กระบี่จงมา 154.3-156.2
บทที่ 154.3 อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา
โดย
ProjectZyphon
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มบางๆ “หลี่เซิ่งต้องการความมีระเบียบ ทุกคนต่างก็ต้องเข้าใจในกฎเกณฑ์ หวังให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎที่ตั้งไว้ ภายหลังเผยแพร่ให้กับปัญญาชนผู้มีความรู้ เมื่อปัญญาชนตั้งตระกูลสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นก็จะมีพระอาจารย์ของจักรพรรดิ กาลต่อมาก็มีการสอบเคอจวี่ เปิดโอกาสให้กับชาวบ้านผู้ยากจน ไม่แบ่งแยกชนชั้น เปิดโอกาสให้ปลาหลีได้กระโดดข้ามประตูมังกร คนยากจนไม่ไร้โอกาสลืมตาอ้าปากอีกต่อไป กฎเกณฑ์นั้นครบถ้วนครอบคลุม สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ อีกทั้งยิ่งขยับไปด้านหลัง ใจคนก็ยิ่งล่องลอย ยิ่งเปลืองแรงไม่มีอะไรดี สันดานมนุษย์นั้นชั่วร้าย กินอิ่มแล้วก็วางตะเกียบด่าพ่อล่อแม่ ไฉนโลกมนุษย์ถึงมีคนเช่นนี้อยู่เยอะ”
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองเด็กหนุ่ม “ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงกำลังตามหาคำสองคำ ตามลำดับ”
ผู้เฒ่าพูดกับตัวเอง “ข้าแค่อยากให้หมื่นสรรพสิ่งหมื่นเรื่องราวบนโลกใบนี้จัดระเบียบลำดับขั้นตอนได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นความน่ารังเกียจน่าสงสารนั้น ปมของปัญหาอยู่ที่ใด อยู่ที่มาตรฐานการตัดสินความ ‘น่ารังเกียจ’ ‘น่าสงสาร’ ที่หลี่เซิ่งได้สั่งสอนคนบนโลกมามากพอแล้ว แต่คนบนโลกกลับไม่เข้าใจเรื่อง ‘การแบ่งแยกก่อนหลัง’ ขนาด ‘ความน่ารังเกียจ’ เจ้าก็ยังไม่อาจเข้าใจอย่างชัดเจนก็วิ่งไปให้ความสนใจ ‘ความน่าสงสาร’ แล้ว แบบนี้จะได้อย่างไร? ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “ลำพังเพียงแค่ฟังอย่างเดียว คำว่าตามลำดับนี้ยังอยู่ห่างจากคำว่าความมีระเบียบมากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วก็ไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ยกเหล้าขึ้นดื่มอย่างสบายอุรา “หากเอาสองคำนี้ไปวางไว้ในกระท่อมมุงแฝกผุพังของหลี่เซิ่ง แน่นอนว่าคงได้แค่ช่วยปะชุนซ่อมแซมให้เท่านั้น ต่อให้ตายข้าก็เป็นได้แค่ช่างซ่อมคุณธรรม พิธีการและดนตรีเท่านั้น แต่หากเอาสองคำนี้ไปวางไว้ในสถานที่ที่กว้างขวางกว่า ยาวไกลยิ่งกว่า ถ้าแบบนั้นก็ร้ายกาจนักล่ะ”
เฉินผิงอันถาม “ที่ไหน?”
ผู้เฒ่ายกไหเหล้าขึ้นมาวางกลางโต๊ะ จากนั้นแบฝ่ามือถูลงบนโต๊ะหนักๆ “หากมองตามนี้ กระท่อมผุพังอย่างไหเหล้านี้ก็เป็นแค่หนึ่งในสถานที่พักเท้าท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวไกลเท่านั้น แต่ว่า”
ผู้เฒ่าหยุดชะงักไปครู่แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ “แม่น้ำแห่งกาลเวลาเส้นนี้มีสภาพการณ์เป็นแบบไหน ประเด็นคือต้องดูที่ท้องน้ำ แม้จะบอกว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็หนุนนำกัน ทว่าขณะเดียวกันก็มี ‘สังขตธรรม’ อยู่อย่างแท้จริง บนโลกใบนี้มีคำพูดมากมาย ล่องตามกระแส คล้อยไปตามสถานการณ์ ข้าจึงอยากจะทดลองดู”
เฉินผิงอันถาม “หลี่เซิ่งต้องการให้คนมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในระเบียบกฎเกณฑ์ บางครั้งจึงจำเป็นต้องเสียสละ…เสรีภาพอย่างสมบูรณ์แบบของคนส่วนน้อย? แต่ท่านผู้เฒ่านั้นหวังให้ทุกคนเดินไปบนมหามรรคาที่ท่านวาดขึ้นตามลำดับขั้นตอน?”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสริมด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้คิดว่าข้าชี้ไม้ชี้มือบงการผู้อื่น ลำดับขั้นตอนของข้าไม่มีทางเกินขอบเขต ขอแค่ทุ่มเทบนต้นกำเนิดมหามรรคา หลังจากนั้นกระแสน้ำแยกสาขาออกไป ต่างฝ่ายต่างไหลลงสู่มหาสมุทร หรือไปรวมกันกลางทาง กลายมาเป็นทะเลสาบก็ดี ไหลรินต่อไปก็ช่าง ล้วนมีอิสระเสรีเป็นของตัวเอง”
ผู้เฒ่าโน้มไปข้างหน้า หยิบไหเหล้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วถามยิ้มๆ “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร? จะยินดีทำตามการจัดการของฉีจิ้งชุน กลายมาเป็นลูกศิษย์ของข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันทำท่าลังเลจะพูดไม่พูดเป็นครั้งที่สอง
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนปราณี เอ่ยย้ำอีกครั้ง “แค่พูดสิ่งที่เจ้าคิดออกมา ไม่ต้องสนว่าผิดหรือถูก ที่นี่ไม่มีคนนอก”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยืดเอวตั้งตรง สองหมัดวางบนหัวเข่า กล่าวขึงขัง “เพราะข้าไม่เคยเรียนหนังสืออย่างจริงจังมาก่อน ความมีระเบียบของหลี่เซิ่งคืออะไร ข้าไม่รู้ ลำดับขั้นตอนของท่านผู้เฒ่า ข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน”
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “พูดต่อเลย พูดออกมาตามใจคิด ตอนที่ข้ามีชีวิตอยู่ก็เคยพบเจอคนที่เลวร้ายมากๆ และเรื่องที่ย่ำแย่มากๆ มาแล้ว ฝึกขัดเกลาตัวเองจนนิสัยดีมากแล้วล่ะ”
สายตาของเฉินผิงอันยิ่งทอแสงเจิดจ้า “ตอนอยู่ในเมืองเล็ก ข้าสังหารไช่จินเจี่ยนเพื่อตัวเอง ข้าสู้สุดชีวิตกับวานรย้ายภูเขาเพื่อสหายอย่างหลิวเสี้ยนหยาง ภายหลังรับปากอาจารย์ฉีว่าจะคุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อ หลังจากนั้นก็รับปากพี่สาวเทพเซียนว่าจะต้องกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณให้ได้ เรื่องพวกนี้ข้าทำอย่างสบายใจ เมื่อพยักหน้ารับแล้วก็แค่ทำตามคำพูดตัวเอง ไม่จำเป็นต้องคิดถึงอะไรมากมาย”
เฉินผิงอันกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าพูดหลายอย่าง ข้าเองก็ตั้งใจรับฟังมาโดยตลอด เรื่องบางเรื่องที่พอคิดๆ ดูแล้ว ข้าก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก ยกตัวอย่างเช่นเรื่องความน่ารังเกียจน่าสงสารที่ข้าเห็นด้วยอย่างมาก ไม่ควรลำดับผิดพลาด ดังนั้นข้าจึงอยากบอกว่า ตอนนั้นข้าอยากจะสังหารผีสาวสวมชุดแต่งงานมากๆ ตอนนี้ก็ยิ่งอยากฆ่านางมากกว่าเดิม และวันหน้าต้องฆ่านางให้ได้ ข้าอยากบอกกับนางว่า ต่อให้เจ้าจะน้อยเนื้อต่ำใจมากแค่ไหน ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าส่งต่อความเจ็บปวดของตัวเองให้กับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ข้าอยากบอกกับนางด้วยตัวเองว่า เจ้ามีจุดที่น่าสงสารอยู่ก็จริง แต่เจ้าก็สมควรตาย!”
เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่มอบความรู้สึกอ่อนโยนอบอุ่นให้แก่ผู้คนมาโดยตลอด เวลานี้กลับแผ่ประกายเฉียบคมน่ากริ่งเกรง
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งเด็ดเดี่ยว “แต่เรื่องบางเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เป็นตลอดชีวิตข้าก็คงไม่มีทางคิดไปไกลขนาดนั้น ข้าก็จะไม่มีทางถือไว้ในมือตัวเอง เพราะหากแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถทำได้ แล้วทำไมยังต้องรับปากคนอื่น? เพราะรู้สึกเกรงใจงั้นหรือ? เพราะหากไม่รับปากจะทำให้คนอื่นผิดหวัง? แต่คำตอบของคำถามนี้กลับง่ายมาก เจ้ารับปากไปแล้ว แต่กลับไม่เคยมีความมั่นใจว่าจะทำได้ หากวันหน้าไม่ทำตามที่พูดจะไม่ยิ่งทำให้คนอื่นผิดหวังมากกว่าเดิมหรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ขบคิดอยู่ชั่วครู่ก็เริ่มเหม่อลอย ยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วคล้ายกำลังคีบถั่วลิสงเม็ดหนึ่งขึ้นมาจากจานตามความเคยชิน
ในลานขนาดเล็ก สตรีร่างสูงใหญ่ยิ้มตาหยี
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางแสร้งทำท่าหม่นหมองเสียใจ เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ปฏิเสธนางด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลหรอกหรือ?
หากเปลี่ยนมาเป็นหม่าขู่เสวียนหรือพวกเซี่ยสือ เฉาซีล่ะ?
ยอมเสี่ยงสร้างความขุ่นเคืองให้กับวิญญาณกระบี่ที่มีชีวิตอยู่มาหนึ่งหมื่นปี และวันหน้ายังต้องพึ่งพากันและกันเพียงเพื่อเด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า อีกทั้งยังรู้จักกันได้แค่หนึ่งเดือน?
นี่ใช่เรื่องเล็กหรือ?
