ลำนำบุปผาพิษ 1548-1555

 บทที่ 1548 ซีจิ่ว ข้ามีความสุขมาก


กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้ว “ต้องเป็นข้าอยู่แล้ว! และมีเพียงข้าถึงจะคู่ควรอยู่ข้างกายท่าน อยู่ร่วมกับท่าน มองจากผังดาราศาสตร์นี้ พวกเราสามารถทอดมองใต้หล้าด้วยกันได้ ข้าสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของท่านอย่างแท้จริงได้แล้ว และมิใช่นกน้อยที่ต้องซุกอยู่ใต้ปีกท่านตลอดไปอีกแล้ว…”


ตี้ฝูอีเขกมะเหงกทีหนึ่ง “เจ้าช่างกล้าพูด! ไม่รู้จักเลยสักนิดว่าความถ่อมตัวคือสิ่งใด”


“แค่พูดไปตามจริงเท่านั้น” กู้ซีจิ่วหยักยิ้มนิดๆ ยิ้มอย่างภาคภูมิ


เธอปรารถนาจะอยู่เคียงข้างเขาทอดมองใต้หล้าไปตลอดกาลจริงๆ มิใช่รับความคุ้มครองจากเขาอยู่ตลอด เช่นนั้นเธอจะไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และเขาก็ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วย


ตอนนี้พลังวิญญาณของเธอบรรลุขั้นสิบแล้ว ช่วยเขาจัดการเรื่องราวมากมายได้แล้ว เขาปกปักใต้หล้านี้ก็เหน็ดเหนื่อยอ้างว้างยิ่งนักแล้ว เมื่อมีเธออยู่ข้างกาย ก็ช่วยเขาแบ่งเบาได้บ้าง…


กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าหาเขา คนสองคนนอนซุกบนเก้าอี้เอนหลังตัวเดียวกัน สองมือไม่ทราบว่ากอบกุมกันไว้ตั้งแต่ตอนไหน สิบนิ้วประสานกัน


กู้ซีจิ่วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ซุกอยู่ในอ้อมอกเขา ขณะที่หลับเธอยังละเมอออกมาด้วย “ข้าแบ่งเบาภาระท่านได้แล้วนะ ท่านไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว…มีความสุขหรือไม่?”


ตี้ฝูอีไม่ได้หลับ เขากอดนางไว้ตลอด มองดวงหน้ายามหลับใหลของนาง ไม่เคยละสายตาไปเลยสักชั่วขณะ


เมื่อได้ยินนางละเมอประโยคนี้ออกมา เขาหลับตาลงเล็กน้อย วงแขนโอบนางแน่น ตอบกลับคำละเมอของนาง “มีความสุขสิ…ซีจิ่ว ข้ามีความสุขมาก…” พลางจุมพิตหน้าผากนางทีหนึ่ง “มีความสุขมากจริงๆ…ดังนั้น ข้าจึงหวังว่าวันหน้าเจ้าจะมีความสุขเช่นกัน…” เมื่อกล่าวมาถึงท่อนหลัง น้ำเสียงเจือความหม่นหมองไว้เล็กน้อย


สายตาของเขาร่อนลงบนดาวใหญ่สองดวงนั้นที่สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า ดวงหนึ่งเพิ่งจะทะยานขึ้นมาอย่างช้าๆ แสงสว่างเจิดจรัสขึ้นเรื่อยๆ


อีกดวงหนึ่งลุกโชนมาหลายหมื่นปีแล้ว…


เขายกมือขึ้นมองดูปลายนิ้วตน เหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน


“ฝูอี…” กู้ซีจิ่วที่อยู่ในห้วงนิทราควานหามือเขาตามสัญชาตญาณ ตี้ฝูอีจึงกุมมือของนางไว้…


ราวกับนางฉวยหลักพักพิงได้แล้ว จับเอาไว้แน่น


แต่ร่างกายของตี้ฝูอีกลับแข็งทื่อทันที เขาสัมผัสถึงพลังวิญญาณของตนที่หลั่งไหลออกไปอย่างรวดเร็วได้…


โชคดีที่เขาระแวดระวังไว้ล่วงหน้าแล้ว รีบชักมือตนออกทันที จรดปลายนิ้วทำมุทรา วาดลงบนร่างนาง หลังจากแสงสีรุ้งห่อหุ้มหมุนวนอยู่รอบกายนางสองสามครั้ง ในที่สุดนางก็หลับใหลอย่างสงบอีกครั้ง


มือของตี้ฝูอีจับมือน้อยของนางอย่างเบาๆ อีกครั้ง ประสานมือกับนางแล้วหลับตาลง


เขารู้ดี ร่างนี้ของนางนับว่ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ถึงเวลาที่ต้องให้นางกลับสู่ร่างเดิมแล้ว เพียงแต่เขาหักใจไม่ลง…


ระยะเวลาของอาคมที่เขาผนึกทัณฑ์สวรรค์นั้นไว้ให้นางสั้นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อำนาจก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ เชื่อว่าจะคุมนางไว้ได้เพียงสามวันเท่านั้น อีกสามวันให้หลังทัณฑ์สวรรค์นี้ของนางจะออกฤทธิ์รุนแรง เมื่อถึงยามนั้นไม่ว่านางจะสัมผัสถูกผู้ใดล้วนจะดูดดึงพลังวิญญาณของผู้อื่น ถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่ดูดจนตัวคนเหือดแห้งก็จะไม่หยุดลง…


เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ นางจะกลายเป็นตัวประหลาดที่ถูกผู้คนตามล่า! ทุกอย่างที่นางมานะพากเพียรให้ได้มาจะสูญสลายเป็นเถ้าธุลี…


ถึงนางจะเป็นสตรีแกร่งคนหนึ่ง แต่การโจมตีเช่นนี้ก็ร้ายแรงถึงชีวิตนางเช่นกัน ไม่แน่ว่านางอาจจะแตกสลายก็ได้!


….


