พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1547-1556
บทที่ 1547 ผู้ชี้แนะ
จะไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้ยังไม่ทันหายเหม่อลอย ตุ้บ! อวิ๋นจือชิวก็แตะที่รองเท้ายาวของเขาหนึ่งที “ถอดเกราะรบ!”
เขาเก็บเกราะรบที่อยู่บนตัว พอหันกลับมาอีกที ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวออกไปแล้ว มีเพียงหงเฉินที่เดินเข้ามาในห้อง
ข้างถังอาบน้ำในห้อง เมื่อไม่ได้ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจมานาน เหมียวอี้ก็เขินอายเล็กน้อยที่ต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าหงเฉิน กลับเป็นหงเฉินที่ไม่ขวยอายเลยแม้แต่น้อย เป็นฝ่ายยื่นมือมาถอดเสื้อผ้าให้เขาก่อนด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ดุจน้ำ
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็เปลือยร่างแช่อยู่ในถังอาบน้ำ หงเฉินม้วนแขนเสื้อขึ้นมา แขนขาวงามดุจรากบัวสองข้างที่เผยออกมากำลังช่วยเขาอาบน้ำ
มียอดหญิงงามอยู่ข้างกายแบบนี้ เรื่องบางเรื่องก็เป็นไปตามธรรมชาติ ด้วยความที่ไม่ได้ป้องกันตัว หงเฉินถูกดึงลงไปในถังอาบน้ำแล้ว…
รอจนกระทั่งทั้งสองออกมาจากในห้องอีกครั้ง ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในศาลากำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ตอนที่ให้หงเฉินเข้าไป นางก็รู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางตั้งใจช่วยให้ทั้งสองสมปรารถนา
เหมียวอี้ไอแห้งๆ ท่าทางค่อนข้างเขินอาย ส่วนหงเฉินก็นิสัยเย็นชาสุขุม แต่ก็ถูกอวิ๋นจือชิวมองจนอึดอัดไปทั้งตัวเช่นกัน แก้มที่ยังแดงไม่หายแดงเรื่อยิ่งกว่าเดิมอีก
อวิ๋นจือชิวเดินออกจากศาลาเข้ามาหา แล้วจ้องเหมียวอี้อย่างเหยียดหยามพร้อมกล่าวว่า “สงสัยทั้งสองจะอาบน้ำด้วยกันแล้วสินะ เก็บกดมาหนึ่งพันปี ตอนนี้สบายตัวรึยังล่ะ?”
“เอ่อคือ ฮูหยิน ตอนนี้จะให้หงเฉินไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา
“เสวี่ยเอ๋อร์!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาตะโกนเรียก เสวี่ยเอ๋อร์เดินออกมาจากประตูพระจันทร์ด้านข้าง แล้วอวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาบอกเหมียวอี้อีกว่า “เจ้าให้ทหารยามที่เฝ้าประตูปล่อยเสวี่ยเอ๋อร์ออกไป ให้เสวี่ยเอ๋อร์พานางกลับพิภพเล็ก ตอนหลังยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เสวี่ยเอ๋อร์ก็ต้องอยู่ที่พิภพเล็กไปก่อนสักระยะเหมือนกัน ดูก่อนว่าสถานการณ์ทางนี้เป็นยังไงบ้าง ถ้าคุมสถานการณ์ให้สงบได้แล้ว ก็ค่อยทำตามที่เจ้าบอก ถือโอกาสพาหลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวมาที่นี่ เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” แล้วก็พูดเสริมอีกว่า “ตอนที่เจ้าตัดสินใจว่าจะให้พวกเขามาที่นี่ ในหลายปีมานี้ข้าก็ทุ่มเททรัพยากรฝึกตนเลี้ยงพวกเขาสองคนแล้ว ประวัติภูมิหลังข้าก็ช่วยเตรียมให้พวกเขาแล้วเหมือนกัน”
เหมียวอี้หันตัวมาบอกหงเฉินว่า “ที่ฮูหยินพูดมีเหตุผล ในเมื่อฮูหยินเตรียมการไว้แล้ว ก็ไปจัดการตามที่ฮูหยินบอกแล้วกัน เหยียนซิวต้องการจะไปที่พิภพเล็กพอดี ข้าจะให้เหยียนซิวคุ้มกันส่งพวกเจ้าสองคน ถ้าว่างเมื่อไรข้าจะไปหาเจ้า”
“ค่ะ!” หงเฉินเอ่ยรับเสียงเบา
อวิ๋นจือชิวโบกมือ ให้เสวี่ยเอ๋อร์ไปเก็บข้าวของเป็นเพื่อนหงเฉิน ส่วนเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทหารยามที่เฝ้าเมืองให้ดำเนินการเรื่องนี้
หลังจากเหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้ว อวิ๋นจือชิวก็แสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือยัง? เจ้าทำอะไรลงไปแล้ว ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ายุติเรื่องนี้ได้เหรอ? ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็รีบหนีกันเถอะ!”
เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ากล้าอยู่ต่อ ก็แสดงว่าเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ทุกอย่างที่ข้าทำไป ล้วนเป็นเรื่องที่มีเหตุผลและมีหลักฐาน นอกเสียจากตำหนักสวรรค์จะไม่ทำตามกฎเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ข้าบอกแล้วไงว่าข้ารับมือได้ อย่างมากข้าก็หนีไปซะให้จบๆ ข้างกายข้ามีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพปกป้อง ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก ในภายหลังข้าไม่ต้องโผล่หน้าให้คนเห็นอีกก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าลำบากอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปี มีคนฝากความหวังไว้กับเจ้ามากมายขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้? ข้าเองก็รู้แล้วว่าเจ้าเจตนาดี แต่การที่เจ้าทำอะไรตามอารมณ์แบบนี้ หนิวเอ้อร์! จะให้ข้าพูดยังไงกับเจ้าดี?”
“ยังไงข้าก็ทำเรื่องนี้ไปแล้ว!” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง ทำท่าเหมือนบอกว่าน้ำที่สาดออกไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ ไร้ยางอายมาก
“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวถลึงดวงตางาม ถกแขนเสื้อสองข้าง นางทำท่าจะลงมือแล้ว
เหมียวอี้ยกฝ่ามือห้าม “พอแล้ว! เวลากระชั้นชิด คุยธุระหลักกันก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยๆ ตีกันตอนอยู่บนเตียงก็ได้”
“อย่ามาใช้ลูกไม้นี้ เพิ่งทำเรื่องนั้นเสร็จ ยังมีหน้ามาเอ่ยถึงอีกเหรอ อย่ามาแตะต้องข้า!” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรงเตะขาเขาหนึ่งที
เหมียวอี้รับเท้านางอย่างร่าเริง ไม่ได้หลบหลีก จากนั้นก็จูงมือนางเดินเข้าไปในศาลา กดไหล่สองข้างของนางให้นั่งลง ช่วยนวดไหล่ให้นางพร้อมบอกว่า “พอแล้ว! ฮูหยิน ความผิดทุกอย่างเป็นของข้าเอง อย่าโมโหเลย คุยธุระหลักกันเถอะ ได้ข่าวเจ้ารองรึเปล่า?”
พอพูดถึงเรื่องศีลแปด อวิ๋นจือชิวก็เริ่มขมวดคิ้ว “ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว ข้าติดต่อไปทุกวัน หลายปีมานี้ติดต่อไม่เคยหยุดเลย แต่ก็ติดต่อไม่ได้”
เหมียวอี้นวดไหล่งามของเขา พร้อมค่อยๆ พูดว่า “ถ้าเรื่องที่เกาก้วนบอกข้าเป็นความจริง ถ้ามีไต้ซือศีลเจ็ดอยู่ด้วย ก็น่าจะพาศีลแปดหนีไปตอนที่ดาวเคราะห์ดวงนั้นหมดพลังสิถึงจะถูก ทำไมจนป่านนี้แล้วยังติดต่อไม่ได้อีก?”
อวิ๋นจือชิวตบมือของเขาที่วางอยู่บนบ่าตัวเองเบาๆ บอกใบ้ว่าพอได้แล้ว หลังจากชี้ตรงที่นั่งข้างๆ ให้เขานั่งลง นางถึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สามอย่าง อย่างแรกก็คือ สิ่งที่เกาก้วนบอกอาจจะเป็นเรื่องโกหก ความเป็นไปได้ที่สอง ศีลแปดยังหลบซ่อนไม่ยอมมาเจอพวกเรา ความเป็นไปได้ที่สาม ศีลแปดอาจจะยังหนีออกมาไม่ได้”
เหมียวอี้ส่ายหน้าเงียบๆ ก่อนจะบอกว่า “อย่างแรกกับอย่างที่สองไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นเพราะสิ่งที่เกาก้วนบอกตรงกับศีลแปดเกินไป ไม่เหมือนโกหก แล้วอีกอย่าง ถ้าติดต่อศีลแปดไม่ได้ แล้วทำไมถึงติดต่อไต้ซือศีลเจ็ดไม่ได้ด้วยเหมือนกัน?”
อวิ๋นจือชิวพูดว่า “ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าคิดว่าน้องชายเจ้านิสัยเป็นยังไง?”
เหมียวอี้ชะงักทันที แล้วตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “สันดานของเจ้ารองน่ะ ตอนนี้เจ้ายังต้องถามข้าอีกเหรอ?”
“ข้าหมายความว่า ถ้าไต้ซือศีลเจ็ดตกอยู่ในอันตราย เจ้าคิดว่าศีลแปดจะทิ้งเขาโดยไม่สนใจรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถาม
“เอ่อ…” เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย “ถึงแม้เจ้ารองจะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ความเป็นคนก็ยังมีขอบเขตอยู่นะ ไม่อย่างนั้นข้าคงตัดขาเขาไปตั้งนานแล้ว เรื่องตัดญาติขาดมิตรเขาน่าจะทำไม่ลงหรอก”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องนี้ก็ยุ่งยากแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขายังออกมาไม่ได้”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้แปลกใจ
อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน “ข้าอยู่ที่พิภพเล็กมานานกว่าเจ้า รู้จักไต้ซือศีลเจ็ดดีกว่าเจ้าด้วย ถึงแม้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปจะโดนขังอยู่ แต่ก็ยังมีอันตรายมากขนากนั้น ด้วยจิตใจที่มีเมตตากรุณาของไต้ซือศีลเจ็ด เกรงว่าคงไม่ปล่อยให้พระปีศาจหนานโปก่อหายนะต่อมนุษย์อีก ต่อให้มีโอกาสหนีแต่ก็เป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะไม่หนี และเขาก็เกือบตกหลุมพรางพระปีศาจหนานโปแล้ว…” คำพูดตอนท้ายนางไม่ได้เอ่ยออกมา
เหมียวอี้ทำสายตาเหม่อลอยทันที เข้าใจความหมายที่นางสื่อแล้ว ถ้าศีลแปดไม่อยากเห็นไต้ซือศีลเจ็ดเป็นอะไรไป ต่อให้ไต้ซือศีลเจ็ดจะส่งศีลแปดออกมาจากดาวเคราะห์ดวงนั้น แต่เกรงว่าศีลแปดคงจะไม่ไปอยู่ดี ตอนนี้เขากลับหวังให้ศีลแปดเป็นคนที่ตัดญาติขาดมิตรลืมอาจารย์แล้ว ไม่อย่างนั้นความเป็นไปได้นี้ก็มีสูงมากจริงๆ
“อย่าบอกนะว่าไต้ซือศีลเจ็ดไม่รู้ว่าหลังจากส่งศีลแปดกลับมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?” เหมียวอี้ลองถาม
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “ไต้ซือศีลเจ็ดคร่ำครึกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ นั่นคือคนที่สามารถเอาร่างกายตัวเองให้เสือกินได้เลยนะ ขอเพียงเขาหนีออกไปแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้วว่าพระปีศาจหนานโปจะออกไปทำร้ายคนอีก เกรงว่าเขาคงจะไม่หนีไป”
เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก “ถ้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าเจ้ารองจะโดนอาจารย์ที่คร่ำครึนั่นวางกับดักแล้วจริงๆ ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้จริงๆ พลาดโอกาสหนีไปแล้วครั้งหนึ่ง เกรงว่าศีลแปดคงต้องรอโอกาสครั้งที่สองถึงจะหนีไปได้”
“อย่าบอกนะว่าครั้งที่สองศีลแปดจะทิ้งอาจารย์ไว้?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
เหมียวอี้ตบต้นขาแล้วร้องอ๋อ “เจ้ารองบ้านพวกเรานะ เจ้าไม่รู้หรอก เขาไม่ได้คร่ำครึเหมือนอาจารย์ขนาดนั้น เขาทำเรื่องขาดศีลธรรมมาทุกรูปแบบตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องไร้ศีลธรรมที่เขาเคยทำมา พี่ใหญ่อย่างข้าละอายใจที่จะพูดออกมา ถ้าเขาพลาดโอกาสครั้งแรกไป แล้วยังพลาดโอกาสครั้งที่สองอีกก็แปลกแล้ว เจ้านั่นเป็นคนที่ไม่มีทางยอมเสียเปรียบเป็นครั้งที่สองหรอก ต้องทิ้งอาจารย์แล้วหนีออกมาก่อนแน่ๆ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจเลย เขาอาจจะมาขอกำลังสนับสนุน ตอนนี้ก็ทำได้แค่รอดูไปก่อนแล้วกัน แค่แน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็พอ”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นจะหนีพ้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว” พอพูดถึงตรงนี้ อวิ๋นจือชิวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอีกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าสนใจที่อยู่ของเจ้ารองมาก บางทีอาจะเป็นเพราะตอนอยู่ที่พิภพเล็กขอคำชี้แนะจากหยางชิ่งจนชินแล้ว ดังนั้นก่อนหน้าที่ข้าจะรู้ว่าเจ้าจะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ กอปรกับเรื่องนี้ยืดเยื้อมานานเกินไป ข้าก็เลยเอาเรื่องนี้ไปขอคำชี้แนะจากหยางชิ่งมานิดหน่อย อยากจะดูว่าเขาจะมีความคิดอะไรที่สามารถตามหาศีลแปดพบหรือเปล่า เรื่องนี้ข้าอยากจะหาโอกาสพูดต่อหน้าเจ้า” ขณะที่พูดก็แอบมองสีหน้าเหมียวอี้เงียบๆ
“เจ้าบอกเรื่องนี้กับหยางชิ่งแล้วเหรอ?” เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “บอกเรื่องนี้กับเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เขาจะคิดหาวิธีการอะไรได้?” เขาค่อนข้างหวาดกลัวหยางชิ่งมาตลอด โดยเฉพาะตอนที่อวิ๋นจือชิวเกือบจะตายด้วยน้ำมือหยางชิ่งโดยไม่รู้ตัว
อวิ๋นจือชิวเข้ามาหาทันที นางรูดกระโปรงหย่อนก้นที่กลมกลึงนั่งบนตักเขา สวมกอดที่คอให้หน้าอกเบียดใบหน้า แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “อย่าโมโหไปเลย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของศีลแปด ไม่ได้เปิดเผยว่าเกี่ยวกับพระปีศาจหนานโปด้วย แต่ข้าเปลี่ยนวิธีการ ข้าตั้งใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เหมือนเป็นข้อสอบข้อหนึ่งแล้วขอคำชี้แนะจากเขา ถึงยังไงก็ไม่มีวิธีการแล้ว ลองรักษาม้าตายให้เหมือนรักษาม้าเป็นดูสักหน่อย เรื่องนี้เขาก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้จริง แต่เจ้าไม่ต้องพูดถึงเลย เรื่องที่พวกเรามองไม่ทะลุ พอตกไปถึงมือเขาแล้ว เขาก็จะชี้ให้เห็นได้ว่ากุญแจสำคัญอยู่ตรงไหน วิเคราะห์จนเกิดลู่ทางความคิดให้ข้าได้แล้ว!”
เหมียวอี้เอนศีรษะไปข้างหลัง หลบหน้าอกของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ลู่ทางความคิดอะไร?”
“ข้าจำที่เจ้าบอกได้ ว่ามีคนชี้แนะศีลแปดให้ไปสถานที่บ้าๆ นั่น”
“ใช่! เกาก้วนบอกอย่างนั้น ลู่ทางความคิดที่หยางชิ่งบอกก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอ? ไม่ต้องให้เขาบอกหรอก ข้าเองก็อยากตามหาคนชี้นะให้เจอเหมือนกัน ถ้าเจอเขาแล้ว ก็อาจจะหาเจอว่าศีลแปดโดนขังอยู่ที่ไหน แต่ก็ติดต่อหาศีลแปดไม่ได้อีก ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้จะลงมือจากตรงไหน”
“แล้วทำไมทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ถึงบังเอิญไปอยู่ในสถานที่เดียวกันได้ล่ะ?”
“น่าจะเป็นเพราะศีลแปดโดนขัง ตนอหลังไต้ซือศีลเจ็ดเลยหาเขาพบละมั้ง ตามที่ไต้ซือศีลเจ็ดบอก วิชาศีลของพวกเขามีความพิเศษ สามารถสัมผัสได้ว่าศีลแปดอยู่ตรงไหน ดังนั้นการที่หาพบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“เรื่องนี้ข้าก็รู้ เจ้าเคยบอกข้าแล้ว แต่กุญแจสำคัญที่หยางชิ่งเอ่ยถึงก็อยู่ตรงนี้แหละ เขาตัดความเป็นไปได้ในการใช้เคล็ดวิชาค้นหาออก สิ่งที่เขาตัดสินได้ก็คือ ถ้าอยู่ห่างกันไกลเกินไป ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่มีทางสัมผัสตำแหน่งโดยละเอียดของศีลแปดได้เลย ดังนั้นไต้ซือศีลเจ็ดถึงเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาเขา และน่าจะอยู่ในระยะที่ใกล้พอสมควรถึงจะแน่ใจตำแหน่งได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สัมผัสได้แม่นยำขนาดนั้นจริงๆ หรอก ไต้ซือศีลเจ็ดคงไม่ถึงขั้นตามหาอยู่หลายปีกว่าจะพบศีลแปด เขาอาจจะหาศีลแปดพบหลังจากนั้นหลายร้อยปี”
พอนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็จมอยู่ในการคิดไตร่ตรอง พอคิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เขายังบอกว่าอะไรอีก?”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “คนที่ชี้แนะให้ศีลแปดไปหาพระปีศาจหนานโปน่าสงสัย! จุดที่พระปีศาจหนานโปโดนขังไว้อยู่นอกอาณาเขตนะ ใครจะรู้จักที่นั่นได้ล่ะ? ถ้าอยู่นอกอาณาเขต ไม่ว่าใครจะเป็นคนชี้แนะ ศีลแปดเป็นคนฉลาดขนาดนั้น มีหรือที่จะหลับหูหลับตาไปที่นั่นโดยไม่เหลือทางหนีทีไล่เอาไว้สักหน่อย คนที่ชี้แนะคนนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่ปีศาจโลหิตเชื่อใจ ก็ต้องเป็นคนที่ศีลแปดเชื่อใจ แต่ขนาดไต้ซือศีลเจ็ดยังไปตามหาที่นั่น ดังนั้นก็ตัดความเป็นไปได้ของปีศาจโลหิตทิ้งไปได้เลย!”
เหมียวอี้พลันหรี่ตา “หยางชิ่งหมายความว่า คนที่ชี้แนะให้ไปสถานที่นั้น เป็นคนที่ทั้งศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดรู้จัก ไต้ซือศีลเจ็ดก็ถูกชี้แนะให้ไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ? จะเป็นใครได้ล่ะ?”
“คนที่สามารถทำให้ทั้งศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดเชื่อใจได้ แต่ศีลแปดกับไต้ซือศีลเจ็ดไม่เคยเจอเลยตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ ดังนั้นคนที่ทั้งสองเชื่อใจทั้งยังรู้จักเหมือนกันตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ก็น่าจะมาจากพิภพเล็ก และคนคนนี้ก็ต้องรู้จักสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปด้วย! หยางชิ่งให้ข้ามาคิดดูว่าใครตรงกับเงื่อนไขพวกนี้ อย่างอื่นเขาก็ไม่รู้แล้ว เขาช่วยย่อขอบเขตให้ข้าได้เท่านี้” อวิ๋นจือชิววกล่าว
เหมียวอี้ตบก้นนางเบาๆ บอกใบ้ให้นางลุกขึ้น แล้วตัวเองก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ เช่นกัน แล้วเอามือไขว้หลังหรี่ตายิ้ม พลางกล่าวออกมาช้าๆ ว่า “คนที่มีความเป็นได้มากที่สุดในการเติมเต็มเงื่อนไขเหล่านี้มีอยู่คนเดียว เทพพยากรณ์!”
บทที่ 1548 โชคสามชั้นมาเยือนประตูบ้าน
“ข้าก็เคยสงสัยเขามาก่อนเหมือนกัน แต่เขาจะรู้เรื่องสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้ยังไง?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้บอกว่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าพระที่บำเพ็ญทุกรกริยานั่นถนัดเรื่องอะไรที่สุด?”
“พยากรณ์ได้เหรอ? อย่าบอกนะว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็พยากรณ์ได้?” อวิ๋นจือชิวกล่าวปนขำ
เหมียวอี้เอียงน้ามองมา “เจ้าก็เคยติดต่อกับเขามาก่อนเหรอ?”
“ไม่เคยติดต่ออะไรหรอก แต่ท่านปู่ข้าเคยติดต่อกับเขามาก่อน เหมือนจะเชื่อคำทำนายของเขามากด้วย” อวิ๋นจือชิวตอบ
“เหมือนจะเหรอ?” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “เจ้าไม่เคยติดต่อกับเขา ไม่รู้หรอกว่าเขาน่ากลัวขนาดไหน เรื่องที่ทำนายทายทักได้ ตอนข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาข้าก็งมงายเชื่อเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่หลังจากก้าวเข้าแดนฝึกตน ก็พบว่าสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าท่านเซียนเป็นเพียงนักพรตเท่านั้น จะมีการนับนิ้วพยากรณ์ได้ยังไง ถ้าทุกคนแค่นับนิ้วพยากรณ์ก็ทำทุกเรื่องสำเร็จได้ก็แย่น่ะสิ ดังนั้นข้าไม่เชื่อเรื่องนี้หรอก แต่หลังจากได้คลุกคลีกับเทพพยากรณ์หลายครั้ง ถึงได้พบว่าโลกนี้มีคนที่นับนิ้วทำนายแล้วรู้ทุกอย่างจริงๆ ขนาดเรื่องที่ข้าทำไว้แต่คนอื่นไม่รู้ เขาถึงขั้นทำนายออกมาได้ ข้านี่ตกใจจนเหงื่อแทบแตกไปทั้งตัว เจ้าว่าน่ากลัวมั้ยล่ะ? นอกจากเขาแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าที่พิภพเล็กยังมีใครอีกที่สนิทกับศีลแปดและอาจารย์ ทั้งยังรู้สถานที่ผนึกของพระปีศาจหนานโป แต่นอกจากพวกเราแล้ว เทพพยากรณ์ก็เป็นคนเดียวที่สามารถไปมาระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ได้อย่างอิสระ ตอนมาที่พิภพใหญ่เขายังเปิดทางให้ข้าเลย! มีความเป็นไปได้อยู่แล้วว่าเขาจะชี้ทางให้ศีลแปดกับอาจารย์ เพียงแต่ข้าคิดไม่ตก ในเมื่อเขากับไต้ซือศีลเจ็ดเป็นสหายกัน แล้วทำไมต้องทำร้ายไต้ซือศีลเจ็ดล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวพึมพำว่า “ถ้าสิ่งที่เกาก้วนเป็นความจริงทั้งหมด ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายหรอก บางทีเทพพยากรณ์อาจจะรู้ว่าเคล็ดวิชาที่อาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้ฝึกสามารถต้านทานมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโปได้ อาจจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่เป็นอันตรายก็ได้! แต่ข้าคิดไม่ตกว่าเขาทำแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไร ในเมื่อเจ้าบอกว่าเขานับนิ้วทำนายได้จริงๆ บางทีอาจจะมีสาเหตุอื่นที่ชี้แนะให้ศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นไป หรือไม่ก็กำลังช่วยพวกเขาจริงๆ อาจจะไม่ได้ทำร้ายพวกเขาหรอก”
เหมียวอี้เงียบงัน แล้วรีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาเขย่าในมือ อวิ๋นจือชิวดูอยู่เงียบๆ ข้างกาย รู้ว่าเขาคงจะติดต่อกับเทพพยากรณ์ ได้ยินว่าเหมียวอี้มีช่องทางติดต่อกับเทพพยากรณ์
ทว่าหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ อวิ๋นจือชิวลองถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่มีการตอบกลับ”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “ขนาดคนที่พิภพเล็กยังบอกเลยว่าเขาลึกลับเหมือนมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง นี่เขาเป็นคนยังไงกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะติดต่อเขาไม่ได้ เบาะแสแบบนั้นก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี”
เหมียวอี้เริ่มขมวดคิ้วมุ่น
ในขณะนี้เอง เชียนเอ๋อร์ก็เข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว “นายท่าน ฮูหยิน ด้านนอกมีคนสามคนทยอยกันมาที่นี่ มีจากหอฉางเจิน เรือนเจิดจรัส ตึกจันทราดาราค่ะ พวกเขาบอกว่ามาส่งบัตรเชิญให้นายท่าน” ในมือนางเผยแหวนเก็บสมบัติสามวงออกมา
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ ทั้งสองอยู่ที่ตลาดสวรรค์มานานขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าสามร้านนี้เป็นร้านของใคร เป็นกิจการสายตรงของอ๋องสวรรค์ก่วง อ๋องสวรรค์อิ๋ง อ๋องสวรรค์ฮ่าว ล้วนมีอยู่หนึ่งร้านตามตลาดสวรรค์แห่งต่างๆ สามร้านนี้ส่งบัตรเชิญมาหมายความว่าอย่างไร?
