พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1561-1564

บทที่ 1561 ถูกสอบสวน (3)

 

“เหลวไหลสิ้นดี เจ้าเพิ่งบอกไม่ใช่เหรอว่าอวิ๋นจือชิวเป็นเพื่อนเจ้า ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมกลายเป็นว่าฉู่จื่อซานแย่งผู้หญิงของเจ้าซะแล้วล่ะ?” เซวียนหยวนจัวถาม


เหมียวอี้บอกว่า “ข้าจีบนางมาตั้งแต่ปีก่อนโน่นแล้ว นางบอกว่าไม่อยากแต่งงานอีก พอข้าจีบซ้ำไปซ้ำมา นางก็เลยให้คำสัญญากับข้าข้อหนึ่ง ว่าถ้าวันใดนางยินดีจะแต่งงาน นางก็จะไม่แต่งงานกับคนอื่น จะแต่งงานกับข้าเท่านั้น ถ้าฉู่จื่อซานมาขอแต่งงาน ข้ากับอวิ๋นจือชิวก็เป็นสหายกัน พอฉู่จื่อซานจะจัดงานแต่งงาน อวิ๋นจือชิวก็เป็นผู้หญิงของข้าแล้ว! ท่านโหว ถ้ามีคนจะมาแย่งผู้หญิงของท่าน ท่านจะมีปฏิกิริยายังไง?”


ทุกคนได้ยินแล้วกัดฟัน ตอนคนอื่นไม่มาขอแต่งงานนางก็เป็นเพื่อนเจ้า แต่พอมีคนมาขอแต่งงาน นางก็เป็นผู้หญิงของเจ้าแล้ว นี่มันตรรกะอะไรกัน?


“หนิวโหย่วเต๋อ เซวียนหยวนจัวกำลังสอบสวนเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาสอบสวนเซวียนหยวนจัว” ตู๋กูอู๋ตะคอกอย่างเย็นเยียบ


เซวียนหยวนจัวกลับไม่ถือสาที่เหมียวอี้ถามกลับ ซักไซ้ถามเพียงประเด็นหลักเท่านั้น “ต่อให้เป็นความบังเอิญ แต่การที่เจ้าเรียกรวมกำลังพลที่น่านฟ้าระกาติงก็เป็นเรื่องบังเอิญด้วยงั้นเหรอ? มีเรื่องบังเอิญเยอะเกินไปหรือเปล่า?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้มีใจคิดเรื่องส่วนตัวเลยจริงๆ อยากจะถือโอกาสไปเยี่ยมอวิ๋นจือชิวสักหน่อย ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะบังเอิญประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้”


เซวียนหยวนจัวตะคอกทันที “ตอนที่ฉู่จื่อซานนำคนมาถึง ทำไมเจ้าถึงไม่เปิดเผยตัวตน แต่ลงมือสังหารอีกฝ่ายจนตาย?”


“ในจุดนี้ข้าบอกไว้ชัดเจนแล้วในคำให้การก่อนหน้านี้ ฉู่จื่อซานไม่ให้โอกาสข้าได้เปิดเผยตัวตนเลย พอเห็นพวกเราเปิดเผยเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์แล้ว ก็ยังออกคำสั่งบุกโจมตีเหมือนเดิม เป็นเขาที่ลงมือก่อน อย่าบอกนะว่าจะให้ข้านั่งรอความตาย? ฉู่จื่อซานไม่ให้โอกาสพวกข้า เขาเป็นฝ่ายเล่นงานก่อน พวกข้าถึงได้โจมตีกลับ มีคนมากมายที่เห็นเองกับตา ไม่ใช่หนิวที่พูดเหลวไหล!” เหมียวอี้ตอบ


“คนร้ายล่ะ? เจียงอีอีกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมนั่นไปไหนแล้ว?” เซวียนหยวนจัวถาม


“ข้าบอกไปแล้วไง พวกเขาหนีไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบ


เซวียนหยวนจัวแสยะยิ้ม “ทัพใหญ่ห้าหมื่นของเจ้าโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแพ้ได้ แค่ผู้ร้ายกระจอกสองคน แต่รอดพ้นจากกำลังพลมากมายไปแล้ว ถ้าเป็นเจ้าเจ้าเชื่อมั้ยล่ะ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็รู้สึกเหลือเชื่อมากจริงๆ แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าควบคุมสองคนนั้นไว้ได้แล้ว แต่จู่ๆ ก็หลุดออกจากกระเป๋าสัตว์ข้าไป ข้าเลยโบกกระบี่ฟันทันที แต่ใครจะคิดว่าพออีกฝ่ายโบกแขนเสื้อหนึ่งที กระบี่ผลึกแดงของข้าก็กลายเป็นผุยผง ข้าทำอะไรไม่ถูกจนเกือบจะโดนเขาฆ่าแล้ว จนกระทั่งตอนข้าจะโต้ตอบอีกที สองคนนั้นก็หนีไปทางดินราวกับดำน้ำไป ทัพใหญ่ของข้าหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่องรอย”


เซวียนหยวนจัวยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าเป็นเพราะได้รับข่าว ถึงได้รู้ว่าเจียงอีอีจับตัวประกันหนีไปทางกองกำลังของเจ้า เจ้าถึงได้นำกำลังพลไปจัดการเจียงอีอี เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?”


“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้ตอบ


“ใครเป็นคนส่งข่าวให้เจ้า?” เซวียนหยวนจัวถามอีก


“ลูกน้องเก่าคนหนึ่งที่อยู่น่านฟ้าระกาติง” เหมียวอี้ตอบ


“ลูกน้องเก่าของเจ้ารู้ทิศทางที่เจียงอีอีจะหนีไปได้ยังไง?” เซวียนหยวนจัวถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “เพราะเขาเป็นหนึ่งในกำลังพลที่กำลังไล่ตามเจียงอีอี เขารู้ว่าข้าอยู่ตรงไหน”


“บอกให้ละเอียดหน่อย เป็นใครกันแน่?” เซวียนหยวนจัวถาม


“รองผู้บัญชาการคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติง ชื่อว่าโจวหลาง!” เหมียวอี้ตอบ


“หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาติดต่อกับเจ้าผ่านระฆังดารา?” เซวียนหยวนจัวถาม


“ใช่แล้ว!”


“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าใช่มั้ย ว่าระฆังดาราที่เจ้ากับเขาใช้ติดต่อกันหายไปแล้ว?” เซวียนหยวนจัวกล่าว


“ไม่ใช่สักหน่อย” เหมียวอี้ว่า


เซวียนหยวนจัวจึงบอกว่า “งั้นก็นำออกมา เก็บหลักฐานไปพิสูจน์ความจริง!” พูดจบก็เอียงหน้า ก่อนจะมีคนไปคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวเหมียวอี้


เหมียวอี้โบกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วมีคนไปรับมาไว้ทันที


ตอนนี้ตู๋กูอู๋จากทัพซ้ายของน่านฟ้าดินวอกเอ่ยถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของน่านฟ้าระกาติงมาล้อมกำลังพลของเจ้าไว้แล้ว ตอนที่บอกให้เจ้ายอมแพ้ ทำไมเจ้ายังกล้าออกคำสั่งรุกโจมตีอีก?”


เหมียวอี้กล่าวเสียงดังอีกเล็กน้อยว่า “นายท่านตู๋กู เหตุใดจึงกล่าวคำพูดที่น่าปวดใจแบบนี้ออกมาได้ !กองทัพองครักษ์เป็นกองทัพของฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนที่จะยอมจำนนให้คนอื่น! ทำไมท่านไม่บอกล่ะว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนนั่นไม่ถอยไป หลังจากถอยไปแล้วหนิวก็หนีไม่พ้นอยู่ดี จะขาวหรือจะดำ เดี๋ยวข้าก็ย่อมอธิบายในวันนั้นเอง แต่พวกเขาดึงดันจะล้อมโจมตีกองทัพองครักษ์ให้ได้?”


“เจตนาแอบแฝงจากไหนกัน พวกเขาแค่อยากจะกดดันให้พวกเจ้ายอมแพ้ก็เท่านั้นเอง” ตู๋กูอู๋กล่าว


เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนโมโหว่า “หนิวอยู่ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพ มีหรือที่จะเอาชีวิตนับหมื่นของพี่น้องไปทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนั้นต่อให้มีความหวังเล็กน้อยที่จะรอด ข้าก็ไม่อยากให้ศึกใหญ่ขนาดนั้นเกิดขึ้นเลย ชีวิตข้ามีแค่ชีวิตเดียว ไม่อยากเอาไปเสี่ยงเหมือนกัน นายท่านตู๋กูดูลูกน้องของหนิวที่เหลือรอดสิ เห็นไหมว่าสภาพพวกเขาเป็นยังไง พวกเขาเก็บชีวิตมาได้จากกองคนตายทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะตัวตกอยู่ในสภาพอับจน ใครจะอยากไปสู้จนตัวตายล่ะ?หนิวสรุปได้ตรงนี้เลย ตอนนั้นทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงต้องการจะเล่นงานพวกเราให้ได้ ไม่ได้จะเหลือทางรอดให้พวกเราเลย!”


“เจ้าสรุปอะไร? หลักฐานล่ะ?” ตู๋กูอู๋ทำท่ายื่นมือขอหลักฐาน พลางถามกดดันอย่างน่าเกรงขาม “เป็นเจ้าที่ลงมือก่อน พวกเขาถึงได้โต้ตอบ เจ้าอาศัยอะไรมาสรุปว่าพวกเขาต้องการจะเล่นงานพวกเจ้าให้ถึงตาย เอาหลักฐานมา ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ากล่าวสรุปซี้ซั้ว!”


“จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอก! หนิวเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวง นำกำลังพลเฝ้าประตูให้ฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนที่จะยอมจำนน ผู้จาบจ้วงอำนาจบารมีสวรรค์…” เหมียวอี้พลันชี้มือแล้วกล่าวเสียงดัง ชี้หน้าตู๋กูอู๋พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ฆ่า! ต่อให้รบจนเหลือทหารอยู่คนเดียว แต่ก็จะไม่ยอมจำนนเด็ดขาด!”


ในโถงศาลาเงียบไปพักหนึ่ง สมาชิกที่รับหน้าที่บันทึกคำให้การก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน งุนงงไปหมดแล้ว!


