คัมภีร์วิถีเซียน 1562-1563
ตอนที่ 1562 จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬ
“ต่อให้ลงมือ แต่ก็ไม่ใช่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง พลังยุทธ์ของพวกเราสองคนเท่ากับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง แต่ตอนที่บรรลุระดับได้อาศัยเคล็ดวิชาลับของเหล่าอาวุโสสิบกว่าคนผลัดกันบรรจุเข้าร่าง ถึงได้โชคดีทะลวงจุดคอขวดได้ แต่ในด้านจิตสัมผัสและเคล็ดวิชานั้นกลับสู้ไม่ได้ หากไม่ตั้งใจฝึกฝนสักสองสามพันปี ก็ไม่อาจเทียบกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้ ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะพวกเรามีกำลังพลไม่พอ แต่คิดดูแล้วเหล่าอาวุโสคงไม่ย้ายพวกเรามาอย่างเร่งด่วนหรอก” ชายชราสั่นศีรษะ
“นั่นมันก็ใช่ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราสองคนร่วมมือกันต่อให้เป็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงระดับสอง คิดดูแล้วก็มีกำลังต้านทาน ส่วนโอกาสที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวในเมืองแสงมรกตนั้น ช่างน้อยนิดนัก” ชายวัยกลางคนพยักหน้าขณะเอ่ย
“ทว่า เจ้าเด็กหงเมี่ยนั้นช่างน่าเสียดายจริงๆ!” ชายชราไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เผยสีหน้าเสียดายออกมา
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กนั้นมีเลือดเนื้อของเผ่าเพลิงจันทราและเผ่าหนอนมีเขาในเวลาเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้นเลือดเนื้อของเผ่าหนอนมีเขา หรือว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าเพลิงของพวกเจ้า หรือว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ถู?” ชายวัยกลางคนได้ยินพลันฉีกยิ้ม
“ผู้แซ่ถูทำให้พี่หนิงเห็นเรื่องขบขันแล้ว จะว่าไปแล้วเจ้าเด็กนั่นเป็นชนรุ่นหลังของผู้กับญาติห่างๆ ของข้า ตอนแรกนั้นตามหาเขาพบได้โดยความบังเอิญ จึงให้เขาคอยแอบอยู่ในเหล่าอาวุโสเมฆาสวรรค์ ทว่าพลังยุทธ์ของเขาสูงส่งเกินไป อาจจะมีสักวันที่ขึ้นมาอยู่ในระดับของข้า และอาวุโสตระกูลเพลิงของพวกเราก็เตรียมการเอาไว้แล้ว รอให้เขาทำภารกิจสายลับเสร็จ กลับมาจะล้างไขกระดูกโลหิตให้เขา เปลี่ยนกายเนื้อให้กลายเป็นเผ่าหนอนมีเขาของพวกเรา แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในขณะที่ภารกิจกำลังจะสำเร็จแล้ว” ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึม
“หึๆ พี่ถูไม่ต้องเสียดาย อีกเดี๋ยวเราไปสับฆาตกรที่ฆ่าเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้นก็ได้แล้ว น่าเสียดายเพราะกลัวว่าเขาจะถูกคนจับได้ พวกเราจึงไม่ได้ลงอาคมไว้บนร่างของเขา มิเช่นนั้นก็สามารถตามหาฆาตกรที่ฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย ทว่าไม่เป็นไรพวกเราส่งกำลังพลบนเรือสงครามกว่าครึ่งไปแล้ว พวกเขาไม่มีทางหนีออกจากที่นี่ได้แน่” ชายวัยกลางคนหัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย
“มีจานตาข่ายสวรรค์ทมิฬที่เหล่าอาวุโสมอบให้กับมือ แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่พวกเขาจะหนีไป ปัญหาเดียวก็คือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียวและยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าอยู่ในมือของเผ่าหมื่นโบราณหรือไม่ พวกเราก็ไม่อาจทำให้พวกเขาร้อนใจจนสูญเสียของเหล่านี้ไป เหล่าอาวุโสมอบหมายมาอย่างชัดเจนแล้วว่าต้องนำของเหล่านั้นกลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ” ชายชราขบคิดแล้วเอ่ย
“จุดนี้ข้าย่อมรู้ดี มิเช่นนั้นเราสองคนจะหลบอยู่ในเรือสงครามเพื่ออันใด ก็แค่อย่ายืนยันเป้าหมายก่อนค่อยลงมือแย่งชิงอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้รู้สึกตัว! ตามแผนเดิมคือให้หงเมี่ยว่าของอยู่ในมือของผู้ใดจากนั้นค่อยทำเครื่องหมายเอาไว้ รายงานให้พวกเราลงมือ ตอนนี้หงเมี่ยเพลี่ยงพล้ำไปแล้วของสิ่งนั้นอยู่ในมือของผู้ใดก็ไม่แน่ชัด มันยุ่งยากไปหน่อยจริงๆ!” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วมุ่น
“จัดการยากจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ของสิ่งนั้นสำคัญขนาดนั้น คิดดูแล้วภายใต้สถานการณ์ที่กองทัพของพวกเราเข้าประชิดเขตแดนเช่นนี้คงไม่มีทางมอบให้ผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยแน่ ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็เคลื่อนไหวจำนวนมากขนาดนี้ ก็เพราะต้องการทอดแหใส่ผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองแสงมรกตทุกคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำล้วนไม่มีโอกาสหนี หากคนผู้นั้นโง่เขลานำของสิ่งนี้ไปมอบให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเก็บรักษาพวกเราก็ได้เปรียบแล้ว เช่นนี้ขอบเขตที่กว้างใหญ่ก็หดเล็กลงแล้ว ข้าเดาว่าน่าจะอยู่ในมือของชนชั้นสูงของเผ่า แน่นอนว่าหากมีเผ่าศักดิ์สิทธิ์อยู่จริงๆ ของก็ต้องอยู่ในมือของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย” ชายชราวิเคราะห์อย่างเนิบช้า
“กล่าวเช่นนี้ก็ถูก หากขอบเขตเช่นนี้จริงๆ เป้าหมายก็ลดลงเป็นอย่างมากระดับชนชั้นกลางของเผ่ามอบให้อวี่เจียวจัดการก็แล้วกัน ส่วนชนชั้นสูงเหล่านั้นพวกเราต้องออกโรงเอง ให้คนอื่นๆ มาช่วยประสาน” ชายวัยกลางคนพยักหน้าเห็นด้วย
“หัวหน้าหกคนเหลือสองคนเอาไว้เฝ้าเรือสงครามคนอื่นๆ ส่งออกไปให้หมดเถิด คำนวณเวลาดูพวกระดับต่ำที่อยู่ด้านนอกคงจัดการไปพอสมควรแล้ว ไม่มีพวกชั้นต่ำมาคอยรบกวนใช้จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬที่อาวุโสประทานให้ ก็น่าจะหาตำแหน่งที่แม่นยำของชนชั้นสูงเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย” สุดท้ายชายชราพลันเอ่ยพึมพำ
ชายวัยกลางคนได้ยินก็ไม่ได้ตอบรับ แต่แววตากลับเปล่งประกายเผยสีหน้ามีแผนการออกมา
……
ยามนี้รอบๆ เมืองแสงมรกต หลังจากถูกเหล่าอินทรีย์ยักษ์และนักรบชุดเกราะสีเงินบนเรือไม้ค้นหาไปสองสามครั้งก็ดึงผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าออกมาจากในเมืองมาสังหารบ้างหรือเป็นเชลยบ้างได้แปดเก้าส่วนแล้ว มีเพียงผู้ที่มีเคล็ดวิชาอำพรางสูงส่งจำนวนเล็กน้อยที่ยังซ่อนตัวอยู่และหวังว่าจะหนีรอดได้