อวิ๋นจือชิวหยิบแหวนเก็บสมบัติจากมือเชียนเอ๋อร์มาไว้ในมือตัวเอง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ดูแล้ว ก็เรียกบัตรเชิญออกมาสามฉบับ นี่ไม่ใช่แผ่นหยก แต่เป็นบัตรเชิญที่ทำจากผงสกัดผลึกแดง รูปแบบคล้ายๆ กัน สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ ลวดลายสลักที่อยู่บนบัตรเชิญ นอกจากลวดลายตกแต่งที่แนบอยู่ด้านข้าง ตรงด้านหน้าล้วนมีลวดลายประตูหลักของจวนที่หรูหรา บนแผ่นป้ายของประตูหลักก็สลักไว้ว่าจวนอ๋องสวรรค์ก่วง จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว
ไม่ต้องพูดถึงว่าบัตรเชิญนี้มีมูลค่าไม่เท่าไร เพราะความหมายของบัตรเชิญสามฉบับนี้ทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแอบตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับเชิญในนามของอ๋องสวรรค์โดยตรง หอฉางเจิน เรือนเจิดจรัส ตึกจันทราดารา ถึงแม้จะเป็นกิจการสายตรงของสามอ๋องสวรรค์ แต่ก็เป็นแค่ร้านค้าทั่วไปสามร้านที่อยู่ภายใต้สามตระกูลนี้ก็เท่านั้นเอง ผู้จัดการของสามร้านนี้ยังไม่มีสิทธิ์ส่งบัตรเชิญในนามของจวนอ๋องสวรรค์ได้โดยตรง นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายในการมีชีวิตอยู่เท่านั้นแหละ
ต่อให้เป็นคนของอ๋องสวรรค์ ถ้ามีงานเลี้ยงอะไรแต่ก็ใช้ได้เพียงนามส่วนตัว การนำบัตรเชิญของจวนอ๋องสวรรค์มาได้ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของจวนอ๋องสวรรค์แล้ว
สองสามีภรรยาเปิดบัตรเชิญอ่านทีละฉบับ ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นเป็นคำพูดตามมารยาท ความหมายคร่าวๆ ก็คือได้ทราบว่าเหมียวอี้เพิ่งเข้าเมืองมา เลยจะจัดงานเลี้ยงเชิญให้เหมียวอี้ไปเข้าร่วม สุดท้ายก็ทิ้งชื่อร้านค้าเอาไว้ แต่ทั้งสองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ร้านค้าจะส่งบัตรเชิญนี้มา
ขณะเดียวกันก็อธิบายได้ชัดเจนแล้วว่าบัตรเชิญนี้เพิ่งถูกเขียนขึ้นมา การเขียนตัวอักษรบนบัตรเชิญผลึกแดงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าบัตรเชิญนี้ไม่ธรรมดา
อวิ๋นจือชิวโบกบัตรเชิญในมือ เหมียวอี้จ้องไปที่บัตรเชิญพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ร้านค้าสามร้านนี้อาจจะมีคนที่ไม่ธรรมดามาเยือน ไม่อย่างนั้นคงทำบัตรเชิญแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“ข้าเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่ใครของสามตระกูลนี้ส่งบัตรเชิญมาให้ข้าล่ะ?” เหมียวอี้รู้สึกแปลกใจ แล้วจู่ๆ ก็หันไปถามเชียนเอ๋อร์ “โถงฉากเมฆาไม่ได้ส่งคนมาเหรอ?”
โถงฉากเมฆาก็คือกิจการของตระกูลโค่ว
“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ มีแค่สามตระกูล” เชียนเอ๋อร์ส่ายหน้า
เหมียวอี้เอียงศีรษะพลางพึมพำ “ขาดตระกูลโค่วไปตระกูลเดียว หมายความว่ายังไง?” เขาวางบัตรเชิญไว้ในฝ่ามือข้างเดียว แล้วใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโค่วเหวินหลาน เป็นเพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่ คนที่สามารถเดาเจตนาของอีกสามตระกูลได้ เกรงว่าคงจะมีแค่ตระกูลโค่วแล้ว เขาเองก็เคยมอบไมตรีให้อีกฝ่ายมาแล้ว จะสืบข่าวสักหน่อยก็ไม่ถือว่าเกินไป เพราะเมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ ก็จะไปเข้าร่วมแบบเลอะเลือนไม่ได้หรอก
หอฉางเจิน ในสวนป่าของลานบ้านด้านหลัง โกวเยว่ที่กำลังเดินทอดน่องอยู่บนทางเล็กๆ พลันหันกลับมา ถามหานตงที่กำลังถือระฆังดาราอย่างแปลกใจ “ทางตระกูลโค่วยังไม่มีความเคลื่อนไหวเหรอ?”
หานตงพยักหน้า “ลูกน้องจับตาดูอยู่ตลอด ตอนนี้ยังไม่เห็นคนของทางตระกูลโค่วไปที่หออวิ๋นฮว๋าเลย”
“คนก็มาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะล้มเลิก สงสัยมีคนรู้จักมาด้วยเลยจัดการง่ายหน่อย คงจะให้โค่วเหวินหลานนั่ส่งข่าวไปเชิญโดยตรง พอเป็นแบบนี้ หนิวโหย่วเต๋อที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกคงจะต้องไปหยั่งเชิงที่โถงฉากเมฆาก่อน เรื่องนี้จะให้ตระกูลโค่วได้โอกาสก่อนไม่ได้ ไป ส่งยอดฝีมือไปสักสองสามคน ถ้าเขาออกมาก็ดักทางเข้าไว้” โกวเยว่พึมพำอย่างลังเล
“แล้วถ้าเขาไม่ยอมมาล่ะขอรับ?” หานตงถาม
โกวเยว่กล่าวเสียงเรียบว่า “อย่าลืมว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของใคร พวกเราไม่มีความได้เปรียบกว่าอีกสามฝ่ายเลย ถ้าเขาไม่ยอมมา ก็บอกเขาไปเลยว่า ตำหนักสวรรค์มีคำสั่งให้หน่วยตรวจการขวา กองทัพองครักษ์และสี่ทัพสามหน่วยมาสืบสวนพร้อมกันแล้ว คนของสี่ทัพมาถึงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง!”
ก่วงลิ่งกง อ๋องสวรรค์ก่วงก็คืออ๋องสวรรค์ที่คุมทัพตะวันตกตำหนักสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงคุมทัพตะวันออก อ๋องสวรรค์ฮ่าวคุมทัพใต้ อ๋องสวรรค์โค่วคุมทัพเหนือ
“ขอรับ!” หานตงเอ่ยรับแล้วหันตัวไป คิดในใจว่ามีแค่ท่านนี้เท่านั้นที่กล้าออกคำสั่งนี้ คนอื่นจะกล้าปลอมคำสั่งทหารของทัพตะวันตกได้อย่างไร แต่ท่านนี้สามารถทำให้อ๋องสวรรค์ก่วงแก้ไขคำสั่งนี้ได้ทุกเมื่อ
โถงฉากเมฆา ในลานบ้านด้านหลังที่เงียบและเย็นสงบ ในกระท่อมที่อยู่ติดป่าไผ่ริมทะเลสาบ ถังเฮ่อเหนียนกำลังเล่นหมากล้อมกับโค่วเหวินหลาน
โค่วเหวินหลานที่ลงหมากหนึ่งลตัวพลันเงยหน้า เขาหยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาไว้ในมือ ยิ้มบางๆ ให้ถังเฮ่อเหนียนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว
“ท่านปู่ถัง ท่านคาดการณ์ได้แม่นยำจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อติดต่อข้ามาแล้ว” โค่วเหวินหลานกล่าวอย่างอัศจรรย์ใจ
ถังเฮ่อเหนียนเงยหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ อีกสามอ๋องส่งคนไปแล้ว มีแค่พวกเราที่ไม่ได้ส่งใครไป เขาสนิทกับท่าน เมื่อไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็ย่อมต้องสืบข่าวจากท่าน ตอบเขาไปเถอะ ทำตามที่บ่าวสอนไว้ก็พอแล้ว”
โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วตอบกลับระฆังดารา : น้องหนิว ในที่สุดวันนี้ข้าก็รู้แล้วว่าผู้หฺญิงที่เจ้าบอกคือใคร เจ้านี่ปิดบังข้าเสียเนียนเลยนะ ตอนนี้คงนั่งกอดสาวงามอยู่ล่ะสิ ทำไมมานึกถึงข้าได้ล่ะ?
เหมียวอี้ชะงักทันที แล้วถามว่า : ท่านรู้แล้วเหรอ?
โค่วเหวินหลาน : ข้าจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ข้านั่งอยู่บนตึกกำแพง เห็นท่าทางน่าเกรงขามตอนเจ้าเข้ามามากับตา เจ้าว่าข้ารู้มั้ยล่ะ?
เหมียวอี้มองไปที่อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายอย่างเหม่องง “โค่วเหวินหลานก็อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนเหมือนกัน”
อวิ๋นจือชิวงุนงงเล็กน้อย แล้วบอกว่า “งั้นก็แปลว่า ที่จริงตระกูลโค่วก็ส่งคนมาเหมือนกัน”
ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก เหมียวอี้กล่าวต่อไปว่า : ตอนนี้พี่โค่วอยู่ที่ไหน ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านแบบต่อหน้านิดหน่อย
โค่วเหวินหลาน : ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากจะไปทักทายเจ้านะ แต่โดนท่านปู่ถังห้ามไว้
เหมียวอี้สงสัย : ท่านปู่ถังคือใครเหรอ?
โค่วเหวินหลาน : เป็นพ่อบ้านของตระกูลโค่ว เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายท่านปู่ข้าเอง
เหมียวอี้ตกใจทันที นั่นคือลูกน้องคนสนิทที่อยู่เหนือลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์โค่วนะ ขนาดบุคคลแบบนี้ก็ยังมาด้วยเหรอ ตาแก่พวกนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? เขาถามหยั่งเชิงว่า : ทำไมต้องห้ามไม่ให้ท่านมาเจอข้าล่ะ?
โค่วเหวินหลาน : พ่อบ้านบอกว่าคนของตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงกำลังจะไปหาเจ้า ให้ข้ารอดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ
เหมียวอี้ยิ่งตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้อีกฝ่ายก็รู้มาตั้งนานแล้วนี่เอง เขาจึงไม่ปิดบังแล้วเช่นกัน บอกกลับไปว่า : ไม่ปิดบังพี่โค่วนะ ข้าเพิ่งได้รับบัตรเชิญจากตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วง ล้วนเป็นบัตรเชิญในนามจวนอ๋องสวรรค์ คาดว่าคงมีบุคคลสำคัญมา ข้าไม่เข้าใจว่าเพราะเรื่องอะไรกันแน่ กำลังจะขอคำชี้แนะจากพี่โค่ว ไม่ทราบว่าพี่โค่วคลายปริศนาให้ได้รึเปล่า?
โค่วเหวินหลาน : มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดหรอก เจ้ารอเดี๋ยวนะ ข้าจะลองถามพ่อบ้านดูว่าเขาจะบอกได้หรือเปล่า
เหมียวอี้ : รบกวนด้วย!
โค่วเหวินหลานระฆังดาราข้างๆ กระดานหมากล้อมอย่างเบามือ พอชำเลืองมองถังเฮ่อเหนียนที่ลงหมากอย่างสบายใจ เขาก็นึกถึงสิ่งที่ท่านพ่อบอกไว้ ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่กับพ่อบ้าน จะต้องฉวยโอกาสนี้แสดงความสามารถ ถึงได้แสดงท่าทางให้เห็นว่าสามารถข่มอารมณ์ได้ จดจ่อความคิดอยู่บนกระดานหมากล้อม จากนั้นใช้นิ้วขยี้ตัวหมากช้าๆ แล้วลงหมาก
เพียงแต่ด้วยนิสัยรักสะอาดของเขา บางครั้งก็ทำท่าสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเบาๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่ก็สังเกตได้ว่าหางตาของถังเฮ่อเหนียนกระตุกเป็นระยะ
หลังจากผลัดกันลงบนกระดานหมากไปไม่กี่รอบ จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนก็เตือนว่า “ได้เวลาแล้ว”
โค่วเหวินหลานใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาอย่างไม่ร้อนรน ตอบกลับไปอีกว่า : น้องหนิว พ่อบ้านบอกว่า จั่วเอ๋อร์ผู้จัดการบ้านของตระกูลอิ๋งพาอิ๋งเยว่ หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาแล้ว ส่วนต้วนหงที่เป็นหน้วหน้าผู้ช่วยของตระกูลฮ่าวก็พาฮ่าวชิงเยี่ยนที่เป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์ฮ่าวมาด้วย ส่วนตระกูลก่วงก็ยิ่งเล่นใหญ่ นอกจากพ่อบ้านโกวเยว่จะมาเองแล้ว หวังเฟยเม่ยเหนียงก็พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ผู้เป็นลูกสาวมาเองเลย ลูกสาวหลานสาวของแต่ละตระกูลหน้าตาไม่ธรรมดา น้องหนิวมีวาสนาแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีกับน้องหนิวไว้ตรงนี้ก่อนเลย
เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจไปพักใหญ่ ขนาดหวังเฟยยังมาเองเลยเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน? จึงรีบถามว่า : ยินดีกับข้าเรื่องอะไร?
โค่วเหวินหลาน : ยังฟังไม่ออกอีกเหรอ? ก็ยินดีที่เจ้าโชคสามชั้นมาเยือนประตูบ้านไง สามตระกูลนี้ล้วนอยากรับเจ้าเป็นเขย
เหมียวอี้ : ทำไมพี่โค่วล้อเล่นกับหนิวแบบนี้ พูดความจริงเถอะ มีเรื่องอะไรกันแน่?
โค่วเหวินหลาน : ข้าเคยหลอกเจ้าที่ไหนล่ะ จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว
เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก หันหน้าช้าๆ ไปมองอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกัน
“เป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวสงสัย
“เขาบอกว่ามีโชคสามชั้นมาเยือนประตูบ้านข้า…” เหมียวอี้ถ่ายทอดคำพูดของโค่วเหวินหลานเมื่อครู่นี้อย่างงุนงง
อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่ใช่คนโง่ เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ผ่านไปพักใหญ่ อวิ๋นจือชิวถึงได้มองประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางพูดแดกดัน “เอ๋! มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ เรื่องดีๆ ที่คนอื่นคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่มาตกอยู่กับเจ้าเสียแล้ว งั้นข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยน่ะสิ”
…………………………
บทที่ 1549 หักมุม
เหมียวอี้กลอกตามองบน “อย่าพาลหาเรื่อง ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าตรงนี้มีปัญหาแน่”
ตอนนี้ใช่เวลามาเอ่ยถึงเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน เขารีบเขย่าระฆังดาราถามซักไซ้ : พี่โค่ว ข้ารู้ดีว่าข้ามีความสามารถเป็นยังไง เรื่องที่ท่านบอกข้าทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ข้าเพิ่งจะก่อเรื่องใหญ่ไป แล้วพวกเขาก็ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับข้า แบบนี้ฟังดูเหลวไหลเกินไปรึเปล่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ข้าขอคำชี้แนะจากใจจริง!
โค่วเหวินหลาน : ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ของน้องหนิวคืออสุราอัคนี ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?
เหมียวอี้ตะลึงงันอีกครั้ง ทำถึงโยงไปที่อสุราอัคนีได้ล่ะ เขาตอบว่า : ไม่ปิดบังพี่โค่ว ข้าบังเอิญได้รับถ่ายทอดวิชาการอสุราอัคนี จะบอกว่าข้าเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีก็ได้ แต่อาจารย์ข้าตายไปหลายปีขนาดนั้นแล้ว อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ของข้า?
โค่วเหวินหลานมองไปที่ถังเฮ่อเหนียนทันที : “เขายอมรับเองเลยว่าเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี บอกว่าบังเอิญได้รับถ่ายทอดวิชาจากอสุราอัคนี”
“ได้รับถ่ายทอดสิชา ถ่ายทอดวิชา…” ถังเฮ่อเหนียนพึมพำ แล้วก็พยักหน้าอีก
โค่วเหวินหลานตอบต่อไปว่า : น้องหนิว สงสัยเจ้าจะประเมินพลังอำนาจของอาจารย์เจ้าในปีนั้นต่ำไปแล้วมั้ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ถึงยังไงก็อยู่ห่างยุคกันตั้งไกล ตอนนี้ยังมีสักกี่คนที่ยังเอ่ยถึงเขาอยู่ ทั้งชีวิตพวกเราแทบจะไม่มีใครรู้จักเลย เอาเป็นว่าในปีนั้นอาจารย์ของเจ้าเป็นตัวละครที่วางอำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้าเชียวนะ! ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วใช่มั้ย เรื่องดีแบบนี้มาเยือนเจ้าถึงประตูบ้าน ก็เพราะสิ่งที่เจ้าได้รับถ่ายทอดมาไง พวกเขาอยากจะดึงเจ้าไปเป็นพวก!
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว เขาเองก็เคยได้ยินอวี้หลิงเจินเหรินบอกมาเช่นกัน ว่าในปีนั้นอสุราอัคนีเป็นบุคคลที่ร้ายกาจยอดเยี่ยม แต่นึกไม่ถึงว่าลาโลกไปนานขนาดนี้แล้วยังจะทำให้อ๋องสวรรค์สะเทือนได้อีก เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นเกาก้วนในใจ ทำไมถึงสร้างประวัติภูมิหลังแบบนี้ให้ตนได้ แบบนี้ไม่เป็นการสร้างปัญหาให้ตนหรอกเหรอ
พอคิดไปคิดมาก็ถามหยั่งเชิงว่า : อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พี่โค่วเป็นพ่อสื่อในสวนท้อก่อนหน้านี้เป็นเพราะสาเหตุนี้?
โค่วเหวินหลาน : น้องหนิว เรื่องนี้ข้าบอกไปแล้วไง ตอนนั้นข้าแค่อยากจะช่วยเจ้าเท่านั้นเอง แถมตอนนั้นข้าก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเจ้าคือศิษย์ของอสุราอัคนี ข้าเองก็เพิ่งถามจากปากพ่อบ้านถึงได้รู้ เรื่องนี้ก็เพิ่งลือกันในช่วงเร็วๆ นี้เอง ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวลือนี้ออกมาจากไหน บอกว่าเจ้าเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ไปสืบดูได้ว่าข่าวลือนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อไร แล้วอีกอย่างนะ น้องหนิวก็ปฏิเสธข้าไปแล้ว ข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานอีกก็แล้วกัน ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
เหมียวอี้ : ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อพี่โค่ว เพียงแต่จู่ๆ พ่อบ้านจวนท่านก็มาที่นี่ในเวลานี้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร?
โค่วเหวินหลาน : จะบอกเจ้าตรงๆ เลยก็ได้ พ่อบ้านมาที่นี่ก็เพื่อทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้า! ก็เป็นเพราะได้ยินเรื่องนี้นี่แหละ พอรู้ว่าอีกสามอ๋องส่งบุคคลที่พอจะมีหน้ามีตามา ที่บ้านข้ากลัวว่าถ้าส่งคนธรรมดามาแล้วจะสยบอีกสามบ้านไม่ได้ ก็เลยตั้งใจส่งพ่อบ้านมาคุมสถานการณ์ มาทำให้เรื่องดูตัวของเจ้าพัง! แน่นอน เมื่อครู่นี้พ่อบ้านก็บอกไว้แล้วเช่นกัน ที่บ้านข้าบอกมาว่าเรื่องที่ตลาดผีครั้งก่อน ตระกูลโค่วติดนี้น้ำใจเจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากให้ตระกูลโค่วทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้า ก็แค่บอกมาตรงๆ ตระกูลโค่วรับรองว่าจะไม่ยื่นมือไปแทรกเรื่องนี้ ไม่ว่าเจ้าจะแต่งงานกับลูกสาวของบ้านไหน เดี๋ยวต่อไปตระกูลโค่วจะมอบของขวัญล้ำค่าให้ พูดจริงทำจริง!
พูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้ กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกดีในใจ แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าเรื่องราวไม่ได้ธรรมดาแบบนั้นแน่นอน ไม่กล้าเข้าไปข้องเกี่ยวกับน้ำที่ล้ำลึกอย่างตระกูลโค่ว ตอบปฏิเสธอ้อมๆ ว่า : เรื่องน้องสาวของท่านตอนแรก หนิวก็ปฏิเสธไปแล้ว จะเห็นได้ว่าหนิวแน่วแน่ขนาดไหน พี่โค่ววางใจได้ เรื่องนี้ไม่ต้องให้ตระกูลโค่วลงมือหรอก ไม่ว่าบ้านไหนข้าก็ไม่แต่งทั้งนั้น ต้องปฏิเสธแน่นอน!
โค่วเหวินหลานบอกถังเฮ่อเหนียนทันที “เขาบอกว่าไม่ต้องให้ตระกูลโค่วลงมือ เขาจะปฏิเสธให้หมด จะไม่แต่งงานกับบ้านไหยทั้งนั้น”
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเหรอ? ประเมินเขาสูงไปใช่มั้ย? หรือว่ากำลังแกล้งโง่? ขนาดข้ามาด้วยตัวเองแล้ว เขามีสิทธิ์ทำตามใจหรือ?” ถังเฮ่อเหนียนแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “ไม่มีเวลาอ้อมค้อมกับเขาแล้ว บอกไปตรงๆ เถอะ”
โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วตอบว่า : เกรงว่าจะปฏิเสธพวกเขาไม่ได้หรอก นอกเสียจากน้องหนิวจะไม่ได้รักเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจากใจจริง อยากจะกดดันให้เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นตาย!
เหมียวอี้หรี่ตา : หมายความว่ายังไง?
โค่วเหวินหลาน : ถ้าน้องหนิวไม่ก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นก็อาจจะยังรักษาชีวิตไว้ได้ ถ้าน้องหนิวไม่ถูกใจสามตระกูลนั้นก็คงไม่เป็นอะไร เรื่องของน่านฟ้าระกาติงควรจะเป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ในเมื่ออีกสามบ้านถูกใจเจ้าแล้ว บุคคลระดับสูงของสามบ้านนั้นลงมือเองแล้ว ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เลยนะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่น้องหนิวในปัจจุบันจะต้านทานไหว น้องหนิวก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง จะเห็นได้ว่าผู้หญิงคนนี้สำคัญต่อใจน้องหนิวขนาดไหน ถ้าน้องหนิวไม่ตอบตกลง พวกเขาก็จะคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นคืออุปสรรค เจ้าคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเหรอ? ต่อให้น้องหนิวจะตอบตกลงแต่งงานกับลูกสาวบ้านใดบ้านหนึ่ง แต่เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นก็จะต้องตายอยู่ดี เป็นเพราะน้องหนิวทำเพื่อเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นมากเกินไป ถ้าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นไม่ตาย ลูกสาวหลานสาวของพวกเขาที่แต่งงานกับเจ้าก็จะรู้สึกรำคาญใจ ที่สำคัญคือในภายหลังยังไม่รู้เลยว่าน้องหนิวจะก่อเรื่องอะไรเพื่อเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นอีก! ในเมื่อสามบ้านนั้นลงมือแล้ว ถ้าไม่มีอำนาจอิทธิพลที่ทัดเทียมกันมาทำลายแผนการ นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น้องหนิวจะพลิกสถานการณ์ได้เลย!