ตู๋กูอู๋อับอายจนโมโหทันที สีหน้าเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดา แต่กลับถูกเถียงจนพูดไม่ออก พอจัดระเบียบความคิดได้แล้ว ก็ตะคอกว่า “ฉู่จื่อซานโดนเจ้าลงโทษสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น เจ้าจะอธิบายยังไง? มีเรื่องนี้รึเปล่า?”


“มี!” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ลังเล


ตู๋กูอู๋เล่นงานทันที “ฉู่จื่อซานเป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติง เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปลงโทษประหารเขา?”


ท่าทางเหมียวอี้เหมือนจะหายโกรธแล้ว ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ทหารที่รบแพ้ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ถ้าข้ารบแพ้ ก็จะยอมให้เขาสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นเหมือนกัน ไม่บ่นแน่นอน!”


“บันทึกไว้!” ตู๋กูอู๋ชี้บอกผู้บันทึกคำให้การที่อยู่รอบๆ  แล้วพูดซ้ำว่า “จดคำพูดของเขาเอาไว้!” แล้วก็ชี้เหมียวอี้พร้อมถามอีกว่า “หลังจากจบเรื่องแล้ว เจ้านำกำลังพลมาถึงดาวจิ่วหวน ขู่คุกคามทหารที่เฝ้าตลาดสวรรค์ว่าจะล้างเลือกทั้งเมือง เจ้าจะอธิบายังไง?”


เหมียวอี้ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อวี่จ้งเจินก็พูดแทนแล้วว่า “นายท่านตู๋กู สามหน่วยงานมาร่วมสอบสวนคดีน่านฟ้าระกาติง ส่วนเรื่องหลังจากนั้น กองทัพองครักษ์ก็สอบสวนลงโทษเอง ไม่รบกวนให้นายท่านตู๋กูมาสนใจหรอก”


“เฮอะ!” ตู๋กูอู๋ทำเสียงฮึดฮัดพลางสะบัดชายเสื้อ สุดท้ายก็หยุดแล้ว


ตอนนี้คนอื่นๆ ยังไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเหมียวอี้จึงยืนยันและลงนามบนคำให้การของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกพาตัวไป


ตู๋กูอู๋ที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วกุมหมัดคารวะเก้ากวนอีกครั้ง “นายท่านเกา คนของจวนสี่อ๋องสวรรค์ถูกขังในคุกใหญ่มาหลายวันแล้ว นายท่านเกามีอะไรจะสืบสวน ควรจะพาตัวมาแล้วได้หรือเปล่า?”


“จัดการเรื่องหลักก่อน เอาสมาธิมาจดจ่อกับคำการตรวจสอบให้การของผู้ต้องหาหลักก่อน” เก้ากวนกล่าวเสียงเรียบ


“นายท่านเกา ในเมื่อท่านสงสัยว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับคดีที่น่านฟ้าระกาติง เช่นนั้นก็แปลว่าเกี่ยวข้องกับส่วนสำคัญ ทำไมจึงกลายเป็นความสำคัญอันดับรองได้?” ตู๋กูอู๋ถาม


“ไม่ใช่ข้าที่สงสัย เป็นหวังเฟยของจวนอ๋องสวรรค์ก่วงที่กล่าวโทษ” เก้ากวนตอบ


“หวังเฟยไม่ได้กล่าวโทษพ่อบ้านโกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง นายท่านไม่อาจพูดอ้างน้ำขุ่นๆแบบนี้ได้ ไร้เหตุผลแบบนี้มันฟังไม่ขึ้น! ถ้านายท่านเกาไม่มีเวลา ก็ให้ข้าน้อยไปถามแทนให้นายท่านเกาดีมั้ย?” ตู๋กูอู๋ถาม


เก้ากวนจึงบอกว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่ง คดีของน่านฟ้าระกาติง สามหน่วยงานร่วมสอบสวนด้วยกัน!ตั้งแต่นี้ไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีน่านฟ้าระกาติง คนของทั้งสามหน่วยงานจะต้องมาถึงโถงนี้ด้วยกันถึงจะเริ่มสอบสวน ไม่อนุญาตให้คนของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไปคุยกันส่วนตัว ไม่อย่างนั้นจะไม่ล่อยไปง่ายๆ แน่นอน…ถ้านายท่านตู๋กูรู้สึกว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่มีเหตุผล ก็สามารถฟ้องขึ้นไปเบื้องบนได้เลย!”


“ท่าน…” ตู๋กูอู๋เผยสีหน้าเดือดดาล


ไม่นานก็เริ่มตรวจสอบคำให้การของเหมียวอี้แล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสัญญาได้รับการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวยอมรับว่าให้คำสัญญานั้นไว้กับเหมียวอี้จริงๆ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ว่าทั้งสองจะต้องปรึกษากันไว้แล้วแน่นอน


สำหรับเรื่องที่เจียงอีอีหนีไป ฝั่งนี้ก็สอบถามคนจำนวนไม่น้อยที่เคยไล่จับเจียงอีอี ผลก็คือสอดคล้องกับสิ่งที่เหมียวอี้บอก พิสูจน์แล้วว่าเจียงอีอีเป็นคนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุทองและธาตุดินได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นกรณีที่หาพบได้ยาก สถานการณ์ที่เหมียวอี้พบนั้น มีคนไม่น้อยที่เคยประสบมาแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จับตัวเจียงอีอีได้ยาก


ส่วนคนที่เปิดเผยให้เหมียวอี้รู้ถึงเส้นทางหลบหนีของเจียงอีอี ผู้สืบสวนสามหน่วยงานก็สืบเจอแล้วเช่นกัน ที่น่านฟ้าระกาติงมีคนที่ชื่อโจวหลางอยู่จริงๆ แต่กลับพบว่าคนคนนี้รบตายที่น่านฟ้าระกาติงแล้ว จากนั้นก็พบของของโจวหลางที่กำลังพลธงมังกรน้ำเงินเก็บรวบรวมไว้ เจอระฆังดาราที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว ด้านหนึ่งก็ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้กับโจวหลางติดต่อกัน


แต่สิ่งนี้สามารถปลอมแปลงได้อยู่แล้ว เพราะโจวหลางตายไปแล้ว คนตายไม่สามารถให้การได้!


แล้วทำไมเจียงอีอีต้องจับตัวอวิ๋นจือชิวตัวปลอม หรือจงใจจะเสี้ยมให้กองทัพองครักษ์กับอำนาจท้องถิ่นเข่นฆ่ากันเอง? นี่คือปัญหาใหญ่ แต่ก็ไม่รู้อีกว่าเจียงอีอีอยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้เลย


จากเหตุการณ์ที่ได้ขากพยานคำพูดและพยานวัตถุต่างๆ ก็พบว่าฉู่จื่อซานนำกำลังพลมาบังเอิญเจอกับกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ และฉู่จื่อซานก็ออกคำสั่งให้ลงมือก่อนจริงๆ ผลของการสืบสวนทำให้หนิวโหย่วเต๋อได้เปรียบ


แต่ถ้าดูจากรายละเอียด ทุกคนก็ล้วนเข้าใจ ว่านี่คือกับดักที่หนิวโหย่วเต๋อวางไว้ หนิวโหย่วเต๋อลูบคลำ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมต่อหน้าฉู่จื่อซาน ฉู่จื่อซานที่กำลังจะแต่งงานกับนางถึงได้เดือดดาลแล้วออกคำสั่งโจมตี ทว่าเหมียวอี้ยืนกรานว่ารู้เรื่องของฉู่จื่อซานกับอวิ๋นจือชิว แล้วทุกคนที่รู้ความจริงก็ไม่มีใครให้การที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อเหมียวอี้เลย แล้วเจ้าจะทำอะไรเขาได้ล่ะ?


วังสวรรค์ ประมุขชิงที่อยู่หาความสุขกับสนมสวรรค์หรูอี้สองสามวันเดินออกมา ซ่างกวนชิงรอต้อนรับอยู่ตรงประตู แล้วเดินออกไปด้วยกัน


“สืบคดีที่น่านฟ้าระกาติงเป็นยังไงบ้างแล้ว?” ประมุขชิงถามอย่างไม่ใส่ใจ


ซ่างกวนชิงเล่าสถานการณ์ทางนั้นให้ฟังโดยละเอียดทันที


หลังจากได้ฟังแล้ว ประมุขชิงก็ถามอย่างลังเลว่า “หลักฐานทุกอย่างได้พิสูจน์แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่มีบางอย่างที่เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ อย่าบอกนะว่าคดีที่น่านฟ้าระกาติงเป็นความบังเอิญจริงๆ?”


ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยโทนเสียงที่ต่ำลงว่า “ฝ่าบาท เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชนในมือบ่าว นี่เป็นความลับของสมาคมวีรชน แม้แต่ในสมาคมวีรชนเองก็ยังมีคนรู้ไม่เยอะ สมาคมวีรชนสังเกตพบกลุ่มคนต้องสงสัย จึงส่งเจียงอีอีไปคลุกคลีด้วยอย่างลับๆ หลังจากเกิดคดีขึ้น บ่าวก็ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ ตามที่ได้รับรายงานมา จนกระทั่งตอนนี้เจียงอีอีก็ยังปฏิบัติภารกิจลับอยู่ อยู่ไกลจากสถานที่เกิดเหตุมาก ไม่สามารถเสนอหน้าไปก่อคดีได้เลย เจียงอีอีก็ปฏิเสธว่าทำเรื่องนี้เช่นกัน”


ประมุขชิงเข้าใจแล้ว จึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เป็นเจ้าลูกลิงนั่นสร้างสถานการณ์จริงๆ ใจกล้าไม่เบา เกรงว่าต่อให้นอนฝันเขาก็คงนึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน!” ทว่าเขาไม่ได้สืบสาวเอาความกับเรื่องนี้ กลับบอกด้วยมุมมองที่ต่างออกไปว่า “แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าลูกลิงนั่นพูดไม่ผิด และไม่ได้ทำผิดด้วย กองทัพองครักษ์ของข้าจะยอมจำนนให้คนอื่นได้อย่างไร? เจ้าลูกลิงนั่นมีนิสัยที่เป็นปัญหาไม่น้อยเลย แต่ทิศทางและจุดยืนไม่มีปัญหา ข้าชื่นชม! คนหนุ่มไงล่ะ ก็อารมณ์ร้อนเป็นธรรมดา ทำอะไรบุ่มบ่ามไปบ้างก็พอเข้าใจได้ นิสัยเสียเล็กน้อยสามารถขัดเกลากันได้ มีใครบ้างล่ะที่ไม่มีจุดด่างพร้อยเลย แต่ถ้าปัญหามาจากสันดานจริงๆ นั่นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

 

 

 


บทที่ 1562 ถึงคราวพวกเราออกโรงแล้ว!