นอกจากนี้ผู้ที่ระดับสูงกว่าสองสามคนก็อาศัยพลังลมปราณที่ลึกล้ำหนีออกไปอย่างไร้ร่องรอย แต่มังกรวารีติดปีกเหล่านั้นกลับไล่ตามไปด้านหลังอย่างไม่ลดละ ส่วนจะตามทันหรือไม่ก็มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ทว่าเมื่อเห็นว่านักรบชุดเกราะและอินทรีย์สองหัวยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ไม่มีเจตนาจะเรียกใช้อสูรวิญญาณเหล่านั้นเป็นทัพเสริม ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘มังกรวารีขนนก’ น่ากลัวแค่ไหน
ส่วนอินทรีย์สองหัวเหล่านั้นและนักรบชุดเกราะต่างก็ตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมาทุกตารางนิ้วบนยอดเขาใกล้เคียงไม่ก็ในป่าทึบ บางครั้งก็มีลำแสงหลีกหนีสายสองสายบินออกมาจากแดนลับ จากนั้นอินทรีย์สองหัวฝูงใหญ่หรือเรือไม้สองสามลำก็กรูกันเข้าไปในทันที เสียงร้องน่าอนาถดังขึ้น การโจมตีต่างๆ กลืนกินลำแสงหลีกหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนหานลี่ในยามนี้ก็หนีออกมาจากเมืองแสงมรกตได้เจ็ดสิบแปดสิบลี้แล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาได้ต่อสู้กับกบฏเผ่าเพลิงจันทราไปรอบหนึ่ง ดูเหมือนรุนแรงมากและส่งเสียงดังสนั่น แต่ความจริงแล้วเมื่อวางเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ ระลอกคลื่นไอวิญญาณสักนิดก็ไม่เล็ดลอดออกมาจากเขตอาคมกระบี่
แม้กระทั่งสุดท้ายที่ชาวเพลิงจันทราใช้ระฆังสัมฤทธิ์ปล่อยคลื่นเสียงออกมาก็ถูกอานุภาพลึกลับของเขตอาคมหลากวสันต์ดูดซับเอาไว้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นแม้ว่าการต่อสู้ของทั้งสองจะอยู่ใกล้กับเมืองแสงมรกตแค่คืบ ชาวเผ่าหนอนมีเขาเหล่านั้นกลับไม่พบร่องรอยเลยสักกระผีก
และหลังจากที่หานลี่ทำลายจิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวเผ่าเพลิงจันทราไปแล้วก็ค้นหากล่องหยกอีกใบและยาลูกกลอนโลหิตสีทองเม็ดนั้นบนร่างของเขาทันที
จากนั้นก็เผาร่างจนเป็นจุณ
จากอานุภาพของยันต์ชำระพิสุทธิ์ แม้ว่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับหานลี่ก็ยังพบร่องรอยได้ยาก
ดังนั้นทหารไล่ล่าของเผ่าหนอนมีเขาที่ค้นหาไปทั่วทั้งสารทิศย่อมไม่อาจทำลายประสิทธิภาพของยันต์วิเศษชนิดนี้ได้
ผลคือหานลี่จึงบินผ่านอินทรีย์สองหัวและเรือไม้อย่างทะนงองอาจไปหลายครั้ง
ทหารไล่ล่าของเผ่าหนอนมีเขาเหล่านี้กลับไม่รู้ตัวเลยสักกระผีก
ส่วนชายหัวโตและชายผิวสีเขียวก็ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใดแล้วในตอนที่หานลี่เสียเวลาไป
ทว่าในเมื่อต้องอำพรางกายความเร็วของพวกเขาจึงไม่อาจรวดเร็วนัก กว่าครึ่งคงอยู่ในรัศมีสองสามร้อยลี้
หานลี่ครุ่นคิดในใจคนกลับไม่หยุดพักเลยสักนิด ตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบไปพลาง บินไปทางที่มีทหารไล่ล่าน้อยที่สุดไปพลาง
ชั่วครู่หานลี่พลันบินออกห่างเมืองแสงมรกตไปสองสามร้อยลี้ ตาเนื้อมองเห็นว่าในบริเวณรอบไม่มีเงาของศัตรูใดๆ อีก
เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่ยังคงไม่กล้าหยุดใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ ผู้ใดจะรู้ว่าคนของเผ่าหนอนมีเขาจะมีเคล็ดวิชาลับหรือใช้สมบัติลับอะไรที่สามารถตรวจสอบในระยะพันลี้ได้หรือไม่
หานลี่กลับไม่รู้ว่าการระมัดระวังตัวเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เปล่าประโยชน์
