อนพาตัวมาที่อุทยานหลวงแล้ว แต่กลับถูกอ๋องสวรรค์พาตัวไป อ๋องสวรรค์ดูหน่อยว่าจะสะดวกเมื่อไร ให้บุตรสาวบุญธรรมของเจ้านำของมาที่อุทยานหลวง จะได้ให้กลุ่มผู้หญิงในวังหลังเห็นอะไรแปลกใหม่บ้าง”
“ในเมื่อบรรดาเหนียงเหนียงโปราดปราน ข้าน้อยก็จะไปเตรียมการทันที” โค่วหลิงซวีตอบ
“อืม!” ประมุขชิงพยักหน้า
เขาถึงขนาดเอ่ยปากเองแล้ว กลับไปโค่วหลิงซวีก็ย่อมต้องดำเนินการในทันที วันต่อมาก็ส่งถังเฮ่อเหนียนกับลูกสาวสองคนให้มาเรือนพักในอุทยานหลวงเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว
คนเพิ่งมาจะมาถึงประตูทางเข้าเรือนพัก อวิ๋นจือชิวก็หยุดฝีเท้ามองไปยังกลุ่มภูเขาที่อยู่รอบๆ นอกประตูแล้ว จากขอคำชี้แนะจากถังเฮ่อเหนียนว่า “ท่านอาถัง ไม่ทราบว่าที่นาหลวงอยู่ตรงไหนคะ?”
โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่ที่เดินตามอยู่ด้วยกันสบตากันแล้วยิ้ม ทั้งสองคือลูกสาวคนที่ห้าและหกของโค่วหลิงซวี โค่วหลิงซวีมีลูกชายสามคนก่อน ตอนหลังก็มีลูกสาวอีกสามคน ลำดับการเกิดเป็นระเบียบมาก โค่วอิงลูกสาวคนที่สี่ไม่ได้มา ที่จริงอวิ๋นจือชิวอายุมากกว่าลูกสาวสามคนของตระกูลโค่ว แต่เพื่อที่จะเติมเต็มฐานะ ให้เป็นเจ้าเจ็ดก็เป็นเจ้าเจ็ดแล้วกัน
โค่วเชี่ยนยิ้มหยอกพร้อมบอกว่า “น้องเจ็ดี่คิดถึงผู้ชายจนใจลอยไปหมดแล้ว เดี่ยวข้าจะต้องไปดูสักหน่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นหน้าตาเป็นยังไงกันแน่ ถึงทำให้เจ้าเจ็ดหลงใหลขนาดนี้ได้”
โค่วอวี่เอามือป้องปากหัวเราะคิกคัก
ถังเฮ่อเหนียนรู้ถึงความคิดของอวิ๋นจือชิว ตอนนี้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อถูกทำโทษแพร่ไปทั่วแล้ว นางรู้แล้วเช่นกัน เกรงว่าคงจะอยากไปดูหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย จึงพูดปล่อยใจด้วยเสียงเบาๆ ว่า “คุณหนูเจ็ดไม่ต้องห่วง เขาอยู่ทางนั้นไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ ถ้าพวกท่านแอบเจอกันก่อนแต่งงานจะไม่ค่อยหน้าฟังเท่าไร ตอนนี้อดทนไว้ก่อน รออีกไม่นานก็จะได้พบกันอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว”
ทางวังสวรรค์เพิ่งจะมีความเคลื่อนไหว ทางกองมังกรดำได้ข่าวให้มาต้อนรับ เหมียวอี้ที่กำลังฝึกวิชารีบวิ่งออกมาเช่นกัน วิ่งมาที่มุมหนึ่งของที่นาหลวง สวมเกราะเงินถือทวนเงินและยืนตรงไปทางนั้น
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็เห็นพาหนะหงส์มังกรบินร่อนอยู่ตรงขอบฟ้า กลุ่มหญิงงามแห่งวังหลังมากมายดุจปุยเมฆ มีทหารสวรรค์อารักขา มีเทพธิดาช่วยเสริมให้เด่น ลอยช้าๆ ไปยังที่ตั้งของพระตำหนักอุทยานราชันสวรรค์ เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดในใจว่า ไม่รู้ว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์กับเผ่าหงส์และมังกรที่อยู่ทางนี้ได้ติดต่อกันหรือเปล่า
พระตำหนักอุทยาน ทหารอารักขาอย่างเข้มงวด เสียงมังกรคำรามเคล้าเสียงหงส์
บนเกี้ยวมังกร ประมุขชิงกับราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินลงมาพร้อมกัน เดินเคียงข้างกันไปทางพระตำหนักอุทยานสูงตระหง่าน จ้านหรูอี้ลงจากเกี้ยวหงส์ ตามหลังราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์ไปแล้ว สนมนับหมื่นของวังหลังออกมาหมด มีแต่ยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากในโลกทั้งนั้น พวกนางสดใสเปล่งประกาย ติดตามอยู่ข้างหลังจ้านหรูอี้
ในชั่วขณะนั้น พระตำหนักอุทยานที่โอ่อ่าอลังการหลังนี้ก็เต็มไปด้วยยอดหญิงงามแล้ว ทุกคนได้แต่แอบทอดถอนใจ เมื่อลองได้เคยเห็นฉากนี้ภาพนี้แล้ว ต่อไปพอเห็นยอดหญิงงามในโลกมนุษย์อีกก็จะมองว่าเป็นผู้หญิงธรรมดา
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในเรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่วถูกเรียกให้เข้าเฝ้า พอมาถึงพระตำหนักอุทยานแล้ว ถังเฮ่อเหนียนก็ถูกกันไว้นอกพระตำหนักอุทยาน โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่เข้าวังเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว
ในสวนดอกไม้ที่มีทิวทัศน์งดงามอัศจรรย์ หญิงงามนับไม่ถ้วนงดงามยิ่งกว่าดอกไม้ พวกนางจับกลุ่มกระซิบกระซาบคุยกัน บนบัลลังก์ในศาลาหลักที่มีทางเดินยาว ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งอยู่เคียงกัน จ้านหรูอี้ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ส่วนสนมคนอื่นล้วนยืนอยู่นอกตำหนักหลัก
โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่ ส่วนใหญ่เหล่าสนมในวังเคยเห็นมาหมดแล้ว ส่วนฐานะของผู้หญิงอีกคนก็ไม่ต้องเดาเลย สายตาของหญิงงามนับไม่ถ้วนจ้องไปที่อวิ๋นจือชิว ในดวงตาของพวกนางบ้างก็ฉายแววอย่ากรู้อยากเห็น บ้างก็อิจฉาตาร้อน
สำหรับนางสนมกลุ่มนี้ ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวถูกผู้หญิงมากมายเท่าไรในใต้หล้าอิจฉา!