 

นิสัยเสียเล็กน้อย? กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นเข่นฆ่ากันจนเลือดนองเป็นแม่น้ำแล้ว มีคนตายไปแล้วหลายแสนคน ยังนับเป็นนิสัยเสียเล็กน้อยด้วยเหรอ?


ซ่างกวนชิงพึมพำในใจ ค่อนข้างพูดไม่ออก แต่เขาก็รู้ว่าใต้หล้านี้เป็นของประมุขชิง ขอเพียงประจบให้ประมุขชิงนิยมชมชอบได้ ต่อให้ผิดแต่ก็จะกลายเป็นถูกอยู่ดี ขอเพียงใจประมุขชิงคิดว่าเจ้าทำถูก นั่นก็แปลว่าเจ้าถูก แต่ถ้ายั่วโมโหให้ประมุขชิงรำคาญใจ ต่อให้เจ้าทำดีแค่ไหน แต่ก็จะสงสัยว่าเจ้ามีเจตนาแอบแฝง คนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรสักเท่าไรเลย


เขามองไปยังหมู่ตำหนักที่สูงต่ำสลับกันโดยรอบ ในบรรดาวังหลังก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน บรรดาหญิงงามจำนวนนับไม่ถ้วน มีคนไหนบ้างที่ไม่อยากประจบให้ได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ขอเพียงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท อย่าว่าแต่สามารถโอ้อวดความสูงส่งของตัวเองต่อหน้าคนอื่นได้เลย วาสนายังแผ่ไปถึงครอบครัวที่อยู่นอกวังได้ด้วย ทำผิดเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยกตัวอย่างเช่นสนมสวรรค์หรูอี้แห่งตำหนักบูรพา เห็นอยู่ชัดๆ ว่ารักษาระยะห่างกับฝ่าบาทมาตลอด แต่ฝ่าบาทกลับคิดว่านางเป็นคนตรงไปตรงมา มักจะถ่อไปหาสนมที่ใบหน้าเย็นชาคนนั้นเสมอ ทำให้คนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นี่ก็คือการได้รับความนิยมชมชอบจากฝ่าบาท เรื่องราวต่างกัน แต่หลักการกลับเหมือนกัน


ซ่างกวนชิงรู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่โพ่จวิน ที่จะกล้าพูดทุกอย่างกระแทกหน้าประมุขชิง สิ่งที่โพ่จวินพูดได้ แต่โพ่จวินกลับพูดไม่ได้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่อาจพูดขัดใจประมุขชิง ควรจะเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินจะฝืนเกลี้ยกล่อมประมุขชิงได้อย่างไร


หนิวโหย่วเต๋อพูดจาประจบให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท สนมสวรรค์หรูอี้เย็นชาใส่ฝ่าบาทจนได้รับความโปรดปราน ส่วนโพ่จวินก็เอาแต่เถียงจนฝ่าบาทไปต่อไม่เป็นถึงได้รับความโปรดปราน สามวิธีการช่วงชิงหัวใจราชันที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แต่ในสายตาซ่างกวนชิงกลับมีจุดที่เหมือนกัน เป็นเพราะทั้งสามมีนิสัยแบบนี้มาตลอด ในสายตาฝ่าบาทนี่คือความจริงใจตรงไปตรงมา


หนิวโหย่วเต๋อ ตั้งแต่วันแรกที่ฝ่าบาทรู้จักชื่อนี้ เจ้าตัวก็มักจะทำแบบนี้มาตลอด นั่นก็คือกล้าด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งต่อหน้าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ไม่ว่าปากเจ้าหมอนี่จะพูดอะไรออกมา ก็ทำให้ฝ่าบาทเชื่อได้ง่ายว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเป็นการสอบสวนแบบเดียวกันแล้วคำพูดเด็ดเดี่ยวองอาจผึ่งผายแบบนี้ออกมาจากปากคนอื่น ในสายตาฝ่าบาทก็อาจจะสงสัยว่าเสแสร้งแกล้งทำ ส่วนสนมสวรรค์หรูอี้ก็ทำสีหน้าเย็นชาใส่ฝ่าบาทมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ถ้าสนมคนอื่นเอาเยี่ยงอย่างบ้าง ในสายตาฝ่าบาทก็จะมองว่าเสแสร้ง กลับจะทำให้ฝ่าบาทรังเกียจด้วยซ้ำ ส่วนโพ่จวินก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั้งแต่ติดตามรับใช้ฝ่าบาทมาก็มักจะเถียงกับฝ่าบาทเสมอ ถ้าคนอื่นเปลี่ยนลักษณะของตัวเองแล้วพูดจาเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินบ้าง ก็จะต้องโดนตัดหัวแน่นอน


แน่นอน เขาไม่จำเป็นต้องกล่าวชมอะไรเช่นกัน แต่เปลี่ยนประเด็นสนทนากับประมุขชิง “สามหน่วยงานที่ร่วมสอบสวน ทางทัพตะวันตกร้องเรียนมา ว่าทูตขวาเกาจงใจขังคนของอ๋องสวรรค์ไว้”


ประมุขชิงบอกว่า “ใครใช้ให้พวกเขาเป็นฝ่ายไปตกอยู่ในมือเก้ากวนเองล่ะ เรื่องนี้เก้ากวนรายงานขึ้นมาแล้ว! ข้าให้เก้ากวนรีบจบคดี แต่สี่ตระกูลนั้นกลับถ่วงเวลาอยากจะกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อประนีประนอม โดยเฉพาะฝั่งตระกูลก่วง! เก้ากวนตัดขาดการติดต่อระหว่างสี่ตระกูลนั้นกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ขณะเดียวกันก็กำลังจับตัวคนของสี่ตระกูลนั้นเป็นตัวประกัน ถ้าคดีน่านฟ้าระกาติงยังไม่จบ เก้ากวนก็จะไม่ปล่อยคน เก้ากวนขอให้ข้าสั่งให้หน่วยตรวจการซ้ายให้ความร่วมมือแล้ว เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ให้สอบสวนเรื่องอะไรนิดหน่อยมาข่มสี่ตระกูลนั้นไว้ จะได้จบคดีนี้ได้เร็วๆ! เรื่องนี้เก้ากวนจัดการได้อย่างงดงาม ข้าจะมอบความกดดันเล็กน้อยให้พวกเขาต้านไว้!”


“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงพยักหน้ารับปาก


ถ้าเบื้องบนประนีประนอมเรื่องนี้กันได้ เรื่องของคนระดับล่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรแล้ว ไม่นานก็ได้บทสรุปของคดีน่านฟ้าระกาติงแล้ว


ตัวประกันของสี่ตระกูลถูกบีบอยู่ในมือเก้ากวน เรื่องที่ขุนนางในราชสำนักขอให้สืบสวนกองทัพองครักษ์ที่ยัดคนเข้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกระงับไว้อย่างพอดิบพอดี ความรับผิดชอบของเซวียนหยวนจัวก็ไม่มีใครเอาเรื่องอีก คดีน่านฟ้าระกาติงได้บทสรุปว่า หนิวโหย่วเต๋อแค่นำกำลังพลโจมตีกลับเพราะปกป้องตัวเองเท่านั้น ทุกคนของน่านฟ้าระกาติงก็ไม่เป็นอะไร พวกเขาแค่ได้รับคำสั่งให้ทำงาน ทุกคนไม่เป็นอะไร แต่ความรับผิดชอบนี้จะต้องมีคนแบกรับไว้ ดังนั้นฉู่จื่อซานที่ตายไปจึงโชคร้ายที่สุด ความรับผิดชอบทุกอย่างไปรวมอยู่ที่ตัวฉู่จื่อซานคนเดียว


เมื่อคดีได้บทสรุปในราชสำนักแล้ว ในที่สุดเก้ากวนก็มีเวลาว่างไปสืบสวนคนของสี่อ๋องสวรรค์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมเป็นผลจากการที่เบื้องบนยอมประนีประนอมกัน คนของสี่ตระกูลไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องด้วยจึงถูกปล่อยตัว


คดีที่ใหญ่สะเทือนฟ้า เดิมทีไม่รู้ว่าจะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งมากมายขนาดไหน แต่สุดท้ายจากเรื่องใหญ่กลับกลายเป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กกลายเป็นไม่มี เหมือนคลื่นลมที่ก่อตัวขึ้นสูง แล้วก็ผ่านไปเบาๆ ตลาดสวรรค์กลับมาคึกคักรุ่งเรืองเหมือนที่ผ่านมาแล้ว


ดังนั้นทุกคนก็แทบจะถูกปล่อยตัวออกมาหมดแล้ว แต่หลังจากออกมาแล้วเหมียวอี้กลับพบความไม่ชอบมาพากล มีแค่อวิ๋นจือชิวที่ยังถูกขังอยู่ ไม่ถูกปล่อยตัวออกมา


เหมียวอี้รีบไปขอคำตอบจากอวี่จ้งเจินที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารททันที แต่พอไปถึงประตูกลับบังเอิญเห็นเกาก้วนกำลังจะนำกำลังพลออกไปพอดี เขาจึงดักเก้ากวนเอาไว้ ทำความเคารพแล้วถามว่า “ทูตขวาเกา ข้าน้อยขอคำชี้แนะ อวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? ทำไมยังไม่ปล่อยตัวนางออกมา?”


“กองทัพองครักษ์ของพวกเจ้าเป็นคนควบคุมตัวไว้ เรื่องดำเนินการตามกฎเจ้าไม่ควรมาถามข้า” เก้ากวนพูดทิ้งท้ายแล้วนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป


เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ตรงประตู ฟังเข้าใจความหมายที่เก้ากวนสื่อแล้ว คนที่กักตัวไว้ไม่ปล่อยก็คืออวี่จ้งเจิน ไม่เกี่ยวอะไรกับเก้ากวน


ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะมีคนสองคนตะโกนเรียก


“นายท่านหนิว ตึกจันทราดาราเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยง!”