ในยามที่เขาเห็นเมืองแสงมรกตห่างออกไปมากเท่าไหร่ เกาะยักษ์สีเขียวเงินกลางอากาศก็มีเงาสีดำหกสายลอยอยู่
สองคนในนั้นคือชายชราและชายวัยกลางคนที่พูดคุยกันในวิหารบนเกาะก่อนหน้า
อีกสี่คนที่เหลือกลับเป็นผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ผอมบางแตกต่างกัน ดูเหมือนว่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา
และยามนั้นตรงใจกลางที่ทั้งหกล้อมรอบอยู่ สมบัติสีทองรูปร่างคล้ายจานตาข่ายก็ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังหมุนวนไปมาไม่หยุด
ตรงกลางสมบัติชิ้นนั้นมีหัวศรขนาดสองสามชุ่นยืดและหดไปมาไม่หยุด บนจานสลักลวดลายประหลาดคล้ายขีดบอกทิศทางเป็นวงกลมอยู่ ในเวลาเดียวกันก็มีอักขระสีทองทะลักออกมาจากจานลอยพลิ้วไหวไปมา
ทั้งหกคนจ้องเขม็งไปด้วยตาไม่กะพริบ หัวศรหมุนวนสองสามรอบ ฉับพลันนั้นพลันสั่นเทาแล้วหยุดลง
หัวศรยืดและหดแล้วพลันหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างขีดประหลาดสองขีด และกะพริบวาบเรืองๆ
“เอาล่ะ ชี้เป้าผู้แข็งแกร่งทั้งสี่แล้ว พวกเจ้าสี่คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มไปค้นหาสองตำแหน่งนี้ที่บอกพวกเจ้า ส่วนที่เหลืออีกสองคนมอบให้พวกเราสองคนก็แล้วกัน จากระดับความแข็งแกร่งแล้วพวกเขาน่าจะเป็นชนชั้นสูงระดับสาม ทว่าหลังจากพวกเจ้าหาตัวพบแล้วก็พยายามอย่าเพิ่งลงมือ รอให้พวกเราจัดการที่เหลืออีกสองคนก่อนค่อยมารวมตัวกับพวกเจ้า จำเอาไว้ หากพวกเจ้าคิดจะทำลายอะไรจะต้องไม่เสียดายของมีค่าอะไร พวกเจ้าสี่คนเอามังกรวารีขนนกไปคนละสองตัว เช่นนั้นก็จะไม่เป็นไรแล้ว” ชายชราเลื่อนสายตาออกมาจากจานตาข่ายแล้วสำทับอย่างเยือกเย็น
“ขอรับ!” คนทั้งสี่รีบค้อมกายตอบรับอย่างพร้อมเพรียงด้วยสีหน้านอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
“อืม ในเมื่อจำเป้าหมายของตนเองได้แล้วก็ลงมือเถิด แม้ว่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างไปสองสามร้อยลี้” ชายวัยกลางคนเองก็สำทับอยู่ด้านข้าง
แน่นอนว่าสี่คนนั้นพลันพยักหน้าพัลวัน จากนั้นเห็นชายชราผิวปาก ชั่วขณะนั้นเกราะสีเงินยักษ์ด้านหน้าพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ มังกรวารีขนนกสีทองบินออกมาทีเดียวสิบกว่าตัว หลังจากกะพริบวาบก็มาอยู่เหนือหัวคนทั้งหกแล้ว พลันบินฉวัดเฉวียนไปมา
ชายชราใช้มือหนึ่งโบกไปมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ชั่วขณะนั้นเงาร่างสี่สายด้านข้างพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสี่สายพุ่งออกไป มังกรวารีขนนกแปดในสิบตัวนั้นพลันตามคนทั้งสี่ไป
ที่เดิมจึงเหลือเพียงมังกรวารีสองตัวลอยนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นลูกน้องของตัวเองลงมือแล้ว สายตาของชายชราพลันกวาดไปที่จานตาข่ายแวบหนึ่งใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคมปล่อยลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกไป
ผลคืออาคมสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในจานตาข่ายเข็มตรงกลางหมุนวนอีกครั้ง แต่สมบัตินี้หมุนวนอย่างช้าๆ สองครั้งเข็มก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
จุดที่หัวศรชี้ไปนั้นนั่นก็คือตำแหน่งที่หานลี่หลบหนีไป!