เป็นเรื่องเล็ก
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไร้ความสำคัญ
การแย่งชิงบนมหามรรคา ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่เมื่อถามใจตัวเองดูแล้วกลับน่ากลัวยิ่งนัก นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดอันตรายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้มากที่สุด
ทุกครั้งที่ตบะของผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งสูงขึ้น ขยับเข้าไปใกล้ม่านฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตำหนิด่างพร้อยในใจของเขาก็จะยิ่งขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด ยกตัวอย่างเช่นหากตำหนิของมรรคาจารย์เต๋าใหญ่เท่าแค่เมล็ดงา แต่หากกลายมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง เกรงว่าช่องโหว่นั้นคงใหญ่ยิ่งกว่ารูกระบี่ที่เจาะถ้ำสวรรค์หวงเหอเสียอีก
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องหยุมหยิมที่ปรากฏในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น หากตอนนั้นเด็กน้อยแห่งตรอกหนีผิงเลือกรับการเชื้อเชิญด้วย “ความหวังดี” จากเจ้าของร้านแผงลอยโดยรับพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลไม่คิดเงินไม้นั้นมา แล้วกินอย่างมีความสุข จากนั้นกระโดดโลดเต้นกลับไปยังบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง กินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลจนหมดเกลี้ยง โยนไม้ทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ มองดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มเฉินผิงอันจะมีโอกาสอย่างวันนี้หรือไม่?
ในห้อง เฉินผิงอันมองผู้เฒ่าคนนั้น “ต่อให้อาจารย์ฉีจะอยากให้ข้าทำ แต่ขอแค่ข้ารู้สึกว่าทำไม่ได้ ข้าก็จะไม่มีทางรับปาก ก็เหมือนกับเรื่องบางเรื่องที่หากข้าตั้งใจขบคิดแล้วรู้สึกว่ามันผิด ถ้าอย่างนั้นต่อให้มีคนเอามีดมาพาดคอข้า ข้าก็ยังจะบอกเขาว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร นี่ก็ยังผิดอยู่ดี”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มราบเรียบมั่นคงอย่างมาก
สุดท้ายเฉินผิงอันกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คนที่สามารถนำพาความรู้ไปได้ยาวไกล สำหรับข้าแล้วการเรียนหนังสือรู้ตัวอักษรเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพื่อให้ตัวเองสามารถเขียนกลอนปีใหม่ติดหน้าประตูบ้าน วันหน้ายังสามารถเขียนป้ายหน้าหลุมศพให้พ่อแม่ อย่างมากที่สุดก็คือสามารถอ่านเหตุผลที่คนบางส่วนคิดขึ้นมาได้เข้าใจ ไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้น ท่านผู้เฒ่า ข้าไม่มีทางเป็นลูกศิษย์ของท่าน”
ชุยฉานนั่งฟังจนหน้าซีดขาว เหงื่อไหลไปตามกระดูกสันหลัง
แม้แต่หลี่เป่าผิงเองก็ยังรู้สึกว่าท่าไม่ดี แอบเอื้อมมือไปหยิบตราประทับที่วางไว้บนโต๊ะ เตรียมใช้มันตบคน ส่วนจะเป็นเจ้าคนเลวชุยฉานหรืออาจารย์ของอาจารย์นั้น นางไม่สนใจ ใต้หล้านี้อาจารย์อาน้อยของนางใหญ่สุดแล้ว
ผู้เฒ่าแค่เอ่ยถามด้วยสีหน้าอ่อนโยนมีไมตรีจิต “นี่คือความคิดของเจ้าตอนนี้ใช่หรือไม่? หากวันหน้าเจ้ารู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองคิดผิด จะเปลี่ยนใจกลับมาขอให้ข้ารับเจ้าเป็นลูกศิษย์หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอน! แต่หากถึงเวลานั้นท่านไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ย่อมต้องเสียใจภายหลังอยู่บ้าง แต่ไม่มากแน่นอน”
ผู้เฒ่าสีหน้าเหยเก “ข้าคือเหวินเซิ่งผู้ยิ่งใหญ่ เคยเป็นอริยะไม่กี่คนที่เทวรูปอยู่ในอันดับหน้าสุดของศาลเจ้าบุ๋นลัทธิขงจื๊อ คิดจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย นับเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวง วาสนาครั้งใหญ่นี้หล่นใส่หัวเจ้ากะทันหัน ไม่ควรจะรีบเก็บไว้ในกระเป๋าให้อุ่นใจก่อนหรอกหรือ? หากมีปัญหา จะอย่างไรก็มีอาจารย์คอยรับหน้าให้ เจ้ายังจะกลัวอะไร? ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องดีมีแต่ได้ไม่มีเสีย”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยประโยคหนึ่ง “เรื่องบางเรื่องที่ทำแล้วฝืนใจ ก็ไม่ควรจะก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ในเมื่อยังไม่ถึงเวลา ข้าก็ไม่บีบบังคับฝืนใจ”
ผู้เฒ่าพลันคลี่ยิ้ม “ไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์ คนแก่อย่างข้าผิดหวังมาก แต่คิดดูแล้วฉีจิ้งชุนคงไม่ผิดหวังแม้แต่น้อย เฉินผิงอันที่เป็นเช่นนี้พยศอย่างยิ่ง คล้ายฉีจิ้งชุนตอนยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่มาก เกรงว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่ตอนนั้นเขายอมคำนับกลับคืนเจ้าในตรอกเล็กๆ”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ให้ประหลาดใจ
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนช้าๆ มองเด็กทั้งสาม “นั่งลงถกปัญหา เป็นเรื่องที่ดีมาก”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้ม “แต่อย่าลืมล่ะว่า ลุกขึ้นก้าวเดินกลับสำคัญยิ่งกว่า (นั่งลงถกปัญหาเปรียบเปรยถึงการพูดคุยในทางทฤษฎี ส่วนลุกขึ้นก้าวเดินก็เปรียบถึงการลงมือปฏิบัติ) หาไม่แล้วบทความคุณธรรมทั้งหลายคงไม่มีที่ให้ยืน”
จู่ๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็คลี่ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี เอามือสองข้างไพล่หลัง เดินโคลงหัวออกไปจากห้องพลางจุ๊ปากพูด “อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา เด็กหนุ่มลุกขึ้นก้าวเดิน ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง!”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างเดือดดาล “มีแต่เด็กหนุ่ม แล้วข้าล่ะ?!”
ผู้เฒ่าเปิดประตู หัวเราะเสียงดัง “ใช่ๆๆ ยังมีหลี่เป่าผิงแม่นางน้อยแห่งแจกันสมบัติทวีปด้วย!”
เฉินผิงอันคิดในใจ “นั่งลงถกปัญหา ลุกขึ้นก้าวเดิน หลักการนี้พูดได้ดี ข้าจำไว้แล้ว”
เด็กหนุ่มชุยฉานนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม แล้วพลันสะดุ้งโหยง พอคืนสติก็ลุกพรวด โน้มตัวกุมมือคารวะเฉินผิงอัน “อาจารย์!”
เฉินผิงอันระอาใจ “ไฉนถึงมาไม้นี้อีกแล้วเล่า?”
ชุยฉานยิ้มแต้เอ่ยหยอกเย้า “ก่อนหน้านี้อาจารย์อยากสังหารข้าเพราะคิดจะไม่คืนเงินใช่หรือไม่? ตั้งหลายพันตำลึงเงินเลยนะ”
เฉินผิงอันตอบกลับอย่างสงบ “หากคืนนี้เจ้าถูกข้าสังหาร วันหน้าขอแค่ข้าเฉินผิงอันมีเงินจะต้องช่วยเจ้าสร้างสุสานมีมูลค่าสองพันตำลึงงันให้เจ้าแน่นอน”
ชุยฉานกระอักกระอ่วน สุดท้ายได้แต่เอ่ยประโยคหนึ่งอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก “ขอบคุณเจ้านะ”
—–
บทที่ 155.1 พูดคุยถูกคอ
โดย
ProjectZyphon
หลี่ไหวนอนหลับอุตุจนตะวันส่องก้นแล้วก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียง นั่นเป็นเพราะเตียงนี้นอนสบายเกินไป เหมือนนอนอยู่ในปุยฝ้ายอย่างไรอย่างนั้น เด็กชายเปิดตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ลุกขึ้นนั่ง หันมองไปรอบด้าน สติยังไม่เข้าร่างเต็มที่ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ทั้งเตียงแข็งๆ ในบ้านตัวเอง แล้วก็ไม่ใช่กระโจมกลางดินกลางทรายในป่าเขา ความรู้สึกแรกของเด็กชายก็คือมีเงินนี่ดีจริงๆ ความรู้สึกที่สองก็คือมิน่าเล่าเฉินผิงอันถึงได้เป็นพวกเห็นแก่เงิน
อันที่จริงหลี่ไหวยังอยากจะล้มตัวลงนอนต่อ แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันไม่อยู่ข้างกาย ไม่ได้อยู่ในการมองเห็นของตน หลี่ไหวก็เริ่มตื่นตระหนก กระวีกระวาดสวมเสื้อผ้าและรองเท้า เดินไปหยิบหุ่นไม้หลากสีออกจากหีบหนังสือไม้ไผ่เขียวแล้วพุ่งออกจากห้อง เห็นว่าหลินโส่วอีกำลังเล่นหมากล้อมกับผู้เฒ่าท่าทางยากจนคนหนึ่ง แม้แต่หลี่เป่าผิงที่เกิดมาเหมือนไม่ได้เอาก้นมาด้วยก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ตั้งใจมองกระดานหมากอย่างว่าง่าย อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ยืนอยู่ข้างหลินโส่วอี คอยช่วยวางแผนรับมือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลี่เป่าผิง พอเห็นหลี่ไหวก็กวักมือเรียก รอจนเด็กชายวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายแล้วจึงลุกขึ้นให้หลี่ไหวนั่ง หลี่ไหวเตรียมจะนั่งลงถึงค้นพบว่าเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันตลอดเวลากำลังจ้องตนด้วยใบหน้าแย้มยิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม หลี่ไหวคิดแล้วก็วางหุ่นไม้หลากสีลงบนเก้าอี้หินเงียบๆ ตัวเขาเองไม่นั่งแล้ว แค่กล้าเอาก้นวางบนโต๊ะหมิ่นๆ
ชุยฉานเด็กหนุ่มผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วหันไปมองอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย สายตาที่มืดดำคล้ายน้ำในลำธารที่ไหลรินบนใบหน้าของคนทั้งสองไม่หยุดนิ่ง
เด็กสาวเซี่ยเซี่ยสัมผัสได้ถึงสายตาของชุยฉานอย่างคนรู้สึกไว นางไม่ได้เงยหน้าประสานสายตากับอีกฝ่าย แค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น เพราะปกติหากสายตามืดทะมึนของราชครูต้าหลีผู้นี้มองมาบนร่างของตน รูขุมขุนทั่วผิวหนังของนางจะพากันลุกชันเป็นหนังไก่ แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน ราวกับว่าสายตาของอีกฝ่ายเป็นแค่สายตาของคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกกดดันอย่างก่อนหน้านี้อีก สาเหตุเป็นเพราะแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ?