เกรงว่าในใต้หล้าคงจะมีคนรู้จักชื่อของกลุ่มสนมอย่างพวกนางไม่เยอะ ความงามของพวกนางเป็นเพียงสิ่งที่มีไว้ประดับวังหลังก็เท่านั้นเอง แต่หนิวโหย่วเต๋อที่เดือดดาลเพราะหญิงงามคนเดียวนั้น กลับทำให้ชื่อของอวิ๋นจือชิวดังสะท้านใต้หล้า จะต้องกลายเป็นตำนานในใต้หล้าแน่นอน ถ้ามีผู้ชายสักคนทำแบบนี้เพื่อตัวเองได้ เช่นนั้นก็ไมเสียแรงที่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิงในชาตินี้แล้ว
ตอนแรกทุกคนจินตนาการไว้ว่าอวิ๋นจือชิวจะเป็นประเภทที่สวยจนท้องฟ้าตะลึงพื้นดินสะเทือน นี่ก็เป็นสาเหตุที่กลุ่มสนมทั้งวังหลังพากันออกมาดู หลังจากได้เห็นหน้าของอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวก็หน้าตาเท่านี้เอง แต่งตัวก็บ้านนอกมาก แต่ผู้หญิงที่หน้าตาแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีค่าพอให้หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลห้าหมื่นไปทำศึกเลือดกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่เสียดายอนาคต สังหารคนไปหลายแสนเพื่อผู้หญิงคนนี้!
ในชั่วขณะนั้น สนมแสนสวนส่วนใหญ่ของวังหลังต่างก็รู้สึกว่าทำใจเชื่อได้ยาก มีคนไม่น้อยถึงขั้นแอบอิจฉาในใจ รู้สึกว่าความงามของอวิ๋นจือชิวสู้พวกนางไม่ได้ แต่กลับได้กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์แล้ว ผิดกฎธรรมชาติเกินไปจริงๆ!
เรื่องบางเรื่องก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าสาเหตุที่อ๋องสวรรค์โค่วรับอวิ๋นจือชิวเป็นบุตรสาวบุญธรรมก็เพราะว่าชอบหนิวโหย่วเต๋อ อยากจะดึงหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นพวกก็เท่านั้นเอง
มีคนไม่น้อยถึงขั้นคับแค้นใจว่า ‘อยู่ในยุคที่ไร้วีรบุรุษ คนไร้นามจึงกลายเป็นยอดบุรุษ'[1] รู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่ได้เข้าวังหลัง แล้วได้รู้จักสนิทสนมกับหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าอวิ๋นจือชิวคงจะไม่ได้เกิดหรอก ได้แต่ทอดถอนใจกับความวาสนาดีของอวิ๋นจือชิว
ตอนแรกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หน้านิ่งไม่ยอมยิ้ม สงสัยเช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวงามเลิศล้ำสะเทือนฟ้าสะเทือนดินหรือไม่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ทำให้หัวหน้าภาคยอมบังคับแต่งงานด้วยหรอก ทำไมหนิวโหย่วเต๋อจึงฆ่าคนจนเลือดนองเป็นแม่น้ำเพราะผู้หญิงคนนี้ นางรู้ว่าตัวเองไม่ได้สวย แต่ก็ดันได้อยู่ในตำแหน่งนี้ จิตใต้สำนึกนางไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่สวยเกินไปสักเท่าไร บวกกับที่ราชันสวรรค์มาที่นี่เองเพื่อจะเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้ ในใจนางก็ยิ่งรู้สึกเกิดความรู้สึกไม่พอใจแล้ว
แต่หลังจากได้เห็นอวิ๋นจือชิวแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อึ้งเล็กน้อย นางอยู่ที่วังหลังเห็นผู้หญิงที่งามเลิศล้ำมาจนชินแล้ว เมื่อเทียบกับสนมพวกนั้น ความงามของอวิ๋นจือชิวไม่นับว่ามากมายอะไรเลยจริงๆ นางมองซ้ายมองขวาดูปฏิกิริยาของกลุ่มนางสนมอีก แล้วก็มองไปบนใบหน้าอวิ๋นจือชิว ตอนนี้บนใบหน้านางเจือด้วยรอยยิ้มบางๆ บ้างแล้ว รู้สึกว่ามีหัวอกเดียวกัน ใครบอกล่ะว่าผู้หญิงจะต้องงามเลิศล้ำเท่านั้นถึงจะทำให้คนอิจฉาได้ ผู้หญิงเราจะมองกันที่ภายนอกไม่ได้ ต้องมองกันที่ภายใน!
เป็นเพราะหน้าตาของอวิ๋นจือชิว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้สึกดีกับอวิ๋นจือชิวขึ้นมาหลายส่วน
ประมุขชิงหรี่ตาจ้องประเมินอวิ๋นจือชิวเช่นกัน หลังจากเห็นหน้าตาของอวิ๋นจือชิวแล้วก็แปลกใจนิดหน่อย เจ้าลูกลิงมันหลับหูหลับตาก่อเรื่องเพื่อผู้หญิงคนนี้น่ะเหรอ?
แต่พอมองหลายครั้งก็พบว่าอวิ๋นจือชิวมีจุดที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ลักษณะท่าทางสุขุมเยือกเย็น เมื่ออยู่ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แสดงอาการหวาดกลัวลนลานเลยสักนิด ในลักษณะเฉพาะตัวมีมีเสน่ห์ที่เกิดจากความสุภาพ สูงส่ง ภูมิฐาน งามเย้ายวน ดิบเถื่อนรวมกัน เป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ
จ้านหรูอี้จ้องประเมินอวิ๋นจือชิวอย่างละเอียดเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะเห็นอวิ๋นจือชิวคนนี้ นางก็ไม่มีทางตามออกมาประสมโรงกับสนมกลุ่มนี้เลย หลังจากได้เห็นตัวจริงแล้วก็รู้สึกแปลกใจ นี่คือผู้หญิงที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมสละทุกอย่างโดยไม่เสียดายงั้นเหรอ?
