ลำนำบุปผาพิษ 1556-1571
บทที่ 1556 สรุปแล้วเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
“มู่เฟิง นายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ยะ…อยู่ข้างๆ ข้าน้อยขอรับ รอสักครู่ เขาจะคุยกับท่านด้วยตัวเอง”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจโล่งอก เธอยังนึกอยู่ว่าช่วงนี้ตนดวงไม่ค่อยดี อาจจะตามตัวเขาได้ยากยิ่งก็ได้ คงต้องมีอุปสรรคมากมาย นึกไม่ถึงว่าจะกาพบในทีเดียว
เห็นได้ว่ายันต์ถ่ายทอดเสียงด้านนั้นเปลี่ยนคนแล้ว “กู้ซีจิ่ว?” ในน้ำเสียงดึงดูดแฝงความหมางเมินเย็นชาไว้
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีน้ำเสียงเช่นนี้ แข็งทื่อไปครู่หนึ่งก็ถามเข้าประเด็นเลย “ตี้ฝูอี ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่?”
ด้านนั้นเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้า…เจ้าจำข้าได้?”
กู้ซีจิ่วเงียบไป
เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆ! ทำไมเธอจะจำเขาไม่ได้ล่ะ? ต่อให้เธอลืมเลือนคนทั้งโลกไปก็ไม่มีทางลืมเขา! ทำไมเขาถึงถามแบบนี้กัน?
ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ ท่านคงไม่นึกว่าพอข้าสลับร่างแล้วจะความจำเสื่อมกระมัง? ที่ครั้งก่อนข้าสลับร่างแล้วความจำเสื่อมเป็นเพราะหลงฟั่นเล่นเล่ห์ ไม่ใช่ความจำเสื่อมเพราะสลับร่าง…”
ด้านนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่พักหนึ่ง
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงน “นี่ ท่านฟังอยู่หรือเปล่า?”
ในที่สุดทางนั้นก็เปิดปาก คล้ายจะข่มกลั้นอยู่บ้าง “เจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ป่าแสงจันทร์ที่อาณาจักรเฟยซิง ริมทะเลสาบที่ท่านพาข้าไปเผ่าเงือกครั้งแรก…” กู้ซีจิ่วบอกตำแหน่งที่อยู่ของตน
“รออยู่ที่นั้น ข้าจะไปหา”
ยันต์ถ่ายทอดเสียงถูกตัดไปแล้ว กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนตอไม้ มองยันต์ถ่ายทอดเสียงอย่างตกตะลึงครู่หนึ่ง
ตี้ฝูอีไม่ได้แทนตัวว่าข้า (เปิ่นจั้ว) ต่อหน้าเธอมานานมากแล้ว…
ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น?
สรุปแล้วเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
กู้ซีจิ่วที่เฉลียวฉลาดเสมอมา ยามนี้ค่อนข้างสับสนงุนงงแล้วเช่นกัน
ป่าแสงจันทร์ริมทะเลสาบแสงจันทร์ งดงามดั่งภาพวาด
เธอเคยร้องเพลงให้ตี้ฝูอีที่นี่ ดึงดูดให้ชาวเงือกมารับ…
ความจำของกู้ซีจิ่วดีมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ปรากฏชัดเจนอยู่ในสมองเธอราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้เมื่อหวนนึกถึงมุมปากก็หยักโค้งขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
‘เจ้านาย สามารถพูดคุยกับท่านอีกครั้งช่างดีจริงๆ ข้านึกว่าชาตินี้ข้าจะต้องเป็นใบ้ไปตลอดชีวิตซะแล้ว’ หยกนภารำพัน
กู้ซีจิ่วลูบมัน ‘ข้าก็คิดถึงความจู้จี้ของเจ้าเหมือนกัน’
หยกนภาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วมีน้ำโหขึ้นมา ‘จู้จี้อะไรกัน? ยายแก่สิถึงจะจู้จี้ ทุกวาจาของข้าคือลิขิตสวรรค์! เป็นสิ่งที่ผู้อื่นมีหมื่นตำลึงทองก็ซื้อหาไม่ได้ทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะบอกว่าข้าจู้จี้…’
กู้ซีจิ่วตบมันเบาๆ หยอกมันเล่น ‘เอาล่ะๆ เช่นนั้นต่อไปก็อย่าเรียกเจ้าว่าหยกนภาเลย เรียกหยกลิขิตสวรรค์แล้วกัน กล่าวกันว่าลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพราย นี่เจ้าแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ไปมากน้อยเพียงใดแล้ว? ระวังอัสนีสวรรค์จะผ่าเจ้าเป็นจุณ’
หยกนภาเงียบทันที
กู้ซีจิ่วจึงถามมัน ‘ใช่แล้ว เจ้าเล่าสิว่าดินแดนเบื้องบนเป็นอย่างไร? เทพเซียนของดินแดนเบื้องบนล้วนเป็นผู้ที่ฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนใช่หรือไม่?’
หยกนภาเงียบไปครู่หนึ่ง ‘ว่ากันตามทฤษฎีดินแดนเบื้องบนของโลกใบนี้ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ผู้คนของดาวเคราะห์ฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ถึงจะสามารถเหินทะยานขึ้นไปได้ ค่อนข้างคล้ายแดนสวรรค์ในยุคนั้นของท่าน ผู้คนที่นั่นมีทั้งเซียนสวรรค์ที่เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิม มีคนที่ทะยานขึ้นไปในภายหลัง คนที่ไปถึงที่นั่นได้จึงล้วนเป็นอัจฉริยะผู้เลิศล้ำของโลกผู้บำเพ็ญ ข้ารับใช้ที่มีระดับต่ำที่สุดก็ยังบรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชนชั้นสูงเลย’
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
เธอขมวดคิ้ว มิน่าเล่าเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นถึงได้วางท่าสูงส่งเหนือปวงชน ทำตัวเหนือกฎเกณฑ์ยิ่งนัก ที่แท้ดินแดนเบื้องบนก็มีกฎเช่นนี้
เพียงแต่ คนของดินแดนเบื้องบนยิ่งใหญ่มากหรือ? สามารถเหยียบย่ำทุกอย่างบนโลกเบื้องล่างได้ตามแต่ใจปรารถนาเลย?
เธอไม่เชื่อเรื่องชั่วๆ เช่นนี้หรอก!
————————————————————————————-
บทที่ 1557 ดินแดนเบื้องล่างอิสระเสรีจะตาย!
‘เจ้านาย เซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของดินแดนเบื้องบน เป็นน้องสาวห่างๆ ของจักรพรรดิแห่งดินแดนเบื้องบน เนื่องจากกระทำความผิดจึงถูกลดขั้นลงมาดินแดนเบื้องล่าง เพื่อให้นางทำคุณงามความดีก่อนแล้วค่อยกลับขึ้นไป เวลาที่นางลงมาอยู่ดินแดนเบื้องล่างค่อนข้างยาวนาน จักรพรรดิดินแดนเบื้องบนจึงอนุญาตให้นางแต่งกับผู้สูงศักดิ์ที่สุดของดินแดนเบื้องล่างได้ และด้วยเหตุนี้นางถึงได้เรียกขานตัวเองว่าฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์’ หยกนภาสมกับที่เป็นผู้รอบรู้ลิขิตสวรรค์ รู้เบื้องลึกเบื้องหลังมากมายที่กู้ซีจิ่วไม่รู้
จักรพรรดิดินแดนเบื้องบนยุ่งวุ่นวายไปหน่อยกระมัง ยังจะจัดแจงงานแต่งงาน? คิดว่าตัวเองเป็นตาเฒ่าจันทราหรืออย่างไร?
‘สังหารคนของดินแดนเบื้องบนต้องรับทัณฑ์สวรรค์จริงหรือ?’
‘เจ้านาย คนของดินแดนเบื้องบนมองผู้คนของดินแดนเบื้องล่างดังมดปลวก อย่าว่าแต่คนของดินแดนเบื้องล่างสังหารคนของดินแดนเบื้องบนเลย ต่อให้สังหารสุนัขตัวหนึ่งของดินแดนเบื้องบนก็ต้องได้รับทัณฑ์สวรรค์ เพียงแต่เส้นทางของดินแดนเบื้องบนกับเบื้องล่างแยกกัน บุคคลหรือสิ่งมีชีวิตของดินแดนเบื้องบนไม่มีทางลงมาได้โดยง่าย ต่อให้ลงมาก็เพื่อมาปฏิบัติภารกิจลับ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็กลับขึ้นไป คนของดินแดนเบื้องล่างไม่มีทางพบเจอคนของดินแดนเบื้องบนได้ง่ายๆ ต่อให้พบเจอส่วนใหญ่ก็จะถูกทารุณโหดร้าย เรื่องคนดินแดนเบื้องล่างทำร้ายคนดินแดนเบื้องบนจึงมีน้อยนัก คนส่วนมากไม่รู้กัน ดังนั้นจึงไม่รู้กฎเกณฑ์ข้อนี้…’
‘เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้งั้นหรือ?’
‘เรื่องนี้ข้าไม่ทราบ อย่างไรเสียเขาก็มีตัวตนอยู่พิเศษยิ่งนัก อันที่จริงหกพันกว่าปีก่อน ดินแดนเบื้องบนเคยส่งคนกลุ่มหนึ่งมาเพื่อปกครองดินแดนเบื้องล่างอย่างเบ็ดเสร็จ ทว่ากลับถูกเขานำคนไปกวาดล้างทันที แม้แต่ดวงวิญญาณก็แตกสลาย ผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อคนของดินแดนเบื้องบนทราบข่าวถึงกับกราดเกรี้ยว เคยลงโทษทัณฑ์สวรรค์เขาอย่างรุนแรงยิ่ง ผลสุดท้ายก็ถูกเขาคลายลงได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคนของดินแดนเบื้องบนก็ไม่ลงมาอีกต่อไป เพียงปล่อยสัตว์เลี้ยงลงมาบ้างเป็นครั้งคราว หากคนของดินแดนเบื้องล่างบังเอิญสังหารมันก็จะถูกทัณฑ์สวรรค์ลงโทษ ทว่าก็เป็นแค่กรณีตัวอย่าง ไม่มีทางเกิดขึ้นในหลายร้อยปี…’
กู้ซีจิ่วเข้าใจแล้ว
อย่างไรเสีย ยุคสมัยนี้ก็ไม่มีอินเทอร์เน็ต หากมีคนเสียชีวิตจากทัณฑ์สวรรค์ในรอบหลายปีย่อมไม่มีผลกระทบใดต่อความรู้สึก แน่นอนว่าไม่มีทางมีผู้ใดล่วงรู้ มิน่าคนส่วนมากถึงไม่รู้เรื่อง
‘คนของดินแดนเบื้องล่างต้องมีพลังวิญญาณเท่าใดถึงจะเหินทะยานขึ้นไปเบื้องบนได้?’ เธออยากขึ้นไปดูยิ่งนัก อยากรู้ว่าคนที่นั้นจะเยี่ยมยอดสักแค่ไหน
‘ต้องขั้นสิบเต็ม’
กู้ซีจิ่วส่งเสียงชิคราหนึ่ง ‘ข้าก็ขั้นสิบนี่ เหตุใดยังไม่เห็นทะยานขึ้นไปเลย?’
‘เจ้านายต้องฝึกฝนจนเต็มขั้นสิบ ถึงจะเลื่อนขั้นถัดไปได้ เมื่อฝึกฝนขั้นสิบจนสมบูรณ์แล้วจะมีเคราะห์สวรรค์ปรากฏขึ้น เมื่อผ่านด่านเคราะห์สวรรค์ได้สำเร็จก็จะกลายเป็นเซียน เหินทะยานสู่ดินแดนเบื้องบนได้’
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
กู้ซีจิ่วครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนถาม ‘ตี้ฝูอียังไม่บรรลุขั้นนั้นใช่หรือไม่?’
‘เขาบรรลุขั้นนั้นไปตั้งนานแล้ว! คงเป็นเพราะเขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ จึงไม่ได้ขึ้นไป’
โชคดีที่ไม่ได้เหินทะยานขึ้นไป! คนอย่างเขาคุ้นชินกับการอยู่เหนือผู้อื่น จะขึ้นไปให้คนของดินแดนเบื้องบนเหล่านั้นกดขี่ข่มเหงได้อย่างไร? คิดแล้วเป็นไปไม่ได้หรอก!
คนของดินแดนเบื้องบนออกจะมีคุณธรรมเสียขนาดนั้น หากเธอฝึกฝนจนถึงขั้นก็ไม่มีวันเหินทะยานขึ้นไป เบื้องล่างอิสระเสรีจะตาย!