อวี๋ลู่เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้กับ “คุณชายของตน” ท่านนี้อย่างตรงไปตรงมา
ชุยฉานกระดิกนิ้วเรียก “อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าสองคนมานี่”
จากนั้นเขาถึงหันไปส่งยิ้มให้เฉินผิงอัน “ไปคุยกันที่ศาลาหน่อยได้ไหม มีบางเรื่องที่ต้องป่าวประกาศพูดคุยันอย่างเปิดเผย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วคนทั้งสี่ก็เดินไปที่ศาลาลมเย็น ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันตบหัวหลี่ไหวเด็กตาขาวเบาๆ เอ่ยหยอกเย้า “คราวนี้ก็นั่งลงอย่างวางใจได้แล้ว”
พอไปถึงศาลา ชุยฉานปรายตามองกระดิ่งลมที่ห้อยอยู่ใต้ชายคา ก่อนจะพูดกับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยว่า “พวกเจ้าแนะนำตัวตนที่แท้จริง ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่แผนร้ายอะไรทั้งนั้น ต่อให้ไม่เชื่อใจข้า พวกเจ้าก็ควรจะเชื่อใจเฉินผิงอันกระมัง?”
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยหันมามองหน้ากัน ต่างก็ไม่คิดรีบร้อนเปิดปาก
นับตั้งแต่ออกมาจากด่าน เด็กหนุ่มอวี๋ลู่ที่มีรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายก็รับหน้าที่เป็นสารถีมาตลอดทาง หนักเอาเบาสู้ เป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่ช่วยงานเฉินผิงอันได้มากที่สุด งานเย็บปักถักร้อยซ่อมแซมปะชุน เด็กหนุ่มก็ล้วนทำได้อย่างคล่องแคล่วประณีต เด็กหนุ่มเป็นโรครักความสะอาด จึงกระตือรือร้นกับการซักเสื้อผ้า ล้างขัดรองเท้าสานยิ่งนัก เห็นเสื้อผ้าหรือรองเท้าของใครติดคราบดินโคลน หรือเวลาเดินถูกหนามแทงทะลุเป็นรู เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จะต้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ถึงขั้นที่ว่าหากอวี๋ลู่เห็นหลี่ไหววางหีบหนังสือเอียงกะเท่เร่โดยบังเอิญเป็นต้องทำหน้ากลัดกลุ้มทุกครั้ง ขอแค่หยุดพักอยู่ใต้แหล่งน้ำ รถม้าจะต้องถูกเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ขัดล้างจนสะอาดไม่เหลือฝุ่นเกาะสักเม็ด
สำหรับเรื่องนี้ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังทอดถอนใจที่ตนสู้ไม่ได้ ใต้หล้ายังมีคนที่ทำงานง่วนไม่หยุดมือแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
ส่วนเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ใบหน้าดำเกรียมเคร่งขรึม แต่กลับมีเรือนกายสะโอดสะองนั้น หลี่เป่าผิงที่ยังมีจิตใจบริสุทธิ์ของเด็กน้อยอยู่มากกลับรังเกียจชิงชังนางอย่างลึกล้ำ มองนางเป็นศัตรูคู่อาฆาต ความประทับใจที่หลินโส่วอีมีต่อนางเรียกว่าธรรมดา ไม่ถือว่าดีมากและไม่เลวร้ายมาก อย่างมากก็แค่เล่นหมากล้อมด้วยกันยามมีเวลาว่าง แต่หลี่ไหวกลับสนิทสนมกับนางมากที่สุด คนทั้งสองต่างก็ชอบเล่นจัดวางค่ายกลทหารด้วยกัน
ชุยฉานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าเปิดเผยได้เต็มที่ ถึงเวลาข้าค่อยเก็บกวาดให้เอง”
กล่าวจบเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็เดินออกจากศาลา สาวเท้าเดินเล่นไปรอบๆ ก้มตัวหยิบก้อนหินเล็กๆ บนพื้นขึ้นมากอบใหญ่ แล้วเดินไปนั่งข้างบ่อน้ำโบราณ โยนหินลงไปด้านล่างฟังเสียงหินกระทบน้ำอย่างไม่รู้จะทำอะไร
พอนึกถึงว่าตนกลับต้องมีช่วงเวลาที่น่าเบื่อเช่นนี้จริง สายตาของชุยฉานก็เลื่อนลอยราวกับอยู่ห่างไปคนละโลก
เขามองบ่อน้ำที่มืดทะมึนด้วยสายตาของมนุษย์ธรรมดาอย่างแท้จริง จึงไม่อาจมองทะลุไปเห็นภาพเหตุการณ์เบื้องล่างได้อีก นาทีนี้ชุยฉานเกือบจะทิ้งตัวลงไป กระโดดน้ำฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย
ในศาลาลมเย็น อวี๋ลู่เป็นผู้เปิดปากก่อน “ข้าคือรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูในอดีต อวี๋ลู่ ก่อนหน้านี้หลบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มนักโทษลี้ภัยสกุลหลูที่ไปช่วยงานบุกเบิกภูเขา อันที่จริงยังมีนามแฝงอีกชื่อหนึ่ง อวี๋ซื่อลู่ หากอ่านย้อนกลับหลัง ความหมายแฝงก็คือข้าคือกากเดนที่เหลืออยู่ของสกุลหลู ทุกครั้งที่คนอื่นเรียกชื่อข้าก็จะช่วยให้ข้าเตือนสติตัวเองว่า อดีตก็คือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว”
เด็กสาวพลันเดือดดาล ถลันลุกขึ้นยืน ชี้หน้าตวาดสั่งสอนเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ “ผ่านไปแล้ว?! องค์รัชทายาทเจ้าพูดง่ายนัก ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล จิตใจสงบตัดขาดนิวรณ์ได้ดียิ่งกว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาอย่างพวกเราเสียอีก แต่หลายร้อยชีวิตในสำนักของอาจารย์ข้าล่ะ พวกเขาขว้างศีรษะสาดโลหิตเพื่อสกุลหลูของพวกเจ้า พลีชีพเพื่อแว่นแคว้น! จะผ่านไปง่ายๆ ได้ยังไง?!”
เด็กสาวน้ำตาไหลอาบน้ำ น้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าถามมโนธรรมในใจตัวเองดูเถอะ ใต้หล้านี้จะมีผู้ฝึกลมปราณที่แสวงหาความเป็นอมตะสักกี่คนที่ยินดีร่วมรบจนตัวตาย ยินดีสละชีพเพื่อชาติ? มีแค่พวกเรา! นับตั้งแต่ที่บุรพแจกันสมบัติทวีปมีแว่นแคว้น มีราชวงศ์ก่อตั้งขึ้นมา ในประวัติศาสตร์มีแต่พวกเราที่ไม่ถอยไม่ยอมแพ้ ทุ่มเทสุดชีวิต ยอมให้สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกตัดขาด เพียงแค่เพื่อพิสูจน์ว่าจงรักภักดีต่อราชวงศ์สกุลหลูของพวกเจ้า!”
อวี๋ลู่สีหน้าเรียบเฉย “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? ข้าเป็นรัชทายาทของสกุลหลูนั้นไม่ผิด ทว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นพวกเอาความคิดของตนเป็นใหญ่ แต่ก็เพราะกลัวพวกข่าวลือที่ไม่มีมูล กังวลว่าตำหนักบูรพาจะยิ่งใหญ่เกินไป จึงไล่ให้ข้าไปขอศึกษาที่สำนักศึกษาของแคว้นศัตรูอย่างต้าหลี ข้าทั้งไม่เคยควบคุมอำนาจทางการเมือง แล้วก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับราชสำนักหรือยุทธภพ แค่คิดจะตั้งใจเรียนให้ดีเท่านั้น เซี่ยเซี่ย เจ้าบอกมาสิว่า เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร?”
เด็กสาวถูกท่าทางเย็นชาของอวี๋ลู่กระตุ้นให้เสียสติมากกว่าเดิม นางโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าแซ่เซี่ย แต่ข้าไม่ได้ชื่อเซี่ยเซี่ย ข้าชื่อเซี่ยหลิงเยว่ คือผู้ฝึกลมปราณที่เด็กที่สุดของราชวงศ์สกุลหลูพวกเจ้าที่ฝ่าทะลุขอควดขอบเขตห้าไปได้! คือลูกศิษย์ของเฟิงเสินสกุลเซี่ย! ข้าเกลียดความเลอะเลือนไร้สมองของเชื้อพระวงศ์สกุลหลูพวกเจ้า แต่ข้ายิ่งเกลียดการทำตัวไหลตามกระแสขององค์รัชทายาทอย่างเจ้ามากกว่า กลายมาเป็นข้ารับใช้ของศัตรูคู่แค้นอย่างราชครูต้าหลีก็ยังหน้าชื่นตาบานอยู่ได้ หากบรรพบุรุษสกุลหลูของพวกเจ้าที่อยู่ในปรโลกรู้เข้า…”
สีหน้าของอวี๋ลู่เป็นปกติ ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตัดบทการประณามของเด็กสาว “หากเจ้าเซี่ยหลิงเยว่มีความกล้าหาญของลูกศิษย์เฟิงเสินสกุลเซี่ย ทำไมถึงไม่ตายไปซะ? หากเจ้าฆ่าตัวตายแล้วยังไม่องอาจห้าวหาญมากพอ สามารถลอบสังหารราชครูชุยฉานอย่างเปิดเผย ตายอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ คงจะดียิ่งนัก”
อวี๋ลู่หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่นั่งมองเหตุการณ์ห่างไปไม่ไกลเงียบๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เฉินผิงอัน ข้าขอยืมเงินเจ้าหนึ่งร้อยตำลึงเงินได้ไหม? ข้าจะได้สร้างสุสานขนาดใหญ่ให้เทพธิดาเซี่ย จอมยุทธ์หญิงเซี่ยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคารพเลื่อมใสในใจข้า”
เฉินผิงอันมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ แล้วก็หันไปมองเด็กสาวร่างสูงโปร่ง “หากยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไมไม่ใช่ชีวิตดีๆ ล่ะ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดต่อว่า “ข้าขอพูดความรู้สึกของตัวเองหน่อยก็แล้วกัน อาจจะไม่มีหลักการอะไร พวกเจ้าแค่ฟังอย่างเดียวก็พอ หากมีบัญชีบางอย่างที่ยังคิดคำนวณได้ไม่ชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็วางมันไว้ก่อน แค่ไม่ลืมก็พอแล้ว วันหน้าต้องมีสักวันที่สามารถเข้าใจมัน จัดการมันได้เรียบร้อย”
เฉินผิงอันมองผู้ลี้ภัยสกุลหลูสองคนที่ต่างก็มีสถานะสูงศักดิ์ คนหนึ่งคือรัชทายาทที่เกือบได้นั่งบัลลังก์มังกร อีกคนหนึ่งคือเทพเซียนบนภูเขาที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในราชสำนัก เฉินผิงอันรู้ว่าเหตุผลที่ตัวเองใช้เกลี้ยกล่อม พวกเขาอาจจะฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก อาศัยอะไรที่พวกเขาต้องมาเชื่อฟังเด็กบ้านนอกที่เติบโตมาในตรอกหนีผิงอย่างตนด้วย?