ถ้าอวิ๋นจือชิวสวยข่มคนอื่นจริงๆ นางก็ยังเยือกเย็นได้หน่อย แต่ตอนนี้ในใจพรั่งพรูไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
“โค่วเชี่ยน โค่วอวี่ อวิ๋นจือชิว คารวะฝ่าบาท คารวะเหนียงเหนียง”
สามพี่น้องืนเรียงแถวนอกศาลาและคารวะพร้อมกัน
“เชี่ยนเอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์ นี่คือน้องสาวคนใหม่ของพวกเจ้าเหรอ?” ประมุขชิงยิ้มพร้อมเอ่ยถาม
“ตอบฝ่าบาท ใช่เพคะ” โค่วเชี่ยนกล่าว
ประมุขชิงเอียงหน้ามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แวบหนึ่ง เวลาที่กลุ่มผู้หญิงรวมตัวกัน ก็จะเป็นเวทีหลักของราชินีสวรรค์
คนมากมายขนาดนี้ ไม่มีอะไรต้องเปลืองคำพูดแล้วเช่นกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มพร้อมบอกว่า “ได้ยินว่าเครื่องประดับที่แม่นางอวิ๋นจำหน่ายนั้นงดงามประณีต นำออกมาให้พวกเราดูหน่อยเถอะ”
“ค่ะ!” อวิ๋นจือชิวหยิบกล่องใบเล็กอันงดงามที่เตรียมไว้หลายใบออกมาทันที โค่วเชี่ยนและโค่วอวี่คอยช่วยอยู่ข้างๆ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอียงหน้าบอกใบ้ กลุ่มเทพธิดาออกมาจากข้างซ้ายและขวาทันที โต๊ะยาวมาวางเรียงอยู่ในสวน ช่วยสามพี่น้องเปิดกล่องเครื่องประดับ เครื่องประดับในกล่องถูกวางเป็นขั้นบันไดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นกลุ่มเทพธิดาก็รีบถอยออกไป สามพี่น้องก็ยืนอยู่ด้านข้างของศาลาเช่นกัน
เมื่อเครื่องประดับที่งดงามเหล่านั้นเผยโฉมออกมา ก็ดึงดูดดวงตางามหลายคู่ที่อยู่รอบๆ ทันที
“ฝ่าบาท!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มพลางทำทายื่นมือเชิญ
“ดี ดูสักหน่อย” ประมุขชิงลุกขึ้นยืนเช่นกัน และไม่ลืมที่จะกวักมือเรียกจ้านหรูอี้ “สนมสวรรค์ มาดูด้วยกันสิ ดูว่ามีอันไหนที่ถูกใจมั้ย”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหลืองมองจ้านหรูอี้อย่างเย็นเยียบทันที ความรังเกียจในสายตานั้นยากจะปิดบัง นางตามหลังประมุขชิงไปแล้ว จ้านหรูอี้ก็ตามหลังทั้งสองอย่างเงียบๆ เช่นกัน
บนโต๊ะยาวแถวแล้วแถวเล่า มีเพียงสามคนที่เดินชมอยู่ระหว่างนั้น กลุ่มสนมที่อยู่รอบด้านได้แต่ชี้ไปยังเครื่องประดับที่อยู่ในกล่อง ตอนนี้ยังไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย ต่างก็รู้ว่าต้องรอให้ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์เลือกเสร็จก่อนจึงจะถึงคราวของพวกนาง ถ้าหยิบชิ้นที่ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์ชอบไปก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว
นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ พวกนางทำได้เพียงเลือกของเหลือ และในระหว่างพวกนางก็ยังมีคนที่เลือกได้เฉพาะของที่เหลือจากของที่เหลืออีกที กลุ่มผู้หญิงที่เลี้ยงไว้ในวังหลังพวกนี้ ยามปกติไม่มีงานอะไรทำ นอกจากสู้กันไปสู้กันมา โอ้อวดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นแล้วยังมีอะไรให้ทำอีก?
ประมุขชิงหยุดดิน หยิบปิ่นปักผมผีเสื้ออันหนึ่งออกมาจากกล่องตรงหน้า ผีเสื้อสีแดงที่สมจริงราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้สีเขียวมรกต สองสีที่ตัดกันสะดุดตามาก สีสันค่อนข้างสมจริง ถ้าไม่หยิบมาดูในมือคงนึกว่าของจริง หลังจากหยิบขึ้นมาดูให้แน่ใจแล้วว่าเป็นเพียงเครื่องประดับ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำเครื่องประดับให้เป็นแบบนี้จุดประสงค์อะไร?”
โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่รีบดึงแขนเสื้ออวิ๋นจือชิว แล้วทั้งสามก็รีบก้าวเข้ามาตรงหน้าประมุขชิง อวิ๋นจือชิวหยิบปิ่นปักผมที่สีคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันอันหนึ่งขึ้นมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นเล็กน้อย ทำให้เห็นผีเสื้อที่อยู่บนกิ่งไม้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที กระพือปีกบินวน แล้วก็กลับมาเกาะบนกิ่งไม้เหมือนเดิม
…………………………
[1] อยู่ในยุคที่ไร้วีรบุรุษ คนไร้นามจึงกลายเป็นยอดบุรุษ 时无英雄,使竖子成名 หมายถึงมีชื่อเสียงขึ้นมาได้เพราะโชคช่วย
บทที่ 1569 สนมสวรรค์เรียกพบ
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก แค่มองปราดเดียวประมุขชิงก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็มีจุดที่แปลกพิสดารแบบนี้อยู่ พอร่ายอิทธิฤทธิ์ศึกษาดูอย่างละเอียด ก็รู้วิธีการใช้แล้ว พอเขายกปิ่นปักผมในมือขึ้นมา ผีเสื้อสีแดงที่เกาะอยู่ด้านบนก็กระพือปีกบินทันที บินเบาๆ อยู่ระหว่างพวกเขา ดึงดูดสายตาทุกคนแล้ว
ประมุขชิงยื่นนิ้วไปรับให้ผีเสื้อมาเกาะพัก แล้วก็หัวเราะเบาๆ พอดีดนิ้วหนึ่งที ผีเสื้อก็ตกใจบินขึ้นมาอีก บินวนรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาเกาะบนกิ่งไม้สีเขียวมรกตเหมือนเดิม
คนรอบๆ เห็นแล้วรู้สึกแปลกใจอัศจรรย์ใจไม่หยุด ประมุขชิงมองดูปิ่นปักผมในมือซ้ำๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เป็นเครื่องประดับที่ประณีตงดงาม วันนี้ข้าได้เห็นของประเภทนี้เป็นครั้งแรก อืม! น่าสนใจ สวยงามดูดี”
พอได้ยินเขาบอกว่าสวยงามดูดี กลุ่มสนมก็จ้องเครื่องประดับในมือเขาอย่างตาลุกวาวทันที
ว่ากันว่าหอคอยใกล้น้ำมักได้พระจันทร์ ก่อน[1] สายตาประมุขชิงเพิ่งไปหยุดอยู่บนศีรษะจ้านหรูอี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับถือโอกาสก้าวเข้ามา แล้วยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย “ประทานเป็นรางวัลให้หม่อมฉันดีมั้ยเพคะ?”
นางเอ่ยปากต่อหน้าฝูงชนแล้ว ประมุขชิงเองก็รู้ว่านางไม่อยากโดนคนอื่นแย่งทำตัวเด่นเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่านางสนม เขาจึงยิ้มบางๆ พร้อมยื่นมือออกไป ปักปิ่นไว้บนมวยผมของนาง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงยหน้ายืดอก แล้วใช้มือลูบปิ่นปักผมบนยอดศีรษะเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาทรู้สึกว่าหม่อมฉันดูดีมั้ยเพคะ?”