กู้ซีจิ่วกำลังพูดคุยกับหยกนภา
หยกนภาพบว่าวันนี้เจ้านายพูดจ้อเป็นพิเศษ นางถามคำถามมากมาย ขอเพียงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับลิขิตสวรรค์ที่แท้จริง หยกนภาก็จะตอบทีละคำถาม แต่ละอย่างล้วนเป็นความลับสุดยอด
หยกนภาคิดว่ากู้ซีจิ่วจะตื่นเต้นและฮึกเหิมเมื่อได้ยิน นึกไม่ถึงว่านางคล้ายมีเรื่องในใจ ทั้งที่กำลังฟังมันพูดอยู่นางกลับเหม่อลอยเป็นครั้งคราว ราวกับใช้วิธีการพูดคุยกลบเกลื่อนความสับสนแปลกๆ ในใจนาง…
นางเหมือนกำลังหลีกเลี่ยงสิ่งใดอยู่ หรือกำลังต้องการหยั่งเชิงอันใดอยู่
ยามพูดคุยกับมัน นางกวาดสายตาออกไปภายนอกป่าแสงจันทร์อยู่บ่อยครั้ง เห็นได้ชัดว่ากำลังรอใครบางคนปรากฏกาย
บทที่ 1558 พบกันอีกครั้ง
เธอรออยู่หนึ่งชั่วยามเต็ม เมื่อรู้สึกว่าพูดคุยกับหยกนภาจนกระหายน้ำคอแห้งผาก ในที่สุดตี้ฝูอีก็เอ้อระเหยลอยชายมา
เขาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเธอ เดิมทีเธอเตรียมใจเอาไว้แล้ว ทว่าเมื่อเห็นเขาที่ปรากฏกายในฉับพลัน หัวใจก็ยังสั่นไหว
“ทำไมท่านเพิ่งมา? ข้ารอสามีอยู่ตรงนี้จนกลายเป็นหินไปแล้ว!” นี่คือคำพูดประโยคแรกที่กู้ซีจิ่วโพล่งออกมา
เธอถามคำถามมากมายดุจปืนกล ไม่รอให้ตี้ฝูอีเอ่ยปาก “เกิดอันใดขึ้นกับท่านกันแน่? ทั้งที่ข้าอยู่กับท่านที่วังแก้วผลึก…เหตุใดจึงกลับไปเข้าร่างเดิมได้…ร่างนั้นของข้ามีทัณฑ์สวรรค์ที่จะดูดพลังวิญญาณของผู้อื่นอยู่บ่อยครั้งจริงใช่ไหม แม้แต่ท่านก็ไม่อาจรักษาได้ และไม่มีทางใช้ร่างนั้นได้อีกต่อไป ดังนั้นท่านจึงให้ข้ากลับเข้าร่างเดิม เช่นนี้ก็จะรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ได้? เหตุใดท่านไม่รอให้ข้าตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยจากไป ไม่กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้นกับข้าระหว่างฟื้นคืนชีพหรอกหรือ? ว่าแต่ ข้ารู้สึกเหมือนมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นจริงๆ ข้ามีความทรงจำของหลานจิ้งเคออย่างน่าแปลกได้…พูดแล้วก็น่าขบขัน หลานเหยากวงยังอยากสละตำแหน่งประมุขเงือกให้กับข้า…”
เธอพูดจาทั้งรีบร้อนและรวดเร็ว แทบไม่มีที่เหลือให้ผู้อื่นสอดปาก
ตี้ฝูอีจ้องมองนางไม่พูดไม่จา จนกระทั่งนางถามคำถามเหล่านั้นจบ เขาจึงเอ่ยปาก “กู้ซีจิ่ว เหตุใดคนที่ตื่นขึ้นมาเป็นเจ้า?”
จังหวะการพูดของเขาไม่เร็ว เป็นน้ำเสียงปกติที่เขาพูด สง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ละคำชัดเจนแจ่มแจ้ง
กู้ซีจิ่วตกตะลึงอย่างที่เห็นได้ยาก “อะไรนะ?”
ตี้ฝูอีจ้องใบหน้าซีดเซียวของนาง “คนที่ตื่นขึ้นมาไม่ควรจะเป็นเจ้า…”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับฉงน “คนที่ตื่นขึ้นมาควรจะเป็นนาง…เกิดความผิดพลาดขึ้นตรงที่ใดกันแน่?”
เขาก้าวไปทางนางหลายก้าว แสงหลากสีก่อตัวขึ้นที่ฝ่ามือ…
เป็นครั้งแรกที่ร่างสูงใหญ่ของเขามีพลังกดดันต่อเธอ กู้ซีจิ่วอดคิดไม่ได้
เธอเกือบก้าวถอยหลัง ทว่าอดกลั้นมันเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองเขาเล็กน้อย “ตี้ฝูอี ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ตี้ฝูอียืนมองนางอยู่ตรงนั้น แสงจันทร์สาดส่องสลัวบนอาภรณ์และใบหน้าหล่อเหลาของเขา “ทั้งที่ครานี้คนที่ตื่นขึ้นมาควรเป็นหลานจิ้งเคอประมุขเผ่าเงือก ไม่ควรเป็นเจ้า”
หัวใจกู้ซีจิ่วเย็นวาบราวตกหลุมน้ำแข็ง รู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างกาย ในที่สุดก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใบหน้าซีดเผือด ทว่าดวงตากลับดำดังน้ำหมึก “ท่าน…ท่านกำลังล้อเล่นอะไรอยู่?! นี่คือร่างกายของข้า ร่างเดิมของข้า คนที่ตื่นขึ้นมาจะเป็นหลานจิ้งเคอไปได้อย่างไร?!”
เขากินโอสถอันใดผิดมา หรือว่ามีสิ่งใดสิงสู่เข้าร่าง? เหตุใดจึงพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ได้?
เธอเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จ้องมองร่างของตี้ฝูอีรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ใบหน้าพริ้มเพราพลันเย็นชา “เจ้าไม่ใช่ตี้ฝูอี! เจ้าเป็นตัวปลอมกระมัง?!”
ตี้ฝูอีตัวจริงรักเธอยิ่งชีพ จะปรารถนาให้คนที่ตื่นขึ้นมาเป็นหลานจิ้งเคอได้อย่างไร? ตี้ฝูอีกับหลานจิ้งเคอเป็นแค่เพื่อนกันชัดๆ อีกทั้งตี้ฝูอีเคยบอกว่าดวงวิญญาณของหลานจิ้งเคอสลายก็คือสลายไปแล้วจริงๆ ไม่มีทางฟื้นคืนชีพ และยิ่งไม่มีทางใช้ร่างเดิมของเธอฟื้นคืนชีพมา…
ต้องมีใครบางคนปลอมตัวเป็นตี้ฝูอีอย่างแน่นอน! ต้องใช่แน่ๆ!
ทว่า ข้อสันนิษฐานนี้ของเธอก็ถูกตี้ฝูอีลบล้างอย่างรวดเร็ว
เขาไร้ซึ่งวาจา ทว่าใช้กระบวนท่าออกมาโดยตรง ชายเสื้อพลันสะบัด คลื่นแสงหลากสีเปล่งประกาย พุ่งทะยานไปทางต้นแสงจันทร์ที่อยู่ไม่ไกล!
เสียงตูมดังสนั่น แข็งกร้าวอย่างหาที่เปรียบมิได้ ต้นแสงจันทร์ที่ใช้ขวานจามก็ไม่อาจตัดเป็นรอยได้กลับกลายเป็นผุยผงไปแล้ว ธุลีกระจัดกระจายทั่วฟ้า ระยิบระยับตกลงบนอาภรณ์ของกู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วยืนแข็งทื่อไปทั้งตัวอยู่ตรงนั้น
เธอจำกระบวนท่านี้ได้ เป็นกระบวนท่าพิฆาตของตี้ฝูอี
————————————————————————————-
บทที่ 1559 พบกันอีกครั้ง 2
เธอจำกระบวนท่านี้ได้ เป็นกระบวนท่าพิฆาตของตี้ฝูอี และเป็นกระบวนท่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์จะใช้ได้เท่านั้น ตัวปลอมคนอื่นไม่มีทางใช้ได้
เขาคือตี้ฝูอี จริงแท้แน่นอน!
ตี้ฝูอีค่อยๆ หันกลับมามองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “บัดนี้ยังสงสัยว่าข้าคือตัวปลอมอีกหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วกล่าวอันใดไม่ออก
มือและเท้าของเธอเย็นวาบ ทั้งร่างกายราวตกลงไปในเหวลึกพันจั้ง เธอมองเขาด้วยความงุนงง มีเสียงตูมดังขึ้นในหัว ชั่วขณะนี้ สมองของเธอว่างเปล่า
ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น สีหน้าก็ว่างเปล่าเช่นกัน
เธอไม่อยากจะเชื่อเรื่องเหล่านี้ ทว่า…
“ตี้ฝูอี…” เธอได้ยินตัวเองเอ่ยปาก น้ำเสียงของเธอว่างเปล่าอยู่บ้าง ถึงขั้นสั่นเครือเล็กน้อย “ท่านอย่าล้อข้าเล่นแบบนี้ ไม่ตลกเลยสักนิด…”
ตี้ฝูอีจ้องมองนัยน์ตานาง ในที่สุดดวงตาก็ฉายความอ่อนโยน เขาทอดถอนใจเบาๆ เดินหน้าไปหานางก้าวหนึ่ง “ซีจิ่ว ข้าผู้เป็นทูตสวรรค์ไม่ต้องการทำร้ายเจ้า อย่างไรเสีย เจ้ากับข้าก็อยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้ แต่ว่า…ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นร่างกายของเจ้าจริงๆ เจ้าเชื่อฟังข้า สละร่างนี้ไปอีกครั้ง ให้นางฟื้นคืนชีพ ข้าผู้เป็นทูตสวรรค์วางแผนเพื่อนางมานานหลายปี ไม่ต้องการที่จะล้มเลิกกลางคัน”
กลิ่นอายของเขาอบอวลในอากาศรอบกายเธอ เดิมทีทุกครั้งที่เธอสัมผัสกลิ่นอายนี้จะรู้สึกถึงความอบอุ่น หนนี้กลับรู้สึกถึงความเย็นชา เย็นชาตั้งหัวจรดเท้า!
นิ้วมือเธอกระชับแน่น แทบจะสงสัยว่านี่คือฝันร้ายที่ไม่มีทางตื่นขึ้นมา!
คนคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้รักใคร่หวานชื่น ถึงขั้นไม่อาจพลัดพรากจากเธอได้ ต่อมากลับแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
เขาเดินเข้ามาทีละก้าว กลิ่นอายบนร่างกายแข็งกร้าว ความกดดันไร้รูปลักษณ์นั้นทำให้คนแทบหายใจไม่ออก
กำปั้นสองข้างของกู้ซีจิ่วกระชับแน่น ไม่ยอมล่าถอยแม้เพียงก้าว เงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านต้องการสังหารข้า?”
ตี้ฝูอีชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ขบเม้มริมฝีปากบาง “ซีจิ่ว ข้าไม่มีทางสังหารเจ้า…แต่ว่าเจ้าจำเป็นต้องยอมสละร่างนี้!”
“สละอย่างไร?” กู้ซีจิ่วพยายามอดกลั้นพลางทำให้น้ำเสียงตัวเองสงบนิ่ง
“กลับไปร่างโคลนนิ่งนั้นเถิด! นั่นถึงจะเป็นที่ที่เจ้าควรอยู่…ข้าจะนำดวงวิญญาณเจ้าออกมา ให้เจ้ากลับไปที่นั่น เจ้าเชื่อฟังเถอะ ข้าจะชดเชยให้เจ้า” ตี้ฝูอีวางนิ้วมือลงบนไหล่ของนาง ลำแสงหลากสีปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว…
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ขยับเขยื้อน!
เธอย่อตัวลงทันใด สลัดหลุดจากเงื้อมมือของเขาได้ไหลลื่นดุจมัจฉา แล้วเคลื่อนย้ายในพริบตาออกไป!
ยามนี้เธอมีพลังวิญญาณขั้นสิบ ใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาได้อย่างเยี่ยมยอด เพียงชั่วครู่ก็เคลื่อนย้ายไปได้ไกลร้อยลี้! สลัดหลุดจากเงื้อมมือเขาได้ชั่วขณะ…
ทะเลสาบไกลโพ้นส่องสว่างเป็นประกาย ต้นแสงจันทร์ดั่งพงไพรในห้วงฝัน
ตี้ฝูอียืนอยู่ใต้ต้นไม้คล้ายไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน อาภรณ์ม่วงเข้มพลิ้วไหวดุจแพรต่วนใต้แสงจันทร์
กู้ซีจิ่วตกตะลึง!
วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของเธอไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน กลับเหมือนหลงทิศทาง พยายามเท่าใดก็ยังวนกลับมาที่เดิม!
ดวงตาดำของตี้ฝูอีจ้องมองนาง นัยน์ตานั้นสะท้อนให้เห็นดวงหน้าน้อยๆ อันซีดขาวของนาง
เห็นได้ชัดว่าเขาสร้างเขตแดนขึ้นมาที่นี่ เขตแดนที่เตรียมป้องกันเธอหลบหนีออกไป!
ดูเหมือนตอนเขามาก็คาดการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเอาไว้หมดแล้ว และเธอก็ทำได้เพียงตกหลุมพราง…
“หากข้าไม่ยินยอมเล่า?! หากข้ายอมตายแต่ไม่ยินยอมเล่า?! เดิมทีร่างนี้ก็เป็นของข้า เหตุใดข้าต้องสละให้คนอื่น? ตี้ฝูอี ข้าสละให้ก็ได้ ท่านสังหารข้าเสีย!” หลบหนีไม่ได้ก็ทำได้เพียงเผชิญหน้า เมื่อเห็นเขาก้าวเดินเข้ามาทีละก้าวๆ ในที่สุดความเศร้าโศกเสียใจของกู้ซีจิ่วที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นก็ระเบิดออกมา กล่าวเน้นทีละคำว่า “ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า!”