แต่เฉินผิงอันมองคนทั้งสองที่เผยอารมณ์แท้จริงก็เห็นว่าเซี่ยเซี่ยไม่มีท่าทางเย็นชาห่างเหินเหมือนเดิมอีกแล้ว นางรู้จักโมโหจนหลั่งน้ำตา อวี๋ลู่ก็ไม่ได้อ่อนโยนปรองดองอีกต่อไป เริ่มรู้จักใช้คำพูดทิ่มแทงคนอื่น แม้เฉินผิงอันจะไม่ได้มีความสุขในความทุกข์ของคนอื่น แต่ก็แน่ใจว่าคนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าตนในเวลานี้เพิ่งจะมีลักษณะของคนที่ตนเองคุ้นเคยปรากฏขึ้นมาบ้าง
—–
บทที่ 155.2 พูดคุยถูกคอ
โดย
ProjectZyphon
ดังนั้นเฉินผิงอันที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดพูดจาเกลี้ยกล่อมคนอื่นมากที่สุดถึงพยายามเค้นสมองครุ่นคิดจนเอ่ยเสริมไปได้อีกหนึ่งประโยค “พวกเจ้าต่างก็มีความรู้มากกว่าข้า ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่างๆ อย่างไร แต่หากเป็นข้า เรื่องที่กลัวที่สุดก็คือเมื่อข้ามีความสามารถมากพอที่จะตัดสินชะตาชีวิตของคนอื่น และยิ่งกลัวหากเป็นเรื่องที่ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีเหตุผล หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นไม่ใช่ช่วงเวลาคอขาดบาดตาย ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นั่นก็แสดงว่าอับจนหนทาง หากต้องลงมือก็ลงมือ เพียงแต่ว่าภายใต้สถานการณ์อื่นๆ ห้ามทำตามอารมณ์ในเวลานั้นเด็ดขาด ห้ามปล่อยให้ตัวเองถูกจูงจมูกด้วยประโยคที่ว่า ‘ข้ารู้สึกว่าควรทำอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น’ อาเหลียงเคยบอกไว้ว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องคิดถึงคำว่า ‘ทำไม’ ให้เยอะๆ ข้ารู้สึกว่าเขาพูดได้ถูกต้อง”
“ดังนั้นข้าถึงต้องเรียนรู้ตัวอักษร อันที่จริงข้าเองก็รู้ว่าตอนที่ข้าขอความรู้จากหลี่เป่าผิง หลินโส่วอี หรือตอนที่หัดเขียนตัวอักษรบนพื้นกับหลี่ไหว พวกเจ้าสองคนต่างก็ดูถูกข้า ข้าอยากเรียนหนังสือ เพราะต้องการเรียนรู้หลักการจากในตำรา ข้าต้องการเห็นคนมากกว่าเดิม เดินทางผ่านสถานที่ใหม่ๆ มากกว่าเดิม เป็นเหมือนอย่างอาเหลียงที่กล้าตบอกพูดว่า ข้าเคยเห้นแม่น้ำลำธารมามากกว่าเกลือที่พวกเจ้าเคยกิน มีเพียงแบบนี้เท่านั้น วันหน้าข้าถึงจะได้…ข้าแค่สมมติเท่านั้นนะ หากมีวันนั้นใดที่ข้ามีความสามารถพอๆ กับเซียนกระบี่พสุธาแห่งศาลลมหิมะอย่างเว่ยจิ้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าออกกระบี่ฆ่าคนก็ดี ช่วยคนก็ช่าง หนึ่งกระบี่ปล่อยออกไปต้องไวอย่างมากแน่ๆ! หรือบางทีข้าอาจไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ แต่ถ้าฝึกหมัดพอกล้อมแกล้ม หมัดที่ข้าเหวี่ยงออกไปก็ต้อง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเฉินผิงอันเปล่งประกายแช่มชื้น ราวกับกำลังคิดถึง “วันนั้น” ของตัวเอง
เงื้อกระบี่ฟาดฟันให้สาแก่ใจ เหวี่ยงหมัดต่อยออกไปให้เต็มคราบ!
เคยมีชายฉกรรจ์สวมงอบคนหนึ่งมักจะเอ่ยหยอกล้อเฉินผิงอันว่า เจ้าเป็นเด็กหนุ่มนะ ช่วยยิ้มแย้มหน่อยได้ไหม? เอาแต่คิดมากอยู่อย่างนี้ไม่ดีนะรู้ไหม?
อันที่จริงทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้เฉินผิงอันจะต้องอัดอั้นอย่างมาก เขาอยากตะโกนบอกเจ้าหมอนั่นดังๆ ว่า ข้าเองก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ข้าทำไม่ได้
อวี๋ลู่นั่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา เซี่ยเซี่ยกลับมานั่งที่เดิมอย่างกระฟัดกระเฟียด แต่ไม่มีท่าทางพร้อมสู้ตายกับอวี๋ลู่อย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
อวี๋ลู่มองเฉินผิงอันที่สุขุมเยือกเย็นแล้วถามยิ้มๆ อย่างใคร่รู้ “เฉินผิงอัน เจ้าก็เข้าใจพูดเหมือนกันนี่นา ทำไมถึงไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว?”
เฉินผิงอันตอบ “ข้าสนิทกับพวกเขา ไม่จำเป็นต้องพูดหลักการอะไรพวกนี้”
ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้แน่นอนว่าต้องเป็น ข้าเฉินผิงอันไม่สนิทกับพวกเจ้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้
อวี๋ลู่ถึงกับสะอึก
เซี่ยเซี่ยสีหน้าเย็นชา ทว่ามุมปากกับตวัดโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถูกนางกดรอยโค้งนั้นให้ราบเรียบดังเดิม
เซี่ยเซี่ยเหลือบมองชุยฉานที่นั่งเหม่ออยู่บนปากบ่ออย่างระมัดระวัง ลังเลอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยช้าๆ “เดิมทีข้าคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรในห้าขอบเขตกลาง ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็สามารถเลื่อนสู่ขอบเขตที่แปดอย่างประตูมังกร แต่พอกลายมาเป็นผู้ลี้ภัย เหนียงเนียงในวังหลวงที่จิตใจอำมหิตคนหนึ่งก็ส่งผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของต้าหลีพวกเจ้า ให้ใช้เวทลับตอกตะปูขังมังกรเข้าไปในช่องโพรงของข้าหลายช่อง ขอแค่ข้าควบคุมปราณแท้ก็จะต้องเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ อีกทั้งต่อให้จะยอมรับผลร้ายนับไม่ถ้วนที่ตามมาได้ ก็ยังได้แค่สำแดงอานุภาพของขอบเขตที่สี่หรือห้าเท่านั้น”
เซี่ยเซี่ยเล่าความลับยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวพันกับชะตาชีวิตเหล่านี้จบก็จ้องเขม็งไปยังอวี๋ลู่ที่แสร้งทำเป็นบื้อใบ้ ฝ่ายหลังจึงถามว่า “อะไร?”
เซี่ยเซี่ยหัวเราะเสียงหยัน “เจ้าเลิกเสแสร้งเถอะ เฉินผิงอันสามารถตกปลาได้ก็เพราะอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน อาศัยว่าเป็นนกโง่จึงต้องหัดบินก่อน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เซี่ยเซี่ยหยุดชะงักไปเล็กน้อย หางตาค้นพบว่าเด็กหนุ่มที่ถูกตัวเองทิ่มแทงไปหนึ่งทีไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับยังหัวเราะขำอย่างทึ่มทื่อ นางถึงได้โล่งอกแล้วพูดต่อว่า “แต่เจ้าอวี๋ลู่หากไม่ได้อาศัยตบะของวิถีวียุทธ์ถึงจะตกปลาที่ว่ายไปว่ายมาพวกนั้นได้ ข้าก็ยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่ของเจ้าเลย!”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ “อ้อ เจ้าพูดถึงเรื่องนี้เองหรือ ข้านึกว่าเคล็ดลับน้อยๆ นี้ คนอย่างพวกเจ้าจะไม่สนใจเสียอีก ชาวยุทธ์ในยุทธภพอะไรนั่น ไหนเลยจะมีค่าให้เอามาพูดถึง ปีนั้นข้าอยู่ในตำหนักบูรพา เพราะสถานะรัชทายาทจึงถูกกำหนดให้ไม่อาจฝึกวิชาแห่งความเป็นอมตะได้ จึงได้แต่วิ่งไปพลิกอ่านตำราลับการฝึกยุทธ์ที่ซ่อนอยู่ในตำหนัก ก่อนหน้านี้ข้าเองก็บอกแล้วว่า เสด็จพ่อของข้ากริ่งเกรงในบทเพลงพื้นบ้านเหล่านั้น ไม่ใช่บุตรชายที่กินอิ่มว่างแล้วไปเรียนรู้วรยุทธ์”
อวี๋ลู่หุบยิ้ม เอ่ยเย้ยหยันตัวเองอย่างจริงจัง “แล้วนับประสาอะไรกับที่สภาพการณ์ของยุทธภพและชาวยุทธ์เป็นอย่างไร คนอื่นไม่รู้แน่ชัด แต่เจ้าเซี่ยหลิงเยว่จะไม่รู้งั้นหรือ? ก็คือบ่อน้ำบ่อหนึ่งตรงตีนเขาเท่านั้น ต่อให้ปลาที่อยู่ข้างในจะตัวใหญ่ แต่จะใหญ่ได้แค่ไหนกันเชียว? ไม่พูดถึงเรื่องอื่น พูดถึงแค่ราชวงศ์สกุลหลูในอดีตของพวกเราที่มีนักพรตขอบเขตเก้าไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยกระมัง ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าล่ะ ไม่มีเลยสักคน ดังนั้นตอนแรกที่ข้าเรียนวรยุทธ์ก็เป็นแค่การเล่นสนุกอย่างเดียวเท่านั้น พวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้ายืนพูดไม่ปวดเอว (เปรียบเปรยว่าคนไม่อยู่ในสถานการณ์แต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น) แต่ข้าก็ยังต้องพูดประโยคหนึ่ง เมื่ออยู่ในตำหนักบูรพาที่อุดอู้น่าเบื่อหน่าย หากมีอาจารย์ผู้สอนคนหนึ่งผายลมโดยไม่ทันระวัง นั่นก็จะเป็นเรื่องหายากที่มีค่าพอให้คนสนใจเอามาพูดถึง”
เซี่ยเซี่ยแค่นเสียง “อ้อ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ขอบเขตวรยุทธ์คงไม่ต่ำสินะ”
อวี๋ลู่ถอนหายใจ ส่ายหัวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่สูง เพิ่งจะขอบเขตหก”
สายตาของอวี๋ลู่เผยความตกตะลึง สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย
การปีนสู่ที่สูงของขอบเขตชาวยุทธ์นั้นพิถีพิถันในเรื่องฝีเท้าแต่ละก้าวย่างมากที่สุด ส่วนใหญ่มักจะสะสมมากแล้วค่อยปล่อยออกทีละนิด ปรมาจารย์ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จเมื่ออายุมากแล้ว ตัวประหลาดอย่างซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีผู้นี้ กวาดตามองประวัติศาสตร์ทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป จะบรรยายเขาด้วยคำว่าร้อยปีจะพานพบสักครั้งก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนักพรตที่ขอบเขตสูงทั้งที่อายุยังน้อยจึงมักจะถูกคนอื่นอิจฉาริษยาในพรสวรรค์และโชควาสนา ฯลฯ เรียกพวกเขาว่าอัจฉริยะ จากนั้นก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะคำว่าอัจฉริยะนี้สามารถมากพอจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
แต่วิถีวรยุทธ์นั้นไม่เหมือนกัน
ชาวยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตหกขณะอายุสิบสี่สิบห้าปี
คือตัวประหลาดอย่างจริงแท้แน่นอน!