พูดอะไรดีๆ ก็ไม่เสียหายอะไร ประมุขชิงยิ้มพลางพยักหน้า “มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ดูดี”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้หน้าได้ตาเต็มที่ทันที ชำเลืองสนมที่อยู่ทางซ้ายและขวาโดยจิตใต้สำนึก แล้วย่อเข่าคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ประมุขชิงโบกมือ บอกใบ้ว่าไม่เป็นอะไร แล้วกล่าวกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และจ้านหรูอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจของพวกนี้ แค่ดูไปอย่างนั้นเอง ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์เลือกเอาเองแล้วกัน” จากนั้นก็หันตัวไป เอามือไขว้หลังเดินชมเครื่องประดับในกล่องอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่ได้หยิบขึ้นมาอีก ไม่อย่างนั้นจะทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้หึงหวงได้ง่าย ดีไม่ดีที่วังหลังอาจจะมีการตายโดยไร้สาเหตุอีกหลายคน
ตลอดทางที่เดินดูนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่เบามือ พอรู้สึกว่าชิ้นไหนดีหรือดูดี ก็จะหยิบเอาไว้เสียเลย มีเทพธิดาเข้ามาช่วยถือไว้ เลือกไปเป็นร้อยชิ้น บางชิ้นสนมคนอื่นชอบพอดี ทำให้หลายๆ คนแอบแค้น
จ้านหรูอี้กลับหยิบไม่เกินสามครั้ง เลือกไปได้สามชิ้นก็หยุดแล้ว
หลังจากพวกเขาดูเสร็จแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมกวักมือเรียกสนมคนอื่นมาดู “ของสวยใช้ได้เลย น้องๆ มาดูสิ”
เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้แล้ว ก็มีกลุ่มผู้หญิงรีบเดินเข้ามาในนั้นทันที ลำดับการดูทำให้มองออกถึงฐานะอาวุโส ถ้าได้รับความโปรดปรานที่วังหลังก็จะมีฐานะหน่อย ข้างหลังไม่มีใครกล้าข้ามหน้าข้ามตา ตามเลือกของที่เหลืออยู่ข้างหลังน่ะถูกแล้ว
ตอนนี้มีเสียงหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริง หยิบเครื่องประดับมาช่วยกันสวมใส่แล้ววิจารณ์กันว่าสวยหรือไม่สวย
ครั้งนี้อวิ๋นจือชิวนำเครื่องประดับมาเยอะกว่าคนที่อยู่ที่นี่ แต่สนมบางคนเห็นแล้วเดือดดาล รอจนคนข้างหน้าเลือกไปหมดแล้ว จะให้ตัวเองไปตามเก็บเศษขยะรึไงล่ะ? จึงไปคุยเล่นอยู่ข้างๆ เสียเลย ขี้คร้านจะเข้ามาประสมโรงด้วย
แต่จะทำแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน มีบางคนชำเลืองมองพวกนางแวบหนึ่ง นี่กำลังรังเกียจที่พวกเราทำตัวธรรมดาสามัญเหรอ? พวกเจ้ากำลังวางมาดสูงส่งใช่มั้ย?
ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน นางส่งสายตาบอกใบ้ให้สนมคนอื่นจำชื่อสนมพวกนั้นเอาไว้แล้ว กลับไปต้องให้บทเรียนพวกนางสักหน่อย
ประมุขชิงเพิ่งจะกลับมานั่งในศาลา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตามมานั่งข้างๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาท ท่านดูพวกน้องๆ สิเพคะว่าดีใจขนาดไหน เครื่องประดับสวยงามประณีตแบบนี้พบได้น้อยมาก ตามความเห็นของหม่อฉัน ไม่สู้ให้บุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์หยุดกิจการ แล้วนำของมาถวายเข้าวังตำหนักสวรรค์วังหลังอย่างเดียวเลยดีมั้ยเพคะ?”
ประมุขชิงตอบเสียงต่ำว่า “แบบนี้ไม่เหมาะสมสมกระมัง เจ้าตัวเปิดร้านทำการค้า แบบนี้ไม่เท่ากับตัดขาดธุรกิจของคนื่อนเหรอ ถ้าทุกคนอยากได้จริงๆ ต่อไปให้นางนำมาส่งให้อีกก็ได้”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จงใจกลอกตามองเขา “ทำไมฝ่าบาทไม่เข้าใจเพคะ ถ้าเครื่องประดับที่น้องๆ ในวังหลังสวมใส่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปข้างนอก แบบนั้นยังจะมีความหมายอะไรล่ะเพคะ? แบบนั้นพวกน้องๆ จะไม่เสียเกียรติเหรอ!”
ประมุขชิงเข้าใจในทันที สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหน้าศักดิ์ศรีอันจอมปลอมของผู้หญิง แต่ก็ถามอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “วังหลังมีอยู่แค่ไม่กี่คน แบบนี้จะไม่ทำลายธุรกิจของนางเหรอ” ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง เขายังสนใจว่าคนในใต้หล้าจะมองเขาอย่างไร
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า “ชดเชยราคาให้ เพิ่มราคาให้ ไม่ทำให้นางขาดทุนก็พอแล้ว ฝ่าบาทคงไม่เสียดายเงินนี้เพื่อพวกน้องๆ หรอกใช่มั้ยเพคะ? หลังจากทำเป็นของบรรณาการแล้ว ในภายหลังยังทำเป็นรางวัลประทานให้ฮูหยินบรรดาศักดิ์ได้”
ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าไปปรึกษากับซ่างกวนก็แล้วกัน”
“งั้นหม่อมฉันจะถือว่าฝ่าบาทตอบตกลงแล้วนะเพคะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว
ประมุขชิงชี้นาง แล้วยิ้มพลางส่ายหน้า ทำท่าเหมือนหมดหนทางกับนางแล้ว นับว่าตอบตกลงก็แล้วกัน เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มนางสนม เขาไว้หน้านายหญิงของวังหลังเต็มที่
พอหันกลับมา เขาก็มองไปยังจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เหมือนสนมรักจะมีเรื่องอะไรในใจนะ?”
จ้านหรูอี้ค่อนข้างเหม่อลอยจริงๆ พอได้ยินคำถามก็ได้สติกลับมา นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “หม่อฉันได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อโดนทำโทษอยู่ในที่นาหลวง หม่อมฉันอยากจะไปดูเขาสักหน่อยเพคะ” นางไม่ปิดบังความคิดตัวเองเลยสักนิด นางคิดแบบนี้จริงๆ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วหงุดหงิดทันที แล้วเตือนว่า “สนมสวรรค์ กล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง? ตอนนี้เจ้าเป็นสนมของฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนจะเสนอหน้าไปเจอผู้ชายได้ตามใจชอบ!”
ประมุขชิงยกมือขึ้นห้ามนาง ไม่ให้นางพูดต่ออีก แล้วถามจ้านหรูอี้อย่างสงสัยว่า “สนมรัก จะไปหาเขาทำไม?”
จ้านหรูอี้ตอบอย่างสุขุมว่า “ถึงยังไงเขาก็เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของหม่อมฉัน ตอนนี้กำลังถูกทำโทษ หม่อมฉันเลยอยากไปเห็นสักหน่อยว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับฟังได้ความหมายอื่น แสยะยิ้มบอกว่า “สนมสวรรค์ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเคยมีความค้นต่อกัน แต่ตอนนี้เจ้าเป็นสนมสวรรค์ บุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ ที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป มาคิดเล็กคิดน้อยอีกไม่รู้สึกว้ากินไปหน่อยเหรอ?”