ยามที่กู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงใหญ่ในเรือนหอนั้นแล้ว


ตี้ฝูอีก็นอนอยู่ข้างกายเธอ ดวงตาปิดพริ้ม หลับสนิทอยู่ แพขนตาเขายาวหนา ยามที่หลุบทาบขอบตาล่างเป็นทรงโค้งดั่งพัดเล่มน้อย


เธอพลิกตัวนอนคว่ำตรงนั้นเสียเลย มองดวงหน้ายามหลับใหลของเขา ในใจเปี่ยมด้วยความอบอุ่น


ระยะเวลาแปดปีที่เธอกับเขาอยู่ในเขตหวงห้ามไม่รู้ว่าตื่นเช้ามาด้วยการโอบกอดกันไว้เช่นนี้มากน้อยเพียงใดแล้ว เคยชินจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่หนนี้แยกกันอยู่เกือบหนึ่งเดือน เมื่อพบสภาพการณ์เช่นนี้อีกครั้งเธอจึงรู้สึกอบอุ่นมาก ถึงขั้นที่รู้สึกว่าได้มาไม่ง่ายเลย


————————————————————————————-


บทที่ 1549 เจ้ากำลังชื่นชมความงามของสามี


ก่อนหน้านี้เขาตื่นนอนเช้ากว่าเธอเสมอ ไม่บ่อยนักที่เธอจะตื่นมาเฝ้าดูใบหน้าเขาตอนนอนอย่างสงบขนาดนี้


เธอกับเขายังกุมมือกันไว้ สิบนิ้วมือกระชับแน่น ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ


ดูเหมือนที่หลงซือเย่พูดจะไม่ถูกต้อง เธออยู่กับตี้ฝูอีมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน ยังไม่เคยดูดพลังวิญญาณเขาเลยสักครั้ง คงไม่ใช่เพราะทัณฑ์สวรรค์ บางทีอาจเป็นเพราะเธอฝึกฝนจนธาตุไฟเข้าแทรก ถึงได้ฝึกฝนอวิชชาดูดดาวที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นและไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองโดยไม่ตั้งใจ…


เธอมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา จึงอยากลองนั่งสมาธิเพ่งพิศภายในดูตัวเองสักหน่อยว่ามีเส้นลมปราณตรงไหนผิดปกติหรือไม่


เธอเพิ่งลุกขึ้นนั่งก็มีแขนข้างหนึ่งโอบรัดเอวเธอไว้ “เหตุใดไม่นอนต่ออีกสักหน่อย?”


กู้ซีจิ่วหันไปสบสายตากับตี้ฝูอี ดวงตาของเขาสดใส มีอาการง่วงนอนที่ไหนกัน?


“ดูเหมือนท่านจะตื่นนอนนานแล้วนะ เหตุใดจึงไม่ลืมตา?” กู้ซีจิ่วกระทุ้งหน้าอกเขา


ตี้ฝูอีจับมือที่ก่อความวุ่นวายของนางพลางยิ้มเบิกบาน “เจ้ากำลังชื่นชมความงามของสามี ข้าย่อมให้เจ้าชื่นชมจนกว่าจะพอใจ ไม่อาจรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของเจ้า”


เขาเอนกายกึ่งนอน สวมเสื้อคลุมด้านในตัวโคร่ง ยามนี้สาบเสื้อด้านหน้าเปิดออกอยู่กึ่งหนึ่งเผยให้เห็นหน้าอก ส่วนที่เหลือเผยให้เห็นวับแวม…


ท่าทางของเขาดูสบายยิ่งนักและทำให้คนจินตนาการไปได้ต่างๆ นานา กู้ซีจิ่วยิ้มมีเลศนัย ยกมือขึ้นดึงเสื้อคลุมให้เห็นเรือนร่างของเขามากขึ้นอีก “อยากให้ข้าชื่นชมความงามของท่านก็ต้องแสดงความจริงใจบ้าง กอดผีผาบดบังใบหน้าไว้กึ่งหนึ่งเช่นนี้ ไม่ตรงไปตรงมาเลย…”


ความจริงกู้ซีจิ่วเพียงแค่ใช้วาจา ไม่ได้คิดจะทำจริงๆ ดังนั้น เธอจึงดึงเสื้อคลุมเขาออกแค่ข้างหนึ่ง แม้แต่ทิวทัศน์อันแสนรื่นรมย์ก็ไม่ได้เผยให้เห็น


ตี้ฝูอีกลับตรงไปตรงมา หรี่ตาลงเล็กน้อย ยกมือขึ้นพลันชี้ไปที่ร่างกายของเขา เสื้อคลุมทั้งชุดถูกถอดออก ร่างกายเปลือยเปล่าพลันปรากฏ ภาพคมชัดไม่ต้องเข้ารหัสใดๆ…


หัวใจของกู้ซีจิ่วเต้นตึกตัก ถึงแม้เธอคุ้นเคยกับร่างกายของเขาอย่างที่สุดแล้ว แต่อย่างไรเธอจากเขามานานขนาดนี้ ยามนี้จิตใจเธอเตลิดเปิดเปิงเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง…


ความงดงามทำให้คนสับสนงงงวย ความจริงผู้ชายก็ทำให้คนสับสนงวยงงเช่นกัน โดยเฉพาะคนผู้นี้ที่เป็นสามีของเธอ


ตี้ฝูอีนอนให้เธอชื่นชมอยู่ตรงนั้นอย่างใจกว้าง กู้ซีจิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่า ‘การเปิดโหมดสังหาร’ เช่นนี้เหมือนเอาเปรียบเขาเกินไป ดังนั้นเธอจึงกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง แล้วลูบๆ จมูก “ก็เช่นนี้แหละ…เอาเถิด ข้าอนุญาตให้ท่านสวมเสื้อผ้าพูดคุยได้”


เมื่อเธอหันกายคิดจะลงจากเตียง กลับถูกตี้ฝูอีดึงรั้งไว้ “เด็กน้อย มันเสียมารยาทนะที่ไม่ตอบสนองน้ำใจของอีกฝ่าย เจ้าชื่นชมข้าแล้ว ก็ต้องให้ข้าชื่นชมเจ้าบ้าง…”


ตี้ฝูอีถอดเสื้อผ้านางอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พูดจบ เสื้อผ้าของกู้ซีจิ่วก็ถูกปลดเปลื้องจนร่างกายเปลือยเปล่าแล้ว…


กู้ซีจิ่วหน้าแดงทันที สายตาดุจเปลวเพลิงของเขาร่อนลงบนร่างเธอ ทำให้เธอประหม่าอย่างประหลาด ทั้งที่เขายังไม่ได้กระทำสิ่งอื่นใด เพียงแค่มองเธออยู่อย่างนี้


หลังจากแต่งงานมาแปดปี ถึงแม้เธอจะมีสัมพันธ์เร่าร้อนกับเขานับครั้งไม่ถ้วน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายเปลือยกาย ชื่นชมร่างที่เปลือยเปล่าของกันและกัน


สายตาของเขาเร่าร้อนลึกล้ำ ราวกับจับต้องได้ กู้ซีจิ่วค่อนข้างนอนไม่ติดท่ามกลางสายตาที่เขาจ้องเช่นนี้ เธอพลิกกายต้องการจะลุกขึ้นนั่ง ทว่ายังถูกเขาดึงรั้งไม่สามารถลุกขึ้นได้


ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันครู่หนึ่ง ตี้ฝูอีไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ


ภายใต้ความตึงเครียด กู้ซีจิ่วพูดโพล่งโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง “มีสิ่งผิดปกติกับร่างของท่านจนท่านครอบครองข้าไม่ได้ใช่หรือไม่?”


ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง


เขาแย้มยิ้ม รอยยิ้มนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง วาจาดุจเค้นออกจากซอกฟัน พลันพลิกกายทาบทับบนร่างนาง “เด็กน้อย ข้าจะให้เจ้าลองดูด้วยตัวเองว่าข้าครอบครองเจ้าได้หรือไม่?!”


บทที่ 1550 เด็กน้อย เจ้าควรกลับบ้านแล้ว


กู้ซีจิ่วจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหน่วงกับคำพูดประโยคนี้ของเธอ ทำให้เธอเข้าใจว่าอะไรคือค่ำคืนสุขสันต์มิอาจลืมเลือน…


เธอใช้เวลาทั้งวันอยู่กับเขาบนเตียง ไม่ได้ลงจากเตียงเลย!


ลาจากเพียงครู่ความรักยิ่งหวานชื่น คืนนี้ตี้ฝูอีผ่อนคลายเป็นพิเศษ และดุเดือดเลือดร้อนเป็นพิเศษ ทักษะต่างๆ มากมายปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย…


เมื่อก่อนที่กู้ซีจิ่วและเขาใกล้ชิดแนบแน่น เนื่องจากเป็นการบำเพ็ญร่วม ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยร่างกายก็ไม่อ่อนแอเลย ส่วนมากจะตื่นขึ้นอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวา


ทว่าครานี้เธอเหนื่อยล้ายิ่งนัก ท้ายที่สุด เมื่อตี้ฝูอียอมปล่อย เธอเหนื่อยจนแทบไม่อยากขยับปลายนิ้ว นอนหลับไปในทันที


“เด็กน้อย ข้าครอบครองเจ้าได้หรือไม่?” เธอได้ยินคำถามของตี้ฝูอีภายใต้ความงุนงง


“อืม ได้ ครอบครองได้เกินไปแล้ว…”


“ลุกขึ้นมาสู้ใหม่สิ…”


“ไม่เอา!”


“เด็กดี ลุกขึ้นมาใหม่สิ…”


“ไม่เอา…”


“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าลืมข้า…มาเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก…”


“ออกไป!”


ตี้ฝูอีพูดคุยกับเธออีกตั้งมากมาย ทว่าเธอไม่ได้ยินสักคำ ทั้งยังบ่นว่าเขาพึมพำไม่รู้จบสิ้น เธอขมวดคิ้วเบาๆ ผลักเขาออกไปแล้วงึมงำ “อย่าส่งเสียงดัง อย่าส่งเสียงดัง…”


เธอนอนหลับไปแล้ว หลับสนิทยิ่งนัก แม้แต่ฟ้าร้องก็ไม่มีทางตื่น


ความตื่นตัวของสายลับที่กระโดดขึ้นได้ทันทีที่อะไรเพียงเล็กน้อยมาสะกิด ยามนี้ล้วนเป็นเมฆาลอยล่อง


ตี้ฝูอีชำระล้างให้นาง กอดนางไปมา นางก็ไม่ตื่น ถึงขั้นแม้แต่ละเมอก็ไม่ได้ละเมอออกมา


หลังจากตี้ฝูอีชำระล้างให้นางเรียบร้อยก็เอนกายนอนลงข้างกายนาง


เขายกแขนรั้งนางไว้ในอ้อมกอด ฟู่จิ่วนอนในอ้อมแขนเขาอย่างเชื่อฟัง เสมือนลูกแมวที่ว่านอนสอนง่าย


ตี้ฝูอีไม่ได้นอนหลับเลย เพียงรั้งนางไว้ในอ้อมกอดเช่นนี้ ราวต้องการรั้งนางไว้ในอ้อมกอดอย่างนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์


กาลเวลาไม่อาจหยุดนิ่ง เดือนปียังคงหมุนเวียน ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด ตี้ฝูอีรู้สึกถึงการรั่วไหลของพลังวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง…


เขารู้ว่าถึงเวลาแล้ว ไม่อาจยืดเยื้อได้อีกต่อไป


เขาปล่อยนาง ลุกขึ้นยืนสวมเสื้อคลุม ก้มลงมองนางครู่หนึ่ง นัยน์ตาเผยให้เห็นความเจ็บปวด เขาหลับตาลงเล็กน้อย เมื่อลืมตาขึ้นก็กลับมานิ่งสงบอีกครั้งหนึ่ง ก้นบึ้งดวงตากระจ่างใส


พิณคันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ส่วนปลายของพิณเป็นสีดำเกรียม ลักษณะไม่โดดเด่น ทว่าเต็มไปด้วยแสงหลากสีเลือนราง เพิ่มความลึกลับให้กับพิณคันนี้หลายส่วน


เขาใช้นิ้วมือบรรเลงท่วงทำนองแรก…


เสียงพิณเริ่มบรรเลง ดุจผืนเมฆาเลื่อนลอย ไม่มีตำแหน่งตายตัว ไร้ซึ่งทิศทาง บทเพลงไม่เป็นบทเพลง ทำนองเพลงไม่เป็นทำนองเพลง


เสียงพิณค่อยๆ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่วงทำนองที่บรรเลงกลับก่อตัวขึ้นเป็นลำแสงหลากสีดังแพรบางกลางอากาศ ลำแสงหลากสีนั้นหมุนวนรอบตัวกู้ซีจิ่ว ค่อยๆ ปกคลุมร่างกายนางไว้…


จากนั้นไม่นาน ร่างหลากสีร่างหนึ่งลอยล่องออกจากศีรษะของกู้ซีจิ่ว…


ร่างนั้นยังนอนหลับอยู่อย่างสงบ แสงหลากสีบนร่างกายสว่างไสว นี่คือวิญญาณที่นางฝึกฝนออกมา ซึ่งมีแก่นแท้แล้ว กำลังลอยอยู่เหนือฝ่ามือเขา นอนหลับราวกับเด็กน้อย


การดึงดวงวิญญาณของนางออกมา ทำให้ร่างนั้นที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนถูกดูดพลังชีวิตจนหมดสิ้น สลายกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างรวดเร็ว


ตี้ฝูอีเหลือบมองแวบหนึ่ง จากนั้นพลันสะบัดชายเสื้อ ร่างนั้นค่อยๆ เลือนรางและจางหายไปในที่สุด


“เด็กน้อย เจ้าควรกลับบ้านแล้ว” ตี้ฝูอีจุมพิตลงตรงหว่างคิ้วของดวงวิญญาณนั้นอย่างอ่อนโยน จากนั้นคลุมมันไว้ในแขนเสื้อ ร่างกายวาบไหว พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา



กู้ซีจิ่วรู้สึกคล้ายตัวเองอยู่ในห้วงความฝันอันยาวนาน


มีเสียงพิณคลออยู่ห้วงความฝันนี้ตลอดเวลา ประหนึ่งมีใครบางคนบรรเลงท่วงทำนองเพื่อห้วงความฝันนี้


ในห้วงความฝัน มีศึกสงคราม มีความอาลัยรักความอ่อนโยน มีความลุ่มหลงและเกลียดชัง มีความสุขใจและโศกเศร้า…ความฝันนี้ราวกับสมบัติที่เธอเก็บทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดีตลอดชีวิต


————————————————————————————-


บทที่ 1551 ใครบอกเธอได้บ้างว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?!