อย่าลืมว่าอวี๋ลู่รัชทายาทสกุลหลูใช้ชีวิตที่มีเกียรติ มั่งคั่งและร่ำรวยอยู่ในตำหนักบูรพา มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่เคยเผชิญกับศึกตัดสินเป็นตายมาก่อน
แค่อ่านหนังสือก็บรรลุขอบเขตหกของวิถีวรยุทธ์เลย?
หลังจากเห็นสายตาและสีหน้าของเด็กสาวแล้ว อวี๋ลู่ก็กลืนคำพูดอีกประโยคที่มารออยู่ตรงปากลงท้องไปเงียบๆ
หากจะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด อย่างมากสุดคงใช้เวลาสามถึงห้าปีกระมัง
พอคิดว่าอยู่ใกล้กับชาวยุทธ์ขอบเขตหกขนาดนี้ เด็กสาวเซี่ยเซี่ยก็พลันครั่นเนื้อครั่นตัว มักจะรู้สึกว่าอยู่ดีไม่ว่าดีตนอาจถูกอวี๋ลู่ที่โมโหเกรี้ยวกราดลุกขึ้นมาต่อยศีรษะของตนให้แหลกเละ
การแบ่งแยกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกอาจมีคลุมเครืออยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ทางที่ดีที่สุดไม่ควรมีความคิดนี้เด็ดขาด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางเด็กสาวผิวดำคล้ำก่อน พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หลินโส่วอีเองก็เป็นผู้ฝึกลมปราณ แม่นางเซี่ยเซี่ย แม้จะบอกว่าตอนนี้ตบะของเจ้าถูกพันธนาการ แต่โลกทัศน์ก็ยังคงมีอยู่ วันหน้ารบกวนเจ้าพูดคุยเรื่องฝึกตนกับเขาให้มาก อืม หลินโส่วอีมีนิสัยเย็นชาไปสักหน่อย เจ้าอาจต้องใช้ความอดทน ใช่แล้ว หลินโส่วอีชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็ง หน้าบาง ไม่ชอบฟังใครพูดเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดหวานหู แม่นางเซี่ยเซี่ย ช่วยขัดเกลาเขาให้มากหน่อย ยกตัวอย่างเช่นอาศัยช่วงเวลาที่เล่นหมากล้อมพูดคุยเรื่องการฝึกตน ข้าว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็มองไปทางเด็กหนุ่มสูงใหญ่ “อวี๋ลู่ ในเมื่อเจ้าเป็นยอดฝีมือขอบเขตหก วันหน้าเรื่องจุกจิกอย่างซักเสื้อผ้าขัดรองเท้าอะไรพวกนั้น ข้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะทำให้เจ้าเหนื่อยยากแล้ว ขอแค่เจ้าเปิดปาก เสื้อผ้าก็มีให้ซักมากพอ!”
สุดท้ายเฉินผิงอันตะโกนเรียกชุยฉานที่อยู่ห่างไปไกล “ข้าคุยกับพวกเขาสองคนเสร็จแล้ว เจ้ากลับมาได้แล้ว อืม หากใช้คำพูดของพวกบัณฑิตก็คือ…ก็คือคุยกันถูกคอ!”
เฉินผิงอันเดินออกจากศาลาด้วยรอยยิ้ม ฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีมากจริงๆ
ในศาลา เด็กหนุ่มเด็กสาวหันมามองหน้ากัน รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็คิดไม่ออกว่าคืออะไร
—–
บทที่ 156.1 ไหล่เด็กหนุ่มแบกทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ <ประกาศผลผู้ได้รับเหรียญทอง>
โดย
ProjectZyphon
ชุยฉานเดินกลับจากบ่อน้ำเข้ามาหยุดยืนนิ่งอยู่นอกศาลา เนื่องจากโรงเตี๊ยมชิวหลูไม่ต้องการให้มีคนบุกเข้ามาวุ่นวายกับบ่อน้ำโดยพลการ ดังนั้นศาลาจึงมีทางเข้าออกฝั่งตะวันตกทางเดียว ชุยฉานที่ยืนอยู่ทางตะวันออกเหม่อลอยเล็กน้อย สุดท้ายกัดฟัน ยกสองมีปีนป่ายเสาศาลา ออกแรงเต็มกำลังถึงจะปีนขึ้นไปได้ แล้วจึงพลิกตัวเข้าไปนอนหอบหายใจฮักๆ อยู่บนม้านั่งยาวในศาลา
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ตั้งท่าระแวดระวัง เพียงแค่คิดไปว่าราชครูต้าหลีกำลังหลอกล่อหาเรื่องสนุกทำ จำเป็ฯต้องระวังไม่ให้ตกลงไปในกับดัก
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้ชุยฉานหยิบมีดขึ้นมาส่งให้เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้ แล้วยืนนิ่งๆ ให้พวกเขากรีดมีดลงไปบนร่างตัวเอง คนทั้งสองก็ยังไม่กล้าลงมือ แม้แต่มีดก็ยังไม่กล้ารับมาด้วยซ้ำ
ในสายตาของเซี่ยเซี่ย การที่เฉินผิงอันไม่แยแสชุยฉานได้นั้น เป็นเพราะเฉินผิงอันไม่รู้อะไร เพราะเขาไม่เคยได้เห็นทัศนียภาพบนภูเขา ไม่รู้ว่าความหมายแฝงของคำว่าการเข่นฆ่าในสมรภูมิรบ การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก การพิสูจน์เส้นทางความเป็นอมตะที่แท้จริงมาก่อน
ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีต ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุด ราชครูต้าหลี ไม่ว่าจะเลือกเอาตัวตนไหนออกมาก็ล้วนเป็นดั่งขุนเขาสูงตระหง่านที่สามารถกดทับให้คนหายใจไม่ออก
ชุยฉานที่ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอสิ้นสภาพนอนหงายอยู่บนม้านั่งตัวยาว เหนื่อยหอบไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง เขายื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“อย่างที่พวกเจ้าเห็น ครั้งนี้ข้าไม่เพียงแต่เจอหายนะใหญ่ที่ทำให้ตบะของข้าสูญสิ้น ไม่เหลือแม้แต่แรงจับไก่ แถมยังเดือดร้อนไปยันวัตถุฟางชุ่นของข้าที่ไม่อาจเอาออกมาใช้ได้ กลายเป็นยาจกที่ไม่มีอาวุธติดมือแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นหากพวกเจ้าเคียดแค้นข้า ลงมือตอนนี้คือโอกาสอันดีที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานหันไปมองแผ่นดินต้าหลีที่กางกั้นด้วยภูเขาและสายน้ำนับพันนับหมื่นลี้ ด่าพ่อล่อแม่อย่างคนมีโทสะแต่ไร้เรี่ยวแรงให้ตอบโต้ “สุขเจ้าเสพ ทุกข์ข้าแบก เจ้านายท่านใหญ่ราชครูต้าหลี อ้อ ยังคงเป็นข้าต่างหากที่เป็นนายท่านใหญ่…”
ชุยฉานสบถด่างึมงำอยู่กับตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร ตลอดทางที่เดินทางมานี้ แม้จะไม่อาจกราบไหว้อาจารย์ได้สำเร็จ แต่เมื่ออยู่กับหลี่ไหวนานวันเข้า เวลาด่าคนจึงคล่องปากขึ้นเยอะ แม้แต่ตัวเองก็ยังด่าได้
เด็กหนุ่มเด็กสาวเคยชินกับท่าทางสติหลุดของราชครูต้าหลีแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่คิดว่าสมองชุยฉานมีปัญหา กลับยิ่งรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ
ชุยฉานลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงราวระเบียง แขนสองข้างวางพาดแนวขวางไปบนราว อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้าย อีกคนนั่งอยู่ฝั่งขวาของเขาพอดี
ชุยฉานถอนหายใจ “พวกเจ้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่าภูเขาสูงเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าแม่น้ำลึกแค่ไหน ก็เลยไม่รู้สึกกลัวข้า นี่มัน…”
ชุยฉานหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะร่า “ถูกต้องแล้ว”