เป็นครั้งแรกที่เธอแผดเสียงแหลมด้วยความโกรธ สุ้มเสียงราวกับถูกฉีกทึ้ง
“กู้ซีจิ่ว ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าก็เป็นคนอื่นเหมือนกัน!”
บทที่ 1560 บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งใดเชื่อถือได้บ้าง?
ตี้ฝูอีพูดความจริงด้วยน้ำเสียงเย็นชา
กู้ซีจิ่วสะอึก “แต่…ข้าเป็นคนฝึกฝนมันมา! ข้าทำให้มันหลุดพ้นจากสถานะสวะไร้ค่า ฝึกฝนจนพลังวิญญาณบรรลุขั้นแปด ข้าแก้แค้นแทนเจ้าของร่างเดิม เจ้าของร่างเดิมก็ยินยอมพร้อมใจยกมันให้ข้าแล้ว…”
เธอจ้องมองตี้ฝูอี “ท่านเคยบอกกับข้าว่าร่างกายนี้ไม่ได้เตรียมไว้เพื่อนาง หรือตอนนั้นท่านโกหกข้า?”
นัยน์ตาตี้ฝูอีพลันวาบไหว ไม่พูดจาอันใด นิ้วมือภายใต้ชายเสื้อพลันกระชับแน่นจนปลายนิ้วซีดขาว
“ตี้ฝูอี แปดปีก่อนข้าเคยสละร่างกายนี้ให้ท่าน แต่เหตุใดตอนนั้นท่านจึงไล่ตามข้าไปที่ป่าทมิฬ? ท่านได้สิ่งที่ท่านปรารถนาแล้ว เหตุใดยังต้องตามหาข้า? อีกทั้งยังเสี่ยงอันตรายมากมายขนาดนั้น…เพราะเหตุใด? ในเมื่อคนที่ท่านตั้งใจจะฟื้นคืนชีพให้คือนาง ท่านคงจะรักนางมาก เช่นนั้นเหตุใดจึงแต่งงานกับข้าในเขตหวงห้าม? รักใคร่หวานชื่นกันมาแปดปี…เพราะเหตุใด?”
สมองของเธอที่ถูกกระเทือนจนว่างเปล่าเริ่มกลับมาทำงานดังเดิม ความเศร้าโศกเสียใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นหลั่งไหลออกจากส่วนต่างๆ ของร่างกายไปรวมตัวกันกลางหน้าอก และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีซีดขาวเริ่มแดงระเรื่อ
มือและเท้าของเธอเย็นวาบ ทว่าหัวใจกลับมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงพอที่จะจุดพลังทั้งหมดในร่างกาย ทำให้ดวงตาของเธอร้อนแรงแผดเผา “ตี้ฝูอี บอกข้ามา ท่านทำเช่นนี้เพราะอะไรกันแน่?!”
ตี้ฝูอีหลุบตาลงเล็กน้อย “ขอโทษ”
เขากล่าวเพียงหนึ่งคำก็ก้าวมาในฉับพลัน เชือกเมฆาหลากสีเส้นหนึ่งบินออกจากชายเสื้อ เห็นได้ชัดว่าคืออาวุธวิเศษ กู้ซีจิ่วรีบร้อนจะหลบหนี แต่กลับหนีการผูกรัดของอาวุธวิเศษนี้ไม่พ้น…
แทบในชั่วพริบตา เธอถูกเชือกเมฆามัดไว้อย่างแน่นหนา ยืนทื่ออยู่ตรงหน้าตี้ฝูอีเสมือนไม้ท่อนหนึ่ง
เธอไม่เพียงแต่ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทั้งยังเอื้อนเอ่ยวาจาไม่ได้ด้วย ทำได้เพียงมองเขาก้าวเข้ามาตาไม่กะพริบ เมื่อชายเสื้อสะบัด เธอก็ตกเข้าสู่อ้อมกอดของเขาแล้ว
กลิ่นหอมเย็นอวลปลายจมูก หัวใจตกนรกอเวจี
หัวใจของกู้ซีจิ่วหนักอึ้งโดยสมบูรณ์
“กู้ซีจิ่ว…” เขาเอ่ย “เจ้านอนหลับสักตื่นเถิด ตื่นขึ้นมาก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว…” ฝ่ามือขาวนวลผุดผ่องของเขากดลงบนหน้าผากนาง ลำแสงส่องสว่างเริ่มปรากฏ…
เธอรู้สึกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว ดวงตาแดงก่ำ ถึงแม้พูดจาไม่ได้ ทว่าน้ำตากลับรินไหลจากหางตา หยาดน้ำตาเปียกชุ่มริมฝ่ามือของเขา ทำให้ฝ่ามือเขาหยุดชะงักเล็กน้อย
“ไม่ต้องกลัว…” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง ในที่สุดแสงสีขาวก็หลั่งไหลเข้าสู่หน้าผากนาง
วินาทีที่กู้ซีจิ่วหลับใหล ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ…บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งใดเชื่อถือได้บ้าง?
…
หลานเหยากวงออกตามหาพี่สาวที่หายตัวไปจนจะบ้าคลั่งแล้ว!
เขาแทบจะใช้องครักษ์ส่วนตัวของวังเผ่าเงือกจนหมดสิ้น กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่ากู้ซีจิ่วหายตัวไปที่ใด
ยิ่งไปกว่านั้นคนส่วนมากยังไม่เคยเห็นประมุขเงือกที่เพิ่งฟื้นคืนชีพใหม่คนนี้ จึงได้แต่อาศัยรูปวาดที่หลานเหยากวงวาดรูปลักษณ์นางเป็นเบาะแสในการตามหาชั่วคราว
ทักษะการวาดรูปของหลานเหยากวงเรียกได้ว่าไม่ค่อยดีนัก ภาพเหมือนที่วาดออกมาไม่มีเสน่ห์ความงามแม้แต่น้อย องครักษ์เหล่านั้นตามหาผู้คนมากมายจากภาพเหมือนนั้น แต่หลานเหยากวงและหลานจิ้งอี๋ชี้ตัว พิสูจน์ว่าไม่ใช่…
“พี่ เกรงว่านางจะไม่ใช่พี่หญิงจิ้งเคอของพวกเรา แต่เป็นกู้ซีจิ่ว! ข้าว่าแววตานางไม่เหมือนเลยสักนิด…” หลานจิ้งอี๋อดไม่ได้ที่จะเอ่ยความคิดเห็นของตัวเอง
“ไม่มีทาง พี่หวงไม่เคยโกหกเรา เขาบอกว่าคนที่ตื่นขึ้นมาคือพี่หญิงจิ้งเคอของพวกเรา เช่นนั้นนางก็คือพี่หญิงจิ้งเคอ! อย่างไรเสีย นางก็หลับใหลมานานนับพันปี อาจไม่ค่อยคุ้นชินกับวังเงือกในปัจจุบัน หรือนางอาจจะออกไปตามหาสหายเก่า…”
————————————————————————————-
บทที่ 1561 หรือว่าเกิดความผิดพลาด?
“ไม่มีทาง! พวกเราเคยไปหาที่บ้านสหายสนิทเหล่านั้นของนางมาแล้วมิใช่หรือ? นางไม่ได้ไปหาพวกเขาเลย! พี่ ท่านตื่นสักทีเถอะ ชาวเงือกอย่างพวกเราพอตายแล้ววิญญาณจะแตกสลายไปอย่างแท้จริง ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครที่สามารถฟื้นคืนชีพได้ บางทีพี่หวงอาจเกรงว่าพวกเราจะเสียใจ จึงมอบคำโป้ปดที่สุดแสนงดงามให้พวกเรา ทำให้พวกเรามีความหวัง…”
หลานเหยากวงระเบิดโทสะออกมาทันที “จิ้งอี๋ ความจริงแล้วเจ้าไม่ปรารถนาให้พี่หญิงคืนชีพขึ้นมาใช่หรือไม่?! ยามเจ้าเยาว์วัยถึงแม้พี่หญิงจะรักใคร่ห่วงใยเจ้ายิ่งนัก แต่เจ้าก็ยังเล็ก เกรงว่าคงจำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่มีความรู้สึกต่อนางเลย! แต่ว่ายามนั้นนางห่วงใยเจ้า รักเจ้า อุ้มเจ้าอยู่เสมอจริงๆ ทำให้ข้าอิจฉาเพราะเรื่องนี้…เหตุใดเจ้าถึงไร้มโนธรรมได้ถึงเพียงนี้?!”
ใบหน้าเฉิดฉันของหลานจิ้งอี๋แดงก่ำ “พี่! ท่านพูดเหลวไหลอะไรอยู่? ข้า…ข้าจะไม่ปรารถนาให้พี่หญิงฟื้นคืนได้อย่างไร? ข้าเพียงแค่พูดไปตามจริงเท่านั้น…”
“เจ้าชอบพี่หวงใช่ไหมล่ะ? เจ้าเกรงว่าถ้าพี่หญิงจิ้งเคอฟื้นขึ้นมาจะครองคู่โบยบินกับพี่หวง ทำให้เจ้าหมดโอกาส…” หลานเหยากวงตกอยู่ในความโกรธ จึงเอ่ยข้อสงสัยที่วนเวียนอยู่ในใจก่อนหน้านี้ออกมาจนหมด “เจ้าอย่าได้เห็นว่าข้าเป็นคนโง่! ความคิดในใจเจ้าไม่อาจปิดบังข้าได้!”
หลานจิ้งอี๋แทบจะเต้นผางแล้ว “ไม่ใช่นะ…”
ขณะที่สองพี่น้องกำลังทะเลาะถกเถียงกันอยู่ตรงนั้น องครักษ์ด้านนอกก็เอ่ยรายงาน “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูมาเยือน เขาอุ้มคนผู้หนึ่งไว้ในอ้อมแขน เหมือน…เหมือนคนในภาพเหมือนของฝ่าบาทเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
สองพี่น้องเงียบลง
คนทั้งสองรีบพุ่งออกไปทันที
เมื่อพวกเขาออกไปก็เห็นตี้ฝูอีที่กำลังสาวเท้าก้าวเข้ามา หญิงสาวที่เขาอุ้มไว้ก็คือ ‘หลานจิ้งเคอ’ ซึ่งหาตัวไม่พบ
“พี่หวง นี่…” หลานเหยากวงปราดเข้าไปต้อนรับ
ตี้ฝูอีชูนิ้วหนึ่งขึ้นมา เอ่ยอย่างรวบรัดยิ่งประโยคหนึ่ง “อย่าเพิ่งถามอะไร รีบไปเตรียมค่ายอาคมสงบจิต!”
หลานเหยากวงมึนงงดั่งน้ำเข้าหัว แต่อย่างไรก็ไม่กล้าถามมาก รีบรุดไปติดตั้งค่ายอาคม
หลานจิ้งอี๋หมายจะพูดอะไร จึงก้าวตามหลังตี้ฝูอีไป จวบจนตี้ฝูอีวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงไปในโลงแก้วผลึกใบนั้นแล้ว เธอถึงได้รวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “พี่หวง นาง…นางใช่พี่หญิงจิ้งเคอของพวกเราจริงๆ หรือ?”
สีหน้าตี้ฝูอีไร้อารมณ์ ไม่ได้ตอบคำถามของนาง
“พี่หวง? จิ้งอี๋รู้สึกว่านางไม่เหมือนพี่หญิงจิ้งเคอของข้าเลย หรือว่า…หรือว่าเกิดความผิดพลาด?”
ตี้ฝูอีวาดแขนเสื้อในทันใด คลื่นแสงสีรุ้งพลันลอยออกมา ด้วยเหตุนี้ หลานจิ้งอี๋จึงถูกมัดไว้เหมือนบ๊ะจ่าง ขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด และเอื้อนเอ่ยวาจาไม่ได้เลยสักครึ่งคำ
ตี้ฝูอีโบกแขนเสื้ออีกครั้ง หลานจิ้งอี๋ก็ไปยืนแปะอยู่ข้างฝาทันที เสมือนภาพฝาผนัง
หลานจิ้งอี๋ทึ่มทื่อไปแล้ว
นางตื่นตระหนกอยู่ในใจ ทำได้เพียงมองตี้ฝูอียุ่งง่วนอยู่หน้าโลงแก้วผลึก ส่วนหลานเหยากวงก็เริ่มเปิดค่ายอาคมเหล่านั้นของโลงแก้วผลึกแล้ว แสงผลึกเจ็ดสีสาดส่องอยู่ภายในโลงแก้ว เรื่องที่ตี้ฝูอีกระทำก็คือชักนำแสงผลึกเหล่านี้ขึ้นมา แยกออกจากกัน แล้วนำมาผสมรวมกันอีกครั้ง ก่อตัวเป็นปราการแสงเจ็ดสีหลังหนึ่ง โอบล้อมหญิงสาวภายในโลงแก้วผลึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์
หลานเหยากวงก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว แต่ตี้ฝูอีกลับทำได้คล่องแคล่วราบรื่นกว่าเขามากนัก แน่นอนว่าประสิทธิภาพย่อมดีกว่าด้วยเช่นกัน
หลานเหยากวงมีข้อสงสัยอยู่เต็มท้อง แต่เมื่อเห็นตี้ฝูอีทำพิธีด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างต่อเนื่อง เขาจึงไม่กล้าถามเลยสักประโยค ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ก่อน
อาคมชุดนี้ตี้ฝูอีเคยสอนหลานเหยากวงแล้ว ถึงแม้หลานเหยากวงจะฝึกฝนอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ใช้ได้คล่องแคล่วยิ่งนักแล้ว แต่ก็ไม่ทราบว่าที่แท้แล้วอาคมชุดนี้มีไว้ใช้ทำอะไรกันแน่
ยามนี้พอเห็นตี้ฝูอีลงมือด้วยตัวเอง หัวใจเขาก็ปั่นป่วนขึ้นมา
หรือว่าก่อนหน้านี้ตนจะทำผิดพลาดไป ดังนั้นจึงเกิดเหตุเหนือความคาดหมายบางอย่างขึ้นใช่ไหม?