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็มุมปากกระตุกอย่างรุนแรง ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะทำเรื่องนี้ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำให้อวิ๋นจือชิวมีอันตรายถึงชีวิต ประเด็นสำคัญคือ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าพวกอ๋องสวรรค์จะอยากจะให้ลูกสาวแต่งงานกับเขา
เมื่อเห็นเหมียวอี้มีสีหน้าไม่ชอบมาพากล อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างกังวลว่า “เป็นอะไรไป?”
ในขณะนี้เอง เหมียวอี้หยิบระฆังดาราอีกอันหนึ่งออกมา หลังจากได้ข่าวแล้วสีหน้าก็ยิ่งเครียดขรึม
เสวี่ยเอ๋อร์ส่งข่าวมา ว่าระหว่างทางเสวี่ยเอ๋อร์โดนยอดฝีมือดักไว้ โดนอีกฝ่ายจับตัวไว้โดยไม่ทันได้โต้ตอบด้วยซ้ำ พวกเขาค้นตัวนางรอบหนึ่ง ค้นตัวจนเจอตัวหงเฉินด้วย แต่ที่แปลกก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้กลั่นแกล้งพวกนาง ไม่ได้ปล้นเงินพวกนางด้วย แล้วก็ปล่อยตัวพวกนางไปอีก เสวี่ยเอ๋อร์ถูกยอดฝีมือพวกนั้นทำให้ประหลาดใจหาคำตอบไม่ได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ เหมียวอี้อาจจะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่พอได้ฟังคพูดของโค่วเหวินหลาน เขาก็เข้าใจในทันที มีคนป้องกันไม่ให้อวิ๋นจือชิวหนีไป ตอนนี้ดาวจิ่วหวนกลายเป็นสนามประลองอำนาจของอิทธิพลใหญ่ฝ่ายต่างๆ แล้ว
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างแค้นใจ แล้วบอกเสวี่ยเอ๋อร์ว่าไม่เป็นอะไร ให้ระวังคนสะกดรอยตามก็พอ ไปเจอกับเหยียนซิวตามแผนที่วางไว้ จากนั้นก็มองไปที่อวิ๋นจือชิว ถอนหายใจเบาๆ อย่างหดหู่ แล้วบอกว่า “ข้าเสียใจที่ไม่เชื่อฟังเจ้า ครั้งนี้เกรงว่าเจ้าคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว…” นางอธิบายคำพูดของโค่วเหวินหลานให้ฟัง แล้วก็บรรยายสิ่งที่เสวี่ยเอ๋อร์เพิ่งประสบเมื่อครู่นี้
อวิ๋นจือชิวอึ้งไปครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะกลายเป็นซับซ้อนขนาดนี้ นางก้มหน้าแล้วถามว่า “ไม่รู้ว่าตระกูลโค่วจะมีวิธีการอะไรหรือเปล่า เกรงว่าตระกูลโค่วก็คงไม่มีเจตนาดีอะไรเช่นกัน”
เชียนเอ๋อร์ได้ฟังอะไรพวกนี้แล้วก็ตกใจเช่นกัน มองไปที่เหมียวอี้ แล้วก็มองไปที่อวิ๋นจือชิวอีกอย่างกังวลใจ
เหมียวอี้เขย่าระฆังดาราถามอีกว่า : ไม่ทราบว่าตระกูลโค่วมีวิธีการอะไรช่วยข้ารึเปล่า?
โค่วเหวินหลาน : ไม่ปิดบังพี่หนิว ตระกูลโค่วเองก็เคยมีความคิดแบบพวกเขาเหมือนกัน แต่เห็นแก่น้ำใจของน้องหนิวเรื่องตลาดผี ท่านปู่ข้าบอกว่าคนเราจะทำอะไรสุดโต่งเกินไปไม่ได้ ถ้าแม้แต่เรื่องตอบแทนบุญคุณคนยังทำไม่ได้ แล้วจะยืนหยัดอยู่ในใต้หล้าได้ยังไง แต่ก็ใช่ว่าตระกูลโค่วจะไม่มีจิตใจที่คำนึงถึงส่วนตนเลย ดังนั้นท่านปู่จึงมีวิธีการหนึ่งที่ได้ประโยชน์กันหลายฝ่าย ทั้งช่วยให้น้องหนิวกับเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นสมปรารถนา ทั้งทำลายแผนของอีกสามตระกูลได้ ทั้งยังปกป้องเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นได้ด้วย ขณะเดียวกันก็รักษาไมตรีระหว่างทั้งสองบ้านได้ด้วย
ยังมีวิธีการแบบนี้ด้วยเหรอ? เหมียวอี้ประหลาดใจ รีบตอบว่า : ข้ายินดีจะฟังรายละเอียด!
โค่วเหวินหลาน : ก่อนหน้านั้น พ่อบ้านให้ข้าถามสักคำก่อน ว่าเจ้ากับเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นแค่มีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง หรือว่าอยากจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าจริงๆ?
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวย่อมไม่ได้เล่นๆ กันอยู่แล้ว ตอยทันทีว่า : อย่างหลัง! ย่อมอยากจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่อยู่แล้ว!
โค่วเหวินหลาน : พ่อบ้านถ่ายทอดเจตนาของท่านปู่ข้า บอกว่าถ้าเจ้ายินดี ท่านปู่ข้าก็ยินดีจะรับเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นเป็น ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ต่อไปเรื่องงานแต่งงานของเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นกับเจ้า ตระกูลโค่วก็จะช่วยเจ้าจัดการให้!
ตอนนี้เหมียวอี้ตะลึงค้างแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าควรตื่นเต้นดีใจหรือควรจะอะไร แบบนี้หักมุมเกินไปแล้วมั้ง ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะมีอะไรแบบนี้
“ตระกูลโค่วเสนอขออะไรใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวถาม
จู่ๆ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเหมือนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าอย่าพูดเลย ตระกูลโค่วมีความคิดเด็ดดวงแล้วจริงๆ ขอแค่ทำตามก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ปกป้องเจ้าได้นะ พวกเรายังจะได้อยู่ด้วยกันแบบสง่าผ่าเผยด้วย คาดว่าต่อไปนี้คงจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าง่ายๆ อีก กำจัดปัญหาห่วงหน้าพะวงหลังของข้าได้แบบลงแรงครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอด ข้าจะยอมพวกเขาเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะคิดหาวิธีการแบบนี้ได้ ถ้าใครกล้ามาเล่นกับคนกลุ่มนี้ ก็ต้องโดนพวกเขาเล่นงานตายแน่!”
“วิธีการอะไร?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
“บุตรสาวบุญธรรม!” เหมียวอี้ยังคงทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“บุตรสาวบุญธรรม?” อวิ๋นจือชิวงุนงง “บุตรสาวบุญธรรมอะไร?”
เหมียวอี้อธิบายว่า “อ๋องสวรรค์โค่วบอกมาแล้ว ว่ายินดีรับเจ้าเป็นบุตรสาวบุญธรรม จากนั้นก็จะจัดงานแต่งงานให้พวกเรา! พวกเขาช่างคิดวิธีการนี้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าพวกเขาสมปรารถนาแล้ว พวกเราก็จะไม่เป็นอันตรายแล้ว เพียงแต่หลังจากนี้ไป ข้าคงจะต้องกลายเป็นคนของตระกูลโค่วแล้วล่ะ เฮ้อ! แต่ข้ากำลังคิดนะ ว่าถ้าเขารู้ว่าตัวเองรับหลานสาวของประมุขปราชญ์ลัทธิมารมาเป็นบุตรสาวบุญธรรม แถมข้าก็เป็นประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยงอีก ไม่รู้ว่าอ๋องสวรรค์โค่วจะคิดยังไง ข้ายังไม่รู้เลยว่าควรจะชื่นชมในความฉลาดหลักแหลมของเขา หรือควรจะว่าเขาว่าฉลาดแต่เข้าใจผิดดี วิธีการดีๆ ที่จะดึงให้ตระกูลโค่วลงน้ำมาซวยด้วยกันแบบนี้ ทำไมเขาถึงคิดได้นะ? ข้าว่านะน้องชิว แบบนี้จะถือว่าพวกเราขึ้นเรือโจรของตระกูลโค่ว หรือว่าตระกูลโค่วขึ้นเรือโจรของพวกเราล่ะ?”
ตะลึงค้างแล้ว! อวิ๋นจือชิวตะลึงค้างแล้วจริงๆ
เชียนเอ๋อร์ก็ตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่ข้างๆ เช่นกัน เรื่องที่เพิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ก็หักมุมกลายเป็นแบบนี้แล้ว สมองคิดตามไม่ทันแล้ว
“เอ่อ…เอ่อ…” อวิ๋นจือชิวอึกอักพูดไม่ออก ถามอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “พวกเราต้องตอบตกลงมั้ย?”
เหมียวอี้พูดหยอกว่า “เรื่องนี้ก็ต้องถามเจ้าสิ! ถ้าเจ้าเต็มใจ ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร ถึงยังไงเจ้ากับข้าก็รู้ว่าเรากับตระกูลโค่วใช้ประโยชน์กันและกันก็เท่านั้นเอง แต่หนี้น้ำใจครั้งนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ ข้าต้องนับถือในความเผ็ดร้อนช่ำชองของตระกูลโค่ว”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที “ก่อนหน้านี้ยังได้ชื่อว่าเป็นแม่หม้ายอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว นี่มันอะไรกัน” นางส่ายหน้าอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนอีกว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็หาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน ข้าต้องนับถือในความเหนือชั้นของตระกูลโค่ว ทำให้เจ้าอยากจะปฏิเสธแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ จะให้ข้ามีความเห็นแย้งอะไรล่ะ เจ้าตอบตกลงไปเถอะ”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเขย่าระฆังดาราตอบ : เจตนาอันงดงามของตระกูลโค่ว มีหรือที่จะปฏิเสธได้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงเกาะอำนาจผู้มีอิทธิพลแล้ว!
“ตอบตกลงแล้ว!” โค่วเหวินหลานบอกถังเฮ่อเหนียนพร้อมหัวเราะเบาๆ “เกรงว่าพวกเขาคงจะคิดไม่ถึงว่าตระกูลโค่วจะคิดวิธีการนี้ออกมาได้ เพียงแต่ต่อไปข้าคงจะเสียเปรียบนิดหน่อยแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีอาหญิงกับอาเขยเพิ่มมาแล้ว”
“ฐานะที่แตกต่างกันสามารถมอมเมาใจคนได้ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องเกิดไหวพริบ บ่าวคงไม่ได้คิดไปทางด้านนี้เช่นกัน” ถังเฮ่อเหนียนรู้สึกขำเช่นกัน แล้วก็จ้องกระดานหมากล้อมพร้อมกล่าวอย่างสบายใจว่า “เดินก้าวต่อไปได้แล้ว”
บทที่ 1550 จิตมารเข้าแทรก
โค่วเหวินหลานตอบตามคำสั่งทันที : น้องหนิว ตอนนี้อย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องบุตรสาวบุญธรรม รอให้เจ้าผ่านการสืบสวนจากสามหน่วยงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เหมียวอี้เกิดความสงสัย : ถ้าตอนนี้ยังไม่เปิดเผย ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตายกับอวิ๋นจือชิว
โค่วเหวินหลาน : ถ้าเปิดเผยตอนนี้ ก็จะปกป้องความปลอดภัยของอวิ๋นจือชิวไม่ได้ และเจ้าก็จะเกิดปัญหายุ่งยาก ถ้าให้อีกสามบ้านรู้ว่าหมดหวังที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเจ้าแล้ว จะต้องฉวยโอกาสได้ทีขี่แพะไล่แน่นอน โดยเฉพาะฝั่งอ๋องสวรรค์ก่วง นี่คืออาณาเขตของเขา เขาคือหนึ่งในสามฝ่ายที่สืบคดีนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะลอบกัดอะไรหรือเปล่า ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า รอให้สืบคดีของเจ้าเสร็จแล้ว แล้วถึงตอนนั้นจะประกาศก็ยังไม่สาย
เขาแทบจะพูดประมาณว่า ถ้าไม่ได้เจ้า ก็จะไม่ยอมให้เจ้าตกอยู่ในมือคนอื่นเช่นกัน จะทำลายเจ้าทิ้ง
เหมียวอี้ยังถามเหมือนเดิม : แล้วอวิ๋นจือชิวจะทำยังไงล่ะ?
โค่วเหวินหลาน : เจตนาของพ่อบ้านก็คือถ่วงเวลาพวกเขาไว้ก่อน ให้พวกเขายังมีความหวังสักนิดหน่อย เจ้าทั้งไม่ตอบตกลงพวกเขา และก็ไม่ปฏิเสธพวกเขาด้วย กำลังพลของสามหน่วยงานที่จะมาสืบคดีกำลังจะมาถึงแล้ว ถ่วงเวลาให้คนที่สืบคดีมาก่อน พอเกาก้วนมาถึง พวกเขาก็จะไม่กล้าเกาะแกะกับเจ้าอีต่อไปแล้ว ต้องรอให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตราบใดที่สามบ้านนั้นเห็นว่ายังมีความหวัง ก็จะไม่ได้ทีขี่แพะไล่เจ้าในตอนนี้หรอก และจะไม่ทำอะไรอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ไม่อย่างนั้นการทำให้เจ้าไม่พอใจก็จะเป็นการทำลายเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ให้พังด้วย ทำให้พวกเขาสงบให้ได้ก่อน ถึงจะช่วยให้เจ้าผ่านด่านเคราะห์นี้ไปอย่างราบรื่น
ถึงแม้เหมียวอี้จะมีความมั่นใจว่าจะผ่านเคราะห์นี้ไปได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นมีเหตุผล เพราะทวนในที่แจ้งหลบหลีกง่าย แต่เกาทัณฑ์ในที่ลับระวังยาก จะมีคนมาทำให้เรื่องเสียหรือเปล่าก็ยังพูดได้ไม่ชัดเจนเลย เพียงแต่เขายังอดไม่ได้ที่จะกังวล ถามไปว่า :ถ้าข้าทำแบบนี้ แล้วต่อไปเรื่องนี้ไม่สำเร็จสมใจพวกเขา จะไม่เป็นการปั่นหัวพวกเขาเล่นเหรอ จะไม่ล่วงเกินให้พวกเขาแค้นกว่าเดิมหรอกหรือ?
คำพูดเหล่านี้ไม่เคยได้ยินถังเฮ่อเหนียนพูดมาก่อน โค่วเหวินหลานเงยหน้าถ่ายทอดความคิดของเหมียวอี้
ถังเฮ่อเหนียนค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง แล้วบอกว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ขอเพียงเขาผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ เรื่องราวในตอนหลัง ตระกูลโค่วจะออกหน้าจัดการให้เรียบร้อยเอง ในเมื่อต่อไปจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ตระกูลโค่วย่อมต้องปกป้องเขา ให้ผลประโยชน์เล็กน้อยกับอีกสามบ้าน ก็ดีกว่าให้อีกสามบ้านไม่ได้อะไรเลย สรุปก็คือเขาไม่ต้องกังวลสิ่งนี้ จะมีคนช่วยจัดการให้เขาอย่างเหมาะสม”
โค่วเหวินหลานถ่ายทอดความคิดนี้ให้เหมียวอี้รู้ทันที
ทว่าเหมียวอี้ยังคงลังเล : จะตบตาอีกสามบ้านได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าข้าไม่ยอมรับปาก แล้วพวกเขาไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยวขึ้นมาจะทำยังไง?
โค่วเหวินหลานบอกต่อถังเฮ่อเหนียนอีกครั้ง
ถังเฮ่อเหนียนได้ยินแล้วยิ้มเรียบๆ “เรื่องบางเรื่องเขาสัมผัสไม่ถึง ความรู้สึกแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้ เอาคำพูดของข้าไปอธิบายให้เขาฟังนะ บอกเขาว่า ในบรรดาสามคนที่สืบคดี ในจำนวนนั้นมีหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจิน หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรงของเขา แล้วก็ท่านโหวเซวียนหยวนจัว สองคนนี้ล้วนเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงของเหยื่อทั้งสองฝ่าย อย่าลืมนะว่าเซวียนหยวนจัวไม่ได้เป็นแค่หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวเท่านั้น ทั้งยังเป็นคนที่มาจากหน่วยองครักษ์ขวาด้วย หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาล้วนเป็นคนของฝ่าบาท มีเกาก้วนมาอีกคน นั่นก็เป็นคนของฝ่าบาทเช่นกัน ตามหลักการแล้วอวี่จ้งเจินกับเซวียนหยวนจัวจะต้องหลบเลี่ยงการสืบคดีนี้ แต่เบื้องบนดันส่งสองคนนี้แล้ว เจตนาของ่าบาทนั้นชัดเจนมาก ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของหนิวโหย่วเต๋อ ก็คือตอนที่ฝ่าบาทเดือดดาลจนอาจจะฆ่าเขาทิ้งเสียเลยหรือไม่ก็ได้ ในเมื่อเขาผ่านด่านนั้นมาแล้ว ก็แสดงว่าฝ่าบาทจะไม่ผลักความรับผิดชอบไปที่กองทัพองครักษ์ การปกป้องหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่สาเหตุสำคัญ แต่ทำเพื่อปกป้องกองทัพองครักษ์ เพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของคนระดับบน เขาไม่จำเป็นต้องคิดมากเกินไป แค่ต้องเข้าใจจุดนี้ก็พอ ฝ่าบาทยืนกรานจะปกป้องเขา ถึงได้ส่งสามคนนี้มาสืบคดี ทั้งนั้นต่อให้อีกสามอ๋องอยากจะไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้คดีนี้ยืดเยื้อและมีผลกระทบมากเกินไป จะต้องพยายามปิดคดีนี้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นหนิวโหย่วเต๋อจึงไม่ต้องคิดมาก!”
ที่แท้ก็มีเบื้องหลังที่ลึกลงไปอีกขั้นนี่เอง โค่วเหวินหลานพึมพำในใจ แล้วอธิบายสิ่งนี้ให้เหมียวอี้ฟังต่อทันที
เมื่อได้ยินอะไรแบบนี้ เหมียวอี้ก็หายกังวลแล้ว สิ่งนี้ไม่ต่างกับที่หยางชิ่งบอกสักเท่าไร ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่หยางชิ่งก็ชี้ชัดเช่นกันว่าตราบใดที่เหมียวอี้ได้เปรียบด้านเหตุผล ราชันสวรรค์ก็จะไม่ผลักความรับผิดชอบไปให้กองทัพองครักษ์ จะปกป้องเหมียวอี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดหนี เพราะเหตุนี้ถึงได้ให้วางกับดักไว้ก่อนจะเกิดเรื่อง ที่ใช้ความพยายามไปอย่างยากลำบากก็เพื่อให้ได้เปรียบเรื่องเหตุผล
สาเหตุที่หยางชิ่งวางกับดักไว้แบบนี้ ก็ต้องขอบคุณที่ได้อยู่อุทยานหลวงมาหลายปี ทำให้ได้ยินข่าวเรื่องตำหนักสวรรค์มาบ้าง สี่อ๋องสวรรค์รู้สึกว่ากองทัพองครักษ์รักษากำลังพลหนึ่งส่วนไว้ที่วังสวรรค์ก็พอแล้ว ถ้าเป็นกำลังพลที่เพ่นพ่านไปทั่วจะนับว่ายังเป็นกองทัพองครักษ์อยู่อีกเหรอ?ในปีนั้นก่อนที่ตำหนักสวรรค์จะสร้างขึ้นมา ประมุขชิงก็ให้ผลประโยชน์กับเบื้องล่างมาไม่น้อย จะได้ให้เบื้องล่างอุทิศตนทำงานให้ได้สะดวก ทั้งยังตอบตกลงว่าหลังจากจบเรื่องแล้ว จะมอบกำลังพลที่อยู่ข้างนอกทั่วทุกหนแห่งให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของสี่อ๋องสวรรค์ เพียงแต่หลังจากครองใต้หล้าแล้ว ประมุขชิงก็บิดพลิ้วสัญญา ไม่ยอมปล่อยกำลังพลที่อยู่ในมือเสียที สี่อ๋องสวรรค์เองก็ทำอะไรประมุขชิงไม่ได้ กลับมีเสียงเรียกร้องให้รวมกับกองทัพองครักษ์มาตลอด ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ประมุขชิงไม่มีทางยอมให้สี่อ๋องสวรรค์มีข้ออ้างในการชวนทะเลาะแน่ จะต้องปกป้องกองทัพองครักษ์แน่นอน
แน่นอน ถ้าเหมียวอี้ทำเรื่องนี้โดยไม่มีเหตุผลเลยสักนิด ก็จะโดนสี่อ๋องสวรรค์จับจุดอ่อนอย่างเต็มที่ แบบนั้นประมุขชิงก็จะปกป้องเขาไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะผลักเหมียวอี้ออกมาเป็นแพะรับบาป ความรับผิดชอบทั้งหมดจะถูกผลักไปที่เหมียวอี้ ทำแบบนี้เพื่อให้คำอธิบายกับเบื้องล่าง
หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้เสร็จแล้ว โค่วเหวินหลานก็มองถังเฮ่อเหนียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความนับถือ อาศัยแค่ข่าวสารข้อมูลเล็กน้อยก็คาดการณ์ทุกการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างแม่นยำแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของถังเฮ่อเหนียน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านปู่ถึงต้องให้ถังเฮ่อเหนียนออกหน้ามาควบคุมเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เขาไม่รู้ว่าเมื่อไรตัวเองถึงกลายเป็นแบบพ่อบ้านท่านนี้ได้ นั่งสงบอยู่ในกระท่อม เพียงอยู่เงียบๆ ก็สามารถวางกลยุทธ์เรื่องราวที่อยู่ข้างนอกได้แล้ว
โค่วเหวินหลานฉวยโอกาสนี้ประจงสอพลอนิดหน่อย “ท่านปู่ถังคุมสถานการณ์อยู่ที่นี่ ครั้งนี้ตระกูลโค่วของพวกเราคงจะมีโอกาสชนะแล้ว!”
ถังเฮ่อเหนียนขยี้ตัวหมากพลางส่ายหน้า “นายน้อยดีใจเร็วเกินไปแล้ว ก่อนที่เรื่องราวจะสำเร็จ สุดท้ายจะเกิดสถานการณ์อะไรบ้างก็ยังบอกได้ไม่ชัด สามอ๋องนั่นก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ทั้งยังมีตระกูลเซี่ยโห้วอีก ฝ่ายนั้นมีหูมีตาอยู่ทั่วหล้า ถ้ามีจิ้งจอกเฒ่านั่นอยู่ ก็ต้องเตรียมป้องกันไว้ทุกเมื่อว่าจะมีคนมาป่วนให้แผนเสีย ทั้งยังมีฝั่งวังสวรรค์ ใต้หล้านี้ล้วนเป็นเวทีหลักของเขา ไม่ว่าใครเล่นกับเขาก็เสียเปรียบทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าคนของสี่อ๋องมาที่นี่แล้ว ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าสี่อ๋องกำลังคิดจะทำอะไร ก็แสดงว่าท่านนั้นคงคุมใต้หล้าได้อีกไม่นานแล้ว ดังนั้น ละครเด็ดเพิ่งเริ่มขึ้น บทสรุปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอดูตอนสุดท้ายถึงจะรู้ อย่าประมาทเพราะคิดไปว่าฝ่ายตัวเองมีโอกาสชนะเด็ดขาด”
“ตอนหลังยังจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นอีกหรือขอรับ?” โค่วเหวินหลานถามหยั่งเชิง
“ตาท่านแล้วนายน้อย” ถังเฮ่อเหนียนที่ลงหมากแล้วเตือนด้วยเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังบอกว่าพูดมากตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์
โค่วเหวินหลานไม่กล้าบังคับเขา ทำได้เพียงดึงความสนใจกลับมาบนกระดานหมาก
หออวิ๋นฮว๋า ภายใต้การแนะนำซ้ำๆ ของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้จึงติดต่อกับหยางชิ่งแล้ว อยากจะขอความเห็นหยางชิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย บางครั้งก็ต้องยอมรับ ว่าหยางชิ่งสมองดีมีประโยชน์มาก แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากติดต่อกลับไปครั้งนี้ กลับไม่ได้รับการตอบกลับจากหยางชิ่ง กลับเป็นระฆังดาราของสวีถังหรานที่ส่งข่าวมา
เหมียวอี้ถาม : มีเรื่องอะไรเหรอ?
สวีถังหราน : ข้าน้อยเห็นระฆังดาราที่หยางชิ่งเก็บไว้มีปฏิกิริยา ทราบว่านายท่านส่งข่าวมา เลยตั้งใจจะมาถามว่านายท่านมีเรื่องอะไรจะถามหยางชิ่งขอรับ
เหมียวอี้ประหลาดใจแล้ว : ระฆังดาราของข้ากับหยางชิ่ง ทำไมหยางชิ่งถึงให้เจ้าไว้ล่ะ? หยางชิ่งไปไหนแล้ว?