ความฝันนี้ราวสมบัติที่เธอเก็บทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดีตลอดชีวิต เป็นสิ่งล้ำค่าของเธอ ลอยล่องไปตามเสียงพิณซึ่งบรรเลงวนหลายรอบ แล้วค่อยๆ เงียบลง


ความฝันของเธอเสมือนค่อยๆ เลือนรางหายไปพร้อมกับเสียงพิณ หัวใจพลันตื่นตระหนก และวิ่งไล่ตามโดยสัญชาตญาณ ถึงขนาดที่ใช้วิชา…


ยามเธอพยายามดึงรั้งความฝันให้อยู่ จิตใจพลันเจ็บปวด มีความรู้สึกในช่วงหนึ่งว่าความทรงจำที่ไม่ได้เป็นของตนพยายามรุกล้ำกล้ำกรายเข้ามาในห้วงความฝัน


และไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ในที่สุดเธอก็ตื่นขึ้นจากฝัน วินาทีที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธอพลันตกตะลึง!


เธอนอนอยู่ภายในโลงแก้วผลึกที่งดงามละเอียดอ่อน ภายในโลงมีสิ่งของล้ำค่าบางอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนหมุนวนรอบกาย อย่างเช่นมาลัยดอกไม้


ไม่ว่าจะมองลักษณะนี้อย่างไรก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก เป็นภาพฉากที่ผู้คนอำลาอาลัยต่อบุคคลสูงศักดิ์ผู้ล่วงลับ


สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งไร้ซึ่งวาจาก็คือ มีใบหน้าคนสองคนก้มลงมองเหนือโลง…


ใบหน้าทั้งสองนั้นเป็นบุรุษหนึ่งสตรีหนึ่ง หล่อเหลางดงามยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นใบหน้าที่กู้ซีจิ่วคุ้นเคยอย่างดี


เป็นประมุขเงือกหลานเหยากวงและน้องสาวของเขาหลานจิ้งอี๋!


กู้ซีจิ่วสบตาพวกเขา ยังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าของหลานเหยากวงกับหลานจิ้งอี๋เผยความเปรมปรีดิ์ ประหนึ่งมีความสุขทว่าก็ไม่เชื่อ เอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน “พี่หญิง!”


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


ในหัวของเธอมีเสียงระเบิดดังขึ้น ประหนึ่งความทรงจำช่วงหนึ่งผลุบโผล่ในหัวสมอง


ความทรงจำนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ราวกับเป็นอดีตชาติที่เดิมทีเธอหลงลืมไป แล้วถูกใครบางคนขุดมันขึ้นมาโดยไม่ทันได้ระวัง ภายในความทรงจำนั้นเธอคือประมุขหญิงท่านหนึ่ง…


อันที่จริงความทรงนั้นกระจัดกระจาย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ราวกับถูกใครบางคนพยายามผสานมันเข้าไว้ด้วยกัน


หากกู้ซีจิ่วไม่เคยได้ยินเรื่องราวช่วงนี้ เธอคงแทบจะปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้


ภาพฉากในชิ้นส่วนความทรงจำเหล่านั้นฉายขึ้นมาทีละฉากๆ กู้ซีจิ่วปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ตัว แทบไม่แตกต่างจากเรื่องประมุขหญิงที่ตี้ฝูอีเคยเล่าให้เธอฟัง…


ความจริงเรื่องราวนั้นค่อนข้างเศร้าสลด หากเป็นผู้ประสบเหตุด้วยตัวเอง ในใจจะต้องเจ็บปวดยิ่งนักแน่


โดยเฉพาะตอนที่ประมุขหญิงฝากฝังก่อนล่วงลับ หิมะหมุนวนกับโลหิตหลั่งทั่วท้องนภา…


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าประมุขหญิงในตอนนั้นคงจะเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะนางไม่เคยได้พบหน้าคนรักเลยสักครั้งก่อนจากไป…


ทว่าเมื่อภาพความทรงจำเหล่านี้ฉายผ่านความคิด เธอกลับรู้สึกเหมือนดูภาพยนตร์สามมิติเรื่องหนึ่ง เหมือนมองดูเรื่องราวของผู้อื่นอยู่ภายนอกตลอดเวลา แน่นอนว่าเธอไม่อาจเข้าใจจิตใจของประมุขหญิงยามจากไป


“พี่หญิง! ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว!” ดวงตาหลานเหยากวงแดงก่ำ “พวกข้ารอท่านมาห้าพันปีแล้ว!”


“พี่หญิง…” หลานจิ้งอี๋ย่นจมูก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ท่านคือพี่หญิงจิ้งเคอของข้าจริงหรือ?!”


“นางต้องใช่แน่นอน!” หลานเหยากวงกล่าวอย่างหนักแน่น “ในที่สุด พี่หวงก็ตามหาดวงวิญญาณของนางครบหมดแล้ว ร่างกายนี้ก็รองรับวิญญาณนางกลับมาได้ บัดนี้นางตื่นขึ้นมาแล้ว ย่อมเป็นพี่หญิงหลานจิ้งเคอ”


หลานเหยากวงยื่นมือจับกู้ซีจิ่วที่นอนมึนงงอยู่ตรงนั้น พลางมองนางอย่างอบอุ่น “พี่หญิง ท่านคงจำข้าได้กระมัง? ข้าคือเหยากวง! น้องชายที่ท่านรักมากที่สุด!” และชี้ไปที่หลานจิ้งอี๋ “นางคือน้องจิ้งอี๋ ตอนท่านจากไปนางยังเด็กอยู่ ยังเป็นแค่ทารก แต่ตอนนั้นท่านก็รักนางมาก…”


กู้ซีจิ่วพูดอันใดไม่ออก


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? กำลังทำบ้าอะไรอยู่?!


มีใครบอกเธอได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!


เธอไม่สนใจหลานเหยากวงที่ส่งเสียงโหวกเหวกผู้นั้น สงบจิตใจลงเล็กน้อย จากนั้นก็เหมือนนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ในฉับพลัน จึงยกมือขึ้น นิ้วมือทั้งห้างดงาม เรียวยาวดุจหยก…


ทันใดนั้นสายตาของเธอจับจ้องไปที่ข้อมือ


บนข้อมือนั้นมีกำไลหลากสีส่องแสงรางๆ วงหนึ่ง


บทที่ 1552 เธอกลับมาแล้วจริงๆ!