ตอนที่ 1563 หลอมโลหิต
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น พี่ถูยังไม่วางใจทางนั้นหรือ” ชายวัยกลางแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว จานตาข่ายมีปฏิกิริยาตอบสนองตรงทิศทางนั้น แต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับบัดเดี๋ยวแข็งแกร่งบัดเดี๋ยวอ่อนแอ ยามที่แข็งแกร่งดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองทุกทิศทางมากที่สุด ยามที่อ่อนแอกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด มันแปลกยิ่งนัก” ชายชราจ้องเขม็งไปยังจานตาข่ายที่เริ่มเปล่งแสงระยิบระยับกลางอากาศ แล้วเอ่ยอย่างฉงนสงสัย
“ดูแล้วไม่ในตัวคนผู้นั้นมีสมบัติวิเศษที่ส่งผลกระทบกับจานตาข่ายสวรรค์ทมิฬได้ คนผู้นั้นก็มีลมปราณแข็งแกร่ง สำแดงอิทธิฤทธิ์อำพรางพลังยุทธ์ของตนเอง ทำให้จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬไม่อาจยืนยันตำแหน่งที่ชัดเจนได้” ชายวัยกลางคนครุ่นคิด แล้วตอบกลับอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ก็อาจจะกระมัง แต่หากเป็นอย่างแรกก็ยังพอว่า แต่หากเป็นอย่างหลัง ก็ไม่อาจปล่อยไปได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ส่งมังกรวารีขนนกสองตัวออกไปตรวจสองตำแหน่งนั้นก่อน ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รอจนได้ผลลัพธ์แล้ว เจ้ากับข้าก็คงจัดการตรงทิศทางอื่นเสร็จแล้ว ค่อยวิ่งไปดูสักรอบก็ยังไม่สาย” ชายชราเอ่ยแนะนำ
“พี่ถูทำเช่นนี้ช่างเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดนัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากราบรื่นอีกครึ่งวันก็จัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว” ชายวัยกลางหัวเราะหึๆ ออกมาอย่างเห็นด้วย
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้รู้สึกว่าการแย่งชิงของเหล่านั้นมาจากมือของระดับหลอมสุญตา ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอันใด
ชายชราได้ยินแล้วพลันพยักหน้า ปากก็แผดเสียงตะโกนเฉียบขาดออกมา มังกรวารีขนนกสีทองที่เหลืองสองตัวหมุนวนอยู่เหนือศีรษะเขารอบหนึ่ง แล้วพุ่งไปยังทิศทางที่จานตาข่ายชี้บอก
ครู่ต่อมาพวกมันก็หายวับไป
จากนั้นชายชราและชายวัยกลางคนก็ไม่ได้ชักช้าอีก ลำแสงหลีกหนีกลายเป็นลำแสงสองสายพุ่งออกไป ทิศทางที่ไปกลับเป็นสองทิศทางที่แตกต่างกัน
หนึ่งในนั้นระหว่างพุ่งออกไป พลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบแล้วจืดจางลง สุดท้ายก็จืดจางอย่างหาที่เปรียบ จนมองเห็นเพียงรางๆ
อีกสายหนึ่งบินออกมาได้สิบกว่าลี้ เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น หมอกเมฆาสีม่วงกลุ่มหนึ่งระเบิดออก กลืนลำแสงหลีกหนีเอาไว้
ชั่วครู่หลังจากที่หมอกเมฆาหมุนวนแล้วสลายตัวไป ด้านในก็ว่างเปล่า
……
กลางอากาศเหนือเนินเขา ชนต่างเผ่าใบหน้าเหลืองกรอบ บนศีรษะมีหนวดประหลาดงอกออกมาคู่หนึ่ง กำลังขี่อสูรวิญญาณที่รูปร่างเหมือนตุ๊กแกตัวหนึ่ง อยู่สูงจากพื้นไปประมาณสองสามจั้งพลางมุ่งตรงไปข้างหน้า