สวีถังหราน : หยางชิ่งฝึกวิชาแบบไม่ระวังตัว เกือบจะจิตมารเข้าแทรก กระอักเลือดออกมา บอกว่าสมองเลอะเลือนมึนงง ทำงานได้ลำบาก เลยเก็บระฆังดาราไว้ที่ข้าน้อยขอรับ เขาขอลาหยุดไปพักรักษาตัวที่บ้านกับครอบครัวแล้ว นายท่านจะให้ข้าน้อยไปเรียกเขามั้ยขอรับ?
เหมียวอี้ : ช่างเถอะ ไม่ต้องแล้ว
สวีถังหราน : นายท่าน เอ่อคือ ข้าน้อยได้ยินว่าทางนั้นเกิดเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าขอรับ?
เหมียวอี้ : ไม่มีเรื่องอะไร เอาตามนี้แล้วกัน
หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับไปเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้อวิ๋นจือชิวฟัง อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อชิงจวี๋เพื่อถามอาการของหยางชิ่ง ผลปราฏว่าชิงจวี๋ตอบเหมือนที่สวีถังหรานบอกทุกอย่าง บอกว่าหยางชิ่งมึนศีรษะ กินยาแล้วนอนพักผ่อนไปแล้ว
นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับหยางชิ่งในเวลานี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อถามไม่ได้ความ เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงล้มเลิก
ในลานบ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบหลังหนึ่ง หยางชิ่งที่ปล่อยผมและสวมชุดลำลองกำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยก ชิงจวี๋คอยโยกเบาๆ อยู่ข้างกาย มืออีกข้างหนึ่งเก็บระฆังดาราแล้ว บอกกับหยางชิ่งที่กำลังหลับตาว่า “นายท่าน ตอบไปตามที่ท่านบอกแล้ว”
“อืม” หยางชิ่งขานรับเบาๆ แล้วถามอีกว่า “ฮูหยินทางพิภพเล็กตอบกลับมาหรือยัง?”
ชิงจวี๋ตอบว่า “ฮูหยินแอบวางแผนตามที่ท่านกำชับแล้ว ถ้าสถานการณ์ทางนี้ร้ายแรงจนกู้กลับคืนไม่ได้ ถ้าไม่มีใครกลับมาที่พิภพเล็กได้อีก ก็ให้คุณหนูเรียกทุกคนที่รู้เรื่องพิภพใหญ่กับผู้แข็งแกร่งทุกคนที่พิภพเล็กมาร่วมงานเลี้ยง…วางยาพิษสังหาร!” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็เสียงสั่นเล็กน้อย “เรื่องราวจะลุกลามไปถึงขั้นนั้นจริงเหรอคะ?”
หยางชิ่งลืมตาเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่รู้สิ! แต่ข้าต้องเตรียมตัวป้องกันเหตุไม่คาดคิด ต่อให้ข้ากลับไปไม่ได้ แต่ก็ต้องเหลือทางรอดไว้ให้พวกนางสองแม่ลูก ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้กับฮูหยินตายไป ช่องทางไม่กลับระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กก็จะถูกตัดขาด พิภพเล็กจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลุ่มวีรบุรุษแย่งชิงความเป็นใหญ่แน่ มีหรือที่คนที่จิตใจทะเยอะทะยานจะปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไว้? ไม่สู้ชิงลงมือกำจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังก่อน หลังจากจบเรื่องแล้ว อาศัยทรัพยากรฝึกตนที่อยู่ในมือพวกนางจนสร้างตำแหน่งอันดับหนึ่งของพิภพเล็กได้อย่างมั่นคงแล้ว พิภพเล็กก็จะเป็นของพวกนาง ถือว่านั่นคือสิ่งที่ข้าชดเชยให้พวกนางสองแม่ลูกก็แล้วกัน จำไว้นะ ต้องกำชับฮูหยิน ว่าห้ามบอกเรื่องนี้ให้เวยเวยรู้เด็ดขาด ถ้าอยากทำให้เรื่องนี้สำเร็จ ก็มีแต่ต้องพึ่งฐานะที่เวยเวยเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้เท่านั้น ถึงจะเรียกทุกคนมารวมกันได้อย่างราบรื่น ไม่อย่างนั้นจะผิดพลาดได้ง่าย เจ้าไปก่อนเถอะ ถ้าข้าไม่ส่งข่าวไปก็ไม่ต้องกลับมา ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับข้า…ในภายหลังเจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่คนเดียวก็ต้องระวังตัวหน่อย”
มือของชิงจวี๋หยุดชะงัก จากนั้นก็คุกเข่าตรงหน้าเขา จับมือเขาพร้อมกล่าวอย่างฮึกเหิมว่า “นายท่าน ไปด้วยกันเถอะค่ะ!”
หยางชิ่งส่ายหน้า ตบหลังมือนางเบาๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ถ้ายังไม่ถึงตอนสุดท้าย ข้าก็ยังไปไม่ได้ ถ้าฝั่งนั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ตัวข้าอยู่ที่นี่ก็อาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ ถึงอย่างไรในสายตาคนนอก ข้าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อาจจะไม่โยงมาถึงลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้เพราะเรื่องนั้นก็ได้ แต่ถ้าข้าหายไปตัวไปตอนนี้ ก็จะทำให้เบื้องบนสงสัยทันทีว่าข้าเกี่ยวข้องอะไรด้วย เบื้องบนจะสั่งจับกุมข้าทันที ถึงตอนนั้นทั้งเจ้าทั้งข้าก็จะหนีลำบากแล้ว ต่อให้เบื้องบนต้องการจะลากข้าไปพัวพัน แต่ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ต่อให้หญิงรับใช้คนหนึ่งจะหายไป แต่ก็จะไม่ดึงดูดความสนใจใครอยู่ดี ทำแบบนี้อย่างน้อยเจ้ากับข้าก็จะมีคนหนึ่งที่รอด นอกจากนี้ เรื่องในครั้งนี้ข้าก็เตรียมตัวเผื่อไว้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้นเอง ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะปกป้องเขา กอปรกับกับข้ามองเหมียวอี้ไม่ค่อยทะลุ เบื้องหลังเขามีไพ่ลับซ่อนเอาไว้มากมาย ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นแล้วให้เขารู้ว่าข้าหนีไป ต่อไปจะให้เวยเวยทำยังไงล่ะ? ข้าต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้สิ!”
บทที่ 1551 ใช้คำสั่งข่มคน
“นายท่าน!” ชิงจวี๋น้ำตาไหลพรากราวกับสายฝนในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาไหลโดยไร้เสียง
บางทีในสายตาคนอื่น การที่หยางชิ่งทำแบบนี้อาจจะค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ในสายตาชิงจวี๋ เขากลับเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก ยามอันตรายจะมาเยือน สิ่งแรกที่ทำกลับปกป้องลูกสาวและหญิงรับใช้อย่างนาง เสียสละชีวิตตัวเองอย่างไม่เสียดาย
เพียงแต่นางก็รู้เช่นกัน ว่านายท่านยอมเสียสละมากมาขนาดไหนเพื่อลูกสาวคนนั้น ไม่อย่างนั้นอาศัยความฉลาดปราดเปรื่องอย่างนายท่าน จะต้องผงาดตั้งแต่ตอนอยู่พิภพเล็กแล้ว แต่นายท่านรู้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่พลังของตัวเองยังไม่มากพอ ถ้าหลับหูหลับตาขยายอำนาจก็จะนำอันตรายและความลำบากมาสู่ลูกสาวตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้จึงอดทนไว้เงียบๆ มาตลอด ถ้าไม่มีพลังมากพอก็จะไม่ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ถ้าไม่ใช่เพราะโดนกดดันให้หมดทางเลือก นายท่านก็ไม่มีทางก่อกบฏเลย และไม่ถึงขั้นเจอหน้าเหมียวอี้แล้วเป็นอย่างทุกวันนี้ด้วย
“พอแล้ว! ไม่ต้องร้องแล้ว ร้องไห้จนตาแดงออกไป เดี๋ยวคนก็สงสัยหรอก ไปเถอะ เชื่อฟังข้า รีบไป!” หยางชิ่งที่กำลังเอนกายเอามือลูบใบหน้านางพลางเร่งเร้า สีหน้าท่าทางค่อนข้างเหนื่อยล้า
จะบอกว่าเขาแกล้งป่วยก็ได้ จะบอกว่าเขาป่วยจริงก็ได้เช่นกัน เขาโมโหเหมียวอี้จนแทบกระอักเลือดตายอยู่แล้ว โมโหจนไฟโกรธโจมตีหัวใจให้กระอักเลือด
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก สุดท้ายชิงจวี๋ก็ยังต้องปาดน้ำตาแล้วเดินออกไป
ที่จริงในตอนนี้สวีถังหรานก็อยู่ที่อุทยานหลวงเช่นกัน เจ้าหมอนี่มันอยู่เป็นจริงๆ รู้ว่าหยางชิ่งคือลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ ไม่ว่าหยางชิ่งจะปฏิเสธอย่างไร ก็ดึงดันจะส่งหยางชิ่งที่ ‘ป่วย’ มาที่นี่ด้วยตัวเอง ฮูหยินของเขาก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน หลังจากส่งหยางชิ่งมาถึงบ้านแล้ว ก็ถือโอกาสไปหาเสวี่ยหลิงหลงด้วยเสียเลย
ดังนั้นตอนที่ได้รับข้อความจากเหมียวอี้ เขาก็เพิ่งจะนัวเนียกับเสวี่ยหลิงหลงไปยกหนึ่งแล้ว
เมื่อเห็นร่างกายที่เปลือยล่อนจ้อนของเขานั่งขัดสมาธิแล้วเกาศีรษะ เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างหลังก็ดึงผ้าห่มมาปิดบังหน้าอก ดึงชุดคลุมมาใส่ไว้ แล้วก็หยิบชุดคลุมมาใส่ให้เขาด้วย ใช้ศีรษะที่ปล่อยผมสยายซบที่บ่าเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “ทางนายท่านหนิวจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
สวีถังหรานส่ายหน้า “เฮ้อ! นายท่านของพวกเราน่ะ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะว่าเขายังไงดี เจ้าว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงมองไม่ออกนะว่านายท่านกับเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจะมีความสัมพันธ์กันถึงขั้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมเอากำลังพลห้าหมื่นไปทำศึกเลือดกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน หลังจากได้ข่าวข้าก็ตกใจจนหนังหัวชาวาบเลย หลิงหลง เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยทำเรื่องอะไรล่วงเกินอวิ๋นจือชิวใช่มั้ย?”
เสวี่ยหลิงหลงลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวอย่างตกใจ “สวีถังหราน นี่มันเวลาไหนแล้ว ดีไม่ดีเจ้าอาจจะซวยไปด้วยก็ได้ ยังจะมาคิดอีกว่าเคยล่วงเกินอวิ๋นจือชิวรึเปล่า? ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปแล้วข้าจะทำยังไงล่ะ?” นางหยิกเนื้อตรงเอวเขาหนึ่งที
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เหมือนในปีก่อนๆ แล้ว ความขวยอายของเสวี่ยหลิงหลงหายไปตั้งนานแล้ว ผัวเมียใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานๆ ก็คุ้นชินกับฐานะฮูหยินเอกของตัวเองเหมือนกัน กอปรกับลูกน้องของสวีถังหรานให้ความเคารพนาง จึงบ่มเพาะสง่าราศีที่สูงส่งให้นางหลายส่วน ยังจะมองเห็นเงาของดาวเด่นหอนางโลมเหมือนในปีนั้นได้อย่างไร
ตอนนี้เวลาสวีถังหรานอยากจะให้นางเต้นระบำให้ดู หรืออยากจะให้นางร้องเพลงให้ฟัง ก็ยังต้องดูเลยว่านางอารมณ์ดีหรือเปล่า
สวีถังหรานยื่นมือเข้าไปลูบต้นขาของนางในผ้าห่ม “ติดตามนายท่านมานานขนาดนั้นแล้ว มีครั้งไหนบ้างที่ไม่หวาดเสียว มีกำลังพลห้าหมื่นก็กล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน เก่งกาจเชียวนะ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ที่เข้ากล้าทำแบบนี้ ก็แสดงว่าต้องมีความมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาได้แน่นอน ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”
เสวี่ยหลิงหลงทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่กังวลอะไรเลยสักนิดจริงๆ เหรอ? กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นฆ่ากันเองมันไม่ใช่เรื่องเล็กนะ!”
“จุ!” สวีถังหรานเดาะปาก จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็ไม่ใช่คนไร้หัวจิตหัวใจ จะไม่กังวลเลยสักนิดได้ยังไง? แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? มีใครไม่รู้บ้างว่าข้าตามติดนายท่านที่สุด จะว่าข้ายังไงข้าก็ไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงนายท่านไม่ล้ม ข้าก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้านายท่านล้มเมื่อไร ใครจะเอาคนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างข้าล่ะ? ข้าก็ได้แต่หวังว่านายท่านจะไม่เป็นอะไร นอกจากนี้แล้ว ข้าคิดมากไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
“อย่าบอกนะว่า…” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างลังเล “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิดที่จะยืนได้ด้วยตัวเองเลย?”
มือของสวีถังหรานที่อยู่ใต้ผ้าห่มตีต้นขาที่เกลี้ยงเกลาของนาง “ยืนได้ด้วยตัวเองแต่ก็ยังเป็นลูกน้องคนอื่นเหมือนเดิม จะให้ข้าไปนั่งบัลลังก์ตำหนักฟ้าดินรึไง? ฮูหยินเอ๊ย! คนเราจะมีค่าก็เพราะรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง ถ้าไม่มีความสามารถก็ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ข้ารู้ตัวเองว่าทำอะไรได้ขนาดไหน ไม่มีความสามารถนั้นหรอก! ถ้าไม่มีใครมาขวางตรงหน้าข้า กายเนื้อของข้าคนเดียวก็ต้านทานทวนในที่แจ้งกับธนูในที่ลับพวกนั้นไม่ไหวหรอก ดังนั้น ตั้งใจทำสิ่งที่ตัวเองถนัดให้ดี ตั้งใจเป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว คนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญ ในปีนั้นคนที่หัวเราะเยาะข้ามีเยอะแยะ แต่เจ้าเห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ตลาดสวรรค์ในปีนั้นมั้ย ครั้งก่อนที่ข้าพาเจ้าไปเดินเล่นเจ้าก็เห็นแล้ว เป็นคนที่เข้าตลาดสวรรค์พร้อมกันกับข้า ตอนนี้ยังมีหลายคนที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ช่วยผู้บัญชาการด้วยซ้ำ พอเห็นข้าแล้วมีใครไม่เคารพเกรงใจประสบสอพลอข้าบ้าง? เพราะรู้ว่าข้าสนิทกับผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเขาไง หวังว่าข้าจะเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ แล้วช่วยพูดให้ อย่าบอกนะว่าพวกเขาทำตัวสูงส่งแล้ว? ถ้าอยากจะเป็นคนกล้าหาญก็อย่าปากอ่อน ก็กล้าแต่นินทาลับหลังสองสามคำเท่านั้นแหละ มีใครกล้าพูดต่อหน้าข้าบ้างล่ะ? ถ้าข้าเป็นคนต่ำทราม งั้นพวกเขาก็เป็นคนจอมปลอมขนานแท้แล้ว ไม่ต้องมีใครว่าใครทั้งนั้น!”
พอพูดถึงเรื่องตลาดสวรรค์ เสวี่ยหลิงหลงก็กล่าวอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย “ทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่สวีได้นะ?”
พอพูดถึงท่านแม่สสวี สวีถังหรานก็กินปูนร้อนท้องนิดหน่อย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้ยินข่าวว่าที่หอกลิ่นสวรรค์มีผู้หญิงคนหนึ่งชมตัวเองว่าในปีนั้นสนิทกับเสวี่ยหลิงหลงอย่างนั้นอย่างนั้น เขาก็เลยโมโหมาก ด้วยตำแหน่งที่เขาอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เขาต้องระวังผลกระทบนิดหน่อย มันใช่เรื่องเหรอที่มีเพื่อนสาวในปีนั้นมาเปิดเผยเรื่องในอดีตของเสวี่ยหลิงหลงบ่อยๆ? ด้วยความโมโห เขาจึงให้หวงเสี้ยวเทียนวางกับดัก กำจัดทุกคนของหอกลิ่นสวรรค์ทิ้งเสียเลย แม้แต่คนที่ถูกไถ่ตัวไปแล้วก็ไม่ปล่อยไว้สักคน ขอเพียงเคยทำงานร่วมกับเสวี่ยหลิงหลง ก็ไม่ปล่อยให้เหลือรอดชีวิตสักคน
เขาไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้เสวี่ยหลิงหลงรู้ และไม่อยากให้เสวี่ยหลิงหลงคิดมากด้วย ไต่มือเข้าไปในเสื้อผ้าของเสวี่ยหลิงหลงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“เชอะ! คิดจะทำอะไรอีก?”
“ฮูหยินงามล้ำเลิศขนาดนี้ จะให้อดใจไหวได้ยังไง ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”
“ทำเป็นเล่น อย่าบีบซี้ซั้วสิ”
“ข้าแค่มาส่งคนรอบเดียวเอง อยู่นานไม่ได้ อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้กว่าจะได้มาอีก ต้องฉวยโอกาสนี้ป้อนเจ้าให้อิ่มสิ…”
หออวิ๋นฮว๋า พอเหมียวอี้ที่เปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบเดินออกมาจากร้านค้า ทางด้านซ้ายและขวาก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาทันที มาขวางเขาไว้แล้ว
กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ลูกธนูดาวตกเล็งคนที่เข้ามาล้อมไว้แล้ว
เมื่อเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่หวาดกลัวเลย เหมียวอี้ที่ได้รับคำเตือนมาจากตระกูลโค่วก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ถามเสียงเรียบว่า “ใครกันกล้ามาทำกำเริบเสิบสานที่นี่?”
หนึ่งในนั้นกุมหมัดคารวะ “แม่ทัพภาคหนิว เรือนเจิดจรัสเตรียมสุราอาหารเลิศรสไว้แล้ว ส่งข้าน้อยมารับนายท่านไปร่วมงานเลี้ยงขอรับ”
อีกคนหนึ่งก็กุมหมัดคารวะเช่นกัน “แม่ทัพภาคหนิว คาดว่าท่านคงได้รับบัตรเชิญจากตึกจันทราดาราแล้ว ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับ”
แล้วก็มีอีกคนแสยะยิ้ม “แม่ทัพภาคหนิว ข้าเป็นคนที่หอฉางเจินส่งมา ได้โปรดให้เกียรติไปร่วมงานด้วย”
คนที่อยู่ในร้านหออวิ๋นฮว๋าต่างก็ชำเลืองมองมาทางนี้
เหมียวอี้โบกมือไปทางซ้ายและขวา บอกใบลูกน้องให้วางธนูลง จากนั้นเอาสองมือไขว้หลัง แล้วกล่าวอย่างสงบเยือกเย็น “ข้าได้รับบัตรเชิญจากสามตระกูลแล้ว เพียงแต่เรื่องทุกอย่างต้องมีก่อนมีหลัง พวกเจ้าสามตระกูลมาพร้อมกันแบบนี้ ข้าก็ไม่มีทางไปพร้อมกันสามงานได้ เอาอย่างนี้ดีมั้ย…” เขาชี้ไปบนฟ้า “ข้าไม่อยากล่วงเกินตระกูลไหนทั้งนั้น ข้าจะออกคำสั่งให้พวกเจ้าออกไปนอกเมือง พวกเจ้าไปประลองกันสักยก ถ้าใครชนะข้าก็จะไปงานของตระกูลนั้น ยุติธรรมมีเหตุผล แบบนี้ดีมั้ย?”
เขาพึมพำในใจ ว่าถ้าออกไปแล้วก็อย่าได้คิดจะกลับเข้ามาเลย ถ้าสามตระกูลนั้นมีลูกน้องอยู่ในเมืองน้อยลง จะได้ลดภัยคุกคามของเขาด้วย ข้าไม่เปิดประตูเมืองหรอกโว้ย ถ้าเก่งนักก็โจมตีเข้ามาเองสิ
ความคิดนี้ไม่เลวนี่! พอลูกน้องที่อยู่สองฝั่งได้ยินแบบนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่ยิ้มมุมปาก เพียงแต่ใบหน้าที่เปื้อนเลือดทำให้ดูดุร้ายน่าเกลียดอยู่บ้าง
คนที่สามตระกูลส่งมามองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเอ่ยถึงวิธีการนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี กำลังครุ่นคิดว่าจะรายงานขึ้นไปถามเบื้องบนดีหรือไม่
ใครจะคิดว่าจู่ๆ ตรงซอยข้างกันจะมีคนโผล่มาทำลายเรื่องดีๆ ของเหมียวอี้ “แม่ทัพภาคหนิว ไม่ต้องประลองหรอก ไปที่หอฉางเจินก่อนเถอะ” หานตงเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบออกมา
“พี่หาน เรื่องนี้ท่านจะตัดสินใจเองไม่ได้นะ!” ในร้านค้าตรงข้ามมีชายชราคนหนึ่งเดินช้าๆ เข้ามา เขาคือเจ๋อชุนชิว ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลอิ๋ง
“ที่พี่เจ๋อพูดก็มีเหตุผล” ร้านค้าที่อยู่ข้างกันมีสตรีวัยกลางคนที่สวยพริ้งคนหนึ่งโผล่มา นางเดินลากชุดกระโปรงยาวสีสันแพรวพราวออกมา นางคือฝานไซ่เซียน ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลฮ่าว
หานตงกวาดมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีใครยอมใครจริงๆ ด้วย ฝั่งเขาอยากจะมาดักคนไว้ แต่อีกสองตระกูลก็คิดได้เหมือนกัน เขาแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เกรงว่าคงจะตามใจทั้งสองท่านไม่ได้แล้ว!”
“ช่างพูดจาโอ้อวดเหลือเกิน!” ฝานไซ่เซียนกล่าวกลั้วหัวเราะ
หานตงจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ก็ช่วยไม่ได้ ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาทำงาน ย่อมต้องพูดโอ้อวดได้มากกว่าพวกท่านทั้งสองอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เจ๋อชุนชิวกับฝานไซ่เซียนก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เหมียวอี้พลันมองไปที่หานตง
หานตงไม่สนใจสองคนนั้นอีก แต่กุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อย่างสุภาพ “ตำหนักสวรรค์สั่งให้สามหน่วยงาน ได้แก่หน่วยตรวจการขวา กองทัพองครักษ์ และทัพตะวันตกให้มาสืบคดีแล้ว คนของทัพตะวันตกมาถึงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง กำลังรอสืบสวนนายท่านอยู่ที่หอฉางเจิน หวังว่านายท่านจะไม่ชักช้า!” ขณะที่พูดก็หันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญ!”
เหมียวอี้จึงตอบด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ทำไมข้าไม่ได้ยินว่าว่ามีคำสั่งอะไรของตำหนักสวรรค์เลยล่ะ?” เขารู้ว่าถ่วงเวลาไปก็เท่านั้น อีกฝ่ายกุมทัพตะวันตกไว้ในมือ ตราบใดที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ จะพูดซ้ำว่าส่งใครมาก็ได้ทั้งนั้น เพราะทุกคนล้วนได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาทำงาน
หานตงจึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครก็ไม่รู้ในทันที ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจาดอวี่จ้งเจินแล้ว บอกว่าทางทัพตะวันตกส่งคนมาสืบคดีแล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่การสืบสวน แต่อยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์บางอย่าง ให้เขาให้ความร่วมมือ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าขัดคำสั่ง!
เมื่อเห็นเขาวางระฆังดาราแล้ว หานตงก็ยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือเชิญอีกครั้ง “เชิญ!”