ประมุขชิงก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ถึงกล่าวเสียงต่ำว่า “สนมรักอยากจะไปดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก…”
“ฝ่าบาท…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องการจะเถียงทันที
ประมุขชิงยกมือห้ามอีก แล้วจ้องจ้านหรูอี้พร้อมพูดต่อ “ถึงยังไงเขาก็กำลังจะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว จะไม่ไว้หน้าอ๋องสวรรค์โค่วสักหน่อยคงไม่ได้ เจ้าไปดูสักหน่อยก็ได้ แต่อย่าทำอะไรเกินเลย ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ท่านตาเจ้าคงจะเป็นคนแรกที่ต้องมาขอโทษถึงที่ ถึงตอนนั้นแม้แต่ข้าก็ช่วยพูดให้เจ้าไม่ได้ เข้าใจมั้ย?”
ที่จริงจ้านหรูอี้แค่อยากจะไปเจอเหมียวอี้เฉยๆ อยากจะคลายความสงสัยบางอย่างในใจ นางไม่กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดหรือไม่ ดังนั้นจึงพูดออกมาตรงๆ แต่พอได้ยินสิ่งที่ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์พูด ก็เหมือนจะคิดว่านางจะไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อ
นางก็ขี้คร้านจะอธิบายเช่นกัน โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมขอตัว “หม่อมฉันขอตัว!”
ประมุขชิงโบกมืออนุญาตแล้ว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใบหน้าเจือด้วยความโกรธ หลังจากมองตามจ้านหรูอี้จากไปไกลแล้ว ก็หันขวับแล้วถามว่า “ฝ่าบาท ถ้าต่อไปทุกคนทำแบบนางบ้าง แต่กฎของวังหลังจะยังมีอยู่มั้ยเพคะ?”
ประมุขชิงชี้ไปที่กลุ่มสนมด้านนอก “ถ้าทั้งวังหลังสงบนิ่งเหมือนสนมสวรรค์หมด เช่นนั้นวังหลังก็จะสงบแล้ว คงมีความขัดแย้งอะไรอีก”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เถียงว่า “หม่อมฉันยังมองไม่ออกเลยว่านางสงบนิ่งตรงไหน คนที่ดึงพรรคพวกได้ร้ายกาจที่สุดในวังหลังก็คือนางแล้ว”
“เฉิงอวี่ ในสายตาเจ้า ข้าเป็นคนตาบอดหรือหูหนวกเหรอ?” ประมุขชิงจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ
พอรู้ว่าเขาโมโหแล้ว ท่าทีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อ่อนลงทันที เม้มปากเล็กน้อยและไม่กล้าพูดอะไรอีก
หยินซวง ไป๋เสวี่ย หญิงรับใช้ประจำตัวคอยติดตาม ทั้งยังมีองครักษ์วังสวรรค์อีกหลายคนที่ทำหน้าที่คุ้มกัน คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงจากท้องฟ้า มาเหยียบลงตรงมุมหนึ่งของที่นาหลวง
ในผืนนาและผืนป่า พืชพรรณธัญญาหารเติบโตอย่างน่าดีใจ ใบหญ้าเชียวชอุ่มปลิวกระเพื่อมตามสายลม เทพธิดาที่คอยดูแลที่นี่โดยเฉพาะเดินไปเดินมาระหว่างนั้น ผักผลไม้ที่ปลูกไว้เหล่านี้ไม่ได้มีประดับไว้เฉยๆ เนื่องจากราชันสวรรค์เป็นคนนำ สิ่งต่างๆ ที่ปลูกไว้ที่นี่ต้องถูกส่งเข้าไปเป็นอาหารในวังสวรรค์ ไม่มีทางปล่อยทิ้งให้สูญเปล่า
“สนมสวรรค์!” เทพธิดาหลายคนกล่าวทำความเคารพร้อมกัน
นานแล้วที่ไม่ได้เห็นป่าเขียวที่ติดดินแบบนี้ จ้านหรูอี้ที่อุดอู้อยู่ในตำหนักงามมาหลายปีค่อนข้างมองเหม่อ แววตาค่อนข้างพร่าเลือน นางยื่นนิ้วเรียวดุจหยกออกมา แล้วลูบไล้เบาๆ สัมผัสได้ถึงความลื่นของใบไม้ที่อยู่บนเล็บ ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงจึงมาทำนาที่นี่เป็นครั้งคราว ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเป็นทหารเฝ้าอุทยานหลวง นางก็ยังรู้สึกขำนิดหน่อย ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้ว ว่าเมื่อมาถึงที่นี่ ถึงจะได้ค้นพบว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่
นางหดนิ้วกลับไปกลับมา แล้วก็แบฝ่าใอขึ้นตรงหน้าอีก ขาวหมดจด ละเอียดอ่อน เกลี้ยงเกลา…นางมองซ้ำไปซ้ำมา ก่อนหน้านี้มือข้างนี้เคยกำอาวุธทำศึกต่อสู้ เต็มไปด้วยความฮึกเหิมและพลังชีวิต แต่ตอนนี้กลับมีประโยชน์มากที่สุดก็แค่ใช้เปลื้องเสื้อผ้าเผยร่างกายตัวเองเพื่อมอบความสุขให้คนอื่น
หยินซวงชี้ไปยังพื้นสีเขียวผืนหนึ่งตรงหน้า พร้อมบอกว่า “เหนียงเหนียง ที่นาดีสิบหมู่แบ่งให้หนักบูรพาของพวกเราเพคะ ยามปกติล้วนเป็นพวกนางที่ช่วยจัดการให้” นางชี้ไปยังเทพธิดาหลายคนที่อยู่ด้านข้าง
จ้านหรูอี้ได้สติกลับมา แล้วบอกว่า “ตบรางวัล!”
ไป๋เสวี่ยหยิบแหวนเก็บสมบัติหลายวงออกมาแจกจ่ายให้เหล่าเทพธิดาทันที หลังจากพวกนางกล่าวขอบคุณแล้วเห็นว่าไม่มีงานอะไร ก็ถอยออกไปแล้ว
ขณะเดินเล่นช้าๆ อยู่ระหว่างหญ้าเขียว นางก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ เห็นทหารยามเฝ้าตำหนักสวรรค์กระจายตัวกันหร็อมแหรม แต่กลับไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋อ จึงเอียงหน้าถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อถูกลงโทษให้มาเฝ้าที่นี่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นล่ะ? ไปเรียกเขามาพบข้า”
แน่นอนว่านางไม่เห็นอยู่แล้ว พอเหมียวอี้เห็นนางมาแล้ว ก็รีบหลบเข้าไปในป่าเล็กใกล้ๆ ทันที หรือพูดได้อีกอย่างว่ากลัวผู้หญิงคนนี้จะมาล้างแค้น หรือพูดได้อีกว่าไม่อยากเจอหน้านาง แต่จนใจที่อีกฝ่ายเอ่ยชื่อเรียกเขาไปพบ อยากจะหลบแต่ก็หลบไม่พ้น
แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งเหมือนจะรู้ว่าเหมียวอี้ยืนเฝ้ายามอยู่ที่ไหน จึงถลันตัวไปข้างกายทหารยามคนหนึ่งที่เฝ้าผืนนา แล้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อล่ะ?”