ตุ๊กแกตัวนี้ดูเหมือนจะตัวไม่ใหญ่นัก มีความยาวแค่สองสามจั้ง ผิวของมันมีลำแสงสีเหลืองอ่อนชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ราวกับสีผิวดินอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมีหมอกลำแสงปกคลุมอยู่ เมื่อมองจากที่สูง ชนต่างเผ่าและตุ๊กแกก็ถูกอำพรางตัวไป ไม่สามารถใช้ตาเนื้อตามหาร่องรอยของพวกเขาได้
ในเวลาเดียวกันที่ชนต่างเผ่าควบคุมอสูรวิญญาณให้เหาะเหิน ตนเองก็มองไปด้านหลังบ้างเป็นครั้งคราว ท่าทางหวาดผวา
คนผู้นี้มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น แต่กลับไม่ใช่ชายผิวสีเขียวและชายหัวโต ดูแล้วในเมืองแสงมรกตวันนั้น นอกจากหานลี่และชายหัวโตทั้งสี่คนแล้ว ก็ยังมีชนชั้นสูงคนอื่นๆ แฝงตัวอยู่
และไม่รู้ว่าพวกเขาหลบซ่อนจากสายตาของชายหัวโตได้อย่างไร และไม่ได้ติดต่อกับชนต่างเผ่าระดับสูงคนอื่นๆ
แต่จะว่าไปแล้ว คนผู้นี้ก็ฉลาดเฉียบแหลมมาก เขาเอาแต่ซ่อนพลังยุทธ์อยู่ในเมือง ไม่คิดจะมารวมกับเหล่าชายหัวโตและพวกที่อยู่ในระดับเดียวกัน จะได้ไม่เป็นเป้าหมายใหญ่ที่เผ่าแมลงมีเขาสนใจ และถือโอกาสตอนที่ประตูเมืองเปิดออก หนีปะปนออกมากับชนต่างเผ่าระดับต่ำอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้ชนต่างเผ่าอยู่ห่างจากเมืองแสงมรกตไปพันกว่าลี้แล้ว ตามสถานการณ์แล้วกว่าครึ่งคงปลอดภัยแล้ว แต่ชนต่างเผ่าผู้นี้ยังคงมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสไม่แน่นอน
ไม่รู้เพราะเหตุใด ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย ราวกับว่าหายนะใหญ่กำลังประชิดเข้ามา
และเผ่า ‘ภูตดวงจิต’ของพวกเขา ก็เป็นแค่เผ่าเล็กๆ ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีเท่านั้น แต่กลับมีพรสวรรค์ที่ผู้คนไม่ค่อยจะรู้คือการสัมผัสได้ถึงอันตราย
ดังนั้นสำหรับลางสังหรณ์ครั้งนี้ เขาจึงไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด มองรอบๆ ไปด้วยความระมัดระวัง
ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนจะสัมผัสอะไรได้ สองเท้าหนีบเข้าหากัน หยุดการเคลื่อนไหวของอสูรวิญญาณตุ๊กแกที่นั่งอยู่ ในเวลาเดียวกันจึงใช้ดวงจิตสัมผัสรอบๆ เผยดวงตาสีแดงสดคู่หนึ่งออกมา พลางพิจารณารอบด้านไม่หยุด
และหนวดคู่หนึ่งบนศีรษะของชนต่างเผ่าผู้นี้ก็หันไปตามดวงตา บิดเบี้ยวพลิ้วไหวไปมา
ฉับพลันนั้นด้านข้างชนต่างเผ่าก็มีลำแสงสีขาวระเบิดออกมา ด้านในมีเงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้น ชูมือหนึ่งขึ้น กระบี่ลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วสับลงมา
ไอกระบี่เป็นสีทองเรืองรอง แสบตาเป็นอย่างยิ่ง แค่กะพริบวาบก็มาอยู่ตรงหน้าชนต่างเผ่า
ชนต่างเผ่าพลันตะลึงงัน หากไม่ทันได้ระวังตัว เกรงว่าคงทำได้เพียงยืนนิ่งรอความตายเท่านั้น แต่โชคดีที่เมื่อครู่สัมผัสได้ ดังนั้นเบื้องหน้าพลันมีลำแสงสีดำสว่างวาบ โล่สีดำปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันผิวพลันมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยเกราะป้องกันสามสีสีแดงเหลืองเขียวออกมา
ส่วนตุ๊กแกที่อยู่ด้านล่างพลันร่างกายสั่นเทา หางยาวๆ ของมันสั่นเทาแล้วกลายเป็นเงาสีดำสายหนึ่งกวาดออกไป ในเวลาเดียวกันพลันอ้าปากออกอีกครั้ง พ่นของเหลวเป็นลูกบอลสีเขียวออกไปหาเงาร่างคนในลำแสงสีขาว
ของเหลวนี้มีกลิ่นคาวเหม็นโฉ่ ทำให้ผู้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน!