ชุยฉานเอ่ยต่อ “แต่ว่าพวกเจ้าคิดถูกแค่ครึ่งเดียว คนไม่รู้ก็ไม่กลัว แต่สิ่งที่พวกเจ้าสู้เฉินผิงอันไม่ได้ก็คือความซื่อตรง ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องชอบธรรม เมื่อตัวตรงย่อมไม่กลัวเงาเอียง พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งแค่อ่านหนังสือก็กลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหก แผ่นดินล่มสลาย แบกรับความอัปยศใหญ่หลวง อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำแต่ต้องแบกรับความแค้นยิ่งใหญ่ มักจะรู้สึกว่าอนาคตยังยาวไกล เฉินผิงอันกล้าพูดว่าจะฆ่าข้า ก็ฆ่าทันที แต่พวกเจ้าล่ะ ลังเลไม่แน่ใจ อึกๆ อักๆ กลุ้มกังวล ข้าพูดอย่างนี้อาจเหมือนคนยืนพูดไม่ปวดเอว เพราะอย่างไรซะข้าก็คือชุยฉาน พวกเจ้าสามารถมีชีวิตรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณข้า”
ชุยฉานนวดเอว พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “อันที่จริงเอวข้าปวดมากเลยล่ะ”
ชุยฉานมองไปทางอวี๋ลู่ “หลังจากนี้พวกเจ้าก็ติดตามข้าอย่างสุดจิตสุดใจเถอะ ตกลงไหม?”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ “นับตั้งแต่เดินออกมาจากกลุ่มนักโทษลี้ภัย ข้าก็ติดตามใต้เท้าราชครูแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกไม่เลว การเดินทางไกลไปศึกษาต่อครั้งนี้ก็สนุกสนานอย่างมาก เมื่อเทียบกับต้องแสร้งทำเป็นหนอนหนังสืออยู่ในตำหนักบูรพา ฟังคำพูดหัวมังกุท้ายมังกรจากคนทั้งหลายทุกวันแล้ว ก็น่าสนใจกว่ามาก หากเวลาว่างใต้เท้าราชครูสามารถอธิบายปัญหายากๆ ในคัมภีร์ให้ข้าฟังได้ ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตนี้สมบูรณ์แบบแล้ว”
ชุยฉานชี้หน้าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ “คนอย่างเฉินผิงอันนั้นระมัดระวังการกระทำและคำพูด เป็นกบใต้บ่อที่จู่ๆ ก็ได้กระโดดออกมาจากในบ่อน้ำ เห็นอะไรก็ตกอกตกใจไปหมด แต่เจ้าอวี๋ลู่กลับฉลาดเฉลียวลึกล้ำ มีหน้าตาของคนเจ้าเล่ห์ บางครั้งข้าก็อยากจะต่อยใบหน้ายิ้มของเจ้าให้แบนไปเลยจริงๆ”
อวี๋ลู่กล่าวอย่างจนใจ “ข้าเทียบกับเฉินผิงอัน จะดีกว่าเขาสักเท่าไหร่กันเชียว? ก็ยังเป็นกบใต้บ่อเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ชุยฉานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไฟมั่งคั่งเผาร่าง ความทุกข์ยากมอดดับ คำเตือนที่อริยะมีต่อโลกประโยคนี้มอบให้เจ้าไม่คิดเงิน เอาไปใคร่ครวญดูให้ดี”
อวี๋ลู่ที่อ่านตำราหมื่นเล่มจนคุ้นเคยมานานแล้วบังเกิดความสงสัย “เป็นคำสอนของนักปราชญ์ท่านใดในศาลเจ้าบุ๋น?”
ชุยฉานชี้มาที่ตัวเอง “ข้าไง”
อวี๋ลู่ยิ่งระอาใจมากกว่าเดิม
ชุยฉานหยิบหินเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วขว้างไปยังกระดิ่งลมใต้ชายคาเบาๆ หนึ่งครั้งไม่โดน สองครั้งไม่โดน สามครั้งก็ยังไม่โดน
ชุยฉานปรายตามองเด็กสาวเซี่ยเซี่ย กระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “อยากจะโยนเจ้าออกไปจริงๆ กระดิ่งต้องดังแน่”
เด็กสาวสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนรูปปั้นดินเผาพระโพธิสัตว์ที่ตั้งวางอยู่ตรงนั้น
ชุยฉานจึงคลี่ยิ้ม “เจ้าน่ะอยากสังหารข้าจริงๆ แต่โอกาสมีแค่ครั้งเดียว จะต้องใช้แผนการที่รัดกุม ไม่อยากจะพาตัวไปตายเปล่าๆ ส่วนอวี๋ลู่นั้นฉลาดกว่าเจ้า รู้สึกว่าจะฆ่าข้าหรือไม่ก็ไม่มีความหมายสักเท่าไหร่”
ชุยฉานถอนหายใจ “เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี สี่คนนี้ ระดับความรู้สึกดีๆ ในใจของเจ้าอวี๋ลู่ จากดีไปยังเลว น่าจะเป็นหลินโส่วอี หลี่เป่าผิง เฉินผิงอัน หลี่ไหว”
“ส่วนแม่นางเซี่ยเซี่ยน่าจะเป็นหลี่เป่าผิง หลี่ไหว เฉินผิงอัน หลินโส่วอี”
สุดท้ายชุยฉานยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ส่วนข้านั้นกลับเป็นหลี่ไหว หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี เฉินผิงอัน ข้าชอบหลี่ไหวที่เป็นคนโง่ก็มีโชคของคนโง่มากที่สุด เพราะไม่เป็นภัยคุกคามต่อข้ามากที่สุด แม่นางน้อยที่สดใสร่าเริงดุจแสงตะวันอย่างหลี่เป่าผิง โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีความชั่วร้ายอยู่เต็มหัวอย่างข้า จะรังเกียจนางลงคอได้อย่างไร? มองเห็นนางก็ให้รู้สึกอุ่นซ่าน สบายใจยิ่งนัก หลินโส่วอีไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่อัจฉริยะประเภทนี้ ข้าเคยพบเจอมามากมายแล้ว จึงไม่ค่อยรู้สึกสนใจเท่าไหร่”
ชุยฉานยิ้มตาหยี “อวี๋ลู่ไม่ชอบหลี่ไหวมากที่สุดเพราะรังเกียจนิสัยเห็นแต่กิน รอความตาย ไม่เป็นโล้เป็นพายของเขา รู้สึกว่าใต้หล้านี้ทำไมถึงมีคนขี้เกียจ ทำอะไรอย่างขอไปทีแบบนี้ได้ แน่นอนว่ายังสกปรก ไม่รักความสะอาดด้วย ชื่นชอบหลินโส่วอีมากที่สุดก็เพราะจิตใต้สำนึกของเจ้ามองตัวเองเป็นรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลู ความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นหนึ่งจำเป็นต้องอาศัยเสาคานที่แสวงหาความก้าวหน้า มุ่งมั่นพัฒนาตนอย่างหลินโส่วอี
เซี่ยเซี่ยมองดูเหมือนสนิทสนมกับหลินโส่วอี มักจะเล่นหมากล้อมกับเขาเป็นประจำ แต่แท้จริงแล้วกลับอิจฉาเขาเจียนคลั่ง เป็นอัจฉริยะด้านการฝึกตนเหมือนกัน เหตุใดหลินโส่วอีถึงพอเจอแต่ความราบรื่น แต่ตัวเองกลับต้องมาเจอหายนะ และมีความเป็นไปได้ว่านับแต่นี้ไปมหามรรคาจะถูกกั้นขวาง หมดความหวังจะได้มีชีวิตเป็นอมตะอีก?”
อวี๋ลู่เงียบงัน
สีหน้าเซี่ยเซี่ยก็ไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด
ชุยฉานหัวเราะเสียงดังลั่น “ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราถึงไม่มีใครชอบเฉินผิงอันเลยล่ะ? แต่ทำไมพวกเด็กที่เพิ่งได้เผชิญโลกกว้างอย่างพวกหลี่เป่าผิงสามคนถึงได้รู้สึกตรงกันข้ามกับจิ้งจอกใหญ่จิ้งจอกน้อยที่สติปัญญาและจิตใจเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างพวกเราสามคน กลับกลายเป็นว่าพวกเขาชอบเฉินผิงอันมากที่สุด เข้าใจยากมากเลยใช่ไหม? อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าสองคนใครสามารถให้คำตอบที่ถูกต้องตรงกับใจของข้าได้ ข้าก็จะมอบของดีมีประโยชน์ให้กับพวกเจ้าชิ้นหนึ่ง”
เซี่ยเซี่ยเอ่ยเนิบช้า “เพราะว่าพวกเขาสามคนเคยชินกับการที่ต้องหันไปมองเฉินผิงอันในทุกครั้งที่พบเจออุปสรรคหรือต้องเลือก พวกเขารู้สึกว่าเฉินผิงอันมีความยุติธรรมมากที่สุด อีกทั้งยังเต็มใจทุ่มเทมากที่สุด แต่หากโยนความต้องการส่วนตัวของใต้เท้าราชครูอย่างท่านทิ้งไป สำหรับพวกเราสามคนแล้ว คนอย่างเฉินผิงอันที่เป็นมนุษย์ธรรมดาซึ่งมองดูเหมือนเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เต็มใจทำความดีเพื่อคนอื่น กลับไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
อวี๋ลู่ส่ายหน้า “เฉินผิงอันไม่ได้เข้ากับคนง่ายขนาดนั้น”
ชุยฉานจุ๊ปาก “ความคิดของพวกเจ้าสองคนสมน้ำสมเนื้อกันอย่างนี้ ช่างโง่เขลาได้น่ารักจริงๆ หรือว่าข้าควรจะจับคู่ให้พวกเจ้าสองคนดี ชายเก่งกาจหญิงรูปงาม… อ้อ ไม่ถูกสิ ตอนนี้ต้องเป็นชายรูปงามหญิงเก่งกาจไปก่อน ดีไหม?”