…กำไลคู่บุพเพ!


เป็นกำไลวงที่อยู่กับร่างเดิมของเธอมาโดยตลอด กำไลคู่บุพเพที่ไม่ว่าเธอจะถอดอย่างไรก็ถอดไม่ออก!


กำไลเย็นลงเล็กน้อย ติดอยู่กับผิวหนังของเธอ ราวกับเตือนถึงการมีอยู่ของมัน


“เอากระจกมาหน่อยสิ” ในที่สุดเธอก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงความเย็นชา ประหนึ่งระฆังหยกสั่นสะท้านท่ามกลางลมหนาว ยังคงอ่อนเยาว์เล็กน้อย


หลานเหยากวงตกตะลึงเล็กน้อย รีบร้อนหากระจกบานหนึ่งส่งให้นางพลางอธิบาย “พี่หญิง ร่างเดิมของท่านเน่าสลายไปนานแล้ว ร่างท่านในตอนนี้เป็นร่างที่เขาเสาะหามาให้ท่าน สภาวะในด้านต่างๆ เหมาะสมยิ่งนัก ถึงแม้ไม่เหมือนรูปลักษณ์เก่าของท่าน ทว่าร่างนี้ก็ดีมาก ยามนี้พลังวิญญาณบรรลุขั้นสิบแล้ว…”


กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขา สายตาร่อนลงบนกระจกเงา ภายในกระจกปรากฏเป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่ง


คิ้วโค้งดั่งวาด ริมฝีปากหยักยิ้มบางๆ ดวงตาทั้งคู่ดุจนิลในน้ำ ส่องประกายวาววับ


ปานบนหน้าผากเธอหายไปแล้ว ทว่ากลับมีไฝสีแดงสดดังเม็ดปะการังตรงหว่างคิ้ว ยิ่งเสริมให้ผิวพรรณเธองามราวกับหยก


กู้ซีจิ่วคุ้นเคยและสนิทสนมกับรูปลักษณ์นี้ยิ่งนัก!


นี่คือร่างเดิมที่เธอไม่เคยลืมเลือน! เป็นร่างเดิมของคุณหนูหกจวนแม่ทัพ


เธอเคยอยากกลับเข้าไปในร่างเดิมนี้!


เธอกลับมาแล้วจริงๆ!


กลับมาได้อย่างไร?


เธอรับรู้ร่างกายตามสัญชาตญาณ พลังวิญญาณไหลเวียนภายในร่างกายอย่างมีชีวิตชีวา


ร่างเดิมนี้ยังอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปีตอนเธอถูกบังคับให้ละทิ้ง ยามนี้ดูเหมือนจะโตขึ้นเล็กน้อย อายุราวยี่สิบปีแล้ว


ตอนนั้นพลังวิญญาณของร่างนี้เพิ่งจะบรรลุขั้นแปด บัดนี้บรรลุขั้นสิบแล้ว!


นึกไม่ถึงว่าร่างกายที่นอนอยู่ภายในโลงมาตลอดกลับเลื่อนขั้นได้เองอัตโนมัติ เท่ากับพลังวิญญาณของดวงวิญญาณเธอพอดิบพอดี


“พี่หญิง? พี่หญิง?” หลานเหยากวงโบกมือเล็กน้อยตรงหน้านาง มองนางด้วยความกังวล


เขาเห็นว่าตี้ฝูอีนำชิ้นส่วนวิญญาณพี่สาวตนผสานเข้าภายในโลงกับตาตัวเอง ยามนี้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหลานจิ้งเคอพี่สาวบนร่างของกู้ซีจิ่ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ตี้ฝูอีบอกเขาว่าตอนร่างนี้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็จะเป็นหลานจิ้งเคอพี่สาวของเขา…


ตี้ฝูอีไม่มีทางโกหกเขา ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นในเรื่องนี้


หลานเหยากวงย่อมเห็นท่าทางของกู้ซีจิ่วตอนตื่นขึ้นอย่างชัดเจน ทว่าคนคนหนึ่งที่ ‘หลับใหล’ มานานกว่าห้าพันปีแล้ว ความสับสนงงงวยหลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้งนับว่าเป็นเรื่องปกติ ตี้ฝูอีเคยบอกว่า เมื่อนางตื่นขึ้นมาอาจมีอารมณ์แปรปรวนหรืออาจจำพวกเขาไม่ได้ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น


เนื่องจากเตรียมใจไว้บ้างแล้ว ดังนั้นหลังจากกู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมา ไม่ว่ามีพฤติกรรมใดที่ไม่ปกติ หลานเหยากวงจึงไม่แปลกใจเท่าใด


ทว่า เขายังคงคาดหวังให้พี่หญิงจำเขาได้…


เขายื่นมือโบกๆ ตรงหน้ากู้ซีจิ่วเพื่อตรวจสอบความรู้สึก


ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็เป็นนักฆ่าโดยกำเนิด เผชิญกับความยากลำบากมามากมายนับไม่ถ้วน และได้รับการหล่อหลอมจิตใจมานานแล้วว่าถึงจะเป็นคลื่นพายุโหมซัดสาดรุนแรงแค่ไหนก็ต้องทำให้เป็นคลื่นลมที่สงบให้ได้


เธอผลักมือของหลานเหยากวงออก ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ และมองไปรอบด้าน


นี่คือตำหนักแก้วผลึก ภายในตำหนักมีเสาแก้วผลึกวางเรียงรายนับไม่ถ้วน เสาแก้วผลึกเหล่านี้มีเจ็ดสีพอดี ส่องแสงระยิบระยับ วิจิตรตระการตา


เธอย่อมดูออกว่านี่คือค่ายอาคมอย่างหนึ่ง ด้านล่างโลงแก้วผลึกยังมีคาถาโบราณที่ก่อตัวเป็นค่ายอาคมอยู่อีก


คาถานี้กู้ซีจิ่วไม่แปลกตา เป็นฝีมือของตี้ฝูอี


“พี่หญิง ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมที่สุดในอาณาจักรเงือก แข็งแกร่งยิ่งกว่าสถานที่ใดในโลกมนุษย์แปดปีก่อน พี่หวงปลุกเสกสถานที่นี้ไว้เป็นอย่างดี ทำให้พลังวิญญาณทั้งหมดที่นี่ถูกร่างนี้ของท่านดูดซับ ท่านจึงตื่นมาได้รวดเร็วขนาดนี้ จริงสิ ท่านยังจำพี่หวงได้หรือไม่?”


————————————————————————————-


บทที่ 1553 เจ้าคือผู้ใดกันแน่?


หลานเหยากวงพูดจ้อไม่อยู่อยู่ด้านข้าง


กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ทำไมเธอจะจำไม่ได้เล่า?