เหมียวอี้ไม่มีอะไรต้องพุดแล้ว เหาะขึ้นฟ้าไปทันที โดยมีลูกน้องกลุ่มหนึ่งตามไป
หานตงก็นำคนเหาะขึ้นไปท่ามกลางฝูงเช่นกัน เมื่อมีคำสั่งนี้อยู่ในมือ กฎของตลาดสวรรค์ก็ควบคุมเขาไม่ได้
เจ๋อชุนชิวกับฝานไซ่เซียนทำสีหน้าเย็นเยียบ ต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้อุบาย แต่อีกฝ่ายอ้างคำสั่งสวรรค์มาข่มแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งสวรรค์อย่างเปิดเผย ได้แต่เสียเปรียบอยู่อย่างนั้น
“หวังเฟย คนมาถึงฝั่งพวกเราก่อนแล้ว กำลังจะถึงแล้วขอรับ”
นอกประตูที่มีผ้าม่านห้อย โกวเยว่ที่ได้รับข่าวมาแจ้งข่าวให้รู้ตรงประตู
เม่ยเหนียงที่นั่งรอสวยๆ อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งได้ยินแล้วดีใจมาก โกวเยว่อธิบายสถานการณ์ให้นางรู้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่ามีหลายบ้านที่ส่งบัตรเชิญมาแย่งตัวคน นางคิดไม่ถึงว่าโก่วเยว่จะคิดหาวิธีข่มบ้านที่เหลือและชิงตัวคนมาที่นี่ได้ก่อน นางกล่าวขอบคุณอย่างยินดีปรีดาทันที “พ่อบ้านโก่วเยว่ช่างมีความสามารถ การที่ท่านอ๋องส่งพ่อบ้านให้ออกโรงเองนั้นถูกต้องแล้ว”
“เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของบ่าว ถ้าหวังเฟยเตรียมตัวเสร็จแล้วกรุณาแจ้งบ่าวด้วย” โกวเยว่เตือน
“ได้!” เม่ยเหนียงรีบเอ่ยรับ หลังจากโกวเยว่ออกไปแล้ว นางก็หันตัวมาทันที ผลปรากฏว่าลูกสาวหายตัวไปแล้ว นางจึงถลึงตาเรียก “คนล่ะ? เม่ยเอ๋อร์ รีบออกมา!”
บทที่ 1552 พบหวังเฟยครั้งแรก
“ไม่ไปค่ะ!” ในห้องมีเสียงปฏิเสธดังมา
เม่ยเหนียงรีบก้าวเข้าไป เห็นลูกสาวกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง ผ้าไหมงดงามที่อยู่ในมือโดนฉีกจนกลายเป็นเส้นๆ
เขาเดินไปข้างหน้าแล้วดึงแขนลูกสาวขึ้นมาเสียเลย ก่อนจะต่อว่าอย่างโมโห “สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดกับเจ้าไปหมดแล้ว เจ้ายังมาดื้อด้านอะไรอีก? ตอนนี้เจ้าหนักอกหนักใจ รอให้เจ้าแต่งออกไปแล้วมีคนอิจฉา เจ้าก็จะรู้เองว่าแม่หวังดีกับเจ้า!”
“ไม่แต่งค่ะ! ถ้าจะแต่งท่านก็แต่งเองสิ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กระทืบเท้า
เพี้ยะ! เม่ยเหนียงตบก้นนางหนึ่งที แล้วตะคอกอีกว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า! เขาไม่ดีตรงไหน เจ้าบอกมาซิว่าในบรรดาคนที่เจ้ารู้จัก มีใครดีกว่าเขาบ้าง!”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์พูดเหยียดว่า “ท่านเห็นมั้ยว่าเขาโหดเหี้ยม ดุเหมือนผีห่าซาตาน พอเข้าเมืองมาก็ฆ่าคน คนแบบนี้ควรจะกล้าแต่งงานด้วยล่ะ”
เม่ยเหนียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เขาเพิ่งนำทหารทำศึกกลับมาไง บนสนามรบใครเขาวางมาดผู้ดีกันเสียที่ไหน แบบนั้นแปลว่าไม่อยากมีชีวิตรอดแล้ว! แบบนั้นไม่เรียกโหดหรอก นั่นเรียกว่าพลังอำนาจของลูกผู้ชาย รอให้ในตอนหลังเจ้าได้อยู่กับเขาจริงๆ เจ้าก็ย่อมค้นพบความดีของเขา”
“ท่านแม่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กอดแขนนาง แล้วขอร้องว่า “เขากอดผู้หญิงคนนั้นอยู่บนกำแพงเมือง ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ถ้าข้าแต่งงานกับเขาจริงๆ ข้าจะไม่โดนคนอื่นหัวเราะเยาะเหรอ!”
เม่ยเหนียงพร่ำบ่นเพราะอยากให้ได้ดี “นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เรื่องนี้แม่รับประกันกับเจ้าได้ แม่จะต้องแก้ไขปัญหาให้เจ้าแน่นอน ใครก็มาเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งฮูหยินเอกของลูกไม่ได้ทั้งนั้น แม่จะไม่ใช่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนคนอื่นจะหัวเราะเยาะยังไง เจ้าก็มองให้มันเป็นเรื่องขำๆ แล้วกัน ต่อไปยามผู้ชายของเจ้าได้กลายเป็นท่านโหว กลายเป็นเทพประจำดาว ส่วนผู้ชายของพวกนางกลับไม่ได้ทำการทำงาน เอาแต่พึ่งพาตระกูลเพื่อใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะช่วงชิงยศสตรีให้เจ้า หรือไม่ผู้ชายของพวกนางมาเป็นลูกน้องของผู้ชายของเจ้า ต้องเกรงใจเจ้า เจ้าก็คอยดูแล้วกันว่าใครจะหัวเราะเยาะใคร! แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเจ้าอยากจะให้คนอื่นหัวเราะเยาะ เจ้าก็ต้องมีคุณสมบัตินั้นก่อนนะ เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะถูกใจเจ้าแน่เหรอ!”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก “ไม่ถูกใจก็ดีน่ะสิ ข้าไม่ได้ขาดแคลนเสียหน่อย!”
พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เม่ยเหนียงก็เดือดดาลเต็มที่แล้ว นี่เจ้าจงใจจะทำให้เรื่องเสียใช่มั้ย? จึงดึงนางมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง ชี้จมูกนางพลางตวาดด้วยสีหน้าดุร้าย “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นะ วันนี้เจ้าต้องทำตัวดีๆ ถ้าเจ้าทำเรื่องนี้พัง กลับไปข้าจะหาใครสักคนที่ทำให้เจ้าร้องไห้ไปทั้งชีวิตมาแต่งงานกับเจ้าทันที ให้เจ้าเสียใจทีหลังไปทั้งชีวิต!”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกได้รับความไม่ยุติธรรม ก่อนหน้านี้ถูกมารดาพูดระบายความทุกข์และความเกี่ยวโยงที่ร้ายแรงต่างๆ นาๆ โน้มน้าวจนใจอ่อนแล้ว แต่มาเปลี่ยนความคิดกะทันหันตอนใกล้จะถึงเวลาก็เพราะดัดจริตอิดออดนิดหน่อยเท่านั้นเอง นางไมได้รู้สึกต่อต้านอะไรเหมียวอี้ ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนจะเฝ้ารอ และเหมือนจะกังวลมากเช่นกัน ที่มากกว่านั้นคือไม่อยากเสียหน้า อยากจะหาบันไดลงและพิสูจน์สักหน่อยว่าตัวเองโดนบังคับถึงได้ยอมให้ความร่วมมือ นึกไม่ถึงว่ามารดาจะพูดจาร้ายแรงขนาดนี้
เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เม่ยเหนียงก็เข้าใจกระจ่างโดยฉับพลัน และตระหนักอะไรบางอย่างได้ ถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นสตรีโสดมาก่อน นางจึงเปลี่ยนเป็นพูดอย่างอ่อนโยนทันที “เม่ยเอ๋อร์ เชื่อฟังแม่ไว้น่ะถูกแล้ว แม่เคยผ่านมาก่อน เริ่มจากฐานะต่ำต้อยจนมาถึงทุกวันนี้ มีผู้ชายแบบไหนบ้างที่แม่ไม่เคยเจอ? ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่นเลย อาศัยแค่ที่เขายอมก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อช่วยคนคนหนึ่ง นี่ก็นับว่าเป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตรแล้ว เขาไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไรหรอก แม่ยอมรับนะว่าตอนแรกที่อยากให้เจ้าแต่งงานกับเขาเป็นเพราะคิดเรื่องผลประโยชน์ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ถ้าได้คนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรแบบนี้มา แม่ก็วางใจที่จะให้เจ้าแต่งงานด้วย ถ้าพูดถึงในด้านต่างๆ ตอนนี้แม่ก็หาผู้ชายที่เหมาะสมกว่านี้ให้เจ้าไม่ได้แล้ว เม่ยเอ๋อร์ อาศัยฐานะของเจ้า สมบัติอันล้ำค่านั้นหาง่าย แต่สามีที่มีรักแท้นั้นหายาก! คำว่า ‘รัก’ นี้ไม่ใช่ความรักความใคร่นะ แต่หมายถึง ‘ความผูกพันทางด้านจิตใจ’ ความรักใคร่เป็นเพียงความสุขชั่วคราว ยากที่จะรักษาให้คงอยู่ได้นาน มีแค่ผู้ชายที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันทางด้านจิตใจอย่างแท้จริงต่างหาก ถึงจะควรค่าให้ฟังทั้งชีวิตไว้! ต่อให้ในภายหลังเจ้าจะไม่สดใหม่แล้ว แต่ก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน ไม่ว่าใครก็มาสั่นคลอนตำแหน่งเดิมของเจ้าไม่ได้ แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน เจ้าเข้าใจรึยัง!”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มร้องไห้กระซิกๆ แล้ว
เม่ยเหนียงใช้มือสองข้างประคองใบหน้านาง จ้องตาลูกสาวพร้อมถามอย่างอ่อนโยน “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจที่แม่พูดมั้ย?”
“ค่ะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์สะอึกสะอื้นพลางขานรับเบาๆ
“สมกับเป็นลูกสาวข้าจริงๆ!” เม่ยเหนียงกางแขนสองข้างโอบลูกสาวพลางตบหลังเบาๆ ปลอบโยน ในที่สุดก็สบายใจแล้ว นางหัวเราะคิกคักแล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว แล้วช่วยแต่งตัวใส่เครื่องประดับให้ใหม่ ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วกระซิบอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ถ้าร้องไห้จนตาพร่า แล้วอีกประเดี๋ยวจะไปเจอหน้าคนได้ยังไง? อีกสักครู่ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากใจแน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรุกมาก แค่ทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าเจ้าเต็มใจก็พอ ชายจีบหญิงนั้นยากดุจขุนเขากั้น แต่หญิงจีบชายนั้นง่ายเหมือนมุ้งกั้น อาศัยความงดงามของเม่ยเอ๋อร์ มีผู้ชายคนไหนบ้างจะไม่หวั่นไหว? เรื่องนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน! รอให้ต่อไปพวกเจ้าสองคนได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ม้าดีคู่ควรกับอานม้าที่ดี ผู้หญิงดีเหมาะสมกับผู้ชายดี แม่หมายถึงพวกเจ้าสองคน ให้คนที่พูดจาไม่ดีพวกนั้นอิจฉาไปเลย อ้อ แม่ยังรอให้พวกเจ้าสองคนมีหลายให้แม่สักคน ถึงตอนนั้นแม่จะช่วยเจ้าเลี้ยงเอง”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ปาดน้ำตาทันที กระทืบเท้าบอกว่า “ท่านแม่! ถ้าท่านพูดอีกข้าจะไม่ไปแล้วนะ!”
แบบนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว! เม่ยเหนียงรีบยอมแพ้ลูกสาว “ได้ๆๆ แม่ไม่พูดแล้ว รีบแต่งหน้าทำผมสักหน่อย พ่อบ้านโกวทุ่มเทความคิดไปมากมายเพื่อเรื่องแต่งงานของเจ้านะ อย่าทำให้เขารอนาน” พูดจบก็ดันลูกสาวมานั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ขณะที่มองตัวเองในกระจก พอนึกว่าอีกประเดี๋ยวตัวเองจะต้องเจอกับคนคนนั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนั้นจะกลายเป็นสามีของตัวเองในอนาคต เป็นเพราะตัวเองไม่มีทางปฏิเสธการเตรียมการนี้ได้ จึงทำให้นางหัวใจเต้นแรงทันที ในฝ่ามือมีเหงื่อเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลังจากเจอแล้วควรจะพูดอะไรหรือทำอะไร
มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่มีอารมณ์รัก นางเองก็เคยจินตนาการถึงสามีในอนาคตของตัวเองเช่นกัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ วันนี้จะมาถึง และไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าผู้ชายที่ตัวเองต้องแต่งงานด้วยจะเป็นคนที่ประหลาดอัศจรรย์ ราชันสวรรค์แต่งตั้งอันดับหนึ่งให้ ข่มเหงร้านค้าของผู้มีอำนาจในราชสำนักหลายครั้ง มีชื่อเสียงบารมีที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน จับสนมสวรรค์หรูอี้แขวนบนเสาธง ก่อเรื่องในพิธีรับสนมของฝ่าบาทที่อุทยานหลวง ตบหน้าอ๋องสวรรค์อย่างแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกลงโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังรอดกลับออกมาได้ อีกทั้งตัวเองยังได้เห็นกับตาว่าคนคนนั้นขู่คุกคามว่าจะล้างเลือดทั้งหมด พลังอำนาจของกำลังพลที่เขาพามาด้วยก็ยิ่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นับว่าสมชื่อจริงๆ
ถึงแม้ตอนที่พูดคุยกับพวกเพื่อนสาว นางจะด่าคนคนนั้นไปบ้างนิดหน่อย แต่มีครั้งไหนบ้างที่ได้ยินข่าวคราวของหนิวโหย่วเต๋อแล้วไม่ฮือฮา โดยเฉพาะครั้งที่ก่อเรื่องที่อุทยานหลวง ขนาดในเรื่องอภิเษกของฝ่าบาทยังกล้าทำอย่างนั้น พวกเพื่อนสาวก็ยิ่งตกตะลึงไม่หยุด
ถ้าพวกเพื่อนสาวได้ยินเรื่องที่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแตกพ่าย ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะวิจารณ์กันอย่างไร?
ถ้าพวกเพื่อนสาวรู้ว่าคนชั่วที่พวกนางวิจารณ์ถึงบ่อยๆ กำลังจะกลายเป็นสามีของก่วงเม่ยเอ๋อร์ ก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร…ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่กำลังส่องกระจกคิดจนเขินอาย ที่จริงในใจนางก็เฝ้ารอมาก ว่าพวกเพื่อนสาวจะมีปฏิกิริยาตกตะลึงเมื่อเจอนาง
ด้านนอกหอฉางเจิน ลูกน้องของเหมียวอี้หยุดรออยู่ข้างนอก อีกฝ่ายอาศัยคำสั่งสวรรค์ข่มคน บอกเพียงว่าให้เหมียวอี้เข้าไปคนเดียว ไม่ว่าใครก็ห้ามบุกเข้าไปรบกวนอีกฝ่ายทำงานตามบัญชาสวรรค์
สภาพแวดล้อมที่หรูหราในสวนย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว หานตงนำทางอยู่ข้างหน้าตลอดทาง ทุกครั้งที่เจอทางเลี้ยวก็ยื่นมือเชิญอย่างสุภาพเกรงใจ นำเหมียวอี้มายังป่าเล็กๆ ที่สงบร่มเย็น
ที่ศาลาหลังหนึ่งในป่าเล็ก โกวเยว่กำลังนั่งอยู่ในศาลา ไม่ได้ปลอมแปลงใบหน้า เผยโฉมหน้าที่แท้จริง มีอำนาจบารมีในตัวเอง
เมื่อนำคนมาถึงแล้ว หานตงกุมหมัดรายงานว่า “พ่อบ้านใหญ่ แม่ทัพภาคหนิวมาแล้วขอรับ”
พ่อบ้านใหญ่? เหมียวอี้มองประเมินคนที่นั่งต้มน้ำชาอยู่ในศาลาด้วยอารมณ์สุนทรีย์ กำลังคิดว่าคนคนนี้คงจะเป็นพ่อบ้านใหญ่โกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง?
โกวเยว่หันกลับมามอง แล้วถามทั้งๆ ที่รู้ว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
“ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าท่านคือใคร?”
โกวเยว่วางงานในมือลง ล้วเดินช้าๆ ออกมาจากศาลา “พ่อบ้านโกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก็คือข้าเอง เป็นเพราะข้าบังเอิญอยู่ที่นี่พอดี ทางทัพตะวันตกสั่งให้ข้ามาเป็นทูตพิเศษ ทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อน ถ้าเจ้ามีอะไรสงสัยก็ตรวจสอบกับผู้บังคับบัญชาของเจ้าได้ทันที”
“ไม่ต้องแล้ว ไม่ทราบว่าพ่อบ้านใหญ่ต้องการทำความเข้าใจอะไร?” เหมียวอี้ถาม
“ไม่ต้องเครียดไป ทัพตะวันตกแค่สั่งให้ข้ามาทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนเฉยๆ เรื่องสืบคดีเดี๋ยวรอให้คนที่ทำหน้าที่โดยละเอียดมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โกวเยว่โบกมือชี้ไปตรงทางเล็กๆ “ผ่อนคลายหน่อย เดินไปคุยไปก็แล้วกัน”
เหมียวอี้เดินตามหลังเขา ทั้งสองเดินทอดน่องอยู่ในสวนป่า หานตงเดินตามหลังสุดโดยรักษาระยะห่าง
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว โกวเยว่ก็หันกลับมายิ้มอย่างอ่อนโยน “ไหนว่ามาซิ ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เป็นยังไงกันแน่”
“ข้าน้อยก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น หลังจากข้าออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เรื่องแรกที่ทำก็คือปรับเปลี่ยนกำลังพลให้ไปผลัดเวรเฝ้าสวนบรรณาการ หลังจากกำลังพลมาถึงบริเวณน่านฟ้าระกาติง ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเจอโจรราคะเจียงอีอีกำลังจับตัวประกันเข้ามา…” เหมียวอี้กล่าวคำให้การที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
โกวเยว่ฟังแล้วพยักหน้าไม่หยุด บางครั้งก็แทรกมาคำสองคำ ทั้งสองเดินเที่ยวช้าอยู่ในทางเล็กๆ ที่ไขว้ตัดกันอยู่ในสวนป่า
หลังจากฟังจบ โกวเยว่ก็รู้สึกได้ว่าระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหวังเฟยในแหวนเก็บสมบัติกำลังขยับเคลื่อนไหว จึงนำเหมียวอี้เดินไปยังทางเล็กๆ อีกทางในป่าโดยไม่รู้ตัว
ที่จริงป่าแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่ ประเดี๋ยวเดียวก็เดินออกมาแล้ว ข้างหน้าเป็นคลื่นน้ำสีหยก บนทะเลสาบมีศาลากลางน้ำงดงามหรูหรา
เหมียวอี้เพิ่งจะกวาดสายตามองสภาพแวดล้อม แต่ใครจะคิดว่าบนตึกศาลาตรงหน้าจะมีผู้หญิงที่แต่งกายหรูหราคนหนึ่งปรากฎตัว นางยิ้มมาทางนี้พร้อมบอกว่า “พ่อบ้านโกว ไม่ค่อยเห็นเจ้าสบายอารมณ์อย่างนี้เลยนะ ไม่ทราบว่าข้างกายเจ้าคือใคร ทำไมดูแปลกหน้า?”
พอเหมียวอี้เงยหน้ามอง ก็แอบตกตะลึงในความงามของอีกฝ่ายทันที อดไม่ได้ที่จะมองสองรอบ ในใจแอบทอดถอนใจ นึกไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังมีผู้หญิงที่สวยเย้ายวนหายากแบบนี้อยู่อีก
โกวเยว่รีบกุมหมัดคารวะ “ตอบหวังเฟย บ่าวไม่ได้เดินเล่นสบายอารมณ์ แต่ได้รับคำสั่งให้สืบคดี ข้างกายบ่าวก็คือแม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งอุทยานหลวงขอรับ”
หวังเฟย? เหมียวอี้แอบตกใจ รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเสียมารยาทนิดหน่อย เขารีบย้ายสายตาออกจากตัวผู้หญิงคนนั้นทันที ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นฮูหยินของอ๋องสวรรค์ก่วง
เป็นอย่างที่คาดไว้ เม่ยเหนียงที่อยู่บนตึกถามเหมือนแปลกใจ “เขาเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ? ข้าได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นตัวครั้งแรก ถ้าไม่เป็นการรบกวน พาขึ้นมาเจอกันสักครั้งสิ”
“ขอรับ!” โกวเยว่เอ่ยรับ แล้วยื่นมือเชิญไปทางสะพานโค้ง “นายท่านหนิว เชิญขอรับ”
เหมียวอี้เดาว่าเรื่องที่ตระกูลโค่วบอกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ในใจอยากปฏิเสธ จึงถามอย่างลังเลว่า “หนิวมาเพราะเรื่องงาน ทำแบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”
ใครจะคิดว่าเม่ยเหนียงที่อยู่ข้างบนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าได้ยินว่านายท่านหนิวให้ความสำคัญกับธรรมเนียมลำดับขั้นที่สุด พอเข้าเมืองมาก็ยัดข้อหาให้ผู้บัญชาการใหญ่ที่เสียมารยาทกับคนตำแหน่งสูงกว่าแล้ว ไม่ทราบว่าลำดับขั้นของหวังเฟยคนนี้สูงไม่พอหรือ หรือว่านายท่านหนิวไม่ไว้หน้าข้า?” พูดอ่อนหวานแต่แฝงความแข็งกร้าว แอบบอกใบ้ว่านางก็ทำตามอย่างเขาได้เหมือนกัน
อีกฝ่ายเอาคำพูดของเขามาข่มขา ยังจะทำอย่างไรได้อีก นอกเสียจากจะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น ผู้ที่อารักขาอยู่ข้างกายคนแบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาทำได้เพียงข้ามสะพานตามโกวเยว่ไป เดินขึ้นไปบนตึกศาลาแล้ว
บทที่ 1553 เจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จ...
พอมาถึงตึกศาลาด้านบน ก็พบว่ายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง กำลังนั่งหันหลังให้ทางนี้ เหมือนกำลังต้มน้ำชาอยู่ด้วย
เม่ยเหนียงสวมเครื่องแต่งกายหรูราแสดงอำนาจบารมีทั้งตัว ชายกระโปรงยาวลากพื้น บนศีรษะสวมมงกุฎชั้นหนึ่ง ยืนอยู่คนเดียวอย่างเย่อหยิ่ง บนใบหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ ขณะมองเหมียวอี้เดินเข้ามา
เหมียวอี้เองก็ได้เปิดหูเปิดตาที่อุทยานหลวงมาบ้าง แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเครื่องแต่งกายที่อีกฝ่ายสวมใส่คือชุดสตรีบรรดาศักดิ์ ทั้งยังเป็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อาศัยฐานะของอ๋องสวรรค์ก่วงก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่ง นี่คือคนระดับหวังเฟยเท่านั้นที่มีได้
ในปัจจุบันทั้งใต้หล้ามีเพียงอ๋องสวรรค์ก่วงเท่านั้นที่มีหวังเฟย ส่วนอีกสามอ๋องนั้นไม่ได้แต่งงานใหม่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ผู้ที่มีสิทธิ์สวมชุดสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งก็มีเพียงท่านที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น บรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งก็เป็นยศขุนนางเช่นกัน มีค่าประจำตำแหน่งเท่ากับระดับจอมพล เพียงแต่ไม่มีอำนาจทางทหารก็เท่านั้นเอง
เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “ข้าน้อยคารวะหวังเฟย!”
“พบกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่ต้องมากพิธี!” เม่ยเหนียงยกแขนเสื้อขึ้น แต่สายตากลับจ้องเหมียวอี้ทั้งข้างล่างข้างบนสองครั้ง ในดวงตาอมยิ้ม พบว่าเหมียวอี้ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วยิ่งดูองอาจห้าวหาญ เฉียบคมสมเป็นลูกผู้ชาย มีสง่าราศีค่อนข้างดี
นางอยากจะเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว จึงเอียงหน้ามองไม่ ผลปรากฏว่าลูกสาวฉวยโอกาสตอนนางไม่สนใจหันหลังให้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มองไม่เห็นตัวผู้ชายเลย นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกสาวโสดเช่นกัน จึงเอ่ยถามทันทีว่า “เม่ยเอ๋อร์ เหตุใดจึงเสียมารยาทเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่ามีแขกมา?”