ชนต่างเผ่านี้คู่ควรกับที่อยู่ในระดับหลอมสุญตา คาดไม่ถึงว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากมายภายในพริบตาเช่นนี้
แต่เงาร่างคนในลำแสงสีขาวกลับน่าตกตะลึงยิ่งกว่า ไอกระบี่สีทองที่ปล่อยออกมา จมหายเข้าไปในผิวโล่สีดำ แล้วสับไปยังเกราะป้องกันสามสี
โล่ใบเล็กสีดำกลับแตกออกเป็นสองส่วนอย่าเงียบเชียบ ตกลงจากกลางอากาศ
ชนต่างเผ่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีทองสับลงมาที่เกราะป้องกันสามสี ระเบิดลำแสงน่าตกตะลึงออกมา จากนั้นลำแสงต่างๆ พลันตัดสลับกันไปมา เปล่งเสียงระเบิดออกมาไม่ขาดสาย
เกราะป้องกันลำแสงสามสีต้านทานกระบี่ลำแสงสีทองเอาไว้
ทว่ายามนั้นของเหลวพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปยังเงาร่างคนสีขาว ในเวลาเดียวกันหางของอสูรวิญญาณที่ดูเหมือนตุ๊กแกก็กวาดมา
แต่เงาร่างคนสีขาวพลันพลิ้วไหว ร่างกายดูเหมือนภาพลวงตา การโจมตีทั้งสองล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งทะลุผ่านร่างไป ตกลงสู่ความว่างเปล่า
“นี่มันอิทธิฤทธิ์ใดกัน!” ชนต่างเผ่าพลันตะลึงงัน จ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งพลิกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ในมือมีลำแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมียันต์วิเศษสีเงินอ่อนแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น สะบัดข้อมือสำแดงมันออกไป
แต่ในตอนนั้นเองด้านหลังของชนต่างเผ่าพลันมีพายุบางเบาพัดเข้ามา จากนั้นเงาร่างคนจางๆ ที่มองแทบไม่เห็นสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตามแรงลม
เงาร่างของคนผู้นี้เรือนกายโปร่งใส ตอนที่ปรากฏตัวก็ไม่มีไอวิญญาณเลยสักนิด ราวกับร่างของภูตผีอย่างไรอย่างนั้น
และในยามนั้นเองชนต่างเผ่าที่อยู่ด้านล่างกลับไม่พบความผิดปกติที่ด้านหลังเลยสักนิด แต่ชูมือขึ้น ยันต์วิเศษในมือกลายเป็นอัสนีลำแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนสับลงมายังศัตรูที่อยู่ตรงข้ามอย่างเนืองแน่น
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น อัสนีลำแสงสีเงินระเบิดออก ชั่วครู่ก็ปกคลุมเงาร่างคนในลำแสงสีขาวเอาไว้
ไม่รู้ว่าอัสนีลำแสงสีเงินนี้เป็นอิทธิฤทธิ์ชนิดใด หลังจากปล่อยออกมาแล้ว คาดไม่ถึงว่าความร้อนระอุจะแผ่ไปทั่วทั้งท้องฟ้า
เงาร่างคนด้านหลังสายนั้น เห็นอัสนีลำแสงดุน่าเกรงขามเพียงนี้ ใบหน้าที่ดูโปร่งแสงกลับเผยรอยยิ้มโหดเ**้ยมออกมา ร่างทั้งร่างกระโจนไปข้างหน้า คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีเขียวอ่อนพุ่งออกไป
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
เกราะป้องกันสามสีที่สามารถต้านทานกระบี่ลำแสงสีทองได้ เผชิญหน้ากับเงาร่างคนที่กลายเป็นลำแสงสีเขียวด้านหลัง คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลเลยสักนิด
เห็นเพียงลำแสงสีเขียวสว่างวาบแล้วหายวับไป ทะลวงผ่านเกราะป้องกัน จากนั้นก็จมหายเข้าไปในร่างของชนต่างเผ่า
ลำแสงป้องกันของชนต่างเผ่าไม่มีผลเลยสักนิดเช่นเดียวกัน
เสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังออกมาจากปากของชนต่างเผ่า!