“นายท่านหนิว เรือนเจิดจรัสเตรียมงานเลี้ยงไว้เพื่อดเนินการนัดหมายก่อนหน้านี้ต่อ”


เหมียวอี้หันตัวไปมอง พบว่าเป็นเจ้าพวกคนน่ารำคาญ เขาไม่มีอารมณ์จะต้อนรับขับสู้ “หัวหน้าภาคเรียกพบ มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง” พูดจบก็เดินก้าวยาวเข้าไปในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท


โถงฉากเมฆา ถังเฮ่อเหนียนที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนดูสง่างามเพิ่งจะเดินออกจากประตูห้องอาบน้ำ โค่วเหวินหลานกับผู้จัดการใหญ่เสิ่นติงเฉินที่รออยู่ข้างนอกก็เข้ามาหาทันที ย่อมเป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะรายงานอยู่แล้ว


“มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่ยังไม่ถูกปล่อยตัว?” ถังเฮ่อเหนียนลูบเคราะพลางพึมพำ หลังจากขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “รู้อยู่แล้วว่าการป่วนแผนของฝั่งวังสวรรค์ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ไปกันเถอะ พวกเขาวุ่นวายกันเสร็จแล้ว ทุกเรื่องเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวที่พวกเราจะออกโรงแล้ว”


โค่วเหวินหลานกับเสิ่นติงเฉินมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วสุดท้ายก็รีบก้าวตามไป


ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ในตึกศาลาที่หรูหรา พอเหมียวอี้เห็นอวี่จ้งเจินก็กุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะทันที “นายท่านหัวหน้าภาค เรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าทำไมยังขังอวิ๋นจือชิวไม่ยอมปล่อย?”


อวี่จ้งเจินโบกมือไล่ทุกคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาให้ถอยออกไปก่อน แล้วเอามือไขว้หลังเดินช้าๆมาตรงหน้าเหมียวอี้ จ้องประเมินเหมียวอี้พักใหญ่ สุดท้ายก็บอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว แต่ความจริงเป็นอย่างไรทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ เจ้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่ลงโทษเลย แล้วจะคุมคนที่เหลือได้ยังไง? ถ้าในภายหลังมีคนเอาเยี่ยงอย่างเจ้าบางจะทำยังไง? เบื้องบนของหน่วยงานนี้พอจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว เกรงว่าเจ้าคงจะอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคนี้ไม่ได้อีก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะโดนลงโทษให้ลดตำแหน่งสองขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ เจ้าเตรียมใจไว้เถอะ ในเมื่อทำเรื่องแบบนี้แล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา! ให้พวกลูกน้องเตรียมตัวสักหน่อย กลับไปรอบทสรุปการลงโทษที่อุทยานหลวงเถอะ!”


เหมียวอี้กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เบื้องบนจะลงโทษยังไงข้าก็ยอมรับทั้งนั้น แต่ที่ข้าน้อยไม่เข้าใจก็คือ ทำไมถึงไม่ปล่อยอวิ๋นจือชิวออกมา?”


อวี่จ้งเจินตอบเสียงเรียบว่า “ไม่ได้บอกว่าจะไม่ปล่อยนาง! เพียงแต่บรรดาเหนียงเหนียงที่วังสวรรค์บอกว่าเครื่องประดับของหออวิ๋นฮว๋าสวยใช้ได้เลย ผู้การใหญ่ซ่างกวนจึงสั่งมา ว่าให้พาอวิ๋นจือชิวนำเครื่องประดับไปส่งที่วังสวรรค์ด้วยกัน”


“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เขาก็ยังไม่ค่อยวางใจ ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่วังหลัง จึงตอบว่า “อวิ๋นจือชิวไม่เคยได้เข้าสังคม กลัวว่าจะไปทำอะไรล่วงเกินเหล่าสนม ไม่สู้จะให้ข้าน้อยกับอวิ๋นจือชิวปรึกษากันก่อนดีมั้ยขอรับ ข้าน้อยนำเครื่องประดับไปส่งให้ก็สิ้นเรื่องแล้ว”


อวี่จ้งเจินบอกว่า “ไม่ต้องแล้ว ผู้การซ่างกวนบอกมาชัดเจนว่าให้อวิ๋นจือชิวไปด้วยตัวเอง”


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ตกใจ “ทำไมต้องให้อวิ๋นจือชิวไปด้วยตัวเอง?”


อวี่จ้งเจินทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามหน่อยว่าเจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่? อย่าคิดว่าเบื้องบนไม่รู้ว่านะว่าลูกน้องคนสนิทของสี่อ๋องสวรรค์มาโผล่อยู่ที่นี่เพราะเรื่องอะไร หรือเจ้าคิดว่าคนของสี่ตระกูลนั้นจะปล่อยอวิ๋นจือชิวไปง่ายๆ? เบื้องบนกังวลว่าสี่ตระกูลนั้นจะเอาใช้อวิ๋นจือชิวมากดดันเจ้า อาศัยกำลังของเจ้าจะต้านทานไหวเหรอ? ผู้การซ่างกวนมีเจตนาดี ที่บอกว่าบรรดาเหนียงเหนียงอยากดูเครื่องประดับน่ะโกหก ที่จริงเป็นข้ออ้างในการปกป้องอวิ๋นจือชิว อยากจะช่วยให้พวกเจ้าสองคนสมหวังก็เท่านั้นเอง เข้าใจแล้วใช่มั้ย?”


เป็นอย่างนี้นี่เอง! เหมียวอี้โล่งอก แต่ก็ยังขมวดคิ้วอีก อวิ๋นจือชิวไม่อาจอยู่ที่วังสวรรค์ได้ตลอดไป แต่ต่อให้สามารถอยู่ที่วังสวรรค์ได้ต่อไป อำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ก็ยื่นเข้าไปในวังหลังตั้งนานแล้ว ถ้าพูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ต่อให้อวิ๋นจือชิวจะอยู่อย่างปลอดภัยที่วังสวรรค์ แต่นั่นก็เท่ากับกลายเป็นตัวประกันในมือตำหนักสวรรค์แล้ว ถ้าความลับของเขาถูกเปิดโปงขึ้น อวิ๋นจือชิวก็จะเป็นคนแรกที่ซวย


“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลอะไร ไม่ต้องกังวล ผู้การซ่างกวนอยู่ที่วังสวรรค์ ถ้าอยากจะปกป้องใครสักคนก็ไม่มีปัญหา ขนาดราชินีสวรรค์ก็ยังต้องเคารพผู้การใหญ่สามส่วนเลย ใครจะกล้าลงมือกับคนที่ผู้การซ่างกวนปกป้องล่ะ นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่ ไม่อยากอยู่ที่วังสวรรค์แล้วเท่านั้นแหละ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดมากเลย!” อวี่จ้งเจินยกมือตบบ่าเหมียวอี้ แล้วบอกอีกว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน สี่ตระกูลจะเกาะแกะเจ้าไม่ปล่อย จะหาช่องโหว่ลงมือกับเจ้า เตรียมกำลังพลกลับอุทยานหลวงเดี๋ยวนี้ ข้าจะเป็นโล่กำบังให้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าดันทุรังเข้ามา! ไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ อย่าถ่วงเวลา!”


“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ หยิบระฆังดาราออกมาสั่งมู่อวี่เหลียนให้จัดกำลังพลกลับไป


ผ่านไปไม่นาน กำลังลพกองทัพองครักษ์ที่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนทั้งหมดก็มารวมตัวกันแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถูกกองทัพองครักษ์คุ้มกันให้กลับหออวิ๋นฮว๋าไปหยิบเครื่องประดับมาไม่น้อยเช่นกัน จากนั้นก็ไปเจอเหมียวอี้ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท


โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ต้วนหงที่ได้รับข่าวจึงปลอมใบหน้าและปรากฏตัวแล้ว มาเจอกันบนภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขายืนอยู่ริมหน้าต่าง ได้แต่มองเหมียวอี้ปะปนอยู่กับกลุ่มคนของกองทัพองครักษ์และเดินออกจากประตูใหญ่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทไป


หลายครั้งที่คนฝั่งนั้นอยากจะส่งคนมาเข้าใกล้เหมียวอี้ แต่ก็ไม่มีหนทางเลย ทุกคนถูกอวี่จ้งเจินขวางไว้ สาเหตุก็เป็นเพราะกองทัพองครักษ์ต้องควบคุมตัวหนิวโหย่วเต๋อกลับไปสอบสวนที่กองทัพองครักษ์ เรื่องที่น่านฟ้าระกาติงผ่านไปแล้ว แต่เรื่องที่ฆ่าทหารในตลาดสวรรค์ยังไม่จบ


ต่อให้ทุกคนจะใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าฝืนแย่งคนจากมืออวี่จ้งเจิน ถูกอวี่จ้งเจินเล่นงานจนหมดแผนการจะรับมือ ความได้เปรียบของฝ่ายวังสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่สี่อ๋องจะเทียบติด


“ถังเฮ่อเหนียนล่ะ?” จู๋ๆ จั่วเอ๋อร์ก็รู้ตัว แล้วหันซ้ายหันขวาถาม


ทั้งสามมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องนี้ ตระกูลโค่วเงียบเกินไปหน่อย


นอกเมือง พอกำลังพลกองทัพองครักษ์เหาะขึ้นไปบนฟ้าได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีเงาคนหลายคนทยอยกันเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถังเฮ่อเหนียนที่ปรากฏตัวคนสุดท้ายมาขวางหน้าทัพใหญ่เอาไว้


อวี่จ้งเจินโบกมือห้ามทัพใหญ่ จ้องพวกเขาด้วยสีหน้าระแวดระวัง แล้วจะโกนถามว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”


ใครจะคิดว่าถังเฮ่อเหนียนจะค่อยๆ โค้งเอวให้อวิ๋นจือชิวที่อยูท่ามกลางคนกลุ่มนั้น พร้อมกล่าวอย่างเคารพว่า “บ่าวคารวะคุณหนู!” เสียงดังฟังชัดมาก


โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างกันรู้สึกเซ็งในใจ แต่กลับทำความเคารพเช่นเดียวกัน “เหวินหลานคารวะอาหญิง!” เสียงดังก้องไม่แพ้กัน