พี่หญิงที่ยากนักกว่าจะฟื้นคืนสติขึ้นมาได้คงไม่…หลับใหลไปอีกกระมัง?!
บทที่ 1562 เจ้าสงสัยอะไร?
เมื่อเห็นว่าตี้ฝูอีจัดการเสร็จไปขึ้นตอนหนึ่งแล้ว ในที่สุดหลานเหยากวงจึงถือโอกาสสอบถาม “พี่หวง เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นใช่หรือไม่? นางไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า? จะฟื้นขึ้นมายามไหน?”
หน้าผากของตี้ฝูอีมีเหงื่อซึม สีหน้าก็ค่อนข้างซีดเซียว เขากำลังมองกู้ซีจิ่วที่หลับใหลอยู่อย่างเหม่อลอย หลานเหยากวงเอ่ยถามไปสองรอบเขาถึงคล้ายว่าจะได้ยินแล้ว โบกมือเล็กน้อย กล่าวเพียงสองคำ “ออกไป!”
หนังหน้าหลานเหยากวงยังคงหนาอยู่บ้าง เขาไม่ยอมเลิกรา “พี่หวง ผู้น้องขอกล่าวตามตรง ครานี้ที่หญิงฟื้นขึ้นมานิสัยใจคอค่อนข้างผิดแผกไป ไม่เหมือนที่นางเคยเป็นเลยสักนิด แน่นอนว่านางยังมีความทรงจำของพี่หญิงอยู่ ทว่าเหตุใดผู้น้องจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ อยู่ตลอดเล่า?”
เขาไม่เหมือนกับหลานจิ้งอี๋ ตอนที่หลานจิ้งเคอตายหลานจิ้งอี๋ยังเล็กนัก นางไม่มีทางทราบว่าพี่หญิงของนางมีบุคลิกเช่นไร แต่ยามนั้นหลานเหยากวงโตมากแล้ว มีความคิดความอ่าน ย่อมจดจำได้
ตี้ฝูอีกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าสงสัยอะไร?”
หลานเหยากวงเกาศีรษะ “ผู้น้องเองก็ทราบว่าพี่หญิงหลับใหลไปนานถึงเพียงนี้ พี่หวงก็เคยบอกไว้แล้ว ดวงวิญญาณของพี่หญิงกระจัดกระจายไม่ครบถ้วน เป็นท่านใช้ดวงวิญญาณอื่นเข้าซ่อมเสริม โดยเฉพาะร่างของแม่นางกู้ที่เป็นดวงจิตของพี่หญิงกลับชาติมาเกิด ยามนี้ถึงแม้จะหวนคืนมาแล้ว แต่ก็ยังมีเงาของแม่นางกู้หลงเหลืออยู่ ดังนั้นถ้านิสัยนางจะดูเหมือนแม่นางกู้ไปบ้างก็ไม่แปลก แต่พี่หญิงเคยเป็นถึงประมุขเผ่าเงือกที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นสิบแล้ว ผู้น้องรู้สึกว่าถึงแม้นางจะเกิดใหม่ อุปนิสัยหลักก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไป แต่นาง…”
“เจ้าผิดแล้ว! ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเมื่อถือกำเนิดใหม่นิสัยล้วนเปลี่ยนแปลงไป ซ้ำยังมีความเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมและนิสัยใจคอของบิดามารดาด้วย บางคนต่อให้ไม่เกิดใหม่ หากว่าพบพานความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นิสัยก็จะแปรเปลี่ยนไปมากเช่นกัน เมื่อน้องหญิงสิ้นชีพเดิมทีวิญญาณก็แตกสลายกระจัดกระจายไปแล้ว แต่เนื่องจากนางมีพลังวิญญาณสูง ดวงวิญญาณจึงคงสภาพไว้ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ดังนั้นดวงจิตหนึ่งของนางถึงไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้ และดวงจิตก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในสามดวงจิตหลัก รับผิดชอบควบคุมอารมณ์ของมนุษย์ กู้ซีจิ่วในชาตินี้ประสบความเปลี่ยนแปลงมากมาย บุคลิกแข็งแกร่ง มีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของตนอยู่ก่อนแล้ว แต่ดวงวิญญาณส่วนที่เหลือของน้องหญิงฝืนยัดเยียดหลอมรวมเข้าไป ดังนั้นหลังจากนางฟื้นคืนชีพขึ้นมา อุปนิสัยของนางจะคล้ายคลึงกับกู้ซีจิ่วอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่เป็นไปได้ว่านางจะมีความทรงจำของกู้ซีจิ่วอยู่ด้วย เรื่องเหล่านี้ล้วนมีความเป็นไปได้”
หลานเหยากวงนิ่งงัน “ท่านจะบอกว่าเมื่อนางฟื้นขึ้นมาจะมีบุคลิกของแม่นางกู้งั้นหรือ?”
“มีความเป็นได้แปดส่วนว่าจะเป็นเช่นนี้”
หลานจิ้งอี๋ที่แปะอยู่ข้างฝามาโดยตลอดทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วแน่น นางเกลียดชังกู้ซีจิ่ว! ทว่านึกไม่ถึงเลยว่ากู้ซีจิ่วเป็นดวงจิตพี่สาวแท้ๆ ของตนกลับชาติมาเกิด…
มิน่าเล่าตี้ฝูอีถึงรักกู้ซีจิ่ว ซ้ำยังคิดจะวิวาห์กับนาง เป็นเพราะกู้ซีจิ่วเดิมทีก็เป็นดวงจิตของพี่หญิงที่กลับชาติมาเกิด!
เมื่อก่อนตี้ฝูอีรักพี่หญิงของนาง ซ้ำยังเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เขาชอบนางก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว
เช่นนั้นหลังจากพี่หญิงฟื้นคืนชีพ ตี้ฝูอีจะแต่งกับพี่หญิงก็เป็นเรื่องชอบธรรมตามเหตุผลแล้วมิใช่หรือ?
ในใจของหลานจิ้งอี๋มีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ทวีขึ้นมา
“พี่หวง ท่านวางแผนฟื้นคืนชีพให้พี่หญิงมาหลายพันปีแล้ว ความรักลึกซึ้งที่มีต่อพี่หญิงสามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้เลย ผู้น้องเลื่อมใสยิ่งนัก รอจนพี่หญิงฟื้นขึ้นมา ผู้น้องจะจัดเตรียมงานวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่อลังการให้แก่พวกท่าน ให้พวกท่านที่รักใคร่กันได้ร่วมหอลงโลงกันเสียที” หลานเหยากวงทั้งตื้นตันทั้งปีติยินดี ในใจเริ่มร่างแผนงานวิวาห์นั้นแล้ว
“เอาไว้ค่อยคุยเถิด” ตี้ฝูอีดูสงบนิ่งยิ่งนัก
หลานเหยากวงคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ ชะงักงันไปครู่หนึ่ง คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ “พี่หวง ในเมื่อนางกู้เป็นดวงจิตสายหนึ่งของพี่หญิงที่กลับชาติมาเกิด ยามนี้ดวงจิตหวนคืนแล้ว พี่หญิงฟื้นคืนชีพ เช่นนั้นแม่นางกู้คงมิใช่ว่า…สิ้นชีพไปแล้วหรือ?”
————————————————————————————-
บทที่ 1563 กลับเป็นคนที่ทำร้ายนางอย่าลึกล้ำที่สุด!
ปลายนิ้วตี้ฝูอีพลันแข็งทื่อ ไม่พูดอะไร
ดวงตาหลานเหยากวงฉายแววลุแก่โทษ “เพื่อฟื้นคืนชีพให้พี่หญิง แม่นางกู้จึงต้องสังเวยชีพ…เฮ้อ แม่นางกู้ก็เป็นดวงใจของพี่หวงเช่นกัน สังเวยชีพนางพี่หวงย่อมต้องปวดใจ…”
“ยามนี้ผู้ใดก็ไม่สำคัญเท่านาง…” ตี้ฝูอีตัดบทเขา สายตาร่อนลงบนดวงหน้าของหญิงสาวในโลงแก้วผลึก
หลานเหยากวงลูบจมูก เอาเถอะ เพื่อพี่หญิงของเขาแล้วไม่ว่าผู้ใดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนสละได้ทั้งนั้น “พี่หวง ท่านก็อย่าได้โทษตัวเองจนเกินไป ถึงแม้แม่นางกู้ก็สิ้นชีพไป แต่พี่หญิงก็ฟื้นคืนชีพมา เหมือนอย่างที่ท่านว่าไง หลังจากนางฟื้นคืนชีพขึ้นมานิสัยจะคล้ายคลึงกับแม่นางกู้ยิ่งนัก ก็เท่ากับแม่นางได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยเช่นกัน ก็เหมือนท่านได้ชดเชยให้นางด้วย…”
“ออกไป!” ตี้ฝูอีกล่าว ปรายตามองหลานจิ้งอี๋ที่อยู่ต้องมุมห้องด้วยแวบหนึ่ง “พาน้องเจ้าไปด้วย”
หลานเหยากวงไม่กล้าพูดจาเป็นอื่นอีก พาหลานจิ้งอี๋ออกไปจริงๆ เขารู้ดี ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องการอยู่เงียบๆสักหน่อยเช่นกัน
….
หญิงสาวในโลงนอนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ สีหน้านางราบเรียบ หลับสนิทยิ่งนัก ราวกับลืมเลือนความทุกข์โศกทั้งปวงแล้ว
ตี้ฝูอีนั่งอยู่ข้างกายนาง จับจ้องนาง ไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
แปดปีมานี้นางจะนอนหลับด้วยท่าทางเช่นนี้อยู่ข้างกายเขาเสมอ นอนหลับอย่างไร้การป้องกันยิ่งนัก ในใจเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตัวเขา
เด็กสาวคนนี้ยามปกตินิสัยดูเยือกเย็น แต่เมื่อชมชอบใครสักคนอย่างแท้จริงก็จะมอบทั้งกายใจให้ รักร้อนแรงดั่งเพลิง
นางรักเขายิ่งชีพ สามารถสละชีวิตของนางเองเพื่อเขาได้จริงๆ เพียงเขามีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ นางก็จะวิตกกังวลยิ่งนักแล้ว
เขาเชื่อว่าหากวันหนึ่งเขาประสบเหตุเหนือความคาดหมายเข้าจริงๆ นางจะต้องตายตามเขาแน่นอน…
ความรักไม่รู้ว่าเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยามไหน ทว่ารักสลักใจชั่วนิรันดร์
เขาไม่เคยทราบเลยว่าการรักคนผู้หนึ่งจะทำให้คนไม่แยแสทุกสิ่งได้ถึงเพียงนี้ ทุ่มเทจนหลงลืมตนได้ถึงเพียงนี้…
เขายื่นมือไปจับมือข้างหนึ่งของนางไว้ ทำเหมือนแปดปีที่ผ่านมา ประสานนิ้วมือกับนาง
ปลายนิ้วสัมผัสชีพจรของนางเบาๆ ความปวดร้าวพาดผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง…
เขารู้ดีว่าต่อไปจะมีโอกาสเช่นนี้ไม่มากแล้ว
เขามองใบหน้าเฉิดฉันของนางอย่างเหม่อลอย คล้ายอยากสลักภาพดวงหน้านี้ลงในหัวใจ
เหตุใดจึงล้มเหลวเล่า?
แปดปีก่อนเขาลงอาคมลืมเลือนไว้บนร่างเดิมนี้ของนางแล้วชัดๆ ขอเพียงนางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ก็จะลืมเลือนทุกสิ่งที่เคยทำร่วมกับเขาไป อย่างมากก็จำได้แค่เรื่องราวเหล่านั้นระหว่างหลานจิ้งเคอกับหวงถู จะนึกว่าตนเองคือประมุขเผ่าเงือกหลานจิ้งเคอ…
ที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้แล้วไม่น่าเชื่อว่ายังคงจำเขาได้ ไม่ลืมเลือนเลยสักนิด!
นางยังจดจำทุกสิ่งทุกอย่างได้ อีกทั้งเมื่อตื่นขึ้นมาเรื่องแรกที่ทำก็คือตามหาเขา
อาคมของเขาล้มเหลว!
เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่าเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว!
เขามองนางอย่างเหม่อลอย นิ้วมือค่อยๆ ลูบไล้ดวงหน้าน้อยๆ ของนาง แววตาแปรปรวนยิ่งนัก
นางเป็นตัวแปรเสมอ!
เขาไม่อยากทำร้ายนาง แต่กลับเป็นคนที่ทำร้ายนางอย่าลึกล้ำที่สุด!
รอจนนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หากว่ายังไม่ลืมเขาอีก ไม่ลืมเลือนทุกสิ่งเกี่ยวกับตี้ฝูอี เกรงว่าคงต้องทำให้นางเกลียดเขาจนเข้ากระดูกเสียแล้ว
เขานั่งอยู่ตรงนั้น มองนางอยู่ตลอด สายตาร่อนลงบนกำไลคู่บุพเพบนข้อมือนาง ไม่ละสายตาไปเนิ่นนาน
….