ตอนนี้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นั่งยองๆ ถึงได้ยืนขึ้น แล้วหันตัวมามองแขกอย่างเนิบนาบ เพียงแต่มองเหมียวอี้แค่แวบเดียว แล้วก็หลุบตาลงอย่างขวยอาย ไม่กล้ามองตรงๆ แต่กลับเห็นใบหน้าของเหมียวอี้ชัดเจนแล้ว นางพบว่าเขามีสง่าราศีของลูกผู้ชายเต็มเปี่ยม ความองอาจกับพลังหยางที่หลอมรวมกันทำให้เกิดพลังปะทะต่อสายตา ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้จากตัวลูกหลานผู้มีอำนาจที่ตัวเองเคยเจอ ทำให้นางหัวใจเต้นรัวยิ่งขึ้น
เหมียวอี้ก็อึ้งตั้งแต่แวบแรกที่เห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์เช่นกัน ด้านในของชุดคลุมผ้ามุ้งบางสีทองคือชุดกระโปรงสีขาว ในเรือนร่างสุดเย้ายวนเผยให้เห็นความสง่างาม ใบหน้าสวยสดราวกับลูกท้อลูกสาลี ในดวงตางามแฝงความออดอ้อนเย้ายวนโดยธรรมชาติ เป็นความสวยเย้ายวนประเภทผู้ชายเห็นแล้วหลงทันที โดยเฉพาะท่าทางเขินอายแบบนั้นก็ยิ่งมีเสน่ห์
“นี่คือลูกสาวของข้า ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ครั้งนี้ติดตามข้าออกมาเที่ยวเล่นด้วยกันแล้ว” เม่ยเหนียงยกมือแนะนำ นางแอบภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ลูกสาวที่ข้าคลอดมาจะแย่ได้อย่างไรล่ะ
“ข้าน้อยคารวะคุณหนู” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อคารวะกลับ พร้อมกล่าวด้วยเสียงที่แหลมเล็ก “คารวะขุนพลหนิวค่ะ”
เหมียวอี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขามองไปที่เม่ยเหนียงเงียบๆ แวบหนึ่ง พบว่าสองแม่ลูกหน้าตาคล้ายกันจริงๆ หน้าตาต่างกันไม่มาก ทั้งคู่มีความสวยเย้ายวนโดยธรรมชาติแบบที่ใฝ่ฝันได้แต่ไขว่คว้าไม่ได้ ราวกับพิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์ เพียงแต่อีกคนดูสุกงอมและรูปร่างใหญ่กว่า ส่วนอีกคนมีรูปร่างเล็กและแฝงความเขินอายของสาวแรกรุ่น ต่างกันเหมือนอีกคนเป็นดอกไม้ตูม อีกคนเป็นดอกไม้บาน ถ้าไม่บอกว่าสองคนนี้เป็นแม่ลูกกัน ดูจากอายุและรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ก็เกรงว่าคนคงเข้าใจผิดว่าเป็นพี่สาวกับน้องสาว
ในใจเขาแอบทอดถอนใจ เป็นเพราะอำนาจอิทธิพลของอ๋องสวรรค์ก่วงเช่นกัน จึงไม่มีใครกล้าคิดไม่ซื่อกับแม่ลูกคู่นี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปที่เลี้ยงผู้หญิงแบบสองคนนี้ไว้ในบ้าน เกรงว่าหญิงงามคงจะเป็นต้นตอหายนะ ดีไม่ดีอาจจะทำให้มีภัยถึงตายก็ได้
พอนึกถึงคำว่า ‘โชคสามชั้น’ ที่ตระกูลโค่วบอก เหมียวอี้ก็แอบหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คนที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตนจริงๆ คงไม่ใช่ก่วงเม่ยเอ๋อร์คนนี้ใช่มั้ย? อ๋องสวรรค์ก่วงช่างโยนเหยื่อล่อที่หอมหวานไร้ที่เปรียบออกมาได้จริงๆ นับว่าลงทุนควักเนื้อแล้ว อสุราอัคนีเอ๊ยอสุราอัคนี ข้าได้อาศัยบารมีแล้ว
เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน พอเห็นผู้หญิงที่สวยเย้ายวนแบบก่วงเม่ยเอ๋อร์ ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดก็แสดงว่าโกหกแล้ว ถ้านางไม่ได้มีฐานะภูมิหลังแบบนั้น เขาก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่ครอบครองหญิงงามในทันทีเหมือนที่ทำกับจูเก๋อชิง เขารู้ชัดอยู่แก่ใจดี ว่าถ้าไปแตะต้องก่วงเม่ยเอ๋อร์คนนี้จริงๆ อวิ๋นจือชิวก็จะมีอันตรายถึงชีวิต เพราะตระกูลโค่วได้อธิบายเอาไว้ชัดเจนแล้ว
เม่ยเหนียงยิ้มเรียบๆ พร้อมบอกว่า “นี่เป็นการพบกันส่วนตัว ขุนพลหนิวไม่ใช่ลูกน้องของท่านอ๋อง ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น คิดเสียว่าคุยกันตามปกติเหมือนคนทั่วไป” จากนั้นก็หันมากำชับ “เด็กๆ เตรียมสุราอาหารไว้ต้อนรับแขก”
ไม่นานก็มีหญิงรับใช้เดินขึ้นมา แล้วจัดวางโต๊ะอาหาร สุราอาหารเลิศรสก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
สุดท้ายเม่ยเหนียงก็อ้างว่าต้องการทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย จึงกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมด แล้วเชิญให้เหมียวอี้เข้ามานั่งประจำที่
ด้วยฐานะของเม่ยเหนียงหวังเฟย ก็ย่อมต้องนั่งที่หัวโต๊ะอยู่แล้ว ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้ก็นั่งตรงข้ามกันอยู่ตรงซ้ายและขวาของนาง โกวเยว่นั่งถัดไปจากก่วงเม่ยเอ๋อร์
เหมียวอี้นั่งแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เหล่ตามองใคร มองไปเพียงบนโต๊ะ และขยับตะเกียบยกจอกสุราไม่บ่อยเช่นกัน เม่ยเหนียงถามคำเขาก็ตอบคำ เมื่ออีกฝ่ายเร่งรัดเขาค่อยขยับตัวสักที กลับเป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามที่เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าเป็นระยะ ดวงตาช่างสวยหยาดเยิ้ม นางพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้หยาบคายเหมือนตอนนำกองทัพ แต่รักษามารยาทและธรรมเนียม ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่เห็นครั้งแรก ทั้งยังมองแล้วเพลินตามากด้วย พอนึกว่าในอนาคตทั้งสองจะได้เป็นสามีภรรยากัน ในดวงตานางก็เริ่มฉายแววออดอ้อนอาลัยรักโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้สังเกตด้วย
ขณะที่พูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ เม่ยเหนียงที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนก็มองเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความคิดของลูกสาวแล้ว รู้ว่าฝั่งลูกสาวไม่มีปัญหาอะไร แต่ท่าทีที่นิ่งเฉยดุจขุนเขาของหนิวโหย่วเต๋อยังต้องรอหยั่งเชิงอีก ว่ากันตามจริง เมื่อได้เห็นคนคนนี้ใกล้ๆ นางพบว่าแตกต่างกับตอนที่เห็นนอกกำแพงเมือง แววตาที่นางมองเหมียวอี้เริ่มเผยความพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ความเปลี่ยนแปลงตรงนั้นอยู่ในสายตาโกวเยว่หมดแล้ว กำลังฟังบทสนทนาที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก พลางรินสุราดื่มเองราวกับเป็นผู้ชมข้างสนาม ความสนใจหลักของเขาอยู่ที่เหมียวอี้
เมื่อเห็นลูกสาวกับเหมียวอี้ไม่ได้สื่อสารอะไรกันเลย เม่ยเหนียงก็พูดเร่งว่า “เม่ยเอ๋อร์ มีแขกมาแล้วทำไมไม่ทักทายหน่อยล่ะ”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์กะพริบดวงตางาม จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “ขุนพลหนิว ได้ยินว่าตอนที่ท่านเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ท่านไปพังร้านค้าของตระกูลข้าเหรอคะ มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?”
เหมียวอี้เหลือบตาขึ้น มีท่าทีเหมือนจบเรื่องแล้วจำอะไรไม่ได้ ตอบว่า “ไม่เคยมีเรื่องนี้เลย!”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์อุทาน “เอ๋” แล้วบอกว่า “เป็นไปไม่ได้! ข้าได้ยินว่าท่านไม่ได้พังแค่ครั้งเดียวด้วย”
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ? ไม่มีมารยาทเลยสักนิด!” เม่ยเหนียงเอียงหน้าไปทางเหมียวอี้ “ไป!เจ้าไปรินสุราไถ่โทษให้แขก!”
“ไม่ต้องขอรับๆ ข้าน้อยรับไม่ไหว” เหมียวอี้รีบโบกมือปฏิเสธ
ทว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับเป็นฝ่ายยกกระโปรงแล้วยืนขึ้นก่อน หยิบกาสุราและจอกสุราขึ้นมา ก้าวช้าๆ เดินมาข้างกายเหมียวอี้อย่างไม่ประหม่าเลยสักนิด
เหมียวอี้รีบลุกขึ้น แล้วยกจอกสุราหลบ “จะกล้ารบกวนให้คุณหนูรินสุราได้อย่างไร ให้เกียรติข้าน้อยเกินไปแล้ว”
เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่มีจุดเริ่มต้นก็ยังดีหน่อย แต่พอหักหน้ากันแล้ว หญิงสาววัยแรกรุ่นอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เขินอายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่กลับมีความใจกว้างและมั่นใจในตนเองเพราะเป็นคนจากตระกูลใหญ่ ดวงตางามจ้องตรงมาที่เหมียวอี้ทันที แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เม่ยเอ๋อร์พูดผิดไปแล้วก็ย่อมต้องยอมรับโทษ เหตุใดท่านขุนพลจึงควบคุมตัวเองขนาดนี้? ได้ยินว่าขุนพลเป็นวีรบุรุษที่วิ่งอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านอย่างไร้อุปสรรค ไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย ยังจะกลัวสุราจอกเดียวของสตรีผู้ต่ำต้อยคนนี้เชียวหรือคะ?”
ความประหม่าควบคุมตัวเองของเหมียวอี้กลับเรียกความมั่นใจกลับมาให้นางหนูแล้ว นี่เป็นเรื่องดี โกวเยว่เห็นแล้วยิ้ม
เม่ยเหนียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าธาตุแท้อีกด้านของลูกสาวเผยออกมาแล้ว นางถูไม้ถูมือกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ที่เม่ยเอ๋อร์พูดหมายถึง ควรทำตัวเหมือนสหายพบกันครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวเอง!” ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชื่นชมความใจกว้างของลูกสาวตัวเอง
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ยกกาสุราขึ้นมา แล้วอมยิ้มรอ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ถ้าเจ้าไม่ยินยอมข้าก็จะไม่ไป’
เหมียวอี้ยกจอกสุราที่กุมไว้ตรงเองขึ้นมาอย่างลังเล ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวเขามารินให้ทันที กลิ่นหอมอ่อนจางของสตรีโผเข้ามาที่ใบหน้าเช่นกัน
“พอเก็บจอกสุราแล้ว ก็รินให้ตัวเองหนึ่งจอก จากนั้นก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ยกจอกสุราเชื้อเชิญ “”ก่อนหน้านี้พูดผิดไปแล้ว หวังว่าท่านขุนพลจะไม่ถือสา เม่ยเอ๋อร์จะดื่มก่อนเพื่อเป็นการขอโทษ”” พูดจบก็เอียงหน้าหลบแล้วดื่มหมดจอก จากนั้นก็พลิกมือที่เรียวเล็ก เผยก้นจอกให้เหมียวอี้ดู แล้วรอคอย
ท่วงท่าดูชำนาญมาก แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงบ่อยๆ
“มิบังอาจ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเกรงใจ แต่ก็ยังดื่มลงไปแล้ว
ตอนที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถอยออกไป เม่ยเหนียงก็ฉวยโอกาสโต้ตอบอีกฝ่ายแล้ว “เม่ยเอ๋อร์ เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะเจอใครและถูกชะตาขนาดนี้ ข้าว่าขุนพลก็อายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไร เป็นเรื่องยากที่จะได้พบคนที่เจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน คบหาเป็นสหายสักคน ในภายหลังติดต่อกันบ่อยๆ สิ”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันมาถามเหมียวอี้ “ขุนพลคิดว่ายังไงบ้างคะ?”
เหมียวอี้ปฏิเสธอ้อมๆ “มิอาจเอื้อมขอรับ!”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับวางจอกสุราและกาสุราลง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน แบ่งลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป แล้ววางระฆังดาราสองอันตรงหน้าเหมียวอี้ นางไม่พูดอะไรทั้งนั้น ให้เหมียวอี้ตัดสินใจเองตามเห็นสมควร
โกวเยว่ที่นั่งอยู่ท้ายสุดค่อยๆ ยกจอกสุราขึ้นมาจ่อปาก เริ่มยกยิ้มมุกปาก นิสัยที่แท้จริงของคุณหนูเผยออกมาแล้ว กลับลดความยุ่งยากลงไม่น้อย
เหมียวอี้ลังเลเล็กน้อย พอนึกถึงสิ่งที่ตระกูลโค่วบอก สุดท้ายเขาก็ยังลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้บนระฆังดารา ก่วงเม่ยเอ๋อร์หยิบอันหนึ่งมาเขย่าในมือ เมื่อเห็นระฆังอีกอันมีปฏิกิริยา นางก็ไม่พูดอะไรมากอีก เก็บทั้งกาสุราทั้งจอกสุราไปด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงระฆังดาราหนึ่งอัน กลับไปนั่งที่ของตัวเองแล้ว ดูเหมือนสงบเยือกเย็น แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าแก้มของตัวเองนั้นร้อนจี๋แค่ไหน
“พ่อบ้าน ไม่ทราบว่าเจ้าพาขุนพลมาเพราะเรื่องอะไร?” ในตอนนี้เม่ยเหนียงพูดกับโกวเยว่แล้ว
โกวเยว่ลุกขึ้นตอบ “ไม่ปิดบังหวังเฟย ครั้งนี้บ่าวได้รับคำสั่งให้มาถามขุนพลหนิว เพราะขุนพลหนิวก่อเรื่องนิดหน่อย…” เขาเล่าเรื่องของเหมียวอี้ให้ฟังคร่าวๆ ทันที
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” สายตาเม่ยเหนียงที่หยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้วูบไหวเล็กน้อย นางเงียบไปนานมาก เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าว่าขุนพลอยู่ที่นี่คงอึดอัด ในเมื่อมีงานรัดตัว พวกเราสองแม่ลูกก็ไม่รบกวนแล้ว” นางก็พยักหน้าบอกใบ้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เล็กน้อย แล้วสองแม่ลูกก็หลบไปด้วยกัน แต่ตอนที่เดินออกมานอกตึกศาลา จู่ๆ นางก็หันกลับมาบอกว่า “พ่อบ้าน เจ้ามานี่สักเดี๋ยว”
โกวเยว่รีบก้าวออกมาทันที ออกไปพร้อมกับสองแม่ลูก เหลือเหมียวอี้อยู่ในห้องคนเดียว
ผ่านไปไม่นาน โกวเยว่ก็กลับมาแล้ว กลับมานั่งที่เดิม ดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้วถึงได้กล่าวช้าๆ ว่า “ขุนพลหนิว ครั้งนี้คงจะเป็นวาสนาของเจ้า หวังเฟยมีเจตนาจะช่วยเหลือเจ้า”
“ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าท่านหมายความว่าอะไร” เหมียวอี้กล่าวอย่างนิ่งเฉย
โกวเยว่นั่งหันตัวมา “หวังเฟยมีลูกสาวเพียงคนเดียว มองเป็นดั่งไข่มุกล้ำค่าในมือ เป็นกังวลเรื่องการแต่งงานของลูกสาวมาตลอด วันนี้เห็นขุนพลกับคุณหนูเจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน และหวังเฟยเองก็พอใจขุนพลมาก จึงเกิดความคิดอยากได้เป็นลูกเขย เมื่อครู่นี้หวังเฟยบอกแล้ว ว่าขอเพียงขุนพลตอบตกลง หวังเฟยก็ยินดีจะมอบลูกสาวให้ ส่วนเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง หวังเฟยจะช่วยขุนพลแก้ปัญหาเอง ไม่ทราบว่าขุนพลคิดอย่างไร?”
อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายก็เผยเจตนาที่แท้จริงแล้ว! เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ แต่ตอบพร้อมสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ข้าน้อยซาบซึ้งเจตนาดีของหวังเฟยแล้ว แต่ข้าน้อยไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนกำแพงเมือง หนิวคนนี้มีคนในใจอยู่แล้ว มิบังอาจเอื้อมไปหาไข่มุกล้ำค่าในมือหวังเฟยขอรับ!”
บทที่ 1554 ไม่ต้องไปแล้ว
โกวเยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้อน “เรื่องนี้ของเจ้า หวังเฟยก็เคยได้ยินมาเช่นกัน รู้สึกชื่นชมในไมตรีจิตมิตรภาพของขุนพล รู้สึกว่าฝากฝังลูกสาวสุดที่รักไว้ให้ขุนพลได้ ขุนพลจะไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่หวังเฟยถูกใจขุนพล หวังเฟยก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรเช่นกัน ไม่ใช่คนชั่วร้ายที่บังคับกลั่นแกล้งแน่นอน จะทำให้เจ้ากับผู้จัดการร้านอวิ๋นสมปรารถนา ถ้าเจ้าจะรับนางเป็นอนุภรรยา หวังเฟยก็จะไม่แย้งอะไรเช่นกัน”
พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายสองครั้ง ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย พูดจาได้อย่างไม่มีช่องโหว่ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลโค่วเตือนไว้ก่อนว่ามีเบื้องหลังเบื้องลึก เกรงว่าคงจะตื้นตันใจจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ เขาส่ายหน้าเบาๆ พร้อมตอบว่า “อยู่ดีๆ หวังเฟยก็มาโปรดปราน ทำให้ข้าน้อยทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ข้าน้อยไม่ได้เตรียมใจไว้สักนิดเลย ไม่กล้ารับเรื่องอันงดงามนี้ไว้ขอรับ”
“เหตุใดจึงไม่กล้ารับไว้? หรือว่าคุณหนูของบ้านเราหน้าตาไม่ดึงดูดใจมากพอ?” โกวเยว่ถาม
“คุณหนูงดงามล้ำเลิศ แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้ตา เป็นเพราะข้าน้อยปีนป่ายขึ้นไปไม่ไหวจริงๆ” เหมียวอี้ตอบ
โกวเยว่จึงบอกว่า “ปีนป่ายอะไรกัน? หวังเฟยกับคุณหนูปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับผู้อื่นมาตลอด ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ไม่เน้นเรื่องพื้นเพชาติกำเนิด เมื่อครู่นี้มีจุดไหนที่หวังเฟยกับคุณหนูหยิ่งผยองต่อขุนพลหรือเปล่า? หรือกังวลว่าการที่คุณหนูแต่งงานกับขุนพลจะมีเงื่อนงำอะไรซ่อนเร้น? มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้ารับประกันต่อขุนพลได้ ด้วยการอบรวมของจวนท่านอ๋อง พวกเราไม่ถึงขั้นทำเรื่องอะไรที่เสื่อมเสียต่อมมาตรฐานศีลธรรมของวงศ์ตระกูลหรอก ทุกวันนี้คุณหนูยังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ดุจหยก หากไม่ได้รับความยินยอมจากจวนท่านอ๋อง คุณหนูก็ไม่มีทางและไม่มีโอกาสได้ตกอยู่ในสถานการณ์หรือสถานที่ที่ทำให้คนอื่นสงสัย”
เขากังวลว่าเหมียวอี้จะคิดว่าการที่จู่ๆ มีเรื่องดีแบบนี้เกิดขึ้น เป็นเพราะรู้ว่าเหมียวอี้ไม่รังเกียจแม่หม้าย เลยอยากจะให้เขกล้ำกลืนปัญหาที่ยากจะเอ่ยออกมา ดังนั้นจึงตั้งใจประกาศให้รู้แบบนี้
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงไม่บังอาจปีนป่ายขึ้นไปก็เท่านั้นเอง” เหมียวอี้ตอบ
โกวเยว่จึงบอกอีกว่า “ขุนพล เรื่องบางเรื่องต้องพิจารณาจากความเป็นจริง เจ้ากำลังอยู่บนด่านยาก หวังเฟยเป็นคนที่สามารถพูดโน้มน้าวต่อหน้าท่านอ๋องได้แน่นอน”
เหมียวอี้นิ่งเงียบไปนานมาก แล้วสุดท้ายก็ตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “เรื่องนี้มาเยือนอย่างกะทันหันเกินไปจริงๆ ให้ข้าไตร่ตรองสักหน่อยได้หรือไม่”
ต่อมาไม่ว่าโกวเยว่จะพูดอะไร เหมียวอี้ก็ล้วนบอกไปแบบนั้น นั่นก็คือต้องพิจารณาไตร่ตรองให้ดีสักหน่อย
ทั้งใช้อำนาจบังคับทั้งใช้ผลประโยชน์หลอกล่อแต่ก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายโกวเยว่จึงทำได้เพียงพูดความจริง “มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าจะไม่ปิดบังขุนพล ที่จริงข้าได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้พาคุณหนูมาด้วย นึกไม่ถึงว่าหวังเฟยจะตามมาด้วยเหมือนกัน หวังเฟยกับคุณหนูต่างก็รู้ถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ ที่จริงไม่ต้องให้หวังเฟยมาถามเรื่องนี้ ท่านอ๋องก็มีเจตนาจะให้คุณหนูแต่งงานกับขุนพลอยู่ดี ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะได้รับคำสั่งให้มาเป็นคนกลางประสานงานเรื่องแต่งงานของคุณหนูกับขุนพล ขุนพลรู้หรือเปล่าว่าทำแบบนี้เพราะอะไร?”
เหมียวอี้จึงกล่าวเหมือนประหลาดใจ “ท่านอ๋องต้องการให้คุณหนูแต่งงานกับข้าเหรอ? ข้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่น่านฟ้าระกาติง จะเป็นไปได้ยังไง? เพราะอะไร?”
“ได้ยินว่าอาจารย์ของเจ้าคืออสุราอัคนีที่หลายปีก่อนเคยอยู่ในใต้หล้าอย่างไร้อุปสรรคใช่มั้ย?” โกวเยว่ถาม
เหมียวอี้อึ้งทันที “ท่านทราบได้ยังไง?”
“ไม่สำคัญว่ารู้ได้ยังไง ที่สำคัญคือทำไมท่านอ๋องถึงนับถืออสุราอัคนีมาก เลยถูกใจขุนพลไปด้วย นี่ต่างหากคือเหตุผลที่จะให้คุณหนูแต่งงาน ขุนพลได้รับบัตรเชิญจากหลายบ้านพร้อมกัน เกรงว่าบ้านที่เหลือก็คงจะมีเจตนาแบบนี้เช่นกัน” โกวเยว่ตอบ
เขาเองก็หมดหนทางแล้วถึงได้ทำแบบนี้ แต่จะเป็นจะตายเหมียวอี้ก็ไม่ยอมตอบตกลงเลย ดึงดันจะกลับไปคิดดูก่อนให้ได้ เดี๋ยวต่อไปเหมียวอี้ก็ต้องเจอกับอีกสามตระกูลอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอไปเจอแล้ว การแสดงของฝ่ายนี้จะต้องโดนเปิดโปงแน่นอน ไม่สู้เปิดเผยออกมาตรงๆ เลยดีกว่า ต่อไปเหมียวอี้จะได้ไม่โมโหที่โดนฝั่งนี้หลอก
เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้…”
โกวเยว่บอกอีกว่า “ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าพูดถึงความจริงใจ คุณหนูของพวกเราเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกนะ ผู้หญิงของบ้านอื่นล้วนเป็นบุตรสาวของอนุภรรยา ความงามของคุณหนูก็ไม่แพ้ผู้หญิงบ้านอื่น ส่วนหวังเฟยก็ถูกใจขุนพลโดยไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ นี่ก็คือวาสนา ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง หวังเฟยมีลูกสาวแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางทนมองลูกสาวและลูกเขยตัวเองได้รับความลำบาก ส่วนตระกูลฮ่าวน่ะ พวกเราล้วนส่งพ่อบ้านมามาเป็นพ่อสื่อ แต่ตระกูลฮ่าวส่งมาแค่หัวหน้าผู้ช่วยคนเดียวเท่านั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าขุนพลมีความสำคัญประมาณไหนในสายตาตระกูลฮ่าว ส่วนตระกูลอิ๋ง ขุนพลกับตระกูลอิ๋งมีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกันก็ไม่ต้องให้ข้าพูดมาก ฝ่ายนั้นอยากจะใช้ประโยชน์ขุนพลแบบโจ่งแจ้งเลย ขุนพลหนีไม่พ้นสาเหตุการตายของอิ๋งเหย้าขุนพล หรือว่าขุนพลคิดว่าไปตระกูลอิ๋งแล้วจะสบายดี พวกนั้นมีความเจ็บปวดจากการสูญเสียนะ พ่อแม่ของอิ๋งเหย้าจะทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ? ถ้าขุนพลไปที่ตระกูลโค่วก็ไมม่ได้อยู่อย่างสงบสุขเช่นกัน!”
แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่อวิ๋นจือชิวจะกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของตระกูลโค่ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ข้ากับตระกูลโค่วไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ทำไมไปที่ตระกูลโค่วแล้วจะอยู่อย่างไม่สงบสุขล่ะ?”
“ไม่ได้มีความแค้น จริงเหรอ?” โกวเยว่หัวเราะหึหึ แล้วถามกลับว่า “หรือว่าขุนพลลืมเรื่องการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตไปแล้ว? ขุนพลอยู่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของโค่วเหวินหลาน แต่กลับสู้กับลูกน้องของโค่วเหวินหวง เรื่องราวเบื้องลึกในนั้นปิดบังคนอื่นได้ แต่ปิดบังคนที่ตามีเวลาไม่ได้หรอก ไม่ทราบว่าขุนพลไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้ ฐานะเดิมของโค่วเหวินหลานในตระกูลโค่วเป็นอย่างไร คาดว่าขุนพลคงรู้มาบ้างแล้ว นั่นคือตัวละครที่แก่งแย่งต่อสู้กับโหวหลงเฉิง การทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตของขุนพลก็ได้ช่วยโค่วเหวินหลานเอาไว้ ทำให้โค่วเหวินหลานช่วงชิงการสนับสนุนจากตระกูลโค่วได้ แต่กลับเป็นการเบียดโค่วเหวินหวงให้ออกมาจากลำดับการเลี้ยงดู เจ้าคิดว่าโค่วเหวินหวงจะยอมรับน้องเขยอย่างเจ้าจากใจจริงเหรอ?
ข้ารู้ว่าขุนพลกับโค่วเหวินหลานสนิทกัน แต่การต่อสู้ภายในตระกูลระหว่างโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินหลานเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าขุนพลไปที่ตระกูลโค่วแล้วเตรียมจะยืนอยู่ฝ่ายไหน? อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ภายในของลูกหลาน ตระกูลโค่วเหรอ? จะช่วยโค่วเหวินหลานข่มโค่วเหวินหวง หรือจะช่วยโค่วเหวินหวงจัดการโค่วเหวินหลานดีล่ะ แล้วตอนหลังจะสู้กับโค่วเหวินไป๋อีกมั้ย? ไม่ใช่แค่ตระกูลโค่วนะ ไม่ว่าขุนพลจะเข้าตระกูลอิ๋งหรือตระกูลฮ่าวหรือตระกูลโค่ว ไม่ว่าแต่งงานกับใครก็ต้องเลือกกลุ่มเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ภายในทั้งนั้น ขุนพลอาจจะไม่รู้ถึงอันตรายที่อยู่ในนั้น แต่ข้ากลับรู้อยู่แก่ใจ มีเพียงคุณหนูบ้านข้าที่แตกต่างออกไป หวังเฟยมีคุณหนูเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ฐานะของหวังเฟยก็เหนือกว่าคนอื่น ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้กับลูกอนุภรรยาพวกนั้น ขอเพียงขุนพลยืนอยู่ข้างหลังหวังเฟย เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ขุนพลเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้กระจ่าง จำเป็นต้องคิดมากอีกเหรอว่าควรจะไปที่ไหน?”
บนตึกศาลา หวังเฟยที่มาแอบฟังเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอได้ยินแบบนี้ก็แอบร้องในใจว่ายอดเยี่ยมมาก แอบชมว่าสมแล้วที่พ่อบ้านเป็นคนที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญที่สุด ความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ย่อมไม่ต้องพูดถึง พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ฟาดอีกสามบ้านตายแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำพูดของโกวเยว่เข้ามาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของนางแล้ว พอหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับลูกสาวของนาง ก็จะยืนอยู่ข้างหลังนาง นี่ก็คือพลังในมือของนาง คนอื่นแย่งไปไม่ได้!
วรยุทธ์ของโกวเยว่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้จะเทียบติด ย่อมสังเกตได้แล้วว่าหวังเฟยอยู่บนตึก
เหมียวอี้เงียบงัน คำพูดของอีกฝ่ายได้เตือนสติเขาแล้ว กลับไปจะต้องเตือนอวิ๋นจือชิว ว่าหลังจากกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้ว จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างลูกหลานในตระกูลโค่ว
เมื่อเห็นเขาเงียบไป โกวเยว่ก็นึกว่าตัวเองพูดโน้มน้าวสำเร็จแล้ว จึงถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “นอกจากนี้ ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงด้วย ถึงยังไงขุนพลก็ก็ก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เป็นอาณาเขตปกครองของท่านอ๋อง ครั้งนี้มีสามหน่วยงานมาสืบคดีด้วยกัน มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยขุนพลได้อย่างแท้จริง น่านฟ้าระกาติงจะยอมหรือไม่ยอมก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบเดียวของท่านอ๋องเท่านั้น และหวังเฟยก็ให้ความสำคัญด้วย มีหวังเฟยช่วยพูดอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ก็รับประกันอนาคตของขุนพลได้เลย!”
ที่สวนในลานบ้านด้านหลังของโถงฉากเมฆา จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนที่ทำท่าจะลงหมากก็ขมวดคิ้ว แล้วบอกว่า “น่าสนใจแล้ว โกวเยว่คนนี้ใช้ได้จริงๆ หวังเฟยนั่นคงสร้างแรงกดดันให้เขาไม่น้อย หรือไม่เบื้องหลังก็มีหลานบ้านที่กดดันเขา แม้แต่หน้าตาศักดิ์ศรีก็ไม่สนแล้ว เปิดเผยให้หนิวโหย่วเต๋อรู้หมดเปลือกว่าก่วงลิ่งกงกำลังเอาเรื่องงานมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะปลอมแปลงคำสั่งเบื้องบนแล้วเอาตัวไป เขากำลังรังแกที่ฝ่ายอื่นไม่มีทางเปิดโปงเขาได้ เป็นเพราะเหนือความคาดหมายจริงๆ อีกสองบ้านโดนเขาเล่นงานเสีจจนโวยวายไม่ออก ควรจะร้อนใจได้แล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าโกวเยว่จะไม่หยุดถ้าไปไม่ถึงจุดหมาย ต่อให้จะดึงหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้ แต่คาดว่าโกวเยว่คงจะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อไปบ้านอื่นอีก นายน้อย ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าฝ่ายเราไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย ถือโอกาสเตือนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ถ้าโกวเยว่อยากจะถ่วงเวลาไม่ให้ไปบ้านอื่น ก็อย่าได้ดันทุรังฝืน ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นการแสดงความโง่เขลา ให้ถ่วงเวลารอเกาก้วนมา เรื่องนี้ขอแค่ก่วงลิ่งกงยอมตกลงก็พอแล้ว แล้วก็…ให้เขาระวังเรื่องของกินด้วย โกวเยว่ยอมทุ่มสุดตัวแล้ว ไม่ว่าวิธีการอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น บอกเขาให้พยายามอย่าอยู่ในห้องกันเพียงลำพัง จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์ที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ เมื่อพบความไม่ชอบมาพากลก็ให้เขาใช้ระฆังดาราติดต่อลูกน้องเขาให้โจมตีหอฉางเจินได้เลย ฝั่งพวกเราจะส่งยอดฝีมือไปช่วย”
โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วตกใจไม่เบา รีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อ
ดังนั้นเหมียวอี้ที่อยู่หอฉางเจินจึงหยิบระฆังดาราออก พอตอบเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืน “โค่วเหวินหลานส่งข่าวมาเร่งให้ข้าไปหา ข้าน้อยอยู่ที่นี่มานานแล้ว ขอตัว!”
โกวเยว่ลุกขึ้นไปดักหน้าเหมียวอี้ แล้วถามว่า “ขุนพลตัดสินใจรึยัง?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ให้ข้ากลับไปไตร่ตรองสักหน่อย ข้ารับประกันกับท่านได้ ว่าข้าเข้าใจที่ท่านพูดแล้ว ถ้าจะตอบตกลงก็มีแต่จะตอบตกลงกับท่านเท่านั้น ไม่ตอบตกลงกับอีกสามบ้านแน่”
“พูดจริงเหรอ!” โกวเยว่ตาเป็นประกาย
“หรือท่านคิดว่าข้าเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้?” เหมียวอี้ถามกลับ
โกวเยว่ตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องบ้านอื่นให้วุ่นวายใจแล้ว อยู่ไตร่ตรองที่นี่ต่อเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของขุนพลดีมั้ย? ไม่ต้องไปหาตระกูลโค่วแล้ว!”
เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ก็ได้!”
โกวเยว่เผยรอยยิ้มบางๆ เดิมทีจะเตรียมเรือนพักให้เหมียวอี้ไปพักผ่อน แต่เหมียวอี้ปฏิเสธแล้ว บอกว่าอยากจะเดินเล่นให้สบายใจสักหน่อย
โกวเยว่ย่อมอนุญาตแล้ว ยืนพิงรั้วพลางมองตามเหมียวอี้เดินเล่นริมทะเลสาบ แล้วหานตงก็เดินออกมาจากอีกด้าน บอกว่า “ตระกูลฮ่าวกับตระกูลอิ๋งส่งคนมาเร่งเป็นระยะ ต้องการเชิญให้หนิวโหย่วเต๋อไปหาขอรับ”
“ถ้าให้เขาไปจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าบ้านอื่นจะใช้วิธีการอะไรกับเขา บอกไปเพียงว่ายังคุยงานไม่เสร็จ” โกวเยว่กล่าวเสียงเรียบ
“ขอรับ!” หานตงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ส่วนโกวเยว่ก็หันตัวไป รีบเดินขึ้นไปบนตึกศาลา พอเห็นเม่ยเหนียงที่รออยู่ ก็กล่าวทำความเคารพ
“เขาจะตอบตกลงมั้ย?” เม่ยเหนียงถามอย่างฮึกเหิม
โกวเยว่ยิ้มพร้อมบอกว่า “มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าเขาหวั่นไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยบุ่มบ่ามดื้อรั้นของคนคนนี้ ไม่มีทางที่จะลังเลขนาดนี้แน่ อักทั้งเงื่อนไขฝั่งเราก็เหนือกว่าอีกสามบ้าน ประเด็นสำคัญคือช่วยเขาได้ เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่เป็นความจริง จึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นไปได้…” เขาลังเลนิดหน่อย ก่อนจะพูดหยั่งเชิงว่า “ทางที่ดีควรต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ถึงจะมั่นใจและเชื่อถือได้ที่สุด ไม่ทราบว่าทางคุณหนู…”
เม่ยเหนียงขมวดคิ้ว “อย่างอื่นก็พูดง่ายหน่อย แต่ข้ารู้จักนิสัยของเม่ยเอ๋อร์ดี ต่อให้นางจะรู้สึกดีกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่เพิ่งเจอกันครั้งแรก นางไม่มีทางตอบตกลงทำเรื่องแบบนั้น”
โกวเยว่แววตาวูบไหวนิดหน่อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่ หวังเฟย อาศัยความงามของคุณหนู สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในตอนท้ายของหนิวโหย่วเต๋อไม่น้อยเลย ไม่ทราบว่าโน้มน้าวให้คุณหนูไปอยู่กันสองต่อสองกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อเพิ่มความเป็นไปได้สักหน่อยดีมั้ย?”
เม่ยเหนียงยิ้มบางๆ นางเห็นด้วยกับความคิดนี้…
บทที่ 1555 คืนความเงียบสงบให้หอฉางเจิน
เรือนเจิดจรัส ในตึกศาลาที่งดงาม จั่วเอ๋อร์กำลังมองดูปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างเงียบๆ
เจ๋อชุนชิว ผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าตระกูลอิ๋งเก็บระฆังดาราแลวรายงานว่า “ทางนั้นยังคุยเรื่องงานกันไม่เสร็จ ผู้ดูแลบ้าน ก่อนที่หน่วยงานสามหน่วยนั้นจะมาสอบสวน เกรงว่าโกวเยว่คงจะไม่ให้เขาออกไปพบกับอีกสามบ้านแล้ว ตระกูลก่วงได้เปรียบไปหมดแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้จะ…”
“เชอะ!” จั่วเอ๋อร์แสยะยิ้ม ” เกรงว่าจะไม่แน่หรอก! มาครั้งนี้มีแต่ต้องพยายามเต็มที่ ถ้าพวกเราไม่ได้ บ้านอื่นก็อาจจะไม่ได้เหมือนกัน ยังมีคนที่ไม่ได้ลงมือนะ! เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านที่อยู่วังสวรรค์จะไม่รู้ หนิวโหย่วเต๋อถูกเขาเลี้ยงมาหลายปี มีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ ลูกคิดสมปรารถนาของโกวเยว่อาจจะคำนวณไม่สำเร็จก็ได้! ให้คนของพวกเราถอนกำลังกลับมา ไม่ต้องไปรบกวนถึงที่แล้ว พวกเราไม่มีหนทางแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านที่ไม่โผล่หน้ามาจะข่มอารมณ์ไหว”
เจ๋อชุนชิวครุ่นคิดตามที่พูด ทำให้เข้าใจแล้ว เพียงแต่ยังถามอย่างลังเลว่า “ผู้ดูแลบ้าน ต้องบอกฝั่งตระกูลฮ่าวด้วยมั้ย ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเราถอยแล้วตระกูลฮ่าวยังไปพัวพัน แบบนั้นจะไม่ทำเสียเรื่องเหรอ?”
จั่วเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ต้วนหงถูกส่งมาทำหน้าที่เกินความสามารถแทนซูอวิ้นแล้ว ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน เดี๋ยวต่อไปถ้าเห็นบ้านตัวเองวุ่นวายอยู่ฝ่ายเดียว แต่กลับไม่เห็นฝ่ายเรากับตระกูลโค่วมีปฏิกิริยา เดี๋ยวพวกเขาก็รู้ตัวเอง กลับเป็นถังเฮ่อเหนียนที่เงียบงันมาตลอด แบบนั้นกลับน่ากังวล มีความเป็นไปได้สูงว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นก็มีแผนเหมือนกัน พวกเราต่างหากที่รู้ตัวช้าไปหน่อย ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะโดยใช่เหตุ”
เจ๋อชุนชิวพยักหน้า “เดี๋ยวข้าน้อยจะกำชับลงไป เพียงแต่จะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้เหรอ?”
“ยังไม่ได้พยายามเต็มที่ จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง! ตอนนี้โกวเยว่กำลังอ้างกำสั่งสวรรค์มาข่มคน กักหนิวโหย่วเต๋อไว้ไม่ยอมปล่อย พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ทำได้เพราะรอโอกาสเจาะช่องโหว่” จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจ แล้วหันกลับมาบอกว่า “เจ้าไปจัดการเรื่องตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน เรื่องตอนหลังข้าค่อยหาทางอีกที”
“รับทราบ!” เจ๋อชุนชิวเอ่ยรับกำลังแล้วออกไป
จั่วเอ๋อร์โปรยอาหารลงในน้ำ แล้วปัดมือเบาๆ จากนั้นหันตัวเดินออกไปอย่างช้าๆ เดินเข้าไปในส่วนที่ลึกของบ้านเดี่ยว เข้าไปในลานบ้านที่สดใสสง่างาม
ในศาลา อิ๋งเยว่นั่งเงียบๆ ในมือกำลังปักลายผ้า พอเงยหน้าเห็นจั่วเอ๋อร์ ก็ก้มหน้าทำเรื่องของตัวเองต่อไป ไม่ได้ตื่นเต้นหรือดีใจ ไม่ได้เศร้าโศกและหวาดกลัว
จั่วเอ๋อร์เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย สาวใช้สองคนที่เดินมาด้วยจึงถอยออกไปแต่โดยดี เสร็จแล้วนางถึงได้ทำความเคารพ “บ่าวคารวะคุณหนู”
อิ๋งเยว่ไม่ตอบอะไร และไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นกัน ยังก้มหน้าปักผ้าของตัวเองต่อไป ราวกับไม่ได้ยินอะไร
จั่วเอ๋อร์ยิ้มบางๆ เข้ามาในศาลาแล้วยืนอยู่ข้างหลังอิ๋งเยว่ เห็นเพียงในในกรอบปักผ้ามีลวดลายขนนกสีฟ้าที่งดงามประณีต จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “คุณหนูช่างฝีมือดีจริงๆ ปีกนี้ราวกับมีชีวิตชีวา ถ้ามองผ่านๆ นึกว่าขนนกของจริงอยู่บนนี้ สวยงามจริงๆ ค่ะ!”
“สวยแล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายก็เป็นแค่ขกนก ทำตามใจตัวเองไม่ได้ พอโดนลมเป่าก็ปลิวไปแล้ว” อิ๋งเยว่ตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา
จั่วเอ๋อร์จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขนนกเติบโตบนร่างกาย ถ้าร่วงแล้วเจ้าของก็ปวดใจเช่นกัน”
“ร่วงแล้วก็งอกใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม
จั่วเอ๋อร์บอกว่า “การที่นกตัวหนึ่งจะดูดีได้ ก็เป็นเพราะบนตัวมันเต็มไปด้วยขน ก่อนจะมีขนที่งดงามงอกออกมา นกตัวนั้นก็ต้องกินให้อิ่ม ถึงจะมีสารอาหารไปเลี้ยงให้ขนทั้งตัวงดงามได้ ถ้าแม้แต่นกยังต้องหิวตาย แล้วยังจะมีขนไว้ทำไมอีก ส่วนขนที่เติบโตแล้วก็ร่วงเข้าสักวัน ขนบางเส้นก็ร่วงใส่ดินโคลนในภูเขา บางเส้นก็ถูกนำเข้าห้องนอนเป็นเครื่องประดับงดงาม ถูกคนเลี้ยงดูอุ้มชูเป็นเวลานาน ในเมื่อเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว แล้วจะไม่ไม่เลือกที่อยู่ให้ดีสักหน่อยล่ะ?”
“ถูกนำเข้าห้องนอน? ถูกคนเลี้ยงดูอุ้มชูเป็นเวลานาน? นั่นก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม
จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ดูท่าคุณหนูจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว! เรื่องบางเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหนูคิด เดี๋ยวรอให้คุณหนูแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ย่อมรู้ถึงความลำบากของเจ้าบ้านเอง”
“ข้าถูกตัดหางปล่อยวัดแล้ว แต่ผู้ดูแลบ้านยังมาพูดถึงหลักการพวกนี้อีก ไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ?” อิ๋งเยว่ถาม
จั่วเอ๋อร์บอกอีกว่า “เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ทางตระกูลก่วงทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ เกรงว่าฝ่ายพวกเราจะเสียเปรียบ ดังนั้นอาศัยแค่คุณหนูถูกตัดหางปล่อยวัดก็อาจจะเงียบไปหน่อย ต้องเริ่มเคลื่อนไหวบ้างแล้ว เป็นฝ่ายรุกหน่อยค่ะ”
อิ๋งเยว่หยุดมือทันที แล้วถามว่า “จะให้ข้าทำอะไรอีก?”
จั่วเอ๋อร์บอกว่า “ตระกูลก่วงได้เปรียบแล้ว พวกเราไม่มีโอกาสได้โจมตีอีกแล้ว ทำได้เพียงพยายามคุมสถานการณ์เอาไว้เท่านั้น ตอนหลังบ่าวจะพยายามสร้างโอกาสให้เขากับคุณหนูอยู่ด้วยกันตามลำพัง ถ้าสามารถต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกได้ ก็จะจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว”
อิ๋งเยว่พลันเงยหน้า แล้วแสยะยิ้ม “จะให้ข้าเป็นฝ่ายเปลื้องผ้าเอาหมอนรองคอตัวเองเชียวเหรอ? เรื่องแบบนี้ถ้าผู้ชายไม่เต็มใจ ผู้หญิงจะยังบังคับไหวอีกเหรอ?”
“ก็เลยต้องการความร่วมมือจากคุณหนูไง!” จั่วเอ๋อร์พลิกมือเผยกล่องเล็กใบหนึ่ง แล้วเปิดออกอย่างเบามือ ในนั้นเป็นของเหลวข้นสีขาว เปล่งแสงสีส้มรางๆ “ขอเพียงใช้เล็บขูดสิ่งนี้เข้าไปในสุรา มันไร้สีไร้รส ไม่มีทางสังเกตเห็นได้เลย เมื่อดื่มไปแล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จ คุณหนูพกไว้กับตัว เมื่อถึงเวลาสำคัญจะใช้ประโยชน์ได้ทันที นับว่าเตรียมไว้ล่วงหน้าเผื่อจำเป็นต้องใช้แล้วกันค่ะ”
อิ๋งเยว่เข้าใจทันทีว่าของสิ่งนั้นคืออะไร นางทั้งตกใจทั้งโมโห ลุกพรวดขึ้นมาแล้วถามว่า “นี่ท่านกล้าบังคับให้ข้าถือของลามกไปทำเรื่องชั้นต่ำแบบนี้เหรอ?”
“เฮ้อ!” จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้าถอนหายใจ “มีบางอย่างที่คุณหนูไม่รู้ค่ะ นี่เป็นของดีนะ เป็นของที่หน่วยตรวจการซ้ายปรุงขึ้นมาโดยสูตรลับ กว่าจะได้มากสักหน่อยก็ไม่ง่ายเลย เวลาที่หน่วยตรวจการซ้ายต้องการจะทำภารกิจให้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าใช้ของสิ่งนี้ไปตั้งกี่รอบแล้ว ตำหนักสวรรค์จะรู้สึกว่าของสิ่งนี้ชั้นต่ำเหรอ? คุณหนูโตเป็นสาวแล้ว ในภายหลังจะต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนว่าไปตามเนื้อผ้าทั้งนั้น ไม่มีความหมายอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องต่ำช้าเลย”
อิ๋งเยว่โมโหแล้ว “จั่วเอ๋อร์ ท่านช่างกล้านักนะ ข้าเคารพที่ท่านอยู่ข้างกายท่านปู่ ทำไมท่านถึงกล้ารังแกข้าขนาดนี้?”
“คุณหนูกล่าวเกินไปแล้ว บ่าวจะกล้ารังแกคุณหนูได้อย่างไร เพียงแต่พ่อแม่ของคุณหนูก็ไม่ได้ใช้ชีวิตง่ายๆ ในตระกูลอิ๋งเช่นกัน บ่าวแค่อยากจะช่วยคุณหนูเท่านั้นเอง ไม่กล้าบังคับคุณหนูแน่นอน! คุณหนูน่าจะรู้ ว่าถ้าพ่อแม่คุณหนูได้คนที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญและกุมอำนาจทางทหารมหาศาลของท่านอ๋องมาเป็นเขยนั้นจะช่วยเหลือได้มากขนาดไหน อายุขัยคนเรานั้นมีจำกัด ถ้าไม่ใช่ขนหงส์เกล็ดมังกร[1]ที่ก้าวข้ามความเป็นความตายมาแล้ว ถ้าไม่สามารถบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับกลายเป็นฝุ่นเป็นดิน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคุณสมบัติในการสืบทอดตำแหน่งอ๋องได้ คุณหนูถามความเห็นพ่อแม่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ค่ะ บ่าวขอตัว!” จั่วเอ๋อร์วางของทิ้งไว้บนโต๊ะ กุมหมัดคารวะ ออกมาจากศาลาแล้วหันตัวเดินออกไป
อิ๋งเยว่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกคว้าของขึ้นมาแล้วทำท่าจะโยนทิ้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่โยนออกไป นางนั่งลงอย่างห่อเหี่ยว สีหน้าเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด…
ณ ตึกจันทราดารา
ต้วนหงกำลังปิดตัวเองอยู่ในห้องมืดและหันหน้าเข้าแสงสลัวทางหน้าต่าง จู่ๆ นางก็หันตัวมา “มีแค่บ้านพวกเราเหรอที่ยังเกาะแกะอยู่นอกหอฉางเจิน?”