 

 

 


บทที่ 1563 พวกเราแพ้แล้ว

 

ยังไม่หมดเท่านั้น พวกเสิ่นติงเฉินที่ติดตามมาก็ทำความเคารพพร้อมกันด้วย “บ่าวคารวะคุณหนู”


คุณหนูเหรอ? คุณหนูอะไร? กองทัพองครักษ์วุ่นวายนิดหน่อย อวี่จ้งเจินหันขวับไปมองข้างหลัง ตรงนี้มีคุณหนูของตระกูลโค่วตั้งแต่เมื่อไร? ตอนที่เขาไปทำงานประจำที่วังสวรรค์ เขาก็เคยเห็นลูกสาวหลานสาวของตระกูลโค่วมาก่อน เขากวาดสายตามองผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางกำลังพลข้างหลัง


เมื่อสังเกตได้ถึงความไม่ปกติ โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ต้วนหงและคนอื่นๆ ที่รีบร้อนตามมานอกเมืองก็เงยหน้ามองข้างบน พอได้ยินคำว่า ‘คุณหนู’ ก็เรียกได้ว่าสีหน้าเปลี่ยนไปมาก พวกเรารู้ได้ในทันที ตระหนักได้แล้วว่าคุณหนูที่เรียกนั้นอาจจะหมายถึงอวิ๋นจือชิว


อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้เหม่องงเหมือนไม่รู้อะไรสักอย่าง และนี่ก็คือการบอกเป็นนัยเช่นกัน


ขณะที่ทั้งข้างล่างข้างบนกำลังแปลกใจ ถังเฮ่อเหนียนก็กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “พวกเราได้รับคำสั่งให้มาอารักขาคุณหนูขอรับ นี่คุณหนูต้องติดตามกองทัพองครักษ์ไปที่ไหน?”


“ท่านอาถัง ทางวังสวรรค์ให้หออวิ๋นฮว๋าส่งเครื่องประดับไปดูสักหน่อยค่ะ” ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็ตอบแล้ว


เมื่อกล่าวแบบนี้ ก็เท่ากับยอมรับในความสัมพันธ์ของตัวเองกับตระกูลโค่วแล้ว สายตาของทุกคนพลันจ้องไปบนตัวอวิ๋นจือชิว ทุกคนต่างก็งุนงง พ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์โค่วเรียกอวิ๋นจือชิวว่าคุณหนูเหรอ? อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่ว?


เป็นนางจริงๆ ด้วย! พวกโกวเยว่ที่อยู่นอกประตูเมืองด้านล่างทำสีหน้าไม่ถูก รู้สึกเหมือนโดนตบจนทำอะไรไม่ถูกในชั่วพริบตาเดียว


สายตาของอวี่จ้งเจินพลันย้ายจากหน้าอวิ๋นจือชิวไปบนหน้าเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววเกรี้ยวโกรธ ถามอย่างดุร้ายว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนตกตะลึงมากเช่นกัน “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”


“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!” ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า แล้วกุมหมัดคารวะให้อวี่จ้งเจินอีก “หัวหน้าภาคอวี่ อ๋องสวรรค์รับคุณหนูเป็นบุตรสาวบุญธรรมมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้พอได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนู ก็เลยแอบส่งพวกเรามาคุ้มครองเป็นพิเศษ! ท่านอ๋องสวรรค์กำชับไว้ว่า ถ้าฝั่งนี้เสร็จเรื่องแล้ว ก็ให้พาคุณหนูกลับจวนไปให้พ่อลูกได้เจอกัน จะให้คุณหนูกลับจวนไปกับพวกเราก่อนได้หรือไม่ จากนั้นจวนท่านอ๋องจะส่งนางไปที่วังสวรรค์ ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”


บุตรสาวบุญธรรม? พวกโกวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ หลังจากตั้งสติได้แล้ว ทุกคนก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก แต่ละคนโมโหจนแทบกระอักเลือด แผนสำรองอันเงียบงันของตระกูลโค่วเป็นแบบนี้เองเหรอ แผนการที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนแบบนี้ ทำไมทุกคนถึงคิดไม่ได้นะ!


ทว่าใครจะคิดไปทางนั้นได้ล่ะ? ตระกูลตัวเองก็มีลูกสาวแล้ว ถ้าอยากจะแต่งงานเชื่อสัมพันธ์ ต้องส่งคนที่มีสายเลือดตระกูลตัวเองกับคนที่เป็นญาติสนิทไปสิถึงจะน่าไว้ใจที่สุด ถ้าภายใต้สถานการณ์ที่มีทางเลือก ใครจะไปรับลูกสาวบุญธรรมที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้วส่งออกไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ล่ะ? แบบนี้ไม่ใช่การกระทำที่เกินความจำเป็นเหมือนถกกางเกงผายลมรึไง?


แต่ตระกูลโค่วดันทำแบบนี้แล้ว มีผู้หญิงในตระกูลที่ไว้ใจได้ไม่ยอมใช้ ไม่น่าเชื่อว่าจะรับบุตรสาวบุญธรรมคนนี้มาจู่โจมกะทันหัน วิธีการนี้เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว โหดเกินไปจริงๆ ทำเอาทุกคนเหม่องงได้ในรวดเดียว


พวกโกวเยว่เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ละคนสิ้นเปลืองความคิดวิ่งเต้นทำงานมานานขนาดนี้ แต่พบว่าถูกตระกูลโค่วปั่นหัวได้โหดมาก จำเป็นต้องยอมรับว่าตระกูลโค่วร้ายกาจเกินไปจริงๆ ในขณะที่ฝั่งพวกเขากดดัน ก็เท่ากับกดดันจนอวิ๋นจือชิวจดจำน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลโค่วแล้ว ทำให้ ‘บุตรสาวบุญธรรม’ กลายเป็นคำมีความหมายขึ้นเยอะ เท่ากับทำให้ตระกูลโค่วสมปรารถนา ทุกคนถูกตระกูลโค่วหลอกใช้แล้ว!


พวกโกวเยว่มองไปที่ถังเฮ่อเหนียนด้วยแววตาที่ค่อนข้างเดือดดาล ไม่น่าเชื่อว่าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้จะพาโค่วเหวินลวี่มาด้วย เจ้าเวรนี่มันกำลังจงใจตบตาให้ทุกคนเข้าใจผิดชัดๆ!


บุตรสาวบุญธรรมเหรอ? ทั้งยังรับบุตรสาวบุญธรรมมาหลายปีแล้วด้วย? แล้วตอนฉู่จื่อซานต้องการจะบังคับแต่งงานกับนางเจ้าไปไหนแล้วล่ะ? ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อล่วงเกินแล้วบังคับอุ้มไปตอนอยู่บนกำแพงเมือง พวกเจ้าไปไหนกันแล้วล่ะ? มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ! อวี่จ้งเจินมองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามอย่างดุร้ายว่า “เจ้ากล้าบอกเหรอว่าเจ้าไม่รู้?”


ต่อให้ตีให้ตายเหมียวอี้ก็ไม่ยอมรับ “ท่านหัวหน้าภาค ข้าไม่รู้จริงๆ ไม่เคยได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”


อวี่จ้งเจินหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น “หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะอธิบายกับทางวังสวรรค์ยังไง!” เขาหันขวับไปทางถังเฮ่อเหนียน แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “ข้าเปลี่ยนแปลงประสงค์ของวังสวรรค์ไม่ได้ ท่านถัง ขออภัย คนนี้! ข้าต้องพาตัวไป!”


พอได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ ในดวงตาของเหมียวอี้ก็ฉายแววกังวล


ถังเฮ่อเหนียนกวาดตามองเหมียวอี้ เหมือนเดาออกแล้วว่าเชากังวลอะไร จึงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สะดวกจะฝืนใจ คุณหนูไปที่วังสวรรค์ก่อนเถอะ คาดว่าท่านอ๋องคงรออยู่ที่วังสวรรค์แล้ว” จากนั้นก็ตะโกนว่า “เด็กๆ!”


พรึ่บๆ! นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสิบกว่าคนถลันตัวมาอยู่ทางซ้ายและขวา ก่อนที่ถังเฮ่อเหนียนจะกำชับเสียงต่ำว่า “ตามอารักขาคุณหนูไปตลอดทาง ถ้าขุนหนูผมร่วงไปแม้แต่เส้นเดียว พวกเจ้าถือหัวมาให้ข้าได้เลย!”


“ขอรับ!” นักพรตสิบกว่าคนนั้นกุมหมัดคารวะพร้อมกัน


เหมียวอี้ได้ยินแล้วโล่งใจ ระหว่างทางมีคนปกป้อง ทางวังสวรรค์มีอ๋องสวรรค์โค่วออกหน้าคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว


อวี่จ้งเจินหันกลับมาจ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบอีกครั้ง แล้วตะคอกว่า “ไป!”


ทำงานจนผลลัพธ์กลายเป็นแบบนี้ ไม่เดือดดาลก็แปลกแล้ว เขาโบกมือนำคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว


นักพรตสิบกว่าคนที่ตระกูลโค่วส่งมาติดตามไปโดยคุ้มกันอยู่ตรงซ้ายขวาบนล่างของกองทัพองครักษ์


ถังเฮ่อเหนียนที่มองตามลูกเคราพลางหรี่ตายิ้ม สำเร็จแล้ว!


โค่วเหวินหลานยังกังวลอยู่นิดหน่อย ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ท่านปู่ถัง ประกาศเรื่องบุตรสาวบุญธรรมเร็วไปหน่อยหรือเปล่า จะสร้างปัญหาให้เหมียวอี้หรือเปล่า?”


ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าบอกว่า “ถ้าช้ากว่านี้ เกรงว่าทุกอย่างจะสายไปแล้ว ท่านคิดว่าพวกเขาเรียกอวิ๋นจือชิวไปทำอะไรที่วังสวรรค์? ไม่ช้าก็เร็วจะต้องช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวสมหวัง ดีไม่ดีวังสวรรค์อาจจะเล่นละครปาหี่ประทานงานสมรสก็ได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่จะให้ทางวังสวรรค์เก็บเกี่ยวผลไป! ทำให้วังสวรรค์เล่นละครปาหี่ไม่ออก บ่าวสาวคู่นี้ถึงจะจดจำน้ำใจของตระกูลโค่ว ส่วนหนิวโหย่วเต๋อ ปัญหายุ่งยากก็มีบ้างอยู่แล้ว แต่คดีใหญ่มีบทสรุปออกมาแลว เป็นไปไม่ได้ที่วังสวรรค์จะพลิกคดีตบหน้าตัวเอง มีท่านอ๋องคอยค้ำอยู่ทางนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!” โค่วเหวินหลานเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน


ในขณะนี้เอง โค่วเหวินหลานที่เฝ้าดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นจนจบก็นับว่ายอมรับนับถือถังเฮ่อเหนียนจากใจจริงแล้ว ภายใต้คำชี้แนะของถังเฮ่อเหนียน นับว่าเขามองเข้าใจแล้ว


เมื่อก่อนเขาคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้พ่อบ้านชราท่านนี้ออกหน้าด้วยตัวเอง เพราะเป็นการใช้งานน้อยกว่าความสามารถ ให้เขาโค่วเหวินหลานมาประกาศเรื่อง ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่พอมาดูตอนนี้กลับพบว่าไม่เป็นอย่างนั้นเลย เรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เรื่องรับบุตรสาวบุญธรรมเป็นการเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น ไม่ใช่การส่งถ่านให้ท่ามกลางหิมะ มีความหมายแตกต่างกัน น้ำใจที่แบกรับไว้ก็ต่างกันด้วย การคุมให้แต่ละฝ่ายสงบแล้วช่วยให้เหมียวอี้ผ่านด่านคดีน่านฟ้าระกาติงได้คือกุญแจสำคัญ ชี้แนะเหมียวอี้ให้รับมือกับตระกูลที่เหลือก็ยิ่งทำให้เหมียวอี้แบกรับน้ำใจนี้ แต่ถ้าปล่อยข่าวเร็วเกินไป ครั้งนี้เหมียวอี้ก็จะตายแน่นอน!


ยังมีอีกหลายตระกูล ถ้าตระกูลโค่วส่งเขามาคนเดียว ก็จะดึงดูดให้ตาแก่ตระกูลอื่นสงสัยแน่ ดังนั้นถึงแม้จะดูเหมือนไม่ซับซ้อน แต่ความจริงนั้นจะเร็วไปหรือช้าไปก็ไม่ได้ จะเบาก็ไม่ได้ จะหนักก็ไม่ได้ ไม่ว่าด้านไหนก็ต้องดูสถานการณ์เพื่อควบคุมไฟให้พอดี ตอนนี้โค่วเหวินหลานยังเล่นกับไฟไม่ได้ ครั้งนี้ทำให้เขาตระหนักได้แล้วว่าตัวเองยังห่างชั้นขนาดไหน


“นายน้อย บ่าวยังมีธุระอีก จะต้องไปก่อนแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนกุมหมัดคารวะ


โค่วเหวินหลานพยักหน้า “ท่านปู่ถังไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะกลับพร้อมพี่หญิงสี่”


ในขณะนี้เอง พวกโกวเยว่ถลันตัวเหาะขึ้นมาแล้ว จั่วเอ๋อร์แสยะยิ้ม “แซ่ถัง เจ้านี่ช่างไม่เลือกวิธีการเลยจริง!”


“ครั้งนี้นับว่าตระกูลโค่วของพวกเจ้าโหด!” โกวเยว่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ


“ก็พอๆ กันนั่นแหละ! ตาแก่คนนี้ขอตัวก่อน ขออภัยที่อยู่คุยด้วยไม่ได้!” ถังเฮ่อเหนียนกุมหมัดคารวะทุกคน จากนั้นโบกมือเรียกผู้จัดการใหญ่เสิ่นติงเฉินและคนอื่นๆ ให้เหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว


ตึกจันทราดารา ต้วนหงที่กลับมาแล้วไปหาฮ่าวชิงเยี่ยนที่ลานบ้านด้านหลัง แล้วกุมหมัดคารวะ “คุณหนู เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลอีกแล้วค่ะ พวกเรากลับกันได้แล้ว”


ฮ่าวชิงเยี่ยนที่ยืนซึมอยู่ข้างระเบียงหันกลับมาอย่างงงๆ “ผ่านไปแล้วเหรอ? หัวหน้าผู้ช่วยหมายความว่า ข้าไม่ต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วใช่มั้ย?”


ต้วนหงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ต่อให้อยากแต่งก็แต่งไม่ได้แล้ว ครั้งนี้บ่าวทำงานไม่ราบรื่น ทำให้ท่านอ๋องผิดหวังแล้ว! หลังจากกลับไป บ่าวจะขอให้ท่านอ๋องทำโทษ แต่ก็นับว่าสมใจปรารถนาคุณหนูแล้ว สุดท้ายก็สมหวังแล้ว” ประโยคสุดท้ายให้ความรู้สึกเหมือนเย้ยตัวเอง


เรือนเจิดจรัส จั่วเอ๋อร์เห็นอิ๋งเยว่ยังนั่งปักผ้าเหมือนเดิม หลังจากทำความเคารพก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณหนูคะ ครั้งนี้สมปรารถนาท่านแล้ว ท่านไม่ต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พวกเรากลับได้แล้วค่ะ”


อิ๋งเยว่ที่เดิมทีด้านชาเฉยชา พอได้ยินแบบนี้ก็หันขวับมองมา “ท่านพูดจริงเหรอ?”


จั่วเอ๋อร์ยิ้มเจื่อน “พวกเราแพ้แล้ว ปล่อยให้ตระกูลโค่วทำสำเร็จแล้วค่ะ”


อิ๋งเยว่เหมือนจะมีความโกรธขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว นางลุกขึ้นยืน สีหน้าดูตื่นเต้นดีใจอยู่หลายส่วน แต่ก็เจือด้วยความประหลาดใจบางส่วน “เป็นโค่วเหวินลวี่เหรอ? พี่หญิงลวี่จะแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอคะ?”


จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณหนูดูเหมือนหลุดพ้นแล้ว แต่บ่าวก็พูดสิ่งที่ไม่ควรจะพูด บางทีบ่าวอาจจะจัดการเรื่องนี้อย่างโหดร้ายใจดำไปหน่อย แต่ก็เพราะหวังดีกับคุณหนูค่ะ ผู้ชายที่บ่าวเคยเจอมีตั้งไม่รู้เท่าไร เลยพอจะมองคนออกอยู่บ้าง ตอนนี้คุณหนูอาจจะดีใจ แต่ต่อไปคุณหนูอาจจะหาผู้ชายที่เหมาะสมกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่เจอแล้วก็ได้ ไม่ได้หมายถึงอนาคตของหนิวโหย่วเต๋อเท่านั้น แต่หมายถึงด้านไมตรีจิตระหว่างชายหญิง ถ้าคุณหนูไม่เชื่อ ก็จดจำคำพูดของบ่าวเอาไว้นะคะ ครั้งนี้พลาดจากหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว ตราบใดที่ในอนาคตหนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีสักวันที่คุณหนูนึกเสียใจทีหลังแน่นอน ถึงตอนนั้นท่านจะเข้าใจว่าครอบครัวหวังดีกับท่าน!”


อิ๋งเยว่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “ท่านไม่ต้องห่วง อิ๋งเยว่จะไม่มีวันเสียใจทีหลังค่ะ!”


“เฮ้อ!” จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้า รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปนางก็คงไม่เข้าใจ และไม่อยากพูดมากด้วย จึงจูงมือนางพร้อมบอกว่า “คุณหนู พวกเรากลับกันเถอะค่ะ”


หอฉางเจิน เมื่อโกวเยว่พบเม่ยเหนียงและลูกสาว ก็ทำความเคารพแล้วบอกว่า “หวังเฟย พวกเรากลับจวนได้แล้วขอรับ”


เม่ยเหนียงถามด้วยแววตาวูบไหวเป็นประกาย “ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อตามกองทัพองครักษ์กลับไปแล้ว จะเจอกันที่อุทยานหลวงได้อีกหรือเปล่า?”


โกวเยว่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ไม่จำเป็นต้องเจอแล้วขอรับ ครั้งนี้ตระกูลโค่วได้ไปแล้ว บ่าวทำงานได้ไม่ดี พวกเราแพ้แล้ว”


เม่ยเหนียงมีปฏิกิริยาราวกับโดนเข็มแทงทันที ถลึงตาถามว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นโค่วเหวินลวี่? หนิวโหย่วเต๋อตาบอดไปแล้วรึเปล่า นางเด็กนั่นเทียบเม่ยเอ๋อร์ไม่ติดเลยสักนิด เป็นไปได้ยังไง?”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ค่อนข้างใจลอย หลายวันมานี้ในหัวนางนึกถึงภาพที่ตัวเองโอบกอดถูไถอยู่ข้างจอนหูเหมียวอี้ นึกถึงตอนที่เหมียวอี้ใช้มือบีบคลึงบนก้นนางไม่หยุด ใช้ชีวิตด้วยความอับอายทุกวัน ตอนนี้พอได้ยินแบบนี้แล้ว นางก็เงยหน้ามองโกวเยว่ตะลึงงันเช่นกัน


“อ๋องสวรรค์โค่วรับอวิ๋นจือชิวเป็นบุตรสาวบุญธรรม!” โกวเยว่แทบจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก


ตอนแรกเม่ยเหนียงยังฟังไม่เข้าใจ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้คิดทัน ถามอย่างตกใจไม่เบาว่า “จะเป็นไปได้ยังไง? ใช่ว่าตระกูลโค่วจะไม่มีผู้หญิงแล้ว ทำไมถึงใช้บุตรสาวบุญธรรมที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ล่ะ?”


ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ใครจะไปคาดคิดล่ะ? โกวเยว่หลับตาพยักหน้าอย่างจนใจ ยืนยันกับนางอีกครั้ง

 

 

 


บทที่ 1564 นับว่าเจ้าพูดภาษาคนเป็นแล้ว

 

เม่ยเหนียงค่อยๆ หลับตาสองข้าง แล้วจู่ๆ ก็ส่ายหน้าอีก ลืมตาบอกอย่างกระวนกระวายไม่ยอมแพ้ “พ่อบ้าน หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวนั่นยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันไม่ใช่เหรอ? น่าจะยังมีโอกาสเอาคืนได้นะ ใช่มั้ย?”