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ไม่ได้รับคำ เพราะรู้ว่านี่เป็นการหยอกล้อพวกเขา
ชุยฉานใช้สองนิ้วลูบคลำจี้หยกที่แขวนไว้ตรงเอว “พวกเจ้าไม่รู้เลยว่า เฉินผิงอันก็คือกระจกบานหนึ่งที่ทำให้คนข้างกายสามารถมองเห็นข้อเสียของตัวเองได้ดียิ่งกว่าเวลาปกติ ดังนั้นเมื่อรู้จักกับเขา ขอแค่เป็นคนที่สภาพจิตใจมีปัญหา ปัญหานั้นก็จะปรากฏขึ้น
ก่อนหน้านี้เคยมีเด็กโง่คนหนึ่งชื่อจูลู่ที่ถูกบีบให้เดินเข้าสู่ทางตัน ที่บอกว่านางโง่ก็เพราะนางโง่อย่างไม่ประมาณตน ทำเรื่องเลวร้าย แต่ความคิดกลับเลอะเลือน นี่เรียกว่าทั้งโง่ทั้งเลว เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเหนียงเนียงท่านนั้นของต้าหลีเราแล้วกลับห่างชั้นกันไกลนัก เหนียงเนียงท่านนั้นของพวกเราน่ะ ฉลาดที่สุดก็ตรงที่ ‘เจ้าคิดว่าข้าจะทำเรื่องชั่วร้ายอะไรลงไปโดยที่ข้าไม่มีความมั่นใจงั้นหรือ’ ปีนั้นเป็นเพราะประโยคที่เอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ที่ทำให้ข้าตัดสินใจร่วมมือกับนาง”
ชุยฉานชี้มาที่ตัวเอง “ตามคำพูดที่หลบๆ ซ่อนๆ ของเจินเหรินบางท่านแห่งลัทธิเต๋า คนเราล้วนมีเส้นหัวใจสองเส้น หนึ่งดีหนึ่งเลว สองเส้นนี้ต่างก็แขวนไว้บนหัวใจของพวกเรา ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันคิดนั่นแหละ เรื่องบางเรื่องถูกต้อง มันก็คือถูกต้อง แต่ถ้าผิดก็คือผิด ไม่ว่าใครเป็นคนลงมือทำ ไม่ว่าใครเป็นคนช่วยแก้ไขก็ล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
“ที่น่าสนใจก็คือ ความยากลำบากของเรื่องราวบนโลกใบนี้อยู่ที่ว่า เพื่อทำเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ มากมาย
เช่นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ไม่ต้องการละเมิดต่อเจตจำนงของตน อาจจะอยู่ในวงการขุนนางต่อไปไม่ได้ หรืออาจถึงขั้นไม่สามารถป่ายปีนขึ้นสูงในสำนักศึกษา ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่หลบอยู่ในห้องหนังสือเพื่อรวบรวมความรู้ ปิดประตูสร้างเกวียน (เปรียบเปรยว่ายึดเอาความคิดของตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนความเป็นจริง) แทบไม่สร้างประโยชน์ให้กับโลกภายนอกที่ขับเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเลย
คนบางคนอยู่ในห้องหนังสือนานเกินไป ทั้งร่างมีแต่กลิ่นอายของความคร่ำครึหัวโบราณ ไม่อาจทนเห็นข้อบกพร่องทางคุณธรรมของใครได้ เอะอะก็ชี้นิ้วประณาม แต่กลับไร้หนทางรับมือกับบุคคลในราชสำนักที่เลวร้ายสุดขีด ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่ปล่อยให้สังคมตกต่ำเสื่อมถอย กฎระเบียบล้มครืน”
—–
บทที่ 156.2 ไหล่เด็กหนุ่มแบกทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ
โดย
ProjectZyphon
ชุยฉานไม่หันไปมองคนสองคนที่กำลังครุ่นคิด เขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาปาดด้านหน้าหนึ่งที แล้วก็เปลี่ยนเป็นฝ่ามืออีกข้างที่ปาดลงไปบนตำแหน่งต่ำกว่า “บนดีล่างเลว สองเส้นในใจคน เส้นความดีของข้าชุยฉานอยู่สูงมาก แทบจะสูงเท่าฟ้าเลยทีเดียว ดังนั้นในสายตาของข้าจึงมองเห็นคนดีแค่ไม่กี่คน เส้นความชั่วของข้าชุยฉานต่ำมาก ดังนั้นสำหรับข้าแล้ว ทุกอย่างล้วนสามารถแลกเปลี่ยนและหลอกใช้ได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิด พวกเจ้าสองคนไม่ได้มีความต่างมากเท่าข้า แต่ระยะห่างระหว่างเส้นทั้งสองก็คงไม่น้อยเหมือนกัน”
ชุยฉานเก็บมือซ้ายกลับมา ยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือขวาเว้นว่างให้ห่างกันเหลือเพียงช่องเล็กๆ แล้วก้มหน้าหรี่ตามองสองนิ้วนั้น “เส้นความดีของเฉินผิงอันต่ำมาก ดังนั้นสำหรับเขาแล้วการทำเรื่องดีคือเรื่องที่เป็นธรรมชาติ นี่ก็คือต้นเหตุที่เขาถูกมองว่าเป็นคนดีเกินเหตุ แต่พวกเจ้าต้องรู้ว่า เส้นความดีต่ำไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนพูดง่ายจริงๆ เพราะเส้นความเลวของเฉินผิงอันอยู่ใกล้กับเส้นความดีมาก ดังนั้นไม่ว่าเรื่องใดที่เขามั่นใจและตั้งใจว่าจะทำแล้ว เฉินผิงอันจะเด็ดขาดอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น…การสังหารข้า”
“อันที่จริงพวกเจ้าทั้งสองต่างก็รู้ดี ไม่ว่าพวกเจ้าจะดูถูกเฉินผิงอันอย่างไร พวกเจ้า แน่นอนว่ายังมีข้าด้วย พวกเราล้วนไม่อาจเป็นเพื่อนกับเฉินผิงอันได้ชั่วชีวิต”
อวี๋ลู่พลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าสามารถทดลองดูได้”
เซี่ยเซี่ยยกยิ้มเย็นชา
แต่พอหางตาของนางเหลือบไปเห็นอวี๋ลู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับราชครูเด็กหนุ่มที่กำลังเงยหน้า เมื่อเซี่ยเซี่ยนึกถึงตอนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนภูเขาเหิงซาน แล้วตนถูกชุยฉานข่มขู่จนจำเป็นต้องเป็นฝ่ายไปหาเฉินผิงอันเพื่ออธิบายให้เขารู้วิถีวรยุทธ์อย่างผิวเผิน
เด็กสาวก็หงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นนางก็นึกถึงเงาร่างผอมบางที่ยืนรับลมภูเขาที่พัดโชยมาเป็นระลอกบนกิ่งไม้
นางพลันรู้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางเองก็เคยมีสภาพจิตใจที่ไร้จุดด่างพร้อยเช่นนี้มาก่อน สายตามักจะทอดมองไปยังทิศไกลเสมอ
“ข้าพูดมามากมายขนาดนี้ เปลืองน้ำลายเป็นถังๆ อยากจะสื่อถึงอะไรกันแน่?”
ชุยฉานลุกขึ้นยืน หัวเราะเฮอๆ แล้วให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลง “ความหมายของข้าก็คือ วันหน้าคนโง่อย่างพวกเจ้าสองคนต้องให้ความเคารพที่มาจากใจต่ออาจารย์ของข้าชุยฉานให้มากหน่อย เข้าใจหรือไม่?”
นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยหันมามองหน้ากัน
“เจ้าเศษสวะทั้งสองที่ไม่รู้ดีชั่ว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
อยู่ๆ ชุยฉานก็โมโหเดือดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ สีหน้ามืดทะมึนนิ่งสนิทดุจผืนน้ำ ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าแล้วออกแรงต่อยหน้าอวี๋ลู่หนึ่งหมัด “คนหนึ่งคือรัชทายาทเฮงซวยที่กลายเป็นนักโทษ เกือบจะถูกสักหน้า รู้หรือไม่ว่าต้าหลีของข้าสังหารฮ่องเต้และองค์ชายไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว? คนสารเลวอย่างเจ้าที่ทรยศแม้แต่บรรพบุรุษของตัวเองมีคุณสมบัตินั้นหรือ?!”
อวี๋ลู่ไม่ทันตั้งตัวจึงรับหมัดเข้าอย่างจัง แล้วก็ไม่กล้าเอาคืน ได้แต่นั่งอึ้งอยู่อย่างนั้น
ชุยฉานหันกลับมา เดินเข้าหาเด็กสาวผิวดำ เงื้อฝ่ามือตบหน้านางหนึ่งฉาด “อีกคนก็นางแพศยาน้อยที่สำนักถูกคนทุบทำลายจนเละเทะ รู้หรือไม่ว่าเทพเซียนพสุธาที่ข้ากำจัดกับมือตัวเองมีกี่คน?”
เด็กสาวผู้มีนิสัยหยิ่งทระยงยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มชุดขาวตามจิตใต้สำนึก เพื่อไม่ให้เขาตบเข้าที่ซีกแก้วของตัวเอง แต่นาทีถัดมานางก็พลันเสียใจทีหลัง จริงดังคาด ตลอดทั้งร่างของชุยฉานแผ่ปราณดุร้ายน่าพรั่นพรึง เขาจ้องเด็กสาวเขม็ง นางตกใจจึงรีบปล่อยมือ ชุยฉานก้มหน้าลงมองข้อมือที่บวมแดงน้อยๆ ก่อนฟาดลงไปบนใบหน้าเด็กสาวอย่างแรง ตวาดเสียงเฉียบ “พวกเจ้าสองคนกล้าดูแคลนเฉินผิงอันอย่างนั้นรึ? เขาคืออาจารย์ของข้าชุยฉาน!”
ชุยฉานตบใบหน้าของเด็กสาวติดต่อกันอีกสี่ห้าที
เด็กสาวถึงขั้นไม่กล้าใช้ตบะของผู้ฝึกลมปราณไปต้านแรงของอีกฝ่าย เพียงไม่นานก็ถูกตบจนหน้าบวมเป่ง เลือดสดไหลมาจากมุมปาก
ชุยฉานที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณสังหารคล้ายยังไม่หายโมโหจึงอยากจะหาของอะไรบางอย่างมาเป็นอาวุธสังหาร ทว่าเมื่อเขาหันหน้ากลับไปก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยวิ่งเร็วๆ เข้ามา ชุยฉานจึงอึ้งค้างอยู่กับที่
แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นเพิ่งจะตะโกนออกมาได้คำเดียวว่า “กิน…”
ผลกลับเห็นภาพเหตุการณ์ที่ชุยฉานลงมือตบตีคน เจ้าหมอนั่นรีบกลืนคำว่า “ข้าว” ลงไปทันที แล้วเริ่มวิ่งตะบึงเข้ามาเอาเรื่องกับชุยฉาน
พลังอำนาจที่อยู่บนร่างของเด็กหนุ่มนั้น เกรงว่าน่าจะคล้ายกับปราณสังหารมากยิ่งกว่า
ทำเอาชุยฉานตกใจจนรีบตะเกียกตะกายพลิกตัวข้ามระเบียงศาลา วิ่งไปทางบ่อโบราณ ตะโกนพลางหันหน้ากลับมามองด้วย “เฉินผิงอัน เจ้าจะทำอะไร?! ข้าสั่งสอนบ่าวรับใช้ของตัวเอง เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย…เฮ้อ มีอะไรก็พูดกันดีๆ ข้ายอมรับผิดก็ได้ พวกเราหยุดก่อนเถอะ มาพูดคุยกันด้วยเหตุผล ได้ไหม?”