ทหารคนนั้นมองซ้ายมองขวาครู่หนึ่ง แล้วพึมพำอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “เมื่อครู่นี้ยังเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลย อาจจะมีธุระออกไปแล้วมั้ง”
แม่ทัพเกราะแดงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหนิวโหย่วเต๋อทันที หายไปไหนแล้วล่ะ?
เขากับหนิวโหย่วเต๋อเคยดื่มสุราด้วยกันหลายครั้ง นับว่าเป็นสหายที่เรียกพี่เรียกน้องกันแล้ว
เหมียวอี้ถามกลับมาว่า : เมื่อเรื่องอะไรเหรอ?
แม่ทัพเกราะแดง : รีบมาที่นาหลวง สนมสวรรค์เรียกพบเจ้า
เหมียวอี้เครียดทันที : พี่ใหญ่กาน ข้าเป็นทหารยศต่ำสุด ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น สนมสวรรค์จะเรียกข้าทำไม? ผู้บังคับการกองห้าของพวกเราก็อยู่ใกล้ๆ มีอะไรก็ไปหาเขาแล้วกัน
แม่ทัพเกราะแดง : สนมสวรรค์เอ่ยชื่อเจ้า จะให้ข้าไปหาผู้บังคับการกองห้าของพวกเจ้าทำไมล่ะ รีบโผล่หัวออกมา อย่าชักช้าจนหาเรื่องใส่ตัวเอง
พอเขาเอียงหน้ามา ก็เห็นเหมียวอี้ถลันตัวออกมาจากป่าเล็กที่อยู่ไม่ไกลแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามปนขำว่า “เจ้าคงไม่ได้หลบไปขี้ในป่าหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้กลอกตามองบน เมื่อเห็นข้างกายมีทหารคนอื่นด้วย ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถามว่า “พี่ใหญ่กาน สนมสวรรค์มาหาข้าเพราะเรื่องอะไร?”
แม่ทัพเกราะแดงตอบว่า : “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องในอดีตไม่ใช่เหรอ? ความกล้าที่เอาทัพห้าหมื่นไปสู้กับทัพหนึ่งล้านหายไปไหนแล้วล่ะ? ไม่ว่าจะเป็นโชคหรือหายนะก็หลบไม่พ้น เรียกชื่อเจ้าแล้วเจ้าก็หลบไม่พ้น ไปอย่างสง่าผ่าเผยหน่อย ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วนะ นางจะฆ่าเจ้าเชียวเหรอ? อย่างมากก็ทำให้เจ้าลำบากนิดหน่อยเท่านั้นเอง อีกประเดี๋ยวตอนที่ลงมือ ทุกคนก็แผนอยู่ในใจแล้ว เจ้าอย่าลืมร้องครวญครางหน่อยล่ะ อย่าทำให้พวกเราลำบาก”
…………………………
[1] หอคอยใกล้น้ำมักได้พระจันทร์ ก่อน 近水楼台先得月 หมายถึง มือใครยาวสาวได้สาวเอา
บทที่ 1570 รอวันที่จะเข้าใจ
ร้องครวญครางหน่อยหมายความว่ายังไง? เหมียวอี้โดนเจ้าหมอนี่ปั่นเสียจนใจตุ้มๆ ต่อมๆ ถามว่า “สนมสวรรค์จะลงมือกับข้าเหรอ?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?” แม่ทัพเกราะแดงถาม
“งั้นที่ท่านให้ข้าร้องครวญครางหน่อยหมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถาม
แม่ทัพเกราะแดงตอบว่า “มีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเคยมีเรื่องกับสนมสวรรค์ ข้าหวังดีให้เจ้าเตรียมใจไว้ก่อน เจ้าไม่รับน้ำใจใช่มั้ย? อย่าชักช้า สนมสวรรค์มองมาแล้ว…”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วมองไป เป็นอย่างที่คาดไว้ ตรงจุดไกลๆ มีผู้หญิงที่กระโปรงปลิวพลิ้วตามสายลกำลังหันหน้ามองมาทางนี้
ร่างกายโซเซทันที แม่ทัพเกราะแดงผลักเขาหนึ่งที ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงกัดฟันตามอีกฝ่ายเหาะขึ้นฟ้าไป
หลังจากทั้งสองเหยียบลงบนพื้น แม่ทัพเกราะแดงก็กุมหมัดคารวะ “รายงานสนมสวรรค์ พาหนิวโหย่วเต๋อมาแล้วขอรับ” พูดจบก็ถอยออกไปด้านข้าง
เหมียวอี้ตามเข้ามากุมหมัดคารวะ “คารวะสนมสวรรค์!”
“หนิวโหย่วเต๋อ ยังจำข้าได้รึเปล่า?” จ้านหรูอี้ถามเสียงเรียบ
หยินซวงกับไป๋เสวี่ยจ้องประเมินเหมียวอี้อย่างละเอียด เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เห็นหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังในระยะใกล้อย่างเป็นทางการ สายตาดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไร เพราะรู้มาก่อนแล้วว่าเหมียวอี้เคยล่วงเกินเจ้านายของพวกนาง และคิดว่าเจ้านายของพวกนางมาเพื่อคิดบัญชีกับเหมียวอี้เช่นกัน สาเหตุรองก็เป็นเพราะรู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้โง่ไปหน่อย อ๋องสวรรค์อิ๋งตั้งใจดึงตัวมาแก้ไขความบาดหมางใจกันในอดีต แต่เจ้าดันไปขอพึงพาอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาเหมือนอย่างวันนี้เหรอ
แม่ทัพเกราะแดงหลายคนที่อยู่ข้างๆ แอบส่งสายตาให้กัน ทำท่าเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ต่างก็ฟังออกถึงน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของสนมสวรรค์แล้ว เดาว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะซวยแล้ว เริ่มครุ่นคิดแล้วว่าอีกระเดี๋ยวจะลงมือยังไงให้ปรานี
ในช่วงเวลานี้ พวกแม่ทัพใหญ่ทั่วไปที่เฝ้าวังสวรรค์แทบจะเคยดื่มสุรากับเหมียวอี้มาหมดแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม่ทัพใหญ่พวกนี้ไม่มีใครด่าเหมียวอี้ เรื่องที่เป็นฝ่ายมาขอดื่มสุราถึงที่และทำความรู้จักก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ สำหรับเหมียวอี้ นี่คงจะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายหลังจากที่โดนลดตำแหน่งแล้ว
“…” เหมียวอี้เงยหน้าอย่างงุนงง เผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้อย่างแท้จริงแล้ว ในชั่วพริบตานี้ เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา ตรงหน้านี้คือจ้านหรูอี้แท้ๆ แต่กลับไม่ค่อยเหมือนจ้านหรูอี้แล้ว
ชั่วพริบตานั้นอารมณ์ความคิดของเขาย้อนไปถึงภาพที่เจอกับจ้านหรูอี้ครั้งแรก ภาพในปีนั้นเหมือนจู่ๆ ก็ชัดเจนขึ้นในหัวเป็นพิเศษ ตอนนั้นก็สบตากันแบบนี้เช่นกัน