ฝานไซ่เซียนผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลฮ่าวพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ”
“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถังเฮ่อเหนียนถึงไม่เคลื่อนไหว ทำเอาข้าต้องคอยเฝ้าระวังจิ้งจอกเฒ่านั่นมาตลอด! ตระกูลก่วงได้เปรียบเต็มที่แล้ว ข้านึกว่าคนที่ยอมถอยเพื่อบุกแล้วค่อยลงมือต่างหากถึงจะแข่งให้เสมอกันได้! ตอนนี้ข้าถึงได้นึกได้ ว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าฝืนแย่งกับตระกูลก่วงไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเลย จิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นจิ้งจอกเฒ่าวันยังค่ำ เขานั่งชมละครเรื่องนี้อย่างใจเย็น แต่พวกเรากลับกระโดดขึ้นกระโดดลงจนเสียเปรียบ พออยู่ในที่สูงก็มองวิธีการออกทันที เดี๋ยวกลับไปท่านอ๋องจะต้องดูแคลนแน่!” ต้วนหงยกมือตบหน้าผากตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่ฝานไซ่เซียนอีก “อย่าแสดงความจนใจของพวกเรา สร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่าตระกูลก่วงจะได้ไป ส่วนคนที่ปั่นสถานการณ์ก็จะคอยเฝ้าดูพวกเราต่อสู้กันเอง พอพวกเราวุ่นวายปั่นป่วนเมื่อไร เขาก็จะลงมือทันที! เร็วเข้า! รีบให้คนของพวกเราถอนกำลัง คืนความเงียบสงบให้หอฉางเจิน”
“ค่ะ!” ฝานไซ่เซียนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอกทันที เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็เก็บระฆังดารา แล้วบอกว่า “พวกเขาถอยไปแล้วค่ะ”
ต้วนหงพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ถ้าตระกูลก่วงทำไม่สำเร็จ สุดท้ายจะต้องกลายเป็นแย่งคนมาจากมือของวังสวรรค์แน่นอน ตอนนั้นเกรงว่าจะแย่งมาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว! ที่จิ้งจอกเฒ่าถังเฮ่อเหนียนนั่นชักช้าไม่ลงมือสักทีนั้นถูกแล้ว ต่อให้แย่งมาได้ก็เปล่าประโยชน์!”
“เพราะอะไรคะ?” ฝานไซ่เซียนแปลกใจ
ต้วนหงยิ้มเจื่อน “เพราะคดีนี้ยังไม่จบไง!”
ฝานไซ่เซียนอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที กล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ผิดหรอก! ถ้าได้ไปตอนนี้ก็จะทำให้เบื้องบนอับอายจนโมโห ถ้าเบื้องบนต้องการจะป่วนแผนจริงๆ แล้วป่วนแผนไม่สำเร็จ แล้วคดียังไม่จบ ก็สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อตายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นความผิดทุกอย่างก็จะผลักไปให้หนิวโหย่วเต๋อรับไว้คนเดียว ที่แย่งไปได้ก็เป็นแค่คนตายคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของลูกสาวเสียไปด้วย! ทัพตะวันตกที่เข้าร่วมคดีนี้ก็จะมีบทบาทมากทันที!”
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย!” ต้วนหงเอียงหน้าถามอย่างลังเล “ของที่ให้เจ้าไปหา ได้มารึยัง?”
“เตรียมแล้วค่ะ” ฝานไซ่เซียนหยิงกล่องเล็กใบหนึ่งออกมา พอเปิดออก ข้างในก็มีแสงสีส้มอ่อนจาง ลักษณะเหมือนนมข้น “ในเมื่อได้มาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ของนี้ยังจะใช้ได้อีกเหรอคะ?”
ต้วนหงตอบว่า “ได้มาแล้วก็อย่าประกาศ จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อหนิวโหย่วเต๋อ รอให้คดีจบก่อน แล้วค่อยประกาศอีกที!”
ฝานไซ่เซียนพยักหน้าเบาๆ แล้วถามอย่างลังเลอีกว่า “ทางคุณหนูจะให้ความร่วมมือเหรอคะ?”
ต้วนหงบอกว่า “ได้เสพสุขกับความสูงส่งที่คนในโลกนี้ยากจะเอื้อมถึง ก็มีราคาที่ต้องจ่ายให้สอดคล้องกัน เรื่องนี้นางตามใจตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้ เรื่องนี้ต้องเตรียมไว้สองมือ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่รู้จักกาลเทศะเพราะแม่หม้ายคนนั้นจริงๆ ก็จับแม่หม้ายคนนั้นมา แล้วลงมือที่ตัวแม่หม้ายคนนั้น ให้นางไปเกลี้ยกล่อมหนิวโหย่วเต๋อ”
“ข้าจะไปเตรียมการค่ะ” ฝานไซ่เซียนกล่าว
“เลอะเลือน! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาลงมือ หออวิ๋นฮว๋ามีกองทัพองครักษ์เฝ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าจะฝืนบุกเข้าไป? อีกประเดี๋ยวสามหน่วยงานที่สืบคดีต้องพาเจ้าไปสืบสวนแน่ ถ้าคนหายไปแล้ว อีกทั้งประตูเมืองก็ปิดอยู่!” ต้วนหงกล่าว
ในเมือง ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่ตวนหรงเดินเนิบนาบอยู่ในป่าไผ่
ในป่ามีเก้าอี้นอนที่ทำจากไม้ไผ่อยู่ตัวหนึ่ง คนวัยกลางคนสวมชุดขาวกำลังนอนเปลือยเท้าอยู่บนนั้น หน้าตาหล่อเจ้าสำราญ กำลังถือม้วนไม้ไผ่อ่านอย่างได้อรรถรส หมุนใบไผ่ที่ปลิวมาตกบนตัวเขาเป็นระยะ ทั้งตัวเผยลักษณะเกียจคร้านและอิสระล่องลอย
หวงฝู่ตวนหรงเดินมาข้างๆ หย่อนก้นนั่งลง ทำให้ชายวัยกลางคนงอตัวเล็กน้อย เบียดแย่งตำแหน่งเขา แล้วบิดหูเขา “เจ้ากลับทำตัวสบายใจ ให้ข้าวิ่งเต้นไปที่นั่นที่นี่”
ชายวัยกลางคนไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสามีของหวงฝู่ตวนหรงนั่นเอง เป็นบิดาของหวงฝู่จวินโหรวด้วย ชื่อว่าอู่หนิง
อู่หนิงได้ยินดังนั้น ศีรษะก็เบี่ยงออกมาจากม้วนหนังมือ แล้วมองนางพร้อมกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ฮูหยินทำงานแก่งมาตลอด ข้าก็ย่อมวางใจสิ ว่ามาเถอะ ทางหอฉางเจินมีสถานการณ์ยังไง?”
“ไม่วุ่นวายแล้ว คนไปหมดแล้ว” หวงฝู่ตวนหรงตอบ
“ไปหมดแล้วเหรอ?” เขาวางวางม้วนหนังสือไว้ตรงหน้าอก อู่หนิงขมวดคิ้วบอกว่า “หอฉางเจินอ้างคำสั่งสวรรค์ข่มคน สงสัยตระกูลที่เหลือจะทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปอีก เกรงว่าคงจะเสร็จตระกูลก่วงจริงๆ” จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง
ขณะที่หวงฝู่ตวนหรงมองเขา นางก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้พูดออกมา ในแววตาสื่ออารมณ์ซับซ้อนสับสน
…………………………
[1] ขนหงส์เกล็ดมังกร 凤毛麟角 อุปมาถึงสิ่งล้ำค่าหายาก
บทที่ 1556 ควบคุมตัวเองไม่อยู่
หลังจากอู่หนิงติดต่อเสร็จแล้ว หลังจากเก็บระฆังดาราก็เห็นความลังเลในสายตานาง ยื่นมือไปคว้ามือที่อ่อนนุ่มของนางแล้ว “ฮูหยิน เป็นอะไรไป?”
หวงฝู่ตวนหรงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำไมจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อนั่นถึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ จู่ๆ สี่อ๋องสวรรค์ก็แย่งกันยัดลูกสาวให้เขา นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าว่าเขาก็งั้นๆ แหละ ขนาดแม่หม้ายคนเดียวยังทิ้งไม่ได้ เดรัจฉานยังดีกว่าอีก!”
อู่หนิงงงไปชั่วขณะ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจเขามากนะ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะในปีนั้นเขาจับโหรวโหรวไว้?”
หวงฝู่ตวนหรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “คนแบบนี้ต้องสับสักพันดาบหมื่นดาบสิ สี่อ๋องสวรรค์ตาบอดหมดแล้วรึไง?”
อู่หนิงตบหลังมือนางเบาๆ “นี่เจ้ากำลังพูดเพราะอารมณ์ใช่มั้ย ศิษย์ของอสุราอัคนี นำทัพองครักษ์ห้าหมื่นโจมตีทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงจนแตกพ่าย นี่เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ ได้เขาคนเดียวก็เท่ากับได้ทหารที่กล้าแกร่งหนึ่งล้าน สี่อ๋องสวรรค์ตั้งใจจะใช้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ไม่น่าแปลกใจหรอก เรื่องของโหรวโหรวในปีนั้นก็เล็กน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ถึงยังไงโหรวโหรวก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป”
“เจ้า…” หวงฝู่ตวนหรงรู้สึกเก็บกดจนอยากกระอักเลือด ถลึงตาถามว่า “พ่อแบบนี้มีอย่างที่ไหน?”
อู่หนิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าทำตัวเป็นพ่อไม่เหมาะสมเหรอ? พ่ออย่างข้าเรียกว่าใจกว้างไง!”
“พอแล้ว ข้าไม่พูดกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว ถ้าพูดอีกข้าต้องโมโหตายแน่นอน” หวงฝู่ตวนหรงสะบัดมือเขาออก ดันฝ่ามือห้ามแล้วถามว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าวันหนึ่งโหรวโหรวรู้ถึงตัวตนของเจ้า เจ้าจะเผชิญหน้ากับโหรวโหรวยังไง?”
“รู้ก็รู้ไปสิ เกี่ยวอะไรกันล่ะ” อู่หนิงกลอกตาแล้วพลิกตัวนอนตะแคง ก่อนจะกล่าวอย่างเกียจคร้าน “โหรวโหรวไม่ถือวาเรื่องนี้หรอก ตราบใดที่ข้าดีกับนาง ดีกับมารดานางก็เพียงพอแล้ว”
หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “แล้วเจ้าไม่เคยคิดถึงอนาคตของโหรวโหรวบ้างเหรอ ผู้ชายควรจะแต่งงาน ผู้หญิงควรจะแต่งการ และอยู่ในอายุที่ควรจะสร้างครอบครัวได้แล้ว เจ้าขอให้ผู้การใหญ่ปล่อยนางออกจากตระกูลหวงฝู่ไม่ได้เหรอ ให้นางใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้หญิงทั่วไปไม่ได้เหรอ?”
“ต่อให้ท่านผู้การตอบตกลง แต่ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยปาก” อู่หนิงหรี่ตายิ้ม
“ทำไมล่ะ? นางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเจ้านะ!” หวงฝู่ตวนหรงตกใจ
อู่หนิงยิ้มตอบว่า “ก็เพราะนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าไง ข้าถึงได้ทำแบบนี้ ลูกสาวน่ะ เก็บไว้ข้างกายนั้นดีขนาดนี้ ถ้าชอบผู้ชายคนไหนก็ให้เขาแต่งงานเข้าตระกูลก็สิ้นเรื่อง ถ้านางชอบคนไหนก็ให้บอกข้า ข้าจะจัดการให้ด้วยตัวเอง ลูกสาวแบบนี้ข้าจะเก็บไว้ข้างกายข้าตลอดไป เป็นเรื่องที่ดีจะตาย ตอนนี้ข้าพบว่าข้าเริ่มชอบกฎของตระกูลหวงฝู่แล้ว”
“อย่ามาพูดจาโอ้อวดหน่อยเลย คนที่นางชอบน่ะ กลัวว่าเจ้าจะหาให้ไม่ได้น่ะสิ!” หวงฝู่ตวนหรงพลันลุกขึ้นยืน แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “สมมติถ้าหากวันหนึ่ง สามีที่โหรวโหรวแต่งงานรับเข้าตระกูลหวงฝู่มีฐานะเหมือนกันกับเจ้า ไม่ได้ชอบโหรวโหรวจากใจจริงเลย แต่มาเพื่อจับตาดูโหรวโหรว เจ้าจะเต็มใจมั้ย?”
อู่หนิงยิ้มไม่ออกแล้ว หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก พอแล้ว เจ้าคิดมากไปแล้ว เออใช่ ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อย ว่าโหรวโหรวทำอะไรผิดกันแน่ เจ้าถึงจะกักบริเวณนางไว้ในบ้าน?”
“ข้าพูดกับเจ้าไปก็เท่านั้น!” หวงฝู่ตวนหรงพูดกระแทกสใส่แล้วหันหน้าเดินออกไป
“ฮูหยิน…ฮูหยิน…หรงหรง…หรงหรง…” อู่หนิงเงยหน้าตะโกนเรียกซ้ำๆ จนกระทั่งเงาร่างของหวงฝู่ตวนหรงหายไป ถึงได้ส่ายหน้าแล้วเอนกายลง จากนั้นก็หยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ ยกขาพาดอย่างสบายใจ แล้วพึมพำว่า “ผู้หญิงช่างไร้เหตุผลจริงๆ”
หอฉางเจิน ในสวนป่าขนาดเล็ก ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้กำลังเดินเล่นช้าๆ อยู่บนทางเล็กๆ พวกเขาเดินอ้อมอยู่ในป่าหลายรอบแล้ว คนหนึ่งเรือนร่างอ่อนช้อยอรชร คนหนึ่งเป็นวีรบุรุษสวมเกราะรบสีม่วง
สาวใช้สองคนที่เดินตามหลังอยู่ห่างๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน เห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคักเป็นระยะ เหมือนค่อนข้างมีความสุข
เซี่ยหลิงหลิงผู้จัดการร้านหอฉางเจินจู่ๆ ก็โผล่ออกมากลางป่า หลังจากทำความเคารพเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หวังเฟยเตรียมขนมไว้ให้คุณหนูกับขุนพลอยู่ในตึกศาลาค่ะ เชิญทั้งสองไปนั่งคุยเช่นกันสักหน่อย”
เหมียวอี้มองตามไปทางที่นางชี้ พบว่ามีตึกศาลาเล็กๆ ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ สวยงามประณีตมาก แต่เขาก็ยังยิ้มพร้อมปฏิเสธว่า “เพิ่งจะดื่มไปได้ไม่นาน ข้ารับรู้ถึงน้ำใจของหวังเฟยแล้ว”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วย “เดินเล่นก็ไม่เลวนะ”
“ค่ะ!” เมื่อเห็นทั้งสองไม่อยากไป เซี่ยหลิงหลิงก็ทำได้เพียงยิ้มแล้วถอยออกไป
เพียงแต่ผ่านไปไม่นาน เซี่ยหลิงหลิงก็ปรากฏตัวอีกแล้ว ในมือมีกล่องอาหารเพิ่มมากล่องหนึ่ง แต่ครั้งนี้กลับมาขวางสาวใช้สองคนที่อยู่ข้างหลัง หลังจากพึมพำสั่งอะไรบางอย่างไปแล้ว ก็เน้นย้ำว่า “หลังจากใส่สิ่งนี้ลงไปแล้วพวกเจ้าก็ออกมา ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าใครเรียกพวกเจ้าก็ห้ามเข้าไป”
สาวใช้ทั้งสองคือคนที่นางจัดหามา ย่อมปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว
ทั้งสองรีบเดินไปตรงหน้าเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ หนึ่งในนั้นบอกว่า “หวังเฟยให้นำของมาให้ทั้งสองค่ะ” แล้วอีกคนก็รีบเดินไปยังศาลาที่อยู่ตรงหน้า แล้วเปิดกล่องอาหารจัดวางไว้บนโต๊ะ
ก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปทางเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่หนิว ในเมื่อเป็นน้ำใจจากท่านแม่ เช่นนั้นก็ไปนั่งสักหน่อยสิค่ะ”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ นั่นไม่ใช้ห้องปิดอะไร คาดว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก จึงพยักหน้าตอบตกลง
สาวใช้ทั้งสองถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้นั่งลงในศาลา นางเป็นฝ่ายยกแขนเสื้อแล้วถือกาสุรารินให้เหมียวอี้
“ไม่กล้ารบกวน ข้าทำเองได้!” เหมียวอี้ผลักมือปฏิเสธ แต่ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับจ้องเขาพร้อมยิ้ม “พูดแล้วว่าต่อไปจะเป็นสหายกัน ทำไมต้องเกรงใจขนาดนี้คะ? หรือเป็นแค่คำพูดไม่จริงใจ ท่านไม่ได้คิดจะเป็นสหายกับข้าจริงๆ?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน ทำได้เพียงปล่อยมือออก จากการพูดคุยกับเขานับว่ามองออกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีกุศโลบายอะไร ปฏิบัติต่อผู้อื่นอยากใจกว้าง ความรู้ก็ไม่ธรรมดา สมกับที่เกิดมาจากจวนอ๋องสวรรค์
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่รินสุราเต็มจอกยกจอกขึ้นมา “พี่หนิว ข้าดีใจมากที่ได้รู้จักท่าน ข้าดื่มคารวะท่านค่ะ”
เหมียวอี้จ้องจอกสุราครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ยกขึ้นดื่ม เขาเองก็ไม่กลัวว่าใครจะใส่อะไรลงในของกิน “ข้าคารวะท่านก่อนแลวกัน”
หลังจากทั้งสองดื่มไปจอกหนึ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ช่วยรินสุราให้เขาอีก จากนั้นก็มองไปรอบๆ แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “พี่หนิว ท่านจับสนมสวรรค์หรูอี้แขวนไว้บนเสาธงจริงเหรอคะ?”
เหมียวอี้ปาดเหงื่ออย่างอับอายนิดหน่อย จ้านหรูอี้ในตอนนี้มีฐานะอะไรล่ะ นั่นคือสนมรักของราชันสวรรค์เชียวนะ จะเอามาพูดถึงส่งเดชได้อย่างไร จึงตอบอย่างจริงจังทันทีว่า “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลอกตาอย่างเย้ายวน “ไม่สนุกเลยค่ะ! ตรงนี้ไม่มีคนนอก ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้ บอกมาเถอะค่ะ”
“ผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าพูด” เหมียวอี้ส่ายหน้า
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปาก “ต่อให้ราชันสวรรค์รู้แล้วยังไงล่ะ ข้ากับนางสนิทกันมาก ก่อนหน้านี้ข้ามักจะเที่ยวเล่นกับนางบ่อยๆ นางไม่ตำหนิข้าแน่นอน เฮ้อ! แต่จากที่ข้าเห็น พี่หรูอี้เป็นผู้หญิงแข็งกร้าวมาก นางอาจจะไม่เต็มใจเจ้าวังไปเป็นสนมสวรรค์อะไรนั่นก็ได้”
พอได้ยินแบบนี้ ในหัวเหมียวอี้ก็มีฉากหนึ่งปรากฏขึ้นมา รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วสูดหายใจลึก แล้วคว้าจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วก็เป็นฝ่ายดื่มจนหมดอีกสองจอกแล้วถึงได้วางลง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ฐานะของสนมสวรรค์แทบจะเป็นฐานะอันดับบนสุดท่ามกลางผู้หญิงแล้ว ถึงแม้จะแข็งกร้าว แต่ก็นับว่าได้สมปรารถนาแล้ว มีอะไรไม่เต็มใจอีก”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปรอบๆ อีก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “นั่นเป็นเพราะท่านไม่รู้จักพี่หรูอี้ นางตั้งปณิธานไว้ตั้งนานแล้วว่าจะเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งไม่พึงพาใคร คนในครอบครัวบอกว่าไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องแต่งงาน บอกว่าในทัพใหญ่ไม่เหมาะกับผู้หญิง เลยไม่ยอมใช้เส้นสายช่วยเหลือนาง นางเลยปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริงแล้วไปสมัครเป็นทหารเล็กๆ คนหนึ่ง เริ่มจากจุดต่ำสุด ได้ยินว่าหลายครั้งที่ชีวิตเกือบจะตกอยู่ในใอคนอื่น สุดท้ายถึงได้ไต่เต้าขึ้นไปทีละก้าวจนจึงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ แน่นอน ตอนหลังฐานะของนางก็ถูกเปิดเผยแล้ว ท่านว่านางมีนิสัยแข็งกร้าวดื้อรั้นแบบนี้ จะเต็มใจเข้าวังไปแย่งความโปรดปรานจากฝ่าบาทพวกผู้หญิงได้ยังไงล่ะ นางไม่เต็มใจแน่นอน”
เหมียวอี้ทำหน้าซื่อ ทั้งสองดื่มไปพลางคุยไปพลาง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะได้พูดคุยคลุกคลีอยู่ด้วยกันแบบจริงจังหรือไม่ เหมียวอี้เริ่มมองประเมินความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้ว นางเป็นหญิงงามยั่วเย้าแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ใจสั่น เริ่มเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะดมดอมกลิ่นหอมสักครั้ง
ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เริ่มหน้าแดงบ้างแล้วเช่นกัน ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีก็เย้ายวนอยู่แล้วยิ่งดึงดูดใจเข้าไปอีก ดวงตางามฉ่ำน้ำ คำพูดคำจาก็เริ่มอ่อนหวานนุ่มนวล “ได้ยินท่านแม่บอกว่ามาสู่ขอท่านให้แต่งงานกับข้าแล้ว พี่หนิวอาจจะไม่ปฏิเสธ ไม่ทราบว่าจริงมั้ยคะ?”
เหมียวอี้ตอบ “อืม” อย่างคลุมเครือ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองตอบสนองเหมือนมีผีมีเทพดลใจแล้ว
“พี่หนิวจะตอบตกลงเรื่องแต่งงานมั้ยคะ?” น้ำเสียงของก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มออดอ้อน ถึงขั้นลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เข้ามารินสุราอยู่ตรงข้างกายเหมียวอี้แล้ว ร่างกายของทั้งสองสัมผัสกันโดยไม่รู้ตัว
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าตัวเองไม่มีทางตอบตกลง แต่มือข้างหนึ่งกลับไปสัมผัสกับขาของก่วงเม่ยเอ๋อร์อย่างเพ้อฝัน แล้วค่อยๆ ไหลขึ้นไปบนต้นขาอย่างข่มอารมณ์ไม่ไหว ลูบไล้อยู่บนจุดที่อวบอัดยืดหยุ่นบนบั้นท้ายของก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้ว สัมผัสมือนั้นทำให้วิญญาณล่องลอย นิ้วทั้งห้าย่ำยีไม่ยอมปล่อย
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตัวสั่นทันที ร่างงามอ่อนปวกเปียก ครางหนึ่งทีแล้วหมอบบนบ่าเหมียวอี้ นางคล้องคอเขา จอนหูถูไถอยู่ด้วยกัน นางถามพร้อมหายใจถี่กระชั้นว่า “พี่หนิวจะตอบตกลงมั้ยคะ?”
ใครจะคิดว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะคิ้วกระตุก มือที่กำลังร้อนรนพลันย้ายออกจากร่างกายนาง เพลิงจิตทำงานเองโดยอัตโนมัติ แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย อวัยวะภายในและกระดูกมีควันลอยขึ้นมา จิตวิญญาณถูกกระตุ้นทันที รู้สึกได้ว่าตัวเองโดนพิษเข้าแล้ว
พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูภายใน เขาก็ตกใจทันที เป็นสภาพเดียวกับตอนที่เจอเฟยหง เป็นอารมณ์ราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงไม่สังเกตเห็น ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้ตัวว่าโดนพิษได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าเป็นของประหลาดนั่น?
เหมียวอี้พลันดึงแขนทั้งสองของก่วงเม่ยเอ๋อร์ออก ถลันหลบไปอยู่ด้านข้าง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “แม่นางเม่ยเหนียง ท่านเมาแล้ว!”
เขารู้ว่าใส่พิษประเภทนี้ไปแค่ปริมาณเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นก็คงสังเกตเห็นไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าควรจะแก้พิษอย่างไร เขาพลิกมือหยิบดวงจิตน้ำแข็งสองลูกไว้ในมือ ลูกหนึ่งกำไว้ในมือตัวเอง อีกลูกหนึ่งยัดไว้ในมือก่วงเม่ยเอ๋อร์
บนมือก่วงเม่ยเอ๋อร์ถูกย้อมด้วยน้ำค้างขาวในชั่วพริบตาเดียว ทั้งยังลามขึ้นมาบนแขนด้วย นางหนาวจนตัวสั่น ถูกกระตุ้นจนได้สติกลับมา นางย้อนนึกถึงภาพเมื่อครู่นี้ทันที ทำให้อายจนร้องอุทาน “หา” แล้วเดินถอยหลังหลายก้าว
ในดาราจักร จู่ๆ อวี่จ้งเจินก็เห็นเกาก้วนที่เหาะอยู่ข้างหน้าหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังติดต่อใคร จากนั้นก็ได้ยินเกาก้วนทำเสียงฮึดฮัด สะบัดแขนเสื้อสองข้าง แล้วเร่งความเร็วเหาะไปแล้ว ความเร็วไม่ได้เพิ่มขึ้นน้อยๆ ทิ้งห่างจากกำลังพลที่อยู่ข้างหลังแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น