พอวิ่งเข้ามาในศาลาแล้ว เฉินผิงอันก็แตะปลายเท้ากระโดดตัวขึ้นสูง ร่างเหมือนวิหคที่ถลาข้ามระเบียงศาลาไปอย่างรวดเร็ว พอเท้าเหยียบบนพื้นนอกศาลาแล้วก็เริ่มวิ่งตะบึงเข้าหาชุยฉานต่ออีกครั้ง
ชุยฉานรู้ดีว่าไม่อาจหนีหายนะนี้พ้น เมื่อไหแตกก็ทุบให้แหลกเสียเลย เขายืนอยู่บนปากบ่อน้ำโบราณ พูดเสียงสั่นเศร้ารันทด “เฉินผิงอัน หากวันนี้เจ้าจะตีข้าจนตายจริงๆ ข้าก็จะกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายไปเลย! เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า!”
เฉินผิงอันยังคงพุ่งมาด้านหน้า
ชุยฉานทำท่าจะกระโดดลงบ่อ เฉินผิงอันขมวดคิ้ว พลันหยุดชะงัก
ชุยฉานก้าวเท้าข้างหนึ่งออกมาแล้ว แต่ดึงกลับไปได้เฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด ร่างส่ายโงนเงน ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ด้วยสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ หากพลัดตกลงไปในบ่อ เนื่องด้วยด้านล่างยังมีปราณกระบี่หลงเหลืออยู่ ต่อให้ไม่แข็งตายไม่จมน้ำตาย ถูกเฉินผิงอันช่วยกลับขึ้นมาได้ ก็เกรงว่ารากฐานคงถูกทำลาย ชีวิตหายไปเกินครึ่งแน่นอน
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า เด็กหนุ่มชุยฉานกลัวเฉินผิงอันจริงๆ
เฉินผิงอันมองประเมินชุยฉานอย่างละเอียด เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยคำว่า “กินข้าว”
ชุยฉานกระโดดลงจากปากบ่อน้ำอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่กล้าเดินไปข้างหน้า จึงยืนอธิบายอยู่ที่เดิมอย่างโมโหโทโส “เมื่อครู่นี้ข้าช่วยระบายอารมณ์แทนเจ้า พวกเขาสองคนดูถูกเจ้า ข้าช่วยทวงความยุติธรรมให้ ต้องการให้พวกเขาเกรงใจเจ้าสักหน่อย แค่นี้ก็ผิดด้วยหรือ? อย่างเจ้านี่เรียกว่าเห็นความหวังดีของคนอื่นเป็นตับลา!”
เฉินผิงอันแค่นเสียงหยัน “เจ้าหยุดเอาข้าไปเป็นข้ออ้างบังหน้าได้แล้ว เจ้ามันสันดานสุนัขไม่เลิกกินอาจม!”
กล่าวจบเฉินผิงอันก็หมุนตัวเดินจากไป ตอนที่อ้อมผ่านศาลา เขาหันไปพูดกับเด็กหนุ่มเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมาก “พวกหลินโส่วเล่นหมากล้อมเสร็จแล้ว กินข้าวได้แล้ว”
ชุยฉานที่เดินตามเฉินผิงอันมาไกลๆ ด้านหลังไม่โกรธกลับยังหัวเราะขำ เขาวิ่งอาดๆ จนชายแขนเสื้อที่กว้างใหญ่ทั้งสองข้างส่ายสะบัดไปมา สภาพเหมือนสุนัขรับใช้อย่างยิ่ง “ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ของข้า ฉลาดกว่าเจ้าโง่สองคนนั้นมากมายนัก”
ผ่านศาลามาแล้ว ชุยฉานเผชิญหน้ากับคนทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยตวาด “ยืนบื้ออยู่ทำไม? ไปกินข้าว!”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ เหมือนในยามปกติ เดินออกจากศาลา ลงบันไดมาแล้วก็หันมาถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เซี่ยเซี่ยที่กรอบดวงตาฉ่ำน้ำส่ายหน้าให้
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ชี้ไปที่มุมปากของตัวเอง เด็กสาวคืนสติจึงหมุนตัวหันหลังให้เขา เช็ดคราบเลือดตรงมุมปากให้สะอาด
……
คนทั้งกลุ่มร่วมกินอาหารเช้าที่พรั่งพร้อมซึ่งทางโรงเตี๊ยมชิวหลูจัดเตรียมมาให้ หลี่ไหวกินอิ่มจนพุงกลม เจ้าลูกหมาที่ไม่สนใจใยดีกับสิ่งใดไม่ตระหนักถึงบรรยากาศแปลกประหลาดบนโต๊ะอาหารเลยแม้แต่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าหันไปเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นดูร้านหนังสือในเมือง พวกเราจะได้คุยกันไปด้วย หากเป็นไปได้ก็เลี้ยงเหล้าข้าหน่อยก็ดี”
ซิ่วไฉเฒ่ามองไปทางแม่นางน้อยที่ทำท่าหมายมั่นปั้นมือ จึงเอ่ยยิ้ม “ไปด้วยกันไหม?”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “ข้าจะกลับไปเอาหีบหนังสือใบเล็ก!”
หลินโส่วอีอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อใช้เวทลับที่บันทึกไว้ใน ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ มาฝึกเข้าฌาน หลี่ไหวขี้เกียจขยับตัว ไม่มีอารมณ์จะไปเดินเล่น จึงสั่งเฉินผิงอันว่าต้องเอาของกินอร่อยๆ กลับมาฝากเขาด้วย ชุยฉานบอกว่าตัวเองมีธุระส่วนตัวเล็กน้อย ต้องการไปหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมชิวหลูเพื่อดูว่าจะต่อรองราคาให้ถูกลงหน่อยได้หรือเปล่า อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยต่างก็กลับเข้าห้องใครห้องมัน
สุดท้ายหนึ่งผู้เฒ่า หนึ่งคนหนุ่ม หนึ่งเด็กหญิงก็ออกไปจากโรงเตี๊ยมชิวหลูเพียงแค่สามคน เดินผ่านตรอกเมฆคล้อยน้ำไหล ไปตามหาร้านหนังสือภายใต้การนำของซิ่วไฉเฒ่า
แม่นางน้อยอวดหีบหนังสือของตัวเองให้ผู้เฒ่าดูอยู่ตลอดเวลา คอยเดินล้อมหน้าล้อมหลังอีกฝ่าย ถามว่าหีบหนังสือใบเล็กนี้สวยหรือไม่ แน่นอนว่าผู้เฒ่าต้องตอบว่าสวยๆๆ
เฉินผิงอันคิดหาคำพูดอยู่นาน สุดท้ายก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านโกรธข้าหรือไม่?”
ผู้เฒ่าที่เกือบจะชื่นชมจนหีบหนังสือใบเล็กของแม่นางน้อยมีดอกไม้ผุดขึ้นมา ได้ยินก็ตอบยิ้มๆ “เจ้าหมายถึงเรื่องที่เจ้าปฏิเสธจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าน่ะหรือ? ไม่ๆ ข้าไม่ได้โกรธ ผิดหวังนั้นมีอยู่บ้าง แต่ลองมาย้อนนึกดูแล้ว เป็นแบบนี้กลับยิ่งดี ความตั้งใจเดิมของฉีจิ้งชุน รวมไปถึงการติดตามของอาเหลียงในภายหลัง ไม่ใช่ว่าจะต้องทำอะไรให้เจ้าเฉินผิงอันเสมอไป รวมไปถึงครั้งก่อนที่ข้าขโมยปิ่นหยกของเจ้าไป จะว่าไปแล้ว…”
พูดมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็ทำมือปาดไปในแนวขวาง “ก็เพื่อให้เจ้าเฉินผิงอัน แค่เจ้าเฉินผิงอันเท่านั้น ไม่ให้เจ้าต้องถูกดึงมาพัวพันมากเกินไป เจ้าก็คือเด็กหนุ่มในตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู แซ่เฉินชื่อผิงอัน จากนั้นก็พาพวกหลี่เป่าผิงออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ ง่ายๆ เพียงเท่านี้”
ผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “ยากนักที่คนเสเพลอย่างอาเหลียงจะทำตัวจริงจังกับเขาสักครั้ง ถึงขนาดช่วยกันไม่ให้ราชวงศ์ในโลกอย่างต้าหลีไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้เจ้ากับพวกเด็กๆ ก่อนหน้านี้ฉีจิ้งชุนสามารถทำให้พวก…ที่อยู่เบื้องบนไม่มาบงการชี้ไม้ชี้มือแล้ว เพราะการมาของข้าทำให้พี่สาวเทพเซียนนิสัยดีของเจ้าผู้นั้นต้องเผยตัว ดังนั้นจึงกลายเป็นปัญหาอีกเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกลัว ตาแก่หนังเหนียวอย่างข้ายังพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง จะไม่มีทางสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าแน่ ให้อธิบายหลักการกับบัณฑิต ข้าถนัดนักล่ะ”
ผู้เฒ่าตบไหล่เด็กหนุ่ม “วันหน้าก็ตั้งใจเรียนหนังสือไปเถอะ”
แล้วผู้เฒ่าก็หัวเราะกับตัวเอง “ไหล่ของเด็กหนุ่มควรจะเป็นแบบนี้ถึงจะถูก ความแค้นของบ้านเมือง ความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมอะไรนั่น ยังไม่ต้องรีบร้อน แบกลมเย็นแสงจันทร์ กิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิไปก่อน เดิมทีไหล่ของเด็กหนุ่มก็ควรจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่งดงามเหล่านี้”
หลี่เป่าผิงดวงตาเป็นประกาย ยกนิ้วโป้งให้ซิ่วไฉเฒ่าพร้อมเอ่ยชื่นชม “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ประโยคนี้ท่านกล่าวได้สวยงามมากเลย”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า ใช้ฝ่ามือตบพุงเบาๆ “ก็แน่ล่ะสิ ในท้องข้าเต็มไปด้วยความรู้นี่นา”
เฉินผิงอันมองซิ่วไฉเฒ่าและแม่นางน้อยที่หยอกล้อกันสนุกสนานก็สูดลมหายใจเข้าลึก บนไหล่มีอะไร เด็กหนุ่มสัมผัสไม่ถึง ทว่าในใจกลับอุ่นซ่าน
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น