นั่นเป็นตอนที่กำลังพลผู้เข้าร่วมทดสอบรวมตัวกันก่อนเข้าแดนอเวจี ฝนตกหนักมาก ใต้ชายคาเพิงมีน้ำฝนหยดไม่หยุด ท่ามกลางสายฝนมีผู้หญิงรูปร่างสูงเดินย่ำโคลนเข้ามาเพียงลำพัง ใบหน้าที่อยู่ใต้เกราะหัวงดงามราวภาพวาด องอาจกล้าหาญ เต็มไปด้วยพลังอันมีชีวิตชีวา หยิ่งทระนง ดวงตางามที่เป็นประกายมีพลังมองไปรอบๆ แล้วมาหยุดอยู่บนตัวเขา ผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี พอเอ่ยปากก็ถามทันทีว่า “เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” เหมียวอี้แทบจะลืมว่าตัวเองตอบไปว่าอะไร ผู้หญิงคนนั้นกระแทกเสียงบอกว่า “คนเปิดเผยย่อมไม่ทำเรื่องลับๆ หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ เมื่อเข้าไปในนรกแล้ว เข้าจะเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”
ภาพนั้นเปลี่ยนเข้ามาเป็นภาพในห้องอย่างรวดเร็ว เป็นผู้หญิงคนนั้นเช่นเดียวกัน แต่กลับยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างแล้ว นางถอดเสื้อผ้าท่อนบน เผยร่างกายท่อนบนที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด ขอร้องวิงวอนเขาในขณะที่ตัวสั่น บอกว่าไม่อยากเข้าไปเป็นสนมในวังหลัง ขอร้องเขาด้วยฐานะต่ำต้อยเป็นพิเศษ ขอให้เขาพานางไป
ตอนที่เขาปฏิเสธ เขาเห็นกับตาว่าในดวงตาของผู้หญิงคนนี้ฉายแววสิ้นหวังขนาดไหน นั่นเหมือนความสิ้นหวังที่เคยรู้จักมาก่อน เหมือนเขาเคยเห็นตอนที่โดนขังอยู่ในกาหลอมปีศาจเมื่อหลายปีที่แล้ว นึกไม่ถึงว่าตอนนั้นจะเกิดขึ้นอีก ดังนั้นตอนที่หันตัวไปเขาปวดใจนิดหน่อย ตอนที่สูญเสียไปครั้งก่อนเขาไม่มีความสามารถที่จะช่วยได้ ทว่าการสูญเสียครั้งนี้ เขามีความสามารถแล้วแต่กลับสะบัดแขนเสื้อหนีเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ตอนหลังได้เห็นผู้หญิงคนนี้นั่งเกี้ยวหงส์อย่างมีหน้ามีตา กลายเป็นสนมสวรรค์หรูอี้ผู้สูงส่งแล้ว
หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยได้เห็นอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้ แต่ในตอนนี้ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปจนเขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เรือนร่างยังคงสูงระหง แต่จ้านหรูอี้กลับไม่เหมือนจ้านหรูอี้คนนั้นในอดีตอีกแล้ว ไม่มีแล้วใบหน้างามดุจภาพวาดใต้เกราะหัว ไม่มีแล้วความองอาจห้าวหาญยามสวมเกราะรบ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความหยิ่งทระนงด้วย ดวงตางามที่เป็นประกายมีพลังเปลี่ยนเป็นเงียบเหงา คมความสามารถเปลี่ยนเป็นสุภาพสงบเสงี่ยม
สวมชุดกระโปรงยาวผ้ามุ้งบางสีเงิน ตรงเอวคาดผ้ารัดจนเห็นเอวที่เล็กบาง แสดงให้เห็นหน้าอกที่อิ่มเอิบ เผยเค้าโครงเรือนร่างที่สูงระหงทรงเพรียว บนมวยผมปักเครื่องประดับสีสันแสบตา ตรงหูใส่ต่างหู หน้าอกห้อยสร้อยคอ บนตัวห้อยเครื่องประดับเอว ก่อนหน้านี้ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะถอดเกราะรบแล้ว แต่ก็ไม่เคยสวมเครื่องประดับพวกนี้
จ้านหรูอี้ที่เคยตะโกนว่าจะสู้ตายกับเขาหายไปแล้ว นางเหมือนผู้หญิงแท้ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เปลี่ยนตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอย่างไร คาดว่าคงจะมีชีวิตสุขสบายอยู่ในวังสวรรค์ ใช้ชีวิตที่มีเกียรติ .ถึงได้บ่มเพาะให้กลายเป็นแบนี้ แต่เขาก็รู้ว่านิสัยอย่างนางไม่เหมาะกับวังสวรรค์ แต่กลับต้องอยู่ในกำแพงวังที่สูงส่งนั่นตลอดไป
ในใจรู้สึกปวดแปลงอย่างบอกไม่ถูก เขาเม้มริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “คารวะสนมสวรรค์!” เขาไม่ได้ตอบว่ายังจำนางได้หรือไม่
ไม่ตอบงั้นเหรอ? ดวงตางามของจ้านหรูอี้จ้องปฏิกิริยาของเขา ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง สายตานางกวาดมองเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ แล้วยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวแดกดัน “ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบ! ถ้าขาจำไม่ผิด เจ้าโดนลดยศเป็นครั้งที่สองแล้วสินะ?”
“ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยตอบ ตอนทดสอบที่แดนอเวจีจบ เขาก็โดนลดยศไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้านับตอนอยู่ที่พิภพเล็กด้วย นี่ก็ไม่ใช่แค่ครั้งที่สองแล้ว
จ้านหรูอี้บอกว่า “คนอื่นยิ่งอยู่นานยิ่งยศใหญ่ แต่เจ้ากลับยศน้อยลงเรื่อยๆ จากแม่ทัพสองแถบกลายเป็นทหารสวรรค์หนึ่งแถบยศต่ำสุด เจ้าคงเป็นคนเดียวของตำหนักสวรรค์”
เหมียวอี้ตอบว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะทหารผู้น้อย…” จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองไม่เหมาะจะเรียกแทนตัวเองว่าทหารผู้น้อย แม้แต่คำว่าข้าน้อยก็ยังมีสิทธิ์ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีแม้แต่ตำแหน่งขุนนาง ระดับต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไรแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นตอบว่า “ล้วนเป็นบทลงโทษที่ข้าน้อยสมควรได้รับ!”
จ้านหรูอี้จ้องสังเกตดวงตาของเขา แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนนี้ข้าสูงส่งเป็นสนมสวรรค์ ส่วนเจ้าเป็นเพียงทหารเล็กๆ เห็นข้าแล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
แม่ทัพเกราะแดงข้างๆ ส่งสายตาให้กันอีก หยินซวง ไป๋เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงแล้ เหมือนสนมสวรรค์ต้องการจะทำให้หนิวโหย่วเต๋อลำบากใจ
เป็นเพราะธรรมเนียม เหมียวอี้ไม่กล้ามองหน้านางตรงๆ ได้ก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบว่า “ไม่บังอาจเปรียบเทียบกับกับสนมสวรรค์”
จ้านหรูอี้หันตัว แล้วเดินรับลมเข้าไปในทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม “ไม่เจอกันหลายปี เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถอะ” นางก้าวเบาๆ เดินบนหญ้าเขียว ชุดกระโปรงปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม
เดินเล่นกับสนมสวรรค์ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? เหมียวอี้ลังเล แต่หยินซวง ไป๋เสวี่ยกลับยื่นมือเชิญอย่างไม่เกรงใจ “เชิญ!”