ชนต่างเผ่าพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แต่เมื่อบินออกมาได้สิบจั้งเศษ เรือนกายพลันกระตุกแล้วร่วงลงมา
เรือนกายที่เต็มไปด้วยเนื้อหนังของเขา แห้งกรอบแล้วหายวับไปด้วยความเร็วที่กายเนื้อสัมผัสได้
ไม่รอให้ตกถึงพื้น ก็เหลือเพียงผิวหนังบางๆ ชั้นหนึ่ง ลอยพลิ้วตกลงมา
คาดไม่ถึงว่าแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของชนต่างเผ่าก็หายไปพร้อมกัน
เมื่อไม่มีเจ้าของควบคุม ลำแสงอัสนีที่ดูน่าเกรงขามก็หายวับไปในชั่วพริบตา เงาร่างคนในลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ผลคือเห็นเพียงในมือของเขามีลำแสงสีทองสว่างวาบ สับตุ๊กแกตัวนั้นออกเป็นหลายส่วน จากนั้นก็หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
“หึๆ” เสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจดังออกมาจากผิวหนังบางๆ จากนั้นก็พองตัวขึ้นในพริบตา ชนต่างเผ่าที่เหมือนกับก่อนหน้าทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้นอย่างเป็นๆ ที่เดิม
ชนต่างเผ่าผู้นี้ชูแขนทั้งสองขึ้น เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา กลอกตาไปกวักมือเรียกเงาร่างคนในลำแสงสีขาว
ชั่วขณะนั้นเงาร่างคนผู้นั้นพลันเดินเข้ามาอย่างเนิบช้า ลำแสงสีขาวบนร่างจืดจางลง เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา นั่นก็คือชายวัยกลางคนของเผ่าแมลงมีเขา!
แต่แค่เขาในยามนี้มีสีหน้าแข็งทื่อ ราวกับหุ่นเชิดก็ไม่ปาน
“เคล็ดวิชาหลอมโลหิตออกจากจิตวิญญาณนี้ ช่างรุนแรงดังคาด สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ หากไม่หลอมโลหิตบริสุทธิ์ที่ดูดมาก่อนหน้านี้ให้หมด ก็ไม่อาจสำแดงเคล็ดวิชานี้ได้อีก มิเช่นนั้นหากใช้สิ่งนี้ต่อกรกับศัตรู คงราบรื่นไปหมดทุกทางแน่” ชนต่างเผ่ามองชายวัยกลางคนตรงหน้า แล้วเอ่ยพึมพำอย่างรู้สึกเสียดายเล็กๆ
จากนั้นเห็นเขาสะบัดข้อมือ กำไลเก็บของพุ่งออกไป จากนั้นพลันหมุนวน ของกองใหญ่ทยอยกันตกลงมาด้านล่าง
หลังจากที่เขากวาดจิตสัมผัสไปยังสิ่งของเหล่านั้น ก็ตะปบมือไปกลางอากาศอย่างไม่เกรงใจ ดูดกล่องที่บรรจุของสองสามใบเข้ามา เขาเริ่มเปิดมันออกพิจารณาอย่างละเอียด
ไม่นานนัก เขาก็มีสีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย
แม้ว่าในกองของเหล่านี้จะมีของที่หายาก แต่ก็ไม่มีเป้าหมายที่ตนตามหา
เขาไม่ได้ปริปากใดๆ ชี้ไปที่กำไลเก็บของ ชั่วขณะนั้นม่านสีเขียวพลันม้วนออกไป เก็บทุกอย่างเข้าไปในกำไลอีกครั้ง
ส่วน ‘ชนต่างเผ่า’ก็ครุ่นคิดอีกครั้ง ฉับพลันนั้นพลันดูเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สองมือคลำหาไปบนเรือนร่างอย่างไม่ค่อยคุ้นเคย ผลคือนอกจากยันต์วิเศษสองใบ และของเล็กๆ น้อยๆ สองสามชิ้น ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ชนต่างเผ่าสั่นศีรษะอย่างจนปัญญา สองมือพลันร่ายอาคม ลำแสงสีเขียวอ่อนพุ่งออกมาจากหน้าผากของเขา เปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นเงาร่างคนประหลาดกึ่งโปร่งใสอีกครั้ง
ส่วนชนต่างเผ่านั้นก็ดูเหมือนลูกบอลหนังที่ถูกปล่อยลม ชั่วพริบตาก็กลายเป็นผิวหนังบางๆ ชั้นหนึ่งร่อนลงบนพื้น
เงาร่างคนกึ่งโปร่งใสไม่ได้รั้งรออะไรอยู่กลางอากาศ หลังจากพลิ้วกายครั้งหนึ่ง ก็จมหายเข้าไปในร่างของชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนร่างกายสั่นเทา หลับตาทั้งสองข้างลงอย่างควบคุมไม่ได้ ในเวลาเดียวกันผิวก็มีลำแสงสีเขียวประหลาดๆ ไหลโคจรไปมา
ชั่วครู่ชายวัยกลางคนก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เห็นเพียงดวงตาที่เฉื่อยชาของเขา เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนกับก่อนหน้าทุกกระเบียดนิ้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น