ในเมื่อเขาคนที่เขาต้องการคืนชีพให้มาโดยตลอดคือหลานจิ้งเคอ คนที่รักก็คือหลานจิ้งเคอ เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องทุ่มเทเย้าแหย่ตัวเธอกู้ซีจิ่วเล่า? ซ้ำยังแต่งงานกับเธออีก
ความรักแปดปีล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้นหรือ?
คำถามนี้รัดรึงพัวพันอยู่ในหัวใจเธอ พัวพันจนกลายเป็นฝันร้าย ทำให้เธอไม่อาจสงบสุขได้แม้แต่ในความฝัน…
ระหว่างที่มึนงงอยู่เธอสามารถรับรู้ได้ว่าตี้ฝูอีพาเธอกลับไปที่เผ่าเงือกอีกครั้ง
บทที่ 1564 เขาถึงตามเข้าไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ระหว่างที่มึนงงอยู่เธอสามารถรับรู้ได้ว่าตี้ฝูอีพาเธอกลับไปที่เผ่าเงือกอีกครั้ง ระหว่างที่เดินทางไปยังเผ่าเงือก เขาใช้วิชาสร้างฟองอากาศนั้น พลางอุ้มเธอไว้ด้วย กอดไว้แน่นเช่นนั้น แน่นถึงเพียงนั้น ราวกับเธอเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เขาอาจสูญเสียไปได้…
เธอไม่อยากให้เขาอุ้ม หากว่าเป็นไปได้ เธอถึงขั้นที่ไม่อยากให้เขาแตะต้องตนด้วยซ้ำ!
เพียงแต่เธอควบคุมร่างกายไม่ได้เลย
เธอรู้ว่าตี้ฝูอีกำลังร่ายอาคมลงบนร่างเธอ หมายให้เธอสลบไปอย่างสมบูรณ์ แต่เธอกลับไม่อยากสลบ! ถึงแม้เบื้องหน้าจะมีเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นอยู่ เธอก็อยากลืมตาเผชิญหน้าตรงๆ!
เธอพยายามตั้งสติไว้อย่างยิ่งยวด ยามนี้พลังจิตของเธอกล้าแข็งยิ่งนัก จึงถูกเธอเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้
เธอก็เหมือนผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะไร้การตอบสนอง ดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรและไม่เคลื่อนไหว ท่าทางเหมือนหลับอยู่ ความจริงแล้วยังคงรักษาสติไว้ได้และตื่นตัวอยู่ตลอด ได้ยินเสียงจากภายนอกได้
ตี้ฝูอีพาเธอมาที่วังเงือก ใส่เธอเข้าไปในโลงแก้วผลึก ร่ายอาคมห่อหุ้มเธอ…
เธอสัมผัสได้ว่ามีลำแสงสายแล้วสายเล่าเข้าสู่สมองเธอ ต้องการลบเรื่องราวบางส่วนในสมองเธอ…คล้ายว่าต้องการลบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเธอในฐานะกู้ซีจิ่วทิ้งไป!
สติของเธอสร้างกำแพงมาสกัดกั้นไว้ตามสัญชาตญาณ สลายลำแสงที่เข้าสู่สมองเธอไป ไม่ให้มันมาสัมผัสกับความทรงจำของตน…
ไม่มีใครรู้ว่าหนก่อนที่หลงฟั่นสลับร่างเธอแล้วลบความทรงจำของเธอทิ้งทำให้เกิดเงามืดขึ้นในใจเธอ และไม่ยินยอมให้เกิดเรื่องเช่นเดียวกันขึ้นอีกต่อไป!
เนื่องจากเรื่องนี้ เธอจึงค่อยๆ คิดค้นอาคมชนิดหนึ่งขึ้น สามารถใช้งานภายในดวงวิญญาณได้ ขอเพียงดวงวิญญาณเธอไม่ดับสลาย ความทรงจำของเธอก็จะไม่หายไปอีก ไม่มีผู้ใดสามารถลบความทรงจำของเธอได้อีกแล้ว!
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้เธอจะเคลื่อนไหวไม่ได้ พูดไม่ได้ ถึงขั้นที่ไม่อาจลืมตาได้ด้วยซ้ำ ทว่าในดวงวิญญาณของเธอมีปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว ขอเพียงมีคนพยายามลบความทรงจำของเธอ อาคมที่ซ่อนเร้นอยู่ในดวงวิญญาณของเธอก็เปิดใช้งาน ก่อกำแพงมาสกัดกั้น…
เมื่อตี้ฝูอีหยุดพิธี ในที่สุดแสงสีขาวที่เข้ามาในสมองเธอก็หายไป เธอลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เธอง่วงเหลือเกิน แต่ว่าสัญชาตญาณนักฆ่ากลับทำให้เธอไม่ต้องการจะหลับใหลไปอย่างสิ้นเชิง เธอฝืนตั้งสติไว้ตลอด ไม่ให้ตัวเองหลับไป
หลังจากนั้น เธอได้ยินบทสนทนาของตี้ฝูอีกับหลานเหยากวง ได้ยินทุกสิ่ง ในที่สุดก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว!
ที่แท้ตนคือดวงจิตของหลานจิ้งเคออะไรนั่น ที่แท้เขาเข้าใกล้เธอ หยอกเย้าเธอ อ่อนโยนต่อเธอแต่งงานกับเธอล้วนเป็นเพราะหลานจิ้งเคอ…
มิน่าเล่าตอนที่เธอสละร่างเดิมหนีเข้าป่าทมิฬไป เขาถึงตามเข้าไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ที่แท้เขาไม่ได้ต้องการเพียงร่างเดิมของเธอเท่านั้น ยังต้องการดวงวิญญาณของเธอด้วย!
มิน่าล่ะเขาถึงบังคับให้เธอฝึกฝนวรยุทธ์ตลอด ถึงขั้นที่แต่งงานเพื่อบำเพ็ญร่วมคู่กับเธอ ที่แท้เขาก็ต้องการให้ดวงวิญญาณนี้ของเธอแข็งแกร่งพอ เช่นนั้นถึงจะแบกรับร่างกายนี้ได้ ถึงจะคืนชีพให้หลานจิ้งเคออย่างสมบูรณ์ได้…
ที่แท้ตั้งแต่ต้นจนจบเขาล้วนหาประโยชน์จากตัวเธอกู้ซีจิ่ว ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อคืนชีพให้หลานจิ้งเคอทั้งสิ้น…
ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพรายได้อันใด ความลำบากอันใด เขาเห็นหลานจิ้งเค่อเป็นเพียงสหายอันใด รักเพียงตัวเธอกู้ซีจิ่วอันใด…ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง! ล้วนเพื่อตอบสนองเป้าหมายสูงสุดนี้ของเขาทั้งนั้น
ฮ่าๆ กู้ซีจิ่ว ที่แท้ในสายตาเขาเธอก็เป็นแค่เสี้ยวดวงจิตเท่านั้น…
ตรงหัวใจคล้ายถูกคนเสียบมีดเข้าไป ค่อยๆ บิดคว้าน เจ็บเหลือเกิน! เจ็บปวดมากจริงๆ…
และไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดเธอก็ฟื้นจากอาการสะลึมสะลือง่วงงุน ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่เข้าสู่ครรลองสายตาเธอคือดวงหน้างดงามล่มบ้านล่มเมืองของตี้ฝูอี
————————————————————————————-
บทที่ 1565 ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นใคร?
เดิมทีเมื่อเห็นใบหน้านี้เธอจะรู้สึกสบายใจ ทว่าตอนนี้กลับเกลียดชัง
อีกทั้งเขายังจับมือเธอไว้ กุมนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น…
“ตื่นแล้วหรือ?” เขาถาม
เธอชักมือตัวเองออกโดยพลัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านเป็นใคร?”
ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง
ใบหน้าเขาซีดขาว ทว่าริมฝีปากกลับหยักยิ้ม “จำข้าไม่ได้หรือ? ข้าคือหวงถู”
กู้ซีจิ่วหันหน้ามองเขา ดวงตาฉายความเกลียดชัง “หวงถู…ผู้ใดกัน? ข้าไม่รู้จักท่าน!”
ตี้ฝูอีหลุบตาลงมองฝ่ามือที่ว่างเปล่าของตัวเอง และมองนางอีกครั้ง “จำข้าไม่ได้แล้วจริงหรือ?”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่งช้าๆ สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความระแวดระวัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดข้าถึงต้องจำท่านได้?” แล้วกวาดสายตาไปโดยรอบ “ที่นี่ที่ไหน? เหตุใดข้ามาอยู่ที่นี่?”
ตี้ฝูอีกล่าวอันใดไม่ออก เขาจ้องมองนัยน์ตานางโดยละเอียด
ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ เขามองเห็นความรู้สึกผ่านดวงตานางได้ แต่ภายในแววตาที่นางมองเขาเต็มเปี่ยมด้วยความแปลกหน้าและหวาดระแวง ประหนึ่งมองคนแปลกหน้าจริงๆ…
นางลืมเขาแล้วจริงหรือ?
หรือว่า?
จู่ๆ เขาก็คว้าข้อมือนางเพื่อจะตรวจชีพจรของนาง…
ทว่ากู้ซีจิ่วต่อต้านเขาอย่างเห็นได้ชัด แทบจะออกกระบวนท่าทันทีที่เขาคว้าข้อมือ ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งของนางรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ประทับลงบนหน้าอกเขาทันที! ด้วยฝ่ามือที่ออกแรงซัดเข้ามา ตี้ฝูอีถอยหลังไปหลายก้าวทันใด สีหน้าขาวซีดขึ้นไปอีก…
ฝ่ามือนี้ของกู้ซีจิ่วไม่ได้ออมมือแม้แต่น้อย ใช้พละกำลังทั้งหมดสิบส่วน!
ตอนนี้พลังวิญญาณของเธอบรรลุขั้นสิบแล้ว ต่อให้ใช้พละกำลังแค่แปดส่วนตำหนักแห่งนี้ก็ถูกทำลายได้ราบคาบแล้ว ยามนี้เธอกลับใช้พละกำลังสิบส่วนซัดไปบนร่างของตี้ฝูอี ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างเขา ร่างกายก็สั่นสะท้าน ล่าถอยไปสองก้าว
เขามองเธอ เธอก็มองเขากลับ
เธอไม่อยากให้เขาแตะเนื้อต้องตัว!
การเคลื่อนไหวภายในตำหนักทำให้หลานเหยากวงที่รออยู่ด้านนอกมาตลอดตื่นตระหนก เขาพุ่งเข้ามาทันที เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วที่ลุกขึ้นนั่งก็ดีใจ จึงตะโกนเรียก “พี่หญิง ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว!”
ร้องเรียกออกไปแล้วเขาถึงได้รู้สึกว่าประโยคนี้ค่อนข้างคุ้นหู เหมือนตอน ‘พี่หญิง’ ของเขาฟื้นขึ้นมาครั้งแรก เขาก็พูดประโยคนี้
สายตากู้ซีจิ่วร่อนลงบนร่างของหลานเหยากวง “พี่หญิง? เจ้าคือ?”
หลานเหยากวงนิ่งงัน รีบร้อนแนะนำตัวเอง “พี่หญิง ข้าคือเหยากวง หลานเหยากวง น้องชายของท่าน”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “หลานเหยากวง? น้องชายข้า?” แล้วมองหลานเหยากวงหัวจรดเท้า “เจ้าจำคนผิดแล้วหรือเปล่า?”
หลานเหยากวงนิ่งอึ้ง เขาทึ่มทื่อไปแล้ว!
เขาทึ่มทื่อไปครึ่งนาทีเต็มๆ ถึงจะอดไม่ได้เอ่ยถาม “ท่าน…ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นใคร?”
กู้ซีจิ่วตอบอย่างตรงไปตรงมา “รู้แน่นอน! ข้าคือกู้ซีจิ่ว แต่เจ้าแซ่หลาน จะเป็นน้องชายของข้าได้อย่างไร? อีกอย่างข้าไม่เคยมีน้องชาย มีแต่พี่ชายคนหนึ่ง”
หลานเหยากวงตะลึงพรึงเพริด
สวรรค์ เทพศักดิ์สิทธิ์บอกว่าลบความทรงจำที่เกี่ยวกับกู้ซีจิ่วได้ แต่นึกไม่ถึงว่ากลับลบออกไปไม่หมด ทั้งยังลบความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวกับหลานจิ้งเคอออกไปด้วยอีก!
สายตาราวกับร้องขอความช่วยเหลือของเขามองมาที่ตี้ฝูอี ส่งกระแสเสียงไปว่า ‘พี่หวง นาง…นางจำได้เพียงว่าตอนนี้ตัวเองคือกู้ซีจิ่ว ทำอย่างไรได้บ้าง?!’
ครั้งนี้พี่สาวของเขาฟื้นขึ้นมา สู้ครั้งที่แล้วไม่ได้เลย!
อย่างน้อยครั้งก่อนนางก็มีความทรงจำของทั้งสองคน ยังจำน้องชายอย่างเขาคนนี้ได้ ทว่ายามนี้นางกลายเป็นกู้ซีจิ่วโดยสมบูรณ์แล้ว!
เช่นนั้นนางยังเป็นพี่สาวของเขาหรือไม่?