พี่หวง หวงถู ตี้ฝูอี เทพศักดิ์สิทธิ์ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เดิมทีพวกเขาก็เป็นคนๆ เดียวกันอยู่แล้ว!


“จำได้…” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เปิดปากขึ้นมาอีกครั้ง กวาดตามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง “เป็นเขาใช่ไหมที่พาข้ามาส่งที่นี่? แล้วเขาล่ะ?”


“เขายังมีธุระต่อ จึงไปแล้ว” หลานเหยากวงตอบ ด้วยเกรงว่านางจะคิดมาก จึงรีบเอ่ยเสริมอีกประโยค “พี่หญิง ท่านวางใจเถอะ ในใจเขามีท่านเสมอมา ในการฟื้นคืนชีพครั้งนี้ของท่านเขามีความชอบอย่างใหญ่หลวง ร่างนี้ก็เป็นเขาที่หามา ดวงวิญญาณของท่านก็เป็นเขาที่รวบรวมกลับมา ค่ายอาคมนี้เขาก็เป็นผู้ติดตั้ง เกือบหกพันปีแล้ว เขาวิ่งเต้นเพื่อฟื้นคืนชีพให้ท่านเสมอมา”


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร


เธอสูดหายใจคราหนึ่ง ว่ากันตามจริงเลย เธอค่อนข้างมึนงงแล้ว!


เธอแน่ใจว่าตัวเองคือกู้ซีจิ่ว เนื่องจากเธอมีความทรงจำของกู้ซีจิ่วครบถ้วนสมบูรณ์


แต่เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองใช่หลานจิ้งเคอหรือเปล่า เนื่องจากเธอก็มีความทรงจำที่กระจัดกระจายบางส่วนของหลานจิ้งเคอด้วยเช่นกัน…


คงไม่ใช่ว่าในร่างนี้ของเธอมีวิญญาณอยู่สองดวงกระมัง? เหมือนกับหลงซือเย่ที่ในร่างเขาผนึกหลงฟั่นเอาไว้


แล้วในร่างเธอจะมีหลานจิ้งเคอหลับใหลอยู่เหมือนกันกันหรือเปล่า? หรือว่าเธออาจเป็นหลานจิ้งเคอกลับชาติมาเกิด?


เธอนอนกกกอดกับตี้ฝูอีอยู่ในตำหนักแก้วผลึกแห่งนั้นชัดๆ ทำไมตื่นขึ้นมาอีกทีถึงกลับมาร่างเดิมแล้วล่ะ? ดูเหมือนจะถูกเข้าใจว่าเป็นหลานจิ้งเคอที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วย…


ที่แท้ตี้ฝูอีกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่?


กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามอีก “พี่หวง…เขาจากไปยามไหน?”


“ครึ่งชั่วยามก่อน” หลานเหยากวงตอบทุกคำถาม “พี่หญิง ตอนนี้เขายุ่งมาก ทวีปซิงเยวี่ยที่อยู่ด้านนอกเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เขายังมีธุระด้านนอกที่ต้องจัดการอีกเป็นกอง คาดว่าเมื่อจัดการเสร็จก็คงมาหาท่าน…”


กู้ซีจิ่วหลับตานิดๆ นวดคลึงหว่างคิ้ว เธอรู้สึกว่าเธอต้องการอยู่เงียบๆ สักหน่อย เพื่อสะสางปัญหาที่ยุ่งเหยิงนี้


“เจ้าคือผู้ใดกันแน่?” จู่ๆ หลานจิ้งอี๋ที่ไม่ได้พูดอะไรเลยมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแหลม ดวงตาจ้องกู้ซีจิ่วเขม็ง ระแวดระแวงคลางแคลง


กู้ซีจิ่วไม่สนใจนาง


พูดกันตามตรง ตัวเธอก็ยังไม่ทราบชัดเจนเลยว่าตอนนี้ตัวเองเป็นใคร…


เธอไม่ชอบหลานจิ้งอี๋ ต่อให้มีความทรงจำของหลานจิ้งเคอส่วนหนึ่งแล้วก็ยังไม่ชอบอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงโบกมือ “พวกเจ้าสองคนออกไปเถอะ ให้ข้าอยู่เงียบๆ หน่อย”


“เจ้าคือกู้ซีจิ่วใช่หรือไม่?!” หลานจิ้งอี๋ไม่ยอมปล่อยเธอไป นัยน์ตาคู่นั้นเสมือบเคลือบคมมีดเอาไว้


กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองนาง จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาแวบหนึ่ง “หลานจิ้งอี๋ ปีนั้นยามข้าจากไป เจ้าโตแค่นี้เอง…”


เธอยกมือเปรียบเทียบความสูง เอ่ยต่อว่า “ไม่นึกเลยว่าพอข้าฟื้นขึ้นมาเจ้าจะเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว นึกถึงปีนั้นที่เจ้าทำแจกันล้ำค่าใบหนึ่งในห้องของข้าแตก ทว่าเจ้ากลับกล่าวโทษเหยากวง หลังจากข้าทราบกระจ่าง จึงฟาดก้นเจ้าไปยกหนึ่ง ทำให้เจ้าว่าง่ายขึ้นไม่น้อยเลย…”


เธอเทียบความสูงในปีนั้นของหลานจิ้งอี๋ เรื่องที่กล่าวนี้ก็เป็นเรื่องราวในปีนั้น


นี่คือความทรงจำกระจัดกระจายอันเกี่ยวข้องกับหลานจิ้งเคอเหล่านั้นที่กู้ซีจิ่วมีอยู่


หลานจิ้งอี๋ตะลึงงัน อ้าปากเล็กน้อย


ทว่านัยน์ตาหลานเหยากวงกลับเจิดจ้าทันที หัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ย “จิ้งอี๋ อย่าพูดเหลวไหลสิ นางคือพี่หญิงของพวกเราชัดๆ นางยังจำเรื่องวัยเด็กของเจ้าได้ด้วย กู้ซีจิ่วผู้นั้นหาได้ทราบเรื่องในปีนั้นของเจ้าไม่…”


ใบหน้าเพริศพริ้งของหลานจิ้งอี๋ขุ่นขึงคลางแคลง “แต่ว่า…”


หลานเหยากวงตัดบทนาง “เอาล่ะๆ น้องเล็ก เจ้าอยากให้พี่หญิงฟื้นขึ้นมาอยู่ตลอดมิใช่หรือ? ตอนนี้พี่หญิงฟื้นคืนชีพแล้ว เจ้ายังจะมาสงสัยนั่นสงสัยนี่อยู่ตรงนี้อีก ใช่แล้ว เจ้าบอกว่าถ้าพี่หญิงฟื้นขึ้นมา เจ้าจะทำขนมอบที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้พี่หญิงกินมิใช่หรือ? เจ้ารีบไปทำเถอะ! ให้พี่หญิงได้ชิมรสมือของเจ้า”


บทที่ 1554 จุดประสงค์ของตี้ฝูอี!


ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดก็ส่งนางออกไปเลย


หลานเหยากวงฉวยมือกู้ซีจิ่วอีกครั้ง “พี่หญิง ห้องของท่านเมื่อปีนั้นยังคงเก็บรักษาเอาไว้ให้ท่านนะ ข้าวของในนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายเลยสักนิด มาๆ พวกเราไปที่นั่นเถอะ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุยกัน”


เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดจะหลบหลีกมือเขาตามสัญชาตญาณ ทว่านึกอะไรขึ้นมาได้อีกครั้ง นัยน์ตาสาดแสงแวบหนึ่ง ยอมให้เขาจับไว้ “เหยากวง เจ้าลองบีบมือข้าแรงๆ หน่อยสิ”


“หือ?” หลานเหยากวงไม่เข้าใจ


กู้ซีจิ่วจึงกล่าวว่า “ข้าอยากดูวิถีโคจรพลังวิญญาณของตัวเอง เจ้าลองออกแรงบีบดูหน่อยสิ ไม่ต้องกลัวนะ ออกแรงให้เต็มที่เลย”


เมื่อก่อนหลานเหยากวงฟังคำหลานจิ้งเคอยิ่งนัก ยามนี้ก็ยอมเชื่อฟังเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้เขาจะฉงนอยู่บ้าง ก็ยังคงออกแรงบีบมือกู้ซีจิ่วอย่างเชื่อฟัง


พลังยุทธ์ของเขาสูงส่ง เหนือล้ำกว่าฮวาอู๋เหยียนมากนัก กู้ซีจิ่วต้องโคจรพลังวิญญาณเข้าต้านเพื่อไม่ให้ถูกเขาบีบจนเจ็บปวดจริงๆ


ผ่านครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วชักมือกลับมา ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อย


เธอไม่ได้ดูดพลังวิญญาณของหลานเหยากวง!


ดูเหมือนหลังจากสลับร่างแล้ว ‘มหาเวทดูดดาว’ ของเธอก็หายไปด้วย ทัณฑ์สวรรค์นั้นไม่อยู่แล้ว! เธอไม่กลายเป็นตัวประหลาดแล้ว…


….


เครื่องเรือนเรียบง่าย เตียงนอนที่ไม่หรูหราอลังการ การตกแต่งของทั้งห้องไม่คล้ายห้องนอนของสตรี กลับดูคล้ายห้องนอนของแม่ทัพสักท่านหนึ่ง


ที่นี่ก็คือเรือนนอนของหลานจิ้งเคอเมื่อปีนั้น บรรยากาศเรียบง่าย มีความเฉียบขาดของบุรุษ


กู้ซีจิ่วเดินวนภายในห้องรอบหนึ่ง นี่ไม่ใช่รูปแบบที่เธอชอบเลยจริงๆ ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าแตกต่างดีกับแบบที่เธอชอบนับแสนโยชน์เลย


เธอถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เมื่อส่งหลานเหยากวงที่พูดจ้ออยู่ข้างหูตลอดออกไปได้แล้ว ก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง


วังเงือกแห่งนี้สามารถเก็บรักษาข้าวของได้เต็มสิบส่วน ข้าวของอายุเกือบหกพันปีแล้วยังเก็บรักษาไว้ได้ในสภาพสมบูรณ์เช่นนี้ นับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก


ตอนนี้เธอแน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าตัวเองคือกู้ซีจิ่ว อย่างมากก็แค่มีความทรงจำของหลานจิ้งเคอติดมาด้วยเท่านั้น…


แต่สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้ไม่นับว่าแปลกอะไร อย่างไรเสียเธอก็มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมกู้ซีจิ่วคุณหนูจวนแม่ทัพติดมาด้วย ตอนนี้ก็เท่ากันมามีเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย


สิ่งที่เธอใส่ใจอย่างแท้จริงคือ จุดประสงค์ของตี้ฝูอี!


เธอทราบจากหลานเหยากวงที่พูดจ้ออยู่ไม่หยุด ตี้ฝูอีมาถึงที่วังเงือกเมื่อสองชั่วยามก่อน เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่ทำก็คือบอกหลานเหยากวงว่าสามารถคืนชีพให้หลานจิ้งเคอได้แล้ว จากนั้นก็ทำพิธีภายใต้การคุ้มกันของหลานเหยากวง…


หลังจากทำพิธีเสร็จสิ้น เขาก็เฝ้าร่างนี้อยู่ครึ่งชั่วยาม เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างปกติดี เธอจะฟื้นขึ้นมาตามกำหนด จึงเอ่ยกำชับสองพี่น้องแซ่หลานสองประโยคแล้วจากไปเลย


เรื่องที่เขาสั่งการหลานเหยากวงไว้มีสองประการ ประการแรกคือหลังจากหลานจิ้งเคอฟื้นขึ้นมา ต้องส่งข่าวให้เขา รายงานเรื่องนี้แก่เขา ประการที่สองก็คือเขาสามารถคืนตำแหน่งประมุขเผ่าเงือกให้หลานจิ้งเคอได้


หลานเหยากวงเป็นประมุขเผ่าเงือกที่ไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่ เขาชอบเล่นสนุกไม่ชอบการผูกมัด ดำรงตำแหน่งประมุขเผ่าด้วยจำใจไร้ทางเลือกจริงๆ ในใจปรารถนาจะส่งมอบตำแหน่งประมุขเงือกออกไปใจแทบขาด! เขาจะได้หวนคืนสู่อิสระเสรี ดังนั้นเขาจึงตอบรับเงื่อนไขสองข้อนี้ของตี้ฝูอีอย่างชื่นมื่น


เมื่อครู่หลานเหยากวงได้เอ่ยเรื่องนี้กับกู้ซีจิ่วแล้ว “พี่ ดีเหลือเกินที่ท่านฟื้นขึ้นมา! ตำแหน่งประมุขเงือกนี้ท่านก็มารับช่วงเถิด ข้าจะได้ผ่อนคลายสักที”


ช่วงที่กู้ซีจิ่วตะลึงไปเล็กน้อย เขาก็ตัดสินใจขั้นสุดท้ายอย่างปีติลิงโลดแล้ว “พี่หญิงไม่ตอบก็คือตกลงแล้ว ฮ่าๆ ข้าจะไปจัดการเรื่องการขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งของท่าน! อันที่จริงราษฎรเผ่าเงือกของเราคะนึงถึงความดีของท่านมาโดยตลอด ตั้งตารอท่านกลับมาอยู่เสมอ หากพวกเขารู้ว่าท่านฟื้นขึ้นมาแล้วไม่รู้ว่าจะดีใจกันสักเพียงใด…” จากนั้นเขาก็จากไปเลย


————————————————————————————-


บทที่ 1555 ให้เธอมีทางถอยที่ยอดเยี่ยมหรือ?