โกวเยว่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในระหว่างการสอบสวน หนิวโหย่วเต๋อยอมรับต่อหน้าทุกคนแล้วว่าตัวเองนอนกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ยอมรับแล้วว่าอวิ๋นจือชิวคือผู้หญิงของเขา นั่นคือบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อรับผิดชอบลูกสาวเขา นั่นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ฝ่าบาทไม่มีเหตุผลอะไรจะไปห้ามได้เช่นกัน! ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ถ้าบ่าวเดาไม่ผิด ตอนนี้อ๋องสวรรค์คงจะไปขอผลประโยชน์จากอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ท่านอ๋องก็ยอมรับความพ่ายแพ่นี้เหมือนกัน


เม่ยเหนียงแค้นจนกัดฟันกรอด แล้วด่ายับเลยว่า “เรื่องชั้นต่ำขนาดนี้ยังทำออกมาได้ ทั้งตระกูลโค่วต้องไม่ตายดีแน่ สักวันหนึ่งจะโดนเวรกรรมตามสนอง!”


โกวเยว่กล่าวอย่างจนใจว่า “หวังเฟยโปรดระงับโทสะ ในภายหลังถ้าเจอลูกเขยที่ดีกว่านี้ บ่าวจะต้องช่วยพูดต่อหน้าท่านอ๋องให้สำเร็จแน่นอน”


เม่ยเหนียงทำสีหน้าเหมือนหัวใจหลุดหายไป กล่าวอย่างปวดใจว่า “จะมีดีกว่านี้เสียที่ไหนกัน ลูกหลายผู้มีอำนาจแต่ละบ้านข้าก็นับมาหมดแล้ว จะไปหาคนที่มีเงื่อนไขดีขนาดนี้มาจากไหนอีก ทั้งยังไม่มีภูมิหลังที่ซับซ้อนอะไรด้วย”


โกวเยว่เข้าใจแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้เอาแต่คิดถึงพวกนางสองแม่ลูกเท่านั้น คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้คิดถึงทั้งจวนท่านอ๋อง เขาจะยังพูดอะไรได้?


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าอยู่ข้างๆ สีหน้าดูผิดหวังอยู่บ้าง…


“อะไรนะ? บุตรสาวบุญธรรม?”


จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าที่กำลังใช้นิ้วลูบคลำต้นไม้ใหญ่ที่สิบคนโอบได้พลันหันตัวมาถามอย่างตกใจ


เว่ยซูที่รายงานอยู่ข้างๆ พยักหน้ายิ้มเจื่อน “ใช่แล้ว ข่าวยืนยันแล้วขอรับ ตระกูลโค่วกับอวิ๋นจือชิวยืนยันต่อหน้าฝูงชนแล้ว”


เพี้ย! เซี่ยโห้วท่ามือข้างหนึ่งประคองไม้เท้า ใช้มืออีกข้างตบหน้าผากตัวเอง ตบติดกันหลายครั้ง ราวกับกำลังตำหนิว่าตัวเองเลอะเลือน ร้องไอ๊หยาแล้วบอกว่า “เป็นตาแก่เลอะเลือนจริงๆ แล้ว วิธีการที่ง่ายแบบนี้ ทำไมจ้าถึงคิดไม่ถึงนะ! โค่วหลิงซวีเอ๊ยโค่วหลิงซวี ข้าประเมินเจ้าต่ำไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะคิดวิธีการเด็ดดวงแบบนี้ได้ นับว่าเจ้าโหด ข้ายอมจากใจแล้ว!”


เว่ยซูปลอบใจอยู่ข้างๆ “ไม่ว่าจะฉลาดปราดเปรื่องสักแค่ไหน แต่ก็มีพลาดกันได้ ไม่ใช่แค่นายท่านคนเดียวที่คิดไม่ถึง เกรงว่าทั้งตำหนักสวรรค์คงไม่มีใครนึกถึงว่าโค่วหลิงซวีจะใช้คนที่ไม่เกี่ยวข้องทางซ้ายเลือดมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์  นำบุตรสาวบุญธรรมที่ไม่มีความรักความผูกพันกันสักนิดมาแต่งงานเพื่อการเมือง เขาช่างกล้าทำจริงๆ ไม่กลัวว่าใครอนาคตจะโดนทรยศเหรอ?”


เซี่ยโห้วท่าที่วางมือลงส่ายหน้าถอนหายใจยาวอยู่พักหนึ่ง “จะพูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก พอมาคิดดูตอนนี้ ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนกำลังเล่นละครนะ โค่วหลิงซวีเล่นได้อย่างสวยงาม อยู่ตั้งนานไม่ยอมลงมือ พอลงมือขึ้นมาก็ตัดขาดแผนสำรองของประมุขชิงกับอีกสามอ๋องทิ้งไปเลย ทั้งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตอนที่หลายบ้านรวมหัวกันกดดัน ทั้งยังปกป้องให้หนิวโหย่วเต๋อผ่านด่านยากไปได้ เมื่อมีน้ำใจไมตรีอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ มีหรือที่หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวจะทรยศง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะโดนคนตำหนิเย้ยหยันลับหลังไปทั้งชีวิต กอปรกับวิธีการซื้อใจคนของโค่วหลิงซวีในตอนหลัง…การรับบุตรสาวบุญธรรมคนนี้ช่างดียิ่งนัก! ไฟกำลังได้ที่พอดี ประสิทธิภาพที่ได้ก็ไม่ด้อยไปกว่าการเอาสายเลือดตัวเองมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เลย โค่วหลิงซวีเล่นวิธีการที่ชั่วร้ายออกมาได้ เกรงว่าทางประมุขชิงคงจะงงตาเป็นไก่ตาแตก ต้องโมโหจนทนไม่ไหวแน่นอน”


เว่ยซูพยักหน้าเงียบๆ กล่าวอย่างทอดถอนใจเช่นกัน “ทั้งยังขัดขวางไม่ได้ด้วย ทำให้พวกเขาทำสำเร็จแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปประมุขชิงจะรับมือยังไง”


เซี่ยโห้วท่าตบกิ่งไม้ที่หยาบหนา เงยหน้ามองร่มพุ่มไม้ “คอยดูไปแล้วกัน!”


วังสวรรค์ เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ ใส่ชุดคลุมดำทั้งตัวเดินก้าวยาวเข้ามาในกำแพงวัง เดินตรงไปที่ตำหนักดาราจักรแล้ว


ยังไม่ทันเดินมาถึงตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงที่กำลังรออยู่ก็เข้ามารับแล้ว เตือนว่า “เรื่องของหนิวโหย่วเต๋อ ฝ่าบาทกำลังเดือดดาล เรียกให้เจ้าเข้าไปพบ อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ระวังหน่อย” เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายประมุขชิงเหมือนกัน ถือโอกาสแสดงน้ำใจสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร


“เรื่องนี้ข้าได้ยินมาแล้ว แค่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว ฝ่าบาทจำเป็นต้องโมโหขนาดนี้เลยเหรอ” เกาก้วนกล่าว


ซ่างกวนชิงที่เดินเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เจ้ารู้อยู่แก่ใจแต่ยังถามอีกเหรอ? ฝ่าบาทแยแสหนิวโหย่วเต๋อนั่นเสียที่ไหนกัน ท่านกำลังโกรธเพราะโดนโค่วหลิงซวีปั่นหัวเหมือนคนโง่ เปลี่ยนเป็นใครแล้วจะไม่โกรธบ้างล่ะ?”


เกาก้วนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพราะมาถึงประตูตำหนักดาราจักรแล้ว


ทั้งสองเข้ามาในตำหนักดาราจักร เห็นเพียงซือหม่าเวิ่นเทียน โพ่จวินและอู๋ฉวี่ล้วนอยู่ตรงนี้ด้วย คนเก่าคนแก่ข้างกายประมุขชิงอยู่กันครบ


สีหน้าของโพ่จวินไม่สู้ดีนัก หนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์กับลูกสาวโค่วหลิงซวีถึงขั้นนั้น เกรงว่าคงจะไม่มีทางอยู่ที่กองทัพองครักษ์ต่อได้แล้ว ที่จริงเขาชื่นชมหนิวโหย่วเต๋อมา


เกาก้วนยังไม่ทันได้ทำความเคารพ ประมุขชิงที่ยืนอยู่กลางตำหนักก็ชี้จมูกเกาก้วนพร้อมถามแสกหน้าแล้ว “เจ้าอยู่ทางนั้นไม่พบเบาะแสอะไรสักนิดเลยเหรอ?”


เกาก้วนยังคงทำความเคารพก่อน เสร็จแล้วถึงได้ถามว่า “ตอนข้าน้อยอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน มองไม่เห็นเบาะแสอะไรเลยจริงๆ ขอรับ ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ระหว่างทางที่ข้าน้อยกลับมา ข้าน้อยก็ตกใจมากเช่นกัน นึกเสียใจทีหลังที่มาเร็วไปหน่อย”


ประมุขชิงชี้ไปที่โพ่จวิน “หนิวโหย่วเต๋อนั่นใจกล้าไม่เบา บังอาจปิดบังเรื่องแบบนี้กับข้า ดูสิว่าเจ้าเลี้ยงลูกน้องแบบไหน กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา! เจ้าดูแลหน่วยองครักษ์ซ้ายยังไง?”


โพ่จวินตอบด้วยใบหน้านิ่ง “หนิวโหย่วเต๋อจะมีความสามารถขนาดนั้นได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ที่จะปั่นคนทั้งข้างล่างข้างบนมากมายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อถูกตระกูลโค่วใช้ประโยชน์ เป็นแผนที่ตระกูลโค่ววางไว้อย่างแยบยล อาศัยสายตาเทพอย่างทูตขวาเกาจะมองไม่ออกได้ยังไง!”


“เจ้าบังอาจช่วยพูดแก้ตัวแทนเขาเหรอ?” ประมุขชิงเดินก้าวยาวเข้ามา เอานิ้วจิ้มหน้าโพ่จวิน แต่ในใจเขาก็เข้าใจดี ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้วางแผนใหญ่ๆ เก่งขนาดนั้นแน่นอน ต้องเป็นผลงานอันแยบยลของตระกูลโค่วใช้แน่ๆ


โพ่จวินหุบปากแล้ว ฝ่ายตัวเองก็มีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเถียงเพราะเรื่องนี้


ประมุขชิงหันตัวมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง โบกแขนสองข้างไปทั้งสองด้าน “ตอนนี้ข้าคงถูกคนหัวเราะเยาะทั้งใต้หล้าแล้ว พวกเจ้าบอกมาซิว่าควรทำยังไง?”