เหมียวอี้ถึงได้กัดฟันเดินตามหลังไป แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ชุดกระโปรงบนตัวจ้านหรูอี้กำลังปลิวตามสายลม เขาไม่สะดวกจะสัมผัสกับเสื้อผ้าของสนมสวรรค์
หยินซวง ไป๋เสวี่ยเดินตามหลัง แม่ทัพเกราะแดงหลายคนติดตามไปด้วย
แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะหันกลับมาสั่งว่า “ไม่ให้พวกเจ้าตามมา ข้าจะเดินกับเขาตามลำพัง”
หยินซวง ไป๋เสวี่ยอึ้งทันที แม่ทัพเกราะแดงหลายคนงุนงง
“เหนียงเหนียง ไม่เหมาะสมเพคะ!” หยินซวงรีบตะโกนบอกอย่างร้อนรน สนมสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยเดินเล่นเพียงลำพังกับผู้ชาย แบบนี้มีอย่างที่ไหน?
แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งกมหมัดคารวะเช่นกัน “เหนียงเหนียง พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มารักษาความปลอดภัย ไม่กล้าอยู่ไกลขอรับ!”
พวกเขากังวลจริงๆ ถ้าสนมสวรรค์ต้องการจะล้างแค้นแล้วยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อโต้ตอบล่ะ อยู่ห่างกันไกลถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยไม่ทัน ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับสนมสวรรค์จริงๆ เกรงว่าหัวของพวกเขาก็จะร่วงลงพื้นเช่นกัน
เหมียวอี้เองก็ตกใจเช่นกัน เดินเล่นกับสนมของราชันสวรรค์สองต่อสองงั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน? เขารีบหยุดเดินแล้วกุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียง หากมีอะไรจะกำชับ ผู้น้อยจะล้างหูรอฟัง” ความหมายในคำพูดก็คือคุยกันตรงนี้ก็พอแล้ว
“ข้าจะพูดอีกครั้งนะ ข้าจะเดินกับเขาตามลำพัง มีเรื่องจะถามเขานิดหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องตามมา!” จ้านหรูอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเดินต่อไปข้างหน้า
ในเมื่อนางต้องการจะทำแบบนี้ คนอื่นๆ จะทำอย่างไรได้ล่ะ?
เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงรักษาระยะห่าง เดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เมื่อเดินไปบนเนินเล็กๆ ทีมีหญ้าเขียวชอุ่มดุจฟูก จ้านหรูอี้หยุดยืนอยู่บนนั้น ชุดกระโปรงปลิวพลิ้วตามสายลม
เหมียวอี้ยืนอยู่ข้างล่างเนินนั้น รักษาระยะห่างไว้ตลอด
จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างบนทอดสายตามองฟ้าดิน แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “อวิ๋นจือชิวน่ะ ข้าเคยเห็นมาแล้ว”
“…” เหมียวอี้เงยหน้ามองอย่างงงงัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
“ว่ากันตามจริง หลังจากได้เห็นนางแล้ว ข้าก็มีเรื่องที่อดไม่ได้ที่จะถามเจ้า”
“ผู้น้อยจะตั้งใจฟังขอรับ”
“ผู้น้อยเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อที่ข้ารู้จัดทำไมกลายเป็นคนต่ำต้อยขนาดนี้ไปได้ล่ะ? หนิวโหย่วเต๋อที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งราชสำนักไปไหนแล้ว? ทหารสวรรค์หนึ่งแถบ นี่คืออนาคตที่เจ้าอยากได้หลังจากทิ้งข้าไปเหรอ?” จ้านหรูอี้หันตัวมา ก้มมองเขาจากที่สูง “ดังนั้นข้าก็เลยคิดไม่ตก แค่แม่หม้ายคนหนึ่ง ข้ามองไม่ออกว่านางมีอะไรอะไรนัก และไม่เห็นว่านางจะดีกว่าข้าสักเท่าไรด้วย…เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป ข้าจะไม่เอาเรื่องอีก ข้าแค่รู้สึกฉงนใจกับเรื่องในอดีต เจ้าสามารถทำเพื่อแม่หม้ายคนหนึ่งได้ขนาดนี้ ก็แปลว่เจ้าไม่กลัวการก่อเกิดเรื่องและไม่แยแสอนาคตเลย ตอนนั้นเจ้าปฏิเสธข้าทำไม หรือว่าข้าแย่กว่าแม่หม้ายคนนั้น?”
เมื่อได้ยินนางบอกว่าจะไม่เอาเรื่องในอดีต เหมียวอี้ก็แอบโล่งใจ “เรื่องบางเรื่องก็พูดได้ไม่ชัดเจนขอรับ”
“เป็นเพราะข้าเคยหาเรื่องเจ้าหลายครั้งเหรอ เจ้าก็เลยเกลียดข้า?” จ้านหรูอี้ถาม
“มิบังอาจ!” เหมียวอี้ตอบ
จ้านหรูอี้บอกอีกว่า “เรื่องนี้ทำให้ข้าสงสัยมาหลายปี ข้าแค่อยากรู้คำตอบจะได้สงบใจ ข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น ตรงนี้ไม่มีคนนอก เจ้ากับข้าพูดกันตรงๆ ได้”
เหมียวอี้พยักหน้าถาม
“ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นได้อีกครั้ง ให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้าจะพาข้าไปหรือเปล่า?” จ้านหรูอี้ถาม
เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็กล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ไม่ขอรับ!”
จ้านหรูอี้ถาม “เพราะอะไร? ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร บอกเหตุผลที่แท้จริงกับข้า”
เหมียวอี้กล่าวตอบช้าๆ “เหนียงเหนียงเข้าวังก็เพราะเหนียงเหนียงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ที่หนิวปฏิเสธก็เพราะหนิวมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน”
“ข้างหลังข้ามีความรับผิดชอบต่อตระกูลอยู่ ข้างหลังเจ้ามีความรับผิดชอบอะไร? เพื่อลูกน้องเก่าพวกนั้นของเจ้าเหรอ? ศึกน่านฟ้าระกาติงเจ้าทำลูกน้องตายไปตั้งเท่าไรล่ะ? เพื่ออนุภรรยาคนนั้นของเจ้าเหรอ? เจ้าสามารถพานางไปด้วยกันได้เลย เจ้าก็รู้ว่าข้าจะตอบตกลง หรือไม่อย่างนั้น เจ้าก็หวังจะให้ข้าเข้าหวังใจจะขาดแล้ว” จ้านหรูอี้กล่าว
เหมียวอี้รีบตอบว่า “ไม่ขอรับ! เป็นเหตุผลที่ข้าเพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ ในภายหลังเหนียงเหนียงอาจจะเข้าใจ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะรอแล้วกัน รอวันที่จะเข้าใจ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น