งีบไปตื่นหนึ่งก็กลายเป็นประมุขเผ่าเงือก…


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าการงีบครั้งนี้ของตนค่อนข้างน่าพิศวง


เธอนั่งอยู่ในห้องสักพัก ชั่งน้ำหนักต้นสายปลายเหตุของเรื่องอยู่เงียบๆ รอบหนึ่ง ยังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่ตี้ฝูอีทำเช่นนี้อยู่ดี


ปีนั้นตี้ฝูอีไม่ยอมให้เธอกลับร่างเดิม หลบเลี่ยงสารพัดวิธี เพราะจุดนี้ถึงทำให้เธอกับเขาเข้าใจผิดจนทะเลาะกันใหญ่โต หนีไปที่ป่าทมิฬ หลังจากตี้ฝูอีตามหาเธอพบ ก็ไม่เคยได้พูดเรื่องนี้ให้กระจ่าง บอกเพียงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลิขิตสวรรค์ เขาบอกไม่ได้ แต่ก็อธิบายว่ามิได้มอบร่างนั้นให้แก่หลานจิ้งเค่อจริงๆ เธอเองก็เชื่อใจเขา


แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?


หรือว่าเขาเก็บร่างนี้ของเธอไว้ก็เพื่อวันนี้? ให้เธอมีทางถอยที่ดีเยี่ยม?


วังเงือกแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรักษาร่างกายที่ดีที่สุด ทั้งยังเพิ่มพูนพลังยุทธ์ของร่างนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงหลอกสองพี่น้องสกุลหลานให้พวกเขาดูแลรักษาร่างนี้แทน แต่ว่า…ทำไมเธอถึงมีความทรงจำของหลานจิ้งเค่อล่ะ?


ตี้ฝูอีบอกว่าดวงวิญญาณของหลานจิ้งเคอสลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่เหลือวิญญาณสักเสี้ยวเลยมิใช่หรือ?


แต่ฟังจากที่หลานเหยากวงเล่ามา เป็นตี้ฝูอีที่นำเศษเสี้ยววิญญาณของหลานจิ้งเคอมารวมไว้ในร่างนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเศษเสี้ยววิญญาณนี้กัน?


สรุปแล้วตี้ฝูอีอยากให้ตัวเธอกู้ซีจิ่วกลับคืนร่างเดิมใช่ไหม หรือว่าอยากให้หลานจิ้งเคอฟื้นขึ้นมาจริงๆ?


เธอนวดคลึงหว่างคิ้ว เรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้วเธอไม่อยากสงสัยอะไรตี้ฝูอี ดังนั้นเธอต้องไปหาเขาแล้วสอบถามด้วยตัวเอง อยากเห็นว่าที่แท้คนผู้นี้มีอุบายอะไรกันแน่!


เธอเป็นพวกที่คิดแล้วทำเลย สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งก็ลุกขึ้นทันที ใช้วิชาเคลื่อนย้าย หายไปในทันใด


ยามที่หลานเหยากวงกลับมา ก็พบว่าพี่สาวที่ยากนักกว่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ของตนหายตัวไปแล้ว…


เขาตกใจมาก รีบส่งคนออกตามหาทันที


….


ครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วมาเยือนอาณาจักรเงือกแห่งนี้ ต้องมีชาวเงือกรับเรือออกมาส่งด้วยตัวเอง เนื่องจากที่นี่คือใต้สมุทรลึก พลังยุทธ์ของเธอไม่ล้ำลึกพอ


แต่ตอนนี้พลังวิญญาณเธอบรรลุขั้นสิบแล้ว ซ้ำยังเป็นวิชาแหวกทะเลแล้วด้วย เมื่อต้องการจะออกไปจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนักหนา


หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เธอก็ได้เหยียบย่างบนพื้นดินอีกครั้ง


ถึงแม้จะกลับขึ้นมาบนบกแล้ว แต่ตี้ฝูอีไปมาไร้ร่องรอยเสมอ คิดจะตามหาเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


โชคดีที่ถึงแม้จะหาตัวเขายาก แต่การตามหาคนอื่นยังคงง่ายดายอยู่


เดิมทียันต์สื่อสารตลอดจนข้าวของสำคัญที่กู้ซีจิ่วพกติดตัวล้วนเก็บเอาไว้ในถุงเก็บของ ถุงเก็บของนี้ก็เก็บไว้ในช่องมิติของหยกนภา และยามนี้หยกนภาก็คล้องอยู่บนข้อมือเธอแล้ว


เจ้าตัวนี้ฟื้นคืนสติแล้ว สนทนากับกู้ซีจิ่วอย่างยินดีปรีดาอยู่ตั้งนานสองนาน!


เริ่มแรกมันร้องเรียกว่า ‘เจ้านาย’ เพื่อหยั่งเชิงดู หลังจากได้รับการตอบกลับจากกู้ซีจิ่ว เจ้าตัวนี้ก็เข้าสู่โหมดพูดจ้อ ส่งข้อความอยู่ในสมองของกู้ซีจิ่วเสมือนบ้าคลั่งไปแล้ว


กู้ซีจิ่วมองมันที่ส่องแสงกะพริบอยู่บนข้อมือ ยังคงยินดียิ่งนัก


เพียงแต่หยกนภาถูกตี้ฝูอีผนึกสติรับรู้ไว้เป็นเวลานาน จึงไม่ทราบเช่นกันว่าทำไมกู้ซีจิ่วถึงกลับสู่ร่างเดิมได้


มันถึงขั้นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตี้ฝูอีไปที่วังแก้วผลึก เห็นได้ชัดว่ายามตี้ฝูอีพากู้ซีจิ่วไปเที่ยวเล่นได้ฉวยโอกาสผนึกสติรับรู้ของหยกนภาไว้


กู้ซีจิ่วพูดคุยกับมันอยู่เนิ่นนานก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย แต่อย่างไรสามารถติดต่อกับมันได้อย่างไร้อุปสรรคอีกครั้ง เธอก็ยังคงดีใจอย่างยิ่ง


เธอฟังหยกนภาพูดถึงความคับข้องใจที่ไม่อาจสื่อสารกันได้ในช่วงแปดปีมานี้ พลางควานหายันต์ถ่ายทอดเสียงเพื่อติดต่อหามู่เฟิงก่อนไปด้วย


และที่บังเอิญก็คือ มู่เฟิงกำลังทำงานอยู่ข้างกายตี้ฝูอีพอดี หลังได้รับการติดต่อจากเธอ เขาตะลึงไปเล็กน้อย “แม่นางกู้?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)