สีหน้าของตี้ฝูอียังซีดเผือด ขบเม้มริมฝีปากบางไว้แน่น จ้องมองกู้ซีจิ่ว เหมือนคิดว่าจะมองเห็นบางอย่างจากการเคลื่อนไหวและการแสดงออกของนาง
บทที่ 1566 จะได้ไม่ต้องถูกเขาจับเข้าไปอีก…
กู้ซีจิ่วไม่มองพวกเขาอีกต่อไป เธอหลุบตาลงมองโลงแก้วผลึกที่อยู่ภายใต้ร่าง พลันเลิกคิ้วขึ้น “ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย เหตุใดจึงมาอยู่ในโลงได้? อัปมงคล!”
เรือนกายเธอพลันเปล่งแสงมาอยู่ด้านนอกโลง ถือโอกาสสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีขาวเปล่งประกาย ตามด้วยเสียงแตกดังเพล้ง โลงแก้วผลึกที่รวบรวมพลังวิญญาณไร้ขีดจำกัดของเผ่าเงือกแหลกเป็นจุณทันที!
โลงแก้วผลึกนี้เป็นอาวุธวิเศษที่เขาใช้ทำพิธีลบความทรงจำของเธอ เธอจำต้องทำลายมัน! จะได้ไม่ต้องถูกเขาจับเข้าไปอีก…
หลานเหยากวงตกตะลึง โลงแก้วผลึกนี้ไม่ใช่โลงแก้วผลึกธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่ตี้ฝูอีสร้างขึ้นเองกับมือเมื่อแปดปีก่อน เป็นอาวุธวิเศษที่รวบรวมพลังวิญญาณนับไม่ถ้วนของเขา อาวุธวิเศษชิ้นนี้เชื่อมต่อกับแหล่งพลังวิญญาณของเผ่าเงือก มิเช่นนั้น ร่างเดิมของกู้ซีจิ่วที่นอนอยู่ในโลงแก้วผลึกนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่เน่าเปื่อย พลังวิญญาณก็มิอาจเพิ่มขึ้นได้รวดเร็วขนาดนี้!
นอนอยู่ก็สามารถเลื่อนถึงขั้นสิบได้โดยอัตโนมัติ บนโลกใบนี้ก็มีแค่แหล่งพลังวิญญาณของทวีปหลานเฟิงนี้เท่านั้นถึงจะทำสำเร็จลุล่วงได้
เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นคนค้นพบแหล่งพลังวิญญาณนี้เมื่อหกพันปีก่อน ต่อมาหลานจิ้งเคอก่อตั้งอาณาจักรที่นี่ ก็ด้วยเหตุผลเรื่องแหล่งพลังวิญญาณนี้
ด้วยแหล่งพลังวิญญาณนี้จึงเสริมให้สิ่งของในวังเงือกไม่เน่าไม่เปื่อยนับพันปีไปจนถึงนับหมื่นปี แน่นอน เนื่องจากพลังวิญญาณในแหล่งพลังวิญญาณนี้แข็งแกร่งเกินไป ความจริงแล้วเป็นพลังวิญญาณที่ไม่อาจดูดซับไปใช้ได้โดยตรง คนเผ่าเงือกที่ฝึกฝนที่นี่ทำได้เพียงดูดซับพลังวิญญาณที่รั่วไหลออกมาจากแหล่งพลังวิญญาณเป็นครั้งคราวเท่านั้น ต่อให้รั่วไหลออกมาเป็นบางครั้งก็ยังมากกว่าพลังวิญญาณในทวีปด้านนอกเสียอีก!
หากต้องการดูดซับพลังวิญญาณภายในแหล่งพลังวิญญาณโดยตรง จำเป็นต้องสร้างอาวุธวิเศษอย่างโลงแก้วผลึกนี้ โลงแก้วผลึกนี้ถูกปลุกเสกคาถาอาคมมากมาย สามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณภายในแหล่งกำเนิดให้กลายเป็นพลังวิญญาณธรรมดาที่ร่างกายมนุษย์ดูดซับได้โดยตรง…
อาวุธวิเศษชิ้นนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาง่ายๆ หลานเหยากวงจำได้อย่างชัดเจนว่าเทพศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นมาด้วยตนเองโดยใช้เวลาครึ่งปีเต็ม สิ้นเปลืองทั้งพลังวิญญาณและอิทธิฤทธิ์ไปมากมาย เขาจำได้ว่าตอนนั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ตีขึ้นรูปแต่ละครั้ง ใบหน้าก็ซีดขาวทุกครั้ง บางครั้งถึงกับเหงื่อโซมศีรษะ ทำให้หลานเหยากวงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนเขาเมื่อเห็น!
กล่าวได้ว่าหากไม่มีโลงแก้วผลึก ก็ไม่มีกู้ซีจิ่วในวันนี้
บัดนี้ อาวุธวิเศษเพียงชิ้นเดียวกลับถูกกู้ซีจิ่วทำลายลงอย่างง่ายดาย! ทำลายไปแล้ว!
หลานเหยากวงรู้สึกเบื้องหน้ามืดมัวไปหมด!
ตอนนั้นที่ตี้ฝูอีสร้างอาวุธวิเศษชิ้นนี้เสร็จ ยังเคยสั่งการเขาไว้อย่างชัดเจน ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายทุกสิ่งสูญสลายก็ต้องรักษาอาวุธวิเศษชิ้นนี้ไว้เป็นอย่างดี เสียหายไม่ได้แม้แต่นิดเดียว! มิเช่นนั้นตี้ฝูอีจะไม่ไว้ชีวิตเขา จะให้ชาวเผ่าเงือกทั้งหมดตายตกตามเขาไป
ดังนั้นแปดปีมานี้ หลานเหยากวงจึงดูแลอาวุธวิเศษชิ้นนี้ดียิ่งกว่าดูแลตัวเองเสียอีก ด้วยกลัวว่าข้ารับใช้หรือสาวใช้จะมือหนัก ทำงานละเอียดอ่อนเช่นนี้ไม่ได้ งานจำพวกปัดกวาดเช็ดถูโลงแก้วผลึกย่อมเป็นหลานเหยากวงลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกวันต้องใช้ใยเงือกอย่างดีที่สุดเช็ดรอบหนึ่ง ตัดเล็บจนสั้นกุดด้วยเกรงว่าจะขีดข่วนเป็นรอยเล็บ…
หลานเหยากวงยังคงมีไหวพริบ หลังจากเขามีปฏิกิริยาตอบสนอง ความรู้สึกแรกก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์จะเดือดดาลอย่างยิ่ง และลงโทษกู้ซีจิ่ว…
ยามนี้ ถึงแม้พี่สาวคนนี้จำเขาไม่ได้ ถึงแม้นางมีเพียงความทรงจำของกู้ซีจิ่ว ทว่าอย่างไรเสียนางก็คือพี่สาวของเขานี่! พี่สาวที่กว่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้…
เรือนกายหลานเหยากวงขยับไหว มาขวางหน้ากู้ซีจิ่วในทันที เขาบังนางไว้ด้านหลังตามสัญชาตญาณ ทำความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อตี้ฝูอี “พี่หวง นางไม่รู้ว่าโลงแก้วผลึกมีค่าขนาดนี้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ท่านอย่าได้ลงโทษนางเลย…”
สายตาตี้ฝูอีมองโลงแก้วผลึกที่แหลกเป็นเสี่ยงบนพื้นรอบหนึ่ง ในที่สุดก็หันมามองหน้ากู้ซีจิ่ว แต่กลับไม่กังวล ไม่โกรธ และกล่าวอย่างเรียบเฉย “เดิมทีโลงแก้วผลึกนี้ก็สร้างขึ้นเพื่อฟื้นคืนชีพนาง แตกสลายไปแล้วก็ช่างมันเถิด”
————————————————————————————-
บทที่ 1567 ที่แท้ของสิ่งนี้ก็หมายถึงสวรรค์ลิขิตวาสนา…
กู้ซีจิ่วเย้ยหยันในใจ สิ่งที่เขาทำให้หลานจิ้งเคอช่างมีน้ำใจไม่ธรรมดาเสียเหลือเกิน! หากหลานจิ้งเคอทำลายที่นี่ทิ้ง เขาก็จะพูดว่าเจ้ามีความสุขก็ดีแล้วด้วยความรักใคร่หรือ?
หลานเหยากวงแน่นิ่ง เมื่อวางใจลงได้ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ การปฏิบัติต่อคนรักนี่ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ตอนนั้นหลานจิ้งอี๋ใช้เท้าเตะโลงแก้วผลึกนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ กลับถูกตี้ฝูอีโยนออกจากตำหนักนี้ไปทันที ถูกทำโทษให้ยืนนิ่งทั้งวันประหนึ่งท่อนไม้
ยามนี้ กู้ซีจิ่วทำลายโลงแก้วผลึกนี้เป็นจุณ เขากลับปล่อยไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดูเหมือนเทพศักดิ์สิทธิ์จะรักพี่สาวเขาอย่างสุดซึ้ง ไม่อาจทนกล่าวโทษนางแม้เพียงน้อย
ทว่าโลงแก้วผลึกถูกทำลายแล้วก็ไม่มีทางทำพิธีได้อีก ความทรงจำของพี่สาวเขาจะทำเช่นไร? ความทรงจำของนางหายไปแล้วนี่!
ความทรงจำของพี่สาวเขาจะยังฟื้นกลับมาได้อีกหรือไม่?
หลานเหยากวงวิตกกังวล
ตี้ฝูอีเดินเข้าไปหากู้ซีจิ่วก้าวหนึ่ง อมยิ้มเล็กน้อย “จิ้งเคอ ขอแค่เจ้าฟื้นคืนชีพกลับมาก็ดีแล้ว ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด ข้าก็จะไม่กล่าวโทษเจ้า”
นิ้วมือในชายเสื้อของกู้ซีจิ่วกระชับแน่น จิ้งเคอ! เขาเรียกชื่อนี้ได้อย่างสนิทสนมเหลือเกิน!
เธอเดือดดาลเป็นฟืนไฟ นิ้วมือกระชับแน่นขึ้นช้าๆ ทว่าริมฝีปากกลับโค้งรอยยิ้ม หันไปมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าจำท่านไม่ได้…เหตุใดท่านจึงดีต่อข้าถึงเพียงนี้?”
ตี้ฝูอีจ้องข้อมือนาง “เพราะเจ้าคือคู่หมั้นของข้า พวกเราเคยหมั้นหมายกันไว้ เจ้าดูสิ บนข้อมือเจ้ายังมีกำไลคู่บุพเพที่จะปรากฏขึ้นหลังจากพวกเราหมั้นหมายกัน”
เขาเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นกำไลบนข้อมือ “พวกมันเป็นคู่กัน มีเพียงสวรรค์ลิขิตวาสนาเท่านั้นถึงจะปรากฏสิ่งนี้ได้”
สายตากู้ซีจิ่วร่อนลงบนกำไลบนข้อมือตัวเอง นั่นคือกำไลวงหนึ่งที่สวยงามมาก มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นกำไลคู่รัก ลวดลาย สีสัน เหมือนกันกับของตี้ฝูอีทุกประการ
กำไลวงนี้เคยเป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญและชื่นชอบมากที่สุด ตอนที่เพิ่งสวมใส่ ยามว่างก็จะมองมันอยู่หลายรอบ ตอนนั้นเหตุผลหลักที่เธอพยายามดิ้นรนกลับไปร่างเดิมก็คือกำไลวงนี้ เพราะมันสวมได้แค่บนร่างเดิม เธอถอดมันออกมาไม่ได้
นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เธอให้ความสำคัญกลับเป็นพยานรักของเขากับผู้หญิงอีกคน! น่าขันที่เธอยังสวมใส่มันอย่างระมัดระวังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กลัวจะไปกระทบกับสิ่งใดเข้า!
ที่แท้ตอนนั้นคนที่เขาคาดหวังว่าจะหมั้นหมายด้วยก็คือหลานจิ้งเคอ…มิน่า ตอนนั้นเขาจึงไม่ยอมช่วยเธอสลับร่าง เขาคงรู้อยู่แล้วว่ามีเพียงหลานจิ้งเคอคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิสวมกำไลวงนี้ ส่วนเธอเป็นแค่ตัวแทนในช่วงเวลาหนึ่งของหลานจิ้งเคอ…
เธอเป็นแค่เรื่องตลกขบขันเรื่องหนึ่ง ถูกคนอื่นปั่นหัวเล่นจนหัวหมุน!
เลือดลมในอกพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ลำคอรู้สึกพะอืดพะอม มือและเท้ากลับเย็นวาบเป็นช่วงๆ เธอหยิกฝ่ามือจนเลือดออกแต่กลับไม่รู้สึกอันใด เพียงพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อครองสติสุดท้ายของตัวเอง
ใจเย็นๆ! ใจเย็นๆ! เธอโศกเศร้ามามากพอแล้ว ไม่อาจทำให้ตัวเองโศกเศร้าไปมากกว่านี้อีก!
นิ้วมือเธอหมุนวนกำไลบนข้อมือ ดีดนิ้วหนึ่งครา “ที่แท้ของสิ่งนี้ก็หมายถึงสวรรค์ลิขิตวาสนา…”
เธอเย้ยยิ้มอีกครา “แต่ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา! ชีวิตข้า ข้าเป็นผู้กำหนดเอง มิใช่สวรรค์เป็นผู้ลิขิต” กระบี่คมพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเธอ พุ่งตรงไปที่กำไลบนข้อมือหมายจะตัดมันออก และใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี!
หลานเหยากวงตกตะลึง “ไม่ได้นะ!” หากฟาดฟันกระบี่ลงไป อย่าว่าแต่กำไลบนข้อมือเลย แม้แต่มือของนางก็จะถูกตัดออกไปเลย!
เสียง ‘แกร๊ง!’ ดังสนั่น กำไลวงนั้นส่งระลอกเสียงดังหึ่งๆ ที่แปลกประหลาด ทำให้หลานเหยากวงที่อยู่ด้านข้างกระโดดออกไปด้านนอกสามสี่ก้าวติดต่อกัน เขารู้สึกว่าหูตัวเองจะหนวกแล้ว!
บทที่ 1568 รักมากแค่ไหน ก็เกลียดมากแค่นั้น!
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่ากำไลวงนี้จะส่งเสียงประหลาดเช่นนี้ ระลอกเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นภายในหู เบื้องหน้าพลันมืดดำ…
เมื่อความรู้สึกวิงเวียนช่วงนั้นผ่านไป เธอก้มลงมองกำไลบนข้อมือ
กำไลวงนั้นยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ถูกทำลาย! แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพชรเสียอีก!
เดิมทีเธอระมัดระวังกำไลวงนี้มากเป็นพิเศษ ไม่กล้าโดน ไม่กล้าให้มีรอยขีดข่วน นึกไม่ถึงว่ามันจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จึงตกตะลึงเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าสวรรค์ลิขิตวาสนา จะถูกทำลายตามใจชอบได้อย่างไร?” ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “อย่าเสียแรงเปล่าเลย”
เขาก้าวไปจับข้อมือของนางไว้ “จิ้งเคอ ถึงแม้เจ้าไม่มีความทรงจำทั้งหมดก็อย่าดื้อรั้นเช่นนี้เลย การหมั้นหมายของพวกเรานี้ไม่ง่าย…”
นัยน์ตากู้ซีจิ่วฉายแววเกลียดชัง สะบัดมือเขาออกทันใด เสมือนปัดแมลงวันที่สร้างความรำคาญตัวหนึ่ง นิ้วมือของตี้ฝูอีชะงักงันกลางอากาศครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงมันกลับมา
กู้ซีจิ่วยังคงมองกำไลบนข้อมืออยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังครุ่นคิดหาวิธีทำลายของสิ่งนั้น…
สายตาของเขาหมองหม่น กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดหาวิธีต่างๆ นานา มีแต่พวกเราถอนหมั้นอย่างเป็นทางการหรือว่าข้าตายแล้ว มิเช่นนั้นกำไลวงนี้จะไม่มีทางถอดออกได้ ถึงแม้เจ้าตัดข้อมือข้างหนึ่งของเจ้าออก มันก็จะไปสวมที่ข้อมืออีกข้างหนึ่งใหม่ นอกเสียจากว่าเจ้าจะยอมให้ตัวเองกลายเป็นคนพิการแขนขาดทั้งสองข้าง…”
อา เขาต้องการผูกมัดเธอด้วยกำไลวงนี้หรือ?
ฝันไปเถอะ!
“เช่นนั้นพวกเราถอนหมั้นกันเถิด!” กู้ซีจิ่วแทบไม่ลังเลใจ
เมื่อเห็นความสงบเยือกเย็นบนใบหน้าของตี้ฝูอีถูกทำลายลงในที่สุด หัวใจเธอบีบรัดจนเป็นกลุ่มก้อน ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้นก่อตัวขึ้น เขาอยากครองคู่กับหลานจิ้งเคอนักใช่ไหม? เธอจะไม่ยอมให้เขาได้สมหวัง!
หลานเหยากวงตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะสอดปาก “พี่หญิง ถอนหมั้นไม่ได้นะ…พี่หวงต้องลำบากยากเข็ญเหลือคณาเพื่อฟื้นคืนชีพท่าน เขาจริงใจกับท่านจริงๆ…ท่านอย่าเพิ่งวู่วาม พวกท่านเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสร้าง ตอนนั้นที่พวกท่านหมั้นหมายกันไม่รู้มีคนริษยามากมายเท่าใด ตอนนั้นพวกท่านต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทั่วหล้า ไม่ว่าย่างกรายไปที่ใดผู้คนก็เรียกขานว่าคู่สร้างคู่สม…”
คู่ที่สวรรค์บรรจงสร้าง…คู่สร้างคู่สม…
ดีมาก! ดีเหลือเกิน!
กู้ซีจิ่วรู้สึกราวกับหัวใจกำลังหลั่งโลหิต
ในเมื่อเขากับหลานจิ้งเคอเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสร้าง เหตุใดเขาจึงต้องเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธอ! ในเมื่อรักเธออย่างไม่เกรงกลัวกฎสวรรค์ แล้วเหตุใดจึงทำให้เธอตกนรกอย่างโหดร้าย!
พริบตาที่เจ็บปวดสุดแสน ในที่สุดเธอก็เข้าใจบางอย่าง
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ช่วยเธอสลับกลับไปร่างเดิมก็เพราะต้องการยกร่างเธอให้หลานจิ้งเคอ
หลังออกจากเขตหวงห้ามก็ปกปิดความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากับเธอต่อโลกภายนอก ก็เพราะกลัวว่าหลานจิ้งเคอฟื้นขึ้นมาแล้วจะมีปมในใจ
เขาบ่ายเบี่ยงไม่มาขอแต่งงานที่จวนแม่ทัพ เพราะคนที่เขาต้องการแต่งด้วยอย่างเปิดเผยไม่ใช่เธอกู้ซีจิ่ว แต่เป็นหลานจิ้งเคอ น่าขันที่เธอยังรอคอยให้เขามาขอแต่งงานอย่างโง่งม รอคอยเรื่องประหลาดใจจากเขา!
ความรักทำให้คนตาบอด ข้อสงสัยมากมายค้างคาในใจ ก่อนหน้านี้เธอยังไว้เนื้อเชื่อใจเขาอย่างสุดจิตสุดใจ หาข้ออ้างให้เขาต่างๆ เขาใช้ความอาวรณ์ที่อ่อนโยนและนุ่มนวลบดบังตาทั้งสองข้างของเธอ หลังจากนั้นก็ผลักเธอลงเหวลึกพันจั้งอย่างแผ่วเบา
ตี้ฝูอี ตอนที่ท่านหลอกใช้ข้าเคยรู้สึกใจอ่อนบ้างไหม?
โลหิตในอกของเธอพลุ่งพล่านดั่งน้ำเดือด ทำให้เบื้องหน้าพร่ามัวเป็นช่วงๆ เจ็บปวดหัวใจจริงๆ เจ็บปวดจนเธอแทบอยากจะควักมันออกมา เธอมองตี้ฝูอีอย่างลึกซึ้ง นิ้วมือที่ซ่อนภายในชายเสื้อกระชับแน่นยิ่ง เล็บออกแรงจนขาวซีด โลหิตเปรอะเปื้อนไปทั้งฝ่ามือ…
รักมากแค่ไหน ก็เกลียดมากแค่นั้น!
————————————————————————————-
บทที่ 1569 เธอไม่อยากเห็นมัน!
รักมากแค่ไหน ก็เกลียดมากแค่นั้น สามารถโหดร้ายต่อตัวเองได้มากเท่านั้น! เฉกเช่นยามนี้ เพลิงโทสะพลุ่งพล่านจนแทบจะไหลย้อนผ่านเส้นชีพจรทั้งร่างแล้ว ทว่าเธอยังคงยืนเหยียดตรงอยู่ตรงนั้น ราวกับต้นเหมยที่ยืนต้นทระนงท่ามกลางเหมันต์ เธอถึงขั้นยกยิ้มแวบหนึ่งด้วย “งั้นหรือ? ข้ากับเขาเคยรักกันปานนั้นเชียว?”
หลานเหยากวงคิดจะพยักหน้า ทว่าเมื่อเหลือบมองสีหน้าซีดเซียวของเธอก็ชะงักไป ไม่รู้ว่าควรพยักหน้าหรือว่าส่ายหน้าดีไปชั่วขณะ
“แต่ว่ายามนี้และนับจากนี้ ข้าไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าแล้ว และไม่ต้องการให้ชีวิตของตนต้องมาพัวพันกับคนแปลกหน้าด้วย! ดังนั้นเรื่องวิวาห์นี้ล้มเลิกไปจะดีกว่า” น้ำเสียงเธอเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นขึ้นมาในทันใด ราวกับแฝงไอน้ำแข็งไว้
ตอนนี้เธอไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยสักนิด ที่เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าคือการสานต่อวาสนารักกับเขาด้วยฐานะของหลานจิ้งเคอ! เขาสามารถเหยียบย่ำหัวใจเธอลงไปในโคลนตมได้ แต่เธอไม่ยอมให้ตัวเองถลำลงไปในโคลนตมอีกครั้งเด็ดขาด
สายตาเธอร่อนลงบนดวงหน้าของตี้ฝูอี สายตานั้นเป็นสายตาที่ใช้มองคนแปลกหน้าอย่างสมบูรณ์ ไม่แฝงอารมณ์ใดๆ ไว้เลย นัยน์ตามืดมิดดำสนิท “ข้าคิดว่าท่านผู้สูงศักดิ์ก็คงไม่อยากแต่งกับสตรีที่ภายหน้าจะไม่รักตนกระมัง? ไยไม่ถอนหมั้นนี้ไปเสียเล่า? ทำให้เราเป็นอิสระต่อกัน”
เธอไม่อยากพัวพันกับเขาเช่นนี้แล้วจริงๆ! เธอเพียงฝืนข่มอารมณ์เอาไว้ตลอด ทำให้ตนดูเหมือนปกติ แต่ก็แค่ดูเหมือนปกติเท่านั้น มีเพียงตัวเธอที่ทราบว่าร่างกายเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย สมองวิงเวียนขึ้นมาเป็นพักๆ ถ้าพัวพันกันเช่นนี้ต่อไป เธอต้องกระอักเลือดออกมาอย่าไม่อาจควบคุมได้แน่นอน
ใบหน้าของตี้ฝูอีซีดเผือด แววตาซับซ้อนยากจะคาดเดาได้พาดผ่านนัยน์ตาอย่างรวดเร็วอยู่หลายครา จู่ๆ ก็สะบัดแขนเสื้อพรึ่บ แสงสีรุ้งสายหนึ่งเข้ารัดกู้ซีจิ่วทันที
เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วจนยากจะบรรยายได้ หากเป็นอดีต กู้ซีจิ่วไม่มีทางหลบสายแสงสีรุ้งเส้นนี้ของเขาพ้น
แต่วันนี้คงเป็นเพราะอารมณ์ของเขาก็ไม่มั่นคงเช่นกัน แสงสีรุ้งที่สำแดงออกมาเส้นนี้ไม่คงที่อยู่บ้าง อีกทั้งกู้ซีจิ่วก็ตั้งท่าป้องกันไว้แล้ว หลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว…
ผลลัพธ์คือ แสงสีรุ้งสายนั้นไม่โดนกู้ซีจิ่ว กลับคลุมใส่หลานเหยากวงแทน
ด้วยเหตุนี้เบื้องหน้าหลานเหยากวงจึงมืดมิดลงทันที ร่างกายพลันอ่อนยวบ ส่ายโงนเงน ล้มลงบนพื้นเสียงดังตุบ หลับใหลอยู่ตรงนั้น
ตี้ฝูอีตะลึงเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วมองหลานเหยากวงที่อยู่บนพื้น ทราบว่าหากตนหลบไม่พ้น ก็คงเป็นเช่นหลานเหยากวงในยามนี้ อดไม่ได้ที่ถอยหลังไปอีก และยิ้มหยัน “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
คิดจะทำให้เธอสลบแล้วลบความทรงอีกครั้ง ทำให้หลานจิ้งเคอที่เขาคะนึงหากลับมางั้นหรือ?
ตี้ฝูอีสูดหายใจคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่ใจเย็นพอ รอเจ้าใจเย็นลงแล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องวิวาห์นี้อีกที…อีกสองสามวันข้ามาหาเจ้าอีกครั้ง” พลางหมุนกาย หายไปทันที เขาจากไปอย่างเร่งร้อน ขณะที่หมุนกายเกือบจะชนเข้ากับเสาที่อยู่ด้านหลังแล้ว
แน่นอนว่าลืมคลายอาคมให้หลานเหยากวงด้วย หลานเหยากวงที่น่าสงสารนอนหลับใหลอยู่บนพื้นไร้คนเหลียวแล
ในห้องโถงใหญ่มีเพียงกู้ซีจิ่วที่ยังมีสติอยู่
ภายในห้องโถงยังคงรกเละเทะ กู้ซีจิ่วยืนอยู่ใจกลางห้องโถง จวบจนยามนี้เธอถึงได้รู้สึกว่าสองขาของตนอ่อนยวบยาบ มือก็สั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้ สมองเต็มไปด้วยความคิดว่าอยากจะแก้แค้น แต่บัดนี้สมองมึนงงขึ้นมาเป็นพักๆ เธอคิดวิธีแก้แค้นไม่ออกชั่วขณะ…
เธอก้มหน้ามองกำไลคู่บุพเพบนข้อมือ ละสายตาไปอย่างชิงชัง เธอไม่อยากเห็นมัน!
เธอพยายามถอดกำไลวงนี้ออกอีกครั้งตามสัญชาตญาณ ลองใช้สารพัดวิธี แต่กำไลวงนี้เสมือนงอกออกมาจากข้อมือเธอ ไม่ว่าอย่างไรก็ถอดไม่ออก
คงเป็นเพราะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เมื่อจะถอดสิ่งนี้ออกข้อมือจึงเจ็บปวดขึ้นมา ปวดจนหน้าผากเธอมีเหงื่อผุดพราย ข้อมือบวมเป่งไปหมด
บทที่ 1570 หัวใจของเธอได้ตายลงแล้ว
ข้อมือเจ็บปวดยิ่งนัก! ทว่าหัวใจเจ็บปวดยิ่งกว่า!
เธอหาทางถอดมันออกเสมือนเป็นพวกชอบความเจ็บปวด ราวกับการทำเช่นนี้จะสามารถมองข้ามความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงอยู่ในหัวใจได้…
ไม่รู้เช่นกันว่าเธอตรากตรำอยู่นานแค่ไหน จนกระทั่งหลานเหยากวงฟื้นขึ้นมา พอลืมตาขึ้นก็มองเห็นกู้ซีจิ่วกำลังเคี่ยวกรำกำไลวงนั้นอยู่ตรงนั้นด้วยเหงื่อที่ชุ่มไปทั่วศีรษะ เขาสะดุ้งโหยง รีบถลาเข้าไป “พี่ ท่านทำอะไรน่ะ?!”
เขาคว้าข้อมือกู้ซีจิ่ว “สิ่งนี้ถอดไม่ออกหรอก ท่านอย่าทำแบบนี้เลย…”
กู้ซีจิ่วสะบัดเขาออกทันที “ข้าไม่ใช่พี่สาวเจ้า!”
นี่เป็นร่างกายของเธอ เป็นวิญญาณของเธอชัดๆ เหตุใดคนเหล่านี้จึงอยากให้เธอกลายเป็นใครอีกคนกัน?!
หลานจิ้งเคอ หลานจิ้งเคอ ใครๆ ก็เห็นเธอเป็นหลานจิ้งเคอ เช่นนั้นตัวเธอกู้ซีจิ่วอยู่ที่ไหนกัน?
ในสายตาของคนเหล่านี้ ตัวเธอกู้ซีจิ่วมิใช่ตัวตนที่เป็นเอกราชสินะ สมควรจะถูกสังเวยไปเสียใช่หรือไม่?!
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่กู้ซีจิ่วมีความรู้สึกชั่ววูบที่อยากจะทำลายทุกสิ่งที่นี่ไปให้หมด!
หลานเหยากวงถอยหลังสองสามก้าว ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เขามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ทว่าหาเงาร่างของตี้ฝูอีไม่พบแล้ว จึงโอดครวญอยู่ในใจ
คนผู้นั้นหนีไปเช่นนี้ ทิ้งปัญหายุ่งเหยิงเช่นนี้ไว้แล้วเขาจะเก็บกวาดอย่างไร?
ถึงแม้เขาจะมีประสบกาณ์ในการปลอบโยนสตรียิ่งนัก แต่การโอ๋เด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะระงับโทสะนางได้…
เขาก็อยากวิ่งหนีเหมือนกันนะ…
แต่ว่าเขาหักใจทิ้งพี่หญิงไว้ที่นี่คนเดียวไม่ลง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พี่หญิงกลับมา…
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลองกล่าวหยั่งเชิงดู “พี่ หากว่าท่านอารมณ์ไม่ดี จะพังข้าวของให้มากหน่อยก็ได้นะ ข้าวของในตำหนักนี้ท่านทำลายได้ตามสบายเลย…”
ยามที่คนโมโหสุดขีด การทำลายข้าวของสามารถระบายอารมณ์ได้จริงๆ หลานเหยากวงก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว เขามีประสบการณ์ยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
ต่อให้เธอทำลายข้าวงของทั้งห้องนี้ไปแล้วอย่างไรเล่า? ความรู้สึกที่สูญเสียไปของเธอจะเอากลับคืนมาได้หรือ? เวลาที่เสียไปจะย้อนกลับมาได้หรือ?
“ออกไป! ให้ข้าอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก”
หลานเหยากวงนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังคงออกไป
แน่นอน เขาเกรงว่า ‘พี่หญิง’ จะหนีหายไปเงียบๆ อีกครั้ง จึงลอบส่งคนไปจับตามองทุกทางเข้าออกของวังเงือกไว้
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเป็นวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา แต่ที่นี่คือใต้สมุทรลึก ถ้านางต้องการออกจากทวีปหลานเฟิงก็ต้องผ่านเส้นทางเข้าออกโดยเฉพาะเท่านั้น
ปล่อยให้นางได้ระบายอารมณ์เถิด มิเช่นนั้นถ้าเก็บงำไว้ในใจไม่แน่ว่าอาจก่อให้เกิดอาการป่วยได้
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ในห้องนั้นเงียบๆ ผ่านไปครึ่งค่อนวันในที่สุดถึงได้มีความเคลื่อนไหว เรือนกายวูบไหว หายลับไปในชั่วพริบตา
….
เธอค่อยๆ ขดตัวเข้าหากันเสมือนเด็กทารก ฝังใบหน้าไว้ในฝ่ามือ
ในฐานะสายลับเธอมีความอดทนเสมอมา ความอดทนถูกสลักลงในกระแสเลือดของเธอ แม้จะอยู่ในสถานที่ไร้ผู้คนเช่นนี้ เริ่มแรกเธอก็ยังร้องไห้อย่างข่มกลั้นเอาไว้ยิ่งนัก เสมือนลูกสัตว์น้อยที่บาดเจ็บและสิ้นหวังตัวหนึ่ง ร้องคร่ำครวญเบาๆ พลางเลียบาดแผลตัวเองไปด้วย
น้ำตาค่อยๆ อาบเต็มหน้า หยาดน้ำตาร่วงพรูดั่งสร้อยไข่มุกสายขาด ไหลซึมออกมาจากมือ ทำให้อาภรณ์เปียกชื้น เธอเงยหน้าขึ้นหมายจะบังคับน้ำตาให้กลับเข้าไป ทว่าน้ำตากลับไหลลงจากหางตา เช็ดอย่างไรก็ไม่เช็ดไม่หมด ความคับข้องอยุติธรรมและความทุกข์ตรมในใจสะกดกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ในที่สุดเธอก็ร้องไห้โฮอย่างไร้สุ้มเสียง
เธอรู้ดี ในวันธรรมดาๆ เช่นนี้ ในซอกหลืบที่ไร้ผู้คนเช่นนี้ หัวใจของเธอได้ตายลงแล้ว
….
ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ สีหน้าซีดขาวอย่างยิ่ง ราวกับซากหินบรรพกาล จ้องมองนางอยู่อย่างนั้น
————————————————————————————-
บทที่ 1571 ไม่อาจสงบใจได้แม้ในห้วงนิทรา
มองเงาร่างที่ขดตัวกลมอยู่ไกลๆ อยากเดินเข้าไป ทว่าทำได้เพียงสะกดกลั้นเอาไว้ ทำได้เพียงมองนางร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
นางร้องไห้อยู่เนิ่นนาน เขาก็มองอยู่เนิ่นนาน
นางจากไปแล้ว เขากลับยังยืนอยู่ตรงนั้น มองกำไลบนข้อมือ ราวกับตกอยู่ในภวังค์
ไม่ทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ในที่สุดเขาก็มีความเคลื่อนไหว ค่อยๆ ปล่อยแขนเสื้อที่ถูกขยุ้มจนยับย่นออก
….
กู้ซีจิ่วไม่ได้ไปจากทวีปเฟิงหลาน เธอสุ่มหาตำหนักหลังหนึ่ง แล้วซุกหัวนอน
ตำหนักหลังนั้นเปลี่ยวร้างวังเวงยิ่งนัก คล้ายจำพวกตำหนักเย็น ไม่มีผู้คนย่างกรายมาหลายปีแล้ว เธอนอนที่นี่จึงไม่มีผู้ใดมารบกวน
ตำหนักหลังนั้นมีเพียงเตียงเปลือกหอยเย็นๆ หลังหนึ่งบนเตียงแม้แต่เครื่องนอนก็ไม่มี ผิวหน้าถึงขั้นที่มีฝุ่นปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
ยามนี้เธอไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว นอนลงบนเตียงทันที
ทวีปหลานเฟิงสภาพอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะตำหนักหลังนี้ที่เย็นเป็นพิเศษ อุณหภูมิเพียงสามสี่องศาเท่านั้น
สัญชาตญาณในร่างกายเธอยังคงอยู่ ระหว่างที่หลับใหลคงจะรู้สึกหนาวเย็น เธอจึงขดตัวเป็นก้อนกลมๆ กอดตัวเองแน่น
ด้วยเสียใจจนเกินไป สมองเธอจึงหนักอึ้ง ไม่อาจสงบใจได้แม้ในห้วงนิทรา
รับรู้ได้เพียงความวิงเวียนมึนงง เธอได้ยินเสียงถอนหายใจสายกนึ่ง เสียงนั้นราวกับภาพฝันอันหลอนลวงฉากหนึ่ง แฝงความเศร้าระทมไม่สร่างซาเอาไว้ด้วย
ข้อมือที่ร้อนผ่าวมาโดยตลอดพลันสัมผัสถึงความเย็นเล็กน้อยได้ ความเย็นนั้นค่อยๆ ซึมลงบนข้อมือ และคล้ายว่ามีพลังวิญญาณสายหนึ่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ไหลเวียนไปตามแขนขาของเธอรอบหนึ่ง ชีพจรที่เดิมทีไหลย้อนทวนกระแสอยู่บ้าง ทำให้ชีพจรทั่งร่างเธอที่เดิมทีคล้ายจะร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวด แต่พลังวิญญาณสายนี้ราวกับสายลมพิสุทธิ์ที่โชยผ่าน ชำระล้างทั้งร่าง ทำให้เลือดลมที่พลุ่งพล่านสงบลงอีกครั้ง ถึงขั้นที่แม้กระทั่งความหนาวเย็นก็ไม่รู้สึกถึงอีกแล้ว…
ระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่ราวกับเธอถูกคนกอดไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดนั้นอบอุ่น เสมือนอ้อมกอดของมารดา สามารถค้ำยันผืนนภาเพื่อลูกน้อยได้…
ไม่ทราบเช่นกันว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ยามที่กู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนยังคงอยู่ในตำหนักหลังนั้น บนกายมีผ้านวมคลุมไว้ผืนหนึ่ง แสงสว่างจากด้านนอกส่องลอดหน้าต่างเข้ามา
เป็นวันใหม่แล้ว รุ่งอรุณวันใหม่
เธอจ้องมองแสงสว่างด้านนอกอยู่เนิ่นนานยิ่ง จากนั้นสายตาก็ร่อนลงที่ผ้านวมบนร่างตน หรี่ตาเล็กน้อย
ใครห่มผ้าให้เธอ?
พลันนึกถึงฉากในความฝันก่อนหน้าขึ้นมา ตัวเธอแข็งทื่อทันที เขามาหรือ? หรือว่าเธอฝันไป?
เธอหลุบตามองข้อมือ เมื่อวานเนื่องจากเธอพยายามถอดกำไลออกอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตลอด ข้อมือจึงบวมแดงยิ่งนัก ยามนี้ข้อมือไม่มีอาการบวมแล้ว ขาวผุดผาดดังเดิม กลมกลึงดุจรากบัว
มีเสียงกรอกแกรกแว่วมาจากด้านนอก บานประตูถูกผลักเปิด ดวงหน้าเฉิดฉันของหลานเหยากวงโผล่เข้ามา “พี่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว! ท่านหลับไปสองวันเต็มๆ เลย!”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เธอมองผ้าห่มบนร่าง “ผ้าห่มผืนนี้เป็นเจ้าห่มให้ข้าหรือ?”
หลานเหยากวงกระแอมคราหนึ่ง “ข้าเกรงว่าพี่หญิงอยู่ที่นี่แล้วจะหนาว อีกทั้งไม่กล้าเคลื่อนย้ายท่านไปยังสถานที่อื่น ดังนั้นจึงนำผ้าห่มมาให้…” จากนั้นก็มองตาเธอ ถามอย่างระมัดระวัง “พี่ ท่านไม่เป็นไรแล้วกระมัง?”
กู้ซีจิ่วจ้องมองเขา ทำเอาหลานเหยากวงขนลุกอยู่บ้าง “พี่หญิง?”
“เจ้ามั่นใจว่าข้าคือพี่สาวของเจ้าปานนั้นเชียว?” กู้ซีจิ่วถามด้วยเสียงแหบพร่า
“แน่นอน! ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด! บนร่างท่านมีกลิ่นอายพี่หญิงของข้าอยู่ แถมท่ายก็เคยจดจำพวกเราได้จริงๆ เพียงแต่…เพียงแต่เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยขึ้น จึงทำให้ท่านลืมพวกเราไปอีก”
กู้ซีจิ่วหลับตาลง ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่
บนร่างเธอมีไอเยียบเย็นเหินห่างกับผู้คนอย่างหนึ่งอยู่ โดยเฉพาะหลังจากตื่นขึ้นมาหนนี้ ไอนี้ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น