หลายคนที่อยู่ตรงนั้นแอบส่งสายตาให้กัน รู้สึกว่าประมุขชิงสนใจสิ่งนั้นเกินไปแล้ว ใครในใต้หล้าจะว่างมาหัวเราะเยาะเรื่องนี้ แค่หัวเราะเยาะบ้างเป็นครั้งคราวแล้วจะเป็นไรไป แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกประมุขชิงได้เหมือนกัน อยู่บนที่สูงมานานจนเคยตัวแล้ว ย่อมให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และหน้าตาตัวเองอยู่บ้าง


“ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลน” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ


“ว่ามา!” ประมุขชิงเอียงหน้าพูด


เกาก้วนบอกว่า “เรื่องที่ให้ท้ายผู้ใต้บังคับบัญชาฆ่าทหารคุ้มกันตลาดสวรรค์ที่ตลาดสวรรค์กับเรื่องบังคับให้บริจาค กองทัพองครักษ์ยังไม่ได้สอบสวน ข้าน้อยจะสอบสวนอย่างเข้มงวดและลงโทษอย่างหนัก! ถ้ากองทัพองครักษ์รู้สึกมสะดวกที่จะทำ ส่งให้หน่วยตรวจการขวาก็ได้ ข้าน้อยรับรองว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องตายแน่นอน!”


คนที่เหลือชำเลืองมองเขาอย่างพูดไม่ออก ตำหนักสวรรค์โดนเรื่องใหญ่ขนาดนี้กดดันแล้ว มีใครไม่รู้อยู่แก่ใจบ้างว่าเหตุผลที่อยู่ในนั้นคืออะไร? ตอนนี้ถ้าลงโทษหนิวโหย่วเต๋อจนตายเพราะเรื่องเล็กๆ เจ้าคิดว่าโค่วหลิงซวีเป็นใบ้เหรอ? แล้วอีกอย่าง ฝ่าบาทเสียเปรียบเรื่องนี้แต่กลับจะระบายความโกรธกับคนต่ำแหน่งต่ำต้อย จะให้ฝ่าบาทเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


หน้าของประมุขชิงแทบจะแนบติดกับใบหน้าของเกาก้วน กล่าวอย่างเยียบเย็นดุร้ายว่า “เกาก้วน นี่คือความคิดดีๆ ของเจ้าเหรอ? เจ้าเห็นหัวใครอยู่บนคอก็ขัดตาไปหมดเลยใช่มั้ย เสพติดการฆ่าคนแล้วรึไง? หรือเจ้าไม่รู้ว่าชื่อเสียงเรื่องฆ่าคนของเจ้าฉาวโฉ่ไปทั่วไปแล้ว? ถ้าการปกครองใต้หล้าอาศัยการฆ่าคนเพื่อแก้ปัญหาได้ ข้าจะยังมีขุนนางไว้ทำอะไรเต็มราชสำนัก?”


คนอื่นๆ มีท่าทีสงบนิ่ง รู้อยู่แล้วว่าคำพูดของเกาก้วนจะต้องนำปัญหามาสู่ตนเอง


ต่อให้ใบหน้าประมุขชิงจะกำลังแนบชิดใบหน้าตัวเอง แต่เกาก้วนก็ยังไม่สะทกสะท้านราวกับเป็นรูปปั้นหิน ไม่ย้ายหนีไปไหนเลย กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ในเมื่อฝ่าบาทคิดว่าการฆ่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ลดตำแหน่งขอรับ!”


ประมุขชิงย้ายออกจากหน้าเขาแล้ว เอาสองมือไขว้หลัง แล้วถามว่า “ลดตำแหน่งงั้นเหรอ? พอข้าลดตำแหน่งเขาแล้ว อีกไม่นานพ่อตาของเขาก็จะเลื่อนเขากลับขึ้นมาได้สะดวกน่ะสิ”


“เช่นนั้นก็ลดตำแหน่งให้อยู่ระดับต่ำสุด ลดจนเขาเลื่อนกลับขึ้นมาไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ” เกาก้วนกล่าว


ประมุขชิงจึงบอกว่า “เขานอนกับลูกสาวคนอื่นแล้ว ถ้าโค่วหลิงซวีจะต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกบัลูกสาวเขา ข้าจะขัดขวางได้เหรอ? ฟังขึ้นรึเปล่า? ถึงตอนนั้นกองทัพองครักษ์ก็เอาเขาไว้ไม่ได้! พอไปที่อาณาเขตของโค่วหลิงซวีแล้ว เลื่อนตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุดแล้วจะมีประโยชน์อะไร อาศัยความสามารถของหนิวโหย่วเต๋อ โค่วหลิงซวีมีวิธีสร้างโอกาสให้เขาเลื่อนตำแหน่งอยู่แล้ว!”


เกาก้วนบอกอีกว่า “ถ้ากองทัพองครักษ์เก็บไว้ไม่ได้ ก็ส่งเขาไปตลาดผีที่ไม่มีใครอยากไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโค่วหลิงซวีจะมีวิธีเลื่อนขั้นให้หนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีได้!”


“เอ่อ…” ประมุขชิงอึ้งทันที ไฟโกรธบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตาเดียว แล้วเอามือขยี้เคราพลางหรี่ตาครุ่นคิดเงียบๆ


คนอื่นๆ มองไปที่เกาก้วนอย่างพูดไม่ออก พบว่าทูตขวาเกาท่านนี้เล่นบทโหดจนเคยตัว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อตกอยู่ในมือท่านนี้ ก็จะซวยไปแปดชาติเหมือนกัน


ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ความคิดของทูตขวาเกาก็ไม่เลว”


ประมุขชิงยังคงครุ่นคิดเงียบๆ


ซ่างกวนชิงเองก็กล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน “ฝ่าบาท ไม่ว่าจะเป็นตลาดสวรรค์หรือตลาดผี ขอบเขตการซื้อขายในตลาดล้วนอยู่ในมือราชินีสวรรค์ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไปที่ตลาดผี นั่นก็เป็นสภาพที่วุ่นวายไร้ระเบียบ สามารถเก็บภาษีพื้นฐานได้ครบก็ไม่เลวแล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่าใครสร้างผลงานที่ตลาดผีได้เลย ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วอยากจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อได้สร้างความดีความชอบ เกรงว่าจะต้องขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว”


ประมุขชิงเลิกคิ้ว คำเตือนของซ่างกวนทำให้เขานึกถึงจิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่าที่หลบอยู่เบื้องหลังแล้วคอยกวนน้ำให้ขุ่น


ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกอีกว่า “ด้วยนิสัยอย่างหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ว่าไปที่ไหนก็ก่อเรื่องที่นั่น เมื่อในสถานที่ซับซ้อนอย่างตลาดผี เขาไม่ก่อเรื่องขึ้นก็แปลกแล้ว นั่นคืออาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับหนิวโหย่วเต๋อ โค่วหลิงซวีจะยังช่วยได้อีกเหรอ? ถ้าไม่ช่วย ผลงานที่น่าภูมิใจของเขาก็จะสูญเปล่าแล้ว แต่ถ้าช่วยก็จะต้องขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้ว สรุปก็คือสามารถทำให้โค่วหลิงซวีหัวเราะไม่ออกได้ นี่เป็นแผนที่ขว้างหินก้อนเดียวโดนนกหลายตัว”


ประมุขชิงเริ่มแสยะหัวเราะแล้ว เซี่ยโห้วท่าหลบกระพือไฟอยู่เบื้องหลังอย่างสบายๆ ไม่ใช่เหรอ? โค่วหลิงซวีภูมิใจมากไม่ใช่รึไง? ให้ทั้งสองสู้กันสักหน่อยก็ไม่เลว ถ้าสู้กันจนเสียหายทั้งสองก็ยอดเยี่ยมเลย


เขาหันตัวช้าๆ ไปเหล่ตามองเกาก้วนแวบหนึ่ง แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “นับว่าเจ้าพูดภาษาคนเป็นแล้ว!”


เกาก้วนสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น


ที่เหลือโล่งใจแล้ว ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกแก้ไขแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะระบายอารมณ์โกรธไปจนถึงเมื่อไร เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นคงจะน่าเบทนาแล้ว ศิษย์ของอสุราอัคนีแล้วยังไงล่ะ? อนาคตทั้งชีวิตพังเพราะคำพูดไม่กี่คำของเกาก้วนแล้ว


พอแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ หลังจากทุกคนแยกย้ายออกไปแล้ว ประมุขชิงก็ไปหาความสุขที่ตำหนักบูรพาอีก เวลาดีใจหรือเวลาไม่ดีใจเขาก็ล้วนต้องไปโปรยฝนที่ตำหนักบูรพา ไม่รู้ว่าทำให้สนมมากมายเท่าไรที่วังหลังอิจฉาตาร้อน


หลังจากลมฝนนิ่งสงบ ประมุขชิงสวมชุดลำลองนอนตะแคงข้างอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง หรี่ตามองเรือนร่างอรชรหลังม่านมุ้งบางกำลังเดินออกจากอ่างอาบน้ำราวกับดอกบัวโผล่พ้นน้ำ การชื่นชมผ่านม่านมุ้งที่วับๆ แวมๆ ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ


หลังจากหญิงรับใช้ช่วยแต่งตัวให้คนร่างสูงระหงแล้ว ก็แหวกม่านออกแล้วเดินกรูตามไปข้างๆ โต๊ะเครื่องแป้ง ช่วยหวีผมให้นาง


ประมุขชิงเดินเท้าเปล่าเข้ามา โบกมือให้หญิงรับใช้ถอยไป แล้วหยิบหวีมาจากมือหญิงรับใช้ ใช้มือรองผมงามของจ้านหรูอี้ขึ้นมา เอาเกียรติของราชันสวรรค์มาช่วยหวีผมให้นาง มองใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชาในกระจก พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จ้านผิงพ่อเจ้าอยู่ในตำแหน่งท่านโหวมาหลายปีแล้ว ข้าจะหาโอกาสให้เขาขึ้นตำแหน่ง สนมรักอยู่สึกยังไงบ